โรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติเป็นอย่างไร
โรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole language Approach) เป็นโรงเรียนที่มีแนวการสอนภาษาแบบบูรณาการ โดยมีปรัชญาหรือแนวคิดว่า เด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเรียนรู้ภาษาได้ด้วยตัวเองจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ผ่านการพูด ฟัง อ่าน เขียน โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้นั้นๆ เอง ไม่ใช่การฝึกให้เด็กท่องจำเป็นคำๆ หรือสอนว่าควรอ่านก่อน ถึงจะเรียนเขียน แต่สอนให้เด็กเข้าใจความหมายของคำเป็นประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารเป็นหลัก
แนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติจึงอาจสรุปได้ว่า เป็นการจัดประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาจากสิ่งที่มีความหมายในชีวิตประจำวัน โดยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ภาษาในการสื่อสาร เช่น การถามตอบง่ายๆ การเล่านิทาน การช่วยกันแต่งนิทาน การแสดงบทบาทสมมติ เป็นต้น โดยมีครูเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษาให้เด็กพัฒนาทักษะทางภาษาทั้งในด้าน การฟัง พูด อ่าน และเขียน และกระตุ้นให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครูในบรรยากาศที่อบอุ่น
แนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติสอนอะไร
แนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติเชื่อว่าเด็กเกิดมาพร้อมความสามารถในการเรียนรู้ภาษาได้จากสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ชีวิตประจำวัน การเลียนแบบ ไม่เน้นให้เด็กต้องท่องตัวอักษรได้ ไม่เน้นการท่องจำเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ตามการเรียนการสอนทั่วไป เด็กไม่ต้องฝึกทักษะตามขั้นตอน เช่น ต้องเขียนได้ก่อน แล้วถึงจะเรียนการอ่าน แต่จะพัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนไปพร้อมๆ กัน
การฟัง – เด็กจะได้ฟังการเล่านิทาน เพลงนิทาน เพลงสอนแปรงฟัน และเพลงต่างๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางการฟังภาษา โดยเนื้อเพลงจะต้องเป็นภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน และเมื่อเด็กฟังแล้วจะได้เชื่อมโยงสิ่งที่อยู่รอบตัวเข้ากับคำที่ได้ยิน เช่น ใช้แปรงสีฟันแปรงฟันให้สะอาด เด็กก็จะเชื่อมโยงคำว่าแปรงสีฟันเข้ากับแปรงสีฟันของตัวเองที่ใช้แปรงฟันทุกวัน รวมถึงมีเกมง่ายๆ อย่างเกมจับคู่ภาพกับสิ่งที่ได้ยิน
การพูด การอ่าน – เด็กจะได้รับคำถามจากครูเพื่อให้ตอบ กล้าแสดงความคิดออกมาเป็นคำพูด มีการแสดงละครเล็กๆ การแสดงบทบาทสมมติ มีชั่วโมงการเล่านิทานที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เปิดหนังสือเพื่อดูภาพและเล่าเรื่องจากภาพเอง ซึ่งสิ่งที่เด็กเล่าออกมาอาจจกคนละเรื่องกับหนังสือนิทานก็ได้ แต่เน้นให้เด็กได้เห็นภาพและเชื่อมโยงออกมาเป็นคำพูด หรือการอ่าน และการพูด การอ่านนั้นไม่มีถูกหรือผิด แต่ครูผู้ดูแลจะคอยสนับสนุนให้เด็กกล้าใช้ภาษา และหากคำไหนพูดไม่ชัด ผิดเพี้ยน ครูก็จะช่วยพูดแก้ไขให้เด็กพูดตามได้ชัดเจนแบบค่อยเป็นค่อยไป
การเขียน – เด็กจะได้วาดภาพตามสิ่งที่ครูบอก หรือทำกิจกรรมกลุ่ม เช่น การช่วยกันวาดภาพนิทานและใส่ชื่อตัวเองลงในภาพ นอกจากนี้อาจจะมีการสะกดคำง่ายๆ ซึ่งไม่ใช่การท่องจำ แต่จะเป้นการสอนในรูปประโยคที่ทำให้เด็กเชื่อโยงไปสู่การฟัง การพูด และการอ่าน เช่น สอนคำว่า ลิง ครูจะไม่สอนแค่ ลอ สระอิ งอ แต่จะสอนว่าลิงหมายถึงอะไร และยกตัวอย่างประโยคให้เด็กเข้าใจและชเอมโยงไปสู่คำอื่น รวมถึงทำให้เด็กสร้างประโยคขึ้นเองได้ บางครั้งการเขียนของเด็กที่เรียนแนวสอนภาษาแบบธรรมชาติจะเป็นการเขียนเชิญสัญลักษณ์ เด็กจะอาจจะเขียนสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนคำบางคำ ดังนั้นเด็กที่เรียนแนวนี้จึงอาจจะยังเขียนไม่เป็นตัวหนังสือที่ถูกต้องแบบเด็กระดับเดียวกันในโรงเรียนอื่นที่มีการท่องจำ แต่จะค่อยๆ เรียนรู้ความหมายและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องได้เองในที่สุด
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
การสอนภาษาแบบธรรมชาติจะ ต้องสร้างสภาพแวดล้อมให้เด็กได้คุ้นเคยกับการใช้ภาษาอย่างมีความหมาย และเป็นองค์รวมนั้น และส่งเสริมให้เด็กกล้าใช้ภาษาเองโดยไม่มีใครมาบังคับหรือสอนให้ท่องจำ
ในห้องเรียนที่สอนภาษาแบบธรรมชาติจะ จัดให้มีมุมที่ส่งเสริมเรื่องภาษาอย่างชัดเจน เช่น มุมห้องสมุด มุมอ่าน มุมเขียน มุมบทบาทสมมุติ มุมวิทยาศาสตร์ มุมบล็อก เป็นต้น โดยทุกมุมจะมีป้ายสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายต่างๆ ที่มีความหมายในการสื่อสารกับเด็ก มีบรรยากาศของการเรียนรู้แบบร่วมมือ เด็กมีโอกาสและเวลาที่จะตัดสินใจเลือกลงมือปฏิบัติกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ ด้วยตนเอง เด็กๆ สนใจที่จะอ่านและเขียนจากความเข้าใจและประสบการณ์ของตัวเองอย่างอิสระและมี ความสุข
บทบาทของครูและผู้ปกครองกับแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
ครู – ครูจะมีหน้าที่เป็นเพียงผู้ช่วยในการเรียนรู้ของเด็กเท่านั้น เช่น การจัดมุมต่างๆ ให้เด็กได้มาฝึกภาษาอย่างรอบด้าน เตรียมอุปกรณ์ให้เด็กได้ใช้อย่างอิสระและปลอดภัย ส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออกในการใช้ภาษา เป็นกำลังใจเมื่อเด็กไม่กล้า หรือทำผิดพลาด สนับสนุนให้เด็กกล้าเสี่ยงที่จะอ่านและเขียนคำที่ไม่เคยพบมาก่อน ยอมรับสิ่งที่เด็กอ่านและเขียน และตอบสนองต่อความพยายามของเด็กในทางบวก ไม่ตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเด็กอ่านหรือเขียนยังไม่ถูก รวมถึงครูต้องเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนให้เด็กๆ เช่น อ่านนิทานให้ฟัง เล่านิทานให้ฟัง หรือถามคำถามที่ให้เด็กได้แสดงออกง่ายๆ เด็กก็จะทำตามได้
ผู้ปกครอง - ผู้ปกครองสามารถช่วยพัฒนาภาษาของเด็กได้โดยการสนทนาและตอบคำถามของเด็กอย่าง สม่ำเสมอ จัดหาหนังสือนิทานให้เด็ก อ่านหนังสือให้เด็กฟังเป็นประจำทุกวัน ส่งเสริมให้เด็กอ่านจากสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายโฆษณา กล่องสินค้า ป้ายประกาศ ฯลฯ จัดให้เด็กมีโอกาสอ่านและเขียนทุกวัน ให้ความสนใจในสิ่งที่เด็กอ่านหรือเขียนเพื่อเป็นกำลังใจแก่เด็กและเพื่อให้ เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านและการเขียน พยายามไม่วิพากษ์วิจารณ์หรือตำหนิสิ่งที่เด็กเขียนเพราะจะทำให้เด็กขาดความ มั่นใจว่าตนเองมีความสามารถในการอ่านและเขียน และผู้ปกครองควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา
สิ่งที่เด็กจะได้รับจากแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนตัดสินใจให้ลูกเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจจากแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ พ่อแม่ต้องไม่คาดหวังว่าลูกจะอ่านออกเขียนได้ทันทีเหมือนเด็กในโรงเรียนอื่นๆ เช่น เด็กอนุบาล 3 รุ่นเดียวกันในโรงเรียนอื่นเขียนชื่อตัวเองได้แล้ว เขียนประโยคสั้นๆ ได้ สะกดได้ อ่านประโยคง่ายๆ ได้ แต่ลูกเราที่เรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติยังเขียนไม่ได้ อ่านประโยคง่ายๆ ไม่ได้ เพราะแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ จะฝึกให้เด็กเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเรียนรู้ความหมายจากสิ่งรอบตัว ดังนั้นลูกเราจะรู้ความหมายของคำ ใช้คำนั้นเป็น และรู้แบบการใช้สัญชาตญาณที่จะจำไปตลอด ไม่ใช่แค่การท่องจำที่จะลืมได้ตลอดเวลาถ้ามีความรู้ใหม่ๆ เข้ามา
ถ้าพ่อแม่ตัดสินใจให้ลูกเรียนแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติจะต้องไม่เร่งรีบ แต่ควรส่งเสริมลูกไปพร้อมๆ กับการเรียนที่โรงเรียน เช่น ชวนลูกเล่านิทาน ชวนอ่านข้อความสั้นๆ ที่เจอในชีวิตประจำวัน หรือสอนศัพท์ง่ายๆ จะช่วยให้ลูกมีทักษะการเรียนรู้ภาษาและการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ไวขึ้น เพื่อพัฒนาไปสู่การเรียนรู้อื่นๆ
ตัวอย่างโรงเรียนมีแนวการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
*** บทความนี้เรียบเรียงข้อมูลจากเว็บไซต์การศึกษาและเว็บไซต์โรงเรียน ชื่อโรงเรียนที่ปรากฎจึงเป็นเพียงการยกตัวอย่างให้สอดคล้องกับแนวการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่การจัดอันดับหรือชี้แนะว่าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุด การนำเนื้อหาไปใช้ประกอบการพิจารณาเลือกโรงเรียนจึงอยู่ที่ดุลยพินิจและวิจารณญาณของแต่ละบุคคล