facebook  youtube  line

"พ่อแม่ไม่มีเวลา จะให้เวลาลูกได้อย่างไร"

2302

ข้อที่หนึ่ง เรื่องพ่อแม่ไม่มีเวลานี้เป็นสัมพัทธภาพ  อยู่ที่เราให้เวลาทำอะไรสำคัญกว่าอะไร

อย่างไรก็ตามบ้านเราทุกคนต้องไปทำงานจริง มิใช่ทำงานเพียงเพื่อมีเงินเดือนพอใช้เหมือนในประเทศที่มีรัฐสวัสดิการ แต่บ้านเราอยู่ในระดับปากกัดตีนถีบและหากไม่ทำงานมากพอแล้วก็จะไม่มีเงินใช้จริง เราจึงพบโจทย์การรักษาสมดุลระหว่างเวลาและเงิน

ข้อที่สอง หากเรารักษาสมดุลนี้ไม่ดี เงินที่เราหามาได้จะหมดไปกับการไล่แก้ปัญหาให้แก่ลูกไม่จบสิ้น และอาจจะต้องจ่ายต่อเนื่องยาวนานแม้ว่าเขาจะเรียนจบแล้วเพราะจบมาแล้วก็ไม่สามารถทำมาหากินอะไรไปจนถึงไม่ยอมทำงาน  และแย่กว่านี้คือทำผิดกฎหมาย
 ในทางตรงข้าม  หากเรารักษาสมดุลได้ดี  วันนี้เราอาจจะได้เงินน้อยกว่าที่ตั้งใจ  แต่เงินที่ได้มาจะใช้กับลูกได้อย่างเต็มที่จนเมื่อเขาเรียนจบ เป็นผู้ใหญ่ ทำงานหาเงินเอง ไม่เกาะพ่อแม่กิน ไม่พาคู่มาเกาะพ่อแม่กิน ไม่ทำผิดกฎหมายสร้างความเดือดร้อนไม่หยุดหย่อน ถึงวันนั้นเราก็จะเป็นเสมือนผ่อนบ้านหมดหมดหนี้สิน เงินทุกบาททุกสตางค์คืนมาที่เรา ที่สำคัญคือเรามีความสบายใจอย่างเหลือล้นและมีเวลาว่างมากมายจะทำเรื่องที่ตนเองอยากทำแต่ไม่เคยมีเวลาทำเพราะเอาแต่เลี้ยงลูก เพราะอะไร เพราะลูกเรียบร้อยดี

ข้อที่สาม เวลาวิกฤตคือ 3 ขวบปีแรก และดีกว่านั้นหากเราอุทิศเวลาให้เขามากที่สุดถึง 10 ขวบคือประมาณเวลาที่เขาใกล้วัยรุ่นและจะไม่ฟังอะไรเรามากมายนักอีกแล้วหากทำได้ เลือกโรงเรียน ที่ทำงาน และบ้าน อยู่ใกล้กันมากที่สุดก่อน ด้วยการเลือกที่ดีที่สุดเราจะได้เวลาอยู่ด้วยกันคืนมามากที่สุด นี่เป็นระดับอุดมคติแต่ว่าที่จริงอยู่บ้านนอกเป็นเรื่องทำได้ถ้าใส่ใจตั้งแต่แรก

ในความเป็นจริงของชีวิต พ่อแม่ไม่มีเวลาจริงๆ ที่ควรทำคือการกำหนดเวลากิจวัตรให้ลูกทราบอย่างชัดเจน นั่นคือพ่อแม่จะถึงบ้านกี่โมง-ระบุ วันหยุดพ่อแม่มีเวลากี่โมงถึงกี่โมง-ระบุ และเวลาอ่านนิทานก่อนนอน 15-30 นาที-ระบุ หากเราระบุหลักไมล์สำคัญเอาไว้ชัดๆ เด็กๆจะพัฒนาได้ดีกว่า แล้วเขาจะรอพ่อแม่ที่มีอยู่จริง

แม้กระทั่งพ่อแม่ที่กลับบ้านสัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง จะกลับถึงบ้านกี่โมงของวันไหนและจะออกจากบ้านกี่โมงของวันไหน-ระบุรอคือมี
การระบุที่ได้ผลดีคือระบุบนปฏิทินและเข็มนาฬิกา  อย่ากังวลว่าเด็กเล็กจะดูปฏิทินหรือนาฬิกาได้หรือไม่ได้  ที่เราต้องการคือให้จิตใจเขาผูกอยู่กับสัญลักษณ์บนปฏิทินและเข็มนาฬิกาที่เดินได้  พ่อแม่จะอยู่ตรงนั้น

อ่าน-เล่น-ทำงาน  มิได้ต้องใช้ของแพง  แต่ที่ต้องเสียคือเวลา

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล



 

6 เทคนิคเล่านิทานพิชิตใจลูก

4449

 

คุณแม่รู้สึกไหม เวลาอ่านนิทานให้ลูกฟังทำไมบางทีลูกดูไม่สนุกเลยหรือลูกไม่สนใจที่จะฟังนิทานที่คุณแม่อ่านเลยสักนิด ซึ่งผมรักลูกจะมาบอกวิธีการว่าจะทำยังไงนะให้ลูกๆ รู้สึกสนุกไปกับการฟังนิทาน

1.ให้ลูกคุ้นเคยกับหนังสือ คุณแม่ต้องให้ลูกรู้สึกดีกับหนังสือก่อน อาจจะลองให้ลูกหยิบจับ ตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่อย่าลืมว่าหนังสือที่ลองให้ลูกหยิบนั้นจะต้องดูปลอดภัยสำหรับเด็กด้วยนะคะ

2.ให้ลูกเลือกหนังสือที่ชอบ เลือกหนังสือที่มีสีสดใส รูปภาพประกอบสวย และมีประโยคง่ายๆ ที่สามารถให้ลูกเข้าใจได้ง่าย หรือไม่ก็เป็นนิทานเรื่องสั้นๆ ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

3.ให้สร้างบรรยากาศ  การเล่าในบรรยากาศที่เหมาะสมจำเป็นที่จะต้องเป็นสถานที่ที่ไม่วุ่นวายเกินไป เพื่อให้ลูกเกิดจินตนาการตามเนื้อเรื่อง หรือไม่ก็อาจจะจัดสถานที่เพื่อให้ดูเหมือนกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในหนังสือนิทานก็ได้

4.ให้ใกล้ชิดกับลูก การอ่านนิทานนั้นคุณแม่สามารถที่จะโอบกอดลูกไปพร้อมกับการเปิดหนังสือไปด้วย เด็กจะได้มองตามนิ้วมือที่ชี้ไปตามตัวอักษรและก็ภาพ พร้อมช่วยให้เด็กรู้จักเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างดีด้วยนะคะ

5.ให้ทำอุปกรณ์ประกอบ คุณแม่สามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวนำมาสร้างสรรค์เพื่อช่วยให้ลูกรู้สึกสนุกเมื่อฟังนิทาน เช่น การใช้หุ่นมือที่มีรูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้องไปกับนิทานที่เล่าหรืออาจจะใช้ฉากหลังเป็นภาพที่อยู่ในหนังสือนิทานเปิดประกอบไปด้วยก็ได้ค่ะ

6.ให้มีลีลาการเล่า ในการเล่านิทานคุณแม่สามารถใช้น้ำเสียงที่พอฟังแล้วรู้สึกทำให้ลูกเกิดอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครนั้นๆ อย่างในการใช้เสียงเบา เสียงหนัก การพูดเร็ว พูดช้า ก็เป็นส่วนที่ทำให้นิทานนั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ครับค่ะ

วิธีง่ายเท่านี้เองคุณแม่ลองไปปรับใช้ในการอ่านนิทานให้ลูกๆ ฟังดูนะคะ


 
 

Mom's Issue EP 16 (Rerun) : นิทานก่อนนอนช่วยหนูอ่านออก

 

“นิทาน” คือฮีโร่ของแม่ ๆ เป็นตัวช่วยชั้นดียามคิดมุกไม่ออก หยิบนิทานมาเล่า มาเล่น ทั้งสนุก สร้างการเรียนรู้และสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว และที่สำคัญจะได้อย่างไม่รู้ตัวเลยคือนิทานเป็นบันไดขั้นแรกของการให้อ่านหนังสือออก

 

ฟังเทคนิคจากแม่ดอยและป้าปอย ที่จะทำให้นิทานช่วยให้เจ้าหนูอ่านออก

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

 

Mom's Issue EP 24 (Rerun) : นิทานก่อนนอน ช่วยหนูอ่านออก

 

“นิทาน” คือฮีโร่ในสถานการณ์ที่ต้อง Learn from home อย่างแท้จริง

ปรากฎการณ์ Learning Loss ที่เกิดขึ้น ทักษะด้านภาษาเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ขาดหายไป โดยเฉพาะในเรื่องการอ่านที่สร้างความกังวลใจให้กับพ่อแม่เป็นอย่างมาก

 

ฟังเทคนิคจากแม่ดอยและป้าปอย ที่จะทำให้นิทานช่วยให้เจ้าหนูอ่านออก

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

Mom's Issue EP.09 : นิทานก่อนนอน ช่วยหนูอ่านออก

 

“นิทาน” คือฮีโร่ในสถานการณ์ที่ต้อง Learn from home อย่างแท้จริง ปรากฎการณ์ Learning Loss ที่เกิดขึ้น ทักษะด้านภาษาเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ขาดหายไป โดยเฉพาะในเรื่องการอ่านที่สร้างความกังวลใจให้กับพ่อแม่เป็นอย่างมาก

 

ฟังเทคนิคจากแม่ดอยและป้าปอย ที่จะทำให้นิทานช่วยให้เจ้าหนูอ่านออก

✅ Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

✅ Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

✅ YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

ดูฟรี บันทึกการแสดงสด รักลูก Tales&Plays เทศกาลนิทานและการเล่น

รักลูกTales&Play, Tales & Play, เทศกาลนิทานและการเล่น, นิทานเพลงบันทึกการแสดงสด, นิทาน, ลูกหมูสามตัว, หนูน้อยหมวกแดง

ดูฟรีจุใจบันทึกการแสดงสด รักลูก Tales & Plays เทศกาลนิทานและการเล่น

ใครที่คิดถึงบรรยากาศงานรักลูก Tales&Plays เราได้รวบรวมบรรยากาศมาให้หายคิดถึง กับ 2 เรื่อง 2 รส นิทานลูกหมูสามตัว และ นิทานหนูน้อยหมวกแดง ดูฟรีกันเต็มเรื่อง และเรื่องหน้าจะเป็นเรื่องอะไร ติดตามรักลูก Tales&Plays ได้ที่ Facebook รักลูกคลับ - Rakluke Club

บันทึกการแสดงสด นิทานลูกหมูสามตัว EP 1 - EP 5

 

บันทึกการแสดงสด นิทานหนูน้อยหมวกแดง EP 1 - EP 3

 

 

 

รักลูก The Expert Talk EP 86 : เรียนรู้อยู่ร่วมกับความต่าง นิทานในสวนกับ ย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

รักลูก The Expert Talk Ep.86 : เรียนรู้อยู่ร่วมกันกับความต่าง นิทานในสวนกับ ย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

นิทานที่เป็นได้มากกว่านิทาน เป็นการเรียนรู้โลกเบื้องต้นของเด็ก เพื่อเตรียมตัวให้รู้จักกับชีวิตที่จะเดินไปข้างหน้า ได้รู้จักผู้คน รู้จักสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว และรู้หลักคิดว่าจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร

พ่อแม่สามารถใช้นิทานสร้าง Eco System ให้กับเด็กได้ เป็นตัวกระตุ้นการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากยิ่งขึ้น

 

ฟังแนวคิดและหลักคิดที่จะได้จาก นิทานชุดไปสวนกับย่า “ไม่เหมือนกันแต่ก็เหมือนกัน” และ “เหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน” จากย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 87 : ฟื้นฟูสมอง เร่งเรียน เร่งรู้ด้วยนิทาน EF

 

รักลูก The Expert Talk Ep.87 : ฟื้นฟูสมอง เร่งเรียน เร่งรู้ด้วยนิทาน EF

 

นิทานชุดในสวนของย่า เรื่อง โอ๊ะโอ! ขอโทษนะ และ เรื่อง ให้เวลาหน่อยนะ จะช่วยตอบคำถามที่ค้างคาในใจของพ่อแม่ได้ว่าทำไมลูกเราช้ากว่าคนอื่น? ทำไมคนอื่นต้องทำผิดกับเรา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย?

คำถามที่ต้องการมุมมอง ความคิด เพื่อทำความเข้าใจกับพัฒนาการของลูกและสถานการณ์ปัจจุบัน

 ชวนฟังแนวคิดและหลักคิดเพื่อนำไปปรับใช้เลี้ยงลูกได้จากนิทานของย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

ให้เวลาหน่อยนะ ชุดในสวนของย่า

ในสวนของย่า เริ่มจากที่ชวนหลานมาช่วยทําสวนครัวเล็กๆ บนหลังคาโรงรถ มันทําให้เราได้สังเกตชีวิตของพืชพันธุ์ ของผักที่เราปลูก แมลงต่างๆ มันทำให้มีชีวิตชีวา ซึ่งก็เป็นจุดที่ดึงความสนใจเด็กได้พอสมควร นิทานเรื่องให้เวลาหน่อยนะก็มาจาก จากการที่เราสังเกตว่าเวลาเราปลูกต้นไม้แม้จะปลูกพร้อมกัน แต่มันขึ้นไม่พร้อมกัน การเติบโตก็ไม่เหมือนกัน มันจะมีต้นใหญ่ต้นเล็ก แล้วแต่เหตุปัจจัย ก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่าเด็กๆ ก็อาจจะต้องเข้าใจพัฒนาการของแต่ละช่วงเวลา สําหรับเด็กเขาน่าจะได้มีโอกาสรู้ว่า อะไรต่ออะไรมันก็ไม่ได้ต้องเป็นไปตามแบบนั้นแบบนี้เสมอไป ก็เลยใช้เรื่องต้นถั่วขึ้นมาเพื่อที่จะให้หลานได้เรียนรู้ เขาเองก็มีข้อสงสัยอยู่แล้วว่าก็หยอดเหมือนกันแล้วทำไมไม่โตสักที จากการที่ว่ามันไม่โตสักที ทําไมมันไม่เท่าคนอื่นไม่เหมือนคนอื่นก็เป็นที่มาของการเขียน

เข้าใจจังหวะเวลาการเติบโต

สิ่งที่เด็กได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ สิ่งต่างๆถ้าตามธรรมชาติ มันจะมีจังหวะเวลาของมัน เช่น ผักถ้าเป็นเมล็ดถั่วยังไงก็ต้องประมาณเกือบ 10 วัน กว่ามันจะงอกหรือถ้าเป็นผักเล็กๆน้อยๆประมาณ 4-5วัน แต่ละชนิดมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเขาพอจะเข้าใจว่าแต่ละสิ่งนั้นมันมีจังหวะเวลาของมัน มันมีเวลาของชีวิตมันซึ่งไม่เหมือนกัน มนุษย์ สัตว์ ต้นไม่ก็มีเวลาของตัวเอง

เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าใจก่อนว่าแต่ละสิ่งมีเวลาที่ไม่ตรงกันไม่เหมือนกันก็เป็นการทําความเข้าใจโลก ซึ่งการชวนให้เขาไปสังเกตเขาจะได้ความรู้ ได้ทักษะรวมทั้งได้เจตคติ Mindsetว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เราจะไปเร่งให้มันเร็วหรือทำให้สิ่งนี้ช้าลงก็ไม่ได้ เหมือนไปบอกผักว่าไม่อยู่บ้าน อย่าเพิ่งโตนะกินไม่ทันเราก็บอกมันไม่ได้ และสิ่งที่สําคัญก็คือถ้าเรารู้จักเวลามันจะทําให้เรารู้จักรอด้วย เราจะรู้จักรอ รู้ว่าอย่าเพิ่งไปเร่งมัน แล้วสิ่งที่ได้ประโยชน์มากก็คือคนอ่านพ่อแม่ก็ได้เข้าใจลูกไปด้วยว่า ลูกเราก็จะเหมือนต้นถั่วนี้แหล่ะ ถ้าอะไรที่เรารู้สึกยังไม่ถูกใจไม่ชอบใจ ทําไมทำนั่นทำนี่ไม่ได้ เราก็อาจจะต้องมาดูก่อนว่าอันที่หนึ่ง ใช่เวลาของเขาไหมยังรอได้ไหม อันที่สองมันจะนําไปสู่การเข้าใจที่มาของการที่มันไม่ได้ มันไม่ได้ต้องตรงกัน

เด็กในห้องเรียนห้องเดียวกัน ทําไมคนนี้สอบได้ คนนี้สอบไม่ได้ ทําไมลูกเขาได้ ABCแล้วทําไมลูกเราไม่ได้ กระบวนการทําความเข้าใจอย่างนี้ นอกจากจะมีเวลาเป็นตัวตั้งแล้ว มันยังมีการเข้าใจถึงปัจจัยและเหตุที่มาว่าทําไมเขาถึงไม่ได้ เด็กบางคนก็ช้ากว่าเพื่อนแต่เขาเป็นม้าตีนปลาย ดังนั้นการที่ผู้ใหญ่เข้าใจเราก็จะเปลี่ยน คือไม่ไปเร่งเด็ก ไม่คาดหวังเด็กเองพอเขาเข้าใจก็จะไม่คาดหวังทุกเรื่องมากจนเกินไป รู้จักจังหวะรู้จักรอคอย ใช้ธรรมชาติให้เขาได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลง และเด็กจะค่อยๆ เข้าใจธรรมชาติของตัวเองด้วย และปรับเข้ากับเรื่องอื่นด้วย อย่างเช่นบางที น้องชายบอกทําไมเขาไม่ได้อันนี้เท่านี้เท่านั้นเหมือนพี่ พี่ชายเขาตอบเองเลยก็พี่เกิดก่อนไงพี่ก็ต้องรู้ก่อน แล้วพี่ก็ต้องกินมากกว่าอะไรทํานองแบบนี้ พอจะมีคําอธิบายถูกบ้างผิดบ้างแต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักเอาไปใช้

อีกเรื่องที่สําคัญเราจะพบว่าหลายอย่างเราแก้ปัญหาได้ เช่น สมมติว่าเรารู้ว่ามันโตช้ากว่าคนอื่นเราอาจจะต้องเติมดินเติมปุ๋ย เพราะว่าความต้องการ มันไม่เหมือนกั เมื่อเขาโตขึ้นเขาก็จะเข้าใจว่ามนุษย์ก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคนนี้เขาขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้เราเติมเข้าไปก็ยังมีโอกาส ที่จะทําให้เขาเติบโตต่อไปได้ยังแก้ได้ไม่มีอะไรที่แบบว่าจะไม่โตเลย

ไม่ยัดเยียด ไม่เร่งรัด สร้างใยประสาทให้เติบโตด้วยความสุข

หลังโควิดพ่อแม่เร่งเรียนลูกเป็นความเข้าใจของพ่อแม่ที่คิดว่าต้องอัดให้เท่ากับสิ่งที่เขาไม่ได้เรียนมา ก็คือเป็นการชดเชยที่ตรงไปตรงมาเพียงแต่ว่ามนุษย์ มันไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างนั้นซะทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่หายไปมันไม่ใช่แค่เวลาที่เขาไม่ได้เรียนแต่สิ่งที่หายไปคือ เช่น เส้นใยประสาทมันไม่งอกในช่วงเวลานั้น ถ้ามันไม่มีอะไรกระตุ้นเลย ใช้แต่มือถือแล้วก็นั่งจับเจ่าอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นเส้นใยประสาทที่ควรจะงอกเมื่อเขาได้วิ่งเล่น ได้เจอผู้คน ได้อ่าน ได้อยู่กับเพื่อน พอมันไม่งอก มันคุดไปแล้วเปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีอะไรมาบัง อาจจะโตได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเราเอาสิ่งที่บังออกเราจะทําให้มันเท่ากับต้นที่โตไปแล้ว 1ฟุตได้ไหม อาจจะไม่ได้ เพราะว่ามันแกร็นไปแล้ว และถ้าจะทำให้โตเท่ากับอีกต้นที่มันไม่ถูกแกร็นก็คงจะต้องเอาใจใส่มากพอ มันอาจจะไม่ได้ต้องการแค่น้ำกับปุ๋ยเท่านั้น ต้องมีการพรวนดิน ดูแลกันอย่างละเอียด

เพราะฉะนั้นเด็กก็เหมือนกันหลังโควิดว่านอกจากจะต้องเข้าใจว่าพัฒนาการมันถดถอยไป ล่าช้าไป สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำคือ หนึ่งต้องร้อนใจแต่ไม่ใช่ไปเร่ง โดยการไปอัดโน่น อัดนี่ ยัดเยียดทุกอย่างเข้าไป แต่เราต้องไปดูว่าที่จะทําให้เขาโตมันมีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่มันไปครอบเอาไว้ เช่น ความสุขใยประสาทที่หายไป ก็เรื่องนึงแต่ถามว่าทําอย่างไรจะให้ใยประสาทโตขึ้นมา ก็ต้องมาจากการที่เด็กรู้สึกมีความสุข มีสมองส่วนอารมณ์ที่เบิกบาน มีความรู้สึกพร้อมอยากจะเรียน จะมีความรู้สึกว่าชีวิตเป็นปกติไม่เครียดเหมือนเมื่อก่อน

แต่ถ้าเติมแล้วสิ่งนั้นมันทําให้เขาทุกข์เครียดไปอีก สมองเขาก็จะชะงักอีก เพราะฉะนั้นกระบวนการของการที่เราจะทําให้เขาเลิกแคระแกร็นได้มันก็จะต้องมีความประณีต ซึ่งเวลานี้ก็เราก็ชี้กันไปแล้วว่าอย่างนี้ 1.แทนที่จะให้เด็กไปอ่าน คัด ABC อ่านตัวอักษรอย่างเดียวก็มาอ่านนิทาน

2.วิ่งเล่นและเคลื่อนไหวร่างกาย

3.ครูกอดและพูดคุยกับเด็กให้มากขึ้น

4.อ่านนิทานเยอะๆ แล้วก็พูดคุยซักถามไปเรื่อยๆ ชวนคิดชวนคุย ทํากิจกรรมต่อเนื่องมากขึ้น ให้เด็กได้ทำบทบาทสมมติ คือทําให้มันเกิดการงอกงาม เพื่อไปกระตุ้นให้มันกลับมาดีและก็พร้อมที่จะโตต่อไป

3 เร่ง 3ลด 3เพิ่ม

เนื่องจากว่าพอมันมีโควิดเด็กก็กระทบทุกด้านร่างกายก็เนือยนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวพ่อแม่ก็โยนมือถือให้เพราะว่าพ่อแม่ก็จะไม่มีเวลาทํางานแต่มันกลายเป็นทําร้ายลูก มีงานวิจัยว่าสายตาเด็กเสียไปเยอะ ด้านอารมณ์เด็กก็กระทบคือเด็กมันต้องวิ่ง ต้องวิ่ง ต้องเล่น ต้องอยู่กับเพื่อน ปรากฏว่าก็ไม่ได้วิ่งไม่ได้เล่นอะไรแล้วก็ใช้มือถือมากๆ สายตาก็ใช้งานหนักก็เครียดโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นเด็กก็จะอารมณ์หงุดหงิดแล้วก็ไม่ค่อยมีความสุข โดยที่ผู้ใหญ่เราอาจจะไม่รู้ก็คิดว่านิ่งกับโอเคแล้ว นอกจากนี้ในเรื่องสังคมคือเด็กก็ไม่ได้อยู่กับสังคม เพราะการเข้าสังคมมันทําให้เด็กนอกจากจะเรียนรู้แล้ว ยังเป็นที่ระบายอารมณ์ ได้เล่นกับเพื่อนก็สนุกสนาน หัวเราะ แต่บรรยากาศอย่างนี้มันไม่มีมันหายไป แล้วก็ด้านจิตปัญญาเด็กไม่ได้เรียนอะไร แต่สิ่งที่เป็นห่วงกันมากที่สุดก็คือเส้นใยประสาทที่ช่ฃวงอายุ 3-6ปีจะแผ่ขยายมาก แต่พอไม่ได้มีกระบวนการเรียนรู้ มีประสบการณ์ที่ดี มันก็จะแกร็นแล้วถ้าพ่อแม่ ไม่เข้าใจก็ฟื้นไม่ได้ ผลกระทบก็คือเด็กก็อาจจะไม่ใช่คนที่พอใจต่อการเรียนรู้ ไม่ใช่เด็กที่อยากเรียนรู้ เพราะว่าสมองส่วนที่ควรจะกําลังเรียนรู้มันแกร็นไปแล้ว

เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นคนที่ไม่พอใจกับเรื่องต่างๆ เพราะภาวะอารมณ์โครงสร้างสมองมันทําให้กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว คือไม่ค่อยมีความสุข หงุดหงิดงัวเงียๆ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเป็น Learning Lossของจริง สิ่งที่เป็นข้อเสนอออกมาก็คือว่าต้องเร่งแก้ปัญหา เคสที่หนักๆ เช่น เด็กที่เจอกับความรุนแรงในบ้าน รวมถึง อ่านหนังสือชวนกันอ่านนิทานบ่อยๆ ให้เด็กไปวิ่งเล่น เรารณรงค์เรื่องกิจกรรมทางกายว่าต้องให้เด็กวิ่งทุกวัน ร่างกายได้ขยับขับเคลื่อน สมองได้ทํางาน ได้เล่นกับเพื่อน ได้หัวเราะ ได้อากาศที่เข้าไปปอดทํางาน ซึ่งต้องกลับมาทำอย่างจริงจัง

แล้วถามว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่ากิจกรรมที่เราทํามันจะพาเด็กไปสู่การแก้สถานการณ์นะคะหรือฟื้นฟูได้จริง วิธีเช็กเบื้องต้นคือ

1.เด็กมีความสุขหรือเปล่า มีความอยากทํากิจกรรมอะไรเหล่านี้ไปพร้อมกับคุณครูกับคุณพ่อคุณแม่ไหม

2.สัมพันธภาพดีไหมถ้าในกิจกรรมนั้นสัมพันธภาพดีเชื่อได้ว่าสมองส่วนอารมณ์เขาจะดีและมันก็พร้อมที่จะไปกระตุ้นสมองส่วนคิดให้ทํางาน

3.กิจกรรมนั้นทําได้หลากหลายอย่างหรือเปล่า เช่น สมมติว่าการอ่านหนังสือคือเด็กก็ได้อ่าน สมองได้ทํางาน แล้วครูก็ชวนทำท่า ต้นถั่ว ท่าที่มันกําลังเติบโตทํายังไงบ้าง เป็นMusic Movement ได้เคลื่อนไหวทั้งร่างกาย ทั้งสายตา ทั้งสมอง ประสาทสัมผัสทั้งหมดได้ทํางาน อย่างนี้จะช่วยกระตุ้นได้เร็ว

4.สิ่งนั้นมีความหมายต่อชีวิตของเด็กๆ ไหม เช่น จะพูดเรื่องถั่วเราก็อาจจะต้องดึงกลับมาว่าเด็กๆ เราไปปลูกสวนครัวกันไหมเรามีถั่วคนละต้น ชวนเด็กๆ นั่งเฝ้า เพราะฉะนั้นเด็กรู้สึกว่าสิ่งที่อ่านกับสิ่งที่เขากําลังจะทํามันเป็นเรื่องเดียวกัน มันมีความหมายต่อชีวิตเขา เดี๋ยวพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะรดน้ํา จะเริ่มเกิดความรับผิดชอบจะเริ่มเกิดความรู้สึกผูกพันรอคอยว่าเมื่อไหร่มันจะโต เพราะฉะนั้น 4ข้อนี้จะเป็นตัวเช็ก ถ้ามันไปได้ดีผู้ใหญ่เราจะตอบตัวเองได้ว่าเกิดความสุขเกิดแรงจูงใจเกิดความสัมพันธ์ที่ดีเกิดการใช้ประสาทสัมผัสครบถ้วน ไม่ได้สอนอะไรที่ไกลตัวแล้วเด็กไม่รู้เรื่องไม่สนใจ ถ้าทำทั้ง 4ข้อนี้ได้ยังไงก็ฟื้นได้ค่ะ

โอ๊ะ โอ ขอโทษนะ

ตามธรรมชาติของบวบจะสังเกตว่ามันโตเร็ว แล้วด้วยความที่ใบใหญ่ใบหนาก็จึงต้องมีจุดยึดเกาะที่แข็งแรง เพราะใบใหญ่และต้นยาวมาก เพราะฉะนั้นอะไรที่คว้าได้ก็จะคว้า แต่ประเด็นสําคัญก็คือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการขอโทษ สมมติมีใครมาทําเราเจ็บคนนั้นก็ควรจะขอโทษใช่ไหมคะ แต่ว่าบางครั้งความไม่ตั้งใจที่ทำคนนั้นทำลงไปเด็กอาจจะไม่เข้าใจ ทําไมเขาต้องมาทําผิดกับเรา กรณีที่ไม่ตั้งใจจะเกิดขึ้นเยอะ เราจะทำให้เด็กเข้าใจ เรื่องนี้ได้ง่ายขึ้นอย่างไรบ้าง บางทีความปรารถนาดีของคนคนหนึ่งอาจจะทําให้เราไม่โอเค ไม่พอใจ เสียใจ ซึ่งกระบวนการนี้เป็นกระบวนการ ที่ต้องสื่อสาร ถึงจะทําให้เด็กได้เรียนรู้สองเรื่องไปพร้อมกันคือหนึ่งคนไม่ตั้งใจมันมีอยู่เยอะ คนไม่ได้เพอร์เฟกต์หรอก แต่ว่าเบื้องหลังการทําผิดนั้น บางทีเราต้องไปทําความเข้าใจต้องใจเย็นพอที่จะให้โอกาสในการชี้แจงสื่อสาร แล้วเราก็จะพบว่าหลายเรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงจนเราจะรับไม่ได้ ให้อภัยไม่ได้

ฉะนั้นนิทานเรื่องนี้ก็มีเรื่องการสื่อสารที่อยากจะเติมไป เช่น อ๋อขอโทษนะที่ฉันเอาใบไปบังเธอเพราะฉันก็เข้าใจว่าแดดมันร้อน แล้วฉันก็มีใบ ที่แข็งแรงก็ช่วยเธอเธอจะได้ไม่ต้องร้อนเกินไป แต่กลับกลายเป็นว่ามันไปทําให้ต้นมะเขือเทศก็ไม่ได้แดดเลย เพราะฉะนั้นการชี้แจงทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่ขอโทษก็ต้องชี้แจงว่าเราคิดอะไร เราพูดกันได้ตรงไปตรงมา ถ้าเด็กเค้ามีทักษะเหล่านี้ ก็จะไม่ใช่แค่พูดเพียงคําว่าขอบคุณหรือขอโทษ เท่านั้น แต่จะสามารถไปได้ลึกกว่านั้นจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างประณีต มันเป็นลึกอีกชั้นหนึ่งว่าถ้าเกิดเขาเข้าใจที่มาที่ไปของมัน เขาก็จะนําไปสู่วิธีการคิดต่อทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องขอโทษ เขาจะมีความเข้าใจคนอื่น แล้วเขาก็จะรู้ว่าเราก็มีโอกาสเป็นอย่างนั้น บางทีเราก็ไม่ตั้งใจ ที่จะไปทําอะไรกับคนอื่นแต่ว่าเพื่อนเจ็บซะแล้ว ความเข้าใจ สื่อสารและรู้วิธีอธิบายเรื่องต่างๆ มันก็จะประสานไมตรีกันได้ง่ายขึ้น ก็จะทําให้เขา สามารถอยู่ร่วมได้กับคนอื่นได้อย่างเป็นปกติสุขที่สุด

EF ที่ได้รับจากนิทาน

เรื่องโอ๊ะโอขอโทษนะ ได้เรื่อง Empathy การเข้าอกเข้าใจว่าถ้าฉันเป็นเธอฉันจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นกระบวนการเรียนรู้ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่สําคัญมาก ถ้าเราไปอยู่ในสถานการณ์ของเขาเราจะทํายังไง ถ้าเราเจอแบบนั้นเราจะทํายังไง เราจะจัดการไง เพราะฉะนั้นการคิดแบบนี้มันเป็นการคิดสองชั้น ไม่ใช่แค่ว่าผิดแล้วขอโทษ แต่ว่าถ้าฉันเป็นถ้าเขาเป็นเราเขาคงจะทําอย่างงี้มั้งหรือเราเป็นเขาเราก็อย่างงี้มั้ง

การคิดอย่างนี้มันคือการยืดหยุ่นการที่พร้อมจะให้อภัยมันก็จะมาจากตรงนี้ แล้วมันไม่ได้เพราะว่าเธอแย่กว่าฉัน ฉันสงสารเธอแต่ว่าถ้าฉันเป็นเขา ถ้าเขาเป็นฉันเราจะเหมือนๆ กัน เราต่างมีความรู้สึกได้แบบนี้เหมือนกัน เรามีความเสียใจได้ เราทําผิดได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็จะเป็นการเข้าใจตัวเอง แล้วก็เข้าใจคนอื่นด้วย แล้วก็เปล่งวาจาออกมาว่าขอโทษนะด้วยเหตุแบบนี้นะ ก็จะช่วยลดความขัดแย้ง เป็นการประนอมกันมันคือการทําความเข้าใจ

ในเรื่องEFก็เช่นกัน เราสามารถเอาสถานการณ์มาถามเด็กได้ว่าตอนไหนที่รู้สึกโกรธเพื่อน เพื่อนทําอะไรให้เราโกรธ แล้วเขาคิดอย่างไง กับสิ่งที่เพื่อนทำ หรือหลังจากที่อ่านหนังสือแล้วก็คุยกัน เด็กจะได้กลับไปทบทวนความรู้สึกตัวเอง มุมมองของตัวเอง วิธีปฏิบัติที่ตัวเองควรจะทํา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้พี่มองว่าเวลานี้โอกาสที่คนจะเข้าใจกันมันน้อยลงเพราะว่าอะไรๆมันก็เร็วแล้วมันก็จะมีสื่อกั้น เช่น บางทีเขียนในไลน์ มนุษย์ควรมีโอกาสปฏิสัมพันธ์เห็นหน้าตา แต่ตอนนี้ Face to Face มันน้อย เพราะฉะนั้นความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งก็จะน้อย อย่างเวลาเราเขียนขอโทษ ตอนพูดยากกว่ากันเยอะเขียนขอโทษมันจบ มันก็ดูเหมือนก็ไม่เป็นไร แต่เวลาเราจะพูดต่อหน้าเขาว่าขอโทษนะ มันใช้ความรู้สึกตัวเอง เป็นความรู้สึกที่จริงๆ ของเรา

เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะต้องให้เด็กๆได้มีโอกาสเรียนรู้แบบว่าไม่ต้องไปผ่านสื่ออะไร เอาความรู้สึกเราแล้วก็ที่สําคัญอธิบายชี้แจง เอาความจริงมาสื่อสารกันแล้วค่อยๆ ประนอมเรื่องต่างๆ ให้มันไปในทางบวก ก็จะช่วยให้เด็กมีชีวิตที่ง่ายขึ้นตั้งแต่เรื่องเล็กๆไปถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่เราเผลอทําโดยไม่รู้ตัวก็เรียกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทําให้เด็กเข้าใจรู้จักตัวเองก่อน

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 89 : “Self ดี EF ดี แบบนี้ดีต่อใจ นิทานชุดในสวนกับย่าติ่ง”

รักลูก The Expert Talk Ep.89 : Self ดี EF ดี แบบนี้ดีต่อใจ นิทานในสวนกับย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

นิทานชุดในสวนของย่า เรื่อง “แบบนี้ดีต่อใจ” จะช่วยให้พ่อแม่มองเห็นความสำคัญของการสร้างความสุขให้กับเด็กผ่านต้นชมพู่มะเหมี่ยว เพราะเมื่อเด็กมีความสุข Self ของเด็กจะดีและมีทักษะ EF

ชวนฟังหลักคิดเพื่อนำไปปรับใช้ในการเลี้ยงลูกจากนิทานย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี สุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

แบบนี้ดีต่อใจและได้เรียนรู้

เป็นนิทานที่เล่าเรื่องของต้นมะเหมี่ยว ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวในบ้านทําให้บ้านเย็น เวลาที่ทําสวนข้างบนมันร้อนก็จะได้อาศัยร่มเงาเขา ก็เป็นประเด็นว่าอยากเสนอเรื่องความสุข เพราะว่าเวลารณรงค์เรื่องEFอย่างที่เรารู้ว่าการทํางานของสมอง สมองส่วนคิดจะทํางานได้ดี หรือEFจะทํางานได้ดีก็ต่อเมื่อ Selfดี มีสมองส่วนอารมณ์ เบิกบาน ปลอดภัย เพราะฉะนั้นคนที่จะมีความสุขคือคนที่มี Selfดี ต้องมีความสุข จะมีความสุขเพราะว่ารู้สึกดีกับตัวเอง แล้วก็สามารถที่จะไปรู้สึกดีกับสิ่งอื่นๆได้ เพราะว่าเขามีความสุขอยู่ในตัว

เพราะฉะนั้นการที่เด็กจะมีความสุขได้ มันเริ่มจากหลายอย่างแต่อันหนึ่งก็คือการมองเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายหรือความสุขมาจากการที่ เราทําอะไรได้ด้วยตัวเองสําเร็จ ความสุขจากการที่รู้สึกว่ามีคนรักเรา มีคนเอื้อเฟื้อเรา เรากําลังทุกข์ใจก็มีคนมากอดเรา มีคนมาให้ความช่วยเหลือ ความสุขก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา เพราะฉะนั้นกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขมันก็ต้องค่อยๆ สะสม ถ้าคิดแบบปรัชญาก็คือว่าทุกข์เป็นของตาย ยังไงเราก็มีความทุกข์ นี่เป็นของตายตามหลักศาสนาหรือปรัชญา แต่ว่าจริงๆมนุษย์ก็ต้องมีจังหวะเวลาโอกาสที่จะต้องมีความสุขเพื่ออะไรเพื่อให้มันประคองชีวิตไปได้ คนที่มีแต่ทุกข์อยู่ตลอดแล้วไม่รู้สึกมีความสุขเลยเนี่ยมันชีวิตเดินหน้าไม่ได้ชีวิตจะไม่มีพลัง

ทำแบบนี้ดีต่อใจลูก

เพราะฉะนั้นการที่เด็กจะมีพลังพ่อแม่หรือคุณครูต้องทำให้

1.เด็กรู้สึกดีกับตัวเองให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีดี เด็กทุกคนมีดีอยู่ที่ว่าเราจะเห็นดีของเขาหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าเขารู้สึกดีกับตัวเอง ถือแก้วน้ําได้แล้ว เดินหยิบขยะไปทิ้งที่ถังขยะได้ เล่นเองแล้วเก็บของเล่นเองได้ จะทำให้ระหว่างทางเขามีความสุขเกิดขึ้น

2.ส่งเสริม ชื่นชม กระตุ้น สนับสนุนเขา ความรู้สึกที่มีความสุขจากการที่ตัวเองมีดีมันจะเป็นฐานที่เมื่อเขาผ่านสถานการณ์ที่ไม่ถูกใจ แต่ถ้าเขาปรับตัวได้หรือพลิกมุมมองบางอย่าง เช่น ต้นแม่มะเหมี่ยวก็จะมีเสียงที่คอยยุแยงตะแคง คอยถาม มาทำให้รําคาญ แต่ก็มีวิธีมองคือมองเรื่องเล็ก ๆ ว่าไม่เป็นปัญหา เรื่องดีมันมีมากกว่านั้นอีก ขี้นกตกเยอะก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวฝนมาขี้นกมันก็หายไป

3.ฝึกลูกอยู่ง่าย กินง่าย ปรับตัวง่าย มองโลกให้มีความสุขเรื่องพวกนี้ก็จะไม่รบกวนเขามากถึงวันที่มันมีเรื่องใหญ่จริงๆ ทุกข์จริงๆ เขาก็จะเอาความสุขที่มีอยู่ในตัวเขาที่มีพลังไปแก้ปัญหาคือวิธีแบบนี้ไม่ได้แปลว่าโลกสวย แต่เราต้องให้เด็กอยู่กับความจริง อะไรที่เป็นสุขก็คือเป็นสุข อะไรที่เป็นทุกข์ก็ต้องยอมรับว่ามันคือความทุกข์มันจะได้ไปแก้ปัญหา เพียงแต่ว่าการมีมุมมองที่บวก Positive Thinking มันคือการพลิกมุมมอง อย่างขี้นกตกใส่รถแทนที่จะโวยวายก็พลิกสถานการณ์จากลบให้เป็นบวกจะได้ชวนลูกบ้างรถ ไม่ได้แปลว่าเราไม่เห็นว่าขี้นกเป็นปัญหาเราเห็นมันเป็นปัญหา แต่เราหยิบปัญหามาเป็นสถานการณ์ที่เป็นการเรียนรู้

ปลายทางของมันคืออะไรคือทําให้เด็กอยู่ง่าย ทําให้เขามีความสุขง่าย มีอะไรก็ดีได้ไม่ต้องยาก แล้ววันที่เขาไปเจอของยากจริงๆ ของแย่จริงๆ เจออุปสรรคที่มันใหญ่จริงๆ ความสุขเหล่านี้มันจะเป็นฐานให้เขาไปแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น คือคนที่จะแก้ปัญหาอะไรยากๆ ถ้าเป็นคนที่คิดลบตลอดจะแก้ปัญหาไม่ได้ เด็กควรโตมาแบบที่เห็นว่าเรื่องยากทั้งหลายมันไม่ยากเกินกําลังแล้วเราก็เคยผ่านมาแล้วเคยจัดการเรื่องเหล่านี้มาแล้วก็สําเร็จมาทีละเล็กทีละน้อย คือมนุษย์มีศักยภาพที่จะหาความสุข สร้างความสุข เราไม่ต้องไปตัดศักยภาพของเด็กทําให้กลายเป็นคนที่รู้จักแต่ความทุกข์อย่างนี้ไม่แฟร์กับเด็กเราต้องให้เขามีโอกาสที่จะหาความสุขด้วย ให้เขามีทักษะมีวิธีมองมีประสบการณ์ไหมคะก็เหมือนกับเรื่องทักษะEF มองยืดหยุ่นความคิดไปอีกมุมหนึ่ง พลิกมุมจากความทุกข์เป็นความสุขได้ คือวิธีคิดที่ดีก็จะนํามาซึ่งความสุข แต่ขณะเดียวกันความสุขก็จะทําให้เรามีโอกาสมีวิธีคิดที่ดีมันเป็นสิ่งที่มันคู่กัน

ถ้าเด็กเป็นคนมีความสุข โดยเฉพาะเป็นความสุขที่มาจากการที่เขาประสบความสําเร็จ ได้รับคําชื่นชมเขาจะใช้ประสบการณ์ที่มีคุณภาพที่มีความสุขเหล่านี้ไปแก้ปัญหาได้เยอะจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ มันมีสถานการณ์แบบนั้นในชีวิตเราเยอะมากที่เราควรที่จะต้องหยิบมาแล้วก็ฝึกให้เขามองว่าถ้ามองอีกแบบหนึ่ง มองแล้วไม่เป็นทุกข์เป็นอย่างไรแล้วพอ คือเวลาที่มันเกิดจากเรื่องที่ไม่ถึงกับยาก ถ้าเราฝึกเขาไว้ในวันที่เขาเจอเรื่องยากเขาจะหยิบประสบการณ์พวกนี้ไปทดลองคิด แต่ถ้าเราไม่เคยให้ลูกทุกข์เลยเพอร์เฟกต์ไม่ต้องคิดอะไรของไม่ดีก็ทิ้งไป เขาก็จะรู้วิธีเดียวหรือแบบที่ตัดปัญหาไป แต่จริงๆ ในชีวิตจริงเราทําให้ดีกว่านั้นได้เราไม่จําเป็นต้องทําแบบนั้น กระบวนการคิด ที่มันค่อยๆซับซ้อนและประณีตขึ้น มันจะเกิดขึ้นได้จากการที่เราชวนเขามองเรื่องอย่างนี้ไปก่อน เริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ

EF ทำให้ลูกอยู่รอด

แม้โลกไม่ VUCA อย่างไรก็ต้องใช้ทักษะ EF เพราะว่าEFคือทักษะที่เกิดจากสมองส่วนหน้า ส่วนที่เราแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นความสามารถนี้ก็ พิสูจน์มาตลอดว่าเราใช้ EF ในการแก้ปัญหา ปรับตัว สร้างสรรค์และพัฒนา ยังไงเราก็ต้องเจอกับปัญหาที่มันหนักขึ้นเรื่อยๆ โลกร้อนนี่ก็เรื่องหนึ่งนะคะ หรือเทคโนโลยีที่เข้ามา อย่างตอนนี้มีแชท GPT มนุษย์ก็ต้องเก่งต้องพัฒนาเพื่อที่จะรับมือแล้วก็จัดการชีวิตเรา ชีวิตครอบครัวเรา ชีวิตสังคมเราได้

เพราะฉะนั้นสถานการณ์เหล่านี้มันต้องการความสามารถของสมองสิ่งที่เรากําลังทำคือฝึกเด็กเรื่องEF ให้เขารู้จักคิด มีทักษะที่จะคิด มีความรู้สึกดีที่จะคิด มีความรู้สึกอยากลองได้ลองผิดลองถูก กระบวนการฝึก EFในเด็กเล็กที่เราพยายามรณรงค์กันคือเพื่อให้เขามั่นใจว่าเขามีทักษะเหล่านี้ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้นแล้วฝังอยู่ในสมองเป็นชิปที่เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอกับอะไรเขาก็จะสามารถค่อยๆคิดวิเคราะห์ค่อยๆหาคําตอบ จนในที่สุดเรื่องยากเรื่องใหญ่มันก็จะเข้ามาในลูปของเส้นใยประสาทแบบนี้เหมือนกัน ถ้าเด็กของเราจํานวนมากเป็นอย่างนี้เราก็มั่นใจได้ว่าเขาจะช่วยกันคิด พากันแก้ปัญหา

สิ่งที่สําคัญก็คือว่าเวลานี้เราพบมากไปกว่านั้นว่าไม่ใช่แค่เด็กคิดเก่งเท่านั้นที่จะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้ดี แต่เราพบว่าเขาจะคิดเก่งคิดดีได้ ก็ต้องมีฐานใจที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน ฐานสมอง ฐานใจก็ต้องเสริมกัน เพราะฉะนั้พอเราจะมาทําเรื่องส่งเสริมEFให้เด็ก เราต้องส่งเสริมเรื่องSelfเขาไปด้วย เพราะว่าSelfที่ดีจะทําให้เขาพัฒนาEFได้ กล้าคิด กล้าพูด กล้าทํา กล้าไปเผชิญโลก กล้าไปเจอปัญหา แต่ถ้าSelfไม่ดี เขาก็จะกลัวไปหมดทั้งโลกมันน่ากลัว ทั้งโลกมันมืดมนทั้งโลกไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นต่อให้เขาคิดอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้จึงต้องทำสองเรื่องนี้ไปคู่กัน แล้วพอมีโควิดก็ทําให้เห็นว่าฐานกายก็ต้องไปด้วยกัน คือสุขภาพที่ดีจึงจะทําให้เขาสามารถไปคิดไปสร้างไปอะไรได้แล้วก็จะทําให้จิตใจของเขาดีได้ด้วย

เพราะฉะนั้นราต้องทำให้เด็กแข็งแรงทั้งสมอง จิตใจ ร่างกายก็คือครบองค์รวมได้ประโยชน์ครอบคลุม แทนที่เราจะไปทําเรื่องคุณธรรมก็ไม่ใช่ไม่ทําแต่ว่าไม่ใช่โฟกัสเรื่องเดียวคือคุณธรรม สมองที่คิดได้ดีที่ยับยั้งตัวเองได้ดีนั่นแหละคุณธรรมก็เกิด ไม่จําเป็นต้องไปไล่บอกว่าคุณต้องฝึกคุณธรรมอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น จริงๆ EFที่ดีมีการยั้งคิดไตร่ตรองก็มีศีลในตัวเอง เพราะฉะนั้นเราจะทําอะไรก็ตามทําให้มันเป็นทําเรื่องเดียวแล้วมันได้ทุกเรื่อง

ทำEFได้คุณธรรมแน่นอน ได้การคิดเก่งแน่นอน ได้IQ ได้ EQด้วย เวลานี้เราผลักดันอยากเชิญชวนพ่อแม่ทําเรื่องส่งเสริมEF ส่งเสริมSelfแล้วก็ผ่านกิจกรรมทางกายด้วย พาลูกออกกําลังกายเยอะๆ แต่ถ้าไปพาเรื่องเรียนเก่งอย่างเดียวจะมาเสียใจทีหลังว่า ลูกไม่มีSelf ลูกซึมเศร้า ลูกอยากฆ่าตัวตาย เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น หรือเอาแต่ลูกเรียนหนังสืออย่างเดียว ปรากฏว่าก็ไม่มีปฏิภาณที่จะแก้ปัญหาในชีวิต สรุปแล้วก็ไม่คุ้มทําสามเรื่องนี้ดีกว่าแล้วก็ยาวไปตลอดชีวิตของเขา

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

อ่าน เล่น ทำงาน ดีต่อพัฒนาการลูก

2850

คุณหมอคะ ทำไมคุณหมอพูดอยู่เรื่อยๆ เรื่องการอ่าน การเล่น การทำงาน เหมือนอะไรก็จะแก้ไขได้ด้วย 3 คำนี้

ใช่ครับ อะไรๆ ก็จะแก้ไขได้ด้วยสามคำนี้จริงๆ เวลาเราพบปัญหาพฤติกรรมในบ้าน ปัญหาที่เห็นมักเป็นยอดภูเขาน้ำแข็งเสมอ ใต้น้ำยังมีปัญหาอีกหลายข้อรอผุดขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่ควรรู้

บ้านเราชอบไล่แก้ปัญหาปลายเหตุ  เด็กดื้อก็อบรมสั่งสอน เด็กไม่มีวินัยก็อบรมสั่งสอน พอเด็กโวยวายหนักข้อขึ้นก็ไทมเอาท์ เหล่านี้เป็นการจัดการที่ปลายเหตุ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง แล้วรอปัญหาใหม่ที่จะตามมา อ่าน เล่น ทำงาน จึงเป็นการแก้ต้นเหตุ กวาดทุกปัญหาหายไปในหมัดเดียว

อ่าน เพื่อให้แม่มีอยู่จริง
อ่านนิทานก่อนนอนทุกคืน พยายามให้ตรงเวลา สม่ำเสมอและต่อเนื่องเป็นหลักประกันว่าแม่จะมีอยู่จริงแน่นอน หากคุณพ่ออยากจะมีอยู่จริงในสายตาลูกก็ควรลงไปอ่านนิทานก่อนนอนด้วยตนเอง พยายามให้ตรงเวลา ทุกๆ คืนเรามีอยู่จริง เราจึงจะสั่งสอนเด็กได้ พูดคำไหนคำนั้นได้มากกว่า หากคนพูดไม่มีอยู่เสียแล้ว คำพูดจะมีอยู่ได้อย่างไร เราจึงได้ปัญหาเด็กไม่ฟังมากขึ้นๆ เพราะพ่อแม่ออกไปทำงานมากขึ้น ส่งลูกไปโรงเรียนเร็วขึ้น การบ้านมีมากขึ้น

เล่น เพื่อระบายส่วนเกิน
เด็กดื้อ เด็กไม่เชื่อฟัง เด็กเป็นอะไรก็ไม่รู้ เรามักเสียเวลาหาสาเหตุ หาถูกบ้างหาผิดบ้าง เดาก็มาก โทษกันไปมาก็บ่อย แทนที่เราจะหมดเวลาไปกับเรื่องพวกนั้น เราควรใช้เวลาที่มีน้อยนิดลงไปเล่นก่อนการเล่นคือการเปิดวาล์วนิรภัย เด็กใกล้ระเบิดด้วยพลังไอน้ำที่อัดแน่น เราเล่นกับเขา เล่นจริงๆ ลงไปเล่นที่พื้น  วิ่งเล่นในสนามพลังส่วนเกินจะถูกระบายออกไปทันที แล้วเด็กมักจะกลับสู่สมดุลได้เร็วกว่าอย่างง่ายๆ การเล่นใช้เวลาของพ่อแม่มากกว่าการอ่าน แต่รับรองได้ว่าเวลาที่เสียไปคุ้มค่ามากมาย ที่จะได้คืนมาคือพ่อแม่ที่มีอยู่จริง สายสัมพันธ์ที่แข็งแรงมากกว่าเดิม  มากกว่านี้ทักษะการแก้ปัญหาและคิดยืดหยุ่นที่ดีกว่าเดิม 

ทำงาน เพื่อฝึกการควบคุมตนเอง
การทำงานไม่สนุกเหมือนการเล่น การทำงานใช้นิ้วมือ 10 นิ้วเหมือนการเล่น จึงพัฒนาสมองเหมือนการเล่น เล่นมาก ทำงานมาก สมองดีกว่า ทำให้ EF ดีกว่า แต่การทำงานเป็นเรื่องไม่สนุก หากเราเอาการทำงานมาขวางทางการเล่น เด็กๆ จะต้องฝึกฝนการควบคุมตนเองให้ทำงานจนกว่างานจะเสร็จเพื่อจะได้ไปเล่น

เด็กจะได้ฝึกความสามมรถอดเปรี้ยวไว้กินหวาน คือ delayed gratification  รู้จักอดทนต่อความลำบากก่อนที่จะลิ้มรสความสุขที่เกิดจากการทำงานเสร็จอ่าน เล่น ทำงาน จึงได้ทั้งหมด

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล


 

เมื่อพ่อแม่มีอยู่จริง การอ่านนิทานฝึกนิสัยจะได้ผลดี

3067

การอ่านนิทานเชื่อมโยงกับการฝึกวินัย ฝึกทักษะชีวิตอย่างไรได้บ้าง?

พูดเสมอคือพ่อแม่เป็นผู้อ่านนิทานด้วยตนเอง สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง ผลที่ได้คือพ่อแม่ที่มีอยู่จริงเมื่อเรามีอยู่จริงแล้วจะพูดอะไรก็ฟัง จะฝึกวินัยอะไรก็ง่าย

นอกเหนือจากตัวเราที่มีอยู่จริงแล้ว ยังมีสายสัมพันธ์ สายสัมพันธ์เปรียบเหมือนเส้นใยหรือเชือกที่เชื่อมระหว่างเราและลูก (จะพูดว่าล่ามก็ได้แต่อาจจะฟังดูไม่ไพเราะเท่าใดนัก) เมื่อมีเชือกจูงเสียแล้ว (ไม่ไพเราะจนได้) จะสอนหรือฝึกอะไรลูกก็ทำได้โดยง่าย
 
โดยทั่วไปเราอยากให้อ่านนิทานที่เปิดกว้างให้เด็กได้คิดต่อ เพราะความคิดที่เสรีจะมีคุณต่อเด็กในอนาคตมาก การอ่านนิทานหมวดคำสั่งสอน หรือฝึกวินัย ฝึกทักษะ มักได้เฉพาะเรื่องเฉพาะกิจ แต่ถ้าชอบหรือจำเป็นก็ทำได้
 
เมื่อพ่อแม่มีอยู่จริง การอ่านนิทานฝึกนิสัยก็จะได้ผลดี ด้วยกลไกที่พ่อแม่มีอยู่จริงพูดอะไรก็น่าเชื่อถือน่าติดตาม อีกกลไกหนึ่งเราเรียกว่ากลไกสวมรอยตัวละครในนิทาน คือ identification ว่าที่จริงแล้วกลไกการสวมรอยจะทำงานได้ดีเมื่ออายุประมาณ 3 ขวบขึ้นไป นั่นแปลว่าจะอย่างไรก็อาจจะต้องรอให้พ่อแม่มีอยู่จริงเสียก่อน ตามด้วยตนเอง (คือ self)ที่มีอยู่จริง ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเด็กมีอีโก้ (คือ ego)แล้ว จึงจะสวมรอยได้ เพราะหน้าที่สวมรอยหรือ identification นี้เป็นหน้าที่ของอีโก้  เราเรียกว่า ego function
 
อ่านนิทานหนูนิดติดเกมหนูแป๋งแปรงฟัน หนูไก่ไม่นอน พฤติกรรมที่เห็นได้ด้วยตานั้นอ่านให้เด็กๆ สวมรอยได้ไม่ยาก มีนิทานเช่นนี้มากมายในท้องตลาด
 
อ่านนิทานหมีน้อยขี้กลัว หมาป่าตาร้อน นกน้อยขยันยิ่ง ลักษณะนิสัยเหล่านี้มิได้เห็นด้วยตาเปล่า ไม่สามารถบรรยายได้ด้วยภาพเพียงภาพเดียวแต่ต้องใช้เนื้อเรื่องทั้งเล่ม การสวมรอยก็จะยากขึ้นอีกระดับเพราะเด็กต้องตั้งใจจดจ่อและบริหารความจำใช้งานได้นานพอจนจบเล่มจึงจะเข้าใจ มีนิทานเช่นนี้ในท้องตลอดมากมายเช่นกัน

ขึ้นชื่อทักษะคือ skills เป็นเรื่องต้องฝึก มิได้มาเอง ทักษะชีวิตก็เช่นกัน ทักษะย่อยๆ เช่น การกิน แปรงฟัน การนอน เหล่านี้ควรได้รับการฝึกในเวลาไม่นานหลังการอ่าน เช่น อ่านคืนนี้ พรุ่งนี้ทดลองฝึกได้เลย เด็กมักให้ความร่วมมือดีกว่าเพราะแม้แต่หนูนิด หนูแป๋ง และหนูไก่ก็ทำได้ แม่ในนิทานเป็นปลื้มแม่ในชีวิตจริงก็ควรจะปลื้มเช่นกัน
 
มิใช่อ่านเสร็จแล้วปล่อยพี่เลี้ยงฝึก หรือยกให้ปู่ย่าตายายฝึก หมีน้อย หมาป่าน้อย นกน้อยนิสัยดีก็ควรได้รับการฝึกฝนหลังการอ่านได้ไม่นานนัก ซึ่งแปลว่าอาจจะไม่ต้องรอเหตุการณ์จริงเกิดขึ้นเพราะไม่รู้เราจะพบแมงมุมตัวต่อไปเมื่อไร แต่เราฝึกได้ในวันรุ่งขึ้นด้วยการเล่นสมมติ การเล่นสมมติหรือการเล่นละครเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้เสมอหากพ่อแม่จะมีเวลาและเห็นความสำคัญที่จะลงไปเล่นด้วยตนเอง
 
อ่านปุ๊บฝึกปั๊บน่าจะดีที่สุดครับ


นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล


 

แนะนำ นิทาน 2 ภาษา (จีน-ไทย) ฝึกให้เด็กเก่งภาษาได้เร็วขึ้น

ชุดหนูน้อยหัดอ่าน 2 ภาษา จีน-ไทย, ภาษาไทยภาษาจีน, ทักษะ, นิทาน, ฝึกสมอง, คำศัพท์, โรงเรียนแสนสุข, ไข่มีคุณค่า, กระต่ายกับเต่า, กลางวันกลางคืน, การเดินทางแสนสนุก, ครอบครัวมีสุข, ต้นไม้ที่รัก, ปลอดภัยไว้ก่อน, ผลไม้น่ากิน, ผักแสนดี, ร่างกายของฉัน, สัตว์น่ารัก

ชุดนิทาน หนูน้อยหัดอ่าน สองภาษา (จีน-ไทย)

หนังสือนิทานช่วยฝึกทักษะเด็กๆช่วยเพิ่มพูนคำศัพท์พร้อมกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว ภาพประกอบน่ารัก สีสันสดใส ในหนังสือนิทานเล่มนี้จะมีทั้งสองภาษาคือภาษาไทยและภาษาจีน เพื่อให้เด็กได้ฝึกอ่านและได้ความรู้ของภาษาจีนไปในตัวด้วย วันข้างหน้าอาจจะทำให้เด็กกล้าที่จะพูดกับผู้คนที่เขาไม่รู้จักและกล้าที่จะสามารถสื่อสารได้ ชุด หนูน้อยหัดอ่าน สองภาษา (จีน-ไทย) 1 ชุด มี 12 เรื่อง ได้แก่



1. เรื่อง ปลอดภัยไว้ก่อน 

เรื่องราวความปลอดภัยของเด็ก ในตอนเลิกเรียนและเวลาออกไปข้างนอกสื่อถึงการเดินทางให้เด็กๆควรระวังตัวเองหรืออันตรายรอบด้านที่อาจจะเกิดกับตัวเด็กได้



2. เรื่อง กระต่ายกับเต่า 

เรื่องราวของสัตว์สองตัวที่แข่งขันกันใครไปถึงก่อนจะมีชัยชนะไว้ภาคภูมิใจ โดยคำท้าแข่งนี้มาจากเจ้ากระต่ายน้อย ทำให้เด็กๆคิดด้วยว่าใครจะชนะ



3. เรื่อง ร่างกายของฉัน

เด็กหญิงคนนึงที่จะมาบอกกับเราเกี่ยวกับอวัยวะในร่างกายของเรา ว่าอวัยวะนี้มีหน้าที่ทำอะไรได้บ้างและมีประโยชน์ยังไง



4. เรื่อง สัตว์น่ารัก 

มารู้จักเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆที่อยู่ในเรื่องนี้ และลักษณะเด่นๆของพวกมัน



5. เรื่อง การเดินทางแสนสนุก 

การเดินทางของเด็กๆที่จะทำให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวของเขาเอง



6. เรื่อง โรงเรียนแสนสุข 

เรื่องราวในชีวิตประจำวันของเด็กๆในโรงเรียน ว่าเด็กๆทำไรกันบ้างรู้จักกฎระเบียบของโรงเรียนแค่ไหน และมารู้จักกับสถานที่ภายในบริเวณโรงเรียนของเด็กๆ



7. เรื่อง ต้นไม้ที่รัก 

การเล่าประโยชน์ของต้นไม้ ว่าต้นไม้มีประโยชน์ยังไงช่วยอะไรคนเราได้บ้าง



8. เรื่อง ผลไม้น่ากิน 

มารู้จักผลไม้ต่างๆ และสรรพคุณของผลไม้ว่ามีประโยชน์ยังไง



9. เรื่อง ผักแสนดี

เรื่องของผักที่คุณประโยชน์หลากหลายและแต่ละผักช่วยอะไรได้บ้าง



10. เรื่อง ครอบครัวมีสุข 

เรื่องราวของความรักความอบอุ่นภายในครอบครัว ความสามัคคี ของเด็กๆ



11. เรื่อง ไข่มีคุณค่า 

ไข่ที่มีประโยชน์ สารพัดไข่และไข่ชนิดนี้นำไปทำอาหารอะไรได้บ้าง



12. เรื่อง กลางวัน-กลางคืน

เรื่องของเวลาใน1วัน ว่ากลางวันแสงสว่างมาจากไหนและกลางคืนแสงหายไปไหน ทำให้เด็กคิดได้ว่าในเวลากลางวันคนเยอะและทำไมกลางคืนคนถึงหายไปไหนแล้วเขาทำไรกัน


และนี่ก็คือนิทาน 12 เรื่อง ใน ชุดหนูน้อยหัดอ่าน 2 ภาษา จีน-ไทย ให้แม่ ๆ ลองไปหาซื้อมาให้เด็ก ๆ ลองอ่านดูนะคะรับรองว่าเด็ก ๆ เก่งภาษาเพิ่มขึ้นมาแน่นอนค่ะ อีกอย่างฝึกสมองและทักษะของเด็ก ๆ อีกด้วยนะคะ

 

สอบถามและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่...

Facebook Fanpage รักลูกคลับ : http://m.me/raklukeclub

Line @raklukeselect : https://shop.line.me/@raklukeselect/product/320415688

Shopee : https://bit.ly/3tFmW9M

 

 

ใช้เวลาก่อนนอนกับลูก สำคัญอย่างไร

3030

ปู่ย่าชอบมาขอเอาลูกไปนอนด้วยทุกคืน ลำบากใจมากเลย?

ประเด็นที่หนึ่ง เวลาในรอบหนึ่งวันของเรามีไม่มาก พ่อแม่สมัยใหม่ไปทำงาน กลับบ้านก็ค่ำแล้ว เวลาที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับลูกเล็ก ใช้ชีวิตร่วมกัน เล่นด้วยกัน มีน้อยมาก เราไม่ควรเสียเวลานี้ไปให้กับคนอื่น ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าภารกิจของเราสอง (แม่-ลูก พ่อ-ลูก) คือสร้างพ่อแม่ที่มีอยู่จริงและสายสัมพันธ์

ประเด็นที่สอง การอ่านนิทานก่อนนอนเป็นโมเมนต์ (ช่วงเวลา) สำคัญ เราอยากให้ใช้ 30 นาทีสุดท้ายของวันในการใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความผ่อนคลาย พ่อแม่อาบน้ำสะอาด วางงาน วางมือถือมาอ่านนิทานให้ลูกฟังทุกๆคืน นี่เป็นกระบวนการสร้างพ่อแม่ที่มีอยู่จริงและสายสัมพันธ์อันทรงพลัง ไม่อยากให้สูญเสียเวลานี้ไปที่คนอื่น

ประเด็นที่สาม เรื่องวินัยการนอน รวมไปถึงกิจกรรมอื่นๆก่อนนอน บ้านที่พ่อแม่เป็นผู้กำหนดวินัยได้เองโดยไม่มีใครมาทำให้เฉไฉออกไปจะพบว่าการเลี้ยงดู อบรม สั่งสอนเด็กๆ เป็นเรื่องง่ายมาก หากพ่อแม่พูดตรงกันก็จะยิ่งง่ายมากขึ้นไปอีก การปล่อยให้ลูกไปนอนกับคนอื่นเป็นความเสี่ยงต่อการที่เด็กจะได้วินัยที่แตกต่าง  ข้อกำหนดที่แตกต่างทำให้เด็กพัฒนายาก และหากเด็กได้รับการตามใจเกินพอดี เราพบว่าพ่อแม่จะยิ่งอบรมยากมากขึ้นไปอีก

ประเด็นที่สี่ เราพบบ่อยครั้งว่าปู่ย่าตายายมักจะใจดีกว่าพ่อแม่ แน่นอนว่าด้วยความรัก บางท่านอาจจะไม่เคร่งครัดกับการดูทีวีก่อนนอน ไม่เคร่งครัดกับการกินขนมหรือแปรงฟันก่อนนอน ไม่เคร่งครัดกับการล้างเท้าก่อนนอน (ผีพนันจะเข้าสิง) ไปจนถึงไม่เคร่งครัดกับเวลานอน การตามใจในเรื่องเหล่านี้จะทำให้วินัยด้านอื่นแปรปรวนด้วยเด็กล่วงรู้ว่าอำนาจของพ่อแม่เป็นเรื่องขัดขืนได้ มิใช่ว่าจะขัดขืนมิได้ดังที่เคยรู้สึก

ประเด็นที่ห้า คือเหตุการณ์ในตอนกลางดึกที่เราทำนายได้ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะคลื่นสมองช่วงหลังอาทิตย์ตกดินของเด็กๆแต่ละคนยังคงมีความแปรปรวนต่างๆกันเป็นเรื่องปกติ เด็กอาจจะมีการละเมอพูด ลุกนั่งร้องไห้ ลุกยืนพึมพำ ไปจนถึงเตะถีบอย่างรุนแรง เหล่านี้แก้ไขได้ด้วยความสงบอย่างสม่ำเสมอของคนเป็นพ่อแม่ หากต่างคนต่างพยายามแก้ไขไปคนละทางสองทางมักทำให้คลื่นสมองแปรปรวนไปได้อีกพักใหญ่

ประเด็นที่หก คือเราพบว่าเด็กส่วนใหญ่จะติดใจไม่ยอมกลับมานอนกับพ่อแม่อีกเลย  รวมทั้งเป็นการส่งสัญญาณว่าเขาจะนอนที่ไหนก็ได้ในอนาคต เช่น ขอไปนอนกับเพื่อน เป็นต้น  ที่จริงแล้วเราไม่ควรให้ลูกไปนอนที่ใดทั้งนั้นจนกว่าจะมีข้อพิสูจน์ได้ว่าเขาสามารถดูแลตนเองได้อย่างดีที่สุดทั้งกลางวันและกลางคืน มีความสามารถควบคุมตนเองให้อยู่ในกฎ กติกา มารยาทที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

ประเด็นที่เจ็ด แม้ว่าจะพบน้อยถึงน้อยมาก (ตามที่มีรายงาน) แต่เราไม่สามารถวางใจได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกแม้ว่าจะอยู่ในวงศ์ญาติก็ตาม (ซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่าที่รายงาน) รวมถึงเราไม่ควรแยกพี่หรือน้องออกไปนอนบ้านอื่นด้วย เรื่องยุ่งยากจะติดตามมา

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล