"ความจริงสงสัยว่าลูกจะเป็นโรคนี้มาตั้งแต่เขายังเล็กๆ แล้ว เพราะรู้สึกว่าเขามีอาการแปลกๆ แต่ตอนนั้นเราไม่มีความรู้เรื่องโรคนี้ และไม่มีประสบการณ์เรื่องเด็กมาก่อน"คุณเต๋นั่งลงตรงหน้าและเปิดฉากสนทนาถึง ลูกชายคนโตวัย 3 ขวบ 10 เดือน ในสายวันหนึ่งขณะลมหนาวกำลังพัดโชย
วันเวลาของการเฝ้ามอง
คุณเต๋เล่าว่าแรกๆ เคยเกริ่นความสงสัยของเธอให้กับคุณหมอที่ดูแลลูกมาตั้งแต่แรกเกิดได้รับฟัง แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ลูกปกติดี อาจเป็นเพราะคุณหมอคนนั้นไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงก็เป็นได้ คุณเต๋เธอว่าอย่างนั้น แต่จากสายตาของคนเป็นแม่ที่เฝ้าสังเกตลูกอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความสงสัยหลายอย่างไม่สิ้นสุดลงตามคำวินิจฉัยของคุณหมอ ยิ่งเมื่อไปหาตำรับตำรามาอ่าน ก็ยิ่งละม้ายคล้ายอาการของลูกชายมากขึ้นทุกที แต่จนแล้วจนรอดคุณเต๋ก็ไม่ได้พาลูกไปตรวจ
ความผิดปกติของลูกชายยังคงปรากฏชัดขึ้นๆ คุณเต๋รู้สึกแปลกใจที่ลูกไม่กลัวความเจ็บปวด เจ้าตัวเล็กเพียงสะดุ้งเฮือกเล็กๆ ยามเมื่อเข็มเรียวแหลมทิ่มแทงเข้าไปในเนื้ออ่อนๆ เวลาถูกคุณหมอฉีดยา แต่เจ้าลูกชายกลับไม่ร้องไห้จ้าเหมือนเด็กน้อยคนอื่นๆ
เมื่อถึงวัยหย่านมตอนอายุได้ 6 เดือน คุณเต๋จำได้แม่นว่าลูกตัวจ้อยของเธอชอบผลักอกแม่ออกห่าง ไม่ยอมเข้ามาซุกไซ้ ไม่เคยแม้แต่จะอ้อยอิ่งใช้เวลาสองต่อสองกับแม่เวลาเข้านอน แต่กลับเลือกที่จะพลิกหนังสือดูหน้าแล้วหน้าเล่า พร้อมกับหัวเราะคิกคักราวกับรู้ทุกถ้อยกระทงความตามตัวอักษร แล้วสักหน่อยก็ผลอยหลับไปเอง แม่คนนี้ในสายตาของลูกชายจอมซน คงไม่ต่างอะไรกับตู้หรือเตียงในห้อง แต่ตอนนั้นคุณแม่มือใหม่อย่างคุณเต๋กลับมองว่าธรรมชาติของลูกเธอคงเป็นแบบ นั้น
"ก็นึกไปว่าคงเป็นบุคลิกภาพเฉพาะตัวของลูก ลูกคงถึงวัยไขว่คว้าอิสรภาพ เราถึงเป็นเหมือนคนนอกสำหรับเขา" เธอคิดไปเองตามประสา
พ่อลูกชายยังคงแสดงอาการผิดสังเกตอย่างต่อเนื่อง เมื่อเข้าวัยอ้อแอ้ ลูกชายคนดีของแม่เต๋เริ่มอ้อแอ้ในขวบปีแรกไล่เลี่ยกับเด็กทั่วไป แต่คำแรกที่พูดได้ไม่ใช่คำว่า "แม่" หรือ "พ่อ" เหมือนอย่างลูกคนอื่นเขา แต่เป็นคำที่ไม่ว่าใครในโลกนี้ก็คงไม่ล่วงรู้ถึงความหมาย เพราะมันคือคำว่า "กับ ปา กับ ปา ก๊า" ซึ่งคุณเต๋มาเดาทีหลังว่าคงหมายถึง "ขอบคุณครับ" จากคำแรกคำนั้นของลูก อีกนานโขกว่าคำถัดมาจะหลุดออกจากปากน้อยๆ
ลูกชายคนนี้ไม่รับรู้ว่า ใครคือคนแปลกหน้า ใครคือคนพิเศษสำหรับเขา แม่ก็คือคนๆ หนึ่ง พ่อก็คือคนๆ หนึ่ง ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น เขาแยกไม่ออกว่านี่คือแมว นั่นคือหมา อะไรที่มีสี่ขาสำหรับลูกชายสุดสวาทคนนี้เรียกว่า "แมว" ทั้งนั้น เพราะความที่คุ้นเคยกับสัตว์หน้าขนชนิดนี้ที่พ่อกับ แม่เลี้ยงไว้ในบ้านเป็นสิบๆ ตัว และก็อีกเช่นกัน อะไรที่บินบนท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นผึ้ง ผีเสื้อ หรือแม้แต่เครื่องบิน พจนานุกรมในโลกส่วนตัวของเด็กผู้ชายคนนี้แทนด้วยคำว่า "นก"เพียงคำเดียวเท่านั้น
ผ่านพ้นถึงวัยเล่นซน เจ้าตัวเล็กของคุณเต๋เล่นอะไรไม่เหมือนใคร วิธีเล่นต้องพลิกแพลง แท่งไม้บล็อกที่คนอื่นต่อแนวขวาง พ่อเจ้าประคุณจะต่อแนวตั้งอย่างที่พ่อต่อ ผู้ใหญ่อย่างพ่ออาจทำได้ แต่กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่อย่างของหนูน้อย ความจริงแล้วเป็นเรื่องยากแสนยาก แต่ลูกคุณเต๋คนนี้จะทำให้ได้ และต้อง..ทำให้ได้
แต่ที่เด็กน้อยชื่นชอบเป็นพิเศษคือการทำอะไรซ้ำๆ คุณแม่วัย 37 เจ้าของท่วงท่าทะมัดทะแมงรายนี้เล่าให้ฟังต่อว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งลูกชายของเธอเห็นกิจวัตรอย่างหนึ่งที่แม่ทำเป็นประจำ นั่นคือการไขกุญแจบ้าน เจ้าหนูก็เลยโปรดปรานการไขกุญแจเหลือเกิน ไขแล้วล็อค ล็อคแล้วไข..ลูกจ๋าชอบนักใช่ไหม ไขกุญแจเนี่ย..ว่าแล้วแม่คนนี้ก็รีบไปซื้อกุญแจอันจิ๋วให้ลูกไขเล่น อนิจจา..ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นั่นกลับยิ่งกระตุ้นพฤติกรรมการทำซ้ำของลูก
เข้าสู่วัยเรียนรู้โลกกว้าง ครั้งหนึ่งคุณเต๋พาลูกชายไปเที่ยวเขาดิน ลูกไม่รู้หรอกว่าถุงน้ำในมือคนอื่น ก็ต้องแปลว่าเป็นของคนอื่น แต่ความกระหายเจ้ากรรม ทำให้ลูกชายของเธอฉวยถุงน้ำของคนที่เดินผ่านไปมา แล้วดูดจ๊วบๆ หน้าตาเฉยเสียตั้งเกือบหมดถุง หรือเวลาไปกินสุกี้ ก็เล่นชะโงกหน้าข้ามพนักเก้าอี้ไปเสียชิดโต๊ะข้างๆ อย่างกับจะสังเกตการณ์ทุกซอกทุกมุม
แต่ที่ทำให้ความสงสัยต่างๆ ของคุณเต๋ทบทวีมากยิ่งขึ้น ก็เมื่อลูกชายคนเล็กวัยขวบครึ่ง เริ่มแสดงพัฒนาการด้านต่างๆ ให้พ่อกับแม่ได้เปรียบเทียบลูกชายคนโต และทั้งคู่ก็ได้บทสรุปที่แทบไม่มีข้อโต้แย้งว่า ลูกชายทั้งสองคนมีพัฒนาการต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการพูด เจ้าคนโต 2 ขวบกว่าแล้วยังพูดกับพ่อและแม่แทบไม่ได้สักคำ ผิดกับเจ้าคนเล็กที่เริ่มอ้อแอ้และรู้ความ แม้วัยจะต่างจากพี่ชายถึง 2 ปี 4 เดือน
ถึงเวลาต้องยอมรับความจริง
มาถึงตรงนี้คุณเต๋บอกว่า เธอเริ่มคุยกับคุณเจี๊ยบผู้เป็นสามีมากขึ้น แต่ก็ยังไม่พาลูกไปหาหมอ จนในที่สุดลูกชายคนโตเกิดอาการท้องร่วงอย่างแรง คุณหมอคนใหม่ที่ให้การรักษานึกแปลกใจในอาการของคนไข้ตัวน้อย จึงแนะนำให้คุณเต๋กับสามีพาลูกไปตรวจกับคุณหมอจิตเวชอย่างจริงจัง
เมื่อคำแนะนำของคุณหมอคนล่าสุด สะกิดใจโครมเบ้อเริ่ม คุณเต๋และคุณเจี๊ยบรุดพาลูกไปพบคุณหมอด้านจิตเวช สุดท้ายได้คำตอบให้กับความสงสัยที่มีมา 3 ปีเต็มว่า ลูกชายคนหัวปีเข้าข่ายเป็นโรคออทิสซึม ซึ่งนับว่าโชคยังดีที่มีอาการในระดับที่ไม่รุนแรง แต่ปัญหาน่าหนักใจคือการพูด ซึ่งคุณหมอบอกว่า อาการที่ไม่รุนแรงนี้ อาจจะเป็นอันตรายมากกว่าเสียอีก เพราะสังเกตเห็นได้ยาก และเมื่อมารู้ตัวทีหลังก็อาจจะสายไปเสียแล้ว