facebook  youtube  line

10 ยาต้องห้ามที่แม่ท้องต้องระวัง เผลอใช้ไปอันตรายกับลูกในท้อง

ยาที่คนท้องห้ามกิน-คนท้องห้ามกินยาอะไร-ยาที่คนท้องห้ามใช้-ยาที่ไม่ควรใช้ระหว่างตั้งครรภ์-แม่ตั้งครรภ์กับการใช้ยา-ยาอันตรายกับทารกในครรภ์-ยาอันตรายสำหรับคนท้อง

10 ยาต้องห้ามที่แม่ท้องต้องระวัง เผลอใช้ไปอันตรายกับลูกในท้อง

มียาอะไรบ้างที่แม่ท้องห้ามใช้เด็ดขาดในช่วงตั้งครรภ์รวมไปถึงช่วงให้นมลูก เพราะใช้แบบไม่รู้ตัวเมื่อไหร่ ลูกในท้องเสี่ยงอันตรายทันทีพอเริ่มตั้งท้อง ยาอะไรที่ก่อนท้องเคยใช้ได้ก็อย่าเผลอหยิบมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้าเลยนะคะ เพราะยาทุกชนิดที่แม่ท้องใช้สามารถส่งต่อเข้าสู่รกผ่านกระแสเลือดของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้องได้ ดังนั้นยาที่แม่ๆ มักใช้กันบ่อยๆ แต่เป็นยาต้องห้ามที่พอตั้งท้องแล้วห้ามใช้เด็ดขาดมีอะไรบ้าง มาอ่านและเซฟเก็บไว้เลยค่ะ


10 ยาต้องห้าม ที่แม่ท้องห้ามใช้

1. ยาแก้ปวดอักเสบ ลดไข้ ยาแก้ปวด

เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ แอสไพริน (Aspirin) ที่กินกันเป็นประจำเมื่อมีอาการปวดอักเสบ หรือใช้ลดไข้ แต่สำหรับแม่ท้องนั้นเป็นยาที่ต้องห้าม ควรเปลี่ยนไปใช้ยาที่ปลอดภัยกับทารกแทนค่ะ เพราะยาอาจทำให้เสี่ยงกับการแท้ง เลือดออกขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดก่อนกำหนดได 1. ยาแก้ปวดอักเสบ ลดไข้ ยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ แอสไพริน (Aspirin) ที่กินกันเป็นประจำเมื่อมีอาการปวดอักเสบ หรือใช้ลดไข้ แต่สำหรับแม่ท้องนั้นเป็นยาที่ต้องห้าม ควรเปลี่ยนไปใช้ยาที่ปลอดภัยกับทารกแทนค่ะ เพราะยาอาจทำให้เสี่ยงกับการแท้ง เลือดออกขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดก่อนกำหนดได้

2. ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ

สำหรับคุณแม่ที่เคยใช้ ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามิน เอ Isotretinoin ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามิน เอ ที่อยู่ในรูปแบบยากิน ตอนก่อนตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์แล้วห้ามใช้ยานี้ เพราะมีผลกับลูกในท้องค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ลูกในท้องอาจจะพิการแต่กำเนิดได้ ส่วนยาทายังอาจพอใช้ได้แต่ก็ควรปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ทุกครั้งค่ะ

3. ยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบก็มีด้วยกันหลายกลุ่ม หลายชนิด โดยทั่วไปที่ใช้บ่อย ๆ คือ ยากลุ่มเพนิซิลิน (Penicillins) นั้น ค่อนข้างมีความปลอดภัยกับแม่ท้อง แต่ยาปฏิชีวนะที่ต้องระวังคือยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตร้าซัยคลิน (Tetracycline) ซึ่งส่งผลต่อการสร้างกระดูกและฟันของลูก ทำให้ลูกมีฟันสีเหลืองหรือสีน้ำตาลได้ หรือทำให้กระดูกและสมองของลูกผิดปกติได้

4. ยารักษาเบาหวาน

การรักษาเบาหวานด้วยยากินขณะตั้งท้องอาจปรับขนาดยาลำบาก ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) และยังส่งผ่านรกได้ทำให้ทารกแรกคลอดเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำด้วย ถ้าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จึงนิยมใช้ยาฉีดอินซูลินซึ่งปลอดภัยกว่า

5. ยาสเตอรอยด์

ที่เป็นยากินหรือยาฉีดนั้น หากจำเป็นต้องใช้ขณะตั้งครรภ์ ควรต้องให้คุณหมอเป็นคนสั่ง เพราะจัดอยู่ในยาที่เป็นอันตรายอาจทำให้ทารกเกิดภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ได้ แต่สำหรับยาสเตอรอยด์แบบใช้ภายนอกสามารถใช้ได้หากใช้ในแบบอ่อนและใช้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

6. ยารักษาโรคความดันโลหิต

ยารักษาความดันโลหิตบางชนิด เช่น รีเซอร์พีน (Reserpine) ส่งผลต่อทารกทำให้เกิดความผิดปกติได้ ดังนั้นหากคุณแม่ที่รักษาโรคความดันโลหิตอยู่ แล้ววางแผนตั้งท้องควรปรึกษา และแจ้งคุณหมอก่อน เพื่อปรับไปใช้ยาที่มีความปลอดภัย

7. ยารักษามะเร็ง

การรักษามะเร็งทำได้หลายวิธี แต่การใช้ยาเคมีบำบัดสำหรับแม่ท้องที่เป็นมะเร็งอาจส่งผลกระทบไปถึงลูกในครรภ์ได้ เพราะยาอาจจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์ได้ ดังนั้นคุณหมอจึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาในช่วงตั้งครรภ์อ่อน ๆ แต่อาจจะรักษาด้วยวิธีอื่นแทน

8. ยากันชัก

สำหรับแม่ท้องที่รักษาอาการชักอยู่ การกินยากันชักจำเป็นต้องอยู่ในความควบคุมของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพราะยากันชักอาจส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมาพิการแต่กำเนิดได้ แต่ก็ไม่ควรหยุดยา คุณหมอจึงมักให้ใช้ยากันชักขนาดต่ำที่สุดที่สามารถควบคุมอาการได้ และให้ยากันชักเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในช่วงตั้งครรภ์

9. ยาขับปัสสาวะ

ยาขับปัสสาวะ หรือยาขับน้ำ ซึ่งช่วยในการขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายและยังช่วยลดระดับความดันโลหิต แต่ถือเป็นยาอันตราย ต้องห้ามหากกำลังตั้งท้อง

10. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

ในช่วงตั้งท้องไตรมาสแรก คุณแม่ไม่ควรใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดบางชนิด เช่น เฟนินไดโอน (Phenindione), อินดานิดิโอน (Indanidione) และคูมาริน (Coumarin) เพราะอาจทำให้ลูกพิการ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เด็กในครรภ์หรือเด็กแรกคลอดมีเลือดออกในระหว่างการคลอดได้อีกด้วย

 

นอกจากรายชื่อยาข้างต้นแล้ว ยังมียาอีกหลายกลุ่ม หลายตัวยาที่จัดอยู่ในประเภทที่มีความเสี่ยงกับลูกน้อยในท้อง หรือยาบางชนิดก็อาจจะสามารถกินได้เมื่อมีอายุครรภ์ที่เหมาะสม ดังนั้นแม่ท้องก่อนกินยาใด ๆ ก็ตามควรปรึกษาเภสัชกร หรือคุณหมอก่อนทุกครั้งค่ะ เพื่อความปลอดภัย และพัฒนาการร่างกายที่สมบูรณ์ของลูก

Welcome to the best online casino experience – Tangiers Casino! You'll be spoilt for choice with everything from slots, blackjack, roulette, and more. Join a global game community of millions with daily offers, promotions, and more.

คนท้องกินยาแก้ปวดได้ไหม พาราเซตามอล ยาแก้ปวด ยาลดไข้ อันตรายกับลูกในท้องไหม

คน ท้อง กิน ยา แก้ ปวด ได้ ไหม, คน ท้อง กิน พาราเซตามอล ได้ ไหม, ยา อม แก้ ไอ คน ท้อง, ยา แก้ ไอ คน ท้อง, ยา แก้ ไอ คน ท้อง กิน ได้, ยา แก้ ไอ สำหรับ คน ท้อง, คนท้องเป็นหวัด กินยาได้ไหม, คนท้องกินยาลดไข้ได้ไหม, คนท้องกินยาแก้แพ้ได้ไหม, คนท้อง ปวดหัว เป็นไข้ กินยาอะไร, คนท้องไม่สบาย ซื้อยากินเองได้ไหม, ยาแก้ปวดที่คนท้องกินได้, ยาที่คนท้องกินได้

คนท้องไม่สบาย เป็นไข้ ปวดหัว สามารถกินยาพาราเซตามอนได้โดยไม่เป็นอันตรายกับทารกในครรภ์ แต่ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมากินเองเพราะอาจเสี่ยงกับทารกได้

คนท้องกินยาแก้ปวดได้ไหม พาราเซตามอล ยาแก้ปวด ยาลดไข้ อันตรายกับลูกในท้องไหม

คนท้องกินยาพาราเซตามอล ยาแก้ปวด ยาลดไข้ได้ไหม

คนท้องที่มีอาการเป็นไข้หวัด ปวดหัว ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก สามารถกินยาสามัญประจำบ้านทั่วไปได้ เช่น ยาลดไข้กลุ่มพาราเซตามอล ยาแก้หวัดกลุ่มคลอเฟนิรามีน เป็นต้น ซึ่งไม่มีอันตรายต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ค่ะ โดยคุณแม่ท้องที่เป็นไข้ ควรดูแลสุขภาพด้วยวิธีอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น 

  • หากมีอาการเจ็บคอร่วมด้วย ควรกินอาหารอ่อน ๆ อย่าง โจ๊ก ข้าวต้ม น้ำผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำสับปะรด เป็นต้น

  • ดื่มน้ำเปล่าสะอาดมาก ๆ เพราะน้ำจะมีส่วนช่วยลดไข้และละลายเสมหะ ทำให้อาการดีได้เร็วมากขึ้น

  • สามารถอาบน้ำอุ่นเพื่อลดไข้ได้ เพราะจะทำให้ความร้อนระบายออกจากร่างกายได้ดี

  • ใส่เสื้อผ้าที่ไม่แน่นหนามากเกินไป เพื่อช่วยในการระบายความร้อนอีกทางหนึ่งด้วย

หากคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นไข้ มีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ไอมากขึ้น มีเสมหะสีเขียว หอบเหนื่อย หรือมีไข้สูงมาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง เพราะอาจจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นซ้ำเติม มีการติดเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นที่มากกว่าไข้หวัดธรรมดา เช่น ปอดอักเสบ เป็นต้น แพทย์อาจจะต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมโดยการตรวจเลือด หรือเอ็กซเรย์ปอด และพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสร่วมด้วยต่อไป

การรักษาอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการเป็นไข้ เป็นหวัด ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ในทางตรงข้ามถ้าไม่รักษาให้ทันท่วงที โดยเฉพาะถ้ามีไข้สูงมาก และมีการติดเชื้อที่รุนแรงอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแท้งลูกในช่วงไตรมาสแรก หรือถ้ามีอายุครรภ์มากก็จะเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะ

คนท้องปวดหัวควรเลือกกินยาพาราเซตามอล หรือ ยาแก้ปวดไมเกรน

พาราเซตามอลเป็นยาสามัญประจำบ้านที่คนท้องกินได้ แต่หากคนท้องเป็นไมเกรนอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ หรือ เพิ่งมีอาการตอนตั้งครรภ์เพราะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ควรปรึกษาและรับยาจากแพทย์เท่านั้น เพราะยารักษาอาการปวดหัวไมเกรนมีการออกฤทธิ์สูงและยาวนาน หากได้รับยาและกินไม่ถูกต้องอาจส่งผลต่อสุขภาพครรภ์ได้ค่ะ 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: รศ.พญ.สายฝน ชวาลไพบูลย์

 

แม่ท้องต้องรู้ ! คุณหมอแนะนำ ยาที่แม่กินได้ ไม่อันตรายกับทารกในครรภ์

3576

แม่ท้องต้องรู้ ! คุณหมอแนะนำ ยาที่แม่กินได้ ไม่อันตรายกับทารกในครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อาจเจ็บป่วยไม่สบายขึ้น อาจกำลังสงสัยและกังวลพอๆ กันว่า การกินยารักษาโรคต่างๆ จะส่งผลอะไรกับทารกในครรภ์บ้างไหม มียาอะไรบ้างที่แม่ตั้งครรภ์สามารถกินได้ เรามีคำแนะนำจากคุณหมอมาบอกค่ะ 

ในช่วงสามเดือนแรก เป็นช่วงที่สำคัญมากๆ เพราะเป็นระยะที่มีการก่อร่างสร้างอวัยวะต่างๆ หากมีสิ่งใดที่มากระทบกระเทือนโอกาสเกิดความผิดปกติก็จะสูงที่สุด ยาที่ใช้ได้จะมีจำกัดมากๆ โดยภาพรวมแล้วหากจำเป็นต้องใช้ยาใดๆ ขอแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร คุณพยาบาล หรือแพทย์ก่อนทุกๆ ครั้งจะดีกว่า

ยาที่แม่ท้องใช้ได้

  1. ยาแก้ปวด:ใช้ได้เพียงอย่างเดียว คือ “พาราเซตตามอล” (หรือในบางครั้งก็อาจจะได้ยินในชื่อ ไทลินอล อะเซตตามิโนเฟน) แต่หากใครมีประวัติแพ้ยาพาราเซตตามอลก็จะใช้ไม่ได้ คือถ้ามีอาการไข้ ปวดต่างๆ นานา  ก็ทานเพื่อบรรเทาอาการไปก่อนได้เลย อย่างปลอดภัยตามขนาดที่กำหนด

    คำว่าตามขนาดที่กำหนดนั้น ขอให้จำอันใหม่ ควรทานในขนาดเม็ดละ 650 มิลลิกรัม และทานซ้ำได้ทุก 8 ชั่วโมง หากว่ายังมีอาการไข้หรืออาการปวดอยู่ การทานในปริมาณที่มากกว่านี้ เช่น ในสมัยก่อนที่ให้ทาน 1,000 มิลลิกรัม และซ้ำได้ทุก 4 – 6 ชั่วโมงนั้น ไม่แนะนำแล้ว เพราะมันมีผลต่อการทำงานของตับมากเกินไป มันจะเกิดผลเสียกับตับ

  2. ยาแก้คัดจมูก ลดน้ำมูก:ในระหว่างตั้งครรภ์สามเดือนแรกนั้น หากมีอาการคัดจมูกหรือมีน้ำมูกมาก ยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยก็คงมีเพียง “คลอเฟนนิรามีน” ยาตัวอื่นที่เคยใช้ทานในกรณีที่มีอาการภูมิแพ้ทั้งหลาย เช่น Zyrtec คงต้องงดไว้ก่อน

    ในระยะสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์นี้ อาจมีอาการของติดเชื้อทางเดินหายใจร่วมๆ กันหลายอย่าง เช่น ไข้ คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บในคอ ไอ โดยอาจจะไอแบบแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะก็ได้ ในส่วนของอาการไข้  คัดจมูก มีน้ำมูกก็ทานยา พาราเซตตามอล คลอเฟนนิรามีน ดังกล่าว เพื่อช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้นได้

    หากมีอาการเจ็บในคอก็ควรมาตรวจพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจดูภายในลำคอว่ามีลักษณะของการติดเชื้ออักเสบหรือไม่ เพราะหากมีลักษณะตรวจพบดังกล่าว ก็จะได้พิจารณาเรื่องการทานยาปฏิชีวนะ ส่วนอาการไอนั้น หากมีอาการไอแบบแห้งๆ ก็อาจทานยาแก้ไอบางตัวได้ เพราะหากปล่อยให้ไอนานๆ เรื้อรัง หรือไอแรงมากๆ ก็จะส่งผลกระทบถึงภาวะครรภ์แน่นอน โดยเฉพาะในระยะสามเดือนแรกนี้ภาวะครรภ์จะยังอ่อนแอ ไม่แข็งแรงเอามากๆ เสี่ยงต่อการแท้งได้

  3. ยาแก้ไอแบบแห้งๆ:กลุ่มที่ใช้ได้ในระหว่างตั้งครรภ์คือ กลุ่ม “เด๊กซโตร เมโทรฟาน” หรือชื่อการค้ายี่ห้อหนึ่งว่า ROMILAR แต่ต้องดูให้ดีดีนะครับว่าเป็นชื่อ romilar เท่านั้น เพราะถ้ามีอักษรอะไรห้อยท้ายด้วย นั่นอาจผสมยาหรือสารเคมีอื่นเพิ่มเติม ซึ่งอาจจทำให้ใช้ไม่ได้ในระหว่างตั้งครรภ์ วิธีสังเกตง่ายที่สุดคือ ขอให้ตัวยานั้นมีแต่ เด๊กซโตร เมโทรฟาน เท่านั้น 

    แต่หากไม่อยากใช้ยาใดๆ เลยก็ “น้ำเปล่า”  นี่แหละดีที่สุด คือพอเริ่มรู้สึกระคาย คัน คอ จะไอปุ๊ป ก็ดื่มน้ำปั๊ปมันช่วยได้แน่นอน เพราะกลไกการไอส่วนหนึ่งคือมีการระคายเคืองในลำคอ การระคายเคืองนั้นอาจเกิดจากภาวะการขาดสารน้ำของเนื้อเยื่อในบริเวณดังกล่าว ร่างกายคนเราขาดน้ำได้มากกว่าปกติ ทั้งจากภาวะไข้ หายใจเร็ว เหงื่อระเหยออกจากผิวหนังมากๆ

  4. ยาละลายเสมหะ:หากอาการไอดังกล่าวมีเสมหะร่วมด้วย ก็อาจทานยาละลายเสมหะช่วย เพราะหากเสมหะใสดีการไอก็จะลดลงได้ ที่ใช้ได้ในระหว่างตั้งครรภ์มี 2 อย่าง  ได้แก่ “Acetylcysteine” และ “Bromhexine” และเช่นเดียวกับการลดอาการไอด้วยวิธีธรรมชาติ หากไม่อยากทานยาครับ ก็คือ “น้ำเปล่า”  จะช่วยเสมหะใสขึ้นได้ ในกรณีที่มีอาการเจ็บคอร่วมด้วยสามสี่วันแล้ว ก็ไม่หายสักที ก็ควรมาตรวจพบแพทย์ หากแพทย์ตรวจพบว่ามีอาการของการอักเสบของบริเวณลำคอ ก็อาจพิจารณาจ่ายยาปฏิชีวนะให้รับประทาน

  5. ยาปฏิชีวนะ: สำหรับการตั้งครรภ์ในสามเดือนแรก ที่จะใช้ได้ก็มีจำนวนจำกัดมากๆ เพราะยาหลายชนิดจะมีผลต่อการเจริญและพัฒนาการของตัวอ่อน ยาปฏิชีวนะกลุ่ม “penicillin” เป็นยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยระหว่างตั้งครรภ์ แม้ในระยะสามเดือนแรกก็ใช้ได้ (แต่คุณแม่ต้องไม่มีประวัติแพ้ยาดังกล่าว)

    ยาชนิดนี้ใช้ได้ทั้งการอักเสบติดเชื้อทางเดินหายใจ  ช่องปาก ทางช่องหู  ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ทางช่องคลอด และทางผิวหนัง ฯลฯ อีกมากมาย  แม้ว่าในส่วนอื่นที่มิใช่ทางเดินหายใจอาจจะมีประสิทธิภาพไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าปลอดภัยในการใช้ระหว่างตั้งครรภ์สามเดือนแรก หากมีประวัติแพ้ยา penicillin  ก็มียากลุ่มถัดไปให้เลือกใช้แทน

โดยสรุป หากมีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นหวัด คัดจมูก มีน้ำมูกไหล เจ็บคอ ยาที่เลือกทานได้อย่างปลอดภัยในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์และตลอดการตั้งครรภ์ก็คือ 

  • พาราเซตตามอล: แก้ปวด  ลดไข้
  • คลอเฟนนิรามีน:  แก้คัดจมูก  ลดน้ำมูก
  • เด๊กซ โตรเมโทรฟาน:  ยาแก้ไอ (ไอแห้งๆ)
  • Acetylcysteine , Bromhexine: ยาละลายเสมหะ
  • เพนนิซิลลิน : ยาปฏิชีวนะสำหรับทั้งการอักเสบติดเชื้อทางเดินหายใจ  ช่องปาก ทางช่องหู  ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ทางช่องคลอด และทางผิวหนัง            

นพ.วิริยะ  เล็กประเสริฐ
สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

แม่เป็นหวัด ไม่สบาย ยังให้นมลูกได้ไหม ลูกจะติดไข้หรือเปล่า

 

แม่ไม่สบาย ให้นมลูกได้ไหม, แม่ป่วย ให้นมลูกได้ไหม, เป็นหวัด ให้นมลูกได้ไหม, เป็นไข้ ให้นมลูกได้ไหม, ท้องเสีย ให้นมลูกได้ไหม, แม่ให้นม กินยาพาราเซตามอลได้ไหม, ยาที่แม่ให้นมลูกกินได้, วิธีให้นมลูกตอนแม่ไม่สบาย

แม่ไม่สบายยังให้นมลูกได้ไหม ลูกจะติดไข้หรือเปล่า และถ้าแม่กินยาพาราเซตามอล ยาแก้แพ้ ยังให้นมลูกได้ไหม เรามีคำแนะนำมาบอก

แม่เป็นหวัด ไม่สบาย ยังให้นมลูกได้ไหม ลูกจะติดไข้หรือเปล่า

คุณแม่ให้นมลูกที่เป็นไข้ เป็นหลัด หรือท้องเสีย ยังสามารถให้นมลูกได้ปกติค่ะ เชื้อโรคจากอาการเหล่านี้จะไม่ติดต่อไปยังลูกผ่านน้ำนมแม่อย่างที่เข้าใจ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องหยุดให้นม และยังสามารถปั๊มนมเก็บได้ปกติ 

การให้นมลูกในช่วงที่คุณแม่ไม่สบาย ทำได้ง่าย ๆ เช่น 

  • คุณแม่ควรล้างมือให้สะอาดก่อนอุ้มลุกเข้าเต้า หรือ ปั๊มนม 
  • หากเป็นไข้ มีอาการไอ เป็นหวัด ควรสวมหน้ากากอนามัย 
  • งดหอมแก้มลูกจนกว่าจะหาหวัด 

แม่ให้นมกินยาลดไข้ พาราเซตามอลได้ไหม

หากคุณแม่ปวดหัว มีไข้มาก สามารถกินยาลดไข้ประเภทพาราเซตามอนได้ค่ะ ไม่เป็นอันตรายกับลูกในช่วงให้นม แต่หากคุณแม่มีอาการป่วยมากจนต้องกินยาแก้ปวดประเภทอื่น ยาปฏิชีวนะ ยาแก้แพ้ จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อน และแจ้งว่าอยู่ในช่วงให้นมลูก เพื่อรับการรักษาและรับยาที่ไม่เป็นอันตรายกับการให้นมลูก