การเตรียมความพร้อม เมื่อลูกเป็นออทิสติก
พ่อแม่รังแกลูกออทิสติก
ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กออทิสติกก็แย่พอแล้ว ยิ่งพ่อแม่ไม่เข้าใจ เลี้ยงดูไม่ถูกต้อง ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ถ้าจะถามพ่อแม่ทุกคนว่ารักลูกของคุณหรือไม่ แน่นอนทุกคนตอบว่ารัก และไม่ใช่รักแบบธรรมดาด้วย แต่เป็นรักมาก และเจ้าความรักที่คุณมีต่อลูกนี้บางทีก็เป็นเหมือนอีกคมดาบที่ย้อนมาทำร้าย ลูกของคุณ เพราะความรักอย่างเดียวนั้นยังไม่พอที่จะทำให้ลูกๆ ของคุณเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงดีทั้งกายและใจ หรือมีพัฒนาการที่ดี ความเข้าใจของพ่อแม่ว่าการเลี้ยงดูที่ดีที่เหมาะสมเป็นอย่างไรก็เป็นอีก ปัจจัยหนึ่งที่ลูกของคุณต้องการ
ถ้าถามว่า แล้วที่เรียกว่าการเลี้ยงดูที่ดีน่ะ อย่างไหนถึงจะเรียกว่าดี พ่อแม่ควรจะปฏิบัติต่อลูกอย่างไรบ้าง เราลองมาดูการเลี้ยงลูกหลายๆ แบบของพ่อแม่กันค่ะ
พ่อแม่บางคนเห็นว่าลูกของตัว เองเลี้ยงง่าย ไม่ร้อง ไม่งอแง ไม่อ้อน ไม่กวน ไม่เรื่องมากจับให้อยู่ตรงไหนก็อยู่ พ่อแม่ก็จะปล่อย ถึงเวลากินก็ป้อนนมป้อนข้าว ถึงเวลาอาบน้ำก็อาบน้ำเด็กก็เล่นได้คนเดียวโดยไม่กวนคนอื่น เปิดทีวีให้ดูก็อยู่ได้ทั้งวันไม่ร้องกวนอย่างเด็กอื่นๆหรือ ลูกของพ่อแม่บางคนก็ร้องมาก กวนมาก ซนมาก เอาไม่อยู่ จับไม่ได้ แต่ถ้าเปิดทีวีให้ดูก็จะสงบ คุณพ่อคุณแม่ก็เลยเปิดทีวีให้คุณลูกดูทั้งวัน ทีนี้ลูกก็ไม่ซน ไม่ร้องกวน หรือพ่อแม่บางคนรักและ ปกป้องลูกของตัวเองมาก จ้างพยาบาล จ้างพี่เลี้ยงมาคอยดูแลลูก ประคบประหงมให้ลูกอยู่แต่ในห้อง ไม่พาลูกออกไปข้างนอกบ้างเลย ด้วยความ ที่อยากให้ลูกสะอาดอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลูกไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
การเลี้ยงดูในแบบต่างๆ ที่ว่ามานี้ จะทำให้ลูกๆ ของคุณมีพัฒนาการทางด้านภาษาและสังคมช้า เด็กไม่ยอมพูด พูดไม่เป็น ไม่เข้าหาคนอื่น มักจะเล่นอยู่คนเดียว อยู่แต่ ในโลกของตัวเอง ไม่รู้จักการร้องขอ บอกความต้องการของตัวเองไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น
อาการ แบบนี้เองที่คล้ายๆ กับอาการของเด็กออทิสติกหรือเด็กที่เป็นโรคออทิสซึม ในช่วงขวบปีแรกพ่อแม่ยังไม่รู้สึกอะไร แต่จะเริ่มมาเดือดร้อนก็ในตอนที่ลูกจะต้องเข้า โรงเรียนเพราะลูกไม่ยอมพูด ไม่สนใจสิ่งรอบๆ ตัว ไม่ฟังคำสั่ง ไม่รู้จักพ่อแม่นี่ละ
ออทิสซึมหรือพัฒนาการล่าช้ากันแน่?
พัฒนาการ ทางด้านภาษากับด้านสังคมที่ล่าช้านั้นไม่ได้เป็นเฉพาะในเด็กที่เป็นโรคออทิส ซึมเท่านั้น แต่ในเด็กธรรมดาก็พบว่าเด็กมีพัฒนาการล่าช้าเนื่องจากการเลี้ยงดู ของพ่อแม่ในแบบที่กล่าวถึงข้างต้นด้วย เรียกว่าเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เด็กกลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายๆ กับเด็กออทิสติก คือ พูดไม่ได้ ไม่สนใจสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว ไม่สนใจผู้คนที่อยู่รอบข้างอย่างนี้เป็นต้น แต่เมื่อพาไปพบแพทย์และทำการรักษาอาการก็จะหายขาด ต่างจากเด็กออทิสติกซึ่งจะไม่หายขาดจากโรค แต่อาการจะดีขึ้น มีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่อาจจะยังเหลือพฤติกรรมผิดปกติบางอย่างอยู่
โรค ออทิสซึม คือโรคที่มีความผิดปกติในสมอง ทำให้พัฒนาการของเด็กล่าช้า ส่งผลให้มีความย่อหย่อนของประสาทการรับรู้ พูดช้า และแยกตัวออกจากสังคม ความย่อหย่อนนี้เองจะขัดขวางหรือแปรผลข้อมูลที่รับรู้จากสายตา การได้ยิน และประสาทสัมผัสอื่นๆ ผิดพลาดไปจากปกติ มีผลต่อการพัฒนาการทางการพูดและการสื่อสารอย่างมาก
เด็กออทิสติกนี้ภายนอกจะเป็นเด็กที่มีความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายไม่ต่างจาก เด็กปกติธรรมดาทั่วไป มีพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อปกติตามวัย แต่ที่ต่างออกไปคือจะมีพัฒนาการทางด้านภาษา การพูด การแสดงท่าทางที่บอกถึงความหมายต่างๆ พัฒนาการในด้านสังคมที่ช้ากว่าเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป 3 เดือนก็รู้แล้วว่าเป็นออทิสติก
เด็กออทิสติกแม้ในช่วงวัย 3 เดือนแรกก็มีความผิดปกติให้เห็นแล้ว โดยที่แม่จะรู้สึกว่ามีความผิดปกติอยู่แต่ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าผิดปกติ เช่นหลายๆ คนมีปัญหาเรื่องการกิน หรือบางคนไม่ยอมดูด ไม่ชอบให้กล่อมหรือปลอบโยน การที่จะทำให้หยุดร้องไห้ได้ต้องจับให้นอนในรถเข็นแล้วไถไปมา อย่างนี้เป็นต้น
การสอนให้เด็กออทิสติกให้เรียนรู้ สิ่งต่างๆ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเพราะเด็กจะต่อต้านไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่ต่างไป จากเดิม เช่น อาหาร การแต่งกาย หรือการอุ้ม ที่ไม่เหมือนเดิม ในขณะที่เด็กออทิสติกบางคนกลับเงียบเรียบง่าย ไม่มีความต้องการอะไรมากมาย สามารถนอนนิ่งๆ ได้ทั้งวัน ไม่ร้องกวน เป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายจนทำให้พ่อแม่ ไม่มีความกังวลอะไรเกี่ยวกับตัวเด็ก แต่ก็ไม่สนใจสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว ไม่สนใจผู้คน ไม่มีการสนองตอบหรือเรียกร้องให้อุ้ม ไม่ยอมมองหน้าหรือสบตา มักจะชอบมองสิ่งของที่สะท้อนแสงวาววับได้นานๆ เช่น ทีวี แสงไฟ
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สนใจของเล่นที่เด็กวัยเดียวกันสนใจ ไม่ยอมสำรวจสิ่งของ ไม่สนใจของเล่นใหม่ๆอย่างเด็กอื่นๆ จะสนใจแต่สิ่งที่เคยทำอยู่เป็นประจำ และถ้าใครสักคนไปเปลี่ยนสิ่งที่เด็กเคยทำอยู่เป็นประจำแล้วล่ะก็ จะร้องโวยวายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
ถึงแม้เด็กจะขาด ความสนใจสิ่งต่างๆ รอบตัวแต่พัฒนาการด้านอื่นๆ ยังเป็นไปตามปกติ นั่งได้ คลานได้ เดินได้ น้ำหนักขึ้นดี หน้าตาน่ารัก ทำให้พ่อแม่มองเห็นความปกติไม่ชัดเจน
ด้านพัฒนาการ ทางภาษา แม้จะเติบโตใกล้ 1 ขวบแล้วก็ตาม เด็กก็ยังไม่เปล่งเสียงใดๆ เลย บางคนก็อาจจะทำเสียงงึมงำจับความไม่ได้ หรืออาจจะออกเสียงเป็นภาษาแปลกๆ
2 ขวบ เห็นอาการค่อนข้างชัด
ใน ช่วง 2-5 ปี เด็กออทิสติกจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเบี่ยงเบนไปจากเด็กธรรมดามาก พ่อแม่จะสังเกตเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน คือ เด็กจะไม่ยอมสบตาคน ตรงๆ ชอบแยกตัวโดดเดี่ยว ไม่สนใจใคร ไม่โต้ตอบกับคำพูด ไม่มีทีท่าสนใจต่อเสียงเรียก จนบางครั้งทำให้สงสัยว่า เด็กรู้จักพ่อแม่ รู้จักชื่อของตัวเองหรือไม่ แต่เด็กออทิสติกนี้ก็จะมีความสนใจที่เพ่งอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง เช่น กล่องเปล่า หรือก้อนกรวดเล็กๆ ถ้าสิ่งที่สนใจเหล่านี้หายไปจากชีวิตประจำวัน หรือกิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไปก็จะร้องไห้คร่ำ ครวญ อาละวาดเสียจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่บทที่จะหยุดร้องก็จะหยุดร้องได้ทันทีราวกับปิดสวิตช์โดยไม่ต้องปลอบโยน
ใน ช่วง 5 ขวบปีแรกนี้จะเป็นช่วงที่พ่อแม่ของเด็กออทิสติกเหน็ดเหนื่อยที่สุด เพราะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มเดินได้ วิ่งได้ และเด็กก็จะวิ่งซนไม่กลัวอันตราย ทำให้พ่อแม่บางคนไม่ กล้าพาลูกออกไปไหนด้วยเพราะควบคุมไม่ได้ จับไว้ไม่อยู่ ไม่เชื่อฟัง ไม่ฟังคำสั่งจนดูเหมือนเป็นเด็กดื้อ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเด็กตั้งใจจะดื้อไม่เชื่อฟัง แต่เป็นเพราะไม่เข้า ใจความหมายของคำพูด ไม่เข้าใจความหมายคำสั่ง ทำให้มีปัญหาในการดูแล
เด็กออทิสติกนี้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่พบเห็นหรือได้ยิน จึงไม่สนใจสิ่งของหรือเสียงทั่วๆ ไปอย่างเด็กปกติ แต่จะสนใจในสิ่งที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา เมื่อหยุดนิ่งก็จะหมดความ สนใจ เด็กใช้เวลานานกว่าปกติเพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งรอบตัว ซึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจในสิ่งที่พบเห็น จึงเป็นการยากที่จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของเด็ก หรือพาแกไปในที่ไม่คุ้นเคย จะทำให้เด็กร้องไห้โวยวายอาละวาดได้ง่ายๆ
เด็กออทิสติกจะมีปัญหาในการใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย เวลาที่จะบอกความต้องการจะใช้เสียงกรีดร้อง ต่อมาจะใช้วิธีดึงมือคนอื่นไปแตะกับสิ่งที่ต้องการ ชี้นิ้ว บอก เพราะเด็กออทิสติกมีพัฒนาการด้านภาษาที่ล่าช้ากว่าปกติ
เด็ก ออทิสติกจะมีการใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้รสและกลิ่น โดยจะดม หยิบคลำสิ่งของ ใช้ลิ้นเลีย เพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านทางประสาทสัมผัส และเด็กออทิสติกนี้จะมี ความรับรู้บางอย่างแตกต่างไปจากเด็กธรรมดา ไม่รู้ถึงความรุนแรง ไม่รู้จักเจ็บ ทำให้บางครั้งเล่นกับเพื่อนอย่างรุนแรง หรือแม้แต่เวลาเจ็บตัวได้แผลมาก็จะร้องไห้อยู่นิดเดียว แล้วก็เลิกไป เพราะไม่รู้จักความเจ็บ
ในด้านการเข้าสังคม เด็กออทิสติกจะทำตัวเหินห่างจากสังคม ไม่สนใจสังคม เป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยมาก ไม่มาตามเสียงเรียก ไม่ฟังเวลาพูดด้วย สีหน้าไม่แสดง อาการรับรู้ ไม่มองหน้า สบตาตรงๆ ไม่ชอบให้กอด ไม่กอดตอบ อยู่ในโลกของตัวเอง เด็กออทิสติกจะไม่ยอมเปล่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เลย เช่นไม่ยอมเปลี่ยนเส้นทางเดินทาง ไม่ ยอมเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน และมักจะติดอยู่กับสิ่งของบางอย่าง เช่น ตุ๊กตาฝาขวด กล่องเปล่า และเด็กออทิสติกนี้ดูเหมือนว่าจะทานอาหารง่าย แต่จริงๆ แล้วจะทานอาหารอยู่< เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง ถ้าใครไปเปลี่ยนแปลงกิจวัตรของเด็กเข้าจะหงุดหงิดทนไม่ได้ หรือร้องอาละวาด
ใน ขณะที่เด็กทั่วๆ ไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ ผ่านการเล่น รับรู้ สัมผัส พร้อมๆ กับมีพัฒนาการทางด้านภาษา เข้าใจคำและความหมาย และค่อยๆ ใช้ของเล่นทดแทนของจริง จากที่ตอนเล็กๆ เด็กจะปารถยนต์เด็กเล่นลงพื้นเพื่อให้เกิดเสียง เปลี่ยนมาเป็นไถรถทำให้เกิดเสียงล้อหมุนเลียนแบบของจริงเมื่อโตขึ้น หรือจากการกัด อมแขนขาตุ๊กตา มาเป็นการจับตุ๊กตานั่ง ยืน เดิน แต่งตัว โดยสมมติเป็นเด็ก เป็นต้น แต่ในเด็กออทิสติกจะมีปัญหาในการสื่อภาษาและแปลความหมายในสิ่งที่เห็นหรือ สัมผัส ขาดจินตนาการ ทำให้ไม่สามารถเล่นสมมติได้ สำหรับเด็กออทิสติก รถยนต์ของเล่นคือวัตถุที่แข็ง เย็น หนัก ไม่มีรสชาติ จะเกิดเสียงเมื่อเวลาเขย่า ไม่สามารถเอามาสัมพันธ์กับรถยนต์ของจริงในชีวิตประจำวันอย่างเด็กปกติได้ ทำให้เวลาเล่นของเล่นจะคงสภาพการเล่นแบบเด็กเล็กๆ ที่หยิบของมาถือไว้ในมือแต่เล่นไม่เป็น
นี่คือตัวอย่างพฤติกรรมของเด็กออทิสติกที่สามารถพบได้ในเด็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กออทิสติกทุกคนจะมีพฤติกรรมดังกล่าวทั้งหมด
อาการยิ่งหนักถ้าพ่อแม่รังแกหนู
ถึงแม้โรคออทิสซึมจะเป็นโรคที่เด็กเป็นอยู่แล้วตั้งแต่แรกไม่เกี่ยวกับการ เลี้ยงดู แต่เชื่อไหมคะว่า การเลี้ยงดูของพ่อแม่แทนที่จะช่วยกันทุเลาบรรเทาโรคให้ลูก กลับช่วยกัน กระหน่ำซ้ำเติมลูกให้มีพัฒนาการช้ายิ่งขึ้นไปอีก
จากที่บอกว่าเด็กออทิสติกบางคนเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย พ่อแม่เลยวางใจ และเวลาเลี้ยงถ้าเปิดทีวีให้ลูกดูลูกก็จะชอบ สามารถดูทีวีอยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ร้องโยเยกวนใจ หรือในเด็กที่ซนมากๆ ก็เช่นกัน ถ้าเปิดทีวีให้ดูแล้วล่ะก็เป็นหายซน อยู่นิ่งๆ ได้ทั้งวัน หรือบางทีพ่อแม่ไม่มีเวลาที่จะดูแลลูกเองเพราะต้องทำงานทั้งคู่เลยจ้างพี่ เลี้ยงมาคอยดูแลลูก ตัวพี่เลี้ยงเองติดทีวี เวลาเลี้ยงน้องก็เปิดทีวีไปเลี้ยงไป และเมื่อเปิดทีวีน้องก็ชอบ อยู่ได้โดยไม่ร้องไห้กวน ทีนี้ทั้งพี่เลี้ยงทั้งน้องก็เลยดูทีวีกันทั้งวัน การที่เด็กออทิสติกติดทีวีนี้มี สาเหตุมาจากทีวีจะมีภาพเคลื่อนไหวเร็ว และเด็กออทิสติกเป็นเด็กที่มีสมาธิสั้นไม่สนใจอะไรนานๆ ยกเว้นสิ่งที่ชอบ จึงชอบดูทีวี โดยเฉพาะโฆษณา เพราะเปลี่ยนภาพเร็ว ต่าง จากละครที่ยาวๆ ทีวีเป็นสื่อทางเดียว กล่าวคือ เวลาที่เด็กดูทีวี เด็กได้แต่รับอย่างเดียวไม่สามารถโต้ตอบกับทีวีได้ ทำให้ไม่มีการกระตุ้นให้เด็กได้สื่อสาร ยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ เด็กมีพัฒนาการที่ช้ายิ่งขึ้น พูดไม่เป็น ไม่รู้จักการเข้าสังคมกับผู้อื่น ทำให้มีปัญหาเมื่อโตขึ้น อย่างน้อยก็มีเมื่อตอนจะเข้าโรงเรียนนั่นแหละ
สำหรับคุณแม่ที่เจ้าระเบียบชอบให้คุณลูกทำอะไรเป็นตารางๆ เลยกำหนดเวลากินข้าว อาบน้ำ นอน ให้แก่ลูก แต่หาทราบไม่ว่าจะเป็นการซ้ำเติมพฤติกรรมทำซ้ำให้ แก่ลูก เพราะตามปกติธรรมดา หนูๆ ที่เป็นออทิสติกนี้มีแนวโน้มที่จะทำอะไรซ้ำๆ อยู่แล้ว ก็เลยยิ่งเป็นการเสริมอาการของลูกเข้าไปอีก
เยียวยาเด็กออทิสติก การเยียวยารักษาเด็กออทิสติกทำได้โดยการกระตุ้นพฤติกรรมบางอย่างเพื่อให้ เกิดพัฒนาการในด้านสังคม เช่นการกระตุ้นด้วยการโอบกอดเด็ก สบตากับเด็ก เป็นต้น และนอกจากนี้ยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำซ้ำของเด็ก ปรับเปลี่ยนความเคยชิน ให้เด็กได้ปรับตัวยอมรับความเปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะได้ปรับตัวเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่นอกเหนือไปจากความเคยชินเดิมๆ
นอกจากการรักษาที่ได้รับจากแพทย์แล้วพ่อแม่เองก็ต้องให้ความร่วมมือในการรักษา เด็กด้วย ต้องกระตุ้นพัฒนาการของเด็กทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้าน เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาและสังคมที่ดีขึ้น
ถ้าจะให้ดี ให้ความดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยของคุณ เลี้ยงลูกอย่างถูกวิธี กระตุ้นพัฒนาการของเด็กตั้งแต่เล็กๆ ตามวัยของเด็ก อย่างน้อยจะได้ไม่เป็นการซ้ำเติมโรค ส่วนที่เป็นเด็กปกติจะได้มีพัฒนาการตามอายุของแก อย่าปล่อยให้ลูกของคุณต้องโตขึ้นมากับทีวี หรือพี่เลี้ยงที่เป็นคนอื่น ลูกต้องการความรัก การเอาใจใส่ความอบอุ่นจากพ่อแม่ สาย สัมพันธ์ระห่างพ่อแม่ลูกจะทำให้ลูกของคุณเติบโตได้อย่างสวยงามและมีความสุข ค่ะ