พ่อ แม่ทุกคนมีความคาดหวังในตัวลูก บางคนสามารถบอกได้ชัดเจนว่าคาดหวังอย่างไร และปฏิบัติตามนั้น เช่น คาดหวังให้ลูกเรียนเก่ง พ่อแม่ก็จะพาลูกไปตระเวณเรียนพิเศษจนไม่มีเวลาพักผ่อน พ่อแม่บางคนไม่เคยรู้ความคาดหวังของตนเอง แต่พอจะคาดเอาได้จากการปฏิบัติ เช่น ให้ลูกซ้อมว่ายน้ำทุกวันๆ ละ 4 ชม. ไม่สนใจว่าลูกจะเหนื่อยเพียงใด นี่คงคาดหวังให้ลูกเป็นนักกีฬาว่ายน้ำแน่ๆ แม้จะไม่พูดออกมาชัดๆ ก็ตาม
เริ่มมาแบบนี้ หลายคนคงคิดว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการที่พ่อแม่คาดหวังลูก ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ตรงข้าม ผมกลับคิดว่าการคาดหวังในตัวลูกเป็นสิ่งดี มีพ่อแม่หลายคนที่ไม่คาดหวังในตัวลูกเลย ปล่อยให้เติบโตไปตามยถากรรม ให้น้ำให้อาหารเท่านั้นเป็นพอ เด็กเติบโตได้ครับ แต่จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดแรงจูงใจ ไม่มีชีวิตชีวา และไร้พลัง
แต่หากพ่อแม่คาดหวังมากเกินไปล่ะจะเกิดอะไรขึ้น..น้องแป้งเด็กหญิงวัย 7 ปี น่าจะเป็นตัวอย่างได้ดี
แป้ง มาพบผมพร้อมคุณแม่ ด้วยปัญหาปวดท้องเรื้อรังมาประมาณ 1 ปี ก่อนหน้านี้เคยตรวจกับกุมารแพทย์หลายคน ส่วนใหญ่แพทย์บอกเป็นโรคกระเพาะ ครั้งหลังสุดแพทย์เห็นว่าแป้งมีอาการปวดรุนแรงขึ้น จึงตรวจโดยวิธีพิเศษ ทั้งอัลตร้าซาวดน์ และส่องกล้องดูทางเดินอาหาร แพทย์บอกไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงแนะนำให้พบจิตแพทย์เด็ก ซึ่งแม่ก็เห็นดีด้วย แต่พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ครั้งแรกแป้งจึงมากับคุณแม่ตามลำพัง
แป้งเป็นเด็กเรียบร้อย ค่อนข้างผอม นั่งตัวตรง ร่วมมือพูดคุยดี แต่มีแววกังวลเจือปนเป็นระยะ
แป้ง เล่าถึงอาการปวดท้องโดยละเอียด และพอจะเชื่อมโยงกับความกังวลต่างๆ ที่อาจเป็นสาเหตุได้ การเรียนดูจะเป็นประเด็นที่เธอกังวลมากที่สุด แป้งอยากเรียนดี เพราะรู้ว่าพ่อแม่จะชื่นชมและดีใจ แป้งประเมินตนเองว่ายังเรียนไม่ดีนัก แม้จะได้เกรด 3 หมดทุกวิชาก็ตาม อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแล้วทำผิดพลาดไป แป้งจะยอมไม่ได้ วันก่อนลืมเอาสมุดการบ้านกลับมาจากโรงเรียน นึกได้ตอน 5 โมงเย็น แป้งจะบ่นและวิตกกังวลมาก พ่อแม่จะอธิบายและหาทางออกอื่น เธอก็ไม่ยอม จนพ่อต้องขับรถกลับไปโรงเรียนและขอร้องให้ยามประจำโรงเรียนเปิดประตูตึกให้ แป้งขึ้นไปเอาสมุดที่ห้องเรียน พ่อแม่คิดว่าคุ้มค่ากว่าถ้าแก้ปัญหาแบบนี้ เพราะไม่งั้นแป้งอาจนอนไม่หลับและปวดท้องหนักขึ้น เคยเกิดเหตุคล้ายเช่นนี้ ตื่นเช้ามาแป้งจะปวดท้องมาก ร้องไห้ และไม่ยอมไปโรงเรียน กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้พ่อแม่จัดการ
พูดถึงเพื่อน แป้งจะมีเพื่อนสนิทน้อย จะเล่นเฉพาะกับคนที่มาชวนเล่น แป้งพูดกับเพื่อนไม่เก่ง จริงๆ แล้วแป้งอยากมีเพื่อนเยอะ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร กลัวชวนเพื่อนคุยหรือทำโน่นทำนี่แล้วเพื่อนปฏิเสธ จะหน้าแตกเปล่าๆ แต่ยังโชคดีที่แป้งยังมีเพื่อนสนิทอยู่ 1 คนคือ ปู
ปู เป็นเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันตอนป.1 เมื่อย้ายขึ้นป.2 ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ตอนพักเที่ยงหรือตอนเย็นแป้งจะคอยชะเง้อหาปูอยู่เสมอ และปูก็มักชวนแป้งเล่นหรือเดินไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ตอนนี้แป้งเริ่มกังวลมากขึ้น เพราะพักหลังนี้ปูเริ่มสนิทกับเพื่อนห้องเดียวกัน บางวันปูก็ไม่มาหาแป้ง แป้งคงยังอยู่ในโรงเรียนอย่างโดดเดี่ยว "แย่จังเลย" แป้งคิด
แป้ง มีน้องชาย 1 คนชื่อ ปาน อายุ 2 ปีครึ่ง แป้งรักน้องอยากเล่นกับน้อง แต่น้องเล่นไม่เป็น ชอบทำข้าวของเสียหายเป็นประจำ พักหลังแป้งหงุดหงิดมากขึ้น บางครั้งก็ตีน้อง แม่มักกล่าวหาว่าแป้งไม่รักน้อง แป้งเสียใจ น้อยใจ ใช่สิ แม่รักน้องมากกว่านี้ เข้าข้างแต่ลูกชาย แป้งคิดในใจ
แป้ง มีกิจกรรมพิเศษที่ทำได้ดีคือ เล่นเปียโน แป้งจะซ้อมทุกวันๆ ละครึ่งชั่วโมง แป้งเรียนเปียโนมา 1 ปีเต็ม ตามที่พ่อแนะนำ พ่อชอบฟังแป้งเล่นเปียโน แป้งรู้ว่าแป้งทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อจะมีความสุขและพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แป้งสัญญากับตัวเองว่าแป้งจะพยายามทำเช่นนั้นเพื่อพ่อ เพราะพ่อรักแป้ง และแป้งก็รักพ่อ ญาติๆ หลายคนพูดกันว่าแป้งลูกพ่อ ส่วนปานลูกแม่ บางครั้งแป้งก็รู้สึกพอใจกับคำพูดนั้น แต่บางครั้งแป้งก็อยากให้เป็น "แป้งลูกพ่อและแม่" มากกว่า แม้แป้งจะรักพ่อมากกว่าแม่นิดนึงก็ตาม
วัน หนึ่ง แป้งซ้อมเปียโนเหมือนเคย พ่อนั่งฟังพร้อมอ่านหนังสือไปด้วย เมื่อแต่ละเพลงจบพ่อจะขานคะแนน คะแนนที่ได้อยู่ระหว่าง 5-7 เต็ม 10 แม้แป้งจะพยายามมากขึ้นก็ไม่เคยเกิน 7 แป้งเหงื่อออก มือเกร็ง และระเบิดน้ำตานองหน้า ตัวสั่น ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปาก ยกเว้นเสียงร้องไห้ พ่อตกใจมากเข้ามากอดและปลอบโยน แป้งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร รู้แต่ว่าสับสน ทำอะไรไม่ถูก เสียใจ น้อยใจมาก พ่อขอโทษ ดูพ่อเสียใจไม่น้อยเช่นกัน พ่อบอกว่าพ่อมัวแต่อ่านหนังสือ ไม่ทันมองว่าลูกพยายามมากและเหนื่อยมากแล้ว จนถึงวันนี้แป้งเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อทำอะไรผิดถึงต้องขอโทษแป้ง แป้งเสียอีกเล่นเปียโนไม่ดีเอง ไม่เก่งพอ ไม่รู้จักอดทน แป้งควรจะขอโทษพ่อมากกว่า
เมื่อผมสมมติเหตุการณ์ หากมีนางฟ้าให้พรวิเศษ 3 ประการ แป้งจะขออะไรบ้าง แป้งหยุดคิดสักครู่และตอบว่า
1.ขอให้หนูเรียนเก่ง
2.ขอให้หนูเล่นเปียโนเก่ง
3.ขอให้ครอบครัวหนูมีความสุข
เรื่อง ของแป้ง พอสรุปได้ว่าแป้งพยายามไปให้ถึงความคาดหวังของพ่อแม่ในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเรียนและการเล่นเปียโน เธอรู้สึกไม่พอใจกับผลงาน จริงๆ แล้วเธอพอจะรับรู้ได้ว่าพ่อแม่ยังไม่พอใจมากกว่า ซึ่งตอนนี้ความไม่พอใจของทั้งตัวเธอเองและพ่อแม่ทำให้เริ่มมีผลกระทบกับจิต ใจในหลายแง่มุม แป้งเริ่มขาดความเชื่อมั่น ขาดความยืดหยุ่น อารมณ์หวั่นไหวง่าย กังวลมากในหลายๆ เรื่อง และมากพอที่จะนำไปสู่อาการปวดท้องเรื้อรัง
ผมต้องทำความเข้าใจกับความคาดหวังของพ่อแม่ และพ่อแม่เองก็ควรจะเข้าใจและค่อยๆ ปรับให้เหมาะสม
แม่ เล่าถึงช่วงแรกของการมีชีวิตครอบครัว แม่ต้องมาอยู่กับครอบครัวพ่อ ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ แม่ต้องปรับตัวมากเพราะย่าของแป้งไม่ชอบแม่ หลังแต่งงานได้ 2 ปี แม่ก็คลอดแป้ง แม่ต้องลาออกจากงานเพื่อเลี้ยงลูก
เล็กๆ แป้งเป็นเด็กเลี้ยงยาก แม่เครียดมากเพราะไม่มีคนช่วยเลี้ยง ย่าเองก็จะคอยต่อว่าและทับถมในเชิงแม่เลี้ยงลูกไม่เป็น แม่พยายามปรับการเลี้ยงดูในประเด็นต่างๆ อยู่ตลอด หนังสือตำราการเลี้ยงลูกหลากหลายเป็นเพื่อนคู่คิดของแม่ แต่บางครั้งเพื่อนเหล่านั้นก็สร้างความสับสนให้แม่ไม่น้อยเพราะพูดไม่ตรงกัน
เมื่อ ลูกอายุ 2-3 ปี แม่เริ่มหงุดหงิดมากขึ้น พ่อเองก็ต้องทำงานหนัก ไม่ค่อยได้รับรู้ปัญหาและปลอบโยนแม่ แม่เคยระเบิดอารมณ์และตีแป้งรุนแรง 1 ครั้ง แป้งตกใจกลัวร้องไห้นานมาก
เล่าถึง ตอนนี้แม่เริ่มน้ำตาไหล "วันนั้นดิฉันได้คิดค่ะคุณหมอ ทำไมเราต้องทำร้ายลูก ทำไมต้องมาลงที่ลูก ดิฉันจะปรับตัวใหม่ จะเป็นแม่ที่ดี จะต้องเลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่ง จะต้องเลี้ยงลูกให้ดีให้ได้"
หลัง จากแป้งอายุ 3 ปี พ่อแม่และแป้งออกจากครอบครัวใหญ่มาอยู่ตามลำพัง แม่กังวลน้อยลง แต่ปณิธานคงเดิม และเริ่มปฏิบัติเป็นรูปธรรมมากขึ้น คือหาโรงเรียนอนุบาลแนวเขียนอ่านให้ลูก ทุกเย็นแม่จะทบทวนการบ้านให้ลูก และทำแบบฝึกหัดต่างๆ มาให้ลูกทำสม่ำเสมอ แป้งในวัย 3-5 ปี เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่มักปรับตัวกับสถานการณ์และคนใหม่ๆ ได้ยาก
สำหรับ พ่อ แม้พ่อจะมีเวลาให้ลูกน้อย แต่อย่างน้อยทุกวันอาทิตย์พ่อจะอยู่กับลูก เล่นสนุกกับลูก พ่อดูจะเล่นกับลูกได้ดีกว่าแม่ พ่อชอบฟังเพลง แต่เล่นดนตรีไม่เป็น พ่อเคยบอกว่าสมัยเด็กๆ เคยอยากเรียนเปียโน แต่ย่าไม่ยอม เมื่อพ่อมีลูกและมีความสามารถเกื้อหนุนได้จึงส่งเสริมและเคี่ยวเข็ญเต็มที่
ทั้งพ่อและแม่มีความคาดหวังที่มาจากต้นตอต่างกัน แม่คาดหวังให้ลูกเรียนเก่ง เพราะคิดว่าการเรียนเก่งของลูกสะท้อนถึงการเป็นแม่ที่ดี ซึ่งแม่ยังไม่แน่ใจและรู้สึกผิดอยู่ แม่จึงพยายามพิสูจน์ ส่วนพ่อคาดหวังให้ลูกเก่งเปียโน เพื่อเติมเต็มหรือเป็นตัวแทนในสิ่งที่ตนใฝ่ฝันแต่ทำไม่ได้
ความคาดหวังของพ่อแม่เป็นสิ่งที่ดี ผมขอย้ำ..พ่อแม่ควรคาดหวังในตัวลูก แต่ควรเป็นความคาดหวังที่เป็นไปได้ อยู่ในโลกของความจริง และไม่ได้เป็นไปเพื่อแก้ไขความขัดแย้งในใจของพ่อแม่ เป็นหน้าเป็นตาของพ่อแม่ ตามคำนิยมของสังคมหรือเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของพ่อแม่
ไม่แปลกเลยที่พ่อแม่จะคาดหวังให้ลูกเก่ง แต่ควรเก่งตามศักยภาพของเขา เด็กแต่ละคนศักยภาพต่างกันและความเก่งมีหลายด้าน
ไม่แปลกเลยที่พ่อแม่จะคาดหวังให้ลูกเป็นคนดี แต่พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี คอยชี้แนะ สร้างวินัย และชื่นชมเมื่อเขาทำดี แต่จะแปลกมาก หากพ่อแม่ลืมคาดหวังความสุขในตัวลูก เพราะไม่ว่าคุณจะคาดหวังอะไรก็ตาม หากปราศจากความสุขเป็นพื้นฐานแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะไม่มีทางสำเร็จเลย