คุณแม่เคยได้ยินโรคเบาจืดไหมคะ? อาการของโรคอาจดูไม่ร้ายแรง แต่ความจริงอันตรายมากกว่าที่คิด หากลูกเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้ ที่แย่กว่านั้นคือลูกต้องกินยาไปตลอดชีวิตค่ะ เรามาดูวิธีสังเกตอาการของโรคเบาจืดกัน
เบาจืด (Diabetes Insipidus) คือโรคที่ร่างกายสูญเสียความสมดุลของน้ำ โดยมีผลมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone) ซึ่งก่อให้เกิดอาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากผิดปกติ และปัสสาวะออกมามาก ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจถึงขั้นปัสสาวะมากถึงวันละ 20 ลิตรได้ ซึ่งคนปกติจะปัสสาวะเพียงวันละประมาณ 1-2 ลิตรเท่านั้น โดยปัสสาวะที่ออกมาจะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และมีรสจืด จึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคเบาจืด" สาเหตุมาจากการดื่มน้ำในปริมาณมากจนส่งผลให้สารต่าง ๆ ที่ก่อสีและกลิ่นในปัสสาวะเจือจางลงมากจนปัสสาวะเกือบมีลักษณะเหมือนน้ำแท้ ๆ
โรคเบาจืด (Diabetes insipidus) เป็นคนละโรคกับโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) เพียงแต่มีชื่อคล้าย ๆ กัน และมีความผิดปกติทางด้านปัสสาวะเหมือนกันทั่งคู่ การแยกโรคทั้ง 2 นี้ ในเบื้องต้นสามารถกระทำได้โดยการตรวจปัสสาวะ ซึ่งจะพบลักษณะจำเพาะ ของโรคแต่ละโรค ถ้าเป็นเบาจืดจะตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และไม่ได้มีเกลือแร่ ส่วนผู้ที่เป็นเบาหวานนั้นจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะค่ะ
คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าน้องปวดปัสสาวะธรรมดา กระหายน้ำปกติ แต่ถ้าไม่สังเกตอาการให้ดีและปล่อยไว้นานอาจจะกลายเป็นโรคร้ายที่อันตรายต่อเด็กๆ ได้ค่ะ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาจืดแล้ว จะไม่มีทางรักษาให้หาย และที่สำคัญต้องกินยาตลอดชีวิตค่ะ