รศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ บอกไว้ว่า ทุเรียนซึ่งเป็นแหล่งที่มีโฟเลตมากที่สุด คนปกติสามารถรับประทานเพียง 2 เม็ด ก็จะเท่ากับ ร้อยละ 50 ของปริมาณที่แนะนำต่อวันแล้ว (ผู้จัดการออนไลน์) นั่นแปลว่าคนท้องต้องกินน้อยกว่าคนปกติทั่วไป คือ กินได้แค่ 1 พู ต่อวัน และไม่ควรกินบ่อย ๆ ติดต่อกันค่ะ เพราะทุเรียนเป็นผลไม้รสหวานจัดและมีฤทธิ์ร้อน จึงอาจทำให้เกิดภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ น้ำหนักเกินมาตรฐาน และอาการร้อนในขณะตั้งครรภ์ หากแม่ท้องกินทุเรียน ควรกินผลไม้ให้ความเย็นร่วมด้วย เช่น มังคุด ซึ่งต้องไม่ลืมว่าในช่วงที่ตั้งครรภ์ไม่ว่าจะกินอะไรต้องนึกถึงความปลอดภัยของทารกมาเป็นอันดับหนึ่งนะคะ
นักวิชาการโภชนาการชำนาญการพิเศษ (สธ.) บอกว่า แม้ทุเรียนจะมีสารอาหารมากมาย ทั้งโฟเลต วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร แต่ก็มีพวกกำมะถัน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำตาลในปริมาณมาก ทำให้เมื่อกินทุเรียนร่างกายจึงได้รับพลังงานสูง ช่วงอากาศร้อนเช่นนี้ การกินทุเรียนจึงเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวัง โดยเริ่มที่หากกินทุเรียนครึ่งเม็ดกลาง ร่างกายจะได้รับพลังงานประมาณ 200 กิโลแคลอรี เทียบกับกินข้าวยำปักษ์ใต้ 1 จาน หรือเท่ากับกินก๋วยเตี๋ยวปลาเส้นเล็กน้ำ 1 ชาม หรือเท่ากับข้าวราดแกงส้มผักรวม 1 จาน (ที่มา - ผู้จัดการออนไลน์)
ทุเรียนมีโฟเลตเยอะ กินทุเรียนแล้วลูกน้อยในครรภ์จะฉลาดจริงไหม? ไม่มีผลวิจัยยืนยันค่ะ แต่สารอาหารในทุเรียนก็จะเป็นต่อสมองของทารก โฟเลต ช่วยป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับระบบประสาทของทารกในครรภ์ และยังช่วยสร้างและพัฒนาเซลล์สมองของทารกได้ดี โดยเฉพาะในช่วง 12 สัปดาห์แรก และช่วยป้องกันทารกจากดาวน์ซินโดรม หลอดประสาทไม่ปิด โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ภาวะไม่มีเนื้อสมอง ภาวะไขสันหลังไม่เปิด โรคปากแหว่งเพดานโหว่ และแขนขาพิการแต่กำเนิดได้ค่ะ
โฟเลตดีต่อแม่ท้องและทารกในครรภ์ ซึ่งนอกจากทุเรียนแล้ว ในผักผลไม้ชนิดอื่น ๆ ก็มีค่ะ เช่น ขนุน ลิ้นจี่ กล้วยไข่ มะละกอ อะโวคาโด ฝรั่ง กระเจี๊ยบเขียว ถั่วแดง เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น
กินได้ค่ะ แต่ควรกินแต่พอดี คนปกติสุขภาพทั่วไปทานได้วันละ 2 พู ค่ะ แต่ในน้ำนมแม่จะมีกลิ่นทุเรียนซึ่งอาจทำให้ลูกไม่ยอมกินนมได้ค่ะ
ต้องอย่าลืมว่าทุเรียนมีไขมันและน้ำตาลสูงค่ะ หากกินนปริมาณที่มากจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน น้ำหนักตัวเพิ่มสูงทำให้เป็นโรคอ้วน โรคหัวใจและความดันโลหิตสูงได้ค่ะ อีกทั้งทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้ความร้อน ทำให้เป็นแผลร้อนในที่ปาก ที่ควรระวังอย่างมากก็คือ จะทำให้คุณแม่มีความดันโลหิตสูงจนทำให้เสี่ยงต่อการแท้งลูกได้