
ไข้หวัดกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือที่เรามักเรียกกันว่า “แพ้อากาศ” มีอาการไม่ต่างกันนัก แต่แพ้อากาศนั้น บางครั้งอาจจะมีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งหากคุณแม่คุณพ่อมีความเข้าใจในโรคภูมิแพ้ ก็สามารถปกป้องและดูแลลูกในเบื้องต้นได้ค่ะ
น้ำมูกไหล สัญญาณหวัด?
ฮั้ดเช้ยยยยย!
ฝนมาหวัดก็มา คุณพ่อคุณแม่อาจไม่แน่ใจว่าน้ำมูกที่ไหลออกมาจากจมูกลูกนั้นใช่อาการหวัดจริงๆหรือไม่ แม้ว่าไข้หวัดกับโรคแพ้อากาศจะมีอาการคล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว คุณพ่อคุณแม่สามารถแยกความต่างของทั้ง 2 โรคนี้ได้ เพื่อจะได้รักษาลูกได้อย่างถูกวิธี ดังนี้
ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กหลายคนจะมีอาการหายใจเสียงดัง คัดจมูก น้ำมูกไหล บางครั้งก็จามติดกันบ่อย ๆ จนคุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าลูกป่วยเป็นไข้หวัด ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ เพราะโดยปกติไข้หวัดมักเกิดในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กจะมีอาการไอมีเสมหะ จาม เจ็บคอ เสียงแหบ รวมถึงมีไข้ต่ำๆ และปวดศีรษะร่วมด้วย ไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ มักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน ก็หายค่ะ
ทั้งนี้อาการน้ำมูกใส ๆ ไหล อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคแพ้อากาศ ก็ได้นะคะ โดยเฉพาะถ้าลูกมีอาการเหมือนเป็นหวัดเรื้อรัง โดยที่ไม่มีไข้
แล้ว ไข้หวัด กับ แพ้อากาศต่างกันอย่างไร? มาดูกันค่ะ
ความแตกต่างของ หวัด กับแพ้อากาศ

ไข้หวัดธรรมดา
-
มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ
-
มีอาการจาม คัดจมูก มีน้ำมูกไหล (น้ำมูกใส)
-
มีอาการไอ เจ็บคอ
-
อาการเป็นทั้งวัน และอาจมีอาการมากตอนกลางคืน
-
มีอาการไม่เกิน 1-2 สัปดาห์
แพ้อากาศ
-
คันจมูก จาม คัดจมูก มีน้ำมูกใสไหล เป็นๆหายๆ ช่วงเช้า หรือ กลางคืนนาน 4 สัปดาห์ขึ้นไป
-
ไอเรื้อรัง มีเสมหะในช่วงเช้า หรือกลางคืน
-
อาจมีอาการคันตา น้ำตาไหล ตาแดง ตาบวม คันในเพดานปาก หู และผื่นคันที่ผิวหนัง ร่วมด้วย
-
มีอาการคล้ายหวัดเรื้อรัง โดยไม่มีไข้
-
มีอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวแห้ง คัน เป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ
-
อ่อนเพลีย ง่วงซึม รู้สึกไม่สบายตัว หรือหงุดหงิดง่าย เพราะนอนไม่เพียงพอ
อาการไข้หวัดกับอาการแพ้อากาศค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการและดูแลลูกได้ในเบื้องต้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อลูกไม่สบายมาก ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อการวินิจฉัยโรคและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ
การดูแลเด็กที่มีอาการแพ้อากาศ
-
หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ อย่างเคร่งครัด
-
ให้ลูกรับประทานยาแก้แพ้หรือพ่นยาตามคำแนะนำของแพทย์
-
ใช้น้ำเกลือปราศจากเชื้อล้างจมูกเมื่อลูกมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล
-
หากหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ไม่ได้ หรือการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล โรคแพ้อากาศสามารถรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ได้ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาในการรักษาด้วยวิธีนี้ต่อไปค่ะ
วิธีลดความเสี่ยงการเกิดอาการแพ้อากาศ
อาการแพ้อากาศ คืออาการภูมิแพ้อย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเป็นแล้ว อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับอาการแพ้อื่น ๆ เช่น หอบหืด ที่อาจจะตามมาได้ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันได้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการดูแลสภาพแวดล้อมและการหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ดังนี้ค่ะ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ลูกแพ้
โดยเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตาขนที่อาจมีไรฝุ่น รวมถึงฝุ่นในบ้าน สัตว์เลี้ยง หรือสารกระตุ้นต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป น้ำหอม สเปรย์ ควรทำความสะอาดบ้านโดยเฉพาะห้องนอนของลูกเป็นประจำทุกวัน เปิดหน้าต่างให้แสงเข้าบ้าง ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกได้
2. เช็กสภาพอากาศก่อนพาลูกออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน
เพื่อหลีกเลี่ยงความชื้น มลภาวะ ฝุ่นละอองโดยเฉพาะฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ควันพิษ ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกเกิดอาการแพ้ และเมื่อพาลูกกลับจากทำกิจกรรมนอกบ้านแล้วควรให้รีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที
3. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในสัดส่วนที่สมดุล
หากลูกน้อยของคุณแม่ยังทานนมแม่อยู่ ก็ควรทานนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เพราะในนมแม่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ถูกทำให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กแล้ว จึงช่วยลดโอกาสการกระตุ้นให้เกิดการแพ้ อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อย่างเช่น บิฟิดัส บีแอล และแอลจีจี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายของลูกได้อีกด้วย
แต่ในบางกรณีจำเป็นที่ทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง คุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ในเรื่องของ โปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วนที่ทำจากเวย์ 100% หรือ H.A. (Hypoallergenic) ตามคำแนะนำจากแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้จากสมาคมโรคภูมิแพ้ และวิทยาคุ้มกันแห่งประเทศไทย
เมื่อถึงวัยเริ่มอาหารเสริมตามวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารจำพวกโปรตีน ผักและผลไม้ และอาหารที่มีการเติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อย่าง บิฟิดัส บีแอล จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายของลูกได้ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ แต่ให้ทานในสัดส่วนที่สมดุล ไม่มากเกินไป ก็จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับอาหารใหม่ ๆ ได้ค่ะ

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดี เพราะหากร่างกายลูกพักผ่อนไม่พอ อ่อนเพลียบ่อยๆ ภูมิต้านทานจะต่ำลง ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย เพราะฉะนั้นควรให้ลูกนอนหลับไม่ต่ำกว่าวันละ 8-10 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยประมาณวันละ 30 นาที นอกจากจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยแล้ว การออกกำลังกายร่วมกันยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัวอีกด้วยค่ะ
ในช่วงที่เข้าฤดูฝนเช่นนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยกระตุ้นอาการภูมิแพ้ของลูกมากมาย หากคุณแม่คุณพ่อดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวลูก ชวนลูกออกกำลังกายทุกวัน และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยปกป้องลูกจากอาการภูมิแพ้ได้ส่วนหนึ่งแล้ว เมื่อลูกมีสุขภาพแข็งแรง ไม่แพ้ เค้าก็พร้อมที่จะออกไปเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในทุก ๆ วันค่ะ แต่หากลูกมีอาการภูมิแพ้กำเริบเยอะ ก็ควรไปพบแพทย์นะคะ
อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check
#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ. พญ. รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า
พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

ภูมิแพ้ในเด็ก สาเหตุ อาการ วิธีรักษา โดยกุมารแพทย์เฉพาะทาง
ปัจจุบันปัญหาโรคภูมิแพ้ในเด็กพบมากขึ้นทุกวัน นำมาซึ่งความกังวลใจของคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก เพราะภูมิแพ้เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการที่ร่างกายมีความไวต่อสารกระตุ้นบางอย่างมากกว่าปกติ ซึ่งก็คือสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง ทำให้เกิดอาการผิดปกติในระบบต่างๆของร่างกาย
สาเหตุของโรคภูมิแพ้ในเด็กคืออะไร?
โรคภูมิแพ้ในเด็กเกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม ดังนี้ค่ะ
-
กรรมพันธุ์ เป็นปัจจัยสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด หากคุณพ่อหรือคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าเด็กปกติที่ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น หากคุณพ่อหรือคุณแม่เป็นโรคหืด ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคนี้เช่นกันประมาณ 25% แต่หากทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นโรคหืด ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงถึง 50% หรือ หากพี่แพ้อาหารก็จะมีโอกาสสูงที่น้องจะแพ้อาหารเช่นเดียวกัน เป็นต้น
-
สิ่งแวดล้อม ได้แก่สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กซึ่งบางครั้งอาจสัมผัสตั้งแต่อยู่ในท้องคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ สุนัข แมว ละอองเกสร หรือสารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็นอาหาร เช่น นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลี อาหารทะเล หรือสารระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป มลภาวะต่างๆ นอกจากนี้การติดเชื้อในระบบทางดินหายใจของเด็กเอง เช่น RSV, rhinovirus ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งแวดล้อมอันจะเป็นสาเหตุร่วมกันในการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กได้
อาการของโรคภูมิแพ้ในเด็กเป็นอย่างไร?
อาการต่าง ๆ ของโรคภูมิแพ้ในเด็กที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ อาจแบ่งเป็นอาการผิดปกติของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งหากมีลูกมีอาการเหล่านี้หลายอาการพร้อม ๆ กัน ก็อาจมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้มากขึ้น ดังนี้ค่ะ ระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ อาการทางระบบทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น คันจมูก จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือเช้ามืด หรือได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น หายใจหอบเหนื่อย ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน หลังจากวิ่งเล่น ออกกำลังกาย ระบบผิวหนัง ได้แก่ มีผื่นคันเรื้อรังเป็นๆหายๆโดยเฉพาะที่บริเวณแก้มใบหน้าและแขนขาด้านนอกในเด็กทารก หรือบริเวณข้อพับต่างๆในเด็กโต หรือมีผื่นลมพิษ ตาบวม ปากบวมเป็นๆหาย ๆ ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือดปน ท้องอืด อาเจียน ท้องเสียเรื้อรัง หรือมีอาการแหวะนมบ่อยในทารก ระบบหัวใจและหลอดเลือด มีความดันต่ำ ช็อก หมดสติ เป็นลมเฉียบพลันทันที ในภาวะแพ้อย่างรุนแรง

โรคภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในเด็กคืออะไร?
ตัวอย่างโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในเด็ก ได้แก่
-
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้: เป็นโรคภูมิแพ้ที่มักจะเกิดขึ้นในเด็กอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจะมีอาการระบบทางเดินหายใจส่วนบน คือ จมูก ได้แก่ คันจมูก จาม คัดจมูก น้ำมูกไหลและอาจมีอาการร่วมของอวัยวะอื่นๆที่ไม่ใช่จมูกแต่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น คันตา คันในคอ หูอื้อ ร่วมด้วยได้
-
โรคหืด: เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบได้ตั้งแต่เด็กวัยทารก ผู้ป่วยจะมีปัญหาของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ หลอดลม โดยมีอาการหายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก ไอเรื้อรังช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน เหนื่อยง่ายขณะออกกำลังกาย ซึ่งเกิดจากการที่มีหลอดลมตีบ
-
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ: ผู้ป่วยเด็กจะมีอาการผื่นคันเรื้อรัง เป็นๆหายๆ ผิวแห้ง ผื่นแดง มีขุย อาจมีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม มีการกระจายของผื่นที่จำเพาะในวัยต่าง ๆ คือ ทารก ผื่นมักเป็นบริเวณแก้ม คอ ใบหน้า ด้านนอกของแขนขา ส่วนเด็กโต ผื่นมักเป็นตามข้อพับแขนขา หลัง ข้อมือ ข้อเท้า
-
โรคแพ้อาหาร: เด็กที่แพ้อาหารมักมีอาการผิดปกติในระบบต่างๆ ตั้งแต่วัยทารกหรือเด็กเล็ก หลังจากเริ่มทานอาหารที่แพ้บ่อย เช่น นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลีและอาหารทะเล โดยอาจมีอาการผิดปกติในระบบใดระบบหนึ่งหรือหลายระบบร่วมกัน ได้แก่ อาการทางผิวหนัง เช่น ผื่นลมพิษ ผื่นแดงคันทั่วตัว ปากบวม ตาบวม อาการในระบบทางเดินหายใจ เช่น หายใจหอบเหนื่อย มีเสียงหายใจดังผิดปกติ มีน้ำมูกเหมือนเป็นหวัดเรื้อรัง อาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น ถ่ายอุจจาระมีมูกปนเลือด อาเจียนและท้องเสียเรื้อรัง เป็นต้น
หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคภูมิแพ้จะสามารถทำการทดสอบได้อย่างไร?
หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคภูมิแพ้ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกน้อยมารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมจากคุณหมอภูมิแพ้ เพื่อจะได้รับการซักประวัติอาการอย่างละเอียด ตรวจร่างกายและทำทดสอบภูมิแพ้ ซึ่งมีวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
-
การทดสอบหาสารก่อภูมิแพ้ โดยการสะกิดผิวหนัง (Skin prick test) คือการนำน้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ มาทำการทดสอบที่ผิวหนังของผู้ป่วย เพื่อให้ทราบว่าแพ้สารใด ซึ่งเป็นการทดสอบที่มีความไวและความจำเพาะสูง ทำง่าย และราคาไม่แพง สามารถทราบผลได้ทันที ผู้ป่วยสามารถเห็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นด้วยตาของตนเอง มีขั้นตอน คือ การหยดน้ำยาที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนังของผู้ป่วย ใช้เครื่องมือทดสอบ สะกิดที่ผิวหนังของผู้ป่วย (ท้องแขน สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต หรือที่หลัง สำหรับเด็กเล็กที่ไม่ค่อยร่วมมือ) อ่านผลหลังทำ 15-20 นาทีหากผู้ป่วยแพ้สารใดก็จะเกิดปฎิกิริยาเป็นตุ่มนูนแดง คัน ในตำแหน่งที่ตรงกับทดสอบสารก่อภูมิแพ้นั้น
-
การทดสอบหาสารก่อภูมิแพ้ โดยการตรวจเลือด (Serum specific IgE) เป็นการทดสอบเพื่อตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ ด้วยการเจาะเลือดเพื่อหาปริมาณอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด (Serum specific IgE) ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะกับการทำในผู้ป่วยที่ เป็นโรคผิวหนังหรือมีปฏิกริยาทางผิวหนังง่ายผิดปกติ ไม่ได้งดยาแก้แพ้มาก่อนตรวจ เด็กเล็ก และผู้มีโอกาสเกิดปฏิกริยารุนแรงจากสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งไม่สามารถทำการทดสอบด้วย skin prick test ได้ มีขั้นตอนเพียงการเจาะเลือดส่งตรวจ โดยเจาะเพียงครั้งเดียวก็สามารถตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ได้หลายชนิด แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทดสอบ skin prick test และต้องรอผลประมาณไม่เกิน 1 สัปดาห์
-
การทดสอบการแพ้อาหารด้วยการรับประทานอาหารทีละน้อย (Oral food challenge test) หากสงสัยว่าลูกแพ้อาหาร สามารถทำได้โดยทำการทดสอบภูมิแพ้ เช่น การทดสอบทางผิวหนัง หรือการตรวจเลือด เพื่อช่วยในการวินิจฉัย แต่หากทำทดสอบภูมิแพ้เหล่านี้แล้วได้ผลเป็นลบ คุณหมออาจพิจารณาทำทดสอบปฏิกิริยาการแพ้อาหาร โดยการทานอาหารนั้นทีละน้อย (Oral food challenge test) และค่อยๆ เพิ่มปริมาณอีกเท่าตัวทุก 15-30 นาที จนกระทั่งถึงปริมาณอาหารมาตรฐานสากลที่ไม่แพ้ ระหว่างการทดสอบ จะมีการบันทึกสัญญาณชีพเป็นระยะๆ รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากมีการแพ้รุนแรงเกิดขึ้น ก็จะได้รับการฉีดยารักษาเพื่อระงับการแพ้ทันที ซึ่งการทดสอบนี้จะเป็นการทดสอบขั้นสุดท้าย ที่พิจารณาทำในผู้ป่วยบางราย สำหรับผู้ป่วยเด็กเพื่อความปลอดภัยอาจใช้ในกรณีที่ทำทดสอบ skin test หรือตรวจเลือดแล้วได้ผลบวก แต่สงสัยว่าผู้ป่วยไม่ได้แพ้จริง หรือ ติดตามว่าหายจากการแพ้แน่นอนแล้วหรือยัง ซึ่งการทดสอบเหล่านี้สามารถทำได้อย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของคุณหมอภูมิแพ้ค่ะ

การรักษาโรคภูมิแพ้ในเด็กมีวิธีอย่างไรบ้าง?
หลักในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจมีอยู่ 3 ข้อใหญ่ ๆ ดังนี้
-
หลีกเลี่ยงหรือควบคุมสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เหลือน้อยที่สุดตามชนิดสารก่อภูมิแพ้
-
การดูแลสุขภาพทั่วไป คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
-
การใช้ยา เช่น
-
ยาต้านฮีสตามีน ยาลดอาการคัดจมูกทั้งชนิดรับประทานและชนิดพ่น ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก สำหรับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
-
ยาสูดขยายหลอดลม, ยาสูดสเตียรอยด์, ยาต้านสาร leukotriene สำหรับโรคหืด
-
ยาสเตียรอยด์ชนิดทา ยาทาต้านการอักเสบของผิวที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โลชั่นบำรุงผิวลดการอักเสบ สำหรับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ นอกจากนั้นยังมี การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ สำหรับผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ และโรคหืด ที่หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้ไม่ได้ หรือมีอาการรุนแรงและใช้ยาแล้วไม่ได้ผล ไม่สามารถหยุดยาได้ หรือไม่อยากใช้ยาแล้ว
คุณพ่อคุณแม่สามารถลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกได้อย่างไร? เนื่องจากโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดทั้งทางด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลเพื่อป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกโดยการจัดการกับสิ่งแวดล้อมต่างๆที่อยู่รอบตัวลูก ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่ก่อนลูกเกิด ดังนี้ค่ะ
-
ก่อนการคลอด : คุณแม่ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย ครบ 5 หมู่ โดยไม่ทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินกว่าปกติ เช่น ดื่มนมวัววันละเป็นลิตร หรือทานไข่วันละ 2-3 ฟองทั้งที่ปกติไม่ค่อยได้ทาน เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพ้อาหารชนิดนั้นกับลูกได้ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ในทางเดินหายใจได้บ่อย เช่น อยู่ในที่มีฝุ่นเยอะ หรืออยู่ในสถานที่ซึ่งมีผู้สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่ระหว่างการตั้งครรภ์
-
ระหว่างการคลอด : หากไม่มีข้อบ่งชี้ในการคลอดด้วยวิธีผ่าคลอดคุณแม่ควรเลือกวิธีการคลอดลูกโดยการคลอดแบบธรรมชาติเพราะช่องคลอดของคุณแม่มีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งเรียกว่า โพรไบโอติกอยู่ปริมาณมาก เมื่อทารกเคลื่อนตัวผ่านทางช่องคลอด ระหว่างการคลอดก็จะได้สัมผัสกับโพรไบโอติกนั้นเข้าไปในปากและผ่านลงไปในลำไส้ของทารก ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกได้
-
หลังการคลอด : ควรให้ลูกน้อยได้ทานนมแม่เพียงอย่างเดียว ในช่วงระยะเวลา 4-6 เดือนแรกของชีวิต เพื่อโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้และเมื่อลูกน้อยอายุครบ 6 เดือน คุณแม่และคุณพ่อควรให้ลูกได้ทานอาหารตามวัยอย่างเหมาะสม ไม่ควรเริ่มอาหารช้ากว่าวัยอันควร โดยเริ่มจากอาหารกลุ่มที่ไม่เสี่ยงต่อการแพ้ก่อน ส่วนอาหารที่เสี่ยงต่อการแพ้ เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของนมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลี และอาหารทะเล ก็ควรจะค่อย ๆ เริ่มทานในเวลาต่อมา และสังเกตว่ามีอาการแพ้หรือไม่
โรคภูมิแพ้ในเด็กมีทั้งโรคที่สามารถหายได้เอง เช่น แพ้อาหาร จำพวก นมวัว ไข่ ถั่วเหลืองและแป้งสาลี รวมถึงโรคที่อาจไม่สามารถหายสนิทในผู้ป่วยบางราย เช่น โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ แต่หากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมก็จะสามารถควบคุมอาการของโรคให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นปกติสุขได้นะคะ
รักลูก Community of The Experts
รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี
กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า
เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวอากาศร้อน สักพักฝนตก เจ้าตัวเล็กอาจจะมีอาการของระบบทางเดินหายใจ
จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเริ่มเข้าใกล้โรคภูมิแพ้แล้ว
ฟังวิธีการสังเกต และวิธีการดูและเมื่อลูกเป็นโรคภูมิแพ้โดย The Expert รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชณรังษี
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u