เครื่องดื่มคลอโรฟิลล์ เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ผู้ขายหลายรายอวดอ้างสรรพคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพต่างๆมากมาย เรามาทำความรู้จักน้ำคลอโรฟิลล์กันค่ะ ว่าดีจริงอย่างที่แอบอ้างหรือเปล่า และอันตรายกับเด็กอย่างไร
คลอโรฟิลล์คือ ?
สารคลอโรฟิลล์เป็นกลุ่มของรงควัตถุที่มีอยู่ในพืชที่มีสีเขียวตามธรรมชาติ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือประเภทที่ละลายในน้ำ และประเภทที่ละลายในไขมัน คลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้นเป็นสารที่มีขนาดโมเลกุลที่ค่อนข้างใหญ่ ส่งผลให้ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ และเมื่อร่างกายไม่สามารถไม่สามารถรับสารชนิดนี้ได้ จึงส่งผลให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการรับประทานเท่าที่ควร
คุณประโยชน์ สารคลอโรฟิลล์
คลอโรฟิลล์ที่เรานำมาบริโภคกันนั้นจึงจำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการผลิต โดยการสกัดและทำปฏิกริยาเคมีกับสารต่างๆ เช่น acetone, hexane, copper เป็นต้น จนเกิดเป็นสารใหม่ที่ไม่ใช่สารที่มาจากธรรมชาติโดยตรง ซึ่งก็คือ chlorophyllin ที่แปลงสภาพมาจาก chlorophyll ในปัจจุบัน จากการศึกษาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์พบว่า ยังไม่มีการสรุปในระดับที่น่าเชื่อถือได้ว่าคลอโรฟิลล์ที่เรานำมาบริโภคในรูปของอาหารเสริมเพื่อสุขภาพนั้นเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
บางท่านอาจสงสัยว่าแล้ว คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในอาหารเสริมสามารถนำมาบริโภคเพื่อประโยชน์ต่อร่างกายทดแทนการกินผักสดผลไม้ได้บ้างหรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือ คลอโรฟิลล์ในชั้นของใบพืชที่มีประโยชน์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้นั้นจะมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในสภาพไม่ละลายในน้ำเท่านั้น ดังนั้นเมื่อนำคลอโรฟิลล์มาบรรจุในซองแล้วมาละลายน้ำดื่ม จึงไม่ค่อยมีประโยชน์มากเท่าที่ควร
ผู้ผลิตบางรายมีการกล่าวอ้างว่าการดื่มเครื่องดื่มผสมคลอโรฟิลล์มีส่วนช่วยในการลดกลิ่นปากและทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นได้ แต่ในความจริงกลับพบว่าสินค้าที่วางขายอยู่โดยทั่วไปนั้นมีปริมาณค่าความเข้มข้นของคลอโรฟิลล์ไม่มากพอที่จะช่วยดับกลิ่นปากได้ ผู้ผลิตหลายรายจึงเลือกใช้วิธีการแต่งสีเพื่อเพิ่มความน่ารับประทานให้แก่ผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ไม่ค่อยจะพบประโยชน์มากเท่าใด
คลอโรฟิลล์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้จริงหรือ ?
ตอบ ทำได้แต่น้อยมาก
ส่วนประโยชน์ในด้านการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้นั้น คลอโรฟิลล์สามารถทำได้จริงแต่ประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อน้อยมากๆเมื่อเปรียบเทียบกับยาฆ่าเชื้อชนิดอื่นๆ คลอโรฟิลล์ทำได้เพียงยับยั้งเชื้อได้บางชนิด แต่อาจส่งผลให้เชื้อชนิดอื่นๆเติบโตขึ้นมาแทนที่ได้
ดังนั้น การดื่มน้ำคลอโรฟิลล์เพื่อหวังที่จะให้ไปออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อเพื่อรักษาบาดแผลให้หายได้เร็วได้ยิ่งขึ้นจึงอาจไม่เป็นผลมากนัก และพบว่ายังไม่มีรายงานการวิจัยใดที่สนับสนุนสรรพคุณของคลอโรฟิลล์ในด้านนี้ การรักษาความสะอาดของบาดแผลด้วยวิธีการที่ถูกต้องและระวังมิให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อน พร้อมกับการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ น่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมในการช่วยเสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และทำให้บาดแผลต่างๆหายได้รวดเร็วยิ่งขึ้นมากกว่า
คลอโรฟิลล์ขับสารพิษออกจากร่างกายได้จริงหรือ ?
ตอบ ทำได้แต่น้อยมาก
ในด้านของการเป็นตัวช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกายกลับพบว่า คลอโรฟิลล์เองไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นใยตามธรรมชาติ ที่จะทำหน้าที่เพิ่มปริมาณอุจจาระและช่วยดูดซับเอาสารพิษออกจากร่างกายในรูปของของเสีย ดังนั้นคุณสมบัติในด้านนี้จึงไม่ได้มากเท่ากับการรับประทานพืชผักผลไม้ที่มีกากใย
คลอโรฟิลล์ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งจริงหรือ ?
ตอบ ไม่จริง
สำหรับสรรพคุณในด้านการทำให้ผิวพรรณเปร่งปรั่งก็เช่นกัน จากการศึกษาการวิจัยต่างๆ ยังไม่พบรายงานที่เชื่อถือได้ว่า สารชนิดนี้จะช่วยล้างพิษในร่างกายและทำให้หน้าใสเปร่งปรั่งแต่อย่างใด
ผลกระทบจากคลอโรฟิลล์
สำหรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ต่อร่างกายจะเป็นในกรณีที่มีการรับประทานสารคลอโรฟิลล์ในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้สีของปัสสาวะหรืออุจจาระเปลี่ยนเป็นสีเขียว หรืออาจจะทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
คลอโรฟิลล์พบได้ที่ไหน
โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถได้รับสารคลอโรฟิลล์ได้จากพืชทั่วๆไป การรับประทานผักผลไม้ที่มีสีเขียวจะช่วยให้ร่างกายของเราได้รับคลอโรฟิลล์ไปด้วย โดยสารคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในรูปธรรมชาตินี้จะอยู่ในรูปคลอโรฟิลล์ที่ละลายในน้ำมัน ตัวอย่างเช่น ในผักชีฝรั่ง 1 ถ้วย มีคลอโรฟิลล์สูงถึง 38 มิลลิกรัม ผักขม 1 ถ้วย มีคลอโรฟิลล์ 23.7 มิลลิกรัม ดังนั้น หากเรารับประทานผักผลไม้สดเป็นประจำ ร่างกายก็ไม่จำเป็นจะต้องได้รับคลอโรฟิลล์เพิ่มเติมแต่อย่างใด
โฆษณาน้ำคลอโรฟิลล์เกินจริง
น้ำคลอโรฟิลล์ที่โฆษณากันอยู่มากมายในปัจจุบันล้วนมีสรรพคุณกล่าวอ้างต่างๆที่เราทุกคนควรใช้วิจารณญาณที่ดีในการตัดสินใจก่อนซื้อรับประทานเพื่อไม่ให้เกิดอาการโดนหลอกกันได้ง่ายๆ นอกจากนี้ ก่อนการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคลอโรฟิลล์ แนะนำให้คุณลองสังเกตฉลากและอ่านคำเตือนข้างกล่องให้เข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนการรับประทาน และควรสำรวจความต้องการของตัวคุณเองว่าต้องการเสริมสารอาหารในด้านไหนกันแน่ แล้วพฤติกรรมการบริโภคในปัจจุบันนั้นเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้วหรือยัง เพราะหากคุณเป็นคนหนึ่งที่รับประทานพืชผักผลไม้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว การบริโภคอาหารเสริมคลอโรฟิลล์ก็คงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและเกินความต้องการของร่างกาย
(ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th/)
คำเตือน! เด็กทารกไม่ควรดื่มน้ำคลอโรฟิลล์
จากที่มีการแชร์ภาพของผู้ขายน้ำคลอโรฟิลล์ว่าให้เด็กทารกแรกเกิดดื่มได้ และทำให้มีน้ำหนักตัวดี หนักถึง 5 กิโลกรัมนั้น มีคำเตือนจากคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ได้ออกมาเตือนว่า ไม่ควรให้เด็กทารกแรกเกิดต่ำกว่า 6 เดือนได้รับอาหารเสริม
ทารกแรกเกิดหนัก 5 กก. ไม่ใช่เด็กปกตินะคะ ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมหรือเลียนแบบ อาจเกิดจากการที่คุณแม่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือ เด็กอาจเป็นโรคผิดปกติบางอย่างที่ทำให้มีปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ มีผลกับสมองตามมา หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง และ การให้ทารกกินน้ำอื่นๆที่ไม่ใช่นมแม่ หรือ นมผงสำหรับทารกที่ได้รับการเตรียมอย่างถูกสัดส่วน และ สะอาด จะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น เกิดภาวะน้ำเกินหรือน้ำเป็นพิษจนสมองบวม ท้องร่วงจากติดเชื้อ เกิดอาการแพ้รุนแรง
ทำไมจึงไม่ควรให้ทารกกินอาหารอื่นที่ไม่ใช่นม ก่อนอายุ 6 เดือน
เมื่อ 10 ปีก่อน แนะนำให้เริ่มอาหารตามวัยหลัง 4 เดือน แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น 6 เดือนแล้วค่ะ โดยมีงานวิจัยมากมายสนับสนุนคำแนะนำดังกล่าว แต่บุคลากรทางการแพทย์จำนวนหนึ่ง และหนังสือคู่มือเลี้ยงลูกหลายๆเล่ม ยังไม่ทราบข้อมูลใหม่เหล่านี้
ต่อไปนี้ คือ หน่วยงานที่แนะนำว่า ทารกควรกินนมแม่อย่างเดียว หรือ กินนมผงบวกน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก
*องค์การอนามัยโลก *ยูนิเซฟ *สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา *คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติออสเตรเลีย *คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติแคนาดา
เพราะว่า ทารกส่วนใหญ่จะมีความพร้อมทั้งด้านพัฒนาการและร่างกายในการกินอาหารอื่นที่ไม่ใช่นมแม่ หรือ นมผง เมื่ออายุประมาณ 6-9 เดือน บางงานวิจัยกล่าวว่าเด็กบางคนควรเริ่มกินอาหารตามวัยช้ากว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป เช่น คนที่มีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว อาจเริ่มที่อายุ 12 เดือน หรือ เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด
ข้อดีของการเริ่มอาหารหลังอายุ 6 เดือน
ลูกใครที่กินก่อน 6 เดือน แล้วไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือว่าโชคดีไปค่ะ เช่น ให้กินกล้วยตั้งแต่ 1 เดือน ลูกก็ไม่เห็นเป็นไร กระเพาะอาหารก็ไม่เห็นแตกเหมือนกับที่เป็นข่าว ก็เหมือนกับการรัดเข็มขัดนิรภัยที่บางคนไม่รัด ก็ยังอยู่รอดปลอดภัยดีอยู่ แต่ผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวนั้นมีแน่ๆค่ะ เช่น แทนที่ลูกจะได้กินนมแม่มากๆ ซึ่งมีสารบำรุงสมอง สารต้านเชื้อโรค สารต้านมะเร็ง ก็ต้องเสียพื้นที่ไปในการกินกล้วยซึ่งไม่มีสารเหล่านี้ และ งานวิจัยพบว่า การเริ่มกินสิ่งอื่นก่อน 6 เดือน จะเป็นสาเหตุทำให้หย่านมแม่ก่อนเวลาอันควรด้วยค่ะ ถ้าเราอยากให้ลูกกินนมแม่ไปได้นานๆ ก็ไม่ควรเริ่มอาหารอื่นก่อน 6 เดือนนะคะ
(ข้อมูลจาก เฟซบุ๊กคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ https://www.facebook.com/SuthiRaXeuxPhirocnKic)
ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเสริมเด็กแรกเกิด
อาหารของเด็กทารกวัย 0-1 ปี