facebook  youtube  line

"เลือกโรงเรียนอย่างไรดี"

2250

มีคำถามเสมอว่าควรเลือกโรงเรียนอย่างไร ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าชนชั้นกลางระดับกลางหรือสูงมีกำลังจ่ายค่าเล่าเรียนโรงเรียนทางเลือก หรือทำโฮมสคูลในขณะที่ชนชั้นกลางระดับกลางหรือล่าง รวมทั้งชนชั้นล่างไม่มีกำลังจ่าย รู้ทั้งรู้ว่าการศึกษาสมัยใหม่เป็นอย่างไรก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนอกจากส่งเรียนโรงเรียนตามระบบ คือโรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนเอกชน

มีงานวิจัยจากต่างประเทศว่าเวลาและกิจกรรมที่พ่อแม่มีให้แก่กันในช่วงปฐมวัยมีความสำคัญมากกว่าชื่อเสียงโรงเรียน  มีงานวิจัยในระดับประถมทำนองนี้ด้วยแต่น้อยกว่า ผมมีคำแนะนำเพียงข้อเดียวเสมอนั่นคือ “เลือกโรงเรียนใกล้บ้าน”

ประสบการณ์ส่วนตัวผมส่งลูกสองคนเรียนใกล้บ้านจริงๆ ตอนปฐมวัยขับรถห้านาทีถึง ตอนประถมเดินไปกลับ ผมขับรถส่งลูกทุกวัน ห้านาทียังเล่นยิงขีปนาวุธใส่เต่าไฟกาเมร่าตามทางไม่เสร็จก็กลับถึงบ้านแล้ว ตอนเดินไปกลับผมเดินไปส่งทุกเช้าแล้วปล่อยสองพี่น้องเดินกลับเอง แต่ละจังหวัดต่างกัน

คำว่าใกล้บ้านควรมีความหมายว่า “เมื่อบวกลบปัจจัยทั้งหมดแล้ว เรามีเวลาคืนมาที่บ้านมากที่สุด” ปัจจัยต่างๆ ที่เอามาคิด ได้แก่ ระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียน ระยะทางจากบ้านถึงที่ทำงานพ่อแม่ ระยะทางจากที่ทำงานพ่อแม่ถึงโรงเรียน จำนวนการบ้าน จำนวนกิจกรรมพิเศษของโรงเรียนทั้งที่เหลวไหลและมีสาระ เวลาทำโอทีของพ่อแม่ เป็นต้น

เหล่านี้บวกลบแล้วเหลือกี่ชั่วโมงต่อวันที่เราจะได้เล่นด้วยกัน และเหลือกี่ชั่วโมงในวันเสาร์อาทิตย์ที่เราจะได้เที่ยวด้วยกัน นั่นคือใกล้บ้าน

ภายใต้ข้อเท็จจริงอีกเช่นกันว่าทุกโรงเรียนมีจุดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนทางเลือก โฮมสคูล โรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนเอกชน เวลาที่คืนมาเราเอามาทำอะไรบ้าง?

หนึ่งคือเล่น อันนี้ต้องทำแน่ๆ เน้นย้ำอีกครั้งว่า “เล่นด้วยกัน” สองคือทำงานบ้าน เพราะงานบ้านสร้าง EF (Executive Function) ความสามารถระดับสูงของสมองเพื่อความสำเร็จในชีวิต อ่านนิทานก่อนนอน หรือเล่านิทาน หรือคุยกันก่อนนอน อันนี้เป็นกิจกรรมภาคบังคับ ต้องทำเช่นกัน ดังนั้นหาโรงเรียนที่การบ้านไม่มากนักเราจะได้มีเวลามีความสุขด้วยกันก่อนนอน

สำคัญที่สุดคือมีเวลาให้เราชดเชยความเสียหายที่ได้มาจากโรงเรียน พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าโรงเรียนไม่ดี แต่ชีวิตเป็นเรื่องทำนายไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเด็กๆ พบอะไรในแต่ละวัน เขาตีความประสบการณ์ต่างๆ นานาเหล่านั้นอย่างไร สร้างความไม่สบายใจหรือคับข้องใจเพียงใด เพราะเราไม่รู้เราจึงต้องมีเวลาในแต่ละวันเหลือเอาไว้  “ล้างใจ”

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล

 

"ไม่มีเงินมากพอ ไปโรงเรียนธรรมดาๆ ได้มั้ย"

2253

คำตอบคือ ได้ คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีเงินมากพออยู่แล้ว คนส่วนใหญ่อยู่ได้ เราก็ควรอยู่ได้ อยู่กับเด็กส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นคนชั้นกลางระดับกลางถึงล่างและชนชั้นล่างมีข้อดีในตัว

แต่ควรรู้ทันว่าโรงเรียนทั่วไปมีข้อเสียอย่างไรด้วย เราอย่าดูดายเตรียมชดเชย และโรงเรียนทางเลือกมีข้อดีอย่างไรเราอย่าทำเฉย โรงเรียนทั่วไปมีข้อเสียที่ไม่มีเสรีภาพห้ามคิด ห้ามพูด และห้ามทดลอง แต่งตัวตามระเบียบ ไม่ให้ใส่เครื่องประดับ เข้าแถวตรงเวลา เรียนตามหลักสูตร ห้ามพูดในห้องเรียน ห้ามคิดนอกเหนือหลักสูตร และตอบข้อสอบให้ตรงคำเฉลย จึงจะเรียนจบได้เป็นเด็กดี

แม้ว่าโรงเรียนบางแห่งจะว่าให้คิดวิเคราะห์แต่ให้น้อยเกินไป ไม่สามารถคิดวิเคราะห์เกินกว่าเฉลยข้อสอบหรือข้อกำหนดทางวัฒนธรรม โรงเรียนแบบนี้ไม่เหมาะกับศตวรรษใหม่ที่เด็กๆ มีไอทีอยู่บนฝ่ามือ และการควบคุมตนเองจากภายในจึงเป็นวินัยที่แท้มิใช่การควบคุมจากภายนอกซึ่งมักไม่ได้ผล

ดังนั้นไปโรงเรียนทั่วไปได้แต่พ่อแม่เองที่ใจควรเปิดกว้าง อนุญาตให้ลูก คิด พูด ทำนอกกรอบได้ตามสมควรตราบเท่าที่มิได้ละเมิดกฎ 3 ข้อพื้นฐานคือห้ามทำร้ายคน ห้ามทำลายข้าวของ และห้ามทำร้ายตัวเอง

นอกเหนือจากสามข้อนี้ เรายินดีให้ลองแต่ แต่มีข้อแม้คือบ้านเราจะมีชั่วโมงหรือเวลานั่งผ่อนคลายคุยกันบ่อยๆ ว่าลูกทำอะไรไปจนถึงทำอะไรลงไป การพูดคุยนี้ตั้งอยู่บนบรรยากาศของความไว้วางใจ คือ trust เรายินดีฟังทุกเรื่องโดยไม่ตำหนิ ไม่สกัด หรือไม่เป็นลม เรามาพูดคุยและแลกเปลี่ยนเท่านั้น ภายใต้ข้อเท็จจริงว่าเด็กๆ เติบโตเองได้แล้ว

ถ้ามีอะไรที่เราต้องการหาข้อมูลหรือความรู้เพิ่มเติม เราช่วยชี้ช่อง หรือลุกขึ้นชวนไปหาด้วยกัน หาในอินเทอร์เน็ต หาในห้องสมุด หรือไปหาในสถานที่จริง เราควรสละเวลาไปและใช้งบประมาณ ใช้โอกาสนี้สอนลูกด้วยว่า “ข้อมูล” และ “ความรู้” เป็นสองสิ่งที่ไม่เหมือนกัน  ให้เขาเข้าใจว่าอะไรที่ได้มาเป็นข้อมูลหรือความรู้กันแน่  เป็น data หรือเป็น knowledge

นี่คือรูปแบบการเรียนรู้สมัยใหม่ ที่เหมาะกับการเพิ่มพูนทักษะการไม่ยึดติดและพร้อมทดลองสิ่งใหม่  ประเมินผล คิดวิเคราะห์  แล้วปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าไปโรงเรียนทางเลือก จะได้ใช้กระบวนการเหล่านี้ร่วมกับเพื่อน แต่ก็ไม่เสมอไปโรงเรียนทางเลือกบางแห่งมิได้ใส่ใจการทำงานเป็นทีมมากเท่าที่ควร

ดังนั้นแม้ว่าเด็กๆ จะทำโครงงานมากกว่าโรงเรียนทั่วไป แต่ก็ยังคงเป็นการฉายเดี่ยวอยู่ดี เป็นที่ทราบกันแล้วว่าการฉายเดี่ยวคนเดียวจะคิดวิเคราะห์อย่างไรก็ไปได้เท่าที่คนคนหนึ่งจะไปได้

แต่การทำงานเป็นทีมคิดวิเคราะห์เป็นทีม คือ collaboration มีพลังขับเคลื่อนการเรียนรู้มากกว่านั้นสมองของเด็กๆ 1+1 จะมิใช่ได้เพียง 2 แต่มากกว่า 2 และการทำงานเป็นกลุ่ม 1+1+1+1+1 บนความหลากหลายจะได้มากกว่า 5

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล




 

7 วิธีเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น ดูสบาย ๆ แต่เด็กมีความรับผิดชอบสูงลิ่ว

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

เคยเห็นเด็กๆ ญี่ปุ่นไหมคะ ทำไมเขาช่างน่ารัก ไม่ชอบโวยวาย พูดดีเกินวัย กล้าพูด แถมมีมารยาทดีอีกด้วย อีกทั้งหนังสือเลี้ยงลูกของญี่ปุ่นก็ยังได้รับความนิยมมากๆ เราเลยจะมาบอกถึงวิธีการเลี้ยงลูกของคนญี่ปุ่นกัน ว่าคุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเลี้ยงลูกแบบเข้าใจธรรมชาติของเด็กอย่างไรบ้างค่ะ

 
7 วิธีเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น ดูสบายๆ แต่เด็กมีความรับผิดชอบสูงลิ่ว

1.ชวนลูกคุยและรับฟังลูกเสมอ

การชวนลูกคุยเป็นประจำก็จะได้รับฟังปัญหาของลูกด้วย ไม่มองปัญหาของลูกเป็นเรื่องของเด็กๆ ควรฟังและใช้เหตุผลสอนลูก และแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้ลูก จะได้ร่วมแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปสู่พฤติกรรมที่ดีของลูกค่ะ

2.ฝึกให้ลูกตรงต่อเวลา

ชาวญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องการตรงต่อเวลามากๆ ซึ่งถูกฝึกมาตั้งเเต่เด็กๆ เช่น ฝึกลูกตื่นและนอนให้ตรงเวลาแม้กระทั่งวันหยุด ให้ความสำคัญกับอาหารเช้าและทานให้เป็นเวลา เมื่อครบเวลาเเล้วลูกจะต้องเก็บจานอาหารในทันที การฝึกแบบนี้อาจะต้องใช้เวลาแต่เด็กจะสามารถปรับตัวได้เองค่ะ

3.ส่งเสริมจุดแข็งของลูก

สนับสนุนอย่างเต็มที่ พ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นเชื่อเสมอว่าลูกจะต้องมีสิ่งพิเศษในตัวเอง เลยชอบพาลูกไปทำกิจกรรมและมองหาสิ่งที่ลูกถนัด เช่น เล่นกีฬา วาดภาพ ทำอาหาร เป็นต้น อะไรที่ลูกชอบจะต้องส่งเสริมให้ลูกทำสิ่งนั้นๆ อย่างสุดความสามารถ

4.ไม่ปกป้องลูก

เมื่อลูกทำผิด หากลูกทำผิดไป พ่อกับชาวญี่ปุ่นจะเข้าไปสอนลูกทันทีไม่ปล่อยเรื่องราวผ่านไปให้ลูกชะล่าใจ และเเนะนำสิ่งที่ถูกให้กับลูกโดยไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถือว่าพฤติกรรมเล็กๆ ในวันนี้อาจเป็นเรื่องใหญ่ในวันหน้าค่ะ

5.สอนลูกให้พูดขอโทษเเละขอบคุณ

คนไทยส่วนใหญ่มักจะสอนให้เด็กพูดว่า ขอ ซึ่งชาวญี่ปุ่นมักปลูกฝังให้เด็กๆ พูดขอบคุณเเละขอโทษตั้งแต่เด็กจนเป็นนิสัย เเต่ไม่ใช่เพียงคำพูดเท่านั้น เพราะถือว่าเด็กๆ ต้องพูดออกมาจากความรู้สึกให้ผู้ฟังสัมผัสได้ด้วย

6.สอนให้เห็นแก่ส่วนรวม

ต้องไม่เห็นแก่ตัว การฝึกให้ลูกมีจิตสาธารณะเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับชาวญี่ปุ่น ต้องทิ้งขยะให้ลงถังและต้องแยกชนิดของขยะให้ถูกต้อง ต้องมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก ต้องเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคมชาวญี่ปุ่นจะพูดคำว่า 'ต้อง' ทำเสมอ

7.แสดงความรักต่อลูก

พ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นไม่ลังเลเลยที่จะเเสดงออกว่ารักลูก ทั้งการกอด สัมผัส เเละบอกรัก สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นใจในอนาคต

 

นอกจากนั้นพ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นก็มักจะชื่นชมลูกบ่อยๆ เพราะเป็นอีกทางหนึ่งในการพัฒนานิสัยที่ดีของเด็กค่ะ

รักลูก The Expert Talk EP 86 : เรียนรู้อยู่ร่วมกับความต่าง นิทานในสวนกับ ย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

รักลูก The Expert Talk Ep.86 : เรียนรู้อยู่ร่วมกันกับความต่าง นิทานในสวนกับ ย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

นิทานที่เป็นได้มากกว่านิทาน เป็นการเรียนรู้โลกเบื้องต้นของเด็ก เพื่อเตรียมตัวให้รู้จักกับชีวิตที่จะเดินไปข้างหน้า ได้รู้จักผู้คน รู้จักสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว และรู้หลักคิดว่าจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร

พ่อแม่สามารถใช้นิทานสร้าง Eco System ให้กับเด็กได้ เป็นตัวกระตุ้นการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากยิ่งขึ้น

 

ฟังแนวคิดและหลักคิดที่จะได้จาก นิทานชุดไปสวนกับย่า “ไม่เหมือนกันแต่ก็เหมือนกัน” และ “เหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน” จากย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 87 : ฟื้นฟูสมอง เร่งเรียน เร่งรู้ด้วยนิทาน EF

 

รักลูก The Expert Talk Ep.87 : ฟื้นฟูสมอง เร่งเรียน เร่งรู้ด้วยนิทาน EF

 

นิทานชุดในสวนของย่า เรื่อง โอ๊ะโอ! ขอโทษนะ และ เรื่อง ให้เวลาหน่อยนะ จะช่วยตอบคำถามที่ค้างคาในใจของพ่อแม่ได้ว่าทำไมลูกเราช้ากว่าคนอื่น? ทำไมคนอื่นต้องทำผิดกับเรา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย?

คำถามที่ต้องการมุมมอง ความคิด เพื่อทำความเข้าใจกับพัฒนาการของลูกและสถานการณ์ปัจจุบัน

 ชวนฟังแนวคิดและหลักคิดเพื่อนำไปปรับใช้เลี้ยงลูกได้จากนิทานของย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

ให้เวลาหน่อยนะ ชุดในสวนของย่า

ในสวนของย่า เริ่มจากที่ชวนหลานมาช่วยทําสวนครัวเล็กๆ บนหลังคาโรงรถ มันทําให้เราได้สังเกตชีวิตของพืชพันธุ์ ของผักที่เราปลูก แมลงต่างๆ มันทำให้มีชีวิตชีวา ซึ่งก็เป็นจุดที่ดึงความสนใจเด็กได้พอสมควร นิทานเรื่องให้เวลาหน่อยนะก็มาจาก จากการที่เราสังเกตว่าเวลาเราปลูกต้นไม้แม้จะปลูกพร้อมกัน แต่มันขึ้นไม่พร้อมกัน การเติบโตก็ไม่เหมือนกัน มันจะมีต้นใหญ่ต้นเล็ก แล้วแต่เหตุปัจจัย ก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่าเด็กๆ ก็อาจจะต้องเข้าใจพัฒนาการของแต่ละช่วงเวลา สําหรับเด็กเขาน่าจะได้มีโอกาสรู้ว่า อะไรต่ออะไรมันก็ไม่ได้ต้องเป็นไปตามแบบนั้นแบบนี้เสมอไป ก็เลยใช้เรื่องต้นถั่วขึ้นมาเพื่อที่จะให้หลานได้เรียนรู้ เขาเองก็มีข้อสงสัยอยู่แล้วว่าก็หยอดเหมือนกันแล้วทำไมไม่โตสักที จากการที่ว่ามันไม่โตสักที ทําไมมันไม่เท่าคนอื่นไม่เหมือนคนอื่นก็เป็นที่มาของการเขียน

เข้าใจจังหวะเวลาการเติบโต

สิ่งที่เด็กได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ สิ่งต่างๆถ้าตามธรรมชาติ มันจะมีจังหวะเวลาของมัน เช่น ผักถ้าเป็นเมล็ดถั่วยังไงก็ต้องประมาณเกือบ 10 วัน กว่ามันจะงอกหรือถ้าเป็นผักเล็กๆน้อยๆประมาณ 4-5วัน แต่ละชนิดมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเขาพอจะเข้าใจว่าแต่ละสิ่งนั้นมันมีจังหวะเวลาของมัน มันมีเวลาของชีวิตมันซึ่งไม่เหมือนกัน มนุษย์ สัตว์ ต้นไม่ก็มีเวลาของตัวเอง

เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าใจก่อนว่าแต่ละสิ่งมีเวลาที่ไม่ตรงกันไม่เหมือนกันก็เป็นการทําความเข้าใจโลก ซึ่งการชวนให้เขาไปสังเกตเขาจะได้ความรู้ ได้ทักษะรวมทั้งได้เจตคติ Mindsetว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เราจะไปเร่งให้มันเร็วหรือทำให้สิ่งนี้ช้าลงก็ไม่ได้ เหมือนไปบอกผักว่าไม่อยู่บ้าน อย่าเพิ่งโตนะกินไม่ทันเราก็บอกมันไม่ได้ และสิ่งที่สําคัญก็คือถ้าเรารู้จักเวลามันจะทําให้เรารู้จักรอด้วย เราจะรู้จักรอ รู้ว่าอย่าเพิ่งไปเร่งมัน แล้วสิ่งที่ได้ประโยชน์มากก็คือคนอ่านพ่อแม่ก็ได้เข้าใจลูกไปด้วยว่า ลูกเราก็จะเหมือนต้นถั่วนี้แหล่ะ ถ้าอะไรที่เรารู้สึกยังไม่ถูกใจไม่ชอบใจ ทําไมทำนั่นทำนี่ไม่ได้ เราก็อาจจะต้องมาดูก่อนว่าอันที่หนึ่ง ใช่เวลาของเขาไหมยังรอได้ไหม อันที่สองมันจะนําไปสู่การเข้าใจที่มาของการที่มันไม่ได้ มันไม่ได้ต้องตรงกัน

เด็กในห้องเรียนห้องเดียวกัน ทําไมคนนี้สอบได้ คนนี้สอบไม่ได้ ทําไมลูกเขาได้ ABCแล้วทําไมลูกเราไม่ได้ กระบวนการทําความเข้าใจอย่างนี้ นอกจากจะมีเวลาเป็นตัวตั้งแล้ว มันยังมีการเข้าใจถึงปัจจัยและเหตุที่มาว่าทําไมเขาถึงไม่ได้ เด็กบางคนก็ช้ากว่าเพื่อนแต่เขาเป็นม้าตีนปลาย ดังนั้นการที่ผู้ใหญ่เข้าใจเราก็จะเปลี่ยน คือไม่ไปเร่งเด็ก ไม่คาดหวังเด็กเองพอเขาเข้าใจก็จะไม่คาดหวังทุกเรื่องมากจนเกินไป รู้จักจังหวะรู้จักรอคอย ใช้ธรรมชาติให้เขาได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลง และเด็กจะค่อยๆ เข้าใจธรรมชาติของตัวเองด้วย และปรับเข้ากับเรื่องอื่นด้วย อย่างเช่นบางที น้องชายบอกทําไมเขาไม่ได้อันนี้เท่านี้เท่านั้นเหมือนพี่ พี่ชายเขาตอบเองเลยก็พี่เกิดก่อนไงพี่ก็ต้องรู้ก่อน แล้วพี่ก็ต้องกินมากกว่าอะไรทํานองแบบนี้ พอจะมีคําอธิบายถูกบ้างผิดบ้างแต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักเอาไปใช้

อีกเรื่องที่สําคัญเราจะพบว่าหลายอย่างเราแก้ปัญหาได้ เช่น สมมติว่าเรารู้ว่ามันโตช้ากว่าคนอื่นเราอาจจะต้องเติมดินเติมปุ๋ย เพราะว่าความต้องการ มันไม่เหมือนกั เมื่อเขาโตขึ้นเขาก็จะเข้าใจว่ามนุษย์ก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคนนี้เขาขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้เราเติมเข้าไปก็ยังมีโอกาส ที่จะทําให้เขาเติบโตต่อไปได้ยังแก้ได้ไม่มีอะไรที่แบบว่าจะไม่โตเลย

ไม่ยัดเยียด ไม่เร่งรัด สร้างใยประสาทให้เติบโตด้วยความสุข

หลังโควิดพ่อแม่เร่งเรียนลูกเป็นความเข้าใจของพ่อแม่ที่คิดว่าต้องอัดให้เท่ากับสิ่งที่เขาไม่ได้เรียนมา ก็คือเป็นการชดเชยที่ตรงไปตรงมาเพียงแต่ว่ามนุษย์ มันไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างนั้นซะทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่หายไปมันไม่ใช่แค่เวลาที่เขาไม่ได้เรียนแต่สิ่งที่หายไปคือ เช่น เส้นใยประสาทมันไม่งอกในช่วงเวลานั้น ถ้ามันไม่มีอะไรกระตุ้นเลย ใช้แต่มือถือแล้วก็นั่งจับเจ่าอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นเส้นใยประสาทที่ควรจะงอกเมื่อเขาได้วิ่งเล่น ได้เจอผู้คน ได้อ่าน ได้อยู่กับเพื่อน พอมันไม่งอก มันคุดไปแล้วเปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีอะไรมาบัง อาจจะโตได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเราเอาสิ่งที่บังออกเราจะทําให้มันเท่ากับต้นที่โตไปแล้ว 1ฟุตได้ไหม อาจจะไม่ได้ เพราะว่ามันแกร็นไปแล้ว และถ้าจะทำให้โตเท่ากับอีกต้นที่มันไม่ถูกแกร็นก็คงจะต้องเอาใจใส่มากพอ มันอาจจะไม่ได้ต้องการแค่น้ำกับปุ๋ยเท่านั้น ต้องมีการพรวนดิน ดูแลกันอย่างละเอียด

เพราะฉะนั้นเด็กก็เหมือนกันหลังโควิดว่านอกจากจะต้องเข้าใจว่าพัฒนาการมันถดถอยไป ล่าช้าไป สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำคือ หนึ่งต้องร้อนใจแต่ไม่ใช่ไปเร่ง โดยการไปอัดโน่น อัดนี่ ยัดเยียดทุกอย่างเข้าไป แต่เราต้องไปดูว่าที่จะทําให้เขาโตมันมีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่มันไปครอบเอาไว้ เช่น ความสุขใยประสาทที่หายไป ก็เรื่องนึงแต่ถามว่าทําอย่างไรจะให้ใยประสาทโตขึ้นมา ก็ต้องมาจากการที่เด็กรู้สึกมีความสุข มีสมองส่วนอารมณ์ที่เบิกบาน มีความรู้สึกพร้อมอยากจะเรียน จะมีความรู้สึกว่าชีวิตเป็นปกติไม่เครียดเหมือนเมื่อก่อน

แต่ถ้าเติมแล้วสิ่งนั้นมันทําให้เขาทุกข์เครียดไปอีก สมองเขาก็จะชะงักอีก เพราะฉะนั้นกระบวนการของการที่เราจะทําให้เขาเลิกแคระแกร็นได้มันก็จะต้องมีความประณีต ซึ่งเวลานี้ก็เราก็ชี้กันไปแล้วว่าอย่างนี้ 1.แทนที่จะให้เด็กไปอ่าน คัด ABC อ่านตัวอักษรอย่างเดียวก็มาอ่านนิทาน

2.วิ่งเล่นและเคลื่อนไหวร่างกาย

3.ครูกอดและพูดคุยกับเด็กให้มากขึ้น

4.อ่านนิทานเยอะๆ แล้วก็พูดคุยซักถามไปเรื่อยๆ ชวนคิดชวนคุย ทํากิจกรรมต่อเนื่องมากขึ้น ให้เด็กได้ทำบทบาทสมมติ คือทําให้มันเกิดการงอกงาม เพื่อไปกระตุ้นให้มันกลับมาดีและก็พร้อมที่จะโตต่อไป

3 เร่ง 3ลด 3เพิ่ม

เนื่องจากว่าพอมันมีโควิดเด็กก็กระทบทุกด้านร่างกายก็เนือยนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวพ่อแม่ก็โยนมือถือให้เพราะว่าพ่อแม่ก็จะไม่มีเวลาทํางานแต่มันกลายเป็นทําร้ายลูก มีงานวิจัยว่าสายตาเด็กเสียไปเยอะ ด้านอารมณ์เด็กก็กระทบคือเด็กมันต้องวิ่ง ต้องวิ่ง ต้องเล่น ต้องอยู่กับเพื่อน ปรากฏว่าก็ไม่ได้วิ่งไม่ได้เล่นอะไรแล้วก็ใช้มือถือมากๆ สายตาก็ใช้งานหนักก็เครียดโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นเด็กก็จะอารมณ์หงุดหงิดแล้วก็ไม่ค่อยมีความสุข โดยที่ผู้ใหญ่เราอาจจะไม่รู้ก็คิดว่านิ่งกับโอเคแล้ว นอกจากนี้ในเรื่องสังคมคือเด็กก็ไม่ได้อยู่กับสังคม เพราะการเข้าสังคมมันทําให้เด็กนอกจากจะเรียนรู้แล้ว ยังเป็นที่ระบายอารมณ์ ได้เล่นกับเพื่อนก็สนุกสนาน หัวเราะ แต่บรรยากาศอย่างนี้มันไม่มีมันหายไป แล้วก็ด้านจิตปัญญาเด็กไม่ได้เรียนอะไร แต่สิ่งที่เป็นห่วงกันมากที่สุดก็คือเส้นใยประสาทที่ช่ฃวงอายุ 3-6ปีจะแผ่ขยายมาก แต่พอไม่ได้มีกระบวนการเรียนรู้ มีประสบการณ์ที่ดี มันก็จะแกร็นแล้วถ้าพ่อแม่ ไม่เข้าใจก็ฟื้นไม่ได้ ผลกระทบก็คือเด็กก็อาจจะไม่ใช่คนที่พอใจต่อการเรียนรู้ ไม่ใช่เด็กที่อยากเรียนรู้ เพราะว่าสมองส่วนที่ควรจะกําลังเรียนรู้มันแกร็นไปแล้ว

เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นคนที่ไม่พอใจกับเรื่องต่างๆ เพราะภาวะอารมณ์โครงสร้างสมองมันทําให้กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว คือไม่ค่อยมีความสุข หงุดหงิดงัวเงียๆ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเป็น Learning Lossของจริง สิ่งที่เป็นข้อเสนอออกมาก็คือว่าต้องเร่งแก้ปัญหา เคสที่หนักๆ เช่น เด็กที่เจอกับความรุนแรงในบ้าน รวมถึง อ่านหนังสือชวนกันอ่านนิทานบ่อยๆ ให้เด็กไปวิ่งเล่น เรารณรงค์เรื่องกิจกรรมทางกายว่าต้องให้เด็กวิ่งทุกวัน ร่างกายได้ขยับขับเคลื่อน สมองได้ทํางาน ได้เล่นกับเพื่อน ได้หัวเราะ ได้อากาศที่เข้าไปปอดทํางาน ซึ่งต้องกลับมาทำอย่างจริงจัง

แล้วถามว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่ากิจกรรมที่เราทํามันจะพาเด็กไปสู่การแก้สถานการณ์นะคะหรือฟื้นฟูได้จริง วิธีเช็กเบื้องต้นคือ

1.เด็กมีความสุขหรือเปล่า มีความอยากทํากิจกรรมอะไรเหล่านี้ไปพร้อมกับคุณครูกับคุณพ่อคุณแม่ไหม

2.สัมพันธภาพดีไหมถ้าในกิจกรรมนั้นสัมพันธภาพดีเชื่อได้ว่าสมองส่วนอารมณ์เขาจะดีและมันก็พร้อมที่จะไปกระตุ้นสมองส่วนคิดให้ทํางาน

3.กิจกรรมนั้นทําได้หลากหลายอย่างหรือเปล่า เช่น สมมติว่าการอ่านหนังสือคือเด็กก็ได้อ่าน สมองได้ทํางาน แล้วครูก็ชวนทำท่า ต้นถั่ว ท่าที่มันกําลังเติบโตทํายังไงบ้าง เป็นMusic Movement ได้เคลื่อนไหวทั้งร่างกาย ทั้งสายตา ทั้งสมอง ประสาทสัมผัสทั้งหมดได้ทํางาน อย่างนี้จะช่วยกระตุ้นได้เร็ว

4.สิ่งนั้นมีความหมายต่อชีวิตของเด็กๆ ไหม เช่น จะพูดเรื่องถั่วเราก็อาจจะต้องดึงกลับมาว่าเด็กๆ เราไปปลูกสวนครัวกันไหมเรามีถั่วคนละต้น ชวนเด็กๆ นั่งเฝ้า เพราะฉะนั้นเด็กรู้สึกว่าสิ่งที่อ่านกับสิ่งที่เขากําลังจะทํามันเป็นเรื่องเดียวกัน มันมีความหมายต่อชีวิตเขา เดี๋ยวพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะรดน้ํา จะเริ่มเกิดความรับผิดชอบจะเริ่มเกิดความรู้สึกผูกพันรอคอยว่าเมื่อไหร่มันจะโต เพราะฉะนั้น 4ข้อนี้จะเป็นตัวเช็ก ถ้ามันไปได้ดีผู้ใหญ่เราจะตอบตัวเองได้ว่าเกิดความสุขเกิดแรงจูงใจเกิดความสัมพันธ์ที่ดีเกิดการใช้ประสาทสัมผัสครบถ้วน ไม่ได้สอนอะไรที่ไกลตัวแล้วเด็กไม่รู้เรื่องไม่สนใจ ถ้าทำทั้ง 4ข้อนี้ได้ยังไงก็ฟื้นได้ค่ะ

โอ๊ะ โอ ขอโทษนะ

ตามธรรมชาติของบวบจะสังเกตว่ามันโตเร็ว แล้วด้วยความที่ใบใหญ่ใบหนาก็จึงต้องมีจุดยึดเกาะที่แข็งแรง เพราะใบใหญ่และต้นยาวมาก เพราะฉะนั้นอะไรที่คว้าได้ก็จะคว้า แต่ประเด็นสําคัญก็คือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการขอโทษ สมมติมีใครมาทําเราเจ็บคนนั้นก็ควรจะขอโทษใช่ไหมคะ แต่ว่าบางครั้งความไม่ตั้งใจที่ทำคนนั้นทำลงไปเด็กอาจจะไม่เข้าใจ ทําไมเขาต้องมาทําผิดกับเรา กรณีที่ไม่ตั้งใจจะเกิดขึ้นเยอะ เราจะทำให้เด็กเข้าใจ เรื่องนี้ได้ง่ายขึ้นอย่างไรบ้าง บางทีความปรารถนาดีของคนคนหนึ่งอาจจะทําให้เราไม่โอเค ไม่พอใจ เสียใจ ซึ่งกระบวนการนี้เป็นกระบวนการ ที่ต้องสื่อสาร ถึงจะทําให้เด็กได้เรียนรู้สองเรื่องไปพร้อมกันคือหนึ่งคนไม่ตั้งใจมันมีอยู่เยอะ คนไม่ได้เพอร์เฟกต์หรอก แต่ว่าเบื้องหลังการทําผิดนั้น บางทีเราต้องไปทําความเข้าใจต้องใจเย็นพอที่จะให้โอกาสในการชี้แจงสื่อสาร แล้วเราก็จะพบว่าหลายเรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงจนเราจะรับไม่ได้ ให้อภัยไม่ได้

ฉะนั้นนิทานเรื่องนี้ก็มีเรื่องการสื่อสารที่อยากจะเติมไป เช่น อ๋อขอโทษนะที่ฉันเอาใบไปบังเธอเพราะฉันก็เข้าใจว่าแดดมันร้อน แล้วฉันก็มีใบ ที่แข็งแรงก็ช่วยเธอเธอจะได้ไม่ต้องร้อนเกินไป แต่กลับกลายเป็นว่ามันไปทําให้ต้นมะเขือเทศก็ไม่ได้แดดเลย เพราะฉะนั้นการชี้แจงทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่ขอโทษก็ต้องชี้แจงว่าเราคิดอะไร เราพูดกันได้ตรงไปตรงมา ถ้าเด็กเค้ามีทักษะเหล่านี้ ก็จะไม่ใช่แค่พูดเพียงคําว่าขอบคุณหรือขอโทษ เท่านั้น แต่จะสามารถไปได้ลึกกว่านั้นจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างประณีต มันเป็นลึกอีกชั้นหนึ่งว่าถ้าเกิดเขาเข้าใจที่มาที่ไปของมัน เขาก็จะนําไปสู่วิธีการคิดต่อทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องขอโทษ เขาจะมีความเข้าใจคนอื่น แล้วเขาก็จะรู้ว่าเราก็มีโอกาสเป็นอย่างนั้น บางทีเราก็ไม่ตั้งใจ ที่จะไปทําอะไรกับคนอื่นแต่ว่าเพื่อนเจ็บซะแล้ว ความเข้าใจ สื่อสารและรู้วิธีอธิบายเรื่องต่างๆ มันก็จะประสานไมตรีกันได้ง่ายขึ้น ก็จะทําให้เขา สามารถอยู่ร่วมได้กับคนอื่นได้อย่างเป็นปกติสุขที่สุด

EF ที่ได้รับจากนิทาน

เรื่องโอ๊ะโอขอโทษนะ ได้เรื่อง Empathy การเข้าอกเข้าใจว่าถ้าฉันเป็นเธอฉันจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นกระบวนการเรียนรู้ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่สําคัญมาก ถ้าเราไปอยู่ในสถานการณ์ของเขาเราจะทํายังไง ถ้าเราเจอแบบนั้นเราจะทํายังไง เราจะจัดการไง เพราะฉะนั้นการคิดแบบนี้มันเป็นการคิดสองชั้น ไม่ใช่แค่ว่าผิดแล้วขอโทษ แต่ว่าถ้าฉันเป็นถ้าเขาเป็นเราเขาคงจะทําอย่างงี้มั้งหรือเราเป็นเขาเราก็อย่างงี้มั้ง

การคิดอย่างนี้มันคือการยืดหยุ่นการที่พร้อมจะให้อภัยมันก็จะมาจากตรงนี้ แล้วมันไม่ได้เพราะว่าเธอแย่กว่าฉัน ฉันสงสารเธอแต่ว่าถ้าฉันเป็นเขา ถ้าเขาเป็นฉันเราจะเหมือนๆ กัน เราต่างมีความรู้สึกได้แบบนี้เหมือนกัน เรามีความเสียใจได้ เราทําผิดได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็จะเป็นการเข้าใจตัวเอง แล้วก็เข้าใจคนอื่นด้วย แล้วก็เปล่งวาจาออกมาว่าขอโทษนะด้วยเหตุแบบนี้นะ ก็จะช่วยลดความขัดแย้ง เป็นการประนอมกันมันคือการทําความเข้าใจ

ในเรื่องEFก็เช่นกัน เราสามารถเอาสถานการณ์มาถามเด็กได้ว่าตอนไหนที่รู้สึกโกรธเพื่อน เพื่อนทําอะไรให้เราโกรธ แล้วเขาคิดอย่างไง กับสิ่งที่เพื่อนทำ หรือหลังจากที่อ่านหนังสือแล้วก็คุยกัน เด็กจะได้กลับไปทบทวนความรู้สึกตัวเอง มุมมองของตัวเอง วิธีปฏิบัติที่ตัวเองควรจะทํา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้พี่มองว่าเวลานี้โอกาสที่คนจะเข้าใจกันมันน้อยลงเพราะว่าอะไรๆมันก็เร็วแล้วมันก็จะมีสื่อกั้น เช่น บางทีเขียนในไลน์ มนุษย์ควรมีโอกาสปฏิสัมพันธ์เห็นหน้าตา แต่ตอนนี้ Face to Face มันน้อย เพราะฉะนั้นความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งก็จะน้อย อย่างเวลาเราเขียนขอโทษ ตอนพูดยากกว่ากันเยอะเขียนขอโทษมันจบ มันก็ดูเหมือนก็ไม่เป็นไร แต่เวลาเราจะพูดต่อหน้าเขาว่าขอโทษนะ มันใช้ความรู้สึกตัวเอง เป็นความรู้สึกที่จริงๆ ของเรา

เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะต้องให้เด็กๆได้มีโอกาสเรียนรู้แบบว่าไม่ต้องไปผ่านสื่ออะไร เอาความรู้สึกเราแล้วก็ที่สําคัญอธิบายชี้แจง เอาความจริงมาสื่อสารกันแล้วค่อยๆ ประนอมเรื่องต่างๆ ให้มันไปในทางบวก ก็จะช่วยให้เด็กมีชีวิตที่ง่ายขึ้นตั้งแต่เรื่องเล็กๆไปถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่เราเผลอทําโดยไม่รู้ตัวก็เรียกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทําให้เด็กเข้าใจรู้จักตัวเองก่อน

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 90 : รู้อารมณ์ลูกก็รับมือได้ ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

รักลูก The Expert Talk Ep.90 : รู้อารมณ์ลูก ก็รับมือได้ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต ระบุว่า วัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี ประมาณ 1 ใน 7 คน และเด็กไทยอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน มีความผิดปกติทางจิตประสาทและอารมณ์ และจากผลการสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนทั่วโลกในประเทศไทยเมื่อปี 2564 พบว่า 17.6 %ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งการฆ่าตัวตายคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย

 

สาเหตุส่วนหนึ่งของการเป็นโรคซึมเศร้าจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายนั้นคือการมีปัญหาพัฒนาการด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่พ่อแม่สามารถรับมือได้ตั้งแต่เด็ก แต่ละเลยและไม่รู้วิธีการ

 

ฟังวิธีการรับมือกับอารมณ์ลูกจาก The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.102 (Rerun) : ชวนพ่อแม่ “รู้” และ “เท่าทัน” สื่อ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.102 : ชวนพ่อแม่ "รู้" และ "เท่าทัน" สื่อ

 

รับมือเมื่อลูกเข้าสู่โลกดิจิตอล พ่อแม่ต้องรู้เท่าทันอย่างไร

 

ฟัง The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

เพื่อให้เรารู้เทคนิค วิธีการที่จะรับมือกับทั้งสื่อ จอ และ Content หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ใช้สื่ออย่างรู้เท่าทัน

  

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.105 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.105 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

เด็กจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้ จุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการ รู้วิธีรับมือและพลิกเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมพัฒนาทักษะลูก เพื่อให้เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ดีของลูก

ฟังมุมมองการรับมือวัยทองแต่ละช่วงวัยจาก The Exeprt ครูก้า กรองทอง บุญประคอง

ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตต์เมตต์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.112 : “5 ทักษะสำคัญลูกรอดทุกการเปลี่ยนแปลง”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.112 :  5 ทักษะสำคัญ ลูกรอดทุกการเปลี่ยนแปลง

ทักษะที่จะทำให้เด็กอยู่รอดและอยู่ดีในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง “5 ทักษะและ 1 คุณลักษณะ” ที่สำคัญ ครูจุ๊ยคอนเฟิร์มว่ามีแล้วรอด และพ่อแม่สามารถช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ฟังครูจุ๊ย กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิคณะก้าวหน้า

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.120 : สมองลูกไว พร้อมสำหรับอนาคต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.120 : สมองลูกไว พร้อมสำหรับอนาคต

 

AI แย่งงานคน มหาวิทยาลัยยกเลิกการสอนวิชา… เพราะโลกเปลี่ยนทุกวัน เราไม่สามารถคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ การเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ

ฟัง The Expert อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกวิธีการเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตในทุกด้าน

พ่อแม่ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกสมองไวพร้อมได้ตั้งแต่วันนี้

 

รายการรักลูก The Expert Talk อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.123 : “รู้เท่าทันสื่อ Digital Literacy”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.123 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 4 รู้เท่าทันสื่อ Digital Literacy

 

จากงานวิจัยพบว่า เด็กใช้สื่อหน้าจอดิจิทัลมากขึ้น โดยใช้ในช่วงอายุที่น้อยลง แต่ใช้งานมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณต่อวัน ต่อครั้งการใช้งานและความถี่

และไม่ได้พบเฉพาะปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมเท่านั้น แต่พบว่าเด็กถูกล่อลวงหรือว่าไปเจอ Cybercrime อาชญากรรมทางไซเบอร์ พ่อแม่จะรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างไร?

 

ฟังอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.126 : Cybercrime รับมือได้ พ่อแม่ต้องเท่าทัน

 

รักลูก The Expert Talk Ep.126 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 7 Cybercrime รับมือได้ พ่อแม่ต้องเท่าทัน

 

เมื่อลูกถูมิจฉาชีพหลอกลวง พ่อแม่จะช่วยลูกและรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk Ep.81 (Rerun) : เปลี่ยน “วัยทอง” เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.81 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

ช่วงวัยทองของเด็ก คือช่วงเวลาทองของชีวิตเด็ก เขาจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้

เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่ต้องรับมือและมองวัยทองในมุมมองใหม่ เพื่อให้เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ดีของลูก

 

ฟังมุมมองการรับมือวัยทองแต่ละช่วงวัยจากครูก้าได้ใน EP นี้

เพราะเด็กจะเป็นอย่างไรเริ่มต้นที่วัยนี้ ไม่อยากให้พลาดฟังเพื่อจะได้วิธีการเลี้ยงลูกวัยตั้งต้นของชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามพัฒนาการของวัย

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

สอนลูกรักตัวกลัวตาย 11 ทักษะปลอดภัยในที่สาธารณะ

ทักษะชีวิต, ทักษะการเอาตัวรอด , ทักษะ, การเลี้ยงลูก, สอนลูก, สอนลูกเรื่องความปลอดภัย, สอนลูกเรื่องการใช้ชีวิต, การแก้ไขปัญหา, แก้ไขปัญหา, สอนลูกรู้จักการแก้ไขปัญหา

สอนลูกรักตัวกลัวตาย 11 ทักษะปลอดภัยในที่สาธารณะ

Life skills เป็นวิชาสำคัญมากที่สุด ที่คนเป็นพ่อแม่ต้องสอนลูกค่ะ ยุคนี้เด็กคนไหนที่มีทักษะชีวิตเมื่อเจอปัญหาเหตุการณ์ร้าย ลูกจะสามารถคิดแก้ปัญหา และเอาตัวรอดได้ 

ทักษะปลอดภัยในที่สาธารณะ

  1. อย่ายืนคาระหว่างประตูลิฟต์

  2. ไม่เดินบนบันไดเลื่อน และควรจับราวทุกครั้ง

  3. ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น เพื่อป้องกันการสะดุดและปลายเชือกติดซอกหลืบต่างๆ

  4. เสียบธนบัตรใส่ไว้ในกระเป๋าลูก เผื่อฉุกเฉิน

  5. เขียนเบอร์โทรพ่อแม่ติดไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าและกระเป๋าส่วนตัวลูก

  6. อย่าก้มหน้าก้มตากดมือถือตอนเดินคนเดียว

  7. ไม่เดินกินลูกชิ้นปิ้งหรืออาหารที่เสียบไม้

  8. สอนลูกให้รู้จัก รปภ. พนักงานห้าง แม่บ้าน ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ที่ลูกสามารถพึ่งพาได้เมื่อหลงทาง

  9. ชี้จุดแลนด์มาร์กให้ลูกเห็น หากหลงทางให้มาเจอกันบริเวณนี้

  10. นาฬิกาโทรศัพท์ติดตามตัวใช้ได้ผลเสมอเมื่อออกนอกบ้าน

  11. สอนลูกให้รู้จักป้ายสัญลักษณ์ เช่น ป้ายทางหนีไฟ ป้ายเขตห้ามเข้า ป้ายวัตถุไวไฟ สัญลักษณ์กะโหลกไขว้ ป้ายระวังลื่น ฯลฯ

นอกจากทักษะเหล่านี้แล้ว เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือภาวะอันตรายต่างๆ ลูกต้องมีสติด้วย เพราะฉะนั้นนอกจากจะบอกหรือสอนลูกแล้ว การย้ำคิดย้ำทำ หรือจำลองสถานการณ์กับลูกก็ช่วยให้ลูกรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้ หากต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง

 

บทความทักษะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

1.สอนลูกรักตัวกลัวตาย สกิลการข้ามถนนอย่างไรให้ปลอดภัย 

2.สอนลูกรักตัวกลัวตาย 13 สกิลป้องกันภัยจากคนแปลกหน้า 

 

เลี้ยงลูกอย่างไรให้โตไปไม่โกง แบบทำได้จริง รู้จักผิดชอบจริง

 

โตไปไม่โกง จะไม่ใช่แค่คำพูดให้ดูเท่ ดูเก๋ ถ้าพ่อแม่สอนลูกด้วยวิธีที่ได้ผลจริง แค่เริ่มจากตัวเองค่ะ เพราะทุกวันนี้จิตสำนึกของคนเราหายไปเยอะมาก ไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ ทั้ง โกงข้อสอบ โกงเงิน โกงการงาน เห็นข่าวก็บ่อยครั้ง ฉะนั้นมาเร่ิมที่สถาบันครอบครัวกันก่อนเลยค่ะ ว่าจะสอนเด็กๆ อย่างไรดี ให้โตไปไม่โกง

5 วิธีสอนลูกให้โตไปไม่โกง

1. ซื่อสัตย์สุจริตให้ลูกเห็น

การยึดมั่นในความสัตย์จริง และสิ่งที่ถูต้องดีงาม รู้จักแยกแยะถูกผิด ปฏิบัติต่อตนเองและผู้อื่นโดยชอบ ไม่คดโกง เช่น สอนให้เขาไม่หยิบของของคนอื่น ซื่อสัตย์ต่อการทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เพราะปัญหาทุจริตคอรัปชั่นที่เราพบกันบ่อยคือ การไม่ซื่อสัตย์ต่อเวลางาน ไม่รับผิดชอบต่องาน ทำให้งานที่ออกมาไม่มีคุณภาพ   

2. สอนให้ลูกรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง

มีจิตสำนึกในบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง และปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เคารพกฎเกณฑ์กติกา พร้อมให้ตรวจสอบการกระทำได้เสมอ หากมีการทำผิดก็พร้อมที่จะยอมรับและแก้ไข ที่สำคัญคือรับผิดชอบต่อผลของการกระทำของตนเอง เช่น เมื่อทำความผิด เมื่อลูกยอมรับว่าหนูเป็นคนทำเอง พ่อแม่ต้องบอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็ช่วยกันแก้ไข ซึ่งจะทำให้เขารับผิดชอบกับสิ่งที่เขาทำ    

3. มีความเป็นธรรมทางสังคม

การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันอย่างมีเหตุผล โดยไม่เลือกปฏิบัติต่อเพศ เชื้อชาติ ชนชั้น สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม และการที่ไม่เอาเปรียบใคร เพราะคนที่ทุจริตคือคนที่เอาเปรียบคนอื่น คนไม่เคารพกฎเกณฑ์กติกา นึกถึงตัวเองเป็นหลัก ดังนั้น การจะสอนเด็กๆ ให้เข้าใจได้ด้วยเรื่องง่ายๆ เช่น เรื่องการเคารพกติกา ไฟแดง ไฟเขียว มีไว้เพื่ออะไร เพื่อที่จะผลัดกันใช้ คนที่ใช้รถก็ต้องเคารพคนที่เดินถนน คนที่เดินถนนก็ต้องให้ผู้ใช้รถไปด้วย เป็นการจัดการให้สังคมเป็นระบบระเบียบมากขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

หรือสอนเรื่องพื้นฐานง่ายๆ อย่างในโรงเรียน ทำไมห้องสมุดต้องเงียบ ก็เพราะว่าเพื่อนเราอ่านหนังสืออยู่ ทำไมห้ามกินขนม เพราะว่ามดหรือแมลงสาบจะไปทำลายหนังสือ เด็กๆ ก็จะไม่กินขนม เพราะกลัวว่าหนังสือของเขาจะเสียหาย หรือการเรียงแถวรับขนม เพื่อให้รู้จักความเป็นธรรม การมาก่อนมาหลัง ได้สิทธิ์ตามนั้น ก็จะเป็นการปลูกฝังความเป็นธรรมให้เด็กได้

4. มีจิตสาธารณะ

การมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ตระหนักรู้และนึกถึงสังคมส่วนรวม มีความรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหายต่อส่วนรวม และพร้อมที่จะเสียสละส่วนตนเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม การทำเพื่อส่วนรวม คือการอาสา ที่มีภาระส่วนตัวด้วย แต่ก็ต้องทำ เพราะว่าเราแคร์ส่วนรวม เช่น มีคนทำน้ำหก แม้เราจะไม่ได้ทำ แต่เด็กดีจะรับอาสามาช่วยเช็ดน้ำให้ อาจจะเซ็งบ้าง แต่ก็ทำ แม้การช่วยผู้อื่นมันคือภาระอย่างหนึ่งแต่ก็เป็นความเมตตากรุณาในสังคม เมื่อโตไป เวลามีเรื่อง หรือเห็นใครเดือนร้อนเขาก็จะเข้าไปช่วยทันที

5. เป็นอยู่อย่างพอเพียง

การดำเนินชีวิตโดยยึดหลักความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่ละโมบโลภมาก รู้จักยับยั้งชั่งใจ และไม่เอาเปรียบหรือเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เราระลึกได้ว่า เงินไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง มันคือการที่เรามีความสุข อยู่กับตัวเอง อยู่กับครอบครัวพอใจกับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น  

เมื่อพ่อแม่สอนให้ลูกรู้จักความดี รู้จักการช่วยเหลือผู้อื่น และปลูกฝังด้วยกระบวนการเหล่านี้แล้ว เด็ก ๆ จะซาบซึ้ง และซึมซับความดีงามได้อย่างง่าย ๆ เลยค่ะ