ความกังวลที่ไม่เคยล้าสมัยของคนเป็นพ่อแม่ ลูกวัย 0-6 ปีจะเป็นตุ๊ดเป็น
แต๋วกันได้แล้วหรือ คิดมากไปรึเปล่า อ.กิติกร มีทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กมา
เล่าแจ้งแถลงไขให้หายข้องใจกันแล้ว
พ่อแม่เป็นชายและหญิงคนแรกหรือคู่แรกที่เด็กได้รู้จัก และด้วยความใกล้ชิด
และสายเลือด เด็กๆ จะเลียนแบบและถ่ายแบบพ่อแม่มาเป็นตัวของเขาเอง เด็กๆ
จึงมีลีลาท่าทางคล้ายๆ พ่อแม่ โดยเฉพาะ "ความเป็นชาย" และ "ความเป็นหญิง"
แต่การเลียนแบบและถ่ายแบบของเด็กๆ เป็นเรื่องค่อนข้างซับซ้อนมาก ดังนั้นการ
เลียนแบบและถ่ายแบบอาจไม่ลงตัว ไม่เป็นชายสมชาย และหญิงสมหญิง แต่เกิดเป็น
"อีผู้ชาย" หรือ "ไอ้ผู้หญิง" ไปก็ได้ การเลียนแบบและถ่ายแบบ จึงเป็นเรื่องสำคัญ
คำว่า "เลียนแบบ" หมายถึง ทำลีลาท่าทางให้เหมือนแต่ภายนอก เช่น ยิ้ม
เลิกคิ้ว ผายมือ หรือกอดอก
แต่เมื่อพูดถึง "ถ่ายแบบ" ผมหมายถึง ความรู้สึกเหมือนภายใน เช่น
อารมณ์ ความรู้สึก หรือการให้คุณค่าต่างๆ ความชอบ และชังที่เด็กๆ เป็นแบบเดียว
กับพ่อแม่ของเขา
วัย 3 ขวบจุดเริ่มต้นที่น่าจับตามอง
ความสามารถในการเลียนแบบและถ่ายแบบพ่อแม่ มาเป็นของลูกหรือของ
เด็กๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่จะเข้มข้นมากในช่วงวัย 3 ขวบ ขอย้ำว่าโดย
ประมาณ 3 ขวบนะครับ
เด็กเล็กวัย 3 ขวบ เป็นช่วงที่เด็กเจริญเติบโตและพัฒนาการสมบูรณ์ ทั้งร่าง
กาย จิตใจ-อารมณ์ และสังคม เช่น กล้ามเนื้อใหญ่สมบูรณ์มากพอในการเคลื่อนไหว
เดินวิ่ง หยิบฉวย ความสามารถในการสื่อภาษาดีพอ เข้าใจคำสั่งและรู้จักใช้คำสั่ง
กับผู้อื่น และในทางสังคมรู้ได้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ใครเป็นพี่น้อง และใครคือปู่ย่า
ตายาย
ที่สำคัญคือ เด็กวัย 3 ขวบรู้ว่า ตัวเขากับแม่คือคนละคนกัน เขาคือเขาเอง
เอกก็คือเอก หรือ น้องนุ่นก็คือน้องนุ่น
ก่อนหน้านี้นักจิตวิทยายืนยันว่า เด็กกับแม่เป็นคนเดียวกัน หรือเด็กเป็นส่วนหนึ่งของแม่ แต่ในวัย 3 ขวบ เด็กจะเริ่มรู้ว่า เขาคือเขาเอง เมื่อเป็นตัวของตัวเองก็แสดงความชัดเจนมากขึ้น เช่น แสดง
ตนเป็นเจ้าของต่างๆ สังเกตได้จากคำพูดของเด็กๆ เช่น "นี่แม่ของหนูนะ"
หรือ "นั่นพ่อของฉัน" หรือ "ของเล่นของเราเอง" หรือ "นี่บ้านของน้องนุ่นเอง"
เป็นต้น
การสำรวจตนเองหาความแตกต่างระหว่างตัวเด็กๆ เองกับพ่อแม่ เป็น
เรื่องสำคัญมาก เป็นบทเริ่มต้นของการรู้จักจำแนกแยกแยะและเปรียบเทียบ เป็น
พัฒนาการทางปัญญาอย่างหนึ่ง เช่น เด็กรู้ว่าพ่อตัวสูง หัวโตกว่าแม่ แม่ผมยาวกว่า
ส่วนเขาตัวเล็กกว่า ยิ่งกว่านั้นเด็กชายรู้ว่าเขามีกระจู๋เหมือนพ่อ และต่างจากแม่
เกิดความสงสัยใคร่รู้เรื่องอวัยวะเพศ เริ่มจากการสัมผัสจับต้อง แอบดู และพูดถึง
ยิ่งครอบครัวใดเคร่งครัดถือเป็นเรื่อง "ต้องห้าม" หรือบัดสีบัดเถลิง เด็กก็ยิ่ง
จะท้าทายพูดถึงหรือไม่ก็ "เก็บกด" รุนแรงหรือ "เกลียดชัง" ไปเลย
หากพ่อแม่อธิบายความจริงง่ายๆ แก่เด็ก ด้วยความรู้สึกธรรมดา เด็กก็จะเติบ
โตและพัฒนาการเรื่องเพศโดยปกติ เมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่ คือ ไม่รู้สึกว่าเรื่องเพศ
เป็นธรรมชาติของมนุษย์และไม่มีรสนิยมทางเพศไปในทางเบี่ยงเบนแต่อย่างใด
ปมใจของหนูน้อยวัย 3 ขวบ
ข้อที่น่าสนใจ สังเกต ติดตามพัฒนาการของเด็กๆ วัยนี้ก็คือ เด็กๆ จะมีปมใจ
อะไรบางอย่าง นั่นคือ...
เด็กชายจะรักแม่มาก โดยพยายามแข่งกับพ่อเลียนแบบและถ่ายแบบพ่อ
เด็กหญิงจะรักพ่อมาก โดยพยายามแข่งกับแม่เลียนแบบและถ่ายแบบแม่
ปมใจนี้เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า ปมแอติปุส สำหรับเด็กชาย และ
ปมอีเล็คตร้า สำหรับเด็กหญิง
มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจไขว้เขวไปในทางอื่น และที่ตีความไปในทาง
สัปดนหรือบัดสีบัดเถลิงก็มีมากเหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว ปมใจ เป็นเรื่อง
ธรรมชาติของการเติบโตและพัฒนาการของเด็กเอง ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร
เด็กผู้ชายแข่งกับพ่อ ก็เพื่อจะรู้จักเลียนแบบและถ่ายแบบพ่อมาเป็นตัวของเขา
เอง เขาจะได้เป็นชายสมชายเหมือนพ่อ ไม่เป็น อีผู้ชาย ตุ๊ดแทน และเรียนรู้
บทบาทของตนได้ว่าเป็นบทบาทผู้ชายที่รักเชิงชู้สาวกับผู้หญิง ซึ่งเป็นพัฒนาการทางจิต
ใจและเพศที่เป็นปกติในวันข้างหน้า
เด็กหญิงแข่งกับแม่ก็เช่นเดียวกัน เด็กหญิงจะได้เป็นหญิงกับหญิงไม่เป็น
ไอ้ผู้ชาย หรือทอม แต่จะเป็นผู้หญิงที่รักใคร่ (เชิงชู้สาว) กับผู้ชายซึ่งเป็นพฤติกรรมปกติ
จึงขอย้ำว่า ปมใจ เป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นพัฒนาการของเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องบัดสีอะไรนะครับ
อะไรทำให้ปมใจไม่พัฒนา
ปมใจ จะไม่พัฒนาไป หากพ่อแม่ไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็กๆ ว่าเด็กจะ
ต้องมีปมใจเช่นนั้น เมื่อพ้นวัยก็หมดไปเอง พ่อแม่ที่ไม่เข้าใจก็จะดุ ตำหนิ หรือ
ลงโทษ อันทำให้เด็ก สมยอม คือเป็นชายนิ่มๆ-ตุ๊ด หรือหญิงพึ่งพิงสูง-ดี้ หรือ
ก้าวร้าว แบบเจ้าคิดเจ้าแค้น หรือเปิดเผย ต่อต้าน ดื้อด้าน หัวแข็งได้
ท่าทีของพ่อแม่กับลูกวัย 3 ขวบจึงเป็นเรื่องสำคัญ และในความเป็นจริง
พฤติกรรมของเด็กๆ วัยนี้ ยังมีเรื่องปลีกย่อยอีกหลายอย่างที่โน้มเอียงไปในเรื่อง
เพศ เช่น เล่นอวัยวะเพศ พูดถึงเพศอย่างสนุกสนาน แอบดู อยากรู้-อยากเห็น
มีคำถามเกี่ยวกับการเกิด การสืบพันธุ์ และการพูดคำหยาบอันพาดพิงถึงการร่วมเพศ
เรื่องนี้พ่อแม่ต้องหนักแน่นและเข้าใจให้ได้ว่า เป็นธรรมชาติของเด็กๆ
การอธิบายด้วยความรู้สึกธรรมดา ใช้คำพูดง่ายๆ อาจยกตัวอย่างจากภาพ หรือ
ตัวอย่างสัตว์เลี้ยงจะช่วยคลายความสงสัยใคร่รู้ของเด็กๆ ได้ และขอให้เข้าใจว่า
เด็กๆ มีขอบเขตความสนใจเรื่องเพศที่จำกัด ไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดมาก
และไม่ต้องกังวลใจว่าเมื่อเด็กรู้แล้วจะนำไปทดลองหรือมีความรู้สึกแก่แดดใดๆ เด็ก
ได้รับคำตอบไขข้อสงสัยของเขาก็แค่นั้น จบตรงนั้นเด็กๆ ยังมีข้อสงสัยอื่นๆ อีกมาก
ที่เขาสนใจและไม่ใช่เรื่องเพศ
"ปมใจ" ของเด็กๆ ทั้งปมแอติปุสและปมอีเล็คตร้า ก่อให้เกิดการเลียนแบบ
และถ่ายแบบเพื่อจะเป็นชายสมชาย และหญิงสมหญิง ไม่ใช่อะไรอื่นกรุณาอย่าตกใจ
นะครับ
ลูก 6 ปีแรกมีโอกาสเบี่ยงเบนทางเพศมั้ย
จริงๆ แล้วในทางจิตวิทยานั้น จะไม่วินิจฉัยเด็ก 0-6 ปี ว่ามีความเบี่ยงเบน
ทางเพศ (แต่จะทำในเด็กอายุ 10 ขวบขึ้นไป) เพราะถือว่าเด็กยังอยู่ในช่วง
พัฒนาการและการเจริญเติบโต ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกครึ่งปี พฤติกรรมบาง
อย่างที่พ่อแม่เห็นว่าอาจส่อว่าลูกเบี่ยงเบน ผ่านไปสักระยะหนึ่งจะหายไป ถ้าพ่อแม่
ให้เด็กพัฒนาการไปโดยปกติ เข้าใจ ปมใจ ของเด็กๆ ตามสมควร รู้ว่านั้นคือ
พัฒนาการอย่างหนึ่ง ปัจจัยก็อยู่ที่พ่อแม่นั่นแหละว่าจะเลี้ยงให้เขามี บทบาท
ตามที่สังคมกำหนดหรือไม่ พ่อแม่บางคนไว้จุก ทาแก้ม และนุ่งกระโปรงให้ลูกชาย
นั่นทำให้เขาไขว้เขวใน บทบาท ผู้ชายของสังคมได้
จะทำอย่างไร..ถ้า
* ลูกชายชอบแอบเปิดกระโปรงแม่
ทำใจดีๆ เข้าไว้ครับ และรู้ว่าเด็กไม่ได้สัปดน แต่อยากรู้อยากเห็นเรื่อง
เพศ อธิบายด้วยความรู้สึกปกติว่าผู้หญิงผู้ชายมีไม่เหมือนกัน โดยหาภาพที่ไม่ต้องมี
รายละเอียดมากประกอบ และก็ไม่ต้องอธิบายรายละเอียดมากด้วย ลูกต้องการรู้
ว่า แม่มีเหมือนตนหรือไม่ เมื่อได้รู้ว่ามีความแตกต่างกัน เพราะอะไร แกก็จะสบาย
ใจขึ้น คุณแม่ควรเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่า เป็นการกระทำที่ไม่ควรถ้าทำกับคนอื่นๆ
* ลูกชอบผัดหน้า ตาปาก แต่งตัวเลียนแบบแม่
ธรรมดามากครับ เขาเลียนแบบแม่เท่านั้นเอง ไม่นานจะรู้ว่าพ่อไม่ทำ เขา
ก็จะไม่ทำแบบพ่อ
* ลูกติดแม่มาก
ธรรมดาอีกเหมือนกันครับ แม่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ให้ความอบอุ่นสักระยะหนึ่ง จะ
คลายไปเอง เมื่อชัวร์ว่าแม่รักเขา ไม่ทิ้งเขา โดยเฉพาะเมื่อไปเรียนอนุบาล แต่
"แม่ติดลูก" ก็ต้องระวังเหมือนกันนะครับ
* ลูกชายไม่ชอบโลดโผน
แกคงเลียนแบบใครสักคน หรือมีเพื่อนเล่นเช่นนั้น พ่อแม่ไม่ต้องตกใจครับ
* ลูกบอกไม่ชอบพ่อ เพราะพ่อดุกว่าแม่
คุณพ่อคุณแม่ควรดีใจเพราะเด็กเก่ง จำแนกแยกแยะได้ว่าพ่อต่างกว่าแม่
เรื่องหลักอยู่ที่พ่อจะลดความดุให้น้อยลง เข้าตาลูกได้อย่างไร
* เด็กผู้ชายชอบค้อน
เลียนแบบชัดๆ เลย สะท้อนบรรยากาศและผู้คนในครอบครัวว่า "นิยมค้อน"
มากกว่าอย่างอื่น เรื่องนี้ผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างเต็มๆ จะบอกให้
* ลูกชาย 5 ขวบ เอาแต่วาดรูปผู้หญิง
ธรรมดาครับ ประทับใจก็เท่านั้นแหละ ลองทำดู "ถ้าวาดผู้ชายจะให้รางวัล"
ระวังจะหารางวัลไม่ไหว "ลูกชายไม่เจ้าชู้เหมือนพ่อทุกคนหรอกครับ"