
ทราบไหมคะว่าคุณแม่ท้องสามารถคำนวนณวันคลอดเองเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง จากครั้งสุดท้ายที่มีประจำเดือนก่อนที่จะรู้ว่าตั้งท้อง เรามีตารางให้คุณแม่ท้องเช็คกำหนดคลอดเองคร่าว ๆ ตามด้านล่างนี้ แต่บอกก่อนนะคะว่า เป็นเพียงการคำนวณเบื้องต้นเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วการตรวจวินิจฉัยของคุณหมอในการกำหนดวันคลอดลูกสำคัญที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับสุขภาพครรภ์ สุขภาพคุณแม่เป็นสำคัญ
ตารางเช็กกำหนดคลอดด้วยตัวเอง จากประจำเดือนวันสุดท้ายก่อนท้อง
การนับวันกำหนดคลอดลูกอย่างคร่าว ๆ คือ นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายก่อนตั้งครรภ์ นับต่อไปอีก 9 เดือน + 7 วัน เพื่อให้ได้วันคลอดที่ใกล้เคียงที่สุด เช่น ประจำเดือนมาวันที่ 1 ม.ค. ก็ให้นับจากวันที่ 1 ม.ค. ไปอีก 9 เดือน + 7 วัน กำหนดคลอดคือ 8 ต.ค.
*** ตารางกำหนดคลอดด้านล่างนี้ เป็นการนับ 9 เดือน + 7 วันให้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น คุณแม่ดูแค่วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย (แถวบน) ก็จะได้วันและเดือนกำหนดคลอดคร่าว ๆ (แถวล่าง)


แม่ผ่าคลอดหลายคนอาจกังวลว่าลูกจะไม่แข็งแรงเพราะไม่ได้รับภูมิต้านทานจากโพรไบโอติกในขณะคลอด แต่ถึงแม้จะผ่าคลอดแล้ว คุณแม่ก็ยังสามารถสร้างภูมิต้านทานตามธรรมชาติให้ลูกได้ค่ะ
แม่ท้องต้องรู้ ผ่าคลอดทำลูกขาดภูมิต้านทานตามธรรมชาติ
ปัจจุบันมีคุณแม่ท้องหลายคนอาจต้องเลือกวิธีผ่าคลอดมากกว่าการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติผ่านช่องคลอด เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆเช่น ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ พัฒนาการของทารกในครรภ์ที่ไม่ยอมกลับหัว หรือทารกตัวใหญ่จนไม่สามารถคลอดเองได้ เรื่องความสะดวก หรือการถือฤกษ์ยามของที่บ้าน อย่างไรก็ตาม คุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการผ่าคลอดนั้นอาจส่งผลต่อภูมิต้านทานตั้งต้นของลูกผ่าคลอดเมื่อเทียบกับการคลอดธรรมชาติ
คลอดธรรมชาติ ต่างจากผ่าคลอดอย่างไร
มีการศึกษามากมายว่าการคลอดธรรมชาติจะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เรียกว่า โพรไบโอติก (Probiotics) ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของระบบภูมิต้านทานตั้งต้นของลูกน้อย
เนื่องจากการคลอดธรรมชาติ เด็กจะต้องเคลื่อนตัวผ่านช่องคลอด เด็กจึงมีการกลืนโพรไบโอติกเข้าไป ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานตั้งต้น ช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ลดโอกาสเกิดภูมิแพ้และโรคต่างๆ ในขณะที่เด็กผ่าคลอดจะไม่ได้รับจุลินทรีย์สุขภาพโพรไบโอติก ซึ่งอาจส่งผลให้มีพัฒนาการของระบบภูมิต้านทานตั้งต้นช้ากว่าเด็กคลอดธรรมชาติได้
คุณแม่เบาใจ แม้ผ่าคลอดก็ยังเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ลูกได้

มีการศึกษาว่าในช่วง 3 วันแรกหลังผ่าคลอด ถ้าลูกได้ดื่มนมแม่ จะสามารถเร่งคืนภูมิต้านทานให้ลูกได้เช่นกัน
เนื่องจากน้ำนมแม่ในระยะนี้เป็นหัวน้ำนมหรือโคลอสตรุ้ม (Colostrum) ที่เป็นน้ำนมที่ดีที่สุด และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลูกน้อยได้ดีที่สุด
โคลอสตรุ้มมีสารสร้างภูมิต้านทานที่ดีให้กับลูก เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว โปรตีนต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลูกตั้งแต่แรกเกิด ป้องกันการติดเชื้อ และกระตุ้นการทำงานของลำไส้เพื่อช่วยขับถ่ายขี้เทาออก เป็นการป้องกันแก้ไขอาการตัวเหลืองของลูกวัยทารกด้วย
นอกจากนี้ในนมแม่ยังมีซินไบโอติก (Synbiotic) ที่มีโพรไบโอติก (Probiotics) ปริมาณมาก และพรีไบโอติก (Prebiotics) ที่เป็นอาหารสำคัญสำหรับโพรไบโอติก

ดังนั้นเมื่อให้ลูกผ่าคลอดดื่มนมแม่เป็นประจำร่างกายก็จะมีโพรไบโอติกสูงที่ช่วยเร่งคืนภูมิต้านทานที่ขาดหายไปในเด็กผ่าคลอด ช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์ก่อโรค ป้องกันการติดเชื้อ และพัฒนาระบบประสาทและสมอง เพื่อให้ลูกผ่าคลอดพร้อมยิ่งกว่าค่ะ
แต่หากคุณแม่มีความจำเป็นไม่สามารถให้นมลูกได้ หรือน้ำนมยังไม่มา มีปัญหาสุขภาพร่างกาย ควรปรึกษาคุณหมอหรือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำถึงการใช้นมผสมสูตรที่มีโพรไบโอติกและสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของลูก
อ้างอิง
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/24674981/
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK148970/
https://www.si.mahidol.ac.th/th
https://pharmacy.mahidol.ac.th
สนับสนุนโดย Hi-Family Club สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเตรียมให้ลูกผ่าคลอดพร้อมยิ่งกว่าได้ที่
https://www.hifamilyclub.com/c-section.html
พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์
แม่ผ่าคลอดต้องรู้ให้ลึก สารอาหารสำคัญสำหรับเด็กผ่าคลอดช่วยลูกสมองไว
การผ่าคลอดนั้นเด็กจะถูกนำตัวออกมาผ่านหน้าท้องของคุณแม่ ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพผ่านทางช่องคลอดของคุณแม่ ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการระบบภูมิต้านทานตั้งต้นที่แตกต่างจากเด็กที่คลอดธรรมชาติ จึงมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ และเจ็บป่วยได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กผ่าคลอดมีความเสี่ยงด้านพัฒนาการทางสมองอีกด้วย ดังนั้นคุณแม่ผ่าคลอดควรเตรียมความพร้อมของลูก เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการทางสมองและภูมิต้านทานที่ดี
สมองและการเรียนรู้ของเด็กผ่าคลอด
มีการศึกษาของ Deoni S.C. et al. เกี่ยวกับพัฒนาการทางสมองของเด็กผ่าคลอด พบว่าสมองของเด็กผ่าคลอด ที่อายุ 2 สัปดาห์ มีการเชื่อมโยงการทำงานของสมองแตกต่างจากเด็กที่คลอดธรรมชาติ และพัฒนาการทางสมองส่วนคอร์ปัส คาโลซัม (Corpus Callosum) ซึ่งเชื่อมโยงการทำงานระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวาของเด็กอายุตั้งแต่อายุ 3 เดือนจนถึง 3 ปี มีการสร้างเยื่อหุ้มไมอีลินในสมองที่แตกต่างกัน
นมแม่ ภูมิคุ้มกันแรกเกิดสร้างลูกสมองไวและเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็กผ่าคลอดแข็งแรง

นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทารก เปรียบเหมือนภูมิคุ้มกันที่แม่สร้างให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า 200 ชนิด สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน น้ำตาล ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ ต่าง ๆ ยิ่งให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน หรือยาวนานที่สุด ยิ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกาย สมอง และภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ซึ่งนมแม่สามารถป้องกันและลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในเด็กได้หลายโรค อาทิ โรคมือเท้าปาก โรคปอดอักเสบ โรค RSV เป็นต้น
สฟิงโกไมอีลินและ B. lactis เป็นอีก 2 สารอาหารสำคัญในนมแม่ที่มีบทบาทในการพัฒนาสมองและเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก
โดยสฟิงโกไมอีลิน ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิดมีความสำคัญในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งเจ้าปลอกไมอีลินนี้เป็นส่วนที่ห่อหุ้มเส้นใยประสาท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาท ทำให้สมองส่งสัญญาณประสาทได้เร็วแบบก้าวกระโดด และทำให้สมองมีการประมวลผลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
มีการศึกษาพบว่าแขนงประสาทนำออกที่มีปลอกไมอีลินห่อหุ้มจะส่งสัญญาณประสาทได้เร็วกว่าที่ไม่มีถึงกว่า 100 เท่า ซึ่งกระบวนการสร้างปลอกไมอีลินในสมองของลูกนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์และยังคงมีการพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนคลอดและเติบโตขึ้นตามวัย
ขณะที่ B. lactis จุลินทรีย์สุขภาพบิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (Bifidobacterium lactis หรือ B. lactis) คือจุลินทรีย์สุขภาพที่พบมากในนมแม่ และลำไส้ของเด็กที่คลอดธรรมชาติ ซึ่งบี แล็กทิส จะช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดการติดเชื้อ ลดการอักเสบ ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก ช่วยปรับสมดุลในลำไส้ได้ดี ป้องกันอาการท้องเสียเฉียบพลันในทารก และอาการลำไส้แปรปรวนได้ด้วย
กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการสมองของเด็กทารก

การจะเสริมสร้างพัฒนาการสมองให้เด็กผ่าคลอด นอกจากกินนมแม่แล้วคุณแม่จะต้องกระตุ้นการทำงานของสมองให้ลูกด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้านตามวัยของลูกด้วย เช่น เล่นปูไต่ จ๊ะเอ๋ เล่นตบมือ ร้องเพลงให้ลูกฟัง พาลูกออกไปเดินเล่นดูต้นไม้ดอกไม้ เล่นต่อบล็อกต่อจิ๊กซอว์ เล่านิทานให้ลูกฟัง เล่นบ่อทราย ฯลฯ
และในระหว่างที่พ่อแม่เล่นกับลูก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ นั้น ควรพูดคุย สบตา ยิ้ม กอด กับลูกด้วย เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี จะส่งผลให้สมองลูกน้อยมีพัฒนาดีอย่างรอบด้านไปด้วยค่ะ
ดังนั้นแล้วคุณแม่ควรให้ลูก ๆ ทานนมแม่ เพราะนมแม่ดีที่สุด และเป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญหลากหลายชนิด เช่นสารอาหารสร้างสมองไวอย่างสฟิงโกไมอีลินและจุลินทรีย์สุขภาพบีแล็กทิสที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็กผ่าคลอด จะช่วยให้ลูกสมองไวเรียนรู้ได้เร็ว และมีภูมิคุ้มกันดี ลดโอกาสเจ็บป่วยบ่อยได้ด้วยค่ะ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สร้างสมองไวให้เด็กผ่าคลอด พร้อมเสริมภูมิคุ้มกัน | S-Mom Club