
มีคำพูดคำหนึ่ง ลูกจะพิสูจน์ว่าตัวเขามีคุณค่ามากพอที่แม่จะดูแลตลอดไปหรือไม่ จะว่าไปคำพูดนี้ก็ใช้ได้กับแฟนขี้งอนได้ด้วย หรือแม้กระทั่งแต่งงานไปแล้วก็ยังใช้ได้อยู่
พ่อแม่ โดยเฉพาะแม่ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดจะเป็นต้นทางของพัฒนาการเสมอ นั่นคือการสร้างแม่ที่มีอยู่จริง สร้างสายสัมพันธ์ และสร้างตัวตน (mother- attachment-self) ตามลำดับ
เหมือนครั้งปฏิสนธิ แม่คือต้นธารของสารอาหาร มีสายรก แล้วตัวอ่อนจึงเจริญเติบโตเป็นทารกตัวอ่อนจะเจริญเติบโตดีเพียงใดกลายเป็นทารกในครรภ์ที่สมบูรณ์แข็งแรงมากเพียงใด ปัจจัยหลักคือแม่และสายรกที่มาจากแม่
หากแม่ร่างกายแข็งแรง มีโภชนาการดี อารมณ์มั่นคง ไม่ใช้สารเสพติด สายรกมีคุณภาพที่ดี ทารกก็ดีด้วยในทางตรงข้ามหากมีปัญหาเกิดที่แม่หรือสายรก ตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์มารดาจะดิ้นรนปรับตัวสุดความสามารถ
เมื่อคลอด แพทย์ตัดสายรกนั้นทิ้ง คือตัดสายสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรม หลังคลอดทารกจึงต้องสร้างแม่อีกครั้งหนึ่ง สร้างสายสัมพันธ์และสร้างตัวตน สายสัมพันธ์และแม่ที่มีอยู่จริงคือส่วนสำคัญของต้นธารพัฒนาการ เป็นต้นกำเนิดที่ให้น้ำหล่อเลี้ยง
เมื่อทารกพบอุปสรรค พบด่านทดสอบที่เขาผ่านไปไม่ได้ ทารกมักจะร้องไห้เพื่อเรียกร้องหาแม่และสายสัมพันธ์ เมื่อแม่มาอุ้ม ทารกก็ปลอดภัย เมื่อทารกเติบโตขึ้นเป็นเด็กเล็กอายุ 2-3 ขวบ พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ของแขนขาอย่างรวดเร็ว สามารถยืน เดิน และวิ่ง สามารถต่อย เตะ และปีน เมื่อพบอุปสรรคหรือด่านทดสอบที่เขาทำไม่ได้
อาจจะเพราะทำไม่ได้จริงๆ หรือถูกห้ามทำ เด็กเล็กจะหันไปหาแม่และสายสัมพันธ์อีกครั้งหนึ่ง อาจจะเพื่อขอความช่วยเหลือ ขออนุญาต หรืองอแงอย่างหนัก
เพื่ออะไร เพื่อให้สารอาหารหลั่งไหลมาตามสายสัมพันธ์มากพอและเพื่อทดสอบว่าเสาหลักที่ผูกเชือกล่ามเอาไว้มีความแข็งแรงมากพอ พ่อเป็นบุคคลที่รักของแม่ คือผู้อยู่เคียงข้าง เป็นส่วนหนึ่งของระบบสามเหลี่ยมครอบครัว เป็นต้นธารหรืออยู่ข้างๆต้นธารด้วย พ่อจึงเป็นเป้าหมายที่เด็กจะทดสอบด้วย
เพื่ออะไร เพื่อให้สารอาหารหลั่งไหลมาตามสายสัมพันธ์มากพอและเพื่อทดสอบว่าเสาหลักที่ผูกเชือกล่ามเอาไว้มีความแข็งแรงมากพอ แม่และพ่อเป็นบุคคลที่ทารกหรือเด็กเล็กมั่นใจว่าจะไม่ทิ้งเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะเขาผ่านขั้นตอนพัฒนาการขวบปีแรกมาแล้ว ได้เรียนรู้ที่จะไว้ใจแม่ และพ่อ คือ trustเพราะความไว้ใจนั้นเอง แม่และพ่อจึงเป็นอย่างที่เราเรียกว่าของตาย
เหมือนคู่สมรสที่เห็นคู่ครองของตนเองเป็นของตาย จะงอนหรือดื้ออย่างไรก็ได้เพราะไว้ใจ หากไปทำกับคนอื่นนั้นมิได้เพราะไม่ไว้ใจคนอื่นเป็นเพียงทางผ่าน
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล

ลูกเป็นเด็กพิเศษ มีคนแนะนำต่างๆ นานา เช่น ให้ไปโรงเรียนจะได้เข้าสังคมได้ ให้อยู่บ้านก่อนเพื่อเตรียมความพร้อม หรือให้พาไปพบนักบำบัดบ่อยๆ จะได้ดีขึ้น สับสนมากเลยค่ะ เวลาก็มีเท่านี้ไม่รู้จะทำอะไรดี
เด็กพิเศษคือเด็กที่มีวิธีพัฒนาตนเองแบบพิเศษ
เขาไม่เหมือนเด็กทั่วไป แต่มิใช่ผิดปกติ ความข้อนี้อาจจะฟังดูเป็นปรัชญาแต่ถ้าเราเข้าใจข้อนี้ได้เร็วกว่าเราจะทำอะไรได้มากกว่า พลังงานในการพัฒนาตนเองไปข้างหน้าของคนเราคือ เซลฟ์เอสตีม(self esteem) คือความสามารถที่จะรู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง พอรู้ว่าตนเองทำอะไรได้ก็จะไปต่อไป
ลองนึกภาพตรงข้าม ตื่นเช้ามา “รู้สึก” ว่าตนเองทำอะไรก็มิได้ เช่นนี้จะไม่ไปไหน หมดพลังตั้งแต่ตอนเช้า เด็กที่ตื่นมารู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้างจะสนุกกับชีวิต รักตนเอง มั่นใจตนเอง ภูมิใจตนเอง เขาจะก้าวเดินไปด้วยวิธีของเขา ในวิถีของเขา บนถนนของเขา และเมื่อเขาไปแล้ว บ่อยครั้งที่เขาลากเอาความสามารถด้านอื่นๆ ติดตามไปด้วยอย่างช้าๆ แน่นอนเขาไม่เหมือนเด็กทั่วไปแต่เขาจะ “รู้สึก”ดีกับตัวเอง
ไม่มีอะไรแย่เท่ากับความรู้สึกที่ว่าตัวเองมันแย่
ไปโรงเรียนแล้วทำอะไรไม่ได้ ถูกครูตำหนิหรือเพื่อนล้อเลียน หากโรงเรียนเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรไป ไปให้เขาทำลาย เซลฟ์เอสตีมเสียเปล่าๆ ถ้าจะไปโรงเรียนเราควรหาโรงเรียนที่คุณครูรู้งานและจัดการได้ ไปจนถึงหาครูการศึกษาพิเศษที่ใช้การได้ เรื่องสังคมไม่มีอะไรน่าห่วง เด็กจะเข้าได้เองโดยไม่ต้องสอนเมื่อเขา “รู้สึก” ว่าตนเองมีคุณค่าพอ
ไปหานักบำบัดบ่อยๆ เป็นเรื่องดีแน่ นักบำบัดที่เก่งๆ ทำเรื่องมหัศจรรย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรมบำบัด นักแก้ไขการพูด หรือนักกระตุ้นพัฒนาการ อย่างไรก็ตามหน้าที่เป็นของพ่อแม่เสมอนะครับ นักบำบัดที่ดีจะส่งมอบความสามารถที่จะดูแลลูกให้แก่พ่อแม่ และพ่อแม่ที่มีใจจะยอมรับหน้าที่ยิ่งใหญ่นี้มาเป็นของเราจึงจะเป็นพ่อแม่ที่ทำสำเร็จ การโยนงานทั้งหมดไปที่นักบำบัดโดยที่พ่อแม่แสดงออกให้เห็นได้ว่าไม่ทำหรือไม่อุทิศตัวมากพอ มักจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี
อยู่บ้านจึงเป็นเรื่องดีที่สุด เพราะบ้านคือวิมานของเรา บ้านควรเป็นสถานที่ที่เด็กพิเศษได้ซุ่มฝึกวิชาฝีมือโดยไม่ต้องเกร็ง พ่อแม่ที่มีอยู่จริง สายสัมพันธ์ที่แข็งแรง ตัวตนที่ชัดเจนและรักตนเอง ยังเป็นปัจจัยตั้งต้นที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตเสมอ เด็กพิเศษก็ไม่ยกเว้น
เวลาที่บ้านมาก จะเปิดโอกาสให้เราลองผิดลองถูกได้มาก ค่อยๆ ค้นหาพื้นที่หรือลู่วิ่งที่เขาทำได้ ทำได้สักนิดแล้วเราอัดฉีดที่ตรงนั้นเขาจะไปได้เสมอ อาจจะช้าเป็นเต่าแต่เต่าก็จะถึงเส้นชัยอยู่ดี ถึงเร็วถึงช้าจะเป็นอะไรไป หากเราเริ่มวันนี้จะอย่างไรเขาก็จะไปถึงระดับดูแลตนเองได้ก่อนเราเสียชีวิต หรือพี่น้องรักกันช่วยเหลือกันได้ก่อนเราเสียชีวิต
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล
รักมากไปทำร้ายลูก? รักจนสำลักความรัก ประคบประหงมจนไม่ให้ลูกทำอะไร ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก แต่มากไปก็ทำลายลูก
The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม
เลี้ยงประคบประหงม เด็กป่วยได้ง่าย (Munchausen Syndrome by Proxy)
เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูและดูแลสุขภาพแต่มีประเภทที่เยอะเกินไป มีเคสที่ลูกตกเตียงซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงตกตอนเที่ยงแต่พอตกเย็นก็พาลูกมาที่รพ. ให้หมอเช็กอย่างละเอียดเพราะว่ามีลูกคนเดียวและแม่ก็อ่านมาแล้วว่าเลือดที่ซึมออกมาจากในสมองมันจะไม่มีอาการ แต่อยากให้หมอรับรอง100% ว่าลูกไม่มีปัญหา หมอถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงคือเด็กตกเบาะเลี้ยงเด็กซึ่งกลิ้งแล้วหัวกระแทกพื้นไม่ปาร์เก้ลูกตกใจ ร้องไห้ เสร็จแล้วก็เล่นปกติ แต่ว่าแม่ไม่ไว้ใจ และอยากให้ทำMRI ซึ่งการทำกับเด็ก 9เดือนไม่ได้ง่าย แต่ด้วยความที่มีลูกคนเดียวและไม่พลาดไม่ได้เลยขอให้แม่ยืนยันซึ่งไแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย
การทำMRIเด็กต้องนิ่งมากซึ่งทางเดียวที่จะทำคือเพื่อให้เด็กหลับ แล้วฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดว่ามีปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็อาจจะต้องดมยา พอแม่ได้ยินก็บอกหมอว่าเต็มที่ไม่อั้นแต่คนเจ็บตัวคือลูก ลักษณะแบบนี้คือ Munchausen Syndrome by Proxy เครียดมากและวิตกกังวลมาก อาจจะมาจากการเห็นคนในบ้านป่วยจากประสบการณ์เดิม จึงตรวจหาความเสี่ยงของลูกทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพที่เยอะเกินไป
อีกเคสคือย่าเป็นมะเร็งไตแล้วเสียชีวิต แม่ต้องการทำRenal scan (การตรวจสแกนไต) ซึ่งทำไม่ได้ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้แม่ก็ไปเอาน้ำแดงมาผสมในปัสสาวะ แล้วให้หมอตรวจคือสำหรับหมอตรวจไม่ยากว่าเป็นน้ำแดงหรือเลือด แบบนี้คือทำให้เกิดเครียด วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ เครียดแล้วมาลงที่ลูก ผลที่เกิดกับลูกคือเกิดความหวาดระแวงไปกับแม่ ลูกซึมซับความหวาดระแวงจากแม่นี่คือในแง่ของสุขภาพ ลูกกังวล เครียดมาก
เลี้ยงแบบเร่งรัด เด็กต่อต้าน (Overstimulation)
ตอนนี้มีปัญหาเยอะเพราะด้วยระบบแพ้คัดออก เรียนทุกวัน ตื่นตั้งแต่ตีห้าเลิกเรียนก็กวดวิชาแล้วก็ติวกลับมาทำการบ้าน นอนตี1 ตื่นตี5วนไปแบบนี้ทั้งสัปดาห์ พอเสาร์อาทิตย์ก็กวดวิชาเช้าบ่าย หมอเคยเจอเคสรร.สาธิตชื่อดังพอลูกสอบเสร็จพ่อก็ให้ไปเรียนกวดวิชาที่ลงเรียนไว้ ลูกก็โมโหว่าทำไมไม่ถามว่าลูกอยากเรียนไหม เขาอาจจะอยากเล่นไวโอลิน อยากไปเที่ยว พ่อบอกว่าก็อยากจะเป็นหมอ ตอนที่มาหาหมอคือแม่ร้องไห้ พ่อความดันขึ้นเพราะว่าหวังดีแต่ทำไมเป็นแบบนี้
หมอก็ถามว่านี้เป็นเป้าของใครพ่อบอกว่าเป็นของลูก แล้วพอเราลงกวดวิชาเต็มที่แล้วแต่ลูกไม่ได้เป็นหมอจะเสียใจไหมพ่อบอกว่าไม่เสียใจเพราะว่าไม่ใช่เป้าของพ่อ เป็นเป้าของลูกและพ่อก็บอกว่าการที่พ่อจะทำให้ลูกคนหนึ่งมันผิดด้วยหรือ ซึ่งพอคุยไปพ่อก็บอกว่าผมไม่ได้อยากให้ลูกเป็นหมอเขาจะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รักและชอบและขอให้เป็นคนดี หมอก็บอกว่าพูดดีมากให้กลับไปบอกลูก ซึ่งหลังจากนั้นความดันในบ้านก็ลดลงมากเพราะที่ผ่านมาทะเลาะกันตลอด
ตอนนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่วางเป้าให้ลูกเรียบร้อยเลยแล้วลูกก็มีหน้าที่เดินตามเป้าและบอกตัวเองว่าการที่พ่อแม่ทำให้ลูกมันผิดด้วยเหรอ ไม่ผิดแต่เป็นเป้าของพ่อแม่หรือของลูก แล้วการที่ส่งสัญญาณว่าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ได้บอกตรงๆหรือยัง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ก็จะไม่เจอกับการเรียนแบบOverstimulationเร่งรัดบังคับจันทร์ถึงจันทร์ แต่จะได้ใจถึงใจ
เลี้ยงแบบสำลักความรัก (Over Indulgence/Spoiled Child)
มีบ้านไหนที่ลูกทำงานบ้านบ้าง นี่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้านเรามีเด็กเยอะที่ไม่ปัดกวาด ถูบ้านล้างจาน พ่อแม่สปอยทุกอย่างจนทัศนคติของลูกเปลี่ยนว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เขาไม่จำเป็นต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้าน ความรักไม่เกิดบนการร่วมทุกข์ร่วมสุข มีแต่สุขอย่างเดียว เด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นเพื่อนมนุษย์
เวลาจะรักใครก็รักแบบฉาบฉวย พ่อแม่ไม่รู้ตัวว่ากำลังพัฒนาลูกไปเป็นแบบนั้นไม่สามารถรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรนเปรอให้ทุกอย่าง นี่คือการสปอยล์ รักเยอะ ผิดหวังไม่ได้ เจอกับความผิดหวังก็เบรคเลย ไปไกล่เกลี่ยก็ลงเอยด้วยการใช้ความรุนแรง พ่อแม่ต้องรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่มีแต่ความสุข ปรนเปรอแต่ความสุขเจอความยากลำบากไม่ได้ ต้องเจอความยากลำบากร่วมกันง่ายๆ คือ ปัดกวาด ถูกบ้าน ซักผ้า ล้างจาน
เลี้ยงขาดพื้นที่ส่วนตัว เด็กเกิดความเครียด (Parenting Enmeshment)
หมอเคยเจอบ้านที่ไม่ดูทีวีจนอายุ 18ปีจะใช้เครื่องมือสื่อสารไม่ได้ เมื่อเข้าบ้านห้ามใช้ใช้ได้อย่างอิสระเมื่ออายุ 18ปีขึ้นไป ลูกมีห้องส่วนตัวแต่ปิดไม่ได้เพราะว่าพ่อสามารถ เข้าไปดูได้ทุกเมื่อสามารถไปดูแชทส่วนตัวได้ มีเคสที่แม่ลูกชายอายุ 14ปี ยังอาบน้ำกับแม่ขาดพื้นที่ส่วนตัวมาก ถ้าบ้านไหนทำอยู่ให้กลับมาตั้งหลักใหม่
ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่อยากทำอะไรก็ได้เป็นความเข้าใจผิดการให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีของลูกจึงมีนัยยะแม้ลูกโตมาถึงชั้นประถมไม่ต้องรอถึงมัธยม การที่พ่อไม่จับที่สงวนของลูกเลย เคารพในพื้นที่ส่วนตัว ลูกจะเกิดการเรียนรู้เลยว่าขนาดคนเป็นพ่อยังเคารพพื้นที่ส่วนตัว แล้วคนอื่นที่เป็นคนนอกจะมารุกล้ำได้อย่างไร ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้จะสอนด้วยการท่องจำหรือ
การที่พ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะเป็นสิ่งที่ติดตัวลูกเมื่อโตขึ้น อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นไหน อยากให้ลูกเป็นคนเคารพพื้นที่ส่วนตัวก็ต้องทำแบบนั้นกับลูกเช่นเดียวกัน ศรัทธาและสัจจะของลูกมีความหมาย วันนี้เราไม่มั่นใจลูกเลยก็ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นจากพลังบวก เช่นเดียวกันเด็กที่โตมาในครอบครัวที่เข้มงวด ก็จะขาดความมั่นใจไม่เหลือเลย ขาดภาวะผู้นำไม่มีsense of propority การเคารพพื้นที่ส่วนตัวไม่มีถูกล่อลวงโดยไม่รู้ตัวและเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
เลี้ยงลูกให้ได้ดี ลูกต้องมี “SELF” เพราะตัวตนที่แข็งแกร่ง จะทำให้ลูกเติบโตและอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย มั่นคงและอยู่รอด
ชวนสร้าง SELF กับครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร
อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
ผลลัพธ์ของการเลี้ยงทั้ง 3แบบเด็กจะเป็นอย่างไร หากกำลังเลี้ยงลูกแบบ 3 วิธีการนี้ ลูกจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร และต้องปรับแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างไร ฟัง The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม
เราเลี้ยงลูกบนความไม่เข้าใจบางเรื่องเป็นความปรารถนาดีอยากให้ลูกมีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ความปรารถนาบางครั้งต้องให้ลูกเจอความผิดหวัง เช่น ลูกผิดหวังไม่ได้เลยก็ต้องสอนให้ลูกผิดหวังบางครั้งพ่อแม่เจ็บปวดที่ลูกร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งหวังซึ่งไม่ผิด แต่เราปรับจูนความเข้าใจกันว่าจะมีจังหวะไหนที่ผ่อน จังหวะไหนที่ตึงบางเรื่องแล้วทำให้พ่อแม่รู้เท่าทันว่าบางเรื่องเราต้องถอยบางเรื่องรักษาระยะห่างเป็นการเรียนรู้ร่วมกันแต่จะผิดคือบกพร่องหน้าที่พ่อแม่
เลี้ยงปกป้องเกินไป เด็กขาดความมั่นใจ (Over Protection)
เป็นหน้าที่พ่อแม่ที่ต้องปกป้องลูกแต่ถ้ามากเกินไปมีปัญหาคือไม่ปกป้องเลย เช่น ตอนเป็นเด็กลูกร้องไห้ ปัสสาวะ อุจจาระราดที่บอกว่าเด็กร้องไห้ไม่ต้องสนใจ จริงๆแล้วเด็กอายุน้อยกว่า 6เดือนไม่มีมารยาไม่มีอารมณ์ไม่มีเงื่อนไขแต่รู้สึกไม่สบายตัวจึงร้องไห้ออกมา พ่อแม่ต้องรีบไปดูทันทีเพื่อปกป้องแต่พ่อแม่ไม่ทำนี่คือบกพร่องต่อหน้าที่ หิวก็ปล่อยลูกร้องอายุน้อยกว่า 6เดือน ซึ่งถ้าน้อยกว่า6เดือนไม่มีเงื่อนไขนอกจากหิวไม่สบายตัวจริงๆ
หรือที่ชัดกว่านี้คือเมื่อเด็กมีอารมณ์แต่พ่อแม่น็อตหลุดแทนที่จะเป็นการปกป้องกลายเป็นทารุณกรรมนี่เป็นปัญหา ซึ่งมีหลากหลาย Under Protection แย่ บกพร่อง มีปัญหา และ Over Protectionก็มีปัญหา เช่น เด็กที่ไปเที่ยวแล้วก็ถามว่า “รู้ไหมชั้นลูกใคร” แล้วพ่อแม่ตามไปปกป้อง แม้กระทั่งลูกทำผิดกฎหมายก็ยังเข้าข้าง ปกป้องคุ้มครองจนไม่รู้รับผิดชอบชั่วดี
หรือกรณีที่ด็กอนุบาลแกล้งกันเด็กจบแล้วแต่พ่อแม่ไม่จบบิวท์อารมณ์กันผ่านSocial mediaใช้อารมณ์ของลูกเป็นตัวตั้งจนยกพวกตีกันในรร.อนุบาล แต่ลูกกำลังเห็นโมเดลว่าพ่อแม่กำลังทำอะไร คือยิ่งมีลูกน้อยลงพ่อแม่จะรักแบบเทหมดใจ ซึ่งดีแต่มันเยอะเกินไปผลคือเด็กไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
เลี้ยงอ้วน เด็กเอาแต่ใจ (Overfeeding)
คำว่าอ้วนเอาแต่ใจมาจากระดับโภชนาการและเรื่องการซื้อของ มีอันจะกิน มีข้าวกิน มีอาหาร มีของครบตามความจำเป็นหมวดนี้คือการบริโภคนิยมและทุนนิยมอ้วนเอาแต่ใจ เป็นประเภทที่เยอะ แต่ถ้าบกพร่องคือข้าวไม่มีกินคือเกิดปัญหาเราเห็นเด็กที่มีปัญหาภาวะขาดอาหารทุพภาวะโภชนาการ ส่วนอีกกลุ่มตรงกันข้ามคือ มีอันจะกิน กินทิ้งกินขว้าง กินไม่เลือก กินได้ตลอดเวลา จึงขึ้นว่าอ้วนเอาแต่ใจ
มีเคสหนึ่งที่พ่อจบป.เอกถามหมอว่าสอนให้ลูกหัดผิดหวังให้เป็น แล้วถ้าลูกผมดูดขวดนมอย่างสร้างสรรค์แล้วจู่ๆ จะให้ยกเลิกการดูดขวดนมอย่างสร้างสรรค์ก็เท่ากับว่าผมไปบล็อกความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งลูกอายุ 8ขวบแล้วหมอตกใจมากที่ยังดูดนมอยู่คือไม่ต้องคิดว่าอ้วน ฟันผุ ฟันเหยินหรือไม่ หมอจึงบอกพ่อคนนั้นว่าเป็นหน้าที่ของพ่อไหมต้องสอนให้ลูกหัดผิดหวังให้เป็น หรือพอจะตอบหมอได้ไหมว่าจะอยู่จนชั่วชีวิตลูกจะหาไม่ไหม
Overfeed คือการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นการผิดหลักEQทั้งหมดจะเห็นว่าเด็กเอาแต่ใจ ยับยั้งอารมณ์ไม่ได้ ไม่ซื้อของลงไปดิ้นกลางห้าง โตมาหน่อยก็กรี๊ดสนั่นหรือพ่อแม่ที่ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมไม่อั้นลูกก็ซึมซับ ปากเราพูดอย่างแต่เราทำอีกแบบ ลูกเห็นว่าพ่อแม่ก็ไม่ยั้งตัวเองจับจ่ายอย่างสนุกซื้ออาหารเต็มที่เพราะว่ารวย กินทิ้งกินขว้างไม่มี dog bag คือเหลือเอาเก็บมากิน ลักษณะนี้เรียกว่า อ้วนเอาแต่ใจ มีปัญหาEQ โตมาเป็นคนที่บริโภคนิยมทุนนิยมใช้เงินซื้อทั้งหมดเราคงไม่อยากฝึกลูกให้เป็นแบบนี้ การยั้งตัวเองแล้วทำให้ดูมีประสิทธิภาพ กว่าใช้ปากพูดแล้วสอนให้ลูกเป็นแต่วิธีการทำเป็นอีกแบบมันทำไม่ได้พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบ
เลี้ยงอวดรวย (Multiple homes)
หลักการคือการไม่มีบ้านก็เป็นเด็กเร่ร่อนคือบกพร่องไม่มีบ้านอยู่ ส่วนมีหลายบ้านคือมีทั้งบ้านและคอนโด จันทร์ถึงศุกร์อยู่คอนโดเสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน ผลคือลูกไม่รู้จักข้างบ้าน ไม่มีการร่วมทุกข์ร่วมสุข ซึ่งเมื่อก่อนเราเติบโตมาเป็นชุมชนมีรากเหง้าเราจะเรียนรู้ซึมซับร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับชุมชนจะรักและเรียนรู้รากเหง้าของเราเองว่าเราเป็นคนจังหวัดนี้ พอย้อนกลับไปก็ภูมิใจว่าบ้านเราเมื่อก่อนเจริญแต่เด็กยุคนี้ไม่มี
การอยู่หลายที่ทำให้ความรักในรากเหง้าการเรียนรู้อยู่ในชุมชนจะอ่อนแอไปด้วย ผลลัพธ์คือโตเป็นคนจับจด เปลี่ยนที่ได้ง่ายเวลาเข้ามาทำงานก็ทำงานตามค่าตอบแทนที่สูงกว่า ความมั่นคงในจิตใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขในองค์กรไม่มี อาจจะบอกว่านี่เป็นเทรนด์ใหม่ของโลกก็เพราะสถานการณ์บีบบังคับจึงทำให้ได้เทนรด์ใหม่ของโลกในลักษณะนี้ แต่เราจำเป็นต้องเติมไม่งั้นจะเป็นประเด็นเกิดขึ้นได้แน่นอน
สร้างวิถีใหม่ปรับเปลี่ยนแนวทางการเลี้ยงลูก
1.เรียนรู้ว่าความรักกับความถูกต้องคนละเรื่องกัน รักลูกก็จริงแต่ผิดลูกก็ต้องเรียนรู้ไม่ปกป้องแม้จะผิด
2.ต้องระมัดระวัง มีบันยะบันยัง วิธีการคือเราเองต้องเป็นต้นแบบที่ดี ทั้งการเลือกกิน เลือกซื้อของ คือหลักพอเพียง หัดเบรคตัวเองมีแล้วหรือยังลูกก็จะเรียนรู้ว่าพ่อแม่ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย
3.ต้องเปิดใจให้ลูกเรียนรู้ อยู่ร่วมกับการมีหลายบ้านให้รักรากเหง้าทำให้ลูกเป็นผู้ให้ในหมู่บ้าน ชุมชนในคอนโด ก็จะทำให้เกิดการรักรากเหง้าร่วมทุกข์ร่วมสุขในชุมชนได้
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

การอ่านนิทานเชื่อมโยงกับการฝึกวินัย ฝึกทักษะชีวิตอย่างไรได้บ้าง?
พูดเสมอคือพ่อแม่เป็นผู้อ่านนิทานด้วยตนเอง สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง ผลที่ได้คือพ่อแม่ที่มีอยู่จริงเมื่อเรามีอยู่จริงแล้วจะพูดอะไรก็ฟัง จะฝึกวินัยอะไรก็ง่าย
นอกเหนือจากตัวเราที่มีอยู่จริงแล้ว ยังมีสายสัมพันธ์ สายสัมพันธ์เปรียบเหมือนเส้นใยหรือเชือกที่เชื่อมระหว่างเราและลูก (จะพูดว่าล่ามก็ได้แต่อาจจะฟังดูไม่ไพเราะเท่าใดนัก) เมื่อมีเชือกจูงเสียแล้ว (ไม่ไพเราะจนได้) จะสอนหรือฝึกอะไรลูกก็ทำได้โดยง่าย
โดยทั่วไปเราอยากให้อ่านนิทานที่เปิดกว้างให้เด็กได้คิดต่อ เพราะความคิดที่เสรีจะมีคุณต่อเด็กในอนาคตมาก การอ่านนิทานหมวดคำสั่งสอน หรือฝึกวินัย ฝึกทักษะ มักได้เฉพาะเรื่องเฉพาะกิจ แต่ถ้าชอบหรือจำเป็นก็ทำได้
เมื่อพ่อแม่มีอยู่จริง การอ่านนิทานฝึกนิสัยก็จะได้ผลดี ด้วยกลไกที่พ่อแม่มีอยู่จริงพูดอะไรก็น่าเชื่อถือน่าติดตาม อีกกลไกหนึ่งเราเรียกว่ากลไกสวมรอยตัวละครในนิทาน คือ identification ว่าที่จริงแล้วกลไกการสวมรอยจะทำงานได้ดีเมื่ออายุประมาณ 3 ขวบขึ้นไป นั่นแปลว่าจะอย่างไรก็อาจจะต้องรอให้พ่อแม่มีอยู่จริงเสียก่อน ตามด้วยตนเอง (คือ self)ที่มีอยู่จริง ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเด็กมีอีโก้ (คือ ego)แล้ว จึงจะสวมรอยได้ เพราะหน้าที่สวมรอยหรือ identification นี้เป็นหน้าที่ของอีโก้ เราเรียกว่า ego function
อ่านนิทานหนูนิดติดเกมหนูแป๋งแปรงฟัน หนูไก่ไม่นอน พฤติกรรมที่เห็นได้ด้วยตานั้นอ่านให้เด็กๆ สวมรอยได้ไม่ยาก มีนิทานเช่นนี้มากมายในท้องตลาด
อ่านนิทานหมีน้อยขี้กลัว หมาป่าตาร้อน นกน้อยขยันยิ่ง ลักษณะนิสัยเหล่านี้มิได้เห็นด้วยตาเปล่า ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยภาพเพียงภาพเดียวแต่ต้องใช้เนื้อเรื่องทั้งเล่ม การสวมรอยก็จะยากขึ้นอีกระดับเพราะเด็กต้องตั้งใจจดจ่อและบริหารความจำใช้งานได้นานพอจนจบเล่มจึงจะเข้าใจ มีนิทานเช่นนี้ในท้องตลอดมากมายเช่นกัน
ขึ้นชื่อทักษะคือ skills เป็นเรื่องต้องฝึก มิได้มาเอง ทักษะชีวิตก็เช่นกัน ทักษะย่อยๆ เช่น การกิน แปรงฟัน การนอน เหล่านี้ควรได้รับการฝึกในเวลาไม่นานหลังการอ่าน เช่น อ่านคืนนี้ พรุ่งนี้ทดลองฝึกได้เลย เด็กมักให้ความร่วมมือดีกว่าเพราะแม้แต่หนูนิด หนูแป๋ง และหนูไก่ก็ทำได้ แม่ในนิทานเป็นปลื้มแม่ในชีวิตจริงก็ควรจะปลื้มเช่นกัน
มิใช่อ่านเสร็จแล้วปล่อยพี่เลี้ยงฝึก หรือยกให้ปู่ย่าตายายฝึก หมีน้อย หมาป่าน้อย นกน้อยนิสัยดีก็ควรได้รับการฝึกฝนหลังการอ่านได้ไม่นานนัก ซึ่งแปลว่าอาจจะไม่ต้องรอเหตุการณ์จริงเกิดขึ้นเพราะไม่รู้เราจะพบแมงมุมตัวต่อไปเมื่อไร แต่เราฝึกได้ในวันรุ่งขึ้นด้วยการเล่นสมมติ การเล่นสมมติหรือการเล่นละครเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้เสมอหากพ่อแม่จะมีเวลาและเห็นความสำคัญที่จะลงไปเล่นด้วยตนเอง
อ่านปุ๊บฝึกปั๊บน่าจะดีที่สุดครับ
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล