facebook  youtube  line

6 เรื่องที่พ่อแม่ควรทำ เมื่อพาลูกทารกแรกคลอดกลับบ้าน

พา ทารกแรกเกิดกลับบ้าน, ต้องทำอะไร ทารกแรกเกิดกลับบ้าน, สิ่งที่ต้องเตรียม ทารกแรกเกิดกลับบ้าน, วิธีดูแลแรกเกิด, จดเวลาปั๊มนม, สังเกตุอึทารกแรกเกิด, การนอนของทารกแรกเกิด, พ่อแม่มือใหม่, เรื่องต้องรู้ พาทารกแรกเกิดกลับบ้าน
 

เมื่อถึงเวลาพาลูกทารกแรกเกิดกลับบ้าน นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ต้องทำค่ะ เพื่อให้ทราบขั้นตอนในการดูแลลูกทารกและดูแลตัวเองไปพร้อมกัน

6 เรื่องที่พ่อแม่ควรทำ เมื่อพาลูกทารกแรกคลอดกลับบ้าน

หลังจากคลอดลูกเสร็จแล้ว คุณแม่จะมีเวลาพักฟื้นร่างกายที่โรงพยาบาลอยู่สักระยะ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2-3 วัน (แม่ที่ผ่าคลอดจะใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าประมาณ 3-4 วันหรือเกือบ ๆ 1 อาทิตย์) จากนั้นจึงจะพาลูกกลับบ้านได้ แน่นอนว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาลแม่มือใหม่จะมีพยาบาลคอยให้คำแนะนำช่วยเหลือ แต่เมื่อกลับบ้านแล้ว พ่อแม่มือใหม่ก็กลายเป็นพ่อแม่มือโปรได้ค่ะ แค่ทำตาม 6 วิธีนี้ 
  1. จดบันทึกเวลาลูกกินนม
    เด็กแรกเกิดจะมีขนาดความจุกระเพาะไม่มาก ถ้ากินนมแม่ซึ่งย่อยเร็ว เขาจะนอนไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง ถ้าลูกนอนนานกว่า 4 ชั่วโมง ต้องปลุกและควรจดบันทึกเวลาและปริมาณที่เขากินนมด้วย นอกจากนี้ควรบันทึกจำนวนครั้งของการอึและฉี่ของลูกควบคู่กันด้วย เพราะจะเป็นตัวช่วยทางอ้อมให้เรารู้ว่าลูกได้น้ำนมเพียงพอหรือไม่

  2. ดูสีอึและฉี่ของลูก
    ควรหมั่นสังเกตสีและจำนวนครั้งที่ลูกถ่ายหนัก ถ่ายเบา เพราะเด็กแรกเกิดที่ได้กินนมเพียงพอจะฉี่เปียกชุ่มผ้าอ้อม 4-6 ครั้งต่อวัน และสีไม่เข้มมาก ส่วนช่วง 2-3 วันแรกอึของลูกอาจจะเป็นสีออกเขียว แต่วันที่ 4 มักจะเริ่มเขียว ปนเหลือง จากนั้นจะเป็นสีเหลืองทอง (ในกรณีที่กินนมแม่) แต่หากสังเกตแล้วผิดไปจากนี้ ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่าลูกอาจจะมีปัญหาการกินนมหรือปัญหาสุขภาพที่พ่อแม่ต้องพาไปหาหมอค่ะ

  3. รู้เวลานอน 
    ตอนอยู่โรงพยาบาลเด็กอาจยังไม่เคยอยู่ในห้องที่ปิดไฟในเวลากลางคืน ดังนั้นเมื่อกลับบ้านพ่อแม่ช่วยให้ลูกเข้าใจเวลากลางวันกลางคืนได้ โดยกลางคืนเมื่อตื่นก็ให้ลูกกินนมเพียงอย่างเดียวและเปิดไฟสลัวๆ ส่วนกลางวันมีสว่างควรให้ลูกได้กิจกรรมบ้าง เช่น พูดคุย เล่นกับลูก จับแขนขาขยับไปมา เป็นต้น ที่สำคัญควรให้ลูกนอนหลับบนที่นอนไม่ใช่บนตัวพ่อแม่ กรณีที่ที่นอนเย็นควรต้องทำที่นอนให้อุ่นก่อน เพราะเด็กบางคนไม่ยอมนอนบนที่นอนเย็น ๆ ต่างจากตัวของพ่อกับแม่ที่อบอุ่นกว่า

  4. ตอบสนองทุกครั้งที่ลูกร้อง
    เพราะลูกยังพูดไม่ได้ จึงใช้การร้องไห้สื่อสารกับเรา ซึ่งลูกอาจจะร้องเพราะหิว เพราะเปียก หรือเพราะเบื่อ พ่อแม่จึงควรตอบสนองการร้องไห้ของลูกทุกครั้ง แต่ถ้าลูกร้องไห้แบบที่เราไม่รู้สาเหตุ ลองห่อตัวเจ้าตัวเล็กให้กระชับเหมือนตอนอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะเขาอาจยังไม่ชินกับการอยู่ที่กว้าง จึงรู้สึกอ้างว้างไม่เหมือนตอนอยู่ที่แคบ ๆ ในท้องแม่

  5. สร้างความคุ้นเคยกับพี่คนโต
    หากมีลูกคนโตอยู่ด้วย การที่แม่จากบ้านไปหลายวัน เมื่อกลับมาแม่ควรมีอ้อมกอดสำหรับพี่ หรือลูกคนโตด้วย โดยมอบหมายหน้าที่อุ้มน้องเข้าบ้านให้พ่อแทน และเมื่อใช้เวลาเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ แนะนำให้พี่รู้จักน้องเล็ก ให้พี่ช่วยหยิบของให้น้องบ้าง ก็จะช่วยให้พี่น้องเกิดความคุ้นเคยที่จะอยู่ร่วมกัน

  6. คุณแม่อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย
    เพราะการดูแลลูกเป็นงานที่ต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ดังนั้น คุณแม่เองจึงต้องดูแลตัวเองให้พร้อมเสมอด้วย เมื่อมีลูกแม่มักจะเอาเวลาที่มีทั้งหมดให้กับลูก ฉะนั้น เรื่องงานบ้านหรือสิ่งละอันพันละน้อยต่าง ๆ ในบ้าน หากมีคนคอยช่วยเหลือบ้าง ก็จะทำให้คุณแม่มีเวลาพักผ่อนได้อยู่กับเจ้าตัวเล็กได้เต็มที่ โดยไม่เครียดค่ะ


ถึงแม้การดูแลลูกวัยเบบี๋จะเป็นงานที่ทั้งหนักและเหนื่อย แต่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มเบิกบาน และแววตาแสนสุขของลูกแล้ว เชื่อว่าเหนื่อยสักแค่ไหนคุณพ่อคุณแม่ก็พร้อมสู้ค่ะ

 

7 วิธีพ่อลูกอ่อนช่วยเลี้ยงลูกอย่างไร สร้างสายสัมพันธ์พ่อลูก

พ่อลูกอ่อน, พ่อ เลี้ยงลูก, พ่อ เลี้ยง ลูกทารก, พ่อช่วยแม่เลี้ยงลูกยังไง, พ่อมือใหม่, หน้าที่ของพ่อ, สายสัมพันธ์พ่อลูก, พ่อเล่นกับลูก, พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง, พ่ออุ้มลูก, พ่อร้องเพลงให้ลูกฟัง

พ่อลูกอ่อน หรือ ว่าที่คุณพ่อต้องรีบอ่านเลย นี่คือ 7 วิธีช่วยคุณแม่เลี้ยงลูก และคุณพ่อลูกอ่อนสร้างสายสัมพันธ์กับลูกเล็กจนลูกติดหนึบเลยล่ะค่ะ

7 วิธีพ่อลูกอ่อนช่วยเลี้ยงลูกอย่างไร สร้างสายสัมพันธ์พ่อลูก

  1. อ่านนิทานให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง
    นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่จะทำให้ลูกจำเสียงของพ่อได้ เสียงของพ่อจะทำให้ลูกเคยชินหากได้ยินบ่อยๆ เมื่อไหร่ที่เขาคลอดออกมาเสียงพ่อคือเสียงที่จะทำให้เขาสงบลงได้เวลาร้องไห้อยู่

  2. เรียนรู้วิธีดูแลลูกเพื่อจะได้ทำให้ลูก
    ก่อนจะออกมาเจอกัน คุณพ่อต้องหาเวลาไปฝึกการอุ้มลูก จับเรอ ล้างก้น เปลี่ยนผ้าอ้อม จากคุณพยาบาล เพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระจากคุณแม่และได้ใจลูกอีกด้วย

  3. สัมผัสลูกบ่อย ๆ ช่วงเวลา 2-3 สัปดาห์แรก
    การสัมผัสลูกบ่อยๆ จะช่วยให้คุณและลูกใกล้ชิดกันมากขึ้น อุ้มลูกให้บ่อยที่สุด ลูบหลังลูกเบาๆ โยกตัวไปมาอย่างแผ่วเบาเพื่อกล่อมลูก ยิ่งคุณสัมผัสลูกมากเท่าไร ความผูกพันจะเกิดมากขึ้นเท่านั้น

  4. จงหัวเราะกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
    เป็นพ่อคนไม่ใช่เรื่องง่ายต้องดูแลทั้งแม่และลูก ดังนั้น อย่ากลัวความบอบบางของลูก หากทำอะไรไม่ถูกต้องตามที่หมอบอกก็หัวเราะซะและแก้ไขให้ดีขึ้น อย่าไปเครียดเดี๋ยวลูกจะสัมผัสได้ว่าพ่อเครียดอยู่

  5. ใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากที่สุด
    พ่อกับแม่ต้องทำงานเป็นทีม ให้กำลังใจกันและกัน คุณพ่อต้องเป็นผู้นำที่ช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด และทำทุกช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันกับลูกให้มีความสุข

  6. ใช้คุณสมบัติพิเศษของพ่อซะ
    ไม่มีนมให้ลูกกินไม่เป็นไร เพราะพ่อมีมือที่ใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าจึงมีความสามารถในการห่อตัวลูกด้วยผ้าได้อย่างกระชับ อุ้มลูกได้นานกว่า รู้สึกเหนื่อยยากกว่า มือพ่อทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยกว่าแม่อีกนะ

  7. หากิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับลูก
    เช่น อาสาพาลูกเข้านอนทุกวัน หรือหลังจากที่ลูกดูดนมแม่เสร็จ ก็อาสาพาลูกอาบน้ำ เปลี่ยนชุดนอน เล่านิทานก่อนนอน ร้องเพลงกล่อมนอน ซึ่งจะกลายเป็นช่วงเวลาพิเศษที่จะทำให้พ่อลูกผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น

 

8 เคล็ดลับเลี้ยงลูกชายให้ได้ใจ สนิทกัน แบบพ่อฟลุค เกริกพล

4795

"พ่อ" มีความสำคัญต่อพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจของลูกเป็นอย่างมาก ยิ่งสำหรับลูกชาย พ่อคือแบบฉบับของการเป็นผู้ชายที่ลูกมักจะเลียนแบบเลยก็ว่าได้ เพราะแบบนี้พ่อฟลุค-เกริกพล มัสยวาณิช จึงให้ความรัก เวลา และอ้อมกอดกับลูกลูกชายคนเดียวอย่างเต็มที่ ทำให้น้องอชิ-อชิรวัตติ์ มัสยวาณิช เติบโตเป็นเด็กผู้ชายที่อบอุ่น และไม่เขินที่จะกอด จะหอมพ่อของตัวเองเลย เลี้ยงลูกชายได้ดีขนาดนี้ เราก็ไม่พลาดที่จะนำวิธีการสอนลูกของพ่อฟลุคมาบอกต่อกันค่ะ

1. เป็นพ่อก็ต้องตามลูกบ้าง

พ่อฟลุคจะทำตัวให้เด็กไปกับลูกบ้าง เช่น เรื่องเสื้อผ้า ปกติพ่อฟลุคชอบใส่เสื้อเชิ้ตหรือไม่ก็ทีเชิ้ต แต่เดี๋ยวนี้หันมาซื้อเสื้อผ้าแบบที่น้องอชิใส่บ้าง เพราะอยากดูเข้ากับลูก

2. ต้องเป็นคู่ซี๊กับลูก

พ่อฟลุคจะสนิทสนมกับน้องอชิมาก เพราะเน้นเลี้ยงลูกแบบใกล้ชิดเหมือนเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้วางตัวเป็นพ่อที่ลูกต้องเข้ามากราบเท้าเช้าเย็น เน้นเป็นพ่อแบบคูล ๆ เลยก็ว่าได้

3. เจอกันต้องกอด

พ่อกับลูก เจอกันจะไม่ได้แค่ไหว้เท่านั้น แต่พ่อฟลุคบอกน้องอชิเสมอว่าเราต้องสวัสดีแล้วเข้ามากอดกันทุกครั้ง หอมกันด้วย

4. ให้คำปรึกษาแบบเพื่อน

พ่อฟลุคจะคอยให้คำปรึกษาเหมือนเป็นเพื่อนสนิทของลูก และก็พร้อมปกป้องดูแลเขาตลอดไป แม้น้องอชิเองจะโตแล้วแต่ก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่บางครั้ง พ่อจึงต้องไม่ห่างเหินลูกไม่ว่าเรื่องอะไร

5. ถามความเห็นลูกเป็นประจำ

พ่อฟลุคจะให้อชิเป็นเหมือนความคิดที่สอง เวลาจะทำอะไรก็จะถามความเห็นน้องตลอด อย่างจะกินร้านไหน สั่งอาหารอะไร ใส่เสื้อตัวนี้ดีไหม ซื้ออันนี้ดีหรือเปล่า มีอะไรพ่อก็เล่าให้ฟังตลอด อย่างเรื่องหุ้นพ่อฟลุคก็เล่าเหมือนอชิเป็นผู้ใหญ่เลย เพื่อให้คุยกันได้ทุกเรื่อง

6. ทำกิจกรรมร่วมกัน

บ้านนี้จะเน้นเรื่องกินกับการเดินทาง เช่น พาน้องอชิไปกินของดี ๆ เสมอ เพื่อสอนว่าเรากินเพื่อรู้ ไม่ใช่ว่าต้องกินของแพงทุกมื้อ เช่น อาหารญี่ปุ่นมีวัฒนธรรม มีเรื่องราว การใส่ใจและพิถีพิถันทุกขั้นตอนอย่างไรบ้าง และพาไปออกทริปหลัก ๆ ทุกปี เพราะการเดินทางจะสร้างประสบการณ์และความทรงจำของพ่อลูก

7. เป็นพ่อที่ติดลูก

สิ่งที่พ่อฟลุคอยากให้ลูกมากที่สุดก็คือเวลา จะใช้เวลาอยู่กับลูกทุกวัน เพราะวันที่ได้อยู่กับลูกคือช่วงเวลาที่มีค่ามากสำหรับพ่อ

8. สอนลูกใช้เงินในสไตล์พ่อ

น้องอชิได้ค่าขนมเป็นเงินเดือน เพราะพ่อฟลุคต้องการให้น้องอชิเรียนรู้วิธีการบริหารเงินตั้งแต่เด็ก เพื่อจะได้เคยชินและมีความพร้อมในวันหนึ่งข้างหน้าที่เขาจะมีบัตรเครดิตหลักเป็นของตัวเอง

เป็นวิธีที่ง่ายมากเลยนะคะ สิ่งที่พ่อฟลุคทำให้น้องอชิมาตลอด ทำให้น้องอชิไม่เขินเลยที่จะเข้าไปกอด หอมพ่อ เพราะทำแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนบ้านไหนอยากให้พ่อสนิทกับลูกชาย ลูกสาว ลองนำวิธีของพ่อฟลุค เกริกพล ไปปรับใช้ดูได้นะคะ เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่คุณพ่อทุกคนทำได้ค่ะ

คุณหมอแนะนำ 10 เรื่องที่ต้องระวังที่สุดในการดูแลเด็กแรกเกิด

ลูกมีภาวะตัวเหลือง, ทารกตัวเหลือง, ลูกสะอึก, ลูกแหวะนม, ลูกเป็นไข้ตัวร้อน, ลูกตาแฉะ, ลูกมีขี้ตาแฉะ, ลูกเป็นผดผื่น, ลูกเป็นผื่นผ้าอ้อม, ลูกสะดือหลุด, ลูกสะดือเน่า, ลูกสีอึผิดปกติ, อาการผิดปกติในเด็กเล็ก, โรคเด็กเล็ก, อาการที่พบบ่อยในเด็กเล็ก, ดูแลทารกแรกเกิด, ข้อความระวังเมื่อดูแลทารกแรกเกิด, ดูแลเด็กอ่อน, รักลูก Community of The Experts, คลินิกเบบี้, ทารกแรกเกิด, เด็กอ่อน

การเลี้ยงลูกทารกไม่ได้ยากอย่างที่คิด กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมี 10 เรื่องแนะนำในการดูแลลูกทารกแรกเกิดมาบอกพ่อแม่มือใหม่ ให้นำไปปรับใช้ได้อย่างถูกต้องค่ะ บอกเลยว่าบางเรื่องก็เพิ่งรู้วันนี้เอง!

10 เรื่องควรรู้ในการดูแลเด็กแรกเกิด

  1. เด็กแรกเกิดมีไข้
    เด็กอาจจะมีอาการร้องไห้ ดูไม่สบายตัว ให้คุณแม่ใช้ที่วัดอุณหภูมิวัด หากได้อุณหภูมิมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส แสดงว่าเจ้าตัวเล็กอาจจะมีไข้ ให้เช็ดตัวลูกโดยการ นำผ้าขนหนู ชุบน้ำอุณหภูมิห้อง เช็ดตัวลูกเพื่อลดไข้ ควรทำนานประมาณ 10-20 นาทีหรือตามความเหมาะสม หลังการเช็ดตัวลดไข้ประมาณ 15 นาทีให้วัดอุณหภูมิซ้ำ หาก อุณหภูมิไม่ลดลงหรือยิ่งสูงขึ้น ร่วมกับ ซึม ไม่ยอมกินนมแม่ ต้องรีบพามาหาคุณหมอค่ะ

  2. เด็กแรกเกิดมีภาวะตัวเหลือง
    เป็นภาวะปกติที่พบได้ในเด็กแรกเกิด 2-3 วันหลังคลอดค่ะ โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนด และมักหายไปได้เองภายใน 2 สัปดาห์ โดยไม่มีอันตราย อาการของตัวเหลืองคือตาและผิวหนังของทารกจะดูมีสีเหลือง ซึ่งเกิดจากการที่มีสารสีเหลืองที่เรียกว่า “บิลิรูบิน”ในเลือดสูงกว่าปกติ (บิลิรูบิน เป็นสารที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ซึ่งจะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางตับ)

    ในกรณีที่สงสัยว่าทารกจะตัวเหลืองมากกว่าธรรมดาจำเป็นต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจหาระดับ บิลลิรูบินในเลือด เนื่องจากภาวะตัวเหลืองที่มากกว่าปกติ อาจทำอันตรายต่อสมองได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องให้การรักษาเพื่อป้องกันอันตรายดังกล่าว การรักษาในปัจจุบันมี 2 แนวทาง คือ การส่องไฟ และการเปลี่ยนถ่ายเลือด 

  3. เด็กแรกเกิดมีภาวะตัวเย็น
    ปกติอุณหภูมิเด็กแรกเกิดนั้น จะอยู่ที่ประมาณ 36.5-37.5 องศาเซลเซียส กรณีที่ลูกตัวเย็น ควรสังเกตว่าปลายมือปลายเท้าเขียวคล้ำ และดูซึม ๆ หรือไม่ หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ เนื่องจากเด็กอาจมีภาวะติดเชื้อได้

  4. เด็กแรกเกิดแหวะนม หรืออาเจียน
    เป็นภาวะปกติที่พบได้บ่อย เกิดเนื่องจากหูรูดกระเพาะอาหารยังไม่แข็งแรง ทำให้นมไหลย้อนขึ้นมา คุณแม่แก้ไขได้ด้วยปรับการให้นมใหม่ โดยให้ทารกดูดนมในปริมาณน้อย ๆ แต่ดูดบ่อยขึ้น และอุ้มเรอประมาณ 10-15 นาทีหลังมื้อนมทุกครั้ง จะช่วยลดอาการแหวะนมได้ หากลูกมีอาการสำรอก อาเจียน มีน้ำดีหรือเลือดปน น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์ ให้รีบนำมาพบคุณหมอด่วนที่สุดค่ะ

  5. เด็กแรกเกิดสะอึก
    สะอึกเป็นภาวะปกติที่พบได้ในเด็กแรกเกิด กินนมเสร็จก็สะอึกทันที สามารถลดภาวะสะอึกได้โดยอุ้มเรอในท่าปกติ หรือลดปริมาณนมในแต่ละมื้อ แต่ให้บ่อยครั้งขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นทารกจะสะอึกน้อยลง

    วิธีอุ้มเราแก้สะอึกในเด็กเล็ก
    1. อุ้มพาดบ่า จับลูกพาดขึ้นบ่า มือข้างหนึ่งประคองตัวลูก มืออีกข้างลูบหลังเบา ๆ จนกว่าจะเรอ การเดินไปมาจะช่วยให้ลมออกง่ายยิ่งขึ้น 

    2. นั่งบนตัก แล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับประคองคางลูกไว้ โดยให้ตัวลูกเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วใช้มือลูบขึ้นเบา ๆ ช้า ๆ ลูบจากเอวด้านหลังขึ้นมาจนถึงต้นคอ เพื่อไล่ลม แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลองหมดแล้วทุกวิธีก็ไม่หาย คุณพ่อคุณแม่ยังกังวลก็ปรึกษาคุณหมอได้ค่ะ

  6. เด็กแรกเกิดมีอุจจาระผิดปกติ
    ในช่วง 1-2 วันแรกหลังคลอด จะเห็นว่าอุจจาระของทารกจะมีลักษณะเหนียว สีดำอมเขียว เราเรียกว่า ขี้เทา หลังจากนั้นเมื่อเจ้าตัวเล็กได้รับนมแม่มากขึ้น จะถ่ายอุจจาระบ่อยอย่างน้อยวันละ 3-4 ครั้ง ส่วนใหญ่อุจจาระจะมีลักษณะเละ ๆ สีเหลืองทอง บางรายก็อาจจะมีถ่ายเหลวคล้ายท้องเสีย แต่จริง ๆ แล้วอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่กินนมแม่ โดยเฉพาะถ้าได้รับส่วนหน้ามากกว่านมส่วนหลัง ส่วนอุจจาระที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด คือมีมูกเลือดปนหรือแข็งเป็นเม็ดมะเขือ และเพราะลูกอาจจะถ่ายบ่อย คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นทำความสะอาดก้นและอวัยวะสืบพันธุ์ของลูก และเปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้งหลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ

  7. เด็กแรกเกิดตาแฉะ หรือท่อน้ำตาตัน
    ตาแฉะ น้ำตาไหล หรือมีขี้ตามาก อาจเกิดจากท่อน้ำตาตีบ หากมีขี้ตาให้ใช้สำลีที่สะอาดชุบน้ำต้มสุกหรือน้ำเกลือ เช็ดทำความสะอาดจากหัวตาไปหางตา และใช้นิ้วก้อยนวดบริเวณหัวตาข้างจมูก เพื่อช่วยเปิดท่อน้ำตา แต่ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน ตาแดงอักเสบ ต้องรีบพาไปหาคุณหมอค่ะ

  8. เด็กแรกเกิดสะดืออักเสบ หรือ สะดือยังไม่หลุด
    โดยปกติสะดือจะหลุดประมาณ 2-4 สัปดาห์หลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าเช็ดสะดือเพราะกลัวลูกเจ็บ จึงทำให้สะดือยิ่งหลุดช้าขึ้น ดังนั้นควรเช็ดทำความสะอาดสะดือทุกครั้ง เมื่อต้องอาบน้ำลูก อย่าปล่อยให้สะดือแฉะ ต้องคอยดูแลสะดือให้แห้งอยู่เสมอ เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบ บวม แดง หรือมีหนอง และมีกลิ่นเหม็น หากมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาคุณหมอค่ะ

  9. เด็กแรกเกิดมีพังผืดใต้ลิ้น
    พังผืด หรือ เยื่อบาง ๆ บริเวณโคนลิ้นที่พบในเด็กเล็กถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่บางรายมีพังผืดยึดติดมากกว่าปกติ คือมาจนถึงบริเวณปลายลิ้น ทำให้เกิดปัญหาในการขยับบริเวณปลายลิ้น หรือการเคลื่อนไหวของลิ้นไม่ดีเท่าที่ควร ส่งผลต่อการดูดนมแม่ การแก้ไขภาวะพังผืดใต้ลิ้นจะใช้วิธีการขลิบ โดยในเด็กเล็กต่ำกว่า 4 เดือนหรือฟันยังไม่ขึ้นนั้น ใช้เวลาไม่นาน หลังขลิบ สามารถดูดนมแม่ได้ทันทีและกลับบ้านได้ แผลมักหายเองใน 1-2 สัปดาห์

  10. เด็กแรกเกิดมีผื่นชนิดต่าง ๆ 
    • ผดผื่นร้อน เกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ โดยผดแต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับความลึกของการอุดตันของต่อมเหงื่อที่ชั้นผิวหนัง ถ้าอุดตันที่ผิวหนังตื้นก็จะเห็นเป็นตุ่มใส แต่ถ้าเป็นผิวหนังชั้นกลางอาจเห็นเป็นตุ่มแดง มักพบ บริเวณหน้าผาก คอ หลัง ข้อพับ ผื่นผดร้อนมักจะหายได้เอง วิธีป้องกันคือไม่สวมใส่เสื้อผ้าหนาหรือห่อผ้าหนาจนเกินไป ในฤดูร้อนก็อาจจะต้องอาบน้ำหรือเช็ดตัวบ่อยขึ้น

    • ผื่นผ้าอ้อม เป็นผื่นแดงบริเวณอวัยวะเพศ ต้นขา ก้น ท้องน้อย เกิดจากความเปียกชื้นและระคายเคืองจากการสัมผัสปัสสาวะและอุจจาระ วิธีป้องกันคือ ดูแลผิวไม่ให้อับชื้น เปลี่ยนผ้าอ้อมเมื่อเปียก หรือมีอุจจาระ และทาครีมกันผื่นผ้าอ้อม

    • ผื่นผิวหนังอักเสบที่เกิดจากต่อมไขมัน เนื่องจากรูเปิดของต่อมไขมันยังทำงานได้ไม่ดี ลักษณะเป็นตุ่มแดงและมีสะเก็ดเหลืองที่หนังศีรษะ คิ้ว หู ใบหน้า เริ่มพบได้ตั้งแต่เดือนแรก และมักจะหายได้เอง หลังอายุ 3เดือน อาจจะดูแลบาบางลงได้ด้วยการใช้น้ำมัน เช่น น้ำมันมะกอก นวดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ให้สะเก็ดมันนุ่ม แล้วค่อยเช็ดหรือสระออก สะเก็ดก็จะหลุดออกได้ง่ายขึ้น

การดูแลเด็กแรกเกิด คุณพ่อคุณแม่ควร ดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด สังเกตอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้าตัวน้อย ว่าผิดปกติหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องกันและลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาสุขภาพของลูกในอนาคตค่ะ


รักลูก Community of The Experts

พญ.สินดี จำเริญนุสิต 
กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม 

 

ทำ 5 ข้อนี้ทุกวัน แล้วคุณจะเป็นพ่อแม่ที่มีความอดทนมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

พ่อแม่มือใหม่, ทักษะพ่อแม่, นิสัยพ่อแม่, พ่อแม่มีอยู่จริง, ความอดทน, พ่อแม่ใจร้อน, พ่อแม่ขี้โมโห, อยากเปลี่ยนตัวเอง, เปลีย่นจากคนใจร้อนเป็นใจเย็น

เวลาลูกพูดไม่ฟังมันปรี๊ดแบบอยากจะกรี๊ดให้ลั่นบ้าน แต่ก็นั่นละค่ะลูกเหมือนกระจกสะท้อนของพ่อแม่ พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น พ่อแม่ขี้โมโห ลูกก็ขี้โมโหค่ะ พ่อแม่ใช้ความรุนแรง ลูกก็จะรุนแรงตอบ พ่อแม่เจ้าอารมณ์ ลูกก็จะกลายเป็นเด็กที่ใช้อารมณ์จัดการปัญหา

เพราะฉะนั้นก่อนที่แม่จะปรี๊ดแตกใส่ลูก ลองมาหาวิธีจัดการกับอารมณ์ตนเองก่อนค่ะ

ทำ 5 ข้อนี้ทุกวัน แล้วคุณจะเป็นพ่อแม่ที่มีความอดทนมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

❤️1. ตั้งสติ

เตือนตนเองว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือลูก นี่ลูกเรา เรารักลูก เราระเบิดอารมณ์ใส่ลูกไม่ได้เด็ดขาด

❤️2. สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วนับ 1-100 นับ

1-10 มันไวไป ให้นับถึง 50 แต่ถ้านับถึง 50 ก็ยังไม่ไหว ให้นับไป 100-200 เลยค่ะ แล้วแม่จะใจเย็นลง

❤️3. หยุดพูด

เพราะถ้ายิ่งโกรธ ยิ่งพูด จะยิ่งขุดทุกสิ่งอย่างที่ลูกเคยทำไม่ดีออกมาตำหนิ สร้างแผลใจให้ลูกอีกครั้ง

❤️4. ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้ว

เพื่อให้ร่างกายที่ร้อนรุ่มของแม่ปรับอุณหภูมิให้เย็นลง และช่วยให้ความตึงเครียดของแม่ผ่อนคลายลง

❤️5. พาตัวเองออกจากที่เกิดเหตุ

ถ้าแม่รู้ตัวว่าไม่ไหวให้เดินออกจากจุดนั้นทันทีค่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายลูก เพราะต่อให้ไม่มีไม้เรียวอยู่ใกล้ๆ มือแม่ก็พร้อมฟาดที่กลางหลังลูกเมื่อขาดสติ ดังนั้นควรรีบเอาตัวออกห่าง แล้วบอกลูกว่า แม่กำลังโกรธอยู่ ขอแม่สงบสติอารมณ์แป๊บ เดี๋ยวแม่กลับมา

จะว่าไปแม่ก็คือปุถุชนคนหนึ่งที่มีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง โหด เลว ดี มีอารมณ์ มีความรู้สึกเหมือนกับทุก ๆ คนบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้แม่เป็นคนพิเศษกว่าใครคือ “แม่เป็นแม่” แม่เป็น Role model หรือแบบอย่างของลูก ดังนั้นท่องไว้ค่ะแม่ ๆ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่าลูกจะได้ไม่เลียนแบบจ้า

 

พ่อแม่ 10 แบบ ที่ทำให้ลูกไม่มีความสุข พัฒนาการถดถอย ไม่สมวัย

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-ทักษะพ่อแม่-พ่อแม่มีอยู่จริง

พ่อแม่ 10 แบบ ที่ทำให้ลูกไม่มีความสุข พัฒนาการถดถอย ไม่สมวัย

พ่อแม่ที่ทำให้ลูกไม่มีความสุข พัฒนาการถดถอย พัฒนาการที่ดีของลูก ส่วนใหญ่มาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว และบางครั้งการที่คุณพ่อคุณแม่หวังดีต่อลูกมาก อาจเป็นการทำร้ายจิตใจลูกโดยไม่รู้ตัวก็ได้

นี่คือพ่อแม่ 10 แบบ ที่ทำให้ลูกไม่มีความสุข พ่อแม่ลองทบทวนดูนะคะ ว่าเราตรงกับข้อไหนหรือเปล่า จะได้ปรับเปลี่ยนการเลี้ยงดู เพื่อพัฒนาการของลูก

แบบที่ 1 พ่อแม่ที่ชอบตำหนิลูก

ไม่ว่าลูกจะทำผิดแค่เล็กน้อยพ่อแม่ก็ดุด่า ตำหนิแทบทุกเรื่อง การตำหนิลูกในทุกๆ เรื่องไม่ได้ช่วยให้ลูกเปลี่ยนตัวเองได้ แต่ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ลูกต้องเผชิญ และคำแนะนำที่ดีจากพ่อแม่จะช่วยให้ลูกเข้าใจ ปรับปรุงตัวเองได้ดีกว่าการพูดตำหนิ

แบบที่ 2 ตามใจลูกเกินไป

ลูกอยากได้อะไรก็ตามใจได้ตั้งแต่เล็ก ทำให้ลูกไม่รู้จักการรอคอย ไม่เคยถูกขัดใจ เมื่อลูกโตขึ้น เห็นเพื่อนมีอะไรก็อยากมีบ้าง เด็กที่เอาแต่ใจมาตั้งแต่เล็ก จะไม่ชอบความผิดหวัง ทนไม่ได้ที่จะไม่ได้อะไรอย่างที่ต้องการ


แบบที่ 3 พ่อแม่ที่เจ้าระเบียบและมีกฎเกณฑ์มากเกินไป

พ่อแม่หลายคนกลัวลูกไม่มีระเบียบวินัยเลยชอบออกกฎมากมายให้ลูก ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของลูก โดยลืมนึกถึงสิทธิส่วนบุคคล ถ้าลูกไม่ซึมซับนิสัยเจ้าระเบียบเกินควรนี้ไป ลูกอาจรู้สึกกดดัน และไม่มีความสุขได้

แบบที่ 4 พ่อแม่ที่ลงโทษลูกรุนแรงเวลาที่ลูกทำผิด

เมื่อลูกทำผิดแล้วชอบดุด่าด้วยคำพูดแรงๆ ประชดประชัน ทำร้ายร่างกาย ตีด้วยวัสดุต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือ ทำให้ลูกได้รับผลกระทบทางใจ เครียด ซึมเศร้า แนวโน้มโตไปมีมีพฤติกรรมเสี่ยงได้ง่าย

แบบที่ 5 พ่อแม่ที่ไม่เคยชมลูก

พ่อแม่หลายคนอาจจะคิดว่าชมลูกบ่อยเกินไปไม่ดีจะทำให้เหลิง แต่ความจริงแล้วการชื่นชมลูกช่วยสร้างแรงกระตุ้นเชิงบวกได้ หากไม่เคยชมลูกเลย ลูกจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่สนใจเรียนรู้หรือทำสิ่งต่างๆ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะพ่อแม่ไม่เคยชมลูกเลย

แบบที่ 6 พ่อแม่ที่คาดหวังกับลูกสูง

ชอบกดดันให้ลูกทำสิ่งต่างๆ เช่น ต้องเรียนได้ดี ต้องแข่งขันชนะ ต้องได้ที่ 1 ของห้อง ความคาดหวัง ความกดดันเหล่านี้จะทำให้ลูกไม่มีความสุข กลายเป็นเด็กที่ชอบเอาชนะ กลัวความล้มเหลว เพราะกลัวว่าจะทำให้พ่อแม่ผิดหวัง

แบบที่ 7 พ่อแม่ที่ทะเลาะกันตลอดเวลา

ทำให้ลูกรู้สึกบ้านไม่น่าอยู่ โตขึ้นอาจหาทางออกด้วยการออกไปนอกบ้าน อาจจะถูกชักจูงให้ทำอะไรไม่ดี ส่งผลกระทบกับตัวเองได้

แบบที่ 8 พ่อแม่ที่ไม่ค่อยใส่ใจลูก

พ่อแม่ที่มัวแต่ทำงาน หรือสนใจเรื่องอื่นๆ มากกว่าเรื่องของลูก ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก ไม่รู้ว่าลูกกำลังคิดอะไรรู้สึกอย่างไร ลูกจะขาดความอบอุ่น ไม่มีใครให้ปรึกษา เวลาเครียดก็ไปหาเพื่อน มีแนวโน้มติดเพื่อน ติดสังคมมากว่า

แบบที่ 9 ชอบเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น

พ่อแม่ที่ชอบเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นจะสร้างปมด้อยให้กับลูกของตนเอง ทำให้ลูกไม่รู้จักคุณค่าในตัวเอง พัฒนาการถดถอย กลายเป็นเด็กขี้อิจฉา หากโดนเปรียบเทียบบ่อยๆ เข้า อาจทำให้ลูกเกิดความเครียดได้

แบบที่ 10 พ่อแม่ที่ไม่มีความยืดหยุ่น

พ่อแม่เคร่งเครียดระเบียบจัดเกินไป เมื่อผิดแผนก็มักจะมีอาการวิตกกังวล กระวนกระวาย ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ลูกซึมซับพฤติกรรมเหล่านี้ เมื่อพ่อแม่ไม่ควบคุมสถานการณ์หรือแก้ปัญหาด้วยความใจเย็น ลูกก็จะกลายเป็นเด็กที่วิตกกังวลง่ายเมื่อเจอปัญหา ไม่รู้วิธีรับมือ และพยายามป้องกันปัญหาด้วยการทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบที่สุด เมื่อพลาดหวังลูกจึงรู้สึกผิดหวังมาก

 

พ่อแม่หลงตัวเอง ลูกเสี่ยงอีโก้สูง ซึมเศร้า กลัวความล้มเหลว

หลงตัวเอง- โรคหลงตัวเอง- การหลงตัวเอง- พ่อแม่หลงตัวเอง-  คนหลงตัวเอง- ทำไมหลงตัวเอง- ผลเสียการหลงตัวเอง- ข้อเสียหลงตัวเอง- พ่อแม่รังแกฉัน

คำว่า "หลงตัวเอง" คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ใช่แค่คำพูดแล้วนะคะ เพราะการหลงตัวเองนั้น คือโรค Narcisisitic (โรคหลงตัวเอง) และจะเป็นอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย ซึ่งโรคนี้หากพ่อแม่เป็นอยู่นั้น ก็จะเสี่ยงไปทำร้ายลูกได้ด้วย และส่งผลร้ายแรงต่อลูกมากกว่าที่คิด ดังนี้เลยค่ะ

โรคหลงตัวเอง

โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorders) คือ โรคทางจิตชนิดหนึ่ง เป็นภาวะบกพร่องด้านบุคลิกภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด เเละจะมีความรู้สึกอยู่เสมอว่าคนอื่นๆ รอบข้างก็ควรที่จะให้ความสำคัญกับเขามากที่สุดเช่นกัน ทำให้พ่อแม่สปอยล์ลูกบางอย่างที่เกินธรรมชาติ เป็นตัวเร่งให้ลูกมีภูมิคุ้มกันทางสังคมต่ำ สร้างเกราะคุ้มกันด้วยภาวะหลงตัวเองแทน

พ่อแม่เป็นโรคหลงตัวเอง ส่งผลกระทบกับลูกดังนี้...

  1. ไม่แคร์ใคร

ลูกจะกลายเป็นเด็กเพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของผู้อื่น สนใจแต่ความคิดของตัวเองเท่านั้น

  1. หยิ่ง

ลูกจะเชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่าเขาถูกสร้างมาเหนือกว่าคนอื่น เพราะถูกออกแบบมาอย่างดี อีโก้สูง จากการที่พ่อแม่สปอยล์มากๆ

  1. ชอบทำอะไรด้วยตัวคนเดียว

เด็กจะชอบโชว์เดี่ยวมากกว่าทำงานกับผู้อื่น และมีปัญหาในการรับมือกับความล้มเหลว ลึกๆ จะอ่อนแอมาก

  1. มองข้ามคนอื่น

ไม่เชื่อใจผู้อื่น การหลงตัวเองของพ่อแม่ ทำให้เขาให้ความสำคัญกับรูปลักษณะมากกว่าความรู้สึก

  1. ชอบเก็บตัว

การถูกพ่อแม่สปอยล์บ่อยๆ เพื่อให้ลูกเป็นคนที่ดูดีกว่าคนอื่นเสมอ ลูกจะรู้สึกว่างเปล่าและไม่มีแรงบันดาลใจ

  1. รักษาความสัมพันธ์ไม่ได้

ลูกจะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ เพราะชอบหงุดหงิดง่าย แต่ก็อยากได้การยอมรับสูง

  1. ขี้รำคาญ

ลูกมักจะรู้สึกขายหน้า เมื่อพ่อแม่ชอบหลงตัวเอง และจะเติบโตขึ้นแบบไม่นับถือตนเอง

8.  ซึมเศร้า

ลูกจะเกิดความเครียดสะสม เพราะทำอะไรตามที่พ่อแม่หวังไม่ได้ และมีความความวิตกกังวลตลอดเวลา

เห็นไหมคะ ว่าการที่พ่อแม่หลงตัวเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลต่อหน้าลูก และคาดหวังว่าลูกจะเก่ง ดี เลิศ ตามที่คาดหวัง ส่งผลเสียระยะยาวมาก ควรคุยกับลูกแบบเป็นกันเอง แทนที่จะปั้นให้ลูกเป็นเด็กสมบูรณ์แบบนะคะ เพียงพูดกับเขาว่า รักลูกนะ พ่อกับแม่เป็นกำลังใจให้ พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกมาก พ่อกับแม่รู้ว่าหนูทำดีที่สุดแล้ว เป็นต้น พร้อมมอบความเอาใจใส่ และให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเอง ลูกก็จะรับรู้ได้ด้วยใจและเป็นเด็กธรรมดาที่น่ารักสมวัยได้ค่ะ

รักลูก The Expert Talk EP 85 (Rerun) : เลี้ยงลูกเชิงบวก พ่อแม่มีอยู่จริง สร้างฐานที่มั่นทางใจของลูก

 

รักลูก The Expert Talk Ep.85 (Rerun) : เลี้ยงลูกเชิงบวก "พ่อแม่มีอยู่จริง สร้างฐานที่มั่นทางใจลูก"

 

คลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์ในบ้าน ด้วยการสร้าง Family Attachment

เพราะฐานที่มั่นทางใจที่แข็งแรง จะสามารถสู้อุปสรรค ให้ล้มแล้วลุกได้

 

กับ The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 89 : “Self ดี EF ดี แบบนี้ดีต่อใจ นิทานชุดในสวนกับย่าติ่ง”

รักลูก The Expert Talk Ep.89 : Self ดี EF ดี แบบนี้ดีต่อใจ นิทานในสวนกับย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

นิทานชุดในสวนของย่า เรื่อง “แบบนี้ดีต่อใจ” จะช่วยให้พ่อแม่มองเห็นความสำคัญของการสร้างความสุขให้กับเด็กผ่านต้นชมพู่มะเหมี่ยว เพราะเมื่อเด็กมีความสุข Self ของเด็กจะดีและมีทักษะ EF

ชวนฟังหลักคิดเพื่อนำไปปรับใช้ในการเลี้ยงลูกจากนิทานย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี สุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

แบบนี้ดีต่อใจและได้เรียนรู้

เป็นนิทานที่เล่าเรื่องของต้นมะเหมี่ยว ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวในบ้านทําให้บ้านเย็น เวลาที่ทําสวนข้างบนมันร้อนก็จะได้อาศัยร่มเงาเขา ก็เป็นประเด็นว่าอยากเสนอเรื่องความสุข เพราะว่าเวลารณรงค์เรื่องEFอย่างที่เรารู้ว่าการทํางานของสมอง สมองส่วนคิดจะทํางานได้ดี หรือEFจะทํางานได้ดีก็ต่อเมื่อ Selfดี มีสมองส่วนอารมณ์ เบิกบาน ปลอดภัย เพราะฉะนั้นคนที่จะมีความสุขคือคนที่มี Selfดี ต้องมีความสุข จะมีความสุขเพราะว่ารู้สึกดีกับตัวเอง แล้วก็สามารถที่จะไปรู้สึกดีกับสิ่งอื่นๆได้ เพราะว่าเขามีความสุขอยู่ในตัว

เพราะฉะนั้นการที่เด็กจะมีความสุขได้ มันเริ่มจากหลายอย่างแต่อันหนึ่งก็คือการมองเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายหรือความสุขมาจากการที่ เราทําอะไรได้ด้วยตัวเองสําเร็จ ความสุขจากการที่รู้สึกว่ามีคนรักเรา มีคนเอื้อเฟื้อเรา เรากําลังทุกข์ใจก็มีคนมากอดเรา มีคนมาให้ความช่วยเหลือ ความสุขก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา เพราะฉะนั้นกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขมันก็ต้องค่อยๆ สะสม ถ้าคิดแบบปรัชญาก็คือว่าทุกข์เป็นของตาย ยังไงเราก็มีความทุกข์ นี่เป็นของตายตามหลักศาสนาหรือปรัชญา แต่ว่าจริงๆมนุษย์ก็ต้องมีจังหวะเวลาโอกาสที่จะต้องมีความสุขเพื่ออะไรเพื่อให้มันประคองชีวิตไปได้ คนที่มีแต่ทุกข์อยู่ตลอดแล้วไม่รู้สึกมีความสุขเลยเนี่ยมันชีวิตเดินหน้าไม่ได้ชีวิตจะไม่มีพลัง

ทำแบบนี้ดีต่อใจลูก

เพราะฉะนั้นการที่เด็กจะมีพลังพ่อแม่หรือคุณครูต้องทำให้

1.เด็กรู้สึกดีกับตัวเองให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีดี เด็กทุกคนมีดีอยู่ที่ว่าเราจะเห็นดีของเขาหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าเขารู้สึกดีกับตัวเอง ถือแก้วน้ําได้แล้ว เดินหยิบขยะไปทิ้งที่ถังขยะได้ เล่นเองแล้วเก็บของเล่นเองได้ จะทำให้ระหว่างทางเขามีความสุขเกิดขึ้น

2.ส่งเสริม ชื่นชม กระตุ้น สนับสนุนเขา ความรู้สึกที่มีความสุขจากการที่ตัวเองมีดีมันจะเป็นฐานที่เมื่อเขาผ่านสถานการณ์ที่ไม่ถูกใจ แต่ถ้าเขาปรับตัวได้หรือพลิกมุมมองบางอย่าง เช่น ต้นแม่มะเหมี่ยวก็จะมีเสียงที่คอยยุแยงตะแคง คอยถาม มาทำให้รําคาญ แต่ก็มีวิธีมองคือมองเรื่องเล็ก ๆ ว่าไม่เป็นปัญหา เรื่องดีมันมีมากกว่านั้นอีก ขี้นกตกเยอะก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวฝนมาขี้นกมันก็หายไป

3.ฝึกลูกอยู่ง่าย กินง่าย ปรับตัวง่าย มองโลกให้มีความสุขเรื่องพวกนี้ก็จะไม่รบกวนเขามากถึงวันที่มันมีเรื่องใหญ่จริงๆ ทุกข์จริงๆ เขาก็จะเอาความสุขที่มีอยู่ในตัวเขาที่มีพลังไปแก้ปัญหาคือวิธีแบบนี้ไม่ได้แปลว่าโลกสวย แต่เราต้องให้เด็กอยู่กับความจริง อะไรที่เป็นสุขก็คือเป็นสุข อะไรที่เป็นทุกข์ก็ต้องยอมรับว่ามันคือความทุกข์มันจะได้ไปแก้ปัญหา เพียงแต่ว่าการมีมุมมองที่บวก Positive Thinking มันคือการพลิกมุมมอง อย่างขี้นกตกใส่รถแทนที่จะโวยวายก็พลิกสถานการณ์จากลบให้เป็นบวกจะได้ชวนลูกบ้างรถ ไม่ได้แปลว่าเราไม่เห็นว่าขี้นกเป็นปัญหาเราเห็นมันเป็นปัญหา แต่เราหยิบปัญหามาเป็นสถานการณ์ที่เป็นการเรียนรู้

ปลายทางของมันคืออะไรคือทําให้เด็กอยู่ง่าย ทําให้เขามีความสุขง่าย มีอะไรก็ดีได้ไม่ต้องยาก แล้ววันที่เขาไปเจอของยากจริงๆ ของแย่จริงๆ เจออุปสรรคที่มันใหญ่จริงๆ ความสุขเหล่านี้มันจะเป็นฐานให้เขาไปแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น คือคนที่จะแก้ปัญหาอะไรยากๆ ถ้าเป็นคนที่คิดลบตลอดจะแก้ปัญหาไม่ได้ เด็กควรโตมาแบบที่เห็นว่าเรื่องยากทั้งหลายมันไม่ยากเกินกําลังแล้วเราก็เคยผ่านมาแล้วเคยจัดการเรื่องเหล่านี้มาแล้วก็สําเร็จมาทีละเล็กทีละน้อย คือมนุษย์มีศักยภาพที่จะหาความสุข สร้างความสุข เราไม่ต้องไปตัดศักยภาพของเด็กทําให้กลายเป็นคนที่รู้จักแต่ความทุกข์อย่างนี้ไม่แฟร์กับเด็กเราต้องให้เขามีโอกาสที่จะหาความสุขด้วย ให้เขามีทักษะมีวิธีมองมีประสบการณ์ไหมคะก็เหมือนกับเรื่องทักษะEF มองยืดหยุ่นความคิดไปอีกมุมหนึ่ง พลิกมุมจากความทุกข์เป็นความสุขได้ คือวิธีคิดที่ดีก็จะนํามาซึ่งความสุข แต่ขณะเดียวกันความสุขก็จะทําให้เรามีโอกาสมีวิธีคิดที่ดีมันเป็นสิ่งที่มันคู่กัน

ถ้าเด็กเป็นคนมีความสุข โดยเฉพาะเป็นความสุขที่มาจากการที่เขาประสบความสําเร็จ ได้รับคําชื่นชมเขาจะใช้ประสบการณ์ที่มีคุณภาพที่มีความสุขเหล่านี้ไปแก้ปัญหาได้เยอะจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ มันมีสถานการณ์แบบนั้นในชีวิตเราเยอะมากที่เราควรที่จะต้องหยิบมาแล้วก็ฝึกให้เขามองว่าถ้ามองอีกแบบหนึ่ง มองแล้วไม่เป็นทุกข์เป็นอย่างไรแล้วพอ คือเวลาที่มันเกิดจากเรื่องที่ไม่ถึงกับยาก ถ้าเราฝึกเขาไว้ในวันที่เขาเจอเรื่องยากเขาจะหยิบประสบการณ์พวกนี้ไปทดลองคิด แต่ถ้าเราไม่เคยให้ลูกทุกข์เลยเพอร์เฟกต์ไม่ต้องคิดอะไรของไม่ดีก็ทิ้งไป เขาก็จะรู้วิธีเดียวหรือแบบที่ตัดปัญหาไป แต่จริงๆ ในชีวิตจริงเราทําให้ดีกว่านั้นได้เราไม่จําเป็นต้องทําแบบนั้น กระบวนการคิด ที่มันค่อยๆซับซ้อนและประณีตขึ้น มันจะเกิดขึ้นได้จากการที่เราชวนเขามองเรื่องอย่างนี้ไปก่อน เริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ

EF ทำให้ลูกอยู่รอด

แม้โลกไม่ VUCA อย่างไรก็ต้องใช้ทักษะ EF เพราะว่าEFคือทักษะที่เกิดจากสมองส่วนหน้า ส่วนที่เราแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นความสามารถนี้ก็ พิสูจน์มาตลอดว่าเราใช้ EF ในการแก้ปัญหา ปรับตัว สร้างสรรค์และพัฒนา ยังไงเราก็ต้องเจอกับปัญหาที่มันหนักขึ้นเรื่อยๆ โลกร้อนนี่ก็เรื่องหนึ่งนะคะ หรือเทคโนโลยีที่เข้ามา อย่างตอนนี้มีแชท GPT มนุษย์ก็ต้องเก่งต้องพัฒนาเพื่อที่จะรับมือแล้วก็จัดการชีวิตเรา ชีวิตครอบครัวเรา ชีวิตสังคมเราได้

เพราะฉะนั้นสถานการณ์เหล่านี้มันต้องการความสามารถของสมองสิ่งที่เรากําลังทำคือฝึกเด็กเรื่องEF ให้เขารู้จักคิด มีทักษะที่จะคิด มีความรู้สึกดีที่จะคิด มีความรู้สึกอยากลองได้ลองผิดลองถูก กระบวนการฝึก EFในเด็กเล็กที่เราพยายามรณรงค์กันคือเพื่อให้เขามั่นใจว่าเขามีทักษะเหล่านี้ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้นแล้วฝังอยู่ในสมองเป็นชิปที่เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอกับอะไรเขาก็จะสามารถค่อยๆคิดวิเคราะห์ค่อยๆหาคําตอบ จนในที่สุดเรื่องยากเรื่องใหญ่มันก็จะเข้ามาในลูปของเส้นใยประสาทแบบนี้เหมือนกัน ถ้าเด็กของเราจํานวนมากเป็นอย่างนี้เราก็มั่นใจได้ว่าเขาจะช่วยกันคิด พากันแก้ปัญหา

สิ่งที่สําคัญก็คือว่าเวลานี้เราพบมากไปกว่านั้นว่าไม่ใช่แค่เด็กคิดเก่งเท่านั้นที่จะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้ดี แต่เราพบว่าเขาจะคิดเก่งคิดดีได้ ก็ต้องมีฐานใจที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน ฐานสมอง ฐานใจก็ต้องเสริมกัน เพราะฉะนั้พอเราจะมาทําเรื่องส่งเสริมEFให้เด็ก เราต้องส่งเสริมเรื่องSelfเขาไปด้วย เพราะว่าSelfที่ดีจะทําให้เขาพัฒนาEFได้ กล้าคิด กล้าพูด กล้าทํา กล้าไปเผชิญโลก กล้าไปเจอปัญหา แต่ถ้าSelfไม่ดี เขาก็จะกลัวไปหมดทั้งโลกมันน่ากลัว ทั้งโลกมันมืดมนทั้งโลกไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นต่อให้เขาคิดอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้จึงต้องทำสองเรื่องนี้ไปคู่กัน แล้วพอมีโควิดก็ทําให้เห็นว่าฐานกายก็ต้องไปด้วยกัน คือสุขภาพที่ดีจึงจะทําให้เขาสามารถไปคิดไปสร้างไปอะไรได้แล้วก็จะทําให้จิตใจของเขาดีได้ด้วย

เพราะฉะนั้นราต้องทำให้เด็กแข็งแรงทั้งสมอง จิตใจ ร่างกายก็คือครบองค์รวมได้ประโยชน์ครอบคลุม แทนที่เราจะไปทําเรื่องคุณธรรมก็ไม่ใช่ไม่ทําแต่ว่าไม่ใช่โฟกัสเรื่องเดียวคือคุณธรรม สมองที่คิดได้ดีที่ยับยั้งตัวเองได้ดีนั่นแหละคุณธรรมก็เกิด ไม่จําเป็นต้องไปไล่บอกว่าคุณต้องฝึกคุณธรรมอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น จริงๆ EFที่ดีมีการยั้งคิดไตร่ตรองก็มีศีลในตัวเอง เพราะฉะนั้นเราจะทําอะไรก็ตามทําให้มันเป็นทําเรื่องเดียวแล้วมันได้ทุกเรื่อง

ทำEFได้คุณธรรมแน่นอน ได้การคิดเก่งแน่นอน ได้IQ ได้ EQด้วย เวลานี้เราผลักดันอยากเชิญชวนพ่อแม่ทําเรื่องส่งเสริมEF ส่งเสริมSelfแล้วก็ผ่านกิจกรรมทางกายด้วย พาลูกออกกําลังกายเยอะๆ แต่ถ้าไปพาเรื่องเรียนเก่งอย่างเดียวจะมาเสียใจทีหลังว่า ลูกไม่มีSelf ลูกซึมเศร้า ลูกอยากฆ่าตัวตาย เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น หรือเอาแต่ลูกเรียนหนังสืออย่างเดียว ปรากฏว่าก็ไม่มีปฏิภาณที่จะแก้ปัญหาในชีวิต สรุปแล้วก็ไม่คุ้มทําสามเรื่องนี้ดีกว่าแล้วก็ยาวไปตลอดชีวิตของเขา

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP 90 : รู้อารมณ์ลูกก็รับมือได้ ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

รักลูก The Expert Talk Ep.90 : รู้อารมณ์ลูก ก็รับมือได้ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต ระบุว่า วัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี ประมาณ 1 ใน 7 คน และเด็กไทยอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน มีความผิดปกติทางจิตประสาทและอารมณ์ และจากผลการสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนทั่วโลกในประเทศไทยเมื่อปี 2564 พบว่า 17.6 %ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งการฆ่าตัวตายคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย

 

สาเหตุส่วนหนึ่งของการเป็นโรคซึมเศร้าจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายนั้นคือการมีปัญหาพัฒนาการด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่พ่อแม่สามารถรับมือได้ตั้งแต่เด็ก แต่ละเลยและไม่รู้วิธีการ

 

ฟังวิธีการรับมือกับอารมณ์ลูกจาก The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP 91 : สอนลูกรับมืออารมณ์ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.91 : สอนลูกรับมืออารมณ์ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า

 

ถ้าอยากฝึกลูกควบคุมอารมณ์ พ่อแม่ต้องฝึกก่อน เพราะการเรียนรู้การจัดการอารมณ์ที่ดีที่สุดคือจากพ่อแม่ และอย่าให้ลูกต้องสุขตลอดเวลา เด็กเรียนรู้จากอารมณ์ลบและความทุกข์ได้ โดยมีพ่อแม่อยู่เคียงข้าง

 

ฟังวิธีการฝึกให้ลูกรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง โดย The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิธีการรับมือจัดการกับอารมณ์

ถ้าอยากจะฝึกลูกต้องฝึกที่พ่อแม่หรือว่าคนเลี้ยงก่อน เพราะว่าหลายครั้งการที่เด็กแสดงอารมณ์อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคนที่อยู่รอบตัว แต่ละบ้านก็แตกต่างกัน บางวัฒนธรรมหรือบางคนก็อาจจะรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากพูด หรือบอกแสดงความรู้สึกอารมณ์อะไรออกมา แต่จริงๆ แล้วการจะรับมือกับอารมณ์ของลูกผมอยากให้พ่อแม่มองอย่างนี้ว่า ทุกคนมักจะชอบอารมณ์ลูกในด้านบวก ดีใจ ยิ้ม น่ารัก เราอยากให้ลูกเราอารมณ์ดีตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มีทาง อยากให้มองว่าลูกสามารถเรียนรู้จากอารมณ์เชิงลบได้ อารมณ์เชิงลบถ้าเรียนรู้ได้ดี มันทําให้เขาพัฒนาตัวเองแล้วทําให้เขาสามารถจัดการกับอารมณ์เชิงลบไม่ว่าจะเป็นโกรธ เสียใจ ผิดหวังอะไรต่างๆ ได้ เมื่อเขาโตขึ้น

สิ่งสําคัญเลยก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเข้าไปช่วยเขา พ่อแม่ต้องคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อน หลายครั้งก็คือเราต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ เลย เพราะว่าบางครั้งพอเราคุมอารมณ์เราไม่ได้ มันจะยิ่งทําให้เราใส่อารมณ์เราเข้าไปกับลูกมากขึ้น เลยทําให้อารมณ์เชิงลบของเขามันเกิดนานขึ้น ลองนึกภาพอารมณ์เชิงลบเหมือนไฟ คําพูดหรืออะไรต่าง ๆ น้ําเสียงของเราเข้าไป มันจะเหมือนเรากําลังโยนน้ํามันเข้าไป หรือเราโยนพวกฟืน พวกกระดาษเข้าไป ให้มันยิ่งเผาไหม้มากขึ้น ไฟเวลามันเกิดขึ้นมันต้องดับได้

ดังนั้นเราควรจะต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ไฟมันเริ่มน้อยๆ ลูกหงุดหงิดอะไรนิดหน่อย จริงๆ ต้องเริ่มรู้แล้วนะครับว่าเป็นยังไง แต่ก่อนที่จะมาถึงอารมณ์เชิงลบ ถ้าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านพอทราบแล้วรู้natureลูกเราอย่างที่เมื่อกี้กล่าว เรื่องของพื้นอารมณ์ เช่น เป็นเด็กที่แบบอะไรนิดนึงก็ไม่ได้ ถ้าเราป้องกันได้ก็จะดี ยกตัวอย่างเช่น สมมติวันนี้เราไปเที่ยวกัน เรารู้เลยว่าไปเที่ยวที่นี่ มันจะต้องมีตัวกระตุ้นตรงนี้ ถ้าสมมติว่าลูกเดินผ่านตรงนี้ ลูกจะต้องอยากได้แน่นอน อย่างนี้ครับเราต้องรู้เขารู้เรา ดังนั้นวันนี้ก่อนออกจากบ้านเราต้องเตรียมการเลยครับ ลูกวันนี้เราจะออกไปข้างนอกไปซื้อของ แล้วก็เราจะแวะไปตรงนี้ๆ ไปถึงนี่เราจะทําอะไรบ้าง เสร็จแล้วเรากินอาหารเสร็จกลับบ้าน วันนี้เราไม่แวะซื้อของเล่นนะ ก็เป็นการป้องกันตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เชิงลบแบบนั้น

สะท้อนอารมณ์ลูก ช่วยลดอารมณ์เชิงลบ

แต่ถ้าเมื่ออารมณ์เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสําคัญก็คือคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องนอกจากตั้งสติเแล้ว เราจําเป็นที่จะต้องพูดบอกอารมณ์ลูกหรือว่าสะท้อนอารมณ์ อันนี้เป็นคีย์เวิร์ดสําคัญ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ทํางานผมคิดว่าพ่อแม่จํานวนมาก อาจจะไม่ค่อยพูดบอกอารมณ์อย่างนี้กับลูก การพูดบอกอารมณ์ของลูก เช่น ลูกกําลังเสียใจ ลูกโกรธ ลูกหงุดหงิด แต่สิ่งสําคัญคือพ่อแม่ต้องพูดบอกอารมณ์เขาด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างกลางๆ เพราะลูกสามารถจะจับอารมณ์ความรู้สึกของพ่อแม่ได้หมดมันจะยิ่งทําให้อารมณ์เค้าเกิดขึ้นมากขึ้นได้

การที่เราพูดบอกอารมณ์ของลูกออกมาหรือการสะท้อนอารมณ์ของลูก ไม่ได้แปลว่าจะทําให้อารมณ์ของลูกสงบลงทันที ต้องดูลักษณะนิสัยลูกเราด้วยนะครับ การที่เราพูดอย่างนี้วัตถุประสงค์เพื่อทําให้เด็กรับรู้ได้ว่า พ่อแม่หรือคนเลี้ยงเข้าใจว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร ดังนั้นเราก็แค่พูดบอกและสะท้อนอารมณ์ออกมา แต่คุณพ่อคุณแม่บางท่านก็เล่าให้ผมฟังว่า บางทีพอบอกไปลูกยิ่งหงุดหงิดร้องกว่าเดิม แสดงว่าเขาอาจจะไม่ชอบสไตล์แบบนี้ก็ได้ก็แล้วแต่บ้าน บางครั้งเราก็อาจจะพูดให้น้อยลงหรือรอจังหวะและแค่บอกเขานะครับว่า ลูกกําลังโกรธ หงุดหงิดเดี๋ยวลูกอยู่ตรงนี้ก่อน พออารมณ์ดีเราค่อยคุยกันนะ

แต่สิ่งสําคัญที่ผมอยากจะเน้นนะครับว่าเมื่อไหร่ก็ตามลูกมีพฤติกรรมที่เรียกว่าก้าวร้าวโดยแสดงอารมณ์ออกมามากขึ้นแล้วทําร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่นหรือทำลายข้าวของ จําเป็นที่จะต้องช่วยให้เขาสงบให้ได้ไว ถ้าลูกยังเล็กให้จับมือแล้วพูดว่าลูกกัดแม่ไม่ได้ น้ําเสียงนิ่ง ชัดเจน หรือหากกำลังดิ้นโวยวายละวาด บางบ้านถึงขั้นเอาผ้าห่มมาพันตัวลูก คือทําอย่างไรก็ได้ให้เขาสงบ แม้จะดิ้นไปดิ้นมา แต่สุดท้ายถ้าเขารู้ว่าพ่อแม่เอาจริง เขาจะค่อยๆสงบเอง ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับคุณพ่อคุณแม่นะครับ แต่ว่าต้องฝึกเขาเพราะว่าไม่อย่างนั้นถ้าเขาไม่เคยถูกควบคุมแบบนี้จากภายนอกเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองจากภายในได้ อย่างที่กล่าวไปใน epก่อนหน้านี้

ดังนั้นเวลาเขาโกรธโมโหเขาอาจจะไปทําร้ายเพื่อนหรือไปกัดเพื่อน ถ้าอารมณ์รุนแรงถึงขั้นก้าวร้าวจําเป็นที่จะต้องช่วยให้เขาสงบแล้วพอลูกสงบเสร็จ เราถึงค่อยอธิบายหรือสอน บ้านเราส่วนใหญ่ที่ผมเจอคุณพ่อคุณแม่มักจะชอบสอนหรืออธิบายเยอะมากเลย แต่เวลาที่อารมณ์ไม่พร้อม สมองส่วนอารมณ์ตอนนั้นมันกําลังทํางานเยอะอยู่ สมองส่วนเหตุผลจะยังไม่มา ดังนั้นต้องรอให้สมองส่วนอารมณ์ทํางานได้ดีแล้วก็คุมได้ก่อน แล้วสมองส่วนเหตุผลเขาจะเปิดใจรับฟัง ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่สอนอะไรเขาก็จะเริ่มฟังมากขึ้น

ช่วยลูกออกแบบวิธีจัดการอารมณ์

พออารมณ์สงบจริงๆ บางคนอาจจะไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพราะว่าบางคนรู้สึกว่าเหมือนเป็นการกระตุ้นต่อไป แต่ผมคิดว่าเราสามารถที่จะเรียนรู้จากสิ่งนี้ได้นะครับก็คือพอเขาอารมณ์ดีจริงๆ เช่น ผ่านการเล่นอะไรไปค่อยค่อยคุยกัน เช่น เมื่อกี้ลูกโกรธมากเลย ที่ไม่ได้ซื้อของเล่นอย่างที่บอก งั้นครั้งหน้าถ้าลูกโกรธเราทํายังไงกันดีนะ อันนี้ก็เป็นอีกวิธีขั้นตอนต่อๆไปในการที่จะฝึกหรือสอนให้ลูก เรียนรู้ว่าเวลาโกรธ เขาจะรับมือจัดการกับอารมณ์โกรธยังไงบ้าง เช่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะสาธิตว่าถ้าแม่โกรธเรามาเล่นเกมกันดีกว่า ถ้าเวลาพ่อแม่โกรธพ่อแม่ทํายังไงกันบ้าง เช่น นับ1 ถึง 10 แม้ลูกจะยังไม่หายโกรธ เราก็ชมระหว่างทางที่เขากําลังคุมอารมณ์อยู่ หลายครั้งบางทีลูกร้องโวยวายแต่ว่าเริ่มสงบลงก็ชมได้

แต่ต้องบอกว่าเด็กเล็กอายุ3-5ปี บางทีเรายิ่งพูดเหมือนบางคนจะเหมือนเติมเชื้อไฟ ลูกบางคนจะรู้สึกเหมือนว่าเกือบจะได้แล้ว แปลว่าพ่อแม่กําลังมาง้อแล้ว เราต้องเล่นใหญ่อีกนิดนึง ดังนั้นพ่อแม่ต้องรับรู้นะครับว่าบางทีไฟมันไม่ได้ดับสนิทแบบนี้ บางทีพอดับปุ๊บเราพูดไปนิดนึงเหมือนเราจะไปช่วยนะครับ เพราะเด็กบางคนขึ้นแล้วค้างนานลงไม่เป็น พอเราไปช่วยปรากฏร้องขึ้นมาอีกเหมือนเดิม เราก็ใช้หลักการเหมือนเดิมคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปจัดการที่ลูก

ปัจจุบันมีหนังสือนิทานเยอะมากเลย เด็กๆโดยเฉพาะวัยที่เขาเริ่มฟังนิทานเยอะๆ เราสามารถจะเอาหนังสือนิทานเหล่านี้มาสอนเขาได้เลย สามารถพูดแล้วก็คุยกัน เพราะว่าในหนังสือนิทานบางทีจะมีวิธีพูดบอก เช่น เวลาโกรธเราทําอะไรได้บ้าง เช่น เป่าลูกโป่งแล้วปล่อยให้มันลอยไป เปลี่ยนเรื่องไปวาดรูประบายสี ปั้นดินน้ํามัน ปั้นแป้งโดว์

เป็นแบบอย่างจัดการอารมณ์

1.พ่อแม่ต้องพัฒนาสติหรือบางคนเรียกว่าเจริญสติของตัวเอง ทุกคนมีเวลา 24ชั่วโมงเท่ากันแต่เราให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆไม่เท่ากัน บางทีแค่เราอยู่เฉยๆไม่ดูโซเชียลไม่อะไร หายใจเข้าออกลึกๆก็ได้ คือแต่ละคนอาจจะมีวิธีการอยู่กับตัวเองแตกต่างกันให้ตัวเองมีช่วงเวลาสงบ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามเรารู้จักตัวเองได้ดีพอทําให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ไว แล้วพอเรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ไว เวลาลูกเกิดอารมณ์อะไรที่ไม่โอเค เราก็เข้าไปจัดการหรือรับมือได้อย่างมีสติมากขึ้นนะครับ

2.เป็นแบบอย่างที่ดี หลายครั้งเลยครับเด็กเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ บางคนพ่อแม่ก็เป็นสไตล์ขี้งอนไม่ต้องแปลกใจเลยครับ ดังนั้นมันก็คงหลีกเลี่ยงกันได้ยาก เพราะว่าลูกไม้ก็หล่นใต้ต้นอยู่แล้ว ดังนั้นอะไรก็ตามที่คิดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำให้ลูกเห็น พ่อแม่เองก็สามารถบอกอารมณ์ตัวเองกับลูกได้นะครับ เช่น ตอนที่น้องอารมณ์ไม่ดีแบบนี้แม่ก็อารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน แม่เนี่ยขนาดตัวแม่เองเป็นผู้ใหญ่บางทีแม่ยังคุมอารมณ์ยากเลย เพราะฉะนั้นสําหรับน้องเนี่ยแม่คิดว่ายิ่งยากขึ้นเนาะ งั้นเดี๋ยวเรามาช่วยกันดีกว่าว่าเราทํายังไงกันดี

การที่คุณพ่อคุณแม่บอกอารมณ์ของตัวเองกับลูกก็จะทําให้เหมือนเราเป็นตัวอย่างด้วยนะครับว่าเราทํายังไง ดังนั้นเนี่ยเวลาเราอารมณ์ หงุดหงิด ไม่พอใจอะไรต่าง ๆ นอกจากเรามีสติเรารับมือกับอารมณ์ได้ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องทําให้เห็นนะครับว่าเราจะต้องทําอย่างไรได้บ้าง ที่จะไม่แสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงให้ลูกเห็น

3.ไม่ลงโทษลูกด้วยความรุนแรง หลายครั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นเนี่ยมันไม่ได้เกิดจากการตีอย่างเดียวหรือทําร้ายลูกอย่างเดียวแต่ว่ามันเกิดจากคําพูดยิ่งเราโกรธคําพูดเรา บางทีมันเชือดเฉือนยิ่งทําร้ายมาก บางทีบาดแผลกายหายแล้วแต่บาดแผลทางใจมันยังคงอยู่ตลอดไป ซึ่งหลายๆ ท่านก็คงไม่ได้อยากเห็นลูกเรา จําเราได้ในด้านไม่ดี ซึ่งตรงนี้มันไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นนางฟ้าตลอดเวลาสําหรับลูก แต่ว่าอย่างน้อยเราควรจะมีโมเมนต์ที่ดี มากกว่าโมเมนต์ที่ไม่ดี มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เราจะมีโมเมนต์ที่ดีทั้งหมด แต่อย่างน้อยมีโมเมนต์ที่ดีกับมากกว่าไม่ดี อย่างน้อยมันก็เป็นต้นทุนที่จะทําให้ลูกรับรู้ได้ว่า เวลาเขาไม่พอใจ หงุดหงิด โมโหต่อไปเขาจะมาหาใครได้บ้าง ดังนั้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อแม่กับลูก เป็นเกราะป้องกันเลยสําหรับการเกิดปัญหาทางด้านอารมณ์ต่อไปในอนาคต

พ่อแม่จัดการอารมณ์ได้ดีเกราะป้องกันเมื่อลูกเป็นวัยรุ่น

โดยธรรมชาติวัยรุ่นต้องการค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเองว่าจะพัฒนาเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ดังนั้นเป็นธรรมชาติที่เขาจะต้องไปหาเพื่อนติดเพื่อนมากกว่าติดพ่อแม่ ดังนั้นเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ไปว่าเพื่อนคนนี้เป็นยังไง คนนี้นิสัยเป็นยังไง ถ้าเรายิ่งสนิทกับลูกมากตั้งแต่ตอนเล็กๆ มีอะไรเขาก็จะกล้ามาเล่าให้เราฟัง ซึ่งอันนี้เป็นจังหวะที่ดี แม้กระทั่งขับรถรถติด แล้วลูกเล่าเรื่องเพื่อน เราก็ฟัง เป็นยังไงบ้างล่ะลูก แล้วลูกคิดว่ายังไง จริงๆ การworkกับลูกวัยรุ่นเนี่ยง่ายมากเลยฟังให้เยอะแล้วตัดสินให้น้อย พยายามอย่าไปตัดสินคือควรจะต้องเข้าไปอยู่ในโลกของลูกด้วย เทรนด์อะไรใหม่ๆ เราก็ฟังกับเขาไปด้วยจะทําให้ลูกเปิดใจมากขึ้น

เมื่อเกิดอารมณ์เชิงลบอย่ามองว่าเป็นศัตรูของลูก คนเราทุกคนลองนึกภาพของตัวเรากว่าคนเราจะเติบโตมาถึงขั้นนี้เราต้องเจอทั้งอารมณ์เชิงบวกเชิงลบ การที่เรารับมือกับอารมณ์เชิงลบได้ดีเราได้ทําให้ลูกเรียนรู้ในชีวิตจริงนะ เพราะชีวิตจริงเราต้องเจอกับสิ่งที่ผิดหวัง เสียใจ ไม่ได้ดั่งใจ หงุดหงิด อะไรต่างๆ ยิ่งถ้าลูกเรียนรู้รับรู้อารมณ์ตัวเองได้ไว แล้วเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างดี มันจะยิ่งทําให้เขาเนี่ยสามารถค่อยๆ เติบโตมากขึ้น มีภูมิต้านทานทางด้านทางจิตใจหรืออารมณ์ มันต้องผ่านการฝึกฝนโดยเขาแค่อาศัยพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูที่เปรียบเสมือนเขาเรียกเป็นนั่งร้าย เป็นโครงสร้างที่คอยค้ําจุนพยุง เพื่อไม่ให้โครงสร้างนั้นมันหล่นลงมา

ไม่จําเป็นที่เวลาลูกเผชิญกับความไม่โอเค ไม่พอใจแล้วเราต้องเข้าไปช่วยจัดการทุกอย่างเพราะสุดท้ายแล้วลูกก็สามารถเรียนรู้จัดการด้วยตัวเองได้ระดับหนึ่ง แล้วเราควรจะต้องชื่นชมยินดีกับเขาด้วย เราเองมีหน้าที่รับฟังและอาจจะช่วยเติมในจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้เพื่อทําให้ลูกเรียนรู้ที่จะคิดถึงวิธีต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นเนี่ยครับเราเป็นแค่นั่งร้านแต่สุดท้ายลูกจะภูมิใจนะครับ สิ่งสําคัญคือลูกจะภูมิใจว่า ฉันเองก็สามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ แล้วเด็กที่มีภูมิต้านทานแบบนี้ผมคิดว่า เขาจะห่างไกลจากพวกโรคหรือภาวะที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล

เช็กเบื้องต้นลูกมีปัญหาด้านอารมณ์ คีย์หลักๆ คือถ้าลูกเบื่อไม่อยากทําอะไรที่เคยอยากทําเหมือนเดิม เช่น ลูกชอบวาดรูป เล่นกีฬา แต่จู่ๆ ไม่อยากเล่น เบื่อ แสดงว่าลูกอาจจะถึงขั้นที่ อาจจะมีความผิดปกติทางด้านอารมณ์ หรือลูกมีอารมณ์เศร้า ซึ่งแบบนี้พ่อแม่ต้องพอจะรู้แนวโน้มว่าลูกมีลักษณะพื้นฐานเป็นอย่างไร ถ้าเมื่อไรก็ตามลูกแบบเก็บตัว อยากอยู่คนเดียว เศร้าหรือถ้าอารมณ์เศร้าอาจจะสังเกตยาก แต่เขาจะมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด อะไรนิดหน่อยก็ขึ้นง่าย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะรีบพาไปปรึกษาคุณหมอ

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.104 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “ไม่สำลักความรัก จนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.104 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว ไม่สำลักความรักจนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง

รักมากไปทำร้ายลูก? รักจนสำลักความรัก ประคบประหงมจนไม่ให้ลูกทำอะไร ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก แต่มากไปก็ทำลายลูก

 The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

เลี้ยงประคบประหงม เด็กป่วยได้ง่าย (Munchausen Syndrome by Proxy)

เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูและดูแลสุขภาพแต่มีประเภทที่เยอะเกินไป มีเคสที่ลูกตกเตียงซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงตกตอนเที่ยงแต่พอตกเย็นก็พาลูกมาที่รพ. ให้หมอเช็กอย่างละเอียดเพราะว่ามีลูกคนเดียวและแม่ก็อ่านมาแล้วว่าเลือดที่ซึมออกมาจากในสมองมันจะไม่มีอาการ แต่อยากให้หมอรับรอง100% ว่าลูกไม่มีปัญหา หมอถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงคือเด็กตกเบาะเลี้ยงเด็กซึ่งกลิ้งแล้วหัวกระแทกพื้นไม่ปาร์เก้ลูกตกใจ ร้องไห้ เสร็จแล้วก็เล่นปกติ แต่ว่าแม่ไม่ไว้ใจ และอยากให้ทำMRI ซึ่งการทำกับเด็ก 9เดือนไม่ได้ง่าย แต่ด้วยความที่มีลูกคนเดียวและไม่พลาดไม่ได้เลยขอให้แม่ยืนยันซึ่งไแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย

การทำMRIเด็กต้องนิ่งมากซึ่งทางเดียวที่จะทำคือเพื่อให้เด็กหลับ แล้วฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดว่ามีปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็อาจจะต้องดมยา พอแม่ได้ยินก็บอกหมอว่าเต็มที่ไม่อั้นแต่คนเจ็บตัวคือลูก ลักษณะแบบนี้คือ Munchausen Syndrome by Proxy เครียดมากและวิตกกังวลมาก อาจจะมาจากการเห็นคนในบ้านป่วยจากประสบการณ์เดิม จึงตรวจหาความเสี่ยงของลูกทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพที่เยอะเกินไป

อีกเคสคือย่าเป็นมะเร็งไตแล้วเสียชีวิต แม่ต้องการทำRenal scan (การตรวจสแกนไต) ซึ่งทำไม่ได้ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้แม่ก็ไปเอาน้ำแดงมาผสมในปัสสาวะ แล้วให้หมอตรวจคือสำหรับหมอตรวจไม่ยากว่าเป็นน้ำแดงหรือเลือด แบบนี้คือทำให้เกิดเครียด วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ เครียดแล้วมาลงที่ลูก ผลที่เกิดกับลูกคือเกิดความหวาดระแวงไปกับแม่ ลูกซึมซับความหวาดระแวงจากแม่นี่คือในแง่ของสุขภาพ ลูกกังวล เครียดมาก

เลี้ยงแบบเร่งรัด เด็กต่อต้าน (Overstimulation)

ตอนนี้มีปัญหาเยอะเพราะด้วยระบบแพ้คัดออก เรียนทุกวัน ตื่นตั้งแต่ตีห้าเลิกเรียนก็กวดวิชาแล้วก็ติวกลับมาทำการบ้าน นอนตี1 ตื่นตี5วนไปแบบนี้ทั้งสัปดาห์ พอเสาร์อาทิตย์ก็กวดวิชาเช้าบ่าย หมอเคยเจอเคสรร.สาธิตชื่อดังพอลูกสอบเสร็จพ่อก็ให้ไปเรียนกวดวิชาที่ลงเรียนไว้ ลูกก็โมโหว่าทำไมไม่ถามว่าลูกอยากเรียนไหม เขาอาจจะอยากเล่นไวโอลิน อยากไปเที่ยว พ่อบอกว่าก็อยากจะเป็นหมอ ตอนที่มาหาหมอคือแม่ร้องไห้ พ่อความดันขึ้นเพราะว่าหวังดีแต่ทำไมเป็นแบบนี้

หมอก็ถามว่านี้เป็นเป้าของใครพ่อบอกว่าเป็นของลูก แล้วพอเราลงกวดวิชาเต็มที่แล้วแต่ลูกไม่ได้เป็นหมอจะเสียใจไหมพ่อบอกว่าไม่เสียใจเพราะว่าไม่ใช่เป้าของพ่อ เป็นเป้าของลูกและพ่อก็บอกว่าการที่พ่อจะทำให้ลูกคนหนึ่งมันผิดด้วยหรือ ซึ่งพอคุยไปพ่อก็บอกว่าผมไม่ได้อยากให้ลูกเป็นหมอเขาจะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รักและชอบและขอให้เป็นคนดี หมอก็บอกว่าพูดดีมากให้กลับไปบอกลูก ซึ่งหลังจากนั้นความดันในบ้านก็ลดลงมากเพราะที่ผ่านมาทะเลาะกันตลอด

ตอนนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่วางเป้าให้ลูกเรียบร้อยเลยแล้วลูกก็มีหน้าที่เดินตามเป้าและบอกตัวเองว่าการที่พ่อแม่ทำให้ลูกมันผิดด้วยเหรอ ไม่ผิดแต่เป็นเป้าของพ่อแม่หรือของลูก แล้วการที่ส่งสัญญาณว่าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ได้บอกตรงๆหรือยัง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ก็จะไม่เจอกับการเรียนแบบOverstimulationเร่งรัดบังคับจันทร์ถึงจันทร์ แต่จะได้ใจถึงใจ

เลี้ยงแบบสำลักความรัก (Over Indulgence/Spoiled Child)

มีบ้านไหนที่ลูกทำงานบ้านบ้าง นี่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้านเรามีเด็กเยอะที่ไม่ปัดกวาด ถูบ้านล้างจาน พ่อแม่สปอยทุกอย่างจนทัศนคติของลูกเปลี่ยนว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เขาไม่จำเป็นต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้าน ความรักไม่เกิดบนการร่วมทุกข์ร่วมสุข มีแต่สุขอย่างเดียว เด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นเพื่อนมนุษย์

เวลาจะรักใครก็รักแบบฉาบฉวย พ่อแม่ไม่รู้ตัวว่ากำลังพัฒนาลูกไปเป็นแบบนั้นไม่สามารถรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรนเปรอให้ทุกอย่าง นี่คือการสปอยล์ รักเยอะ ผิดหวังไม่ได้ เจอกับความผิดหวังก็เบรคเลย ไปไกล่เกลี่ยก็ลงเอยด้วยการใช้ความรุนแรง พ่อแม่ต้องรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่มีแต่ความสุข ปรนเปรอแต่ความสุขเจอความยากลำบากไม่ได้ ต้องเจอความยากลำบากร่วมกันง่ายๆ คือ ปัดกวาด ถูกบ้าน ซักผ้า ล้างจาน

เลี้ยงขาดพื้นที่ส่วนตัว เด็กเกิดความเครียด (Parenting Enmeshment)

หมอเคยเจอบ้านที่ไม่ดูทีวีจนอายุ 18ปีจะใช้เครื่องมือสื่อสารไม่ได้ เมื่อเข้าบ้านห้ามใช้ใช้ได้อย่างอิสระเมื่ออายุ 18ปีขึ้นไป ลูกมีห้องส่วนตัวแต่ปิดไม่ได้เพราะว่าพ่อสามารถ เข้าไปดูได้ทุกเมื่อสามารถไปดูแชทส่วนตัวได้ มีเคสที่แม่ลูกชายอายุ 14ปี ยังอาบน้ำกับแม่ขาดพื้นที่ส่วนตัวมาก ถ้าบ้านไหนทำอยู่ให้กลับมาตั้งหลักใหม่

ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่อยากทำอะไรก็ได้เป็นความเข้าใจผิดการให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีของลูกจึงมีนัยยะแม้ลูกโตมาถึงชั้นประถมไม่ต้องรอถึงมัธยม การที่พ่อไม่จับที่สงวนของลูกเลย เคารพในพื้นที่ส่วนตัว ลูกจะเกิดการเรียนรู้เลยว่าขนาดคนเป็นพ่อยังเคารพพื้นที่ส่วนตัว แล้วคนอื่นที่เป็นคนนอกจะมารุกล้ำได้อย่างไร ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้จะสอนด้วยการท่องจำหรือ

การที่พ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะเป็นสิ่งที่ติดตัวลูกเมื่อโตขึ้น อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นไหน อยากให้ลูกเป็นคนเคารพพื้นที่ส่วนตัวก็ต้องทำแบบนั้นกับลูกเช่นเดียวกัน ศรัทธาและสัจจะของลูกมีความหมาย วันนี้เราไม่มั่นใจลูกเลยก็ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นจากพลังบวก เช่นเดียวกันเด็กที่โตมาในครอบครัวที่เข้มงวด ก็จะขาดความมั่นใจไม่เหลือเลย ขาดภาวะผู้นำไม่มีsense of propority การเคารพพื้นที่ส่วนตัวไม่มีถูกล่อลวงโดยไม่รู้ตัวและเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.105 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.105 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

เด็กจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้ จุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการ รู้วิธีรับมือและพลิกเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมพัฒนาทักษะลูก เพื่อให้เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ดีของลูก

ฟังมุมมองการรับมือวัยทองแต่ละช่วงวัยจาก The Exeprt ครูก้า กรองทอง บุญประคอง

ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตต์เมตต์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.106 (Rerun) : พ่อแม่ที่มีอยู่จริง ทางออก Toxic Stress

 

รักลูก The Expert Talk Ep.106 (Rerun) : เป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริง ทางออก Toxic Stress

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดทุกด้าน รับมือ แก้ไข ด้วยการเป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริง

เมื่อลูกเครียดพ่อแม่ต้องรู้ เพื่อรับมือและคลี่คลายความเครียดเป็นพิษ Toxic Stress ก่อนเกิดสถานการณ์ความเครียดที่ไม่คาดคิด

 

ฟังวิธีการจาก The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.107 : คุยกับ อจ.ธาม ชวนเปลี่ยน Indoor Gen เป็น Outdoor Gen

 

รักลูก The Expert Talk Ep.107 : เปลี่ยน Indoor Gen เป็น Outdoor Gen

ป่วยง่าย ติดจอ ขี้หงุดหงิดและกระทบการเรียนรู้ ผลกระทบจาก Indoor Generation รุ่นในร่ม ทางรอดของเด็กยุคดิจิตอลด้วยการพาลูกออกไป Outdoor

 

ฟังวิธีจาก The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.110 (Rerun) : รักลูกเชิงบวก “สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง"

รักลูก The Expert Talk Ep.110 :  รักลูกเชิงบวก "สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง" 

เลี้ยงลูกให้ได้ดี ลูกต้องมี “SELF” เพราะตัวตนที่แข็งแกร่ง จะทำให้ลูกเติบโตและอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย มั่นคงและอยู่รอด

 

ชวนสร้าง SELF กับครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.111 : ฟินแลนด์โมเดล เราทำได้

 

รักลูก The Expert Talk Ep.111 :  ฟินแลนด์โมเดล เราทำได้

บ้านฟินแลนด์ไม่มีของเล่นเยอะแยะ เพราะกิจกรรมรอบตัวเด็ก สามารถเรียนรู้ได้ ส่วนปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดฟินแลนด์โมเดลได้คือ “พ่อแม่ ผู้ปกครอง” อยากเข้าใกล้การเรียนรู้แบบฟินแลนด์โมเดล ทำได้อย่างไร ฟังครูจุ๊ย กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิคณะก้าวหน้า

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.112 : “5 ทักษะสำคัญลูกรอดทุกการเปลี่ยนแปลง”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.112 :  5 ทักษะสำคัญ ลูกรอดทุกการเปลี่ยนแปลง

ทักษะที่จะทำให้เด็กอยู่รอดและอยู่ดีในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง “5 ทักษะและ 1 คุณลักษณะ” ที่สำคัญ ครูจุ๊ยคอนเฟิร์มว่ามีแล้วรอด และพ่อแม่สามารถช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ฟังครูจุ๊ย กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิคณะก้าวหน้า

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.118 : Dysfunctional Family ครอบครัวบกพร่องหน้าที่ เลี้ยงลูกแบบขาดๆ เกินๆ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.118 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 1 Dysfunctional Family ครอบครัวบกพร่องหน้าที่ เลี้ยงลูกแบบขาด ๆ เกิน ๆ

เลี้ยงลูกแบบไหนให้รอด? พ่อแม่ต้องทำอย่างไร

“Dysfunctional Family” ครอบครัวบกพร่องหน้าที่ เลี้ยงลูกแบบขาดๆ เกินๆ

Dysfunctional Family คืออะไร ? เลี้ยงลูกแบบไหนเลี้ยงแบบขาดๆ เกินๆ ?

 

ชวนฟัง รักลูก Podcast กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.119 : เด็ก 6 แบบจากครอบครัว Dysfunctional Family

 

รักลูก The Expert Talk Ep.119 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 2 เด็ก 6 แบบจากครอบครัว Dysfunctional Family

 

เลี้ยงลูกแบบใด ได้ลูกแบบนั้น

ฟังอาจารย์ธามพูดถึงเด็ก 6 แบบที่เกิดจากบ้านที่ Dysfunctional Family ลูกจะมีบุคลิคลักษณะแบบใดบ้าง? 

 

ชวนฟัง รักลูก Podcast กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

  • 1
  • 2