คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตชาวต่างชาติเลี้ยงลูกไหมคะ ดูปล่อยลูกให้มีอิสระมาก ลุยมาก กล้าคิดกล้าทำ ออกจากบ้านทำงานหาเงินกันตั้งแต่อายุยังน้อย
วิธีเลี้ยงลูกแบบฝรั่งสำคัญตรงพวกเขารู้จักรับผิดชอบกันตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เพราะแบบนี้ เราเลยจะนำสไตล์การเลี้ยงลูกแบบฝรั่งมาบอกกัน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นอีกมุมมองการเลี้ยงลูก อาจมีข้อที่นำไปปรับใช้กับลูกได้นะคะ
เมื่อสังเหตเห็นว่าลูกชอบอะไร ก็ต้องสนับสนุนไปให้สุด เช่น ลูกชอบเล่นดนตรี พ่อแม่ก็ควรเชียร์ให้เต็มที่ ซื้อเครื่องดนตรีที่ลูกอยากได้ให้ลูกซ้อมเล่น มีกิจกรรมดนตรีก็พาลูกไปทำ หรือ ถ้าลูกชอบวาดรูป ก็ซื้ออุปกรณ์วาดรูปแบบครบเครื่องให้ลูกเลย เช่น ขาตั้งวาดรูป สี อุปกรณ์การเพ้นท์ เรียกว่าต้องสนับสนุนในด้านที่ลูกชอบและถนัดไปเลย
ตอนเด็ก ๆ เขาจะสอนให้ลูกชายเป็นสุภาพบุรุษ สอนให้ลูกสาวพึ่งพาตัวเองมาก ส่วนเรื่องการมีแฟนอาจจะขัดกับสังคมไทยเล็กน้อย แต่พ่อแม่ฝรั่งจะคิดว่า ถึงเราห้าม เด็กก็มีแฟนอยู่ดี สู้ให้ลูกมี แต่เรารู้ และอยู่ในสายตาเราดีกว่า ครอบครัวจะช่วยลูกเลือกแฟนด้วย
สิ่งที่พ่อแม่ฝรั่งคิดคือ พ่อกับแม่ไม่สามารถอยู่เพื่อปกป้องลูกตลอดไปได้ ลูกต้องโตขึ้นและช่วยเหลือตัวเองได้ ควรฝึกลูกด้วยการมอบหมายงานบ้านตามอายุให้ลูก ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ เช่น ลูกอายุ 9 ขวบ ต้องให้อาหารน้องหมา ลูก 6 ขวบ ต้องให้อาหารแมว ลูก 2 ขวบ ต้องเลือกเสื้อผ้าและรองเท้าไปโรงเรียนด้วยตัวเอง และทานข้าวเอง ไม่มีการป้อน พอโตที่จะทำงานได้ ลูกต้องทำงานพิเศษเพื่อหาค่าเทอมไปด้วย เรียนไปด้วยทุกคน
ครอบครัวฝรั่งต้องมีวันหยุดสุดสัปดาห์จะต้องมี Family Time คือการทำกิจกรรมเป็นครอบครัว ให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกัน เช่น ตกปลา ย่างบาร์บีคิว และในทุก ๆ ปีจะมีช่วงเวลา “พ่อ-ลูกสาว” และ “แม่-ลูกชาย” คือไปเดทกัน 1 วัน มีโมเม้นต์กุ๊กกิ๊ก และสอนเรื่องการวางตัวกับเพศตรงข้ามให้ลูกด้วย
เรียกว่าต้องเติมความหวานให้กันบ้าง พ่อกับแม่จะทำกิจกรรมร่วมกันหนึ่งอย่าง เช่น ไปเรียนเต้นรำ 1 คอร์ส ไปเรียนทำอาหารด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันสองคน เพื่อทำให้ชีวิตคู่มีสีสัน และทำให้ลูก ๆ รู้สึกอุ่นใจ ว่าพ่อแม่ยังรักกันมาก ๆ
ต้องบอกว่าทุกข้อสามารถนำมาปรับใช้กับครอบครัวได้ตามความเหมาะสมเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น สนับสนุนลูกอย่างเต็มที่ ให้ลูกรับผิดชอบตัวเอง ทำกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน ทำกิจกรรมพ่อแม่แบบสองต่อสอง และช่วยลูกคบหาเพื่อน การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง เรียกว่าน่าปรับใช้กับครอบครัวคนไทยมากนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : หมอจริง เข้าใจวัยรุ่น Dr Jing