Learning by Doing
เริ่มแรกที่เดินเข้ามาในห้องเรียนของเด็กๆ ชั้นเตรียมอนุบาล จะเห็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยง่วนอยู่กับการทำกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ ทั้งการจับคู่รูปสัตว์กับการออกเสียงภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย การเล่นเกมจับคู่สัตว์บก สัตว์น้ำ ที่มีอุปกรณ์น่าสนใจอย่างดินจริงๆ และเจลสีฟ้าสวยใสที่ใช้สมมติแทนน้ำ เด็กๆ ก็แค่จับสัตว์ในถาดของตัวเองหย่อนใส่ลงไปให้ถูกที่ ว่าสัตว์ชนิดไหนเป็นสัตว์บก สัตว์ชนิดไหนเป็นสัตว์น้ำ เป็นการเรียนผ่านการเล่น หรือ Learning by Doing ที่ช่วยสร้างความเข้าใจ และการจดจำให้เด็กๆ ได้ดีทีเดียว
Bird Eye View เทคนิคลูกปัด ช่วยนับจำนวน
และเมื่อมาถึงชั้นอนุบาล 2 และอนุบาล 3 ก็ยิ่งแปลกใจที่เด็กๆ บางคน มีลูกปัดสีเหลืองๆ อยู่เต็มผ้าผืนเล็กตรงหน้า ที่ใช้เป็นที่ปูรองเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ในชั้นเรียน ลูกปัดสีเหลืองนั้นบ้างก็เป็นเส้น บ้างก็เป็นเป็นแผง บ้างก็เป็นลูกบาศก์ ลูกปัดสีเหลืองพวกนี้จะวางเรียงอยู่ตรงหน้าเด็กๆ ให้พวกเขาจับมันมาวางเรียงเป็นแถวเป็นแนว และจดอะไรขยุกขยิกลงไปในแผ่นกระดาษแบบฝึกหัดที่คุณครูให้มา "นี่เด็กๆ กำลังเรียนวิชาอะไรอยู่กันแน่น" แล้วคุณครูก็เฉลยให้ฟังว่า มันคืออุปกรณ์ที่มีชื่อว่า “Bird Eye View” ที่เอาไว้ใช้สอนการนับจำนวนเลขในวิชาคณิตศาสตร์นั่นเอง
เด็กๆ จะใช้ลูกปัดเหล่านี้ในการนับจำนวนตัวเลขหลักต่างๆ ตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักพัน โดยลูกปัดแบบเส้นแทนหลักสิบ แบบแผงแทนหลักร้อย แบบลูกบาศก์ก็แทนหลักพัน และเมื่อวางลูกปัดแบบต่างๆ ทั้งหมดเรียงกันไปตามจำนวนที่กำหนด เด็กๆ ก็จะอ่านจำนวนตัวเลขต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แม้เลขจำนวนหลักร้อยและหลักพันจะฟังดูยากเกินไปสำหรับเด็กอนุบาล แต่เด็กๆ ที่โรงเรียนไทยคริสเตียน สามารถนับจำนวนเยอะๆ ยากๆ เหล่านี้ได้อย่างสบายๆ แถมยังสามารถบอกจำนวนตัวเลขยากๆ นี้เป็นภาษาอังกฤษได้อีกด้วย เมื่อ Teacher ชี้จำนวนต่างๆ ให้อ่าน เด็กๆ ก็สามารถขานจำนวนตัวเลขเหล่านั้นออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างง่ายดาย และนี่คืออีกสิ่งที่น่าแปลกใจ
การเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ
หากลองนึกย้อนกลับไปสมัยตัวเองยังเรียนอยู่อนุบาล เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านก็คงเป็นเหมือนกัน คือ เรียนภาษาอังกฤษแบบท่องจำเท่านั้น ไม่สามารถพูดตอบโต้ หรือฟังประโยคภาษาอังกฤษเข้าใจได้ ทั้งยังไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษกับครูต่างชาติแบบเด็กสมัยนี้ด้วย และนี่คือความแตกต่างค่ะ
ความ แตกต่างของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบันกับสมัยก่อน ก็คือแนวคิดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบัน อย่างเช่น ที่สอนในโรงเรียนไทยคริสเตียนนั้น ใช้หลักคิด และวิธีการที่ว่า เมื่อคนเราต้องใช้ชีวิตให้อยู่รอดในท่ามกลางผู้คนที่พูดภาษาต่างกับเรา เราก็ต้องพยายามที่จะเรียนรู้และเข้าใจภาษานั้นให้มากขึ้นกว่าปกติ และในที่สุดเมื่อเราเริ่มปรับตัวได้ เราก็จะเริ่มพูดและฟังภาษานั้นๆ ได้เองโดยอัตโนมัติ
และด้วยเหตุนี้เด็กๆ ใน ชั้นอนุบาล 3 ที่กำลังขานตัวเลขตามที่ Teacher จิ้มให้อ่าน จึงสามารถพูดจาตอบโต้กับ Teacher ที่เป็นฝรั่ง native English ได้เป็นอย่างดี แถมยังออกเสียงสำเนียงได้ชัดเจนราวกับเป็นเจ้าของภาษาอีกด้วย หรือเด็กๆ ชั้นอนุบาล 1 ที่กำลังทำกิริยาอาการต่างๆ ตามที่ Teacher บอก เช่น เมื่อ Teacher บอกให้ “Point to the window” เด็กๆ ก็ทำตามโดยไม่มีลังเลสงสัยไม่เข้าใจในคำสั่งเลย เพราะภายในห้องเรียน เมื่อเป็นคิวการเรียนการสอนของTeacher แล้ว คุณครูไทยจะคอยดูแลอยู่ห่างๆ เท่านั้น ไม่ได้เข้าไปนำการสอน เด็กๆ จึงต้องสื่อสารกับ Teacher เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น และนั่นก็ทำให้เด็กๆ เข้าใจและใช้ภาษาอังกฤษได้ดีในที่สุด
นี่ถือว่าเป็นพัฒนาการอันน่าสนใจทีเดียว สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกๆ เก่งภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้สื่อสารกับชาวต่างชาติได้ดี
มอนเตสซอรี่สอนเด็กให้อยู่กับตัวเองเป็น และอยู่กับคนอื่นก็ได้
นักการศึกษาบางท่านอาจจะบอกว่า การเรียนแบบมอนเตสซอรี่นั้น ทำให้เด็กขาดการปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น เพราะเป็นการเรียนที่เน้นให้เด็กอยู่กับตัวเองมากเกินไป ให้เด็กนักทำอะไรอยู่เงียบๆ คนเดียวมากเกินไป ซึ่งจะมีผลทำให้เด็กขาดการทักษะในการอยู่ร่วมกับคนอื่น
แต่อาจารย์วิจิตรา พรหมบุตร ผู้อำนวยการโรงเรียนไทยคริสเตียนกลับเห็นต่างออกไป เพราะอาจารย์เห็นว่า การที่มอนเตสซอรี่มีกิจกรรมให้เด็กได้นั่งลงทำ ได้อยู่กับตัวเอง และใช้สมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า เป็นการฝึกให้เด็กๆ มีสมาธิ ได้คิดวิเคราะห์ และได้ค้นหาความคิดต่างๆ ในสมองของตัวเอง แต่เมื่อถึงเวลาที่เด็กๆ จะเล่นกับเพื่อน หรือไปทำกับกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ เขาก็สามารถหันหน้ามาหากัน หรือลุกไปหาเพื่อนๆ เองได้ โดยไม่ได้มีการปิดกั้นตัวเองจากคนอื่นแต่อย่างใด
ในห้องเรียนชั้นอนุบาล 1 – 3 นั้น จึงไม่ได้เงียบเหงา และมีแต่เด็กๆ นั่งก้มหน้าก้มตาทำแต่งานของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเสียงหัวเราะจากเด็กๆ ที่หันไปคุยกับเพื่อนๆ หรือเดินไป เดินมา เพื่อดูผลงานที่เพื่อนๆ ทำไปทั่วห้อง หรือบางครั้งเด็กๆ ต่างชวนกันหาอะไรเล่นสนุกไปตามประสาเด็กๆ
ฉะนั้นมอนเตสซอรี่ ไม่ได้แยกเด็กๆ ออกจากคนอื่นอย่างที่ใครๆ เข้าใจหรอก แต่มอนเตสซอรี่ช่วยสนับสนุนส่งเสริมให้แต่ละคนรู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น มากขึ้นต่างหาก
สวยไม่มีเปรียบ
ที่สำคัญหัวใจของการศึกษา และการดูแลนักเรียนที่โรงเรียนไทยคริสเตียน ยึดหลัก “สวยไม่มีเปรียบ” คือจะไม่มีการเปรียบเทียบเด็กนักเรียนกับเพื่อนๆ ไม่มีงานใครสวยกว่าใคร หรือใครเก่งกว่าใคร ใครสวยหล่อกว่าใคร แต่เด็กทุกคนเท่าเทียมกัน และทุกคนมีความสามารถมีความสนใจในเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นครูที่โรงเรียนไทยคริสเตียนจึงให้ความสำคัญกับนักเรียนทุกคนเท่า เทียมกันหมด และด้วยเหตุนี้ชั้นเรียนอนุบาลของโรงเรียนคริสเตียน จึงมีเด็กพิเศษมาเข้าเรียนด้วยในจำนวนที่มากกว่าโรงเรียนอื่นที่เคยเห็นมา และเด็กพิเศษเหล่านั้นก็ได้รับฝึกทักษะต่างๆ ในชีวิตประจำวัน จนสามารถทำกิจวัตรต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยมีครูพี่เลี้ยงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และนี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่สามารถอธิบายประโยคที่ครูทุกคนของโรงเรียนไทย คริสเตียนท่องไว้จนจำขึ้นใจว่า “สวยไม่มีเปรียบ” อันหมายถึง ทุกชีวิตล้วนงดงามเท่าเทียมกันหมด
โรงเรียนไทยคริสเตียน
ที่อยู่ : 1023/1 ซอยปรีดีพนมยงค์41 ถนนสุขุมวิท71
เขตวัฒนา แขวงคลองตัน กรุงเทพฯ 10110
Tel. : 02-713-0922-4
Fax : 02-391-5015
email: thaichristianschool@gmail.com