facebook  youtube  line

6 ข้อ สิ่งที่พ่อกับแม่ต้องทำ แล้วลูกจะเติบโตเป็นคนดี และมีความสุข

พ่อแม่ที่ดี, ลูกดื้อ, วิธีสอนลูก, การเลี้ยงลูก, สิ่งที่พ่อกับแม่ต้องทำ, ลูก, พ่อ, แม่, ความสุขของลูก, ทำเพื่อลูก, ลูกเครียด, สิ่งที่ต้องสอนลูก, พ่อที่ดี, แม่ที่ดี, เติบโตเป็นเด็กดี, เด็กดี, เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี

6 ข้อ สิ่งที่พ่อกับแม่ต้องทำ แล้วลูกจะเติบโตเป็นคนดี และมีความสุข

หากใครเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีอยู่แล้ว ก็ลองเพิ่มเติมสิ่งที่ต้องทำทั้ง 6 ข้อดูนะคะ แล้วลูกจะมีความสุขมากขึ้น หากพ่อกับแม่คนไหนยังไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ก็ควรทำเพื่อลูก แล้วลูกจะเติบโตสมวัย มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นค่ะ

  1. ให้เวลากับลูก ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่ชอบพูดว่าไม่มีเวลา ต้องหันมาสำรวจตัวเองแล้วล่ะค่ะว่าเราทำงานหนักไปเพื่ออะไร ถ้าคำตอบเพื่อหาเงินมาดูแลลูก ลองถามลูกดูว่าลูกต้องการสิ่งของ หรือต้องการอยู่กับพ่อแม่มากกว่ากัน เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกน้อยนะคะ

  2. ต้องคิดบวก วิธีคิดบวกเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพ่อแม่ที่ต้องมีต่อลูก เพราะการคิดบวกจะส่งต่อวิธีคิดไปสู่ลูกด้วย เช่น ถ้าลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่พ่อแม่จะใช้วิธีดุด่าว่ากล่าว อาจเปลี่ยนไปใช้วิธีพูดเพื่อให้กำลังใจที่เชื่อว่าลูกสามารถแก้ไขได้และปรับปรุงได้

  3. ทำกิจกรรมครอบครัว ต้องมีเวลาทำกิจกรรมครอบครัว คุณพ่อคุณแม่สามารถคิดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของลูก ทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย เพราะการมีกิจกรรมครอบครัวที่ดีอย่างสม่ำเสมอ จะได้เปิดโอกาสพูดคุยกันทุกเรื่องกับลูกได้อย่างไม่เขินอาย

  4. รับฟังลูกให้มากขึ้น  หากที่ผ่านมาคุณไม่ค่อยได้รับฟังลูก ก็ให้เปิดใจและรับฟังลูกให้มากขึ้นนะคะ เพราะการรับฟังเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจ และสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน พ่อแม่จะได้เข้าใจวิธีคิดของลูกว่าลูกคิดอย่างไรต่อเรื่องนั้นๆ และจะทำให้เราสามารถสอดแทรกบางเรื่องที่ต้องการให้ลูกเรียนรู้ได้ด้วย 

  5. เพิ่มทักษะสร้างสรรค์ ลดการเรียนกวดวิชาของลูกลง แล้วเพิ่มกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เหมาะกับลูก ให้เริ่มจากกิจกรรมที่ลูกชอบ และกิจกรรมที่สามารถเพิ่มทักษะชีวิตให้ลูกนอกห้องเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะชีวิตที่ช่วยเสริมความมั่นใจ เสริมศักยภาพบางด้านของลูก

  6. ให้ความไว้วางใจ พ่อแม่ขี้ระแวงไม่ค่อยไว้ใจลูก ไม่คิดว่าลูกจะทำได้ กังวลไปทุกเรื่อง ลูกต้องเครียดแน่ๆ ทางที่ดีพ่อกับแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าไว้ใจลูกเสมอ เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ให้เขาได้กล้าแสดงออก จะทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และเขาจะเติบโตขึ้นไปด้วยความไว้วางใจผู้อื่นต่อไปด้วย

 

ทัศนคติ 5 แบบของพ่อแม่ ที่ส่งเสริมการเรียนรู้รอบด้านของลูกอย่างได้ผล

ลูกฉลาด, ลูกเก่ง, เด็กเก่ง, เด็กฉลาด, ทักษะพิเศษ, ความสามารถพิเศษ, ทักษะการเอาตัวรอด, อยู่ในสังคมได้, เก่งรอบด้าน, ฉลาดรอบด้าน, เรียนรู้ไว, การเลี้ยงลูก, พัฒนาการเด็ก, การส่งเสริมพัฒนาการ,

ทัศนคติ 5 แบบของพ่อแม่ ที่ส่งเสริมการเรียนรู้รอบด้านของลูกอย่างได้ผล

คุณพ่อคุณแม่สงสัยไหมคะว่า ลูกเราจะมีพัฒนาการสมวัย เรียนรู้ได้ดีและฉลาดรอบด้านหรือไม่ มีทักษะพิเศษอันโดดเด่นหรือไม่นั้นเกิดจากอะไร สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มที่ตัวคุณพ่อคุณแม่ก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ สงสัยไหมคะว่าทัศนคติและการกระทำแบบใดส่งเสริมการเรียนรู้ การกระทำแบบไหนขัดขวางการเรียนรู้ของเขา สิ่งเหล่านี้สำคัญมากที่สุด และยังส่งผลกับลูกไปถึงตอนโตเลยนะคะ วันนี้เรามีเรื่องราวที่คุณพ่อคุณแม่ต้องหันกลับมามองทบทวนตัวเองอย่างจริงจังมาฝากค่ะ

ทัศนคติของพ่อแม่ส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ของลูก การส่งเสริมให้ลูกฉลาดรอบด้านไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ลูกเรียนเท่านั้นค่ะ แต่เริ่มต้นจากทัศนคติ ความเข้าใจและการมองเห็นโอกาสของคุณพ่อคุณแม่ หากเลี้ยงลูกแบบเข้มงวด ลูกก็จะถูกจำกัดความคิดและการกระทำ หากเลี้ยงลูกให้เก่งแต่ในตำรา ลูกก็อาจไม่รู้จักการพลิกแพลงหรือแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักจะพิจารณาและเลือกหลักการที่ดีที่สุดเพื่อเลี้ยงลูกให้ดีและเก่งที่สุด แต่รู้ไหมคะว่าวิธีการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุดคือการปรับประยุกต์สิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้เข้ากับลักษณะนิสัยและความถนัดของลูกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเอาใจใส่ค้นหา และส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้ด้วยตัวเค้าเอง และสนับสนุนอยู่ห่างๆ

John Schnur นักการศึกษาคนสำคัญของอเมริกาและยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง New Leaders for New Schools ได้กล่าวว่า การจะปลดล็อคและส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของลูกให้พัฒนาไปเป็นความสามารถพิเศษได้นั้นจะต้องได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง ถูกต้อง และยอดเยี่ยมจากคุณพ่อคุณแม่เป็นหลัก เช่น อ่านหนังสือไปกับลูก คุยกันให้มาก หรือแม้แต่การวางโทรศัพท์มือถือให้ไกลตัวที่สุด และหลักการเหล่านี้ถ้าลองมาปรับใช้กับลูกเราก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ เพราะคุณสามารถเป็นพ่อแม่สุดยอดนักส่งเสริมความสามารถพิเศษของลูกได้

 

วันนี้เรามีวิธีคิด และการปรับทัศนคติของคุณพ่อคุณแม่ที่เหมาะกับคนไทย 5 แบบโดย พญ.สินดี จำเริญนุสิต กุมารเวชศาสตร์ทั่วไป โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เพื่อเราจะส่งเสริมลูกไปได้สุดทางค่ะ

1.เปิดประเด็นให้คิดและแสดงออกตลอดเวลา

ลองเปลี่ยนจากการออกคำสั่ง การไม่ให้ตัวเลือก หรือการจำกัดความคิดของลูก มาเป็นการถามเพื่อให้เขาได้แสดงความเห็นและความรู้สึก การให้ตัวเลือกเพื่อให้เขาได้เลือกสิ่งที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง หรือตั้งคำถามกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่พบเจอ เพื่อกระตุ้นให้เขาใช้ความคิดอยู่เสมอ ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นวิธีที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่เปิดใจยอมรับตัวตนของลูก ได้มีโอกาสสังเกตเห็นบุคลิก ความถนัด และทักษะบางอย่างของลูกได้ เพื่อหาวิธีส่งเสริมต่อไปได้อย่างเหมาะสม

 

2.เรียนรู้ไปพร้อมกับลูก

ถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกเรียนรู้อย่างฉลาดรอบด้าน แต่ตัวเองยังนั่งเล่นแท็บเล็ต ก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา หรือปล่อยให้ลูกนั่งดูทีวี เล่นเกม ลูกจะเกิดการเรียนรู้รอบด้านได้อย่างไร ในเมื่อลูกไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าพอที่พ่อแม่จะมาสนใจ ดังนั้นพ่อแม่เองก็ต้องให้เวลา เรียนรู้ไปพร้อมกันกับลูก ไม่ปล่อยลูกให้ลงมือทำโดยขาดความสนใจและกำลังใจ เช่น อยากให้ลูกปั่นจักรยานที่ชอบ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรปั่นจักรยานหรือเดินไปพร้อมๆ กับลูก ลูกชอบประดิษฐ์ พ่อแม่ก็ควรเป็นฝ่ายช่วยหาอุปกรณ์ ให้กำลังใจ และติดตามผลอยู่ใกล้ๆ เพื่อเห็นถึงความพยายาม ความมุ่งมั่น และช่วยแนะนำในส่วนที่ลูกขอความเห็น

 

3.ไม่เปรียบเทียบลูกเรากับลูกคนอื่น

เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการ ทักษะในการเรียนรู้ และความสามารถที่แตกต่างกันค่ะ เช่น บางคนเก่งเรื่องการคิดคำนวณ บางคนเก่งเรื่องภาษา บางคนเก่งเรื่องการเคลื่อนไหว บางคนเก่งเรื่องความคิดสร้างสรรค์ หรือบางคนเก่งเรื่องการอยู่ร่วมกับผู้อื่น คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตเพื่อให้เห็นถึงศักยภาพนั้นและส่งเสริมเขาให้เต็มที่ พร้อมกับพัฒนาทักษะด้านอื่นไปพร้อมกัน ดังนั้นทัศนคติของคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญ ลูกเราอาจจะไม่จำเป็นต้องเก่งเรื่องเดียวกับเด็กคนอื่น แต่เขาจะเก่งและพัฒนาความสามารถตัวเองได้แบบไร้ขีดจำกัดในทักษะที่ถนัดค่ะ

 

4.ไม่กลัวถ้าลูกจะผิดพลาดและผิดหวัง

คุณพ่อคุณแม่หลายคนกลัวลูกผิดหวัง เสียใจ เลยลงมือทำแทนและปกป้องลูกมากเกินไป ซึ่งทัศนคติที่มีความหวังดีแบบนี้มักทำให้ลูกขาดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ลองลดความกลัวและวิตกกังวลของตัวเองลงอีกหน่อย แล้วปล่อยให้ลูกได้ลงมือทำ วิธีนี้จะกระตุ้นให้ลูกคิดหาทางแก้ไขปัญหาเอง หากเกิดความผิดพลาดเขาก็จะยอมรับในความผิดจากการเลือกของตัวเอง จดจำไว้พัฒนาให้ดีขึ้น และรับมือกับอารมณ์ของตัวเองได้เมื่อต้องผิดหวัง ซึ่งจะกลายมาเป็นทักษะในสำคัญในการทำงานร่วมกับผู้อื่น การแก้ไขปัญหา ความไม่ย่อท้อต่อเรื่องใดๆ ค่ะ

 

5.ไม่มองข้ามพลังของสารอาหารบำรุงร่างกายและสมอง

ลูกจะสนุกกับการเรียนรู้ พัฒนาการดี และต่อยอดทักษะต่างๆ ได้เยี่ยมจะต้องเริ่มที่อาหารการกิน ที่ส่งเสริมสุขภาพกาย และใจให้แข็งแรงค่ะ คุณพ่อคุณแม่ทุกคนจึงเน้นเลือกของกินที่ดีต่อสมอง รวมไปถึงการให้ลูกกินวิตามินต่างๆ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ลูกฉลาดมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วการให้ลูกกินอาหารทุกมื้อครบทั้ง 5 หมู่ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายก็ช่วยให้เขาได้รับสารอาหารจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการทำงานของสมองแล้วค่ะ สำหรับลูกในวัยที่สนุกกับการใช้พลังอย่างเหลือเฟือเพื่อการเรียนรู้ คุณพ่อคุณแม่ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีนเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงอาหารที่มีแคลเซียมเพื่อให้กระดูกแข็งแรง

 

 

หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ลองประเมินตัวเองว่าทุกวันนี้เรามีทัศนคติที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของลูก มากน้อยแค่ไหน ถ้าเราปรับทัศนคติของตัวเองเพื่อส่งเสริมลูกตั้งแต่วันนี้ จะทำให้ลูกเรียนรู้ไปได้จนสุดทาง แล้วจะรู้ว่าเขาทำได้มากกว่าที่คุณคิดค่ะ



 

 



นิสัยของพ่อแม่ 3 สไตล์ มักจะได้ลูกเป็นคนแบบนี้

5101 1

นิสัยของพ่อแม่ 3 สไตล์ มักจะได้ลูกเป็นคนแบบนี้

คุณพ่อคุณแม่ลองสำรวจตัวเองดูนะคะ ว่าส่วนใหญ่แล้ว เรากำลังเป็นพ่อแม่แบบไหน แล้วจะเปลี่ยนอะไรในตัวเองเพื่อเป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้นบ้าง เพื่อให้ลูกมีอิสระ แต่ก็มีขีดจำกัดที่เหมาะสมได้

1.พ่อแม่ชอบบงการ

พ่อคุณที่ลึก ๆ แล้วมักจะชอบบงการลูก อยากให้ลูกเชื่อฟังคำสั่ง และมักจะลงโทษลูก เช่น "กินข้าวให้หมด ไม่อย่างนั้นแม่จะตีมือเลยนะ" "พูดขอโทษเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นแม่จะไม่รัก " เป็นต้น หากคุณเผลอที่เป็นพ่อแม่แบบนี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ

  • ลูกจะทำตัวเป็นเด็กดีชั่วคราว เลี่ยงการถูกลงโทษ
  • ลูกจะกลัวพ่อแม่และผู้ใหญ่ แบบไร้เหตุผล
  • ลูกไม่เรียนรู้ที่จะคิดเอง
  • เก็บกด และเลียบแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ เป็นต้น

 

2.พ่อแม่ตามใจลูกเกินไป

พ่อแม่หลายคนไม่ยอมรับว่ากำลังตามใจลูกอยู่ แต่จริง ๆ แล้วกำลังทำนะคะ เช่น ให้ลูกซื้อของเล่นทุกอย่างที่อยากได้ ปล่อยให้ลูกเล่นไปกินข้าวไป เป็นต้น หากคุณเผลอที่เป็นพ่อแม่แบบนี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ

  • ลูกไม่เรียนรู้ขอบเขตของตัวเอง
  • ลูกไม่ถูกฝึกให้รับผิดชอบ ตามใจตัวเอง
  • ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น
  • ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น
  • บีบบังคับให้พ่อแม่และคนอื่น ๆ ทำตามตัวเอง เป็นต้น

 

3.พ่อแม่ที่ให้ทางเลือก

พ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกแบบประชาธิปไตย ปล่อยให้มีอิสระและขีดจำกัดที่มีขอบเขตพอเหมาะ จะปฏิบัติ 2 แบบ คือ กำหนดขอบเขตความพอดีให้เด็ก และให้เด็กมีทางเลือกภายในขอบเขตนั้น เช่น "ลูกซื้อของเล่นได้ แต่เลือกได้ในโซนนี้ที่ราคา 100 บาทเท่านั้นนะคะ" หากคุณเป็นพ่อแม่แบบนี้ สิ่งที่ลูกจะได้เรียนรู้ คือ

  • ฝึกให้เด็กมีส่วนร่วมตามความเหมาะสม แต่ไม่ใช่ทุกครั้งไป
  • ลูกจะรู้ว่าทางเลือกของเขามีความสำคัญ
  • ลูกจะเรียนรู้ว่าบางอย่างมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
  • ลูกจะเป็นเด็กเชื่อมั่นในตัวเอง
  • ลูกจะรับฟังคนอื่นเป็น เป็นต้น

รักลูก The Expert Talk EP.119 : เด็ก 6 แบบจากครอบครัว Dysfunctional Family

 

รักลูก The Expert Talk Ep.119 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 2 เด็ก 6 แบบจากครอบครัว Dysfunctional Family

 

เลี้ยงลูกแบบใด ได้ลูกแบบนั้น

ฟังอาจารย์ธามพูดถึงเด็ก 6 แบบที่เกิดจากบ้านที่ Dysfunctional Family ลูกจะมีบุคลิคลักษณะแบบใดบ้าง? 

 

ชวนฟัง รักลูก Podcast กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.121 : How to be Functional Family เป็นพ่อแม่ไม่บกพร่องหน้าที่

 

รักลูก The Expert Talk Ep.121 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนนี้ 3 How to be Functional Family เป็นพ่อแม่ไม่บกพร่องหน้าที่

 

AI แย่งงานคน มหาวิทยาลัยยกเลิกการสอนวิชา… เพราะโลกเปลี่ยนทุกวัน เราไม่สามารถคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ การเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ

ฟัง The Expert อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกวิธีการเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตในทุกด้าน

พ่อแม่ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกสมองไวพร้อมได้ตั้งแต่วันนี้

 

รายการรักลูก The Expert Talk อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.126 : Cybercrime รับมือได้ พ่อแม่ต้องเท่าทัน

 

รักลูก The Expert Talk Ep.126 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 7 Cybercrime รับมือได้ พ่อแม่ต้องเท่าทัน

 

เมื่อลูกถูมิจฉาชีพหลอกลวง พ่อแม่จะช่วยลูกและรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.97 (Rerun) : “Dysfunctional Family” บทบาทหน้าที่ครอบครัวบกพร่อง

 

รักลูก The Expert Talk Ep.97 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว Dysfunctional Family บทบาทหน้าที่ครอบครัวบกพร่อง?! 


Dysfunctional Family การทำหน้าที่ของครอบครัวบกพร่อง บกพร่องด้านไหนบ้าง กระทบกับครอบครัวและลูกอย่างไร เมื่อรู้แล้วจะรับมือแก้ไขแบบไหน

ชวนทวนสอบบทบาทหน้าที่ครอบครัวกันค่ะ ว่าเรากำลังอยู่ในสถานะ Dysfunctional Family อยู่หรือเปล่า ฟังคุณหมอเดวพูดเรื่องนี้กันได้ที่ รักลูก Podcast

 

ปัญหาสภาพครอบครัวไทย

ครอบครัวไทยตอนนี้มี20ล้านครอบครัว ในจำนวนนี้มีประเด็นใหม่ๆเกิดขึ้น 2หมวดใหญ่ๆ คือ

โครงสร้างครอบครัวมีขนาดเล็กลง TFR (Total Fatality Rate) อัตราการมีลูกของเด็กในประเทศไทยตอนนี้ค่าเฉลี่ยที่ 1.4 เดิม 1.6 คือส่วนใหญ่มีลูก 1คน ซึ่งประเทศเสียเปรียบเพราะปิรามิดของประชากรเปลี่ยนแต่เดิมผู้สูงวัยน้อยฐานวัยแรงงานเยอะ คือ 10:1 (ทำงาน 10คน ผู้สูงอายุ 1คน) เมื่อ20ปีที่แล้วลดลงมาเหลือ 5:1 ปัจจุบันเหลือ 2:1 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั้นหมายถึงว่าประชากรวัยแรงงานจะต้องดูผู้สูงอายุ 1:1 ต้องทำงานและดูแลผู้สูงอายุด้วย ซึ่งถ้าเป็นสภาพนี้ผู้สูงอายุจะเยอะมากคือ ประชากร 10คนจะมีอย่างน้อย 3 คนที่อายุเกิน 60ปีและหนึ่งในสามนั้นมีหนึ่งคนที่อายุเกิน 65ปี และเริ่มมีคำใหม่คือ ชมรม DINK (Double Income No Kids)แต่งงานแต่ไม่มีลูก นี่คือโครงสร้างที่มีปัญหา ดังนั้นโครงสร้างใหม่คือSmall Family คือครอบครัวพ่อแม่ลูกชุมชนก็ไม่รู้จัก ไซซ์เล็ก ครอบครัวหย่าร้างซึ่งอัตราอยู่ระหว่าง 5-10% ก็จะมีพ่อเลี้ยงเดี่ยวแม่เลี้ยงเดี่ยว มีครอบครัวแหว่งกลาง บางภาคตามหัวเมืองจะเห็นภาพที่ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลาน พ่อแม่ทำงานในเมือง

Unicef รายงานข้อมูลว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า 18ปี สามล้านคนที่พ่อแม่มีชีวิตแต่ไม่ได้เลี้ยง ในจำนวนนี้ 500,000คนเป็นเด็กปฐมวัย ซึ่งเรารับรู้ว่าเด็กวัยนี้พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู นี่คือโครงสร้างของครอบครัวที่มีปัญหา ซึ่งต้องยอมรับว่ามีปัญหาเดิมและมีปัญหามากขึ้น

และอีกประเด็นคือ Dysfunction คือการทำหน้าที่ของครอบครัวบกพร่องทั้งลบและบวกมีปัญหาทั้งนั้น หน้าที่ของครอบครัวคือให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข การมีความสุขคือการมีข้าวกินมีบ้านอยู่ เพราะฉะนั้นบทบาทของครอบครัวต้องดูแลร่วมกันเพื่อให้ได้ปัจจัยสี่ ขั้นพื้นฐาน และอีกปัจจัยคือ Psychological ทางด้านจิตใจ อารมณ์ เช่น สมาชิกเมื่ออยู่ในบ้านแล้วมีปฏิสัมพันธ์ มีความรู้สึกที่อบอุ่น ปลอดภัย Sense of security ถ้าเข้าบ้านแล้วมีทารุณกรรม แสดงว่าบ้านมีปัญหาหรือเข้ามาในบ้านไม่คุยกันเลย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างสังคมไม่เกี่ยวกับเรื่องหย่าร้าง แต่ฟังก์ชั่นมีปัญหานี่คือระดับทางจิตใจ

ส่วนด้านสังคมสมาชิกในครอบครัวต้องดูแลให้มีปฏิสัมพันธ์ทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในชุมชนต้องรู้จักกัน เยี่ยมญาติพี่น้อง พบเพื่อนฝูง รู้จักการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม นี่คือลักษณะ Socialogical ถ้าดูง่ายเลยๆ Physical ปัจจัยขั้นพื้นฐาน Psychological ปัจจัยทางด้านจิตใจและอารมณ์และปัจจัยทางด้านสังคม ซึ่งถ้าบกพร่อง บ้านไม่มีให้อยู่ก็เดือดร้อนข้าวไม่มีกินนี่คือบกพร่อง แต่อีกฟากหนึ่งคือมีหลายบ้านหรืออีกบ้าน Ovefeed คือกินทิ้งกินขว้างทั้งลบและบวกจึงมีปัญหาเลยสุขภาพไม่ได้รับการดูแลก็มีปัญหา แต่ถ้าดู Over เกินไปก็มีปัญหาเหมือนกัน

Dysfunctional Family

ครอบครัวที่พ่อแม่รักลูก แต่เลี้ยงลูกแบบใช้อำนาจ มีทั้งหมด 9ประเภทแต่ก่อนที่จะไปตรงนั้นมีประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูคือ ครอบครัวในประเทศไทยมีการเลี้ยงลูกคือ ใช้อำนาจในการเลี้ยงลูกพ่อแม่เป็นใหญ่เป็นกันเยอะ ไม่ได้เจตนาแต่ตัดสินใจแทนลูกทั้งหมด ทำบนฐานของความรักซึ่งมีเกิน50% ไม่ได้ทำสำรวจแต่ด้วยประสบการณ์เวลาที่เอาลูกมาปรึกษาหมอจับทางได้ว่าใช้อำนาจ คือจับทางจากประสบการณ์และความรู้ที่หมอมีมาร้อยเคสครึ่งหนึ่ง คือรักษาคนที่พามาและอีก 25% ตามไปซ่อมคนส่งมา บริวารของเด็กมีปัญหามากกว่าตัวเด็ก บางคนที่พามาได้ยาแทนคือพ่อแม่อาการหนักเกินเด็ก อำนาจมีไว้ให้กับพ่อแม่นั้นถูกต้องแต่มีไว้ให้ผ่อนลงเรื่อยๆ

ก่อนที่จะลงไปการเลี้ยงดูผิดประเภทหมออยากให้เข้าใจก่อนว่า ด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กพ่อแม่จะต้องช่วยทำให้ลูกทุกคนอยู่รอดและปลอดภัย ได้รับการเลี้ยงดู ปกป้องคุ้มครองและได้การรับการพัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วม

เมื่อลูกเป็นทารกอำนาจจึงอยู่เต็มที่พ่อแม่ในการทำให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย ต่อเมื่อพัฒนาการเติบโตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตรงนี้อำนาจของพ่อแม่ต้องถอย คืออายุ 2ปีแรกพ่อแม่มีอำนาจเต็ม100% แต่พอหลัง2ขวบเริ่มเดินเองได้ นั่งเล่นกับเพื่อนแม้ไม่แบ่งปันแต่ก็นั่งเล่น ช่วยเหลือตัวเองได้อำนาจของพ่อแม่ต้องค่อยๆถอยลงมา เหลือประมาณ 80% แต่พอเข้าสามขวบพ่อแม่เอาลูกไปฝากที่อนุบาลระบบนิเวศน์เปลี่ยน อำนาจของพ่อแม่จะถอยลงมาเหลือ 60 -40% พออยู่ชั้นประถม เพื่อนครู รร. เป็นบ้านหลังที่สองอำนาจของพ่อแม่จะถอยลงไปเรื่อยๆแล้วจะเหลือแค่30%ตอนเข้าสู่วัยรุ่น

ถ้าเป็นวัยรุ่นตอนกลางและเป็นเด็กโตด้วยอำนาจพ่อแม่เหลืออยู่10% แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่เป็นติ่งห้อยอยู่อยากมาปรึกษาก็มา ไม่อยากก็อย่าเข้าไปยุ่ง แต่ปัญหาของการใช้อำนาจครอบครัวบ้านเรากลับหัวหมดเลย ตอนเด็กใช้ทีวีเลี้ยงลูกใช้พี่เลี้ยงimportมาดูแลลูกเราไม่ได้ใช้อำนาจเต็มตรงนั้น แต่พอโตกลับลาออกแล้วมานั่งเฝ้าลูกแล้วไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวจึงทำให้เกิดปัญหาแล้วยิ่งไม่ผ่อนด้วย พ่อแม่มีปัญหากับลูกเร่งรัดกับลูกแล้วก็ไม่ดึงลูกเข้ามาแก้ปัญหาร่วมกัน ถามตัวเองว่าคุยกับลูกกับลูกวัยรุ่นรู้เรื่องไหม

ครอบครัวที่อยากได้ลูกเป็นคนดี จะเห็นว่าสังคมสมัยนี้พ่อแม่เริ่มมีฐานะก็กลายเป็นว่าอยากให้ลูกเป็นคนดีแต่ช่วยเลี้ยงลูกฉันให้เป็นคนดีนะคือการซื้อระบบนิเวศน์ลงทุนเต็มที่ รร.อินเตอร์จะแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย และความคาดหวังก็ตามมา ได้รร.ดีแล้วช่วยเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีหน่อยแต่ไม่ได้กลับมาดูว่าตัวเองกำลังทุ่มอะไรอยู่

ครอบครัวปล่อยปละละเลย บางบ้านไม่ได้ทำหน้าที่บทบาทพ่อแม่ซึ่งคาดหวังสูงมากแต่ใช้เงินซื้อหรือให้คนอื่นทุ่มเทซึ่งเริ่มมีเยอะขึ้นมาจากครอบครัวที่ปล่อยปละละเลย

ครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย สร้างการมีส่วนร่วมตั้งแต่อนุบาล ลูกทุกคนมีความหมาย ลูกมีศักดิ์และศรี ไม่เปรียบเทียบเวลาจะตั้งกฏเกณฑ์ก็มีการพูดคุยแบบนี้อยากให้มีเยอะขึ้น ซึ่งมีเยอะก็จะเป็นประโยชน์กับการเลี้ยงลูกสร้างครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย

Functional Family  คุณลักษณะที่ดีของพ่อแม่ 

1.รักอบอุ่นและไว้วางใจ ต้องไม่สำลักความรักหรือเยอะเกินไป รักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขพ่อแม่ที่รักกันอยู่ได้ต้องมองว่าตอนที่รักกันไม่ได้มีแต่เรื่องดีแต่เป็นการฝ่าฟันมาด้วยกัน รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่เจอแต่ความสุขทุกข์ไม่ได้

2.สื่อสารที่ดีต่อกัน สื่อสารพลังบวก สื่อสารดีบ้านป็นสุข

3.ควบคุมอารมณ์ตัวเอง เริ่มคุมอารมณ์ตัวพ่อแม่คุมสถานการณ์ได้ แต่การจะให้ลูกเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ลูกดูเราเป็นตัวอย่างที่ดีจะเรียนรู้วิธีการจากเรา ถ้าทำเป็นและมีศิลปะในการควบคุมอารมณ์เอาอยู่ในทุกสถานการณ์

4.มีวินัย วินัยเกิดขึ้นจากส่วนร่วมไม่ใช่พ่อแม่เป็นคนกำหนดกติกาและมีผลบังคับใช้ทุกคนยกเว้นตัวเอง

5.เด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด เด็กทุกคนเกิดมาล้วนมีความหมายหมอต้องการให้ปรับจูนทัศนคติในการเลี้ยงลูก พ่อแม่ต้องล้างทัศนคติไม่ได้เรียนเก่งแต่ชอบวาดรูป พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจและอย่าเอาลูกไปวัดกับระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออก อย่าเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ จะไม่มีปัญหาในการเลี้ยงลูก

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

เปรียบเทียบลูก ส่งผลพัฒนาการช้า

การเลี้ยงลูก, ทัศนคติลูก, พ่อแม่รังแกฉัน, เปรียบเทียบลูก

เปรียบเทียบลูก ส่งผลพัฒนาการช้า

คุณพ่อคุณแม่เคยพูดประโยคเหล่านี้กับลูกของคุณหรือไม่ ?

“ดูซิ เด็กบ้านโน้นเค้ายังทำแบบนี้ได้เลยนะ ทำไมหนูทำไม่ได้” 

“ดูพี่คนนั้นซิ เค้าเก่งนะ ทำนี่ก็ได้ ทำโน้นก็ดี หนูต้องทำให้ได้แบบเค้านะลูกนะ”

เคยไหมคะ ที่ลูกวัย 3-6 ปีของเราทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ เผลอเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่นโดยไม่เจตนา โดยลืมนึกไปว่าลูกเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี โดยการเปรียบเทียบส่งผลให้พัฒนาการหยุดชะงัก การช่วยเหลือตนเองในด้านต่าง ๆ จากที่ลูกเคยทำได้แล้วก็อาจจะกลายเป็นทำช้าลง หรือทำไม่ได้อีกเลย ที่สำคัญลูกก็ไม่ชอบให้ตัวเองถูกเปรียบเทียบด้วย 

ขอแนะนำ หากเกิดขึ้นแล้วแก้ไขได้ด้วย 3 ข้อนี้ค่ะ
  1. คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนความคิดใหม่นะคะ  อย่ามัวแต่คิดว่า ลูกเราด้อยยังไง ทำอะไรได้น้อยกว่าลูกคนอื่นแค่ไหน หรือลูกเราเสียเปรียบลูกคนอื่นเรื่องอะไร 

  2. ช่วยกันเสริมสร้างความรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ลูกเรามี  ช่วยกันดึงข้อดีที่มีออกมาสนับสนุน และช่วยกันพัฒนาจุดอ่อนที่ยังต้องฝึกฝนไปด้วยกัน สอนให้ลูกมีจุดพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี 

  3. สร้างแรงบันดาลใจ พูดคุยกับลูกถึงสิ่งที่อยากทำและอยากสิ่งที่อยากจะเป็น การเรียน อาชีพ ความฝัน สิ่งที่ชอบและถนัด สนใจอยากจะทำ หากลูกไม่มีสิ่งเหล่านี้ คนเป็นพ่อแม่ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ลูก เล่าเรื่องคนที่ประสบความสำเร็จ อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกนะคะ 

คุณพ่อคุณแม่ต้องเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเขาเอง เชื่อมั่นในความดีของเขา สนับสนุนและยอมรับในสิ่งที่ลูกทำ ปัญหาด้านพัฒนาการต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ รักลูกหยุดเปรียบเทียบให้ลูกเสียใจนะคะ