ช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ เป็นช่วงที่สมองของเด็กมีการเติบโตมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ หากพ่อแม่สร้างสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ให้เหมาะสม สมองของเขาก็จะเติบโตและพัฒนาได้อย่างเต็มที่
ช่วงนี้มีเวลาเล่นกับลูกเยอะ มาเน้น 20 กิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาสมองได้กันเลยค่ะ
1. ดูแลเรื่องอาหารการกิน เด็กควรได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ และ “อย่าให้ลูกกินหวาน” โดยเฉพาะรสหวานที่มาจากน้ำตาล ควรทานรสหวานที่มาจากผลไม้ ผัก หรือธัญพืช ดีกว่า ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการของสมองด้วย
2. เวลาอาหารของลูก อย่าทำให้เป็นเวลาแห่งความทุกข์ หรือเป็นการบังคับขู่เข็ญ เพราะจะทำให้เขาปฏิเสธอาหาร ซึ่งจะมีผลเสียต่อพัฒนาการของสมอง ต้องทำให้ลูกรู้สึกว่าเวลาอาหารคือเวลาแห่งความสุข
3. พูดคุยเล่นกับลูก แม้เขาจะยังพูดไม่ได้ เสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ของพ่อแม่จะกระตุ้นประสาทการได้ยิน ท่าทางประกอบคำพูดจะบ่งบอกความหมายของคำพูด มันคือจุดเริ่มต้นของการรู้ภาษา รวมทั้งความสามารถในการสื่อสาร
4. เล่นกับลูกบ่อย ๆ เช่น จับปูดำขยำปูนา ตบแผะ จ้ำจี้ ฯลฯ การเล่นเช่นนี้ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวมือ ขา ร่างกาย ส่งผลต่อพัฒนาการของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
5. ฝึกอ่านใจลูก พ่อแม่ หรือคนเลี้ยงดู ควรตอบสนองต่อความต้องการของเด็กให้ถูก การชี้นิ้วมือแบบนี้หมายถึงอะไร เสียงแบบนี้เขาต้องการอะไร การตอบสนองตรงกับความต้องการจะทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีค่า สิ่งนี้ช่วยพัฒนาสมองส่วนอารมณ์และความรู้สึกของเขาให้มีความสมบูรณ์
6. ใช้หนังสือภาพ หมั่นชวนลูกดูหนังสือภาพ เพราะนอกจากจะช่วยกระตุ้นสายตาและการมองแล้ว ยังช่วยให้เขาได้เรียนรู้ภาษา เรียนรู้สิ่งรอบตัวผ่านหนังสือภาพได้อีก
7. เล่านิทานให้ลูกฟัง จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของภาษาและการสื่อสาร กระตุ้นการคิด จินตนาการ สมาธิ และที่สำคัญทำให้เขารู้ว่าเรารักเขา ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย อบอุ่น
8. ร้องเพลงกล่อมลูก เสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ แถมมีจังหวะด้วยช่วยกระตุ้นสมองได้ดี พัฒนาการของภาษา สมาธิ การคิด ความจำจะถูกกระตุ้นจากเสียงเพลง ข้อสำคัญยังตอกย้ำว่าเรารักเขา
9. หาของเล่นที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ของเล่นที่ช่วยพัฒนาความคิด จินตนาการ ฝึกความอดทน ฝึกการแก้ปัญหามาให้ลูกเล่น ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพงหรือมีกลไกซับซ้อน ขอเพียงช่วยสร้างสิ่งที่กล่าวไว้ให้ลูกเราได้ก็พอ
10. การโอบกอด สัมผัส ลูบผม หอมแก้ม ดูเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ช่วยกระตุ้นการหลั่ง Nerve Growth Factor ซึ่งจะไปกระตุ้นสมองให้มีพัฒนาการและเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ข้อสำคัญคือส่งสัญญาณให้เขารับรู้ว่าเรารักเขา
11. เวลาลูกร้อง ตอบสนองให้ไว เพราะเด็กทุกคนต้องการความปลอดภัย เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองปลอดภัย สมองของเขาก็จะพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัย สมองจะพัฒนาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหนีภัยเท่านั้น
12. การนวดตัว เวลาที่เด็กเครียดช่วยให้เด็กผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี เวลาเขาไม่สบาย เวลาที่เขาเสียใจ ลองช่วยนวดก็น่าจะดี อย่าลืมว่าเวลาเด็กเครียดสมองของเขาจะไม่พัฒนา
13. สร้างสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ปลอดภัย เพื่อให้เขาได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างอิสระ โดยที่เราไม่ต้องกังวล หรือต้องคอยห้ามปราม สมองของเด็กเติบโตเพราะการได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ปลั๊กไฟ ของมีคม ของที่จะทำให้เกิดอันตราย ต้องแยกออกไป
14. ทำความเข้าใจพื้นอารมณ์ของลูก เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนขี้โมโห บางคนขี้อาย บางคนกล้าที่จะแสดงออก ยอมรับความเป็นตัวเขาแล้วค่อยๆ พาเขาพัฒนาตนเองไปสู่สิ่งที่ทุกคนยอมรับ การฝืนและบังคับให้เป็นไปตามที่เราต้องการทันทีจะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ และไม่สามารถที่จะเรียนรู้สิ่งที่เราอยากให้เป็นได้
15. มีความคงเส้นคงวา ตอบสนองต่อเด็กอย่างชัดเจนในทัศนะท่าทีแบบเดิมต่อพฤติกรรมแบบเดิมของเด็ก ความคงเส้นคงวาของเราจะทำให้เด็กสามารถคาดการณ์สิ่งต่างๆ ได้อย่างไม่สับสน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเรียนรู้ของเขา
16. “จับถูก” อย่า “จับผิด” เพราะมนุษย์พัฒนาได้ดีจากจุดแข็ง ให้รางวัลในสิ่งที่เขาทำได้และเราอยากให้ทำและต้องไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขายังทำไม่ได้
17. เป็นต้นแบบที่ดี ในการแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้ลูกเห็น และในจังหวะที่เหมาะที่ควร การสอนให้ลูกรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสอนได้ด้วยการทำให้เห็น ไม่ใช่สอนด้วยคำพูด
18. ให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ เช่น เล่นกองทราย เล่นน้ำ (เวลาอาบน้ำ) เพราะช่วยบ่มเพาะสมองส่วนจินตนาการ
19. ทำตัวของเราให้สนุกไปกับกิจกรรมของลูก
เพราะการช่วยบอกเขาว่า “เรื่องของหนู น่าสนใจจริงๆ” ทำให้เขาเกิดความมั่นใจ ซึ่งจะเป็นแรงเสริมต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก
20. ทำทุกอย่างด้วยความรัก
ที่ว่ามาทั้งหมดด้วยความรัก และความเข้าใจในตัวเขา อย่าเอาลูกไปเทียบกับคนโน้นคนนี้ เพราะเขาก็คือเขา ไม่มีทางที่จะเหมือนคนอื่นไปทั้งหมด
ทั้งหมดนี้ หวังว่าคงช่วยให้พ่อแม่เกิดความสบายใจว่าการพัฒนาสมองลูก การช่วยให้สมองของลูกมีความสดใสกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลานั้น ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงเราเข้าใจหลักธรรมชาติ ของสมองเท่านั้นเองค่ะ