facebook  youtube  line

9 คำถามเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนทารก วัคซีนเด็กที่แม่ถามเข้ามามากที่สุด

แม่หลายคนสงสัยเรื่องการฉีดวัคซีนทารก วัคซีนเด็กเล็ก เราได้รวบรวมคำถามมาตอบให้แล้วค่ะ จะช่วยให้แม่มั่นใจในการพาลูกไปฉีดวัคซีนมากขึ้นค่ะ

9 คำถามเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนทารก วัคซีนเด็กที่แม่ถามเข้ามามากที่สุด

1. เตรียมตัวลูกทารก ลูกเล็กก่อนไปฉีดวัคซีนอย่างไร

  1. ถ้าเด็กโตพอพูดรู้เรื่องก็ควรคุยกันก่อน หรืออาจเล่าเป็นนิทานเรื่องลูกหมีไปหาหมอ ฉีดยาให้แข็งแรงจะได้ไม่ป่วย
  2. ห้ามบอกลูกเด็ดขาดว่าถ้าดื้อจะให้หมอฉีดยา เพราะไม่อย่างนั้นแค่เจอหน้าหมอ ยังไม่ทันเห็นเข็มก็คงร้องไห้จ้าแล้วล่ะ
  3. อาจจะลองทำความคุ้นเคย เช่น เอากระบอกฉีดยาของเล่นมาลองฉีดยิงน้ำ พ่นระบายสี เป็นต้
  4. พอจะฉีดยาของจริงก็ร้องเพลงหลอก คุยหลอก ได้จังหวะก็ฉีดปั๊บเข้าไปเลย วิธีนี้น่าจะได้ผลค่ะ เพราะบ่อยครั้งที่เด็กๆถูกล่อหลอกจนลืมร้องไห
  5. เมื่อฉีดเสร็จแล้วก็ปรบมือเป็นกำลังใจให้คนเก่งหน่อย

2. ก้อนแข็งหลังจากการฉีดวัคซีน ทำอย่างไรถึงจะหาย

ถ้าบวมและแข็งมากบรรเทาได้โดยการประคบเย็น ถ้าปวดมากก็ให้ลูกกินยาแก้ปวดได้ค่ะ อาการบวมจะเป็นประมาณ 2-3 วันค่ะ ถ้ามีอาการอักเสบมากอย่าปล่อยจนเป็นหนองให้รีบพาลูกไปพบแพทย์ด่วนค่ะ

3. ให้ลูกกินยาดักไข้ ก่อนไปฉีดยา ทำได้หรือไม่

ไม่ได้ค่ะ ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ต้องรอให้ลูกเป็นไข้ก่อนดีกว่านะคะคุณแม่ เข้าใจว่าเป็นห่วงลูก แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนไปฉีดยาแล้วจะป่วยนะคะ ทางที่ดีห้ามให้ลูกกินยาดักเด็ดขาดค่ะ

4. หลังจากฉีดวัคซีนเสร็จ ลูกร้องไห้ไม่หยุด รับมืออย่างไรดี

เหตุผลที่ลูกร้องไห้ไม่หยุด เป็นเพราะน้องเจ็บจากการโดนฉีดยามานะคะ อยากให้คุณแม่ใจเย็น ๆ อาจให้กินยาพาราเซตามอนแก้ปวดและใช้ผ้าเย็นประคบเบาๆ ไม่ต้องนวดคลึงและไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะคะ

5. ผื่นขึ้นหลังจากฉีดวัคซีน

อาจเกิดจากเชื้อที่อยู่ในวัคซีนเช่น หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส อาจขึ้นหลังจากฉีดไปแล้ว  5-7 วัน รวมอาการมีไข้ด้วย แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะหายไปเองค่ะ

6. ฉีดวัคซีนแล้วลูกไม่สบาย มีไข้ วิธีแก้ไข

อาการไข้จะเกิดขึ้นกับลูกได้ค่ะ คุณแม่สามารถเช็ดตัวให้ลูกเพื่อให้ไข้ลดได้ หรือถ้าเป็นมากให้กินยาลดไข้ที่คุณหมอให้มาก็ได้ค่ะ อาจให้กินยาพาราเซตามอน อาการจะหายไปเองภายใน 2-3 วันค่ะ ไม่ควรกินยาดักไว้ก่อนนะคะ ให้ลูกมีไข้ก่อนแล้วค่อยกิน ถ้ามีไข้ขึ้นสูงมากจน ลูกชัก ให้จับหน้าลูกตะแคงหันด้านข้าง เพื่อไม่ให้ลิ้นอุดตันทางเดินหายใจ ห้ามใช้สิ่งของยัดเข้าไปในปากของลูกเพราะอาจเกิดการบาดเจ็บที่ช่องปากหรือสิ่งของนั้นอาจหลุดเข้าไปในปากลูกได้ พยายามเช็ดตัวให้ไข้ลดโดยการเน้นเช็ดที่ซอกคอ และข้อพับต่าง ๆ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบพาลูกส่งโรงพยาบาลทันที    

7. ข้อควรระวัง อาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนให้ลูก

  1. อย่าให้วัคซีนที่ทำให้ตัวร้อนได้พร้อมกันเช่น วัคซีนรวมคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน พร้อมกับวัคซีนป้องกันไทฟอยด์
  2. เมื่อรับวัคซีนแล้วอาจมีอาการข้างเคียงบางอย่างเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อวัคซีนซึ่งโดยทั่วไปจะมีอาการไม่มาก และจะหายไปเอง 
  3. เนื่องจากอาการแพ้วัคซีนชนิดรุนแรงมักเกิดขึ้นไม่นานหลังการฉีด จึงควรแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการผิดปกติหรือฉีดวัคซีนทุกชนิดประมาณ 15-30 นาทีขณะยังอยู่ในโรงพยาบาล
  4. อาการแพ้วัคซีนหรือแพ้ส่วนประกอบของวัคซีนสามารถพบได้ในวัคซีนทุกชนิด หากเป็นแค่เพียงผื่นเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรน่ากังวลนัก แต่หากลักษณะที่เกิดขึ้นเป็นผื่นลมพิษ มีอาการหน้าบวมปากบวม หายใจลำบาก หรือความดันโลหิตต่ำลง ถือเป็นอาการข้างเคียงสำคัญ ซึ่งหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้น อาจพิจารณางดการฉีดวัคซีนชนิดนั้นในครั้งต่อไป และควรบันทึกไว้ในหลักฐานทางการแพทย์และสมุดวัคซีนให้ชัดเจน    
  5. ที่มาของผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

8. เด็กที่มีอาการข้างเคียงเมื่อได้รับวัคซีน

อาจไม่ได้มีอาการจากตัววัคซีนโดยตรง เนื่องจากในวัคซีนป้องกันโรค นอกจากจะประกอบด้วยสารที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรคแล้ว ยังมีสารอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของวัคซีนด้วย เช่น

  1. อลูมินัม พบในวัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิบ, ไวรัสตับอักเสบเอและบี
  2. ยีสต์ พบในวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  3. ไข่ พบในวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
  4. เจลาติน พบในวัคซีนป้องกันสุกใส, หัด หัดเยอรมันและคางทูม
  5. ยาปฏิชีวนะนีโอมัยซิน พบในวัคซีนป้องกันสุกใส, หัด หัดเยอรมันและคางทูม ดังนั้นถ้าเด็กที่มีอาการข้างเคียงจากสารที่เป็นส่วนประกอบในวัคซีน ก็จะมีอาการข้างเคียงเมื่อได้รับวัคซีนได้ค่ะ

9. คำแนะนำในการมารับวัคซีนครั้งต่อไป  

  1. ในวันนัด ถ้าเด็กเป็นไข้ไม่สบาย ควรให้เด็กหายดีก่อนหลังจากนั้น 1 สัปดาห์จึงพามารับวัคซีน
  2. ในกรณีที่ไม่สามารถมาตามนัดได้ ท่านสามารถพามารับวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ครบไม่ว่าจะเว้นไว้ไปนานเท่าใดได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ไม่ควรพามา
  3.  ก่อนนัดเนื่องจากระยะห่างระหว่างการกระตุ้นของวัคซีนที่สั้นเกินไปจะมีผลให้ภูมิต้านทานโรคขึ้นน้อยกว่าปกติ
  4. ถ้าเด็กเคยมีประวัติแพ้ยา แพ้ไข่ไก่ หรือเคยมีอาการผิดปกติรุนแรงหลังได้รับวัคซีน เช่น ชัก ผื่น ลมพิษไข้สูงมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนได้รับวัคซีนครั้งต่อไป

คุณหมอเฉลยแล้ว! จริงไหมฉีดวัคซีนที่คลินิกลูกจะไม่มีไข้ ไม่แพ้วัคซีน

ฉีดวัคซีน คลิกนิก ลูกไม่เป็นไข้, มีวัคซีนที่ลูกไม่เป็นไข้ไหม, ทำยังไง ฉีดวัคซีน ไม่เป็นไข้, ฉีดวัคซีน โรงพยาบาล ลูกเป็นไข้, ฉีดวัคซีนที่ไหน ลูกไม่เป็นไข้, วัคซีนเชื้อเป็น, วัคซีนเชื้อตาย, วัคซีนทารก เป็นไข้, ทารก เป็นไข้หลังฉีดวัคซีน, ทารก แพ้วัคซีน เป็นไข้, ทำไม ทารก แพ้วัคซัีนเป็นไข้, ทำไมเด็ก แพ้วัคซีน เป็นไข้


มีคุณแม่หลายคนเข้าใจและเชื่อต่อ ๆ กันว่า ถ้าพาลูกไปฉีดวัคซีนที่คลินิก ลูกจะไม่เป็นไข้ ไม่แพ้วัคซีนเหมือนไปฉีดที่โรงพยาบาล เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร คุณหมอเด็กมาเฉลยให้เข้าใจกันใหม่ค่ะ 

คุณหมอเฉลยแล้ว! จริงไหมฉีดวัคซีนที่คลินิกลูกจะไม่มีไข้ ไม่แพ้วัคซีน

เพื่อช่วยคลายข้อสงสัย ทางรักลูกได้สอบถาม พญ. สินดี จำเริญนุสิต กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม ได้ให้คำตอบ พร้อมความรู้เรื่องเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนของลูกมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

จริงไหม? ฉีดวัคซีนที่คลินิกลูกจะไม่มีไข้ ไม่แพ้วัคซีน 

ตอบ ไม่จริงค่ะ ความจริงแล้วขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน และภูมิคุ้มกันของเด็ก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ฉีด โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดกับวัคซีนเข็มแรก พอเด็กเริ่มโตขึ้นจะฉีดที่โรงพยาบาล หรือคลินิก ก็อาจจะไม่มีไข้ได้ค่ะ

เด็กทารกเกิดมาพร้อมภูมิต้านทานโรคบางชนิดที่ได้มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา นอกจากนี้การให้นมแม่ยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้แก่เด็ก อย่างไรก็ตามภูมิต้านทานโรคนี้จะคงอยู่เพียงชั่วคราว การฉีดวัคซีนจึงช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่เด็กในระยะยาว โดยวัคซีนจะกระตุ้นภูมิต้านทานโรคให้เกิดปฏิกิริยาเหมือนกับร่างกายติดเชื้อโรคจริง ๆ และจดจำเชื้อโรคนั้นไว้ เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ภูมิต้านทานจะสามารถทำลายเชื้อโรคนั้นได้

วัคซีนสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

  1. วัคซีนประเภทท็อกซอยด์ (Toxoid) เป็นการนำพิษของเชื้อโรคมาทำให้หมดฤทธิ์แต่ยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ ได้แก่ วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก

  2. วัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Vaccine) เป็นวัคซีนที่นำเชื้อมาทำให้อ่อนแรงจนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ได้แก่ วัคซีนหัด คางทูม หัดเยอรมัน อีสุกอีใส งูสวัด ไข้สมองอักเสบ เจอี (ชนิดเชื้อเป็น)

  3. วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Killed Vaccine)เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นจากเชื้อโรคทั้งตัวหรือบางส่วนของเชื้อ ได้แก่ วัคซีนตับอักเสบ เอ บี ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ โปลิโอชนิดฉีด

ทางคลินิกส่วนใหญ่จะเป็นแบบเชื้อตายไม่ทำให้มีไข้ ส่วนทางโรงพยาบาล จะเป็นแบบเชื้อเป็นค่ะ แต่ก็มีบางโรงพยาบาลจะมีแบบไม่มีไข้ให้คุณพ่อคุณแม่เลือกได้เหมือนกันกับทางคลินิก แต่อาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมนะคะ ราคาขึ้นอยู่กับทางโรงพยาบาล หรือคลินิกนั้น ๆ ค่ะ

สรุปแล้ว การฉีดวัคซีนจะโดยทางโรงพยาบาล อนามัยใกล้บ้าน หรือคลินิกก็ไม่ต่างกันค่ะ ลูกจะมีไข้หรือไม่มีไข้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ แต่ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและชนิดของวัคซีนที่เจ้าตัวน้อยจะได้รับ อย่าลืมพาลูกไปฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนดกันด้วยนะคะ เพื่อให้ลูกรักมีสุขภาพแข็งแรง “วัคซีน” ซึ่งเป็นเสมือนปราการด่านแรกที่จะช่วยปกป้องลูกน้อยจากเชื้อโรคร้ายต่าง ๆ 


ตารางฉีดวัคซีนเด็ก วัคซีนทารก 2565 วัคซีนพื้นฐานที่ลูกต้องฉีด

 วัคซีนเด็ก-วัคซีนพื้นฐาน-ตารางวัคซีน-ตารางฉีกวัคซีน-ตารางวัคซีน 2565

วัคซีนเด็ก วัคซีนพื้นฐาน ปี 2565 ปีนี้ลูกต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง มีวัคซีนตัวไหนอัปเดตเพิ่มเติม เช็กตารางฉีดวัคซีนเด็กปี 2565 ได้เลยค่ะ 

ตารางฉีดวัคซีนเด็ก วัคซีนทารก 2565 วัคซีนพื้นฐานที่ลูกต้องฉีด

กระทรวงสาธารณสุขออกกำหนดการให้วัคซีนเด็กตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ปี 2565 มาแล้วค่ะ สำหรับปีนี้ภาพรวมของวัคซีนยังคงเหมือนเดิม ส่วนวัคซีนโควิด-19 ดูคำแนะนำจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 

วัคซีนเด็ก, วัคซีนพื้นฐาน, ตารางวัคซีน, ตารางวัคซีน 2565

 

ดาวน์โหลดตารางวัคซีนเด็กฉบับเต็ม คลิก

ตารางวัคซีนเด็ก 2566 วัคซีนพื้นฐาน ลูกต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง

ตารางวัคซีน-ตารางวัคซีน 2565-ตารางวัคซีน 2566-วัคซีนเด็ก-การรับวัคซีน-วัคซีน 2566

ตารางวัคซีน 2566 ของเด็กมาแล้ว ปีนี้ลูกต้องฉีดอะไร มีวัคซีนอะไรอัปเดตบ้าง มาดูกันค่ะ 

ตารางวัคซีน 2566 วัคซีนพื้นฐาน ลูกต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง

แผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กองโรคติดต่อทั่วไป กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ออกกำหนดการให้วัคซีนหรือตารางวัคซีนตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ปี 2566 มาแล้วค่ะ

ภาพรวมของตารางวัคซีนเด็กที่ต้องฉีดปีนี้ยังคงเหมือนเดิมค่ะ และมีการเพิ่มคำแนะนำการฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่ รวมถึงแนวทางการปฏิบัติเมื่อพาเด็กไปรับวัคซีนช้าด้วยค่ะ 

 ตารางวัคซีน-ตารางวัคซีน 2565-ตารางวัคซีน 2566-วัคซีนเด็ก-การรับวัคซีน-วัคซีน 2566

คุณแม่สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ : ตารางกำหนดการให้วัคซีน ปี 2566

ทารกท้องเสีย ท้องร่วงเกิดจากอะไร พร้อมวิธีสังเกตทารกท้องเสีย ท้องร่วง

 
ทารกท้องเสีย, ทารกท้องร่วง, อาการ ทารก ท้องเสีย, ลูก ท้องเสีย, ลักษณะ อุจจาระ ทารก ท้องเสีย, ลูก ถ่าย เหลว, ทารก ถ่าย เหลว, สาเหตุ ทารก ท้องเสียง ท้องร่วง, ไวรัสโรต้า ทารกท้องร่วง, ทารก ท้องเสีย ท้องร่วง แพ้นมวัว, รักษา ทารกท้องเสีย ท้องร่วง
 
อาการทารกท้องเสีย ท้องร่วงพบได้บ่อย เพราะลูกทารกยังมีภูมิต้านทานในร่างกายน้อย ได้รับเชื้อง่าย เรามีวิธีสังเกตเพื่อการรักษาและดูแลที่ถูกต้องมาแนะนำค่ะ

ทารกท้องเสีย ท้องร่วงเกิดจากอะไร พร้อมวิธีสังเกตทารกท้องเสีย ท้องร่วง

สาเหตุที่ทำให้ลูกทารกท้องเสีย ท้องร่วง

โดยปกติแล้วเด็กทารกแรกเกิดที่กินนมแม่อย่างเดียว อุจจาระจะมีลักษณะเหลวข้นคล้ายซุปฟักทอง ซึ่งอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ตกใจและคิดว่าลูกท้องเสีย ท้องร่วง แต่จริง ๆ แล้วเป็นภาวะปกติ ซึ่งเลูกทารกจะถ่ายวันละ 8-10 ครั้ง หรือในเด็กบางคนอาจอุจจาระทุกครั้งหลังกินนมแม่เสร็จก็มี แต่หากลักษณะอุจจาระเหลวเป็นน้ำ มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวรุนแรงกว่าปกติและมีมูกเลือดปนแบบนี้ไม่ธรรมดาแล้ว

สาเหตุของอุจจาระไม่ปกติ และนำไปสู่อาการท้องร่วงในเด็กนั้น เกิดได้จากการติดเชื้อ ซึ่งการติดเชื้อแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ ติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และภาวะแพ้นมวัว โดยจะมีอาการให้สังเกต ดังนี้

  1. อุจจาระร่วงที่เกิดจากการติดเชื้อ จะมีลักษณะเป็นมูก มีเลือดปน หรือมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวรุนแรง และอาจมีอาการป่วยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการงอแงหรือซึมกว่าปกติ ไม่สบายตัว ท้องอืด เป็นไข้

  2. อุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า เป็นเชื้อยอดฮิตที่พบมากที่สุดในเด็ก เพราะผลจากการตรวจเชื้อพบว่าเด็กท้องร่วงจากการติดเชื้อไวรัสโรต้าประมาณ 60-70% เลยทีเดียว อาการเด่นคือ ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำปริมาณมาก มักพบร่วมกับภาวะขาดน้ำรุนแรง เริ่มแรกจะมีอาการไข้สูง อาเจียนใน 2-3 วันแรกก่อนมีอาการอุจจาระ บางรายอาจมีหวัดนำมาก่อน มักเกิดในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี

  3. อุจจาระร่วงจากการแพ้นมวัว มักมีอาการถ่ายเป็นมูกเลือด ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ท้องอืด อาเจียน มีผื่นตามลำตัว โดยเฉพาะตามข้อพับและแก้ม น้ำหนักไม่ค่อยขึ้น และที่น่าสังเกต คือ ปัจจุบันเด็กๆ มีอาการท้องร่วง โดยมีสาเหตุมาจากการแพ้นมวัวมากขึ้น

วิธีรักษาอาการทารกท้องเสีย ท้องร่วง 

  1. โรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าไม่มียารักษาโดยเฉพาะ ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการและการรักษาแบบประคับประคอง คือ การรักษาภาวะขาดน้ำ โดยการให้น้ำทางปาก แต่ถ้ารับน้ำทางปากไม่ได้ เกิดอาการขาดน้ำปานกลางถึงขาดน้ำมาก จำเป็นต้องให้น้ำทางหลอดเลือดดำ ให้ยาลดไข้เป็นระยะถ้ามีไข้ ให้ยาลดการอาเจียน
     
  2. หากลูกมีอุจจาระร่วงมากขึ้นเมื่อดื่มนมทั่วไปที่มีแล็กโทส ให้เปลี่ยนนมเป็นนมที่ไม่มีแล็กโทส และเมื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำแล้ว ให้เริ่มอาหารทางปากได้ทันทีโดยให้เป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย ควรให้ทีละน้อย แต่บ่อยๆ คุณหมออาจพิจารณาการให้จุลินทรีย์ชีวภาพ (Probiotics) ได้แก่ Lactobacillus GG ซึ่งมีการศึกษาพบว่าช่วยลดระยะเวลาการนอนในโรงพยาบาลจากโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า

ป้องกันลูกทารกท้องเสีย ท้องร่วง

  1. โรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัส เกิดจากการได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ปากโดยตรง โดยเฉพาะหนู ๆ ที่อยู่ในช่วงวัยนักสำรวจ หยิบจับอะไรก็จะเอาเข้าปาก จึงทำให้รับเชื้อได้ง่าย โดยเชื้อไวรัสอาจติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก และอาจเกิดจากการไอจามรดกัน ซึ่งป้องกันได้โดย

  2. เด็ก ๆ ควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า เพื่อช่วยลดความเสี่ยง อาการรุนแรงของการติดเชื้อไวรัสโรต้า

  3. ระมัดระวังเรื่องความสะอาด ตั้งแต่การเตรียมอาหาร การปรุงอาหาร และการกินอาหาร ควรล้างมือบ่อยๆ (ด้วยน้ำและสบู่) โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายและก่อนกินอาหาร รวมทั้งการใช้ช้อนกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดมือ เป็นต้น

  4. ไม่พาลูกไปในสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ และห้างสรรพสินค้า คุณพ่อคุณแม่ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย ในเด็กเล็กที่ดื่มขวดนมก็ควรล้างขวดนมให้สะอาดและนำไปต้มหรือนึ่งทุกครั้ง ก่อนการนำมาใช้ใหม่

 

 

ระวัง! โรคไอกรน โรคอันตรายระบบทางเดินหายใจเด็กเล็ก

ไอกรน, โรคไอกรน, pertussis คือ, วัคซีน คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก, วัคซีน ไอกรน, โรค ไอกรน ใน เด็ก, ไอกรน คือ, อาการ ไอกรน, การรักษาไอกรน, โรคทารก, ไอกรน ทางเดินหายใจ, ไอกรน ติดต่อทางการไอจาม, ไอกรนเกิดจาก, คอตีบ, วัคซีนป้องกันไอกรน, วัคซีนไอกรนคือ, วัคซีนไข้หวัดใหญ่, ไข้ไอกรน, วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก, เชื้อไอกรน, วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก 

ไอกรนคือโรคระบบทางเดินหายใจที่อันตรายสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งในเด็กโตและผู้ใหญ่ก็ป่วยได้เช่นกัน แต่อาการอาจไม่รุนแรงเท่า ดังนั้นเด็กทุกคนจำเป็นต้องได้รับวัคซีนไอกรนตั้งแต่ยังเล็กและต่อเนื่องครบตามจำนวน เพื่อป้องกันโรคไอกรนค่ะ

ระวัง! โรคไอกรน โรคอันตรายระบบทางเดินหายใจเด็กเล็ก

โรคไอกรน คือโรคอะไร

ไอกรนเป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อว่า Bordetella pertussis (B. pertussis) ปัจจุบันพบน้อยเพราะมีวัคซีนไอกรนป้องกันโรค สามารถเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีอาการสำคัญคือ ไออย่างรุนแรงต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ไอเป็นชุด มีเสียงหายใจดังฮู้บระหว่างหรือหลังไอ และอาเจียนหลังไอ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมองและปอดอักเสบโดยเฉพาะทารกและเด็กเล็ก 

อาการของโรคไอกรน

หากเกิดในผู้ใหญ่ไม่มีความรุนแรง สามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ไม่มีไข้ มีเพียงอาการไอเท่านั้น แต่ถ้าหากโรคไอกรนเกิดกับเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 3 ขวบ มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ที่พบบ่อยคือไอหนักจนตัวเขียวหรือไอจนหยุดหายใจ ทำให้สมองขาดออกซิเจน และอาจเสียชีวิตได้ ส่วนอาการชักสามารถพบได้เช่นกันแต่พบไม่บ่อยนัก

ไอกรนในวัยเด็ก

มักเกิดจากการได้รับวัคซีนป้องกันที่ยังไม่ครบหรือบางรายอาจยังไม่เคยได้รับวัคซีนเลย ทำให้เด็กยังขาดภูมิคุ้มกัน เนื่องจากวัคซีนป้องกันไอกรนเข็มแรกจะได้รับเมื่ออายุ 2 เดือน ส่วนการรับเชื้อส่วนมากมักมีการรับมาจากผู้ใหญ่ที่ป่วยและมีอาการไอ ซึ่งในวัยผู้ใหญ่มักไม่ยอมไปพบแพทย์ เนื่องจากอาการไม่รุนแรง ทำให้เกิดการแพร่เชื้อไปยังเด็กที่อยู่ใกล้ชิดในที่สุด

วัคซีนป้องกันโรคไอกรน

วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก จะฉีดครั้งแรกที่อายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือนและ 18 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี หลังจากนั้นควรฉีดวัคซีนกระตุ้นอีก 2 เข็ม ตอนอายุ 10-12 ปี หากเด็กคนไหนไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนช่วง 10-12 ปี อาจรับช่วงวัยรุ่นอายุ 15-16 ปี และหลังจากนั้นควรได้รับวัคซีนกระตุ้นทุก 10 ปี 

คำแนะนำเมื่อพาลูกไปรับวัคซีนไอกรน  

  • ในวันนัด ถ้าลูกเป็นไข้ไม่สบาย ควรให้เด็กดีก่อนหลังจากนั้น 1 สัปดาห์จึงพาไปรับวัคซีน
  • ในกรณีที่ไม่สามารถไปตามนัดได้ พ่อแม่สามารถพาลูกไปรับวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ครบไม่ว่าจะเว้นไว้ไปนานเท่าใดได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ไม่ควรพาไปก่อนนัดเนื่องจากระยะห่างระหว่างการกระตุ้นของวัคซีนที่สั้นเกินไปจะมีผลให้ภูมิต้านทานโรคขึ้นน้อยกว่าปกติ
  • ถ้าเด็กเคยมีประวัติแพ้ยา แพ้ไข่ไก่ หรือเคยมีอาการผิดปกติรุนแรงหลังได้รับวัคซีน เช่น ชัก ผื่น ลมพิษไข้สูงมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนได้รับวัคซีนครั้งต่อไป

 

อ้างอิง 

โรคไอกรนในเด็ก อันตรายถึงตาย อาการคล้ายโรคหวัดธรรมดา

 

รับมืออาการแพ้วัคซีน อาการข้างเคียงหลังพาลูกทารกไปฉีดวัคซีน

 
หลังพาลูกทารกไปฉีดวัคซีนอาจมีผลข้างเคียง และอาการแพ้วัคซีนที่เกิดขึ้น ผลข้างเคียงของวัคซีนทารกมีอะไรบ้าง และพ่อแม่ต้องดูแลลูกทารหลังฉีดวัคซีนอย่างไร เรามีคำแนะนำค่ะ

รับมืออาการแพ้วัคซีน อาการข้างเคียงหลังพาลูกทารกไปฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนพื้นฐานหรือวัคซีนทางเลือก ซึ่งเป็นเกราะป้องกันต่อสู้กับเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย สร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูก แต่การฉีดวัคซีนนั้น อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับลูกบ้าง หากรู้จุดสังเกตอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น คุณแม่ก็จะรับมือกับอาการเหล่านั้นได้ดีขึ้นค่ะ

สาเหตุของผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเด็กทารก

เด็กที่มีอาการข้างเคียงเมื่อได้รับวัคซีน อาจไม่ได้มีอาการจากตัววัคซีนโดยตรง เนื่องจากในวัคซีนป้องกันโรค นอกจากจะประกอบด้วยสารที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรคแล้ว ยังมีสารอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของวัคซีนด้วย เช่น

  • อลูมินัมพบในวัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิบ, ไวรัสตับอักเสบเอและบี
  • ยีสต์พบในวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  • ไข่พบในวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
  • เจลาตินพบในวัคซีนป้องกันสุกใส, หัด หัดเยอรมันและคางทูม
  • ยาปฏิชีวนะนีโอมัยซินพบในวัคซีนป้องกันสุกใส, หัด หัดเยอรมันและคางทูม

ดังนั้นถ้าเด็กที่มีอาการข้างเคียงจากสารที่เป็นส่วนประกอบในวัคซีน ก็จะมีอาการข้างเคียงเมื่อได้รับวัคซีนได้ค่ะ

อาการและวิธีรับมือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

อาการข้างเคียงของวัคซีนแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันไป วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อตาย เช่น วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรนและบาดทะยัก อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ภายในวันที่ฉีดวัคซีน และมักมีอาการไม่เกิน 2-3 วัน ส่วนวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อเป็น เช่น วัคซีนป้องกันโรคสุกใสหรือหัด หัดเยอรมันและคางทูม อาจมีอาการข้างเคียง เช่น ไข้และผื่น ภายหลังฉีด 5-7 วัน นอกจากนี้วัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมันและคางทูม ยังอาจทำให้มีอาการปวดข้อภายหลังฉีด 2-4 สัปดาห์ แต่มักพบในผู้ใหญ่

อาการข้างเคียงของวัคซีนทารกแบ่งเป็น

  1. อาการข้างเคียงเฉพาะที่ เช่น ปวดบวมแดงบริเวณรอยฉีดยา
    วิธีดูแล: หากลูกมีอาการปวดบวมแดงบริเวณรอยฉีดยา อาจให้กินยาพาราเซตามอนแก้ปวดและใช้ผ้าเย็นประคบเบา ๆ ไม่ต้องนวดคลึงและไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ

  2. อาการข้างเคียงทั่วไปที่ไม่รุนแรงเช่น ไข้ ร้องกวน กินอาหารน้อยลง คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ มีผื่น ปวดข้อ
    วิธีดูแล : หากมีไข้ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลดไข้ อาจให้กินยาพาราเซตามอนแก้ไข้และให้เด็กดื่มน้ำบ่อย ๆ แต่ถ้าคลื่นไส้อาเจียนก็ไม่จำเป็นต้องให้กินยาแก้อาเจียน เพียงให้เด็กค่อย ๆ ดื่มน้ำและกินอาหารอ่อนครั้งละน้อย ๆ ส่วนใหญ่อาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรงอย่าง มีไข้ ปวดบวมแดงบริเวณรอยฉีดยา ร้องกวน มักหายภายใน 2-3 วัน

  3. อาการข้างเคียงทั่วไปที่ค่อนข้างรุนแรง พบได้น้อยมาก อาการเหล่านั้นได้แก่ มีผื่นลมพิษ, หน้า ปาก มือและเท้าบวม, หายใจหอบ, ความดันโลหิตต่ำและช็อก อาจเกิดขึ้นได้ภายหลังฉีดวัคซีนไม่กี่นาทีจนถึง 2-3 วัน
    วิธีดูแล : ต้องนำเด็กไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วนและควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล

วัคซีนเด็กทารกตัวไหนต้องระวัง

ทั้งวัคซีนพื้นฐานและวัคซีนทางเลือก ต่างก็ทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ทั้งนั้น ในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรง ยังสามารถให้วัคซีนนั้น ๆ ซ้ำได้ แต่ถ้าลูกมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงมาก ไม่ควรให้วัคซีนนั้น ๆ อีก หากลูกที่มีไข้สูง หรือชักหลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดสเต็มเซลล์ ควรให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไม่มีเซลล์ซึ่งมีราคาสูงกว่า

โดยทั่วไปคุณแม่ไม่จำเป็นต้องให้ยาลดไข้กับลูกก่อนฉีดวัคซีน แต่ถ้าลูกเคยชักมาก่อน อาจให้ยาลดไข้ก่อนให้วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรนและบาดทะยัก ประมาณ 30 นาที รวมทั้งหลังได้วัคซีนแล้ว ก็อาจให้ยาลดไข้ต่อทุก 4-6 ชั่วโมง เป็นเวลา 24 ชั่วโมงค่ะ

ถึงแม้การฉีดวัคซีนในเด็กอาจทำให้มีอาการข้างเคียงบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรง ลูกของคุณแม่ยังคงได้รับประโยชน์จากการรับวัคซีนมากกว่า ดีกว่าปล่อยให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้นะคะ

ที่มา : รศ.พญ. วรนุช จงศรีสวัสดิ์
 

รู้จักวัคซีนทารก วัคซีนเด็กเล็ก รวม 6 โรค ฉีดเข็มเดียว เจ็บครั้งเดียว

วัคซีน ทารก รวม 6 โรค, วัคซีน รวม 6 โรค, วันซีนรวมคืออะไร, วัคซีนรวม สำหรับทารก, วัคซีนรวมสำหรับเด็กเล็ก, วัคซีนรวม ดียังไง, วัคซีนรวม 6 โรค ดีไหม, ทำไม ต้องฉีดวัคซีนรวม 6 โรค ทารก, ข้อดี วัคซีนรวมทารก, วัคซีนรวม ทารก ฉีดตอนไหน, วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ, วัคซีนโรคฮิบ, HIB, โรคไอกรน, วัคซีนบาดทะยัก, โรคโปลิโอ, โรคคอตีบ, โรคตับอักเสบบี

จะดีไหมคะถ้าเราสามารถพาลูกทารกไปฉีดวัคซีนรวม 6 โรคได้ในเข็มเดียว อยากรู้ว่าวัควีนรวมโรคคืออะไร ต้องรับวัคซีนอย่างไร มาอ่านกันเลยค่ะ

รู้จักวัคซีนทารก วัคซีนเด็กเล็ก รวม 6 โรค ฉีดเข็มเดียว เจ็บครั้งเดียว

เด็กทารกควรได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิดเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายและอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของเขา โดยเฉพาะกลุ่มโรคติดเชื้อ เช่น โรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบ โปลิโอ ที่ก่อให้เกิดทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรัง ความพิการ และเสียชีวิตได้
 
ดังนั้นวิธีหนึ่งที่ป้องกันลูกน้อยจากโรคต่างๆ ที่ง่าย และได้ผลดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนให้เขา โดยเฉพาะวัคซีนรวม 6 โรคที่จะช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ลูกรักเจริญเติบโตสมวัย

ทำไมต้องฉีดวัคซีนรวม วัคซีนรวมดียังไง

สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย แนะนำพ่อแม่ให้พาลูกไปฉีดวัคซีนตามวัยในแต่ละปี เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคต่างๆ ที่อาจเกิดกับลูก ซึ่งเด็กทารกแรกเกิด – 12 เดือนต้องฉีดวัคซีนหลายเข็มเพื่อป้องกันหลายๆ โรคที่อาจเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการฉีดวัคซีนรวมจึงถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะกับครอบครัวยุคนี้มาก

  • วัคซีนรวม 6 โรค ฉีดเข็มเดียว ไม่ต้องเจ็บตัวบ่อย : เนื่องจากเป็นวัคซีนรวม 6 โรค ลูกจึงไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนหลายๆ เข็ม ทำให้ลดจำนวนครั้งของการฉีด ช่วยให้ลูกเกิดความกลัวน้อย เพราะฉีดยาเพียงครั้งเดียว แต่ได้รับวัคซีนหลายชนิด

  • ประหยัด : ประหยัดทั้งเงิน ประหยัดทั้งเวลา ลดภาระค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ทั้งค่าวัคซีน ค่าเดินทางไปโรงพยาบาล

  • ครอบคลุมหลายโรค : พ่อแม่มั่นใจได้ว่าลูกจะได้รับการปกป้องอย่างดีจากวัคซีนป้องกันโรคหลายๆ โรคในคราวเดียว ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมฉีดวัคซีนโรคใดโรคหนึ่ง ลดความสับสนของพ่อแม่ เมื่อต้องพาลูกไปรับวัคซีนหลายครั้ง

  • วัคซีนรวมมีความปลอดภัยสูง : เพราะรูปแบบของวัคซีนมีความปลอดภัยสูง ลดปัญหาการปนเปื้อนของยา และมีผลข้างเคียงน้อย
    การฉีดวัคซีนรวม 6 โรค สามารถฉีดในช่วงอายุ 2-4-6 เดือนเพื่อภูมิต้านทานที่ดี ทำให้ลูกรักมีการเจริญเติบโตสมวัย นำไปสู่การเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีของลูกรัก

 วัคซีน ทารก รวม 6 โรค, วัคซีน รวม 6 โรค, วันซีนรวมคืออะไร, วัคซีนรวม สำหรับทารก, วัคซีนรวมสำหรับเด็กเล็ก, วัคซีนรวม ดียังไง, วัคซีนรวม 6 โรค ดีไหม, ทำไม ต้องฉีดวัคซีนรวม 6 โรค ทารก, ข้อดี วัคซีนรวมทารก, วัคซีนรวม ทารก ฉีดตอนไหน, วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ, วัคซีนโรคฮิบ, HIB, โรคไอกรน, วัคซีนบาดทะยัก, โรคโปลิโอ, โรคคอตีบ, โรคตับอักเสบบี

 วัคซีนทารก ลูกเล็ก รวม 6 โรค ป้องกันอะไรบ้าง

  1. โรคคอตีบ(Diphtheria)เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อได้จากการไอ จาม สัมผัสกัน ก่อให้เกิดอาการอวัยวะในลำคอบวม หายใจลำบาก กล้ามเนื้ออักเสบ เป็นอันตรายต่อระบบหายใจ

  2. โรคบาดทะยัก(Tetanus) เป็นโรคติดต่อจากแผลติดเชื้อที่เป็นพิษต่อระบบประสาท เกิดอาการเกร็งกระตุกขากรรไกรแข็ง เจ็บปวดกล้ามเนื้อ เช่น แผลอักเสบจากสะดือเด็กที่ไม่สะอาด ทำให้ติดเชื้อบาดทะยักได้

  3. โรคโปลิโอ (Polio) เป็นโรคที่ติดต่อจากการกินหรือดื่มน้ำปนเปื้อนเชื้อโรค ก่อเกิดอาการแขนขาลีบ อ่อนแรง เป็นอัมพาต สมองอักเสบ หายใจไม่ได้ และเสียชีวิตได้

  4. โรคตับอักเสบบี (Hepatitis B) ติดต่อได้ง่ายจากแม่สู่ลูก หรือติดต่อจากเลือดและสิ่งคัดหลั่ง เด็กที่รับเชื้ออาจกลายเป็นพาหะแพร่สู่ผู้อื่นได้ด้วย ต้นเหตุของอาการตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับได้

  5. โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่ติดต่อง่าย ก่ออาการหายใจติดขัด ไอเป็นชุดจนสำลัก ปอดบวม อาจมีอาการแทรกซ้อนทางสมอง ทำให้ชัก สมองพิการได้

  6. โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ (Hib) เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากแบคทีเรียฮีโมฟิลัส อินฟลูเอนซ่า ชนิดบี หรือ เชื้อฮิบ ซึ่งมีความรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้
     

เตรียมตัวลูกก่อนไปฉีดวัคซีนรวม 6 โรค

  1. ตรวจสอบกำหนดนัดรับวัคซีน และนำสมุดบันทึกสุขภาพไปด้วยทุกครั้ง
  2. บอกลูกว่าจะพาไปฉีดยา พูดคุยกับลูกให้ลูกรับรู้ แม้ว่าลูกยังเล็กก็ตาม บอกลูกว่าการฉีดยาจะทำให้ลูกแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย
  3. อาบน้ำ เตรียมตัวลูกให้เรียบร้อย
  4. เตรียมของเล่นที่ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกระหว่างฉีดยา
  5. ทำความคุ้นเคย เช่น เอากระบอกฉีดยาของเล่นมาลองฉีดยิงน้ำ พ่นระบายสี เป็นต้น
  6. หลอกล่อลูกด้วยการร้องเพลงหลอก คุยหลอก เมื่อได้จังหวะก็ให้คุณหมอฉีดปั๊บเข้าไปเลย เด็กที่ถูกล่อหลอกอาจจะลืมร้องไห้ได้
  7. เมื่อลูกฉีดวัคซีนเสร็จแล้วอย่าลืมปรบมือให้กำลังใจลูกด้วยนะคะ
     

ในวันฉีดวัคซีนหากลูกมีไข้สูง สามารถเลื่อนการฉีดวัคซีนเป็นเดือนถัดไปได้ หรือหากคุณพ่อคุณแม่ลืมพาลูกไปรับวัคซีน เมื่อพ้นกำหนดไปแล้ว ก็ให้พาลูกไปรับวัคซีนในเดือนถัดไปโดยไม่ต้องเริ่มใหม่ค่ะ ถ้าลูกมีประวัติแพ้ เช่น ยา อาหาร นม ก็ต้องแจ้งคุณหมอทุกครั้ง

 

รู้จักโรคฮิบ HIB วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อในเด็ก จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้ลูกไหม

 

วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ Hib เป็นวัคซีนพื้นฐานและจำเป็นต้องฉีดให้ลูกทารกนะคะ เพราะยังสามารถป้องกันการติดเชื้ออื่น ๆ ได้ด้วยค่ะ 

รู้จักโรคฮิบ Hib วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อในเด็ก จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้ลูกไหม

โรคติดเชื้อฮิปมีความเป็นมาอย่างไร และเกิดขึ้นกับเด็กในกลุ่มอายุใด

Hib ย่อมาจาก Haemophilus Influenzae Type B เป็นแบคทีเรียซึ่งทำให้เกิดโรคติดเชื้อในมนุษย์ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โรคติดเชื้อชนิดนี้มีมานานแล้ว ไม่ใช่โรคใหม่ พบได้ทั่วโลก และไม่ใช่โรคที่เป็นกันมากขึ้นในเด็กไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน เพียงแต่มีการนำวัคซีนป้องกันโรคฮิบ(Hib vaccines) มาใช้แพร่หลายในประเทศไทย คุณพ่อคุณแม่จึงน่าจะมีความรู้ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาว่า บุตรหลานมีความจำเป็นต้องรับวัคซีนนี้หรือไม่ เมื่อเด็กได้รับเชื้อฮิบ จะมีความรุนแรงของโรคมากน้อยแค่ไหนคะ

ความรุนแรงของโรคติดเชื้อฮิป Hib

เชื้อโรคฮิบเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลายชนิดในเด็ก โดยเฉพาะโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และเป็นสาเหตุของโรคอื่นๆ เช่น ปอดอักเสบ หรือการติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ ฯลฯ การติดเชื้อฮิบอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาในระยะเวลาที่เหมาะสม

ฮิบจะทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ดังได้กล่าวถึงมาแล้ว โรคที่รุนแรงที่สุดจะมีโรคแทรกซ้อนตามมาได้มากคือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ป่วยมักมีไข้สูง ซึม เบื่ออาหาร อาเจียน กระหม่อมโป่งตัวในเด็กเล็ก และมีอาการชักกระตุก ถ้าได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที ผู้ป่วย ประมาณร้อยละ 5-20 ที่เป็นโรคนี้จะเสียชีวิต เด็กที่รอดร้อยละ 10-40 จะมีความผิดปกติทางสมองที่รุนแรง เช่น หูหนวก ชักกระตุก หรือพิการทางสมอง และเกือบร้อยละ 50 มีความผิดปกติทางสมอง แม้จะไม่รุนแรง แต่อาจมีผลต่อสมาธิและการเรียนรู้เมื่อโตขึ้น

การติดต่อของเชื้อโรคฮิบ Hib ในเด็ก เกิดขึ้นโดยวิธีใด

เราจะพบเชื้อฮิบในทางเดินลมหายใจของคน โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี ที่เป็นพาหะของโรค โดยที่เด็กอาจจะไม่มีอาการเจ็บป่วย และพบได้ในเด็กที่เพิ่งหายจากการป่วยเป็นโรคนี้ และมีการติดต่อของโรคผ่านการสัมผัสหรือหายใจเอาฝอยละออง น้ำลายที่มีเชื้อนี้เข้าไป การติดเชื้อเริ่มจากจมูกและลำคอ และแพร่กระจายสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น เยื่อหุ้มสมอง กระแสเลือด ปอด เยื่อหุ้มหัวใจ ฯลฯ

เด็กมีโอกาสที่จะเป็นโรคฮิบ Hib ทุกคนหรือไม่

เด็กทารกแรกเกิดส่วนใหญ่ จะได้รับภูมิคุ้มกันป้องกันโรคนี้จากมารดาผ่านรกแต่ภูมิคุ้มกันนี้จะหมดไปในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากคลอดออกมา จากการศึกษาโดย ศาสตราจารย์ สมศักดิ์ โล่ห์เลขา พบว่าเด็กไทยได้รับภูมิคุ้มกันลดลงเหลือต่ำสุด ในช่วงอายุ 5 เดือน หลังจากนั้นภูมิคุ้มกันจะเริ่มสูงขึ้น จนกระทั่งเด็กอายุ 2 ปี จะมีภูมิคุ้มกันประมาณร้อยละ 60 และเด็กไทยเกือบทุกคน จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนี้เมื่ออายุครบ 4 ปี ในประเทศไทยพบโรคนี้ในเด็ก ตั้งแต่อายุ 2 เดือน จนถึง 2 ปี เป็นส่วนใหญ่ อายุที่พบบ่อยคือช่วง 4 เดือน แต่หลังจากนั้นก็จะพบได้น้อยลงมาก

พ่อแม่จะมีวิธีป้องกันและรักษาโรคฮิบ Hib ได้อย่างไร

การติดเชื้อฮิบ สามารถรักษาให้หายได้ โดยการใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยล่าช้า การอักเสบเป็นไปมากแล้ว หรือเชื้อดื้อยา ก็อาจทำให้มีการทำลายอวัยวะต่างๆ ซึ่งไม่สามารถฟื้นคืนได้ดีเหมือนเดิมก่อนรักษา

ปัจจุบันนี้ มีวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคติดเชื้อฮิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ใช้แพร่หลายในประเทศไทยอยู่ 2 ชนิด โดยทั้งสองชนิดให้ผลในการป้องกันโรคได้ดีไม่แตกต่างกัน และผลข้างเคียงในการฉีดวัคซีนทั้งสองชนิดมีน้อยมาก เช่น อาจมีไข้ ปวด บวม ในบริเวณที่ฉีด ซึ่งพบเพียงประมาณร้อยละ 6 เท่านั้น แต่เนื่องจากวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ยังมีราคาแพงประกอบกับอัตราการป่วยจากเชื้อฮิบในประเทศไทย มีแนวโน้มที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศแถบตะวันตก วัคซีนชนิดนี้จึงยังไม่ได้แนะนำให้ฉีดในเด็กไทยทุกคน

เด็กกลุ่มไหน ที่ควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคฮิบ Hib

เด็กกลุ่มที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคฮิบ แบ่งได้ 3 กลุ่ม

  • เด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ที่ฝากเลี้ยงตามสถานเลี้ยงเด็ก(nursery) หรือเด็กที่อยู่ในบริเวณแออัดตามชุมชนต่างๆ
  • เด็กเล็กที่มีพี่ๆ หรือเด็กในย่านเดียวกัน ที่อยู่โรงเรียนอนุบาล ซึ่งอาจนำเชื้อมาฝากให้น้องๆ ที่บ้าน
  • เด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิดต่างๆ เช่น โรคเลือด ธาลัสซีเมีย ถูกตัดม้าม หรือติดเชื้อ HIV เป็นต้น

กรณีเด็กทั่วไปที่อายุน้อยกว่า 4 ปี ที่ผู้ปกครองไม่ต้องการให้เด็กมีโอกาสป่วยจากโรคนี้ แม้ว่าโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคน้อยอยู่แล้วก็ตาม และไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียในการฉีดวัคซีน ก็สามารถปรึกษาเรื่องการฉีดวัคซีนกับกุมารแพทย์ของท่านได้

ถ้าฉีดวัคซีนแล้วเด็กจะปลอดภัยจากโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบแน่นอนใช่หรือไม่

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเป็นโรคที่รุนแรง และอาจมีความพิการทางสมองตามมาได้ พ่อแม่อาจจะคิดว่า เมื่อฉีดวัคซีนฮิบแล้ว จะป้องกันบุตรหลานให้ปลอดภัยจากโรคนี้โดยสิ้นเชิง แต่ควรทราบเพิ่มเติมว่า แม้ว่าวัคซีนฮิบจะป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้เป็นอย่างดี แต่การเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก็อาจเกิดจากเชื้อโรคอื่นๆได้อีก ซึ่งนอกเหนือจากการป้องกันของวัคซีนฮิบ

นอกจากการพาลูกไปรับวัคซีนป้องกันโรคแล้ว การดูแลให้บุตรหลานมีสุขภาพพลานามัยที่ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศบริสุทธิ์ ไม่นำเด็กไปยังสถานที่ซึ่งมีคนแออัดยัดเยียด มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า และฝึกหัดให้เด็กล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอจนเป็นนิสัย ตลอดจนรับประทานอาหารที่สะอาดให้ครบทุกหมู่ พักผ่อนและออกกำลังกายให้พอเพียง ก็จะช่วยลดการป่วยเจ็บจากทั้งโรคฮิบและโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย

ลูกทารกอุจจาระร่วงจากโรต้าไวรัส อาการท้องร่วงไวรัสโรต้าและวิธีดูแลลูกจากท้องร่วง

ไวรัสโรต้าเป็นเชื้อโรคหนึ่งที่ทำให้เด็กทารกท้องร่วง มีอาการท้องร่วงรุนแรง ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งป้องกันได้ด้วยการรับวัคซีนโรต้าตั้งแต่ยังเป็นทารก

ลูกทารกอุจจาระร่วงจากโรต้าไวรัส อาการท้องร่วงไวรัสโรต้าและวิธีดูแลลูกจากท้องร่วง

ไวรัสโรต้าคืออะไร

ไวรัสโรต้า (Rotavirus) คือเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการอาเจียน และอุจจาระร่วงอย่างรุนแรง ซึ่งมักพบในเด็กทารก และเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบ โดยเด็กทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโรต้าได้อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนอายุ 5 ขวบ เชื้อไวรัสตัวนี้นี้ระบาดได้ตลอดทั้งปีและพบมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว และเชื้อพบได้ในอุจจาระของเด็กที่เป็นโรค

โรคอุจจาระร่วงมีหลายสาเหตุอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเชื้อแบคทีเรียหรือพิษจากอาหาร แต่ในเด็กต่ำกว่า 5 ขวบ ที่มีอาการท้องเสียพบว่าครึ่งหนึ่งเกิดจากโรต้าไวรัส   โดยเฉพาะเด็กวัย 6-12 เดือน ท้องร่วงได้จากโรต้าไวรัสบ่อยๆ เนื่องจากเด็กๆ มักชอบเอาของทุกอย่างเข้าปากนั่นเอง  บางครั้งชาวบ้านเรียกว่าทองเสีย เพราะยืดตัวหรือเปลี่ยนเดือนนั่นเอง  แต่จริงๆแล้วเกิดจากการติดเชื้อนะคะ

อาการไวรัสโรต้า

หลังได้รับเชื้อ 1-2 วัน ถ้าเด็กมีอาการ

  • อาเจียน
  • มีไข้
  • ท้องเสียถ่ายเป็นน้ำ
  • เหมือนอาหารไม่ย่อย
  • อุจจาระเป็นฟอง มีกลิ่นเปรี้ยว

โรต้าเป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมาก ชอบแฝงตัวอยู่ตามสิ่งของ เช่นของเล่นเด็ก และอยู่ได้นานเป็นวัน ถึงดูแลเรื่องความสะอาดของน้ำ อาหาร และที่อยู่เป็นอย่างดี ก็ยังป้องกันลูกรัก จากไวรัสโรต้าได้ไม่เต็มที่ หากนำสิ่งของ หรือ มือที่เปื้อนเชื้อเข้าปาก ลูกน้อยก็ติดไวรัสได้อย่างง่ายดาย อาการรุนแรงกว่าที่คิด

เด็กทุกๆ 1 ใน 2 คนที่ป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วง จะต้องนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสโรต้า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบแทบทุกคนต้องเคยติดเชื้อ ไวรัสโรต้าอย่างน้อย 1 ครั้ง

ข้อควรรู้เรื่องไวรัสโรตา

หลังเด็กได้รับเชื้อ1-2 วันจะมีอาการเริ่มจาก อาเจียน อาจมีไข้ร่วมด้วย แสดงว่าเชื้อโรคอยู่ในกระเพาะอาหาร อาการเด็กจะดูน่าเป็นห่วง ดูอ่อนเพลียทานอาหารไม่ได้  อาการนี้จะมีประมาณ 1 วัน ต่อมาเด็กจะมีอาการท้องเสียตามมา เมื่อเชื้อโรคเคลื่อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้ อาจท้องเสียนาน 1- 3 สัปดาห์โรคนี้ยังไม่มียาเฉพาะ แต่มีวัคซีนป้องกันซึ่งต้องให้เด็กภายในอายุ 2-6 เดือนค่ะ

วัคซีนโรต้า เด็กทารกต้องได้รับตอนไหน

วัคซีนโรต้า สามารถให้โดยการหยอดทางปาก โดยทารกควรได้รับวัคซีน 2 หรือ 3 ครั้ง ขึ้นกับยี่ห้อของวัคซีนที่ได้รับ ทั้งนี้วัคซีนโดสแรกควรได้รับก่อนอายุ 15 สัปดาห์ และวัคซีนโดสสุดท้ายควรได้รับก่อนอายุ 8 เดือน

  • หากเป็นวัคซีนชนิดหยอด 2 ครั้ง ควรได้รับที่อายุ 2 เดือน และ 4 เดือน
  • หากเป็นวัคซีนชนิดหยอด 3 ครั้ง ควรได้รับที่อายุ 2 เดือน, 4 เดือน, และ 6 เดือน

การดูแลลูกทารกเมื่อท้องร่วงจากไวรัสโรต้า

  1. ให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น น้ำข้าว, โจ๊กเปล่า หรือข้าวต้มใส่เกลือ (แต่เพียงพอเค็ม)มื้อละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หรือาหารประเภทแป้งเช่นขนมปัง ,แครกเกอร์ ก็จะช่วยให้การฟื้นตัวจากภาวะท้องเสียกลับเป็นปกติได้เร็วขึ้น

  2. ให้ยาแก้อาเจียน ก่อนมื้ออาหารวันละ 3-4 ครั้ง ทุก 6-8 ชั่วโมง

  3. ให้น้ำเกลือแร่ทดแทนน้ำที่สูญเสียไป

  4. ในขณะเดียวกันควรที่จะงดนมสด หรือเจือจางนมที่ให้กับลูก (เจือจาง โดยใช้เนื้อนมน้อยลงครึ่งหนึ่ง) หรือใช้นมที่เหมาะกับภาวะท้องเสีย เช่น นมถั่วเหลือง หรือนมที่ไม่มีแล็คโตส เพื่อช่วยให้การย่อยและการดูดซึมนมของลำไส้ในสภาวะที่มีการติดเชื้อในลำไส้นั้นดีขึ้น ควรงดการให้น้ำผลไม้ เช่นน้ำส้มสด เนื่องจากอาจทำให้เกิดการถ่ายเหลวได้มากขึ้น

  5. งดอาหารประเภท ไข่   ผัก  ผลไม้ทุกชนิด ให้ทานอาหารประเภทแป้งและโปรตีน เช่น ข้าวต้ม  ขนมปัง  แครกเกอร์  จนกว่าอาการท้องเสียจะดีขึ้น ส่วนใหญ่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป

  6. ถ้าอาเจียนมาก ทานอะไรก็ออกหมด ,ท้องเสียมาก หรือมีอาการ เพลีย ซึม หน้าซีด ตัวเย็น  กระหม่อมหน้าบุ๋มในเด็กอ่อน แสดงว่ามีภาวะขาดน้ำอย่างรวดเร็วและรุนแรงต้องรีบพบแพทย์เพื่อให้นำเกลือทดแทน  อย่าปล่อยให้ถึงขั้นนี้นะคะ

  7. โดยทั่วไปถ้าเรารู้ทันโรคและเฝ้าระวังแต่ถ้าเป็นแล้วรู้วิธีดูแลลูก  เด็กจะมีอาการดูน่าเป็นห่วงเฉพาะวันแรกที่ยังมีอาเจียนอยู่เท่านั้นค่ะ เรื่องท้องเสียมักมีเล็กน้อยโดยเฉพาะเด็กที่เคยเป็นมาก่อนแล้ว  เด็กจะยังวิ่งเล่นได้ร่าเริงเป็นปกติ

  8. ในกรณีพบว่าเด็กของท่านมีอาการของโรคดังกล่าวกรุณาพบแพทย์และหยุดเรียนจนกว่าอาการจะดีขึ้นเพื่อเป็นการควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจายต่อไป

 

วัคซีนรวม 6 โรค วัคซีนเด็กทารกที่ปลอดภัย ไม่เจ็บตัวบ่อย ลดภาระค่าใช้จ่าย

จะดีไหมคะ ถ้ามีวัคซีนเด็กทารกที่รวมการป้องกัน 6 โรคไว้ในเข็มเดียว ลูกเจ็บทีเดียวและปลอดภัย มาดูกันค่ะว่าวัคซีนรวมสำหรับทารกช่วยป้องกันโรคอะไรบ้าง

วัคซีนรวม 6 โรค วัคซีนเด็กทารกที่ปลอดภัย ไม่เจ็บตัวบ่อย ลดภาระค่าใช้จ่าย

องค์การอนามัยโลก(WHO) สนับสนุนให้พัฒนาวัคซีนเพื่อช่วยป้องกันโรคให้แก่เด็กตั้งแต่แรกเกิด แนะนำให้แต่ละประเทศดำเนินการให้วัคซีนป้องกันโรคอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้มากที่สุด โดยสามารถพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ครอบคลุมโรคสำคัญ ถึง 6 โรค ไว้ในวัคซีนเพียงเข็มเดียว เพื่อลดภาระทั้งเวลา การเดินทางค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนหลายครั้งให้ลดลงได้ด้วย

วัคซีนรวม 6 โรคที่รวมเอาไว้ในเข็มเดียว ช่วยป้องกันการติดต่อโรคดังนี้

  1. โรคคอตีบ(Diphtheria)เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อได้จากการไอ จาม สัมผัสกัน ก่อให้เกิดอาการอวัยวะในลำคอบวม หายใจลำบาก กล้ามเนื้ออักเสบ เป็นอันตรายต่อระบบหายใจ

  2. โรคบาดทะยัก(Tetanus)  เป็นโรคติดต่อจากแผลติดเชื้อที่เป็นพิษต่อระบบประสาท เกิดอาการเกร็งกระตุกขากรรไกรแข็ง เจ็บปวดกล้ามเนื้อ เช่น แผลอักเสบจากสะดือเด็กที่ไม่สะอาด ทำให้ติดเชื้อบาดทะยักได้

  3. โรคโปลิโอ(Polio) เป็นโรคที่ติดต่อจากการกินหรือดื่มน้ำปนเปื้อนเชื้อโรค ก่อเกิดอาการแขนขาลีบ อ่อนแรง เป็นอัมพาต สมองอักเสบ หายใจไม่ได้ และเสียชีวิตได้

  4. โรคตับอักเสบบี(Hepatitis B) ติดต่อได้ง่ายจากแม่สู่ลูก หรือติดต่อจากเลือดและสิ่งคัดหลั่ง เด็กที่รับเชื้ออาจกลายเป็นพาหะแพร่สู่ผู้อื่นได้ด้วย ต้นเหตุของอาการตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับได้

  5. โรคไอกรน(Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่ติดต่อง่าย ก่ออาการหายใจติดขัด ไอเป็นชุดจนสำลัก ปอดบวม อาจมีอาการแทรกซ้อนทางสมอง ทำให้ชัก สมองพิการได้

  6. โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิป (Hib)เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากแบคทีเรียฮีโมฟิลัส อินฟลูเอนซ่า ชนิดบี หรือ เชื้อฮิป ซึ่งมีความรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้

 
ข้อดีของการฉีดวัคซีนรวม 6 โรคในครั้งเดียวนั้น มีข้อดี ได้แก่

  • กลัวน้อยลง เจ็บน้อยครั้งลง : จากการลดจำนวนครั้งของการฉีด ทำให้เด็กเกิดความกลัวน้อยลงเพราะเจ็บเพียงครั้งเดียวแต่ได้รับวัคซีนหลายชนิด

  • ประหยัด : ลดภาระค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ทั้งค่าวัคซีน ค่าเดินทางไปโรงพยาบาล ประหยัดเวลาผู้ปกครองด้วย
     
  • ครอบคลุมหลายโรค : พ่อแม่มั่นใจได้ว่าลูกจะได้รับการปกป้องอย่างดีจากโรคหลายๆ โรคในคราวเดียว ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมฉีดวัคซีนบางโรค หรือขาดตัวไหนไป
     
  • ปลอดภัยมากขึ้น : รูปแบบของวัคซีนมีความปลอดภัยสูง ลดปัญหาการปนเปื้อนของยา และมีผลข้างเคียงน้อย
     
  • ลดความเสี่ยงการมีไข้สูงหลังฉีด : วัคซีนรวม 6 โรค พัฒนาให้มีไข้น้อยลง หรือมีไข้เพียงเล็กน้อย 1-2 วันก็หายเป็นปกติ
     
  • ลดความยุ่งยาก :ลดความสับสนของคุณพ่อคุณแม่ ในการรับวัคซีนหลายครั้ง

อย่างไรก็ดี หากเด็กมีอาการแพ้วัคซีน เช่น มีไข้สูง มีอาการชัก หรือหมดสติ ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด แต่ส่วนใหญ่มักไม่พบอาการแพ้ที่รุนแรงดังกล่าว เนื่องจากวัคซีนรวม 6 โรค มีความปลอดภัยสูง พบเพียงมีไข้เล็กน้อยเท่านั้น

การฉีดวัคซีนรวม 6 โรค สามารถฉีดในช่วงอายุ 2-4-6 เดือนเพื่อภูมิต้านทานที่ดี ทำให้ลูกรักมีการเจริญเติบโตสมวัย นำไปสู่การเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีของลูกรัก

 

หลังพาลูกทารกไปฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนมีอะไรบ้าง

ทุกครั้งที่พาลูกทารกไปฉีดวัคซีน คุณพ่อคุณแม่มักกลัวผลข้างเคียงที่ทำให้ลูกเป็นไข้ ไม่สบายตัว ผลข้างเคียงของวัคซีนมีอะไรบ้างและต้องดูแลลูกอย่างไร เรามีคำแนะนำค่ะ

หลังพาลูกทารกไปฉีดวัคซีน ผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนมีอะไรบ้าง

อาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนให้ลููกทารก

  • อย่าให้วัคซีนที่ทำให้ตัวร้อนได้พร้อมกัน เช่น วัคซีนรวมคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน พร้อมกับวัคซีนป้องกันไทฟอยด์
     
  • เมื่อรับวัคซีนแล้วอาจมีอาการข้างเคียงบางอย่างเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อวัคซีนซึ่งโดยทั่วไปจะมีอาการไม่มาก และจะหายไปเอง ตัวอย่างเช่น
    • ตุ่มหนองมัก เกิดจากการฉีดวัคซีน BCG  ที่ฉีดบริเวณไหล่ซ้ายตอนแรกคลอด พบหลังฉีดประมาณ 3 - 4  สัปดาห์ และตุ่มหนอง จะเป็นๆหายๆ ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์ เหลือเป็นรอยแผลเป็นเล็กๆ การดูแลตุ่มหนองให้ใช้สำลีสะอาดชุบน้ำต้มสุกเช็ด ห้ามบ่งหนอง

    • ปวด บวม แดง ร้อน  บริเวณที่ฉีดเด็กอาจร้อง กวน งอแง ถ้าอาการมาก มารดาอาจให้ยาแก้ปวด และใช้ผ่าชุบน้ำเย็นประคบ

    • ไข้ตัวร้อน    มักเกิดหลังได้รับวัคซีนคอบตีบ บาดทะยัก ไอกรน ที่ฉีดตอนอายุ 2 , 4, 6 เดือน, 1ขวบครึ่ง และ 4 ขวบ มารดารควรเข็ดตัวลูกด้วยน้ำธรรมดา โดยเฉพาะบริเวณซอกคอ และข้อพับต่างๆ และอาจให้ยาลดไข้ พาราเซตามอล อาการจะเป็น 1 - 2 วัน และจะหายไปเอง

    • มีไข้ ไอ มีน้ำมูก มีผื่น  อาจพบหลังฉีดวัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม ประมาณ 1 สัปดาห์ โดยมากอาการมักไม่รุนแรง 

  • เนื่องจากอาการแพ้วัคซีนชนิดรุนแรงมักเกิดขึ้นไม่นานหลังการฉีด จึงควรแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการผิดปกติหรือฉีดวัคซีนทุกชนิดประมาณ 15-30 นาที ขณะยังอยู่ในโรงพยาบาล
     
  • อาการแพ้วัคซีนหรือแพ้ส่วนประกอบของวัคซีนสามารถพบได้ในวัคซีนทุกชนิด หากเป็นแค่เพียงผื่นเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรน่ากังวลนัก แต่หากลักษณะที่เกิดขึ้นเป็นผื่นลมพิษ มีอาการหน้าบวมปากบวม หายใจลำบาก หรือความดันโลหิตต่ำลง ถือเป็นอาการข้างเคียงสำคัญ ซึ่งหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้น อาจพิจารณางดการฉีดวัคซีนชนิดนั้นในครั้งต่อไป และควรบันทึกไว้ในหลักฐานทางการแพทย์และสมุดวัคซีนให้ชัดเจน

ให้ลูกกินยาลดไข้ ดักไข้ก่อนไปฉัคซีนได้ไหม

ความเข้าใจที่ว่า ให้ลูกกินยาลดไข้ กินยาดักไข้ก่อนพาลูกไปฉีดวัคซีน เป็นความเข้าใจที่ผิดนะคะ เพราะไม่ได้ช่วยให้ลดอาการข้างเคียงหรืออาการแพ้วัคซีนได้ค่ะ อีกทั้งจะเป็นการทำให้ลูกรับยาโดยไม่จำเป็นด้วย

เทคนิคพาลูกไปฉีดวัคซีน

  • ถ้าเด็กโตพอพูดรู้เรื่องก็ควรคุยกันก่อน หรืออาจเล่าเป็นนิทานเรื่องลูกหมีไปหาหมอ ฉีดยาให้แข็งแรงจะได้ไม่ป่วย
  • ห้ามบอกลูกเด็ดขาดว่าถ้าดื้อจะให้หมอฉีดยา เพราะไม่อย่างนั้นแค่เจอหน้าหมอ ยังไม่ทันเห็นเข็มก็คงร้องไห้จ้าแล้วล่ะ
  • อาจจะลองทำความคุ้นเคย เช่น เอากระบอกฉีดยาของเล่นมาลองฉีดยิงน้ำ พ่นระบายสี เป็นต้น
  • พอจะฉีดยาของจริงก็ร้องเพลงหลอก คุยหลอก ได้จังหวะก็ฉีดปั๊บเข้าไปเลย วิธีนี้น่าจะได้ผลค่ะ เพราะบ่อยครั้งที่เด็กๆถูกล่อหลอกจนลืมร้องไห้
  • เมื่อฉีดเสร็จแล้วก็ปรบมือเป็นกำลังใจให้คนเก่งหน่อย

คำแนะนำในการมารับวัคซีนครั้งต่อไป  

  • ในวันนัด ถ้าเด็กเป็นไข้ไม่สบาย ควรให้เด็กหายดีก่อนหลังจากนั้น 1 สัปดาห์จึงพามารับวัคซีน
  • ในกรณีที่ไม่สามารถมาตามนัดได้ ท่านสามารถพามารับวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ครบไม่ว่าจะเว้นไว้ไปนานเท่าใดได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ไม่ควรพามาก่อนนัดเนื่องจากระยะห่างระหว่างการกระตุ้นของวัคซีนที่สั้นเกินไปจะมีผลให้ภูมิต้านทานโรคขึ้นน้อยกว่าปกติ
  • ถ้าเด็กเคยมีประวัติแพ้ยา แพ้ไข่ไก่ หรือเคยมีอาการผิดปกติรุนแรงหลังได้รับวัคซีน เช่น ชัก ผื่น ลมพิษไข้สูงมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนได้รับวัคซีนครั้งต่อไป

เตรียมพร้อมรับมือ 5 โรคยอดฮิตในโรงเรียน เปิดเทอมมั่นใจ

 

 โรคที่ติดจาดโรงเรียน, โรคช่วงเปิดเทอม, ลูกป่วยจากโรงเรียน, ติดเชื้อโรคจากโรงเรียน, โรคมือเท้าปาก, โรคท้องร่วง โรต้า, โรคไข้หวัดใหญ่, อีสุกอีใส, โรค RSV, โรค เด็กอนุบาลป่วยบ่อย, สร้างภูมิคุ้มกัน, สร้างภูมิต้านทานโรค, พรีไบโอติก, กอสแอลซีฟอส, นมกล่อง uht เสริมภูมิต้านทาน, นมกล่อง, Hi-Q uht super gold สูตร 3

เตรียมพร้อมรับมือ 5 โรคยอดฮิตในโรงเรียน เปิดเทอมมั่นใจ

ใกล้เปิดเทอมทีไร คุณพ่อคุณแม่ใจเต้นแรงทุกที เพราะต้องลุ้นว่าลูกจะสนุกกับการเล่นกับเพื่อนและพร้อมเรียนรู้มากแค่ไหน และยังต้องลุ้นว่าลูกจะไม่สบายจากโรคติดต่อของเด็กที่พบบ่อยในช่วงเปิดเทอมหรือเปล่า แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ เพราะเราสามารถเตรียมความพร้อมให้ลูกแข็งแรง มีภูมิต้านทาน พร้อมลุยทุกสถานการณ์และพร้อมกลับไปสนุกที่โรงเรียนได้ค่ะ

 

โรคที่ติดจาดโรงเรียน, โรคช่วงเปิดเทอม, ลูกป่วยจากโรงเรียน, ติดเชื้อโรคจากโรงเรียน, โรคมือเท้าปาก, โรคท้องร่วง โรต้า, โรคไข้หวัดใหญ่, อีสุกอีใส, โรค RSV, โรค เด็กอนุบาลป่วยบ่อย, สร้างภูมิคุ้มกัน, สร้างภูมิต้านทานโรค, พรีไบโอติก, กอสแอลซีฟอส, นมกล่อง uht เสริมภูมิต้านทาน, นมกล่อง, Hi-Q uht super gold สูตร 3

5 โรคยอดฮิตที่มักระบาดในโรงเรียน

  1. อีสุกอีใส -เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus) ติดต่อโดยการหายใจเอาฝอยละอองจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเข้าไป หรือจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ

  2. ท้องร่วง ท้องเสีย– เกิดจากไวรัสโรต้า ติดต่อจากการได้รับเชื้อเข้าสู่ปากโดยตรง เช่น เชื้อปนเปื้อนมากับมือ สิ่งของ เครื่องใช้ หรือของเล่นต่าง ๆ รวมทั้งอาหารและน้ำ

  3. ไข้หวัดใหญ่ - เกิดจากการติดเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส(Influenza Virus) ซึ่งอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และติดต่อผ่านการไอ จาม หรือการหายใจรดกัน

  4. โรคมือเท้าปาก – เกิดจากเชื้อไวรัส Enterovirus 71 (EV71) ผ่านทางระบบทางเดินอาหารและระบบหายใจ เช่น อาหารปนเปื้อนเชื้อโรค ของเล่นปนเปื้อนเชื้อโรค หรือติดต่อผ่านการไอ จาม เป็นต้น

  5. โรคRSV – เกิดจากการรับเชื้อไวรัส RSV ผ่านทางสารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น น้ำลาย น้ำมูก ไอ จาม เป็นต้น ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ

สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกสู้กับ 5 โรคนี้ได้ คือ การเสริมภูมิต้านทานในทุก ๆ ด้าน และพ่อแม่มืออาชีพอย่างเรานี่ล่ะค่ะ ที่จะต้องหาวิธีเสริมภูมิต้านทานให้ลูก โดยเฉพาะการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ลูกรู้จักป้องกันตัวเองจากโรคต่าง ๆ พร้อมเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรงเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

 

โรคที่ติดจาดโรงเรียน, โรคช่วงเปิดเทอม, ลูกป่วยจากโรงเรียน, ติดเชื้อโรคจากโรงเรียน, โรคมือเท้าปาก, โรคท้องร่วง โรต้า, โรคไข้หวัดใหญ่, อีสุกอีใส, โรค RSV, โรค เด็กอนุบาลป่วยบ่อย, สร้างภูมิคุ้มกัน, สร้างภูมิต้านทานโรค, พรีไบโอติก, กอสแอลซีฟอส, นมกล่อง uht เสริมภูมิต้านทาน, นมกล่อง, Hi-Q uht super gold สูตร 3

5 วิธีเสริมภูมิต้านทานแข็งแรงให้ลูกพร้อมรับเปิดเทอม

  1. รับวัคซีนที่จำเป็นสำหรับเด็กในแต่ละช่วงวัย - ลูกๆ วัยเรียนยังต้องได้รับวัคซีนตามช่วงวัย ตามคำแนะนำของแพทย์นะคะ การให้ลูกได้รับวัคซีนครบถ้วนเป็นหนึ่งในการเสริมเกราะภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ช่วยลดความรุนแรงของอาการหากเกิดการติดเชื้อ และลดโอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อในโรงเรียนอีกด้วย

  2. สอนเรื่องความสะอาด - เรื่องนี้สำคัญค่ะ เพราะเวลาไปโรงเรียนเด็กๆ มักมีการสัมผัสของเล่น หรือสิ่งของที่ใช้ร่วมกันเป็นจำนวนมาก เป็นการเพิ่มโอกาสการระบาดของเชื้อโรคต่างๆในโรงเรียนได้ง่ายขึ้น เรื่องของการรักษาสุขอนามัยสามารถฝึกได้ตั้งแต่ที่บ้าน เช่น ล้างมือหลังเล่นเสร็จ ล้างมือก่อนทานอาหาร หมั่นนำของเล่น ของใช้มาทำความสะอาด ฝึกสวมใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสอนให้ลูกปฏิบัติเป็นประจำ ลูกจะจดจำและสามารถทำได้เองทั้งในบ้านและในโรงเรียน

  3. กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ปรุงสุก สะอาด หลากหลายครบ5 หมู่ ให้เด็กได้รับสารอาหารและโภชนาการที่เหมาะสมตามช่วงวัย โดยเด็กๆ สามารถเสริมด้วยนมวันละ 2-3 แก้ว ซึ่งปัจจุบันมีนมเสริมสารอาหารเป็นตัวเลือกเพื่อช่วยเพิ่มโภชนาการให้เพียงพอกับความต้องการของเด็ก รวมถึงการเสริมวิตามินซี และใยอาหารพรีไบโอติก เช่น กอสแอลซีฟอส ที่มีส่วนช่วยเสริมภูมิต้านทานอีกด้วย

  4. จัดเตรียมตัวช่วยต่าง ๆ ใส่กระเป๋า – ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย หรือผ้าเช็ดหน้า เพื่อให้ลูกหยิบขึ้นมาใช้ได้ทันที เช่น เมื่ออยู่ใกล้เพื่อนเป็นหวัด หรือมีอาการไอ จาม เป็นต้น

  5. พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นประจำ - ลูกควรได้นอนหลับสนิทเฉลี่ย 10 ชั่วโมง/วัน และให้เด็กวิ่งเล่น ออกกำลังกายอย่างน้อย 1 ชั่วโมง/วัน จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างสมวัย

หากทำเป็นประจำทุกวัน ลูก ๆ ก็จะมีภูมิต้านทานที่ดี มีร่างกายแข็งแรงพร้อมออกไปเล่น ไปลุย กับเพื่อน ๆ ได้ไม่กลัวป่วย พร้อมทั้งเสริมระบบประสาทและสมอง พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในโรงเรียน ต่อยอดสู่ความคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์ รวมถึงทักษะสำคัญต่อการใช้ชีวิตในอนาคตค่ะ

 

โรคที่ติดจาดโรงเรียน, โรคช่วงเปิดเทอม, ลูกป่วยจากโรงเรียน, ติดเชื้อโรคจากโรงเรียน, โรคมือเท้าปาก, โรคท้องร่วง โรต้า, โรคไข้หวัดใหญ่, อีสุกอีใส, โรค RSV, โรค เด็กอนุบาลป่วยบ่อย, สร้างภูมิคุ้มกัน, สร้างภูมิต้านทานโรค, พรีไบโอติก, กอสแอลซีฟอส, นมกล่อง uht เสริมภูมิต้านทาน, นมกล่อง, Hi-Q uht super gold สูตร 3

อีกหนึ่งตัวช่วยดีๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกเสริมภูมิต้านทานให้กับลูกได้ คือนมเสริมสารอาหารไฮคิว ยูเอชที ที่มีสารอาหารเพื่อเสริมภูมิต้านทานให้ลูกรับเปิดเทอมอย่างมั่นใจ และช่วยเสริมสมองพร้อมเรียนรู้

 🧠 มีDHA, Omega 3,6,9 และวิตามินบี 12 สูง มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาทและสมอง

🛡️ มีใยอาหารพรีไบโอติก GOS/lcFOS วิตามินซีสูง และ วิตามินบี 12 สูง มีส่วนช่วยในการทำหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน

 🦷 มีวิตามินดีสูง แคลเซียมสูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง

 ผลิตจากนมโคแท้ รสชาติอร่อย 😋

 และควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ

 

 

แม่เตือน! ลูกน้อยติดเชื้อซาลโมเนลลา มีไข้สูง ถ่ายเหลว อันตรายจนต้องแอดมิท

 โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา, ลูกติดเชื้อซาลโมเนลลา, ลูกเป็นซาลโมเนลลา, ซาลโมเนลลา, อาการเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา รักษา, ป่วยเชื้อซาลโมเนลลา, สังเกตเชื้อซาลโมเนลลา, เด็กป่วยติดเชื้อซาลโมเนลลา, Salmonella Infection, ทารก ท้องร่วง, เด็กท้องร่วง. เด็ก ทารก ท้องเสีย

ลูกท้องร่วงไม่ใช่แค่จากไวรัสโรต้านะคะ แต่ยังมีเชื้อซาลโมเนลลา ที่อันตรายไม่แพ้กัน และรุนแรงจนทำให้เด็กๆ ต้องแอดมิทด้วย

แม่เตือน! ลูกน้อยติดเชื้อซาลโมเนลลา มีไข้สูง ถ่ายเหลว อันตรายจนต้องแอดมิท

การรักษาความสะอาดร่างกายและของใช้ทุกอย่างของลูก นับเป็นเรื่องสำคัญมากที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ เพราะเชื้อโรคมากมายอยู่รอบตัวลูก ที่เรามองไม่สามารถเห็นได้ ยิ่งลูกน้อยที่มีภูมิคุ้มกันน้อย ก็จะยิ่งป่วยได้ง่ายมากขึ้น ดังเช่นคุณแม่จากเพจ แม่มาเม้าท์ ที่ได้เล่าเรื่องราวของลูกสาววัย 11 เดือน ที่ป่วยติดเชื้อ "ซาลโมเนลลา" ให้เป็นเรื่องราวเตือนใจทุกครอบครัว

คุณแม่โพสต์ดังนี้...

" บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกสาวแม่ กับโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อซานโมเนลลา หรือจะอ่านว่าซัลโมเนลลาก็ได้ โดยเชื้อโรคนี้จะเกิดกับเด็กเล็กตั้งแต่ 0-15 ปี ใช่ค่ะ น้องเจอแปนโดนแจ็คพอตนี้เข้าไปเต็ม ๆ น้องถูกเลือกให้ติดเชื้อนี้ตั้งแต่อายุ 11 เดือน ไม่สิ แม่หยิบยื่นเชื้อไวรัสนี้ให้น้องเอง เดี๋ยวแม่จะบอกนะว่าน้องนี้ได้รับเชื้อไวรัสนี้ได้อย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดมาน้องแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วย และนี่เป็นครั้งแรกหนักหนาเหลือเกิน จนต้องแอดมิทที่โรงพยาบาลถึง 4 วัน 3 คืน

อาการเริ่มต้น (วันศุกร์)

เริ่มตัวร้อนมีไข้ ไข้จะขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ยังเล่นได้ กินได้ปกติ แค่ซึม ๆ นิดหน่อย และติดแม่มาก ไม่ค่อยเอาใคร วันแรกที่มีไข้ เมื่อแม่พาน้องไปหาหมอ หมอวัดไข้ได้ 39.6 องศา ตัวร้อนมาก น้องซึม ๆ พยาบาลพาไปเช็ดตัว เช็ด ๆ ถู ๆ แรงมาก มันเป็นวิธีที่จะทำให้ไข้ลด ขยี้หัว ขยี้หลัง ทั้งตัว จนไข้ลดเหลือ 37 องศากว่า หลังจากนั้นเข้าพบหมอเพื่อประเมิณอาการเบื้องต้น หมอให้ยาลดไข้ และให้เช็ดตัวบ่อย ๆ และกลับมาดูอาการที่บ้าน

อาการคืนแรก (คืนวันศุกร์-เช้าวันเสาร์)

มีไข้ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่เมื่อประมาณตีสาม ไข้ขึ้นสูงมาก แม่เช็ดตัวให้แทบจะทุกชั่วโมงเลย อาการเริ่มออก น้องท้องเสียถ่ายประมาณ 3 รอบ อุจจาระมีกากอาหารมีน้ำเยอะมาก 2 รอบแรกเต็มแผ่นผ้าอ้อมสำเร็จรูป ส่วนรอบ 3 เริ่มมีน้ำจนน่ากังวล จึงตัดสินใจพาโรงพยาบาลอีกครั้ง น้องร้องไห้หนักมาก เริ่มงอแงไม่ค่อยเอาใคร วัดไข้ วัดชีพจรก็ร้องไห้ วันนั้นจึงตัดสินใจแอดมิท

วันแรกที่แอดมิท (เช้าวันเสาร์-คืนวันเสาร์)

วัดไข้ วัดชีพจร เจาะเลือดพร้อมกับดูดเลือดออกไปตรวจถึง 3 หลอด แล้วเปลี่ยนเป็นสายให้น้ำเกลือ น้ำเกลือขวดแรกเริ่มขึ้น น้องซึม ๆ อยู่ เล่นแฟลชการ์ดได้ แต่กินข้าวได้น้อยมาก หลังจากนั้นก็แปะที่เก็บปัสสาวะ และตักอุจจาระไปตรวจ วันนี้ยังมีไข้ตัวร้อนอยู่ตลอด พยาบาลเข้ามาวัดไข้แทบจะทุกชั่วโมง เพราะไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศากว่า เช็ดตัว ให้ยาลดไข้ ดีขึ้นมาหน่อย เป็นแบบนี้จนถึงเช้า น้องไม่ค่อยงอแงจะมีร้องไห้ โวยวายตอนมาวัดไข้ และก็เช็ดตัว (มียาหลังอาหาร 3 มื้อ เป็นยากลุ่มฆ่าเชื้อประมาณ 4 ตัว)

วันรุ่งขึ้น (เช้าวันอาทิตย์-คืนวันอาทิตย์)

อาการยังทรง ๆ หมดน้ำเกลือขวดแรกไปเติมขวดที่สองต่อ วันนี้ถ่ายประมาณ 6 ครั้ง (อุจจาระมีสีเขียวเข้ม ๆ มีมูกด้วย มูกใส ๆ ยืด ๆ บางรายมีมูกและมีเหลือ นี่ถือว่าเบาหน่อย) น้องทานอาหารในแต่ล่ะมื้อได้น้อย มื้อล่ะ 5 คำ ทานนมได้ 3 มื้อ มื้อล่ะ 3-4 ออนซ์เป็นนมสูตรใหม่ที่ทางโรงพยาบาลปรับให้สำหรับน้องที่ยังท้องเสียอยู่ วันนี้ก็เช่นกันที่มีไข้สูง 39-40 องศา แม่รู้ว่าเค้าปวดท้อง เพราะแม่เอาเค้ามานอนบนตัวเค้าจะอ้อน ๆ หน่อย คือเค้าจะเกร็งท้อง เหมือนกันคนที่แขม่วพุงขึ้นลงอยู่แบบนั้น แค่ตด อุจจาระก็เล็ดออกมาแล้ว ผลการเพาะเชื้อออกแล้ว หมอว่าน้องติดเชื้อในลำไส้ และกระเพาะอาหาร เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ ซาลโมเนลลา หมออธิบายตัวเชื้อและสาเหตุไปเบื้องต้น เดี๋ยวแม่จะอธิบายอีกทีว่ามาได้อย่างไร

วันถัดมา วันแม่แห่งชาติ เช็คอินโรงพยาบาลช่วงเวลาดี ๆ ที่วันนี้อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว (เช้าวันจันทร์-คืนวันจันทร์)

อาการเริ่มดีขึ้นแล้วค่ะ ไข้ลงมา 36 37 ร่าเริงแล้ว แต่ก็ยังท้องเสียอยู่ ถ่ายมา 5-6 ครั้ง วันนี้น้องทานได้เยอะขึ้น อาหารยังอ่อนอยู่

วันนี้หนูพร้อมกลับบ้านแล้ว พอแล้วโรงพยาบาล (เช้าวันอังคาร)

ก่อนกลับบ้านวันนี้ มีหมอมาตรวจประเมิณอาการดูว่ากลับบ้านได้แล้ว แต่ยังคงต้องกินยาฆ่าเชื้ออยู่ เพราะเชื้อจะอยู่ในร่างกายราว ๆ 1 สัปดาห์ วันนี้มีการเก็บอุจจาระอีกครั้งเพื่อไปเพาะเชื้อ แต่ช่วงที่เก็บน้องยังไม่ถ่ายท้อง พยาบาลใช้ไม้ที่หุ้มสำลี คัตเติลบัตนั่นแหละแต่ไม้จะยาว ๆ และหัวใหญ่อยู่ แหย่เข้าไปในรูทวารน้อง น้องนอนนิ่งไม่ร้องเลย ทำเอาแม่ใจหายใจคว่ำ

โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา, ลูกติดเชื้อซาลโมเนลลา, ลูกเป็นซาลโมเนลลา, ซาลโมเนลลา, อาการเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา รักษา, ป่วยเชื้อซาลโมเนลลา, สังเกตเชื้อซาลโมเนลลา, เด็กป่วยติดเชื้อซาลโมเนลลา, Salmonella Infection, ทารก ท้องร่วง, เด็กท้องร่วง. เด็ก ทารก ท้องเสีย

สาเหตุของอาการป่วย เด็กท้องเสีย ท้องร่วง

ด้วยความที่แม่อยู่กับน้องแทบจะ 24 ชั่วโมง เลยรู้กิจวัตรประจำวัน ทำไรมา กินอะไรเข้าไป โดยวันก่อนที่จะมีไข้ แม่พาน้องไปทานอาหารนอกบ้าน แล้วด้วยความเสียดายเงินสิบบาทยี่สิบบาท แม่หยิบน้ำขวดหลังรถให้น้องทาน จริง ๆ น้องมีน้ำขวดต้มสุกส่วนตัวแต่แม่ไม่ได้หยิบลงไป ตอนหยิบก็เอะใจ ไม่เป็นไรหรอก เพราะปกติก็เคยทานได้อยู่ แจ็คพอตแตกเลย นั้นแหละเป็นสาเหตุ เพราะน้ำที่อยู่ในรถและตากแดดเป็นเวลานาน เป็นแหล่งเพาะเชื้อดี ๆ นี่เองซึ่งก็ไม่รู้ว่าอยู่ในรถนานแค่ไหนแล้ว ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ก็มาจากน้ำดิบ น้ำที่ไม่ได้ต้มสุก น้ำแข็ง การหยิบจับของเล่นเข้าปาก เอามือเข้าไป ตัวนี้ก็มีส่วนเช่นกัน อาหารไม่สุกก็ด้วยนะ ที่หมอเค้าบอกมาค่ะ

การป้องกันก็ต้องดูแลความสะอาดมือเป็นพิเศษหน่อย หมั่นล้างมือบ่อย ๆ เช็ดข้าวของ ของเล่นด้วยแอลกอฮอล์ลหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ  ตอนนี้ก็เลี่ยงการดื่มน้ำจากขวด ให้กินน้ำต้มสุกแล้ว แม่พลาดเองจริง ๆ ช่วงกลับมาจากโรงพยาบาลก็กินยากลุ่มฆ่าเชื้อวันละ 5 ครั้ง กินต่อเนื่องจนยาหมด ประมาณ 10 วันนับจากวันที่เป็น น้องมีเรียนว่ายน้ำก็ต้องหยุดไปก่อน เพราะยังท้องเสียอยู่ ไม่ควรนำเชื้อโรคไม่แพร่ไปสระ อันนี้กาดอกจันทน์ไว้เลยนะ ถ้าเด็กท้องเสียอย่าพาลงสระ เพราะจะแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นได้ แม่ต้องให้น้องหยุดไปเทมอนึงก่อน แล้วค่อยไปเรียนใหม่ กลับมาบ้านครั้งนี้ก็ดูแลรักษาความสะอาดมากขึ้นกว่าเดิม น้องเริ่มทานอาหารได้เยอะเหมือนเดิม แต่ยังคงงดผักผลไม้ ขับถ่ายดีขึ้นไม่มีมูกแล้ว เริ่มมีชื้นเนื้อ ๆ บ้าง แต่ยังไม่ปกติ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เรื่องราวของหนูจะเป็นประโยชน์สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองไม่มากก็น้อยนะคะ "

โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา, ลูกติดเชื้อซาลโมเนลลา, ลูกเป็นซาลโมเนลลา, ซาลโมเนลลา, อาการเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา รักษา, ป่วยเชื้อซาลโมเนลลา, สังเกตเชื้อซาลโมเนลลา, เด็กป่วยติดเชื้อซาลโมเนลลา, Salmonella Infection, ทารก ท้องร่วง, เด็กท้องร่วง. เด็ก ทารก ท้องเสีย
จากกรณีของคุรแม่ เรามารู้จักโรคติดเชื่อ Salmonella Infection หรือ โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา หรือโรคซาลโมเนลโลสิส กันค่ะ

โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียซาลโมเนลลา มักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเป็นไข้ ถ่ายเหลว หรืออาเจียน โดยอาการอาจปรากฏอยู่นาน 8-72 ชั่วโมง ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงอาจมีอาการดีขึ้นเองภายใน 2-3 วันโดยไม่จำเป็นต้องรับการรักษา ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น

อาการของโรคติดเชื้อซาลโมเนลลา

การติดเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลา อาจใช้เวลานานหลายชั่วโมงจนถึง 2 วัน จึงจะปราฏอาการของโรค อาการดังนี้

  • ปวดท้อง
  • ท้องเสีย โดยอุจจาระอาจมีเลือดปน
  • อาเจียน
  • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
  • เป็นไข้ หนาวสั่น
  • เบื่ออาหาร

โดยปกติแล้วอาการของซาลโมเนลลา จะคงอยู่ประมาณ 2-7 วัน ส่วนอาการท้องเสียอาจคงอยู่ประมาณ 10 วัน ซึ่งอาจอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนจนกว่าลำไส้จะกลับมาทำงานปกติ หรือ หากยังมีอาการผิดปกตินานเกิน 7 วัน ควรไปพบแพทย์อีกซ้ำ

นอกจากนี้ หากผู้ติดเชื้อเป็นเด็กที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง แล้วมีอาการอุจจาระเป็นเลือด มีไข้สูง หรือมีภาวะขาดน้ำ เกิดขึ้นนานกว่า 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์ซ้ำเช่นเดียวกัน


 

ไวรัสโรต้าตัวร้าย! พ่อแม่ต้องรู้ ป้องกันลูกจากโรคท้องร่วง

 
ไวรัสโรต้า-ลูกติดโรต้า-ลูกท้องร่วง-อาการ ไวรัสโรต้า-สาเหตุ ไวรัสโรต้า-รักษา โรต้า-ป้องกัน โรต้า-rotavirus-เชื้อ ไวรัส โร ต้า-วัคซีนโรต้า- วัคซีนโรต้าราคา-วัคซีนโรต้าแบบหยอด-วัคซีนโรต้า ราคา เท่าไหร่--วัคซีนโรต้า แพงไหม
 
โรต้าไวรัส เชื้อโรคตัวดีที่ทำใเด็ก ๆ ท้องร่วงและแอดมิดปีละหลายพันคนค่ะ ไวรัสโรต้าคืออะไร พ่อแม่จะป้องกันไม่ให้ลูกติดเชื้อโรต้าได้อย่างไร นพ.พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์สาขาโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ มีคำแนะนำค่ะ 
ไวรัสโรต้า (Rota Virus) คืออะไร

ไวรัสโรต้า (Rota Virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีหลายสายพันธุ์ โดยเชื้อไวรัสโรต้ามีอยู่รอบตัวตลอดปี แต่จะสังเกตได้ว่าเด็กเล็กจะได้รับเชื้อมากจนแอดมิดเข้าโรงพยาบาลในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อไวรัสมีการแพร่กระจายมากกว่าปกติ 

ไวรัสโรต้าติดสู่เด็กเล็กได้อย่างไร
  • ไวรัสโรต้าติดจากการสัมผัสรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางการสัมผัส การเอาของสกปรกที่อาจมีเชื้อเข้าปาก
  • การสัมผัสของเล่น ของใช้ หรือ ใช้ของร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่อาจมีเชื้อไวรัสโรต้าอยู่ก่อนแล้ว
  • อุจจาระของผู้ป่วยท้องร่วงจากไวรัสโรต้า อาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อมายังของใช้ได้
อาการเมื่อติดไวรัสโรต้า
  • หลังได้รับเชื้อแล้วประมาณ 2-3 วัน เด็กเล็กจะถ่ายแหลวเป็นน้ำ บางคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นถ่ายเป็นมูกเลือด
  • มีไข้ อ่อนเพลีย ร่างกายขาดน้ำ
  • บางคนมีอาการอาเจียน หรือ ปวดท้องร่วมด้วย
ไวรัสโรต้า-ลูกติดโรต้า-ลูกท้องร่วง-อาการ ไวรัสโรต้า-สาเหตุ ไวรัสโรต้า-รักษา โรต้า-ป้องกัน โรต้า-rotavirus-เชื้อ ไวรัส โร ต้า-วัคซีนโรต้า- วัคซีนโรต้าราคา-วัคซีนโรต้าแบบหยอด-วัคซีนโรต้า ราคา เท่าไหร่--วัคซีนโรต้า แพงไหม
การรักษาท้องร่วงจากไวรัสโรต้า 
  • เด็กเล็กที่ติดไวรัสโรต้ามักรุนแรงมาก จะต้องได้รับน้ำเกลือแร่ ซึ่งอาจจะใช้วิธีจิบน้อย ๆ บ่อย ๆ หรือ อาจให้ผ่านทางสายน้ำเกลือ เพื่อลดอาการอ่อนเพลียจากการถ่ายเหลว
  • หากมีไข้ อาจได้รับยาลดไข้ควบคู่กันไปด้วย 
การป้องกันไวรัสโรต้า
  • ก่อนและหลังทานอาหารรวมถึงหลังเข้าห้องน้ำต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
  • ทานอาหารปรุงสุก สดใหม่
  • ดื่มน้ำสะอาด
  • ไม่ใช้อุปกรณ์การทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
  • ถ้าเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกต้องล้างมือทุกครั้ง
  • หมั่นทำความสะอาดของเล่นอยู่เสมอ
  • เลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการท้องเสีย
วัคซีนโรต้าป้องกันท้องร่วง

ปัจจุบันวัคซีนโรต้าเป็นวัคซีนเสริม ที่ยังไม่ใช่วัคซีนพื้นฐานที่เด็กไทยทุกคนต้องได้รับ วัคซีนเป็นวัคซีนเด็กชนิดหยอดทางปาก โดยอาจหยอดต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของวัคซีน

  • วัคซีนโรต้าชนิดหยอด 2 ครั้ง ควรหยอดเมื่ออายุ 2 และ 4 เดือน 
  • วัคซีนโรต้าชนิดหยอด 3 ครั้ง ควรหยอดเมื่ออาย 2 4 แลพ 6 เดือน 

*การหยอดวัคซีนโรต้าครั้งสุดท้ายไม่ควรอายุเกิน 8 เดือน

ราคาวัคซีนโรต้า

เนื่องจากวัคซีนโรต้าเป็นวัคซีนเสริมจึงมีราคาค่อนข้างสูง ราคาวัคซีนจะเป็นแพ็กเกจ (แบบหยอด 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง) เฉลี่ยแล้วราคาจะอยู่ประมาณ 2,000-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาล (รัฐบาลหรือเอกชน) ดังนั้นก่อนพาลูกไปฉีดวัคซีนโรต้า จะต้องสอบถามราคาให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง

รักลูก Community of The Experts

นพ.พรเทพ สวนดอก
กุมารแพทย์สาขาโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ