facebook  youtube  line

รักลูก The Expert Talk EP.129 : แก้ปัญหาเด็กติดจอเริ่มที่พ่อแม่

 

รักลูก The Expert Talk Ep.129 : โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกอย่างไรเหมาะกับเด็ก

ติดจอแล้วลด ละ เลิกอย่างไร

  • กำหนดเวลาในการดูจอ
  • เลือกเนื้อหาที่มีประโยชน์
  • ปิดท้ายด้วยสื่อเย็น

ฟังแนวทางการลดละเลิกจอ และเลือกเนื้อหาที่ดีต่อพัฒนาการ จาก The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่ https://linktr.ee/rakluke

รักลูก The Expert Talk EP.15: ชวนพ่อแม่ “รู้” และ “เท่าทัน” สื่อ

รักลูก The Expert Talk EP.15: ชวนพ่อแม่ “รู้” และ “เท่าทัน” สื่อ

หลายบ้านมีกฎกับการใช้จอทุกประเภทแบบที่ทำได้ดีมาตลอด แต่...ทุกอย่างพังลงเมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์ ความมั่นใจที่เคยคิดว่าเรารู้จักและใช้สื่อของลูกเป็นอย่างดีนั้น พอมาเจอภาคปฏิบัติ ตกม้าตายไปตามๆ กัน รักลูกThe Expert จึงชวนอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มาพูดคุยกัน เพื่อให้เรารู้เทคนิค วิธีการที่จะรับมือกับทั้งสื่อ จอ และ Content หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เราผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกันค่ะ

 

สื่อคืออะไร

ถ้านิยามคำว่าสื่อนึกถึงแต่ก่อนย้อนไปสัก 40 ปีที่เรายังไม่มี Facebook สื่อก็คงเป็น เรานึกถึงสื่อประเภทวิทยุ ละคร ลิเก ลำตัด หนังตะลุง อันนั้นเรียกว่าสื่อชุมชน แต่ถ้าเป็นเด็กปฐมวัยเราไม่ได้พาลูกไปดูละคร ไปดูโรงลิเก ไปดูโขนแต่แรกเราก็คงให้อยู่กับพ่อแก่แม่เฒ่า ปูย่า ตายาย

เพราะฉะนั้นเวลาเราบอกว่าอะไรเป็นสื่อ หรือไม่เป็นสื่อ สื่อก็คืออะไรก็ตามที่สื่อสารความหมายข้อความได้ เพราะฉะนั้นบุคคลก็เป็นสื่อถ้าเราโฟกัสไปที่เด็กปฐมวัยตั้งแต่ตั้งครรภ์มารดาจนออกมาเป็นทารกเตาะแตะ แล้วก็เป็นเด็กวัยปีนป่าย แล้วก็วัย Pre School เข้าอนุบาล 0-6 ขวบ หรือจริงๆ ก่อนเกิดตั้งแต่ติดลบ 9 เดือน ตั้งแต่ตั้งครรภ์ อันนี้คือช่วงปฐมวัย

สื่อที่ดีที่สุดก็คือถ้าคุณแม่ฟังเพลงอะไรก็ตามเปิดเพลงที่ทำให้บรรยากาศดีอันนี้ก็เป็นสื่อเด็กๆ ก็ได้ยิน คุณแม่พูดผ่านสายรกลูบคลำ นั่นก็สื่อประเภทหนึ่ง คุณแม่อารมณ์ดีพูดคุยกับคุณพ่อ คุณพ่อดูแลดีอารมณ์ดี กินอาหารดีก็เป็นสื่อเหมือนกัน

สื่อไม่จะเป็นต้องเป็นโทรศัพท์มือถือ สื่อไม่จำเป็นว่าต้องเปิดทีวีหรือเปล่า หรือเปิดการ์ตูนหรือเปล่า สมุดภาพ นิทาน น้ำตก บ่อทราย ชายหาด กิ่งไม้ ก้อนหิน ปีนป่าย เสียงผึ้ง แสงแดด ทุกอย่างเป็นสื่อได้หมด อย่างเช่น เวลาที่เราพาลูกออกไปสนามสีเขียวเด็กก็จะรู้สึกผ่อนคลาย หรือเรานึกถึงผู้ป่วยที่โคม่านอนติดเตียงแล้วก็รู้สึกว่าอยากจะกลับบ้านถ้าเขามองออกไปเห็นนอกหน้าต่างเขารู้สึกว่าผ่อนคลายลง เสียงนกร้อง สายลม แสงแดดก็เป็นสื่อ

ฉะนั้นลองคิดดูว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้สำหรับเด็กปฐมวัยมีค่าและความหมายมากขนาดไหน แต่ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้อยู่กับบ้าน กักตัว ไม่ออกไปไหน Stay at Home / Work from Home / Social Distancing หรือ Lockdown ลองคิดดูเราอยู่ในบ้าน ผมจะคิดว่าในบ้านจริงๆ มีสื่อเยอะแต่สำหรับเด็กปฐมวัยสื่อที่สำคัญหรือบุคคลที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ พ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดูอาจจะเป็นลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยายก็แล้วแต่หรือพี่เลี้ยงที่เรามี

เพราะฉะนั้นเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องใช้ดิจิทัลมีเดียเลย สื่อที่เป็นวิทยุ ทีวี เพลงถ้าคุณพ่อคุณแม่ชวนร้องเพลงหรือว่าชวนอ่านนิทาน หรือเล่นสิ่งของต่างๆ ตุ๊กตา เด็กโตขึ้นมาหน่อยเล่นดินน้ำมัน วาดรูประบายสี ทุกอย่างเป็นสื่อได้ขึ้นอยู่กับว่าเจตนาเราจะใช้สิ่งนั้นเพื่อสื่อสารอะไรไปยังลูก แม้กระทั่งเด็กเล็กการโอบกอด Human Touch สัมผัส โอบกอดเอาหน้าลูกเข้ามาแนบอกเราเสียงหัวใจ ลูกสาวผมจะชอบนอนบนหน้าอกทุกคืนตอน 2 ขวบ เขาจะเอาหูแนบก็จะได้ยิน ตึ๊บตึ๊บ ตึ๊บตึ๊บ

ในช่วงขวบถึงขวบครึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กทารกคือ Trust หรือว่าความไว้วางใจต่อโลกใบนี้ พอเขาเริ่มเตาะแตะขาได้ประมาณขวบครึ่งถึง 3 ขวบ เขาจะรู้สึก Autonomy ก็คืออยากทำนู้นทำนี่ได้เอง เพราะฉะนั้นจาน ชาม ช้อน หยิบส้มแล้วก็โยนลงพื้น หยิบลูกปิงปอง ลูกบอลแล้วก็ขว้างปา พวกนี้เป็นสื่อเพราะเขากำลังเรียนรู้บางอย่าง

สื่อไม่ใช่แค่เทคโนโลยี

คุณพ่อคุณแม่ต้องปรับความคิดความเข้าใจใหม่สื่อก็เป็นอะไรได้ทั้งหมดในบ้านตั้งแต่จาน ชาม ช้อน ซ้อม ลูกปิงปอง ตุ๊กตา ต้นไม้ ใบหญ้า เสียงสุนัข เสียงรถวิ่งข้างบ้าน ทุกอย่างเป็นสื่อได้หมดเลย แต่สื่อที่ดีที่สุดคือพ่อแม่

สเต็ปแรกเราต้องทำความใจว่าสื่อไม่ใช่แค่ทีวี คลิปวิดีโอ หรืออะไรต่างๆ ที่นี้เรามาสโคปเข้ามาในความใกล้ชิดของเรานิดหนึ่ง บางทีเราก็อยากใช้สื่อเหล่านั้นแต่บางทีเราที่เป็นพ่อแม่นี่ละไปยื่นโทรศัพท์ I-pad เราไปใช้สื่อที่เป็นเทคโนโลยีให้ลูกแทน อะไรเหล่านี้มองว่าเราทำไมพ่อแม่ต้องคิดว่าเราควรจะใช้สื่อที่ไม่ใช่เทคโนโลยีหรือที่เป็นไฟฟ้ามันมีอันตรายหรือความเสี่ยงอะไรถ้าลูกเราเสพติดในสื่อที่เป็นในส่วนของเทคโนโลยีมากเกินไป

เด็กปฐมวัยยังชอบสื่อที่ไม่ได้ใส่วงจรอัลกอริทึมไฟฟ้าอิเลคโทรนิค สื่อพวกนั้นเกิดจากกระบวนการ Production คือ มีโปรดิวเซอร์ มีแอนนิเมเตอร์วาดการ์ตูน มีคนใส่เสียง มีคนตัดต่อ มีคนทำกราฟฟิกอะไรเยอะแยะมากมาย สื่อพวกนั้นเป็นสื่อที่มนุษย์ประกอบสร้างขึ้นมาผ่านงานโปรดักชั่นเขาก็จะมีเจตนาที่จะทำให้ สมมติว่าเป็นเกมส์ เป็นการ์ตูนมีคลิปคอนเทนต์ ยูทุปเบอร์ สื่อพวกนั้นมีเจตนาหลายอย่างที่มันสลับซับซ้อนจังหวะการเล่าเรื่อง การหวังยอดวิวโฆษณา ดราม่า มีเจตนาแฝง เจตนาเหล่านั้นเป็นเจตนาประกอบสร้าง

แต่ผู้ผลิตตุ๊กตาขึ้นมาตัวหนึ่งเพื่อวางขายแล้วลูกก็บอกว่าอยากได้ตุ๊กตา หรือแม่ซื้อตุ๊กตาให้ลูก ตุ๊กตาเหล่านั้นไม่มีเจตนาอะไรอีก ตุ๊กตาไม่รู้ตัวเองว่าเป็นตุ๊กตามันไม่มีเจตนาของผู้สร้างอีกต่อไป มันก็คือตุ๊กตาผ้ายัดนุ่นยัดเส้นใยอะไรที่ดูนุ่มๆ ดูน่ารัก สมุดภาพเจตนาของผู้สร้างก็เป็นแบบนี้ แต่ผู้สร้างนิทานไม่สามารถไปคอนโทรลอย่างอื่นได้อีก ไม่บอกว่าต้องอ่านกี่โมง ต้องอ่านหน้านี้ก่อน ผู้สร้างแค่วาดภาพ หรือตัวต่อจิ๊กซอว์ บล็อกไม้ ก็คือซื้อไปต่อ

สื่อร้อน สื่อเย็น

ฉะนั้นดิจิทัลเป็นสื่อที่มีลักษณะที่ร้อนหมายถึงว่าค่อนข้างที่จะเปิดปุ๊บติดปั๊บตัวมันร้อนได้เอง ได้ที่แล้วมันก็ร้อนเองกดเพลย์ เสียบปลั๊กปุ๊บมันก็ไหลไปเลย 5 นาที 10 นาที 20 นาที 2 ชั่วโมง แต่ว่ากลอง เปียโน มันวางอยู่เฉยๆ ตัวมันเย็นมันไม่มีปลั๊กให้เสียบ มันไม่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีอัลกอริทึม ไม่มีกดเพลย์ กลองเด็กก็ต้องตีถ้าหยุดตีคือเสียงไม่ดัง ดินน้ำมันวางอยู่เฉยๆ ถ้าไม่ปั้นมันก็อยู่ฟอร์มเดิม สมุดนิทานเล่มเล็กๆ 12 หน้า 8 หน้า ไม่เปิดอ่าน ถ้าง่วงนอนอ่านได้ไหม ไม่ได้ ฉะนั้นสื่อพวกนี้เราเรียกว่าสื่อเย็น

เด็กปฐมวัยการใช้สื่อเย็นสำคัญมากเพราะว่าหลังจากที่เขาประมาณ 3 ขวบที่เขามี Autonomy ก็คือทำเอง Autonomy คือความรู้สึกเอกอิสระอยากจะทำนู้นทำนี่ แม่ไม่เอาหนูอยากทำเอง แม่บอกอย่าลูกเดี๋ยวเกิดความเสียหาย ไม่ได้ครับปล่อยไป สื่อพวกนี้ ตุ๊กตาไม่เล่นกับเขาแต่เขาเล่นกับตุ๊กตาเด็กจะได้ใช้จินตนาการขึ้นเองไม่มีใครบอกบท ไม่มีสคริปต์ ไม่มีตัดต่อ ไม่มีใครบอกแอคชั่น เล่นยังไง คือเด็กจะเป็นโปรดิวเซอร์ของการเล่น เด็กเป็นผู้รังสรรค์การเล่นนั้นด้วยตัวเองซึ่งจะดีกับการพัฒนาเซลล์สมองเครือข่ายเส้นใยประสาทจะเชื่อมต่อเซลล์นี้กับเซลล์นี้เด็กต้องคิดริเริ่มขึ้นเองในการเล่น

ถ้าเราหยิบยื่นสื่อที่เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือเปิดการ์ตูนหนังยาว หรือเปิดคลิปเปิดซีรีย์หรือแม้กระทั่งการเปิดเสียงทีวีที่บ้านทิ้งไว้ เพราะเดี๋ยวนี้โควิดต้องรับข้อมูลข่าวสารเยอะๆ ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้เป็นอย่างไร วัคซีนมาแล้วหรือยัง ยอดผู้หายป่วย กลับบ้านเท่าไหร่ เรามนุษย์แม่มนุษย์พ่อ มนุษย์ลุง ป้า น้า อา ในบ้าน ซึ่งไม่ดีลองคิดดูว่าเวลาที่เด็กไปโรงเรียนอนุบาลหรือศูนย์เด็กเล็กหรือ Pre-School โรงเรียนจะเงียบแต่ที่บ้านจะ โช้ง เช้ง ล้งเล้ง ตลอดเวลา เดี๋ยวคนนู้นเดี๋ยวคนนี้เข้า เปิดข่าวเปิดทีวีตลอด พ่อแม่ Work from Home ประชุมออนไลน์

คิดดูสิว่า Noise ตลอดเวลา เหล่านี้เป็นตัวทำลายภาวะความสงบ เด็กจะไม่ได้ยินเสียงตัวเองเด็กจะรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงที่อยู่ในสมองไม่ได้ยินเสียงของความต้องการของเขาเพราะว่าข้างนอกมันดังไปหมด เพราะฉะนั้นลักษณะของดิจิทัลก็คือว่ามันนำพาเราแต่ถ้าเด็กเล่นของเล่นที่ไม่ได้ใส่ถ่านไม่ได้มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้มีประจุไฟฟ้าเปิดปิดแบตเตอร์รี่พาวเวอร์

ตัวพาวเวอร์ที่แท้จริงคือตัวเด็กที่จะต้องนำพาสมาธิเหล่านี้เขาเรียกว่าเป็น Active concentration คือเด็กมีสมาธิเชิงรุก เพราะเด็กต้องไม่ง่วงเหงาหาวนอน เด็กต้องนั่งแบบกระตือรือร้น เด็กต้อง Move forward ก็คือ เขาเรียกว่าไม่นั่งพิงเก้าอี้ คือถ้าดูทีวีก็จะนั่งพิงเก้าอี้ นอนบนโซฟา เอื่อยเปื่อยเรื่อยแฉะ แล้วก็ Sedentary คือมีพฤติกรรมนั่งเนื่อยนิ่ง

สื่อเย็นดีกับพัฒนาการ

แต่ถ้าเด็กใช้สื่อเย็น เช่น สนามเด็กเล่น เครื่องปีนป่าย ขี่จักรยาน ตัวต่อเลโก้ บล็อกไม้ ดินน้ำมัน บ่อทราย สระน้ำ อะไรแบบนี้เด็กต้อง Energy เด็กใช้สื่อเย็นแต่ตัวเด็กจะร้อนต้องเคลื่อนไหว ต้องมี Movement มันดีสำหรับเด็กเพราะว่าเขาได้ฝึกกำลังกายกล้ามเนื้อ Autonomy ของเขาจะชัด Autonomy ก็คือมี Will ความตั้งใจจะทำแต่พอเปิดสื่อดิจิทัล Will มันไม่มี เพราะมันเข้าสู่การนั่งเนื่อยนิ่งไม่มีเจตนาที่จะทำอะไร แต่ถ้าเดี๋ยววาดรูป เดี๋ยวไปเล่นตัวต่อ เดี๋ยวไปเล่นของเล่นไม้ เดี๋ยวไปเล่นไซโลโฟน เด็กจะมี Will มีเจตนาที่จะทำ จะออกตลอดเวลา นั่นคือการตอบสนองตามลักษณะพัฒนาการแล้ว

พอเข้าสู่ช่วงวัย 4-6 ขวบ ก็จะลักษณะ Stage ที่ 3 ก็คือความคิดริเริ่มเพราะฉะนั้นคุณดอยลองคิด เรามีลูกสาววัยใกล้เคียงกัน ลูกสาวผมเป็น ช่วงโควิด คุณพ่ออยู่บ้านแล้วไม่มีอะไรทำ มันเบื่อ พ่อแม่ก็พยายามหานู้นนี่ให้ทำ กะละมัง หม้อ ไห ขวดน้ำ เอามาเล่นหมดแล้วทุกอย่าง ของเล่นที่ซื้อมาก็ให้เล่น ของที่ไม่ให้เล่นก็ให้เล่นหรือนอกบ้านถ้าใครมีพื้นที่ก็พยายามที่จะให้พื้นที่

เช่น เตะฟุตบอล ขี่จักรยาน ขุดดิน ขุดทราย นึกๆ เบื่อเขาก็ถามว่าสมัยเด็กๆ พ่อเล่นอะไร ผมก็บอก พ่อก็เล่นแบบนี้ละเห็นต้นไม้ก็ปีน ต้นฝรั่ง ต้นชมพู ต้นมะม่วง พ่อก็ปีนอยู่ทั้งวันละ เพราะฉะนั้นเราคิดว่าธรรมชาติก็คือสื่อ ท่านใดที่บ้านมีพื้นที่ ที่บ้านสามารถเข้าถึงพื้นที่อากาศได้ เหล่านี้คือสื่อทั้งหมด แล้วถ้าเราโฟกัสอยู่ที่สื่อปฐมวัย เด็กปฐมวัยไม่จำเป็นเลยที่ต้องใช้สื่อดิจิทัล

รับมือเท่าทันสื่อ

ผมว่า 8 ใน 10 ของพ่อแม่ส่วนมากเป็นเหมือนคุณดอย บางครั้งผมก็หลุดขนาดเราว่าเราแม่นบางครั้งเราก็หลุดอยากจะใช้สื่อซึ่งจริงๆ ผลดีผลเสียมันมี การดูการ์ตูนการเล่นเกมหรือได้ดูหนังเรื่องยาวดูคลิปดูเพลงมิวสิควีดิโออะไรแบบนี้ พอเรายกมันไปเป็นสถานะของรางวัล เด็กก็จะรู้สึกว่าระบายสีน่าเบื่อ นั่งเรียนออนไลน์น่าเบื่อ ล้างจานน่าเบื่อ รดน้ำต้นไม้น่าเบื่อ ถ้าทำสิ่งนี้ สิ่งนี้เพ่อบอกถ้าทำเสร็จเดี๋ยวจะได้ดูการ์ตูนเด็กจะยก 2 กิจกรรมนี้ให้คุณค่าไม่เท่ากันก็จะกดคุณค่าของงานบ้าน

กิจวัตรประจำวัน ระบายสี ปั้นดินน้ำมัน กินข้าว น่าเบื่อแต่ว่าถ้าได้ดูการ์ตูนก็จะดีขึ้น เขาก็จะมองว่าสิ่งนี้มี Value หรือมีคุณค่ามากกว่าดีกว่า เพราะว่าตั้งเงื่อนไข Before and After แต่ถ้าเราพูดใหม่ว่า การ์ตูนก็ดูได้ แต่วันหนึ่งจะดูได้หลังจากที่ทำเรื่องอื่นเสร็จแล้ว และการ์ตูนก็ไม่ใช่กิจกรรมที่ดีกว่าอย่างอื่น

บางทีผมก็เปลี่ยนแปลงคือวันนี้ถ้าเราทำนู้นทำนี่เสร็จ เรากินข้าวเร็วนะ วันนี้พ่อจะอ่านการ์ตูนนิทานให้ฟัง ผมก็ต้องยกเปรียบเทียบว่ามีกิจกรรมอย่างอื่นที่อยู่ในสถานภาพที่เป็นรางวัลเหมือนกัน เช่น วันนี้จะอ่านนิทานให้เป็นพิเศษคนละ 3 เรื่อง เด็กก็จะดีใจไปหยิบนิทานมาถือ 3 เรื่อง เขาก็จะหยิบเรื่องที่เขาอยากอ่าน

กฎที่คุณพ่อคุณแม่ท่องไว้ก็คือว่า

1.ดิจิทัล Content หรือการ์ตูนจะต้องไม่ถูกยกสถาปนาเป็นรางวัล

มันต้องปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องปกติเหมือนกิจกรรมอื่นๆ จะต้องไม่ตั้งมาเป็นเงื่อนไข

2.พัฒนาการของเด็กที่เรามุ่งเน้นที่จะพัฒนาคือว่ามันไม่มีคำว่าพัฒนาการเร็วไป

พัฒนาการเร็วไปไม่ได้ว่าดี พัฒนาการล่าช้ามีปัญหา พัฒนาการที่ดีคือพัฒนาการสมวัย และในช่วงเด็กปฐมวัยสิ่งสำคัญคือ เล่นและกิจวัตรประจำวันไม่มีการเร่งเรียนรู้ ไม่มีเร่งเรื่องวิชาการ

สมมติถ้าเขาไม่ได้เล่นหมดชั่วโมงของการเล่นแล้ว 45 นาทีนี้ 30 นาทีนี้ คุณแม่ WFH คุณพ่อคุณแม่ควร WFH ประชุมหรือทำงานทีละประมาณ 45 นาทีก็พอพยายามลุกขึ้นมาดูลูกไม่ใช่ว่าแม่ WFH 9.00-12.00 น. ไม่ได้นะ คุณแม่ WFH คุณพ่อแยกกันคนละห้องแล้วลูกอยู่อย่างไร ลูกต้องการเวลาและการสนใจจากเรา เพราะฉะนั้นจัดสมดุลเวลาหน่อย บอกในที่ประชุมเราประชุมกันสั้นดีไหม 45 นาที

เพราะว่าเราไม่ได้เป็นคนทำงานอย่างเดียวนะ เราเป็นมนุษย์พ่อมนุษย์แม่ เรามี 2 บทบาท อย่าง 11.30 น. ผมต้องลงไปเตรียมอาหารแล้วนะ พอเที่ยงภรรยาผม WFH ก็คือกล่อมนอนเราก็ต้องสลับบทบาทกัน นโยบาย WFH ต้องมาด้วยนโยบายที่มีความเป็นมนุษย์ เช่น WFH with humanity เราก็ต้องคำนึงถึงว่าบางคนต้องดูแลพ่อแก่ แม่เฒ่าเป็นผู้ป่วยติดเตียง เราอยู่ในสังคมสูงวัย เราจะมานั่งทำงาน 9.00 – 12.00 น. เป็นไปไม่ได้ 11.30 น. เราก็ต้องไปเตรียมหุงหาอาหารแล้วมื้อเที่ยงจะกินอะไร อาบน้ำตอนเที่ยงกล่อมเข้านอน นอนตอนที่ยงก็สำคัญ WFH ไม่ได้หมายความว่า 9.00-12.00 น. หรือ 13.00-17.00 น. มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้แค่ดูแลลูก ดูแลตัวเราเองก็ด้วย เพราะฉะนั้นสรุปคือ

เทคโนโลยีใช้ได้แต่ต้อง...

1.อย่าให้มันเป็นรางวัล

2.อย่าให้มันเป็นเงื่อนไข

3.อย่าให้รู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องใช้

เช่น เร่งเท่าทันคนอื่น ให้ทันสมัยเดี๋ยวลูกจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง บอกเลยว่าไม่จำเป็นพัฒนาการ 0-6ปี ไม่จำเป็นต้องใส่เทคโนโลยีเข้าไปในเด็กก็ยังได้ ไม่ต้องใช้เลยก็ได้ เพราะว่าความลับของทุกๆ เทคโนโลยีคือถูกออกแบบมาให้ใช้ง่าย ใช้วันนี้พรุ่งนี้เป็น

การที่ลูกจิ้ม I-Pad กดปุ่มคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ใช่ Skill ไม่ใช่ทั้ง Hard Skill / Soft Skill เลยในเด็กปฐมวัย เด็กปฐมวัยไม่มี Indicator ตัวบ่งชี้เหล่านี้เลย จนกว่าเขาจะไปเรียนชั้นประถมศึกษา คอมพิวเตอร์เปิดอย่างนี้ รู้จัก Digital literacy แต่ถ้าไปโฟกัสเด็กปฐมวัยทิ้งมันไปเพิกเฉยไปเลย หนังสือ สมุดภาพ ผนังบ้าน ประตู ห้องนอน เขียนรูป ทุกอย่างต้องเล่นได้

เทคโนโลยีถูกออกแบบมาเพื่อให้ User อย่างเราๆ ใช้ง่ายที่สุดไม่มีเทคโนโลยีไหนออกแบบมาแล้วมีคัมภีย์ 300 หน้า แล้วคุณต้องไปอ่าน 30 ชั่วโมงก่อนถึงจะมาใช้อุปกรณ์นี้ได้ ลองนึกถึงเราซื้อโทรศัพท์มือถือ ซื้อคอมพิวเตอร์มามีคู่มือมาคุณดอยเคยอ่านก่อนไหม ต้องอ่านจบให้เรียบร้อยแล้วค่อยเอามือถือมาชาร์จไหม ลักษณะของเทคโนโลยีออกแบบมาตาม User Friendly คือ ออกแบบให้เป็นมิตรกับผู้ใช้ เพราะฉะนั้นเด็กๆ จำเป็นต้องเขียนอัลกอริทึ่มในสมองตัวเองก่อนก็คือ หยิบนี่ โยนนู้น ปีนป่าย ดึงตัวเองขึ้นแล้วก็ Falling ลงมาแรงโน้มถ่วง แรงโยก แรงเหวี่ยง แรงหมุน แรงดึง แรงลม พวกนี้ต้องรู้จักก่อน

การเล่นกับแรงทำไมความลับของสนามเด็กเล่นคือการให้เด็กรู้จักแรงของตัวเองเพราะเด็กปีนป่ายแล้วจะเกิดความคิดเชื่อมั่นตรงที่ว่าเขามี Autonomy ได้ในการปีนป่าย เพราะฉะนั้นสนามเด็กเล่นตอนนี้ไม่มี คุณพ่อคุณแม่ทำชั้นขวนเสื้อผ้าราวตากผ้าต้องปีนได้ โหนบาร์ โหนประตู ปีนตู้หนังสือ เปลี่ยนบ้านเป็นสนามเด็กเล่น เพราะไปสนามเด็กเล่นไม่ได้ช่วงนี้ปิดหมดเลย

เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีถูกออกแบบมาแล้วโดยมนุษย์ แต่สนามเด็กเล่นธรรมชาติมันยังไม่ได้ถูกออกแบบมาเด็กจะต้องออกแบบการเล่นเอง นี่คือความลับว่าทำไมเราจะต้องชะลอเทคโนโลยีไว้ก่อน

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.17: How To ทิ้ง “จอ” จากคุณพ่อธาม

รักลูก The Expert Talk EP.17: How To ทิ้ง “จอ” จากคุณพ่อธาม

โลกดิจิตอล และโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร ที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างทุกวันนี้ อาจจะกำลังทำให้พ่อแม่กำลังหลงทิศผิดทาง พาลูกกระโจนลงไปด้วย…

แต่ในความเป็นจริง เด็กปฐมวัยยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องท่องโลกดิจิตอล เด็กควรได้เรียนรู้โลกใบเล็กๆ ของเขา ได้เติมเต็มความไว้เนื้อเชื้อใจ ให้มีความไว้วางใจในโลกใบเล็กของเขาก่อน.... จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ในโลกที่ทุกวันเด็กต้องเรียน Online!! ฟังวิธีการรับมือจาก อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

สื่อ จอ รอบตัวลูก

ผมก็เป็นมนุษย์คุณพ่อมนุษย์คุณแม่ทั่วไปที่โตมาในยุคที่สื่อเยอะมาก สื่อปัจจุบันที่เป็นเทคโนโลยีมือถือ คุณพ่อคุณแม่บางคนคิดว่าเราอยู่ในยุค 5G ยุค IT แต่ในทางนิเทศศาสตร์เราจะเรียกสื่อยุคนี้ว่า Immersive Media คือ Immersive แปลว่า จุ่มให้เปียก มีแก้วทำปากกา ดินสอหล่นลงไป ดินสอเปียก ลูกชิ้นจุ่มลงไปน้ำจิ้มลูกชิ้นเปียกน้ำจิ้ม ฟังดูไม่รู้เรื่องเลย Immersive Media ยุคนี้ก็คือยุคที่สื่อเต็มไปด้วยประสบการณ์ เต็มรูปแบบ

โทรศัพท์มือถืออยู่ในกระเป๋า ทีวีอยู่ตรงหน้า โน้ตบุ๊กอยู่ตรงนี้ tabletอยู่ตรงนั้น วิทยุก็เปิดฟัง มีสื่อเยอะไปหมดประสบการณ์ผมก็โตมาจาก Generation X ก็อายุผมประมาณ 40 เพราะฉะนั้นผมโตมาในยุคที่คุ้นชินกับการมีสื่อตั้งแต่ดั้งเดิมคือวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ผมยังไม่เป็นพ่อตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมก็จะบอกว่าประสบการณ์ในวัยเด็กของผมคือเล่นอยู่กับธรรมชาติ เล่นอยู่กับเพื่อน ในวัยเด็กการมีเพื่อนเล่นสำคัญกว่าการมีของเล่น

กุศโลบายของการละเล่นไทยก็คือการให้เด็กมีเพื่อนเล่นมากกว่ามีของเล่น ของเล่นก็มาจากธรรมชาติ ม้าก้านกล้วย ทางมะพร้าว ต้นไม้ใบหญ้า ลูกกะลา ลูกหมาก อะไรก็ตาม เล่นหม้อข้าวหม้อแกง วันนี้ผมเดินเข้ามาลูกสาวผมเขาก็มา พ่อๆ ดูนี่สิหนูเอาดอกไม้สีต่างๆ แล้วเขาก็คั้นเป็นน้ำ สีแดงมาจากดอกเข็ม สีเหลืองมากจากทองอุไร ฉะนั้นเราจะค้นพบว่าธรรมชาติของเด็กปฐมวัย ก็เหมือนธรรมชาติประสบการณ์ของผมตอนเล็กๆ ก็คือว่าเด็กปฐมวัยต้องการเรียนรู้ที่จะไว้ใจโลกใบนี้เขาต้องแน่ใจว่าโลกใบนี้อยู่รอดปลอดภัยอาศัยได้ เพราะฉะนั้นถ้าเขาไปเล่นดิจิทัลนั่นคือโรคเสมือนจริงมันเป็น Virtual World มันไม่สามารถทดแทนกับโลกจริงๆ ได้ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยก็คือ แม่มีอยู่จริง พ่อมีอยู่จริง ยายมีอยู่จริง บ้านนี้มีอยู่จริง ร้องแล้วได้กินนมมีอยู่จริง ร้องแล้วได้อกไออุ่นมีอยู่จริง เพื่อนมีอยู่จริง หิวแล้วได้กินไม่อยู่จริง

ที่นี้สำรวจโลกของเขานี่ห้องนอน นี่ห้องน้ำ ไฟมืดกลางคืนหนูไม่กล้าไปห้องน้ำไม่เป็นไรลูกลองไปห้องน้ำดูเปิดไฟห้องน้ำดู ในบ้านไว้ใจได้ หน้าบ้านไว้ใจได้ ข้างบ้านไว้ใจได้ ซอยข้างๆ ซอยนี้เดินปลอดภัย ถ้าเราเลี้ยงลูกมาในช่วงปฐมวัยเราจะเข้าใจว่า Trust ของเขาวิธีการสร้างความรู้สึกว่าเขา Trust ดิจิทัลไม่สามารถทดแทนได้เลยเพราะสิ่งแรกที่เขาต้องไว้ใจได้คือโลกใบนี้ที่เขาอาศัยอยู่ เพื่อน 4-5 คน ที่โรงเรียน คุณครูคนนี้ที่เข้าไปโรงเรียนวันแรกกลัวแต่วันหลังๆ “ครูคะ หนูปวดท้องมากเลยค่ะ” เขาต้องกล้าที่จะมอบความไว้ใจให้กับโลกใบเล็กๆ

โลกดิจิทัล

แต่ดิจิทัลไม่ใช่โลกใบเล็ก ดิจิทัลเป็นโลกใบใหญ่และเป็นโลกเสมือนจริงและเป็นโลกที่เขาไม่จำเป็นต้องไว้ใจ มันเป็นโลกห่างไกลระยะความใกล้ชิดสัมพันธ์มันไม่มี โลกดิจิทัลเราไม่รู้พูดว่ากี่เมตรแต่คุณพ่อคุณแม่คือเดินออกจากห้องนู้นเจอห้องนี้ มันพูดได้ว่าจากชั้น 1 ลงมาชั้น 2 มันมีระยะในเชิงกายภาพ เพราะฉะนั้นดิจิทัลถ้าผมแชร์ประสบการณ์ก็คือว่า

โลกของเด็กช่วงปฐมวัยที่ผมมีลูก 2 คน ต่อไปลูกก็จะออกห่างไปเรื่อยระยะเชิงกายภาพ คือ โลกที่แท้จริงที่เด็กจะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริงเขาจะต้องมีเพื่อนสนิทที่อยู่ในซอยในโรงเรียนในหมู่บ้านเดียวกันในกิจกรรมเดียวกัน เขาไม่จำเป็นที่จะต้องมีเพื่อนที่อยู่ในดิจิทัล เขาไม่จำเป็นต้องสร้างจินตนาการที่ห่างไกลมากไปกว่า Intimacy ระยะความสัมพันธ์ใกล้ชิดในความเป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้นเราถึงพูดว่ามนุษย์ในสถานการณ์โควิดจริงๆ แล้วเราไม่ต้องการ Content หรอกเราต้องการ Context มากขึ้นก็คือว่าเราต้องการบริบทว่าเรายังเป็นมนุษย์อยู่ พ่อแม่ที่คิดว่าจะเองสื่อดิจิทัลมาเพราะเราอยู่ในยุคสังคมสารสนเทศทุกคนต้องมีมือถือ มีความเร็วของอินเตอร์เนท มีความแรง บ้านไหนเข้าไม่ถึงแสดงว่าลูกฉันด้อยโอกาส ให้คุณพ่อคุณแม่ตั้งสติก่อนดิจิทัลเทคโนโลยียังไม่จำเป็นลูกของฉัน 0-6 ขวบ โลกของเขาเป็น Small World สวนสัตว์ไว้ใจได้ แปลงเกษตรชุมชน สวนบ้านท้ายสวน บ้านริม 4 5 บ้านในซอยนี้ไว้ใจได้ฝากฝังได้ ดังนั้นเราลองมองว่าโลกของเด็กยังไม่จำเป็นต้องขยายใหญ่เหมือนกับโลกดิจิทัล

อย่าเพิ่งไปสร้างโลกใหญ่ขนาดนั้น ผมจะพูดประโยคถ้าฟังแล้วคุณพ่อคุณแม่ตั้งสติให้ดี มนุษย์ไม่ได้มีวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อให้เรามีเพื่อน 1 ล้านคน เด็กไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน 1 ล้านคน เราไม่จำเป็นต้องมี follower 10,000 คน เราไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตาม 2 แสนคน เด็กปฐมวัยจำเป็นที่จะต้องไว้ใจคนในครอบครัว หรือมีเพื่อนสัก ป. 4-5 มีเพื่อนที่รู้จักสนิทชิดเชื้อนอนคุยบอกความลับเล็กๆ กันได้ตอนกลางวันประมาณ 2-3 คนเท่านั้นเอง อย่าลืมว่าเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่เทคโนโลยีเพียงแค่ดูการ์ตูน เทคโนโลยีดิจิทัลคือสื่อสังคมที่สร้างสังคมเสมือนจริงขึ้นมาด้วย

เวลาการใช้สื่อกับลูกแต่ละช่วงวัย

โดยกฎทั่วๆ ไปวัย 0-2 ขวบ ห้ามใช้สื่อดิจิทัลเลย ใช้ได้อย่างเดียวเท่านี้คือ VDO Call จะคุยกับปู่ย่าตายายที่ต่างจังหวัดใช้ได้แค่ VDO Call นั่นคือสิ่งเดียว แต่ว่าถ้าเป็นวัย 2 ขวบเป็นต้นไปพอจะใช้ได้ที่เป็นดิจิทัลที่เป็นการ์ตูนอาจจะจำกัดเวลาระยะต่อครั้งประมาณ 10 นาที แต่ทั้งวันไม่ควรเกิน 45 นาที ถ้าเป็นเด็กเล็ก มากที่สุดที่ให้ได้คือประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวันที่เป็นดิจิทัล

เราไม่นับรวมค่าชั่วโมงพ่อแม่ต้องคิดแบบนี้ถ้าเป็นดิจิทัลคุณหมอบอก กุมารแพทย์บอก ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อบอกว่าต้องไม่เกิน 45 นาที หรือ 1 ชั่วโมงต่อวัน ที่นี้กิจกรรมอื่นๆ การเล่นดินน้ำมัน การไปสนามเด็กเล่นไม่นับเป็นชั่วโมงการเล่นใช้สื่อเลย คุณแม่บ้างคนบอกแล้วเรียนออนไลน์นับด้วยไหม ไม่นับ เรียนออนไลน์ไม่นับคุณครูจะเรียกเข้ามาเจอเพื่อนกี่นาทีก็ต้องไม่นับ

เพราะฉะนั้นนับชั่วโมงจะเป็นแบบนี้ 0-2 ขวบ ใช้ไม่ได้ / 2-4 ขวบ วันละประมาณ 35-45 นาที พอไปถึง 6 ขวบ ไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมง จำนวนที่ผมพูดเมื่อกี้คือจำนวนที่เป็นดิจิทัลที่เป็น Content ที่เป็นทีวีออนไลน์ ที่เป็นการ์ตูน ที่เป็นคลิป คำแนะนำอื่นๆ เช่น ถ้าพ่อแม่อยากเปิดการ์ตูนให้ลูกดูต้องเป็นเรื่องสั้นๆ หรือมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน การ์ตูนค่ายใหญ่ๆ ทำการ์ตูนหนังยาวปกติการ์ตูนเหล่านั้นไม่เหมาะกับเด็กต่ำกว่า 7 ขวบ

เพราะว่าวัย 0-6 สิ่งที่เขาจะเรียนรู้มีแค่เรื่องกิจวัตรประจำวันเรื่องของเหตุการณ์ในชีวิตจริง เขายังไม่พร้อมที่จะไปแฟนตาซี ความแฟนตาซีคือจินตนาการเรื่องที่ต้องแฟนตาซีเรื่องที่ surreal เหนือชีวิตมากเกินไปเขาจะไม่คุ้นชิน ซินเดอเรลล่า สโนวไวท์ ทำไมเปิดฉากมามีแม่เลี้ยงแล้วก็ต้องทำงานบ้าน เพราะแม่มีอยู่จริงถึงจะแม่เลี้ยงใจยักษ์แต่ว่างานบ้านก็มีอยู่จริงเหมือนแม่ด้วย

เพราะฉะนั้นเหตุผลที่เราบอกว่าจำนวนชั่วโมงที่เราพูดกันก็คือจำนวนชั่วโมงของการใช้สื่อแต่จำนวนชั่วโมงที่สำคัญกว่าก็คือไม่ใช่ Screen Time แต่เป็น Play Time หรือ Face Time ก็คือจำนวนชั่วโมงที่ตามองตาเราคุยกันโอบกอดกันใกล้ชิดกันอย่างนี้สำคัญ Face Time สำคัญ Screen Time อย่าเกิน 1 ชั่วโมง Play Time สำคัญด้วยคือเวลาที่เล่นด้วยกันจริงๆ แล้ว Play Time ไม่ต้องไปนับเลยกี่ชั่วโมงเล่นลูกเดียว คือมีลูกกี่คนก็เล่นกับลูกอย่างเดียวเลย เพราะฉะนั้นจำนวนชั่วโมงที่จะใช้คำถามของพ่อแม่ก็คือในช่วงนี้ Screen Time อาจจะเสี่ยงมากขึ้นเด็กอยู่บ้านมากขึ้น

ลูกสาวผมก็เป็นผมแชร์ประสบการณ์ก็คือไม่อะไรทำวิธีการที่ผมใช้คือจะให้ทำกิจกรรมคือวาดรูปก่อนวาดนู้นวาดนี่ ผมจะไม่ได้ให้ดูสื่อทุกวันถ้าจะให้ดูจะ Fix คือให้ดูอยู่กับที่การ์ตูนจะไม่ตามเราไปในรถยนต์ การ์ตูนจะไม่ตามเราไปทะเลไม่ตามเราไปน้ำตก ไม่ตามเราไปตลาดไม่ตามเราไปนั่งรอเบื่อๆ การ์ตูนจะอยู่กับที่อยู่ที่จอทีวีจอใหญ่ พอลูกติดกับดักเสร็จแล้วลูกเรียกร้องอยากจะดูจะทำอย่างไร

อยากจะดูบนรถไม่อนุญาตให้ดูบนรถมันคือเมื่อไหร่ก็ได้ยิ่งไปตอบสนองความเมื่อไหร่อย่างไรก็ได้มันก็จะมาบ่อยๆ เหล่านี้เป็นเทคนิคที่ผมใช้ ยอมรับว่าเทคนิคพวกนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านมีระเบียบวินัยสไตล์การเลี้ยงลูก

0-2 ขวบ ไม่ควรใช้เลย ยกเว้น VDO Call

2-4 ขวบ ไม่เกินวันละ 30 นาที

4-6 ขวบ ไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมง

และทั้งหมดที่พูดไปก่อนการนอนครึ่งชั่วโมงห้ามใช้เด็ดขาด วันนี้หนูยังไม่ดูเลยขอดูก่อนนอนได้ไหม แต่หนูกำลังจะนอนแล้วนะลูกใช้ไม่ได้ กิจกรรมก่อนนอนควรเป็นกิจกรรมที่ไม่มีแสงสีฟ้าจากหน้าจอ นาที16.57 จำนวนชั่วโมงสะสมได้ไหม ลูกเจ้าเล่ห์เจรจาต่อรองเมื่อวานไม่มีสักชั่วโมงวันนี้ขอสองชั่วโมงได้ไหม ไม่ได้เรื่องนี้ไม่ใช่คูปองสะสมนะลูก ห้ามใช้ระบบสะสม ระบบคูปองกับลูก บางบ้านก็มีทริคแปลกๆ แต่ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี เช่น

ถ้าทำดีติดดาวแล้วหนูมาขออะไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นขอดูการ์ตูนได้ไหม เห็นไหมเขาให้คุณค่าการดูการ์ตูนกลายเป็นเรื่องดีกว่า ระบบพวกนี้เน้นว่าต้องเพลาๆ หน่อย พอโตไปจะไปสร้างแรกจูงใจที่ผิดจะทำดีสำหรับตัวเองกิจวัตรประจำวันไม่บกพร่องก็ต้องมีเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาล่อลวงล่อหลอกคืออย่าไปวางเล่ห์กลกับลูกมาก ลูกก็จะเลียนแบบรู้จักเล่ห์กลภายหลังเราก็จะปวดหัวฉันไม่น่าวางกฎไว้แบบนี้เลยแล้วลูกก็เอามาย้อนรอยเราทีหลังในที่สุด

เพราะฉะนั้น 0-2 ขวบ ไม่ควรใช้เลย ใช้ได้เฉพาะVDO Call โควิดห่างไกลกันแบบนี้โทรติดต่อกันได้กับปู่ย่าตายาย 2-4 ขวบ วันละ 30 นาที 4-6 ขวบ ไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมง หลัง 2 ทุ่ม หรือครึ่งชั่วโมงก่อนอนไม่ควรใช้เลย วันเสาร์อาทิตย์ถึงจะบอกว่านอนดึกจริงๆ แล้วกิจกรรมที่ดีที่สุดสำหรับเสาร์อาทิตย์คือกิจกรรม Outdoor Intimacy ใกล้ชิด Interaction ปฏิสัมพันธ์ 2 In นี้สำคัญที่ต้องบ่มเพาะในเด็ก สัมพันธ์ใกล้ชิดและให้ปฏิสัมพันธ์ที่เป็นมนุษย์จะดีกว่า

เลือกสื่อเหมาะกับวัย

รายการทีวีที่ออนแอร์รายการนี้ต่อรายการนี้ผมจะไม่ให้ดูเพราะว่าดูจบแล้วหยุดไม่ได้เพราะลูกจะเห็นว่ามีรายการถัดไปเพราะฉะนั้นการดูแบบออนแอร์บ้านผมจะไม่ไห้ดู ผมจะไม่เปิดทีวีทิ้งไว้เพราะลูกจะรู้สึกว่าทีวีเป็นเรื่องปกติ ทีวีไม่ใช่เรื่องปกติก่อนหน้านี้เราไม่มีทีวี ถ้าจะเปิดให้ดูจริงๆ ผมจะเปิดออนดีมานในยุคนี้เราเปิดออนดีมานได้แต่ทีวีหรือสื่อดิจิทัลจะเป็นเบื้องหลังก่อนเพราะว่าผมจะลงทุนกับหนังสือการ์ตูนหนังสือนิทาน

ถ้าจะต้องเปิดจริงๆ สมมตินิทานอ่านแล้วหรือวันนี้ผมหมดแรงแล้วแม่ก็หมดแรงด้วยต้องใช้ตัวช่วยผมจะเลือกออนดีมานคือการ์ตูนที่สามารถจะเปิดเมื่อไหร่ก็ได้หยุดเมื่อไหร่ก็ได้ และจบก็คือจบ จบเป็นตอนๆ ไป การ์ตูนที่เลือกก็ให้ต่ำกว่าวัย 7 ขวบ ถามว่า 5 ขวบดูต่ำกว่า 7 ขวบได้ไหม ดูได้ การ์ตูนที่ผมมักเลือกมีเนื้อหาไม่แฟนตาซีแบบ Surreal

ผมจะเน้นเรื่อง Child Center คือเกี่ยวกับเด็กเป็นหลัก เช่น เรื่องการผจญภัย DORA หรือ Puffin Rock สำหรับเด็ก 3-4 ขวบ หรือดูการ์ตูนที่เป็นเรื่องสั้นๆ การ์ตูนที่ไม่มีคำพูดและตัดภาพเร็ว บางคนสงสัย คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้นะ การ์ตูนที่ตัดภาพเร็ว การ์ตูนที่ดี

สำหรับเด็กปฐมวัยคือไม่ตัดฉากเร็วเพราะเด็กยังคงต้องการ Mapping ในสมองว่าตรงนี้เกิดขึ้น ตรงนี้เกิดขึ้นเหมือนเราดูสมุดนิทานภาพ เพราะฉะนั้นถ้าจะต้องดูซินเดอเรลล่าผมจะเลือกนิทานก่อน 36 หน้า เลือกนิทานที่ตัวอักษรน้อยเพราะผมต้องเล่าเองก่อน ถ้าจะต้องดูการ์ตูนจากจอทีวีจริงๆ จะเลือกทีมีความยาวต่ำกว่า 20 นาที เพราะว่าเด็กมี concentration

ดูเป็นตอนๆ สั้นๆ

ในช่วงปฐมวัยในช่วง 3-4 ขวบ ประมาณ 35 นาทีเต็มที่แล้วลากกว่านั้นสมองจะล้า เพราะฉะนั้นเทคนิคก็คือดูเป็นตอนๆ สมมติการ์ตูนยาวมากผมจะให้ดูเป็นพัก แล้วก็จะนั่งดูไปกับลูกเสมอเพื่อบ่งชี้อธิบายฉากบงฉากที่เขาไม่ทันหรือตีความไม่ได้การรับรู้ของเด็กตีความได้ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่

เพราะฉะนั้นพ่อแม่นั่งอยู่ข้างๆ โซฟาเป็นสิ่งจำเป็นมากพ่อแม่บางคนบอกเปิดดูการ์ตูนแล้วฉันก็สบายใจฉันจะไปทำงานไม่ต้องมานั่งดูลูก การนั่งทำงานอยู่กับลูกคือสาระสำคัญพ่อแม่บางคนบอกเปิดการ์ตูนไว้แล้วสบายใจ อย่าทิ้งลูกไว้กับทีวี ถ้าเป็นไปได้ปล่อยทีละ 35 นาทีหยุดก่อน

เพราะว่ามันออนดีมานเราสามารถกดหยุดได้ เอาละแม่ว่าน่าจะพอก่อนนะเรื่องมาถึงตรงนี้ทบทวนดูสิว่าเป็นอย่างไรพรุ่งนี้มาดูต่อถ้าเป็นเรื่องยาว แต่อย่างที่บอกเด็กปฐมวัยเขาอยากดูอะไรที่มันสั้นๆ 10 นาทีกำลังดี เลือกสีที่ไม่ฉูดฉาด เลือกสีละมุนละม่อมสีที่มันเป็นธรรมชาติ จังหวะเล่าเรื่องไม่เร็วเกินไปไม่มีแสงตัดวูบวาบไม่มีเสียงดังอึกกะทึกไม่มี Visual Graphic ที่เยอะแยะมากมาย

แต่การ์ตูนที่เล่าเห็นในปัจจุบันมันตัดภาพเร็วเกินไปนั่นคือแรกที่จะสกรีนก่อน เพราะฉะนั้นเทคนิคสำหรับผม ผมจะดูก่อนภาพ เนื้อเรื่องเหมาะสมไหม ปัญหาอย่างมากที่พ่อแม่นึกไม่ถึงนี่เป็นกับดักเลยพ่อแม่คิดว่าการ์ตูนก็คือวาดแอนิเมชั่น เป็นภาพวาดการ์ตูนระบายสี ตัวละครคาแรคเตอร์เป็นการ์ตูนปลอดภัยจริงๆ ไม่ใช่

ในเด็กปฐมวัยพ่อแม่ต้องดูมากกว่านั้นคือจะต้องดูโครงเรื่องเส้นเรื่องพลอตเรื่องคาแรคเตอร์ของการ์ตูนดูสาระสำคัญของการ์ตูนว่ามีเหตุการณ์ สถานการณ์อะไรแล้วเรื่องเหล่านั้นที่กำลังฉายอยู่เป็นเรื่องที่เหมาะกับเด็กปฐมวัยหรือเปล่า เพราะการ์ตูนหลายเรื่องภาพวาดดูเป็นการ์ตูนจริงแต่เรื่องราวเนื้อหามันไม่ใช่สำหรับเด็กปฐมวัย เพราะฉะนั้นต้องสกรีนเอาออกไปยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องดู

พ่อแม่ = สื่อที่ดีที่สุด

อันนี้เป็นเทคนิคที่ผมให้เวลาคุยกับลูกซึ่งผมก็จะพูดว่าการ์ตูนเรื่องนี้หนูยังอายุไม่ถึง ตอนนี้หนู 4 ขวบ อันนี้เขาบอกว่า 7 ขวบ แล้วพ่อดูแล้วเนื้อหายังไม่เกี่ยวข้องกับวัยหนู อย่าเพิ่งดูดีกว่าเดี๋ยวเราหาเรื่องอื่นดีไหม สัปดาห์หนึ่งจะไม่ได้ดูทุกวันจะดูวันศุกร์กับวันเสาร์เท่านั้น สไตล์การเลี้ยงลูกของพ่อแม่สำคัญลักษณะงานของพ่อแม่ การมีเวลาหรือไม่มีเวลาของพ่อแม่อันนี้ก็สำคัญมาก

แต่ลักษณะที่สำคัญน้อยและไม่ค่อยเกี่ยวข้องแล้วพ่อแม่อย่าเพิ่งหามาเป็นเหตุข้ออ้างคือความรู้เรื่องนี้ฉันไม่มี จงนึกไว้ก่อนว่าตัวเองคือเทคโนโลยีสิ่งที่สำคัญที่ลูกจะเล่นได้ บางวันผมนึกไม่ออกลูกสาวก็มาเกาะแกะปีนหลังวันนี้คุณพ่อเป็นควายให้หน่อยก็คือผมต้องลงไปนั่งคุกเข่าแล้วให้ลูกสองคนปีนแล้วก็เล่น

เห็นไหมว่าร่างกายของพ่อแม่ก็คือสนามเด็กเล่นของลูก หลังบ่าไหล่คอแขนขาในวันที่สนามเด็กเล่นทำไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องแข็งแรงร่างกายกระดูกทุกอย่างใช้กำลังวังชาจงใช้พื้นที่ร่างกายเพื่อเป็นสนามเด็กเล่นให้ลูกทุกวันนี้ผมก็ทำอยู่แล้วรู้สึกว่าลูกยิ้มได้ อันนี้เราพูดถึงเด็กเล็กนะ 4-5 ขวบ เขายังสนุกกับเราอยู่ ฉะนั้นฉกฉวยเวลาพวกนี้เอาไว้ วันหนึ่งที่ลูกไม่เล่นกับเราจะรู้สึกอย่างไร จริงๆ

แล้วผมใช้ความเป็นพ่อมากกว่านักวิชาการนะสัญชาตญาณความเป็นพ่อจะมากกว่า เวลาเราเลี้ยงลูกเราจะรู้สึกว่าความรู้เอาไว้ก่อนเพราะลูกแต่ละคนคาแรคเตอร์ไม่เหมือนกันจริตจิตวิทยาแต่ละคนไม่เหมือนกันฉะนั้นใช้สัญชาตญาณของความเป็นพ่อเป็นแม่เรียนรู้จากลูกใช้ความรักเยอะๆ ให้เวลาเยอะๆ รับรองไม่มีผิดพลาด

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.18: “สมอง” สนองสื่อแบบไหน กับ อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

รักลูก The Expert Talk EP.18: “สมอง” สนองสื่อแบบไหน กับ อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

สมองของเด็กปฐมวัยมีค่าและมีเวลาทองที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ หากเราพลาด ละเลย หรือไม่เข้าใจการทำงานของสมอง ก็อาจจะทำให้พลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย มาฟังกันว่าแล้วสมองต้องการสื่อแบบไหน กิจกรรมแบบไหนที่สมอง need มากที่สุด โดย อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

การเรียนรู้ภาษาของเด็ก

ปกติเวลาเราพูดว่าปัญหาออทิสติกที่ไม่ได้มาจากยีนไม่ได้มาจากพันธุกรรมที่พูดถึงปัญหาออทิสติกเทียมที่มาจากสื่อ พัฒนาการล่าช้าที่เราเจอเคสกันในทางการแพทย์ ส่วนใหญ่พัฒนาการล่าช้าทางด้านภาษา ทางด้านสังคม พอพัฒนาการช้าทางภาษาก็จะไม่ได้เรียนรู้กับมนุษย์เพราะพัฒนาการแรกๆ ของเด็กปฐมวัยคือเรียนรู้ทางจากภาษาเป็นหลัก

ภาษาคือเครื่องมือหลักในการที่จะเรียนรู้ทำความรู้จัก ภาษาไม่ใช่เพียงแค่ Verbal คำพูด ภาษายังคงหมายถึงสีหน้า แววตา ท่าทาง อารมณ์ บรรยากาศมาคุ บรรยากาศแฮปปี้ เสียงของพ่อแม่ phonic สัทศาสตร์ สำคัญหมด เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีไม่ได้สิ่งเหล่านั้น

เวลาเราบอกว่าพ่อแม่ให้เด็กดูการ์ตูนที่เป็นภาษาอังกฤษแล้วพ่อแม่บอกว่าลูกพูดภาษาอังกฤษเองได้ อันนั้นไม่ใช่การเรียนรู้ภาษาที่ถูกต้อง การเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติของมันคือ Two Way Communication สื่อสารสองทาง ถามไป รอคอย ประมวลผล ตอบกลับ > ตอบกลับ ประมวลผล โต้ตอบ การพูดคุยโต้ตอบสื่อสารระหว่างพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กที่พ่อแม่เล่น จ๊ะเอ๋ ก็คือ การมี การหาย เสียงของพ่อจำได้ แล้วก็เด็กเล็กๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตดีๆ ลูกจะอ่านปากในวัยตั้งแต่ 0-3 ขวบ ลูกจะอ่านปากก็คือการเห็นริมฝีปาก

เพราะฉะนั้นพูดช้าๆ คอมพิวเตอร์ คลิปวีดิโอในยูทูป มันพูดแล้วพูดเลย กล้อง Wild Screen เด็กจะอ่านปากได้ไหม ยิ่งในแทปเล็ต ในมือถือจอมันก็ยิ่งเล็กลูกไม่มีโอกาสที่จะอ่านปาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพัฒนาการภาษาล่าช้า พัฒนาการทางภาษาจะทำงานได้ดีก็คือว่า ตามองเห็นปาก หูได้ยินเสียง ตาทำงานกับหูสัมพันธ์กัน แม่บอก ดอกไม่สีแดง ลูกบอล ลูกปิงปอง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซาลาเปา

พัฒนาการทางภาษา

วิธีการประกอบสร้างคำภาษา คือ ตามองเห็นสิ่งนั้น หูได้ยินสิ่งนั้น ตามองเห็นปากการอ่านและเห็นรูปสิ่งนั้นอยู่ มันจะไป Mapping กันในหัว แล้วถ้าเด็กทำหน้าไม่เข้าใจ พ่อแม่สามารถ Repeat ซ้ำได้ แต่ในคลิปมัน Repeat ไม่ได้ มัน Replay ได้แต่เด็กจะกดตรงนั้นไหม

การเรียนรู้ของเด็กคือการเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเลย แต่สื่อดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์ ทีวี อินเทอร์เน็ต วิทยุ เกม โทรศัพท์มือถือ ไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำงานร่วมกัน เพราะฉะนั้นปัญหาที่มักเกิดเลยในทางมิติของสมอง ก็คือพัฒนาการทางภาษาล่าช้าเพราะการเรียนรู้ภาษาผ่านอิเลคทรอนิคส์ ผ่านคลิปวีดิโอ ผ่านจอทีวี ไม่ใช่การเรียนรู้ทางภาษาแบบปกติ จึงทำให้เด็กขาดความมั่นใจในการที่สื่อความหมาย ออกเสียงได้ตามคำ และการอดทนรอคอยตีความ

ภาษามันคือการใส่รหัส ถอดรหัส แต่ในยูทูปในคลิปวีดิโอ ในสื่อสังคมออนไลน์ ในทีวี รายการโทรทัศน์ การ์ตูน มันเป็นแค่การได้ยินเสียงเฉยๆ แต่มันไม่ได้เห็น Non Verbal คือ อวัจนภาษา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราไม่ควรให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้จากสื่อดิจิตอลมากเกินไป เพราะว่ามันทำให้เขามีระบบการเรียนรู้ทางภาษา

ทำไมพัฒนาการที่สองที่ล่าช้าถึงเป็นทางสังคม เพราะมาจากภาษาล่าช้า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมการเรียนรู้ การเข้ากลุ่ม การรู้อารมณ์ กาลเทศะ หมวดอารมณ์ของพ่อแม่ รู้น้ำเสียง รู้โทน วิธีการเรียนรู้เหล่านี้เด็กจะได้เรียนรู้ทั้งภาษาทางตรงและภาษาโดยอ้อม Denotative ความหมายตรง กับ Connotative ในดิจิตอลไม่มี Connotative มีแต่ Denotative ก็คือความหมายตรงๆ ทางเดียวด้วย

ภาษาคือการ Comparative เราไม่สามารถอธิบาย ก ไก่ ได้ถ้าเราไม่มี ข ไข่ แต่ในคลิปวีดิโอ ยูทูป หรือคลิปสื่อสังคมออนไลน์ หรือว่าโซเชียลมีเดียต่างๆ มันไม่ใช่ภาษาแบบ Comparative มันคือการ Communicative เฉยๆ ฉันพูดคุณจะฟังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็เรื่องของคุณ ภาษาเหล่านั้นมันขาดบริบท ขาด Setting ขาดว่ากำลังพูดอยู่ในที่แห่งใด

ฉะนั้นเมื่อเด็กไม่ได้เอาตัวเองไปสถาปนาในเหตุการณ์ ในกาลเทศะ ในบริบท เหล่านั้น เด็กจะเรียนรู้ภาษาได้แย่มากและเมื่อเรียนรู้ภาษาได้แย่มาก การเรียนรู้ทาง Interactive ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมก็แย่ลงไปด้วย พูดคุยไม่จ้องมองไม่สบตา ในยูทูปเราจะสบตาใคร ในจอ Screen ใน แทปเลต ใน Netflix / Tiktok เราจะดูอะไรเราไม่มี Eye Contact แล้วเรากำลังมองหน้าคนที่ไม่รู้จักอยู่ด้วย

เพราะฉะนั้น Attachment หรือสายใยสัมพันธ์ก็หายไปด้วย Intimacy พวกนี้จะหายไปหมด เด็กเล็กปฐมวัยส่วนใหญ่ที่มีปัญหาก็ตั้งแต่ 0-3 ขวบ เด็กใช้สื่อดิจิทัลเร็วเกินไป แล้วก็ทำให้เวลาที่เขาเรียนรู้ แปลเจตนาความหมายทางภาษามันก็พร่องลงไปด้วย แล้วก็ส่งผลต่อพัฒนาการทางสังคม และแน่นอนเมื่อทั้งอย่างนี้ที่เป็นฐานรากหลักเสียไปก็จะส่งผลต่อ IQ สติปัญญา เพราะวิธีสร้างความฉลาดเกิดจากการเรียนรู้จากสังคมก่อน เรียนรู้ว่าอะไรทำได้ สิ่งไหนเกิดขึ้น มันเป็นเหตุผลซึ่งกันและกันในมิติเชิงสังคม

สื่อกระทบต่อสมองส่วนหน้า EF

สื่อดิจิทัลเขามีเส้นเรื่องของมันเองที่เขาทำมาแล้วคลิป 5 นาที 10 นาที 2 ชั่วโมง สมองต้องการช่วงเวลาพักคิด โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม สมองทำงานคล้ายกัน คือ มันต้องมีเวลาในการเชื่อมโยงเซลล์ประสาทต่างๆ ถ้ามันเร็วเกินไป สมองของเด็กเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ยังประมวลผลไม่ทัน ดิจิตอลเส้นเรื่องเส้นเดียวกันไม่ว่าคนจะดู คลิปนี้ วิดีโอนี้ การ์ตูนนี้ กี่ล้านคนเส้นเรื่องคือแบบเดียวกัน

แต่ถ้าคุยกับพ่อแม่ ช้าเร็ว เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน คุยกับย่าก็จะอะไรนะย่า อะไรนะปู ช้าเร็วไม่เหมือนกัน เราอยากรู้ว่าการ์ตูนเรื่องแค่ไหน กิจกรรมเพลงแบบไหนที่เราจะเปิดให้ลูกได้ วิธีการง่ายนิดเดียวดูจังหวะการก้าวเท้าเดินของลูกแล้วนับ เส้นเรื่องก็ประมาณนั้น ถ้าช้าลูกก็เดินช้าๆ เตาะแตะ ซ้ายขวา

ผมใช้เกณฑ์นี้ในการวินิจฉัย EF ของลูกต้องสัมพันธ์ในการคิดเชิงบริหารของลูกได้ ลูกไม่ใช่รีบิวต์คอมพิวเตอร์แบบนาโนเมตรการคิดคำนวน เพราะฉะนั้นต้องช้าๆ ก่อน เขาถึงพูดว่าในเด็กปฐมวัย Slow it Golden ช้าคือทองคำ เร่งคือทำลายวิธีคือของเด็ก ดิจิตอลเป็นระบบคิดที่อัลกอลิทึมคิดมาเสร็จแล้ว แต่ถ้าเด็กได้คิดเองได้ใช้สื่อเอง ได้ใช้ดินน้ำมันจับโยนวาง เล่นตัวต่อจับผิดจับพลาด tryout and Error การเรียนรู้การผิดพลาด คือสาระสำคัญของการเรียนรู้ของเด็ก

ไม่ใช่ว่าเด็กซึมซับ Absorb รับทุกอย่างดูคลิปแล้วสูบทุกอย่าง ลูกฉันต้องฉลาดแน่เพราะดูทั้งสารคดีสัตว์โลก สัตว์ป่า ลูกไม่ใช่ฟองน้ำ สมองรับได้ประมาณหนึ่งแล้วก็ต้องประมวลผลต้องเก็บนอนเอาไว้ก่อน

เพราะฉะนั้นเวลาที่หลับนอนตอนกลางคืน ความทรงจำระยะยาวถูกเขียน สมองก็จะดึงเอาความทรงจำที่มีประโยชน์ เพราะว่าอะไรละทำไมมันเป็นความทรงจำในระดับลึกละ เพราะว่ากิจกรรมนั้นเป็นกิจรรมที่ Immersive เต็มครบประสาทสัมผัส ตอนนั่งทำกิจกรรมนี้นั่งตักพ่อ พ่อโอบเห็นหน้าแม่ยิ้ม เห็นน้องหัวเราะ เห็นบรรยากาศ เหล่านี้สร้างความทรงจำไว้ทั้งหมด

แต่ถ้าเป็นดิจิทัลบริบทอื่นไม่เกี่ยว ยิ่งเด็กสวมหูฟังเล่นเกมใครเรียกไม่ได้ยิน เข้าสู่ภาวะ Voice Noise ห้องมืดไม่เห็นตัดบริบททั้งปวง เพราะฉะนั้นบริบทการเรียนของเด็กเป็นตัวช่วยประกอบสร้างประสบการณ์ให้เด็กทุกรูปแบบ ฉะนั้นคือเหตุว่าทำไม EF ในการเรียนรู้ในแบบโลกจริง โลกที่เป็น Real Experience จากการทำกิจกรรม EF เรารู้ คือ ทำงานบ้าน วาดรูป ปีนป่าย หรืออ่านนิทาน 4 อย่างนี้คือกิจกรรมที่ส่งเสริม EF ดีมากเพราะว่า 1 คือช้า 2 สร้างประสบการณ์เต็มรูปแบบ 3 Intimacy ที่เด็กได้รับตอนที่อยู่สัมผัสกับพ่อแม่ และที่สำคัญมี Interactive การ Two Way Communication เกิดขึ้นได้

พัฒนาการของสมองเด็ก

ปกติสมองก็เหมือนต้นทุนถัวๆ ไปมันมีระยะเวลาการพัฒนาของมัน เราบอกเราลองปล่อยไปเรื่อยๆ ลองดูสิว่าผล 8 ปี 8 ขวบจะเกิดอะไรขึ้น 10 ขวบจะเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยไปซ่อมตอนนั้น ประเด็นคือมันไม่ใช่ เวลาที่เราง่วงนอน 3 ติด เราขอนอน 3 วันติดชดเชย 3 วันที่แล้วได้ไหม

การนอนเป็นการพักผ่อนวันต่อวัน การกินโภชนาการของเด็กวันนี้พร่อง วันนี้ก็คือพลาด ไปเติมวันพรุ่งนี้ได้ไหม ไม่ได้ โภชนาการเด็กสำคัญมื้อต่อมื้อ การนอนสำคัญวันต่อวัน ขวดนมสำคัญกล่องต่อกล่อง พลาดแล้วคือพลาดเลย เพราะฉะนั้นสมองมีวิธีการเรียนรู้แบบนี้ พลาดแล้ววันนี้คือพลาดแล้ว พรุ่งนี้ซ่อมไม่ได้ เพราะเราเสียโอกาสพลาดแล้วคือพลาดเลย

ฉะนั้นวิธีการคือการพัฒนามิติเชิงสมองหรือคุณภาพของสมองจะต้องทำในตอนที่เป็นเด็กปฐมวัย จะไปทำตอนเด็กโตไม่ทันแล้ว เมื่อกี้คำถามคือ ก็ปล่อยให้ดูไปก่อนได้ไหม ก็ยังไม่เห็นผลกระทบ มันยังไม่เห็นตอนสิ้นวันนี้แต่มันจะค่อยๆ สะสมไป ก็จะทำให้พัฒนาการของสมองล่าช้า คุณพ่อคุณแม่ถึงมามีปัญหาพัฒนาการทางภาษา ทางสังคม ทางสติปัญญา และส่งผลสุดท้ายที่คุณพ่อคุณแม่มักเอามามหาหมอจริงๆ คือ พัฒนาการทางด้านอารมณ์ไม่สมดุล กรีดร้อง โวยวาย ก้าวร้าว รุนแรง อาละวาด แย่แล้วถึงพามาหาหมอซ้ำ อันนี้คือล่าช้าไปมาก เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดี ของพวกนี้คือของที่สะสม

ธรรมชาติสร้างสมดุลสมอง

อีกเรื่องคือดิจิทัล มีลูกบอกไหมระบายสีติดระบายสี วันนี้ไม่ได้ระบายสีรู้สึกขาดใจ ไม่เคยมีเด็กคนไหน หนูอยากเตะฟุตบอล ไม่มี ผมจะบอกว่ากิจกรรมเหล่าเป็นกิจกรรมที่เด็กใช้พลังงานไปกับมัน แล้วเด็กก็จะรู้สึกผ่อนคลาย วิ่งออกกำลังกายสัก 45 นาที รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เอ็นดอร์ฟิน โดมาปีนหลั่ง เวลาเราออกไปแคมปิ้ง เอาท์ดอร์ ปีนน้ำตก ปีนภูเขา ไปทะเล เรารู้สึกว่า เวลา 1 ชั่วโมง หรือ 1 วันที่เราทำกิจกรรมเหล่านี้เรารู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบต ธรรมชาติจะมอบพลังเหล่านี้กลับมาให้เรา

จริงๆ คนเราการ Retreat การบำบัดทำให้ตัวเองได้ผ่อนคลาย ธรรมชาติหรือกิจกรรมเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย แต่ในทางกลับกัน แบบนี้แล้วกันลูกวันนี้ 8 ชั่วโมงแทนที่จะทะเล แม่ขอทดสอบหน่อย 8 ชั่วโมงนี้ให้ลูกเล่นเกมไปเลย เด็กจะรู้สึกอย่างไรหลังจากจบ 8 ชั่วโมงเล่นเกมต่อเนื่อง

การทดลองและข้อเท็จจริงส่วนมากบอกแล้วว่าดิจิตอลฉกฉวยเวลาพลังงานสูบไปจากเรา แต่ถ้าเด็กทำกิจกรรมเอาท์ดอร์เยอะๆ เด็กจะเหมือนกับว่าได้รับพลังงานธรรมชาติ ธรรมชาติมีกลไกเยียวยามนุษย์ให้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันทำเรารู้สึกเติมเต็ม โอโซน อากาศ ออกซิเจน สีเขียว แสงแดด สายลม สายน้ำ ของพวกนี้คือการ Retreat

ฉะนั้นเด็กๆ ก็จะส่งผลการเรียนรู้ที่สมดุล เพราะธรรมชาติไม่พูดอะไรแต่ดิจิตอลพูดตลอดเวลา ธรรมชาติไม่พูดอะไรเด็กต้องเรียนรู้ Connotative ภาษาความหมายแฝงตลอดเวลา แสงแดดหมายถึงอะไร นกร้องหมายถึงอะไร คลื่นลมพัดหมายถึงอะไร เด็กจะได้เรียนรู้ มันไม่บอกเราโต้งๆ สังเกตดูว่าเด็กกลุ่มสแกนดิเนเวีย กลุ่มประเทศนอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน เขาจะให้เด็กเล่นตอนเช้า ปีนต้นไม้ตอนเช้า ออกกลางแดดกลางแจ้งตอนเช้า

นักเรียนไทยตอนเช้าทำอะไร เข้าแถว เคารพธงชาติ บางโรงเรียนมีออกกำลังกาย สาระของเราคือสวดมนต์ เคารพธงชาติ ธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา จริงๆ แล้วสิ่งที่ควรขึ้นสู่ยอดเสา ขึ้นสู่ส่วนสูง คือเด็กควรปีนต้นไม้ เด็กปฐมวัยควรปีนต้นไม้ทุกวันตอนเช้า กระบวนการทางสมองคือแบบนี้

สมมติลูกสาวผมปีนต้นไม้ เธอต้องคิดว่าระยะแขนของเธอ ชัก จับ ดึง ปีนป่าย ได้เท่าไหร่ เธอต้องคาดการณ์กิ่งนั้น ต้องมองกิ่งนี้ ต้นไม้ไม่บอกวิธีใช้ ต้นไม้ไม่บอกอะไร ไม่กระซิบอะไรเด็กต้องคิด ต้องฟังเสียงตัวเอง คาดการณ์กำลังของตัวเอง และเรียนรู้ว่าการคาดการณ์ว่าถ้าจับกิ่งนี้ จะไปกิ่งนี้ ขาแบบนี้จะลงไม่ได้ เด็กจะเรียนรู้ใช้วิธีการใช้การสมองครบทุกมิติ นั่นคือเหตุผลทำไมเด็กปีนต้นไม้ถึงฉลาด เพราะต้นไม้ไม่มีสูตรสำเร็จในการปีน

ต้นไม้ 1 ต้นมีวิธีการปีนแต่ละแบบของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย ปีนแบบเมื่อวาน ปีนแบบวันนี้ก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่บอกว่าทำไมเราถึงเลือกใช้สื่อ ต้นไม้คือสื่อถ้าเราเลือกใช้เป็น ดิจิตอลพักไว้ก่อน ต้นไม้ของจริง ขี่จักรยานของจริง เพื่อนเล่นมีจริง การมีเพื่อนเล่นสำคัญกว่าการมีของเล่น

ความสัมพันธ์พ่อแม่สร้างสมอง

ช่วงเด็กปฐมวัยสัมพันธภาพสำคัญมาก อีกเรื่องที่สำคัญคือ ความสัมพัทธ์ Relative ความสัมพันธ์คือ Relation ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ กับลูก กับพี่น้อง กับปู่ยาตายาย พวกนี้สำคัญมาก สำคัญมากกว่าที่เด็กจะไปให้ความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในดิจิตอล

อีกตัวก็คือ ความสัมพัทธ์ Relative คือ รู้ว่าตอนนี้ต้องทำอะไร รู้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์ตก รู้ว่าลม รู้ว่าฝน รู้ว่ามีใครอยู่ที่บ้าน รู้ว่าข้างบน ข้างล่างเป็นอย่างไร รู้ว่าข้างหน้า ข้างหลัง รู้ว่ามื้อเช้ามือเย็น รู้ว่าร้อน รู้ว่าเย็น ความรู้สึกเหล่านี้ที่จะทำให้เด็กสนใจ ได้ยินเสียงของตัวเอง

เพราะฉะนั้นของเล่นอะไรก็ตามที่ทำให้เขาได้ยินเสียงของตัวเองได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง อันนั้นคือสิ่งที่มีความหมาย เพราะฉะนั้นการที่พ่อแม่เลือกของเล่น ตอนที่นั่งเล่นเราก็ต้องไปมีปฏิสัมพันธ์กับลูก ลูกได้รู้ว่าคนนี้สัมพัทธ์กับเรา ก็คือว่าอยู่ในเวลานี้ตอนนี้ในความทรงจำนี้

เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่สร้างประสบการณ์และความทรงจำในเวลานี้ตอนนี้คุณจะไปสร้างตอนไหน เพราะฉะนั้นเด็กปฐมวัย พัฒนาการสมวัยไม่ได้บอกเด็กฉลาดอย่างเดียว พัฒนาการสมวัยคือ ภาษา ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม 5 มิตินี้ต้องมีความสมดุลซึ่งกันและกัน

มิติเชิงสัมพัทธ์ เช่น รู้ว่านกอยู่ข้างบน รู้ว่าไส้เดือนอยู่ข้างล่าง รู้ว่านกบินได้ รู้ว่านกบินเร็ว อันนี้คือการเรียนรู้มิติเชิงสัมพัทธ์ ซึ่งจะส่งผลให้สมองทำงานอย่างสมดุลด้วย แต่ในดิจิตอลโทรศัพท์มือถือ แทบเลต มันทำได้นิ้วสัมผัส ไม่ต้องออกแรง แต่ดินสอสี 1 แท่ง สีแดง จับกำ จับจด ดินน้ำมันจับบิด ของเล่นในชีวิตจริงคือของเล่น 3 มิติ

แต่ของเล่นในดิจิตอลมิติไม่มี เมื่อมันไม่มีมิติ กว้าง x ยาว x สูง x เวลา เพราะฉะนั้นเด็กถึงไม่อยู่กับ Rehourity เพราะว่าในของจริง เช่น ตอนนี้เล่นไม่ได้นะตนไม้ลื่นฝนตกถ้าปีนจะลื่นตก ต้นไม้ที่ปีนไม่ได้ มีเรื่องแห้งเรื่องเปียก เรื่องลื่น เรื่องจับถนัด แต่ดิจิตอลกดกี่ทีก็เรื่องเดิม แต่ในของจริงในชีวิตจริงบริบทมันมีมิติเชิงสัมพัทธ์เยอะมาก แล้วเด็กที่ฉลาดก็จะรู้ว่าไปสนามเด็กเล่นตอนนี้ไม่ได้ฝนเพิ่งตก เดี่ญวรออีกสักชั่วโมงมันแห้งคือเล่นได้ แห้งคือไม่ลื่น ไม่ลื่นคือปลอดภัย เด็กจะมีมิติของการใช้ความเชื่อมโยงสมองในเชิงบูรณาการสูงกว่า เขาถึงบอกว่าการเล่นในโลกจริงมันสร้าง EF ได้ดีกว่าการเล่นในโลกเสมือนจริง

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u