facebook  youtube  line

รหัสโปรโมชั่น Roobet "CSGOBETTINGS" รับสิทธิพิเศษ ไม่มีเงินฝาก และฟรีสปิน

ใRoobet Promo Code "CSGOBETTINGS" รับสิทธิพิเศษ ไม่มีเงินฝาก และฟรีสปิน

Roobet เป็นคาสิโนออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการการพนันออนไลน์ มีความโดดเด่นในเรื่องของเกมที่หลากหลาย ระบบการเล่นที่ทันสมัย และโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ หนึ่งในข้อเสนอที่ดีที่สุดของ Roobet คือการใช้ Roobet รหัสโปรโมชั่น "CSGOBETTINGS" เพื่อรับสิทธิพิเศษที่ไม่ควรพลาด เช่น โบนัสไม่มีเงินฝาก ฟรีสปิน และเงินคืน 20% ภายใน 7 วันแรกของการสมัครสมาชิกใหม่

ในบทความนี้ เราจะสำรวจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Roobet promo code วิธีการใช้โบนัสอย่างมีประสิทธิภาพ และข้อดีของการเข้าร่วมโปรแกรม RooWards ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะของคุณ

รีวิวโค้ดโปรโมชั่นและโบนัส Roobet

Roobet มีชื่อเสียงในฐานะคาสิโนออนไลน์ที่ให้ประสบการณ์การเล่นที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นที่คุ้มค่ามากมายให้กับผู้เล่นทั่วโลก โดยเฉพาะ รหัสโปรโมชั่น Roobet "CSGOBETTINGS" ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้รับโบนัสที่ไม่ต้องมีการฝากเงินก่อน (No Deposit Bonus) ฟรีสปิน และเงินคืน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นใหม่

โบนัสไม่มีเงินฝาก (No Deposit Bonus)

โบนัสไม่มีเงินฝากเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่น่าสนใจที่สุดของ Roobet เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่สามารถเริ่มเล่นเกมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการฝากเงินก่อน ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถสำรวจและสนุกกับเกมต่าง ๆ ที่ Roobet นำเสนอได้โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เพื่อรับโบนัสนี้จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองเล่นคาสิโนออนไลน์โดยไม่ต้องใช้เงินของตนเอง

ฟรีสปิน (Free Spins)

อีกหนึ่งข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมจากการใช้ Roobet promo code คือการได้รับฟรีสปิน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้เล่นเกมสล็อต ฟรีสปินช่วยให้คุณสามารถเล่นเกมสล็อตที่คุณชื่นชอบได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินทุนของคุณเอง ฟรีสปินที่ได้รับจากโปรโมชั่นนี้สามารถนำไปใช้ในเกมสล็อตยอดนิยม เช่น Sweet Bonanza, Book of Dead, และเกมอื่น ๆ ที่มีโอกาสชนะรางวัลใหญ่ การใช้ฟรีสปินในเกมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการชนะเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสนุกสนานในการเล่นอีกด้วย

ข้อเสนอโบนัสจาก Roobet

Roobet มีการนำเสนอโบนัสที่หลากหลายและคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นโบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงินครั้งแรก หรือโบนัสเงินคืน ซึ่งแต่ละโบนัสมีจุดเด่นและเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงข้อเสนอเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

โบนัส 20% Cashback ภายใน 7 วันแรก

หนึ่งในโบนัสที่น่าสนใจที่สุดคือโบนัสเงินคืน 20% ภายใน 7 วันแรกหลังจากที่คุณทำการฝากเงินครั้งแรก โบนัสนี้มีความสำคัญมากสำหรับผู้เล่นใหม่ เนื่องจากมันช่วยลดความเสี่ยงในการเล่นเกม หากคุณสูญเสียเงินในช่วงเวลานี้ Roobet จะคืนเงินให้คุณถึง 20% ของยอดที่สูญเสีย ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเงินทุนในการเล่นต่อได้ทันที ทำให้คุณมีโอกาสในการชนะและเพิ่มกำไรได้มากขึ้น

RooWards และสิทธิพิเศษต่าง ๆ

Roobet ยังมีโปรแกรมสะสมคะแนนที่เรียกว่า RooWards ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เล่นที่มีการเล่นเกมอย่างต่อเนื่องและสะสมคะแนนได้มาก ผู้เล่นที่ใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะได้รับ RooWards ทันทีในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นทันที เช่น การได้รับโบนัสเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นประจำ หรือการเข้าถึงกิจกรรมพิเศษที่ให้รางวัลมากมาย การใช้ RooWards ทำให้การเล่นที่ Roobet ยิ่งน่าสนใจและคุ้มค่ามากขึ้น

โปรโมชั่นล่าสุดจาก Roobet

Roobet มักจะมีการอัปเดตโปรโมชั่นอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้เล่นได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเล่นเกมออนไลน์ การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงโปรโมชั่นล่าสุดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

โบนัสฝากเงินครั้งแรกและโปรโมชั่นพิเศษ

Roobet มีโบนัสฝากเงินครั้งแรกที่น่าประทับใจ โดยเมื่อผู้เล่นใหม่ทำการฝากเงินครั้งแรกจะได้รับโบนัสที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือได้รับฟรีสปินเพิ่มเติมในเกมสล็อตที่กำหนด โบนัสนี้ทำให้ผู้เล่นมีเงินทุนเพิ่มขึ้นสำหรับการเริ่มต้นเล่นเกม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการสำรวจและทดลองเล่นเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Roobet

นอกจากนี้ Roobet ยังมีโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น โปรโมชั่นในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสนุกสนานในการเล่นเกม การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นเหล่านี้ เช่น การได้รับโบนัสเพิ่มเติมในช่วงเทศกาล หรือการเข้าถึงกิจกรรมพิเศษที่ให้รางวัลมากมาย

วิธีการใช้รหัสโปรโมชั่น Roobet (ขั้นตอนการใช้)

การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เป็นกระบวนการที่ง่ายและสะดวก แต่เพื่อให้ผู้เล่นทุกคนมั่นใจในการใช้รหัสนี้ เรามีขั้นตอนการใช้รหัสที่ชัดเจนดังนี้:

  1. สมัครสมาชิกหรือเข้าสู่ระบบ: ถ้าคุณยังไม่มีบัญชีที่ Roobet คุณต้องสมัครสมาชิกก่อน โดยการกรอกข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้ใช้ อีเมล และรหัสผ่าน หลังจากนั้นยืนยันอีเมลของคุณเพื่อเริ่มต้น
  2. ไปที่หน้าโปรโมชั่นหรือการฝากเงิน: เมื่อคุณเข้าสู่ระบบแล้ว ให้ไปที่หน้าฝากเงินหรือหน้าโปรโมชั่น ซึ่งจะมีช่องให้คุณกรอก Roobet promo code
  3. กรอกรหัสโปรโมชั่น "CSGOBETTINGS": ในขั้นตอนการฝากเงิน ให้คุณกรอกรหัส "CSGOBETTINGS" ลงในช่องที่กำหนด จากนั้นกดยืนยัน
  4. ตรวจสอบโบนัสที่ได้รับ: หลังจากกรอกรหัสและยืนยัน ระบบจะแสดงโบนัสที่คุณจะได้รับ คุณสามารถตรวจสอบโบนัสในบัญชีของคุณได้ทันที
  5. เริ่มเล่นและใช้โบนัส: เมื่อโบนัสถูกเพิ่มเข้าสู่บัญชีของคุณ คุณสามารถเริ่มเล่นเกมต่าง ๆ ที่ Roobet เสนอได้ทันที โดยใช้โบนัสที่ได้รับในการวางเดิมพัน

การใช้ Roobet promo code ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณได้รับโบนัสเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โปรโมชั่นพิเศษอื่น ๆ ที่ Roobet มีให้ ทำให้การเล่นคาสิโนออนไลน์ของคุณมีความสนุกสนานและตื่นเต้นมากขึ้น

ข้อดีของการใช้รหัสโปรโมชั่น Roobet

การใช้ Roobet promo code มีข้อดีมากมายที่ผู้เล่นทุกคนควรรู้:

  • เพิ่มโอกาสในการชนะ: ด้วยโบนัสฟรีสปินและเงินคืน คุณจะมีโอกาสเล่นเกมได้นานขึ้นและเพิ่มโอกาสในการชนะ
  • ประหยัดเงินทุน: การใช้ Roobet promo code ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในการเล่นเกม เนื่องจากโบนัสที่ได้รับสามารถใช้เป็นเงินทุนในการเล่นได้
  • เข้าถึงโปรโมชั่นพิเศษ: บางโปรโมชั่นอาจจำกัดให้เฉพาะผู้ที่ใช้รหัสโปรโมชั่นเท่านั้น ดังนั้น การใช้รหัสโปรโมชั่นจะทำให้คุณสามารถเข้าถึงข้อเสนอพิเศษที่คนอื่นไม่ได้รับ
  • เพิ่มประสบการณ์ในการเล่น: ด้วยการใช้รหัสโปรโมชั่น คุณจะได้รับโบนัสต่าง ๆ ที่ทำให้การเล่นเกมของคุณสนุกสนานและน่าสนใจยิ่งขึ้น
  • ความปลอดภัยในการใช้รหัส: การใช้รหัสโปรโมชั่นที่ Roobet นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการยอมรับและมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุดในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและการทำธุรกรรมทางการเงิน

ความปลอดภัยในการใช้ Roobet promo code

Roobet เป็นคาสิโนออนไลน์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงการ การใช้ Roobet promo code นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน การทำธุรกรรมทางการเงินและข้อมูลส่วนตัวของคุณได้รับการปกป้องด้วยระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้คุณสามารถใช้รหัสโปรโมชั่นและเล่นเกมได้อย่างสบายใจ

Roobet ยังใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลขั้นสูงเพื่อปกป้องข้อมูลของผู้เล่นทุกคน ซึ่งหมายความว่าข้อมูลการทำธุรกรรมและข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยหรือใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ Roobet ยังได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มั่นใจว่าเกมที่พวกเขานำเสนอเป็นธรรมและมีความโปร่งใส

การถอนโบนัส

เมื่อคุณได้รับโบนัสจากการใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" แล้ว คุณอาจต้องการถอนเงินโบนัสนั้นออกมาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน การถอนโบนัสที่ Roobet นั้นไม่ยุ่งยาก แต่คุณจำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขการเล่นที่กำหนดไว้ก่อน เช่น การเล่นให้ครบตามจำนวนครั้งที่กำหนดหรือการใช้โบนัสในเกมที่ระบุไว้เท่านั้น

Roobet มีวิธีการถอนเงินที่หลากหลายให้คุณเลือก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การถอนผ่านสกุลเงินดิจิตอล เช่น Bitcoin และ Ethereum การทำธุรกรรมการถอนเงินมักจะเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่นาน ทำให้คุณได้รับเงินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย

การทำธุรกรรมที่ Roobet ได้รับการปกป้องด้วยมาตรการความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้ผู้เล่นสามารถมั่นใจได้ว่าเงินของพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างดี นอกจากนี้ Roobet ยังมีฝ่ายบริการลูกค้าที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ หากคุณมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการถอนเงิน คุณสามารถติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โปรโมชั่นหลักจาก Roobet

Roobet มีโปรโมชั่นหลักที่น่าสนใจมากมายให้กับผู้เล่นใหม่และผู้เล่นปัจจุบัน ซึ่งโปรโมชั่นเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสนุกในการเล่นเกม แต่ยังเพิ่มโอกาสในการชนะอีกด้วย

โบนัสต้อนรับ (Welcome Bonus)

โบนัสต้อนรับที่ Roobet เสนอให้กับผู้เล่นใหม่เป็นหนึ่งในโปรโมชั่นที่คุ้มค่าที่สุด โดยผู้เล่นสามารถรับโบนัสเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือรับฟรีสปินเพิ่มเติมในเกมสล็อตที่กำหนด โบนัสนี้เป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นการเล่นที่ Roobet ด้วยเงินทุนที่มากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการชนะและสำรวจเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Roobet

โปรโมชั่นฝากเงินประจำ (Regular Deposit Bonuses)

Roobet ยังมีโปรโมชั่นสำหรับการฝากเงินประจำ ซึ่งผู้เล่นสามารถรับโบนัสเพิ่มเติมจากการฝากเงินครั้งที่สอง สาม หรือสี่ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษที่ให้ฟรีสปินหรือโบนัสเพิ่มขึ้นเมื่อทำการฝากเงินในช่วงเวลาที่กำหนด โปรโมชั่นเหล่านี้ช่วยให้ผู้เล่นมีโอกาสเพิ่มเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการชนะในระยะยาว

Roobet มักจะมีโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมพิเศษ เช่น โปรโมชั่นในช่วงปีใหม่ ฮาโลวีน หรือวันหยุดอื่น ๆ ผู้เล่นสามารถรับโบนัสพิเศษ ฟรีสปิน หรือรางวัลพิเศษที่ไม่มีในช่วงเวลาอื่น ๆ การใช้ Roobet promo code จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นเหล่านี้

สรุป

การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มโอกาสในการชนะและรับสิทธิพิเศษมากมายจาก Roobet ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นใหม่หรือผู้เล่นที่มีประสบการณ์ การใช้ Roobet promo code จะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการเล่นคาสิโนออนไลน์อย่างแน่นอน อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชั่นล่าสุดและติดตามข่าวสารจาก Roobet เพื่อไม่พลาดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากข้อเสนอที่ดีที่สุด

การใช้โปรโมชั่นและโบนัสที่ Roobet ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะ แต่ยังทำให้การเล่นเกมสนุกสนานและน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น Roobet มอบประสบการณ์การเล่นเกมที่มีคุณภาพสูงพร้อมด้วยโปรโมชั่นที่คุ้มค่า ทำให้เป็นหนึ่งในคาสิโนออนไลน์ที่ผู้เล่นทั่วโลกเลือกใช้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ's)

Roobet promo code คืออะไร? 

Roobet promo code คือรหัสที่คุณสามารถใช้เพื่อรับสิทธิพิเศษ เช่น โบนัสไม่มีเงินฝากและฟรีสปิน รหัสนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะและทำให้การเล่นเกมสนุกสนานยิ่งขึ้น

ฉันจะใช้ Roobet promo code ได้อย่างไร? 

การใช้ Roobet promo code ง่ายมาก เพียงแค่กรอกรหัสในขั้นตอนการฝากเงินหรือสมัครสมาชิกที่ Roobet แล้วคุณจะได้รับโบนัสทันทีเพื่อใช้ในการเล่นเกม

โบนัสที่ได้จาก Roobet promo code สามารถถอนเงินได้หรือไม่? 

ได้ โบนัสที่คุณได้รับจาก Roobet promo code สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด คุณควรตรวจสอบเงื่อนไขการเล่นก่อนทำการถอนเงิน

Roobet มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง? 

Roobet มีโปรโมชั่นมากมาย เช่น โบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงิน และโปรโมชั่นฟรีสปินที่มีให้เลือกตามความต้องการของผู้เล่น

Roobet ปลอดภัยหรือไม่? 

ใช่, Roobet เป็นเว็บไซต์ที่ปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือในการเล่นคาสิโนออนไลน์ ข้อมูลส่วนตัวและการทำธุรกรรมทางการเงินของคุณจะได้รับการปกป้องด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง

รักลูก The Expert Talk EP.104 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “ไม่สำลักความรัก จนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.104 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว ไม่สำลักความรักจนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง

รักมากไปทำร้ายลูก? รักจนสำลักความรัก ประคบประหงมจนไม่ให้ลูกทำอะไร ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก แต่มากไปก็ทำลายลูก

 The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

เลี้ยงประคบประหงม เด็กป่วยได้ง่าย (Munchausen Syndrome by Proxy)

เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูและดูแลสุขภาพแต่มีประเภทที่เยอะเกินไป มีเคสที่ลูกตกเตียงซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงตกตอนเที่ยงแต่พอตกเย็นก็พาลูกมาที่รพ. ให้หมอเช็กอย่างละเอียดเพราะว่ามีลูกคนเดียวและแม่ก็อ่านมาแล้วว่าเลือดที่ซึมออกมาจากในสมองมันจะไม่มีอาการ แต่อยากให้หมอรับรอง100% ว่าลูกไม่มีปัญหา หมอถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงคือเด็กตกเบาะเลี้ยงเด็กซึ่งกลิ้งแล้วหัวกระแทกพื้นไม่ปาร์เก้ลูกตกใจ ร้องไห้ เสร็จแล้วก็เล่นปกติ แต่ว่าแม่ไม่ไว้ใจ และอยากให้ทำMRI ซึ่งการทำกับเด็ก 9เดือนไม่ได้ง่าย แต่ด้วยความที่มีลูกคนเดียวและไม่พลาดไม่ได้เลยขอให้แม่ยืนยันซึ่งไแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย

การทำMRIเด็กต้องนิ่งมากซึ่งทางเดียวที่จะทำคือเพื่อให้เด็กหลับ แล้วฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดว่ามีปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็อาจจะต้องดมยา พอแม่ได้ยินก็บอกหมอว่าเต็มที่ไม่อั้นแต่คนเจ็บตัวคือลูก ลักษณะแบบนี้คือ Munchausen Syndrome by Proxy เครียดมากและวิตกกังวลมาก อาจจะมาจากการเห็นคนในบ้านป่วยจากประสบการณ์เดิม จึงตรวจหาความเสี่ยงของลูกทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพที่เยอะเกินไป

อีกเคสคือย่าเป็นมะเร็งไตแล้วเสียชีวิต แม่ต้องการทำRenal scan (การตรวจสแกนไต) ซึ่งทำไม่ได้ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้แม่ก็ไปเอาน้ำแดงมาผสมในปัสสาวะ แล้วให้หมอตรวจคือสำหรับหมอตรวจไม่ยากว่าเป็นน้ำแดงหรือเลือด แบบนี้คือทำให้เกิดเครียด วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ เครียดแล้วมาลงที่ลูก ผลที่เกิดกับลูกคือเกิดความหวาดระแวงไปกับแม่ ลูกซึมซับความหวาดระแวงจากแม่นี่คือในแง่ของสุขภาพ ลูกกังวล เครียดมาก

เลี้ยงแบบเร่งรัด เด็กต่อต้าน (Overstimulation)

ตอนนี้มีปัญหาเยอะเพราะด้วยระบบแพ้คัดออก เรียนทุกวัน ตื่นตั้งแต่ตีห้าเลิกเรียนก็กวดวิชาแล้วก็ติวกลับมาทำการบ้าน นอนตี1 ตื่นตี5วนไปแบบนี้ทั้งสัปดาห์ พอเสาร์อาทิตย์ก็กวดวิชาเช้าบ่าย หมอเคยเจอเคสรร.สาธิตชื่อดังพอลูกสอบเสร็จพ่อก็ให้ไปเรียนกวดวิชาที่ลงเรียนไว้ ลูกก็โมโหว่าทำไมไม่ถามว่าลูกอยากเรียนไหม เขาอาจจะอยากเล่นไวโอลิน อยากไปเที่ยว พ่อบอกว่าก็อยากจะเป็นหมอ ตอนที่มาหาหมอคือแม่ร้องไห้ พ่อความดันขึ้นเพราะว่าหวังดีแต่ทำไมเป็นแบบนี้

หมอก็ถามว่านี้เป็นเป้าของใครพ่อบอกว่าเป็นของลูก แล้วพอเราลงกวดวิชาเต็มที่แล้วแต่ลูกไม่ได้เป็นหมอจะเสียใจไหมพ่อบอกว่าไม่เสียใจเพราะว่าไม่ใช่เป้าของพ่อ เป็นเป้าของลูกและพ่อก็บอกว่าการที่พ่อจะทำให้ลูกคนหนึ่งมันผิดด้วยหรือ ซึ่งพอคุยไปพ่อก็บอกว่าผมไม่ได้อยากให้ลูกเป็นหมอเขาจะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รักและชอบและขอให้เป็นคนดี หมอก็บอกว่าพูดดีมากให้กลับไปบอกลูก ซึ่งหลังจากนั้นความดันในบ้านก็ลดลงมากเพราะที่ผ่านมาทะเลาะกันตลอด

ตอนนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่วางเป้าให้ลูกเรียบร้อยเลยแล้วลูกก็มีหน้าที่เดินตามเป้าและบอกตัวเองว่าการที่พ่อแม่ทำให้ลูกมันผิดด้วยเหรอ ไม่ผิดแต่เป็นเป้าของพ่อแม่หรือของลูก แล้วการที่ส่งสัญญาณว่าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ได้บอกตรงๆหรือยัง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ก็จะไม่เจอกับการเรียนแบบOverstimulationเร่งรัดบังคับจันทร์ถึงจันทร์ แต่จะได้ใจถึงใจ

เลี้ยงแบบสำลักความรัก (Over Indulgence/Spoiled Child)

มีบ้านไหนที่ลูกทำงานบ้านบ้าง นี่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้านเรามีเด็กเยอะที่ไม่ปัดกวาด ถูบ้านล้างจาน พ่อแม่สปอยทุกอย่างจนทัศนคติของลูกเปลี่ยนว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เขาไม่จำเป็นต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้าน ความรักไม่เกิดบนการร่วมทุกข์ร่วมสุข มีแต่สุขอย่างเดียว เด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นเพื่อนมนุษย์

เวลาจะรักใครก็รักแบบฉาบฉวย พ่อแม่ไม่รู้ตัวว่ากำลังพัฒนาลูกไปเป็นแบบนั้นไม่สามารถรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรนเปรอให้ทุกอย่าง นี่คือการสปอยล์ รักเยอะ ผิดหวังไม่ได้ เจอกับความผิดหวังก็เบรคเลย ไปไกล่เกลี่ยก็ลงเอยด้วยการใช้ความรุนแรง พ่อแม่ต้องรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่มีแต่ความสุข ปรนเปรอแต่ความสุขเจอความยากลำบากไม่ได้ ต้องเจอความยากลำบากร่วมกันง่ายๆ คือ ปัดกวาด ถูกบ้าน ซักผ้า ล้างจาน

เลี้ยงขาดพื้นที่ส่วนตัว เด็กเกิดความเครียด (Parenting Enmeshment)

หมอเคยเจอบ้านที่ไม่ดูทีวีจนอายุ 18ปีจะใช้เครื่องมือสื่อสารไม่ได้ เมื่อเข้าบ้านห้ามใช้ใช้ได้อย่างอิสระเมื่ออายุ 18ปีขึ้นไป ลูกมีห้องส่วนตัวแต่ปิดไม่ได้เพราะว่าพ่อสามารถ เข้าไปดูได้ทุกเมื่อสามารถไปดูแชทส่วนตัวได้ มีเคสที่แม่ลูกชายอายุ 14ปี ยังอาบน้ำกับแม่ขาดพื้นที่ส่วนตัวมาก ถ้าบ้านไหนทำอยู่ให้กลับมาตั้งหลักใหม่

ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่อยากทำอะไรก็ได้เป็นความเข้าใจผิดการให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีของลูกจึงมีนัยยะแม้ลูกโตมาถึงชั้นประถมไม่ต้องรอถึงมัธยม การที่พ่อไม่จับที่สงวนของลูกเลย เคารพในพื้นที่ส่วนตัว ลูกจะเกิดการเรียนรู้เลยว่าขนาดคนเป็นพ่อยังเคารพพื้นที่ส่วนตัว แล้วคนอื่นที่เป็นคนนอกจะมารุกล้ำได้อย่างไร ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้จะสอนด้วยการท่องจำหรือ

การที่พ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะเป็นสิ่งที่ติดตัวลูกเมื่อโตขึ้น อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นไหน อยากให้ลูกเป็นคนเคารพพื้นที่ส่วนตัวก็ต้องทำแบบนั้นกับลูกเช่นเดียวกัน ศรัทธาและสัจจะของลูกมีความหมาย วันนี้เราไม่มั่นใจลูกเลยก็ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นจากพลังบวก เช่นเดียวกันเด็กที่โตมาในครอบครัวที่เข้มงวด ก็จะขาดความมั่นใจไม่เหลือเลย ขาดภาวะผู้นำไม่มีsense of propority การเคารพพื้นที่ส่วนตัวไม่มีถูกล่อลวงโดยไม่รู้ตัวและเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk Ep.35 (Rerun) : “Opened Mindset or Fixed Mindset"

 

รักลูก The Expert Talk EP.35 (Rerun) : "Open Mindset or Fixed Mindset"

พ่อแม่ที่ Fixed Mindset จะทำให้ลูกมีวุฒิภาวะต่ำ แต่พ่อแม่ที่มี Open Mindset จะทำให้ลูกมีวุฒิภาวะดี และจะติดตัวอยู่กับลูกไปตลอด

อยากให้ลูกเป็นแบบไหน… พ่อแม่เลือกได้

 

รับฟังวิธีการเลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)

Mindset  ถ้าแปลเป็นไทยง่ายๆ  ก็คือทัศนคติ คือถ้ามีทัศนคติหรือจิตใจที่เรียกว่าไม่เปิดกว้าง  จิตใจที่ไม่เปิดกว้างกับจิตใจที่เปิดแล้ว สังคมในยุคปัจจุบัน ที่กลายเป็นสังคมที่ไร้พรมแดน เป็นโลกยุคดิจิทัลจะเห็นเลยว่าเด็กๆ  ยุคปัจจุบันนี้เขาสามารถที่จะบริโภคสื่อผ่านระบบโชเชียลมีเดียแม้กระทั่งที่เรากำลังทำ Podcast  มันเป็นวิธีการใหม่หมดเลย พอมันเป็นวิถีชีวิตในลักษณะแบบนี้

เด็กเจนเนอเรชั่นใหม่เขาสามารถเข้าถึงเรื่องพวกนี้ได้หมดเลย สถานภาพของครอบครัวจึงมีอาคันตุกะใหม่เพิ่ม  ถ้าทัศนคติของเราเปิดเราสามารถเรียนรู้ข้ามวัยกัน  เรียนรู้บนความหลากหลายทางเพศ อันนี้จะเป็นลักษณะของ  Open Mindset 

แต่ถ้า  Fix Mindset  เลยเหมือนอุตสาหกรรม เช่น  ระบบการศึกษาปัจจุบันนี้ ที่เข้าสู่สายพาน อันนี้หมอไม่ได้โทษใครแต่โทษทั้งระบบ เช่น  เราต้องมีระบบแพ้คัดออก  เวลาเข้าสู่อนุบาลก็ต้องเข้าไปเรียนประมาณนี้  คิดนอกกรอบไม่ได้ แล้วเวลาขึ้นสู่อนุบาล  1 2 3 เสร็จแล้วก็ต้องสอบเข้า แล้วก็ต้องเข้าโรงเรียนดังๆ  เข้าไปเสร็จก็ต้องเรียนเยอะๆ การบ้านเยอะๆ

 

ตื่นตีห้าล้อหมุน  6 โมงเช้า กินข้าวเช้าบนรถ มาถึงโรงเรียนก็มีการบ้านเช้า ครูเขียนไว้บนกระดาน พอถึงเวลาปุ๊บ ถ้ามาสายเกิน  7 โมงครึ่ง ลบกระดานออก หมอก็ถามว่าแล้วคนที่มาสายกว่าทำอย่างไร ลอกเพื่อนเอาตัวรอด ตามมาด้วยวิชาที่เรียน แล้ววิชาที่เรียนก็กลายเป็น  Fix หมด ลักษณะที่  Fix หมดทั้งหลายที่ไม่สามารถเปิดทางเลือกใดๆ ได้เลย 

การบ้านที่คุณครูก็ให้นึกว่าเรียนวิชาแกวิชาเดียวเทกระจาดเข้าไป จนตกเย็นไปกวดวิชา ดินเนอร์บนรถ รถติดไปถึงบ้าน ทำการบ้านเสร็จกว่าจะเรียบร้อย เข้านอนเกือบเที่ยงคืน  ตื่นตี 5 ล้อหมุน 6 โมงเช้า เหมือนเดิมเป็นแบบนี้จันทร์ถึงจันทร์

หมอมีคนไข้เด็ก ม.4 โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง  เดินเข้ามาอย่างกับซอมบี้ ผีดิบ เขาเรียนจันทร์ถึงจันทร์ เขาภูมิใจมากเลยเรียนจันทร์ถึงจันทร์ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนการเรียนรู้แบบ  Fix Mindset  ไม่ใช่  Open Mindset  

ความปรารถนาดีความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูกเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรา Open Mindset  สักนิดนึงแล้วเราถอยออกมาแล้วเราอยู่ในสถานะที่ เราใช้คำว่า  Scaffolding (นั่งร้าน) คือครูหรือพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน จะต้องทำเป็นนักอำนวยการเรียนรู้ ไม่ใช่ไปครอบงำ เพราะโลกมันเปิดหมดแล้ว  สิ่งที่เราเรียนในตำราเรียนแบบเดิม แต่ถ้าไปเรียนรู้ต่างวัฒนธรรมมันอาจจะไม่ใช่ 

แต่ในขณะที่เขาสามารถไปสัมผัสสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เลย แล้วถ้าเรารังสรรค์สิ่งเหล่านี้ให้เกิดในบ้าน  เรียกว่าครอบครัวหัวใจประชาธิปไตยมันเกิดขึ้นในบ้านเลยไม่ได้เหรอ แล้วเกิดขึ้นในโรงเรียนไม่ได้หรอ คือถ้ามันเกิดขึ้นในลักษณะนี้หมอเชื่อแน่ว่าผู้ใหญ่สิ่งที่จะต้องปรับเลยคือ  Open Mindset  ทัศนคติต้องเปิด  ใจต้องเปิด ถ้าใจไม่เปิดสมองไม่เกิดการเรียนรู้ อันนี้เป็นหลักการ คือถ้าใจไม่เปิดแล้วใจเราปิด เราคิดเลยว่าสิ่งที่ลูกคิดอยู่นี้พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ดีที่มันไม่ลวก

อาบน้ำร้อนมาก่อน ต้องเชื่อพ่อแม่  อย่าลืมว่าพ่อแม่เติบโตในยุคนู้น แล้วถ้ายิ่งเป็นปู่ย่า ตายาย อีกยิ่งในยุคนู้นไปอีก อันนี้มันยุคนี้  ทีนี้จะอยู่อย่างไรให้มันกลายเป็นการ  Open Mindset  ที่เรียกว่าทัศนคติเราเปิดแล้ว ทัศนคติที่เปิดแล้วระบบการศึกษาก็จะไม่ได้เป็นลูฟแบบนี้ พ่อแม่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  ลูกเรียนเข้าไว้ ต้องเรียนสูงๆ เข้าไว้ จบด็อกเตอร์พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่ในลักษณะนั้น

เราเป็นพ่อแม่ต้องถอยกลับมานั่งมองเลยว่า ลูกจะอยู่ร่วมกับสังคมอย่างไร เวลาลูกเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียนลูกจะต้องมีวิชาชีวิต ลูกก็ต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น  ในขณะเดียวกันเองเวลาที่มาที่บ้าน 

หมอเคยพูดไว้หลายครั้งเลยว่า เช็ด ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน เป็นเบสิกขั้นพื้นฐานมากเลย ถ้าเราเปิดใจในลักษณะนี้ วันนี้ลูกหลานเราจะไม่เป็นหุ่นยนต์เดินได้ เพราะเรากำลัง Fix Mindset  เข้าสู่สายพานเข้าอนุบาล  1 2 3 จะต้องกวดวิชาแค่ไหน แล้วจะต้องไปสอบเข้า พอสอบเข้าเสร็จปุ๊บ ต้องเข้าโรงเรียนดัง ต้องสายอินเตอร์ เป็นไบลิงกัวร  อันนี้เป็นประชานิยมนิดนึง มีการบลั๊ฟกันระหว่างพ่อแม่อีก ว่าลูกเธอเรียนที่ไหนเนี่

สมมติมีลูก 2 คน คนหนึ่งเรียนโรงเรียนสาธิต อีกคนเรียนโรงเรียนวัด คนที่เรียนโรงเรียนวัดหงอยไปเลยนะ อันนี้คือลักษณะของ Fix Mindset  ทั้งสิ้น ถ้าใจเปิดเราจะรังสรรค์ให้เกิดการเรียนรู้ได้ รูปแบบต่างๆ การสุนทรียสนทนาในบ้านจะเกิดขึ้น 

5 หัวใจที่มันจะกลายเป็น Open Mindset  เป็นกระบวนการที่ทำให้พ่อแม่ทุก Generation จะไม่มีปัญหากับลูกทุก Generation  

 1. รักอบอุ่น  และไว้วางใจ   นัยยะของหมอคือรักร่วมทุกข์ ร่วมสุข วันนี้กลับไปถามใจตัวเองก่อน จริงหรือป่าวว่ารักร่วมทุกข์ร่วมสุข แม้แต่เช็ด ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน  ทุกวันนี้บางคนกางเกงในตัวเองยังไม่ซักเลย ถุงเท้าตัวเองก็ไม่ซัก ถ้ารักต้องรักร่วมทุกข์ร่วมสุข คุณแม่ตอนที่เกิดมาตั้งท้อง แม่ไม่ได้สบายกายนะ ทุกข์กายแต่ใจพองโต 

 แล้วความทุกข์ทางกายสุดยอดตอนที่คลอดลูก เจ็บปวดที่แม่ได้รับ แสดงว่ารักนี้เกิดขึ้นบนความเจ็บปวด แต่เป็นความเจ็บปวดที่หัวใจพองโต ได้ยินเสียงลูกร้อง เอาลูกมาซบอกดูดนมแม่ กลายเป็น  Tender loving care รักนี้จึงกลายเป็นรักที่สมบูรณ์แบบที่ต่อให้ลูกจะเป็นอะไรก็ตามก็รักหมดใจไม่มีเงื่อนไข ทำไมเราไม่ใช้กระบวนการนี้ในการฝึกลูกเราบ้าง 

 เมื่อเขาเติบโตขึ้นไปเขาต้องรักเป็น  รักเป็นไม่ใช่สำลักความรัก แต่ต้องบนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน เบสิกพื้นฐานเลย วันนี้คุณพ่อคุณแม่กลับไปถามใจตัวเองเลยว่าลูกเช็ด  ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจานบ้างไหม แล้วลองฝึกหัดเขาบนเรื่องนี้เลยแล้วคุณธรรมจะเกิด  รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ใช่รักอบอุ่นและไว้วางใจ เทไปเลยลูกอยากได้อะไร เดี๋ยวแม่จะให้คนใช้ไปใส่ถุงเท้าบนห้องนอน อันนี้เยอะไปแล้วคุณพ่อคุณแม่

2.การสื่อสารพลังบวก  การใช้วิธีการสื่อสารซึ่งกันละกันที่ดีๆ ก็จะทำให้เกิดสุนทรียสนทนา เราอาจจะกำหนดกติกาก็ได้ว่าความคิดเห็นแต่ละคนมันหลากหลาย ลูกคนโตกับลูกคนเล็ก ลูกผู้ชายกับลูกผู้หญิง อาจจะไม่เหมือนกัน พ่อแม่ก็อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน 

 เวลาเราจะสุนทรียสนทนาในบ้านซึ่งกันและกันเราอาจจะกำหนดกติการ่วม ถ้าเมื่อไหร่ที่อินไปกับอารมณ์แล้วเราอาจจะขอพักเบรก กติกาง่ายๆ ในลักษณะแบบนี้จะทำให้เกิดการเปิดใจ  เป็น  Open Mindset  อันนี้คือการสื่อสารที่ดี ที่หมอใช้คำว่าสุนทรียสนทนา

3.บ้านต้องมีวินัย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีวินัย แต่เป็นวินัยเชิงบวกที่หมอใช้คำว่า  Kindly but Firmness คือ มีหลักการ มีเหตุผล แต่ยืดหยุ่นได้ หมายถึงว่าไม่ใช่กฎกติกาที่ออกโดยใครคนใดคนนึง แต่มาจากการมีส่วนร่วม แม้แต่เสียงเด็กเล็กๆ เชื่อไหมว่าแม้แต่อนุบาลเรายังสามารถคุยกับลูกของเราเพื่อกำหนดกติกาได้เลย

 โดยใช้คำพูดง่ายๆ ว่า แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แม่รู้ว่าลูกร้องไห้ บอกแม่สิเกิดอะไรขึ้น และถ้าคราวหน้าไม่ไห้เกิดแบบนี้ลูกจะทำยังไง คราวหน้าไม่เกิดแบบนี้จะทำยังไง  มันจะกลายเป็นกติกา  โอเคนะ ลูกสัญญาแล้วนะ ว่าคราวหน้าลูกทำแบบนี้แล้วจะไม่เกิดแบบนี้เกิดขึ้น เป็นกติกาง่ายๆ และลูกเป็นเจ้าของความคิดด้วย เราไม่ได้ไปครอบงำความคิดเขา

เพราะฉะนั้นการใช้หลักการแบบนี้ บ้านต้องมีวินัยด้วย ความหมายคือวินัยอย่างมีส่วนร่วม คือ ทุกคนฟังเสียงซึ่งกันและกัน สามารถเติมเต็ม และเกิดข้อตกลงร่วม แม้แต่ลูกวัยอนุบาลก็ทำได้ 

  วินัยเชิงบวกต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่หมายถึงหันซ้ายหันขวา ไม่ใช่การลงโทษ สมัยก่อนต้องใช้วิธีการลงโทษ อันนี้เป็น  Fix Mindset  คิดแบบเดิม  แต่ถ้าเป็น Open Mindset ยืดหยุ่นได้ อยู่บนเมตตาธรรม 

ถ้าเราน็อตหลุด ไม่ทำตามวินัย กติกาคุยกันไว้แล้วทำไมแกไม่ทำ เราโกรธ เราอาจจะบอกได้ว่าตอนนี้พ่อโกรธ พ่อคุมอารมณ์ไม่ได้ ขอพักออกไปก่อน เรามาคุยกันดีๆ แล้วก็กลับมาเหลาความคิดใหม่

 ถ้าไม่ให้เกิดแบบนี้ลูกจะทำยังไง คือลักษณะการคุยกันจะทำให้เกิดการทบทวนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง  แล้วครั้งหน้าลูกไม่ทำแล้วทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก จะให้พ่อทำยังไง เขาเรียกว่าบ้านต้องมีวินัย

4.รู้จักควบคุมอารมณ์ ซึ่งกันและกัน  อันนี้คือ Mindset ทัศนคติ ที่จะทำให้เปิดได้ เราต้องรู้จักการจัดการอารมณ์ได้  ไม่งั้นไม่สามารถที่จะ  Open Mindset  ได้  คุณลักษณะในลักษณะนี้ของผู้ใหญ่จะกลายเป็นหัวใจเปิด มีสุนทรียสนทนา มีวินัยในการจัดการซึ่งกันและกัน สามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง 

 5.มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี แม้แต่เจ้าตัวเล็กๆ  ก็มีศักดิ์ศรี เขามีตัวตนคือถ้าเราเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรี ในสถานะของเขา เราจะไม่เหยียดหยาม เราจะไม่ดูถูกซึ่งกันและกัน เราจะไม่บอกว่าอันนี้คือความหลากหลายทางเพศ อันนี้คือคิดมาได้อย่างไร แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน  ประโยคแบบนี้จะไม่หลุดออกมาเลย 

เพราะเรารู้อยู่ว่ามนุษย์ทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา เมื่อเป็นอย่างนั้นการฟังซึ่งกันและกัน ก็จะเกิดขึ้นได้  นี่คือคุณลักษณะที่จะนำไปสู่เรื่องของ  Open Mindset  ใจจะเปิดขึ้นทันที หัวใจสำคัญอันนี้จะกลายเป็นเรื่องของหัวใจแห่งประชาธิปไตย

 วันนี้เราไม่ต้องไปวุ่นวายตรงไหนเลย เรากลับมาเลี้ยงลูกด้วยหัวใจประชาธิปไตย แต่ครอบครัวในปัจจุบันนี้ที่เราเคยสำรวจกัน การเลี้ยงลูกที่เป็นแบบ Fix Mindset  บางจังหวะก็อาจจะโอเคนะ  เช่น ถ้าเรามีวิธีการ กระบวนการ การจัดการทัศนคติ ของเราเองในลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว  ในบางเหตุการณ์มันอาจจะจำเป็น เช่น ในตอนที่ลูกเราเล็กๆ  แล้วเราจำเป็นต้องควบคุมเพื่อไม่ให้ลูกเกิดอันตราย ปกป้องคุมครอง ใช้อำนาจในการเลี้ยง อันนั้นอาจจะเหมาะสมในสถานการณ์นั้น แต่เมื่อเขาโตขึ้นลักษณะพวกนี้เราต้องค่อยๆ ถอยลงไป เพราะ  Fix Mindset  ของเราอาจจะทำให้ลูกอ่อนแอในเรื่องวุฒิภาวะ 

ถ้าเรา Open Mindset  วุฒิภาวะเขาจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะอยู่กับเขาไปตลอด อย่างตอนที่ลูกเราเล็กๆ เราคิดแทนเขาตัดสินใจแทน ว่าอยากได้อะไร  Mindset  ของเราเป็นแบบไหน เราก็ว่าแบบนั้น เราเลือกเรียนโรงเรียนไหน ให้เข้าอะไรยังไง ลูกก็ทำไปตามนั้น แต่เมื่อโตขึ้นมาเรื่อยๆ  เปิดพื้นที่ให้เขามากขึ้น เขาเริ่มแสดงทัศนคติตัวเอง เริ่มแสดงความคิดเห็น ตรงนี้พ่อแม่ต้องภูมิใจว่าลูกเริ่มมีความคิด และทัศนคติของตนเองแล้ว 

เราจะเริ่มเปลี่ยนจาก Fix ให้กลายเป็น Open  คือเปิดพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เปิดพื้นที่มากถึงขนาดที่ตอนลูกเข้าวัยรุ่นอำนาจของเราจะเหลืออยู่แค่ 30%  อีก 70% จะกลายเป็น  Open Mindset  แล้วอะไรๆ  ก็จะสามารถมารังสรรค์ซึ่งกันและกันได้ สามารถที่จะออกแบบ สามารถที่จะอยู่ร่วม เกิดพื้นที่ส่วนตัวของเขา การเรียนรู้อยู่ร่วมกันบนวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป ยิ่งถ้าเป็นเยาวชน ขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็น  10%  ยิ่งถ้าโตขึ้นไปก็จะลดน้อยลง ทั้งหมดนี้ถ้ามันเกิดขึ้นได้ก็จะสามารถทำให้เกิด Open Mindset  ได้

ลูกช่วยฝึก Open Mindset พ่อแม่ “ลูกคือแบบฝึกหัดชีวิต พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบเปิดใจ รับฟังลูกได้บนความคิดที่แตกต่างกัน พ่อแม่จะเก่งขึ้น มีทักษะเพิ่มขึ้นและจะเลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น” “พ่อแม่ที่มี Open Mindset เปิดใจ ”จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องอดทน  ต้องเปิดใจ แม้แต่ทัศนคติเราต้องรับฟังลูกเราได้บนความคิดที่ต่าง วิธีการที่แตกต่างกัน  ใจของเราเปิดขึ้น เราเก่งขึ้น  อันนี้คนเป็นพ่อแม่เก่งขึ้นนะ  เก่งขึ้นตามลูกไปด้วย 

ตอนลูกอยู่ปฐมวัยเราก็ปรับตัวอีกแบบ  พอขึ้นวัยเรียนเราก็ต้องปรับตัวตามเขาเรื่อยๆ  ยิ่งบางบ้านมีลูกคนเดียว บางบ้านมีลูกสองสามคน พื้นฐานอารมณ์ไม่เหมือนกันอีก  พ่อแม่ที่ใจเปิดจะเลี้ยงลูกสองแบบที่แตกต่างได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวล 

แม้แต่ครูเองถ้าใจเปิดไม้เรียวไม่ต้องมี  Classroom Management  แต่เราจะใช้คำว่า Flipped Classroom เป็นห้องเรียนกลับทาง เกิดขึ้นได้หมดเลย แต่ทุกวันนี้เป็น  Fix Mindset  พอเป็น  Fix Mindset  ก็สอนแบบเดิม ๆ อัดเนื้อหาวิชาเข้าไป เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เด็กไม่สามารถตั้งคำถามได้  ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ อันนี้จะกลายเป็นปัญหาทันที  

แล้วจงภาคภูมิใจเอาไว้ถ้าเมื่อไหร่ที่เราฝึกฝนตนเองให้กลายเป็นคนที่  Open Mindset  ทัศนคติเปิดท่านจะอยู่ในที่ทำงานได้อย่างมีความสุข  อยู่ที่บ้านก็อยู่อย่างมีความสุข อยู่ในสังคมก็กลายเป็นสังคมที่เปิด เราเชิญชวนกันอยากให้เป็น open  Mindset

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.48 (Rerun): เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว "มหัศจรรย์แห่งการฟัง"

 

รักลูก The Expert Talk EP.48 (Rerun): เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว "มหัศจรรย์แห่งการฟัง"

 เปลี่ยนจาก “พูด” “บ่น” “สอน” มาเป็นการ “ฟัง” ลูก จะช่วยลดความพังในบ้าน ผ่อนคลายความเครียดและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้

บางบ้านหาคนฟังไม่เจอ ต่างฝ่ายต่างพูด ปากเปียกปากแฉะลูกก็ยังเป็นเหมือนเดิม ลองใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง แค่เริ่มต้น “ฟัง” แล้วทุกอย่างจะเปลี่ยน โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

ชวนคุณพ่อคุณแม่ มาสร้างมหัศจรรย์แห่งการฟัง เพราะทุกวันนี้ที่เกิดปัญหา จริงๆ แล้วเกิดจากการที่เราไม่ฟังในปัญหาต่างๆ การสื่อสารสร้างสายสัมพันธ์ในบ้าน

การฟังเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารซึ่งกันและกัน

การสื่อสารมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ

1.ภาษาที่เราพูดออกไป  2.การฟัง และอีกอันคือ 3.อวัจนภาษา คือ ไม่พูดออกมาแต่ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมิตรหรือไม่เป็นมิตร สื่อสารออกมาด้วยท่าทาง ฉะนั้นการฟังถือเป็นเรื่องของการสื่อสาร การสื่อสารพลังบวกถือว่ามีความหมายมาก

การสื่อสารที่ดีต่อกันก็จะช่วยให้มิตรภาพหรือสัมพันธภาพยิ่งดี แต่ถ้าการสื่อสารไม่ดีก็จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ด้วย แม้กระทั่งการฟังเองก็มี 3 แบบ

ระดับแรก คือฟังอย่างเดียว แต่ทุกวันนี้คือพูดอย่างเดียว ยิ่งคนเป็นแม่ บ่นมากกว่าฟัง บางบ้านหาคนฟังไม่เจอ มีแต่ต่างฝ่ายต่างพูดกันเต็มไปหมด ปากเปียกปากแฉะ เป็นประโยคที่พ่อแม่ใช้ประจำเลยว่า พูดปากเปียกปากแฉะก็ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม

ระดับที่สอง คือฟังแล้วสะท้อนความรู้สึกที่ทำให้คนเล่าอยากเล่าต่อ

ระดับที่สาม คือฟังแล้วเหลาความคิดฟังสองระดับแรกไม่ต้องฝึก ถ้าตั้งใจจริงๆ ทำได้ ไม่ต้องไปเข้าค่ายฝึกการฟัง เพราะฟังอยากเดียวถ้าเราตั้งใจฟังก็ทำได้ แต่หลายบ้านหาคนฟังไม่เจอ คนฟังกลายเป็นเด็กไป หมอจะเปรียบเทียบให้คนที่ฟังเราอยู่ตอนนี้

เคยไหมเวลาเช้าตื่นมา เราจะเปิดทีวีเป็นเพื่อนขณะที่เราทำกิจวัตรของเราไป แล้วเราก็ไม่ได้ฟังว่าทีวีพูดอะไร แล้วเราก็ทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ ต่อเมื่อมีข่าวที่กระชากอารมณ์ขึ้นมา เราก็จะหันไปมองทีวีสักทีนึงว่าข่าวอะไร เป็นมั้ย เวลาพ่อแม่พูดมาก พูดเยอะแยะไปหมด แม้แต่ลูกเค้าก็จะทำคล้ายๆ เหมือนที่เราฟังทีวี คือเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พ่อแม่พูดไปเถอะเข้าซ้ายออกขวา จนแม่ถามว่าแกไม่ฟังฉันบ้างเลยหรอ ลูกก็ถามแม่พูดอะไรหรอขออีกที สังเกตเลยว่าหัวใจแห่งการรับฟังมีความหมายมาก

หมอเคยมีเคสนึง นักจิตวิทยาป่วยเป็นภาวะซึมเศร้า เราให้ยาภาวะซึมเศร้า แต่พอผ่านไปประมาณเดือนเศษ เราติดตามผลพบว่าเขามีอาการดีขึ้น หมอก็ถามว่าคุณใช้วิธีการอะไร นักจิตวิทยาเล่าว่า เขามีหน้าที่ไปเยี่ยมบ้าน เพื่อไปให้กำลังใจ แล้วมีอยู่บ้านหนึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย นอนเตียง หายใจรวยริน ไม่มีเรี่ยวแรง นักจิตวิทยาก็ทำทุกทางลูบแขน กายสัมผัส แล้วก็พยายามคุย เนื่องจากผู้ป่วยเองก็ไม่มีแรงจะโต้ตอบอะไรทั้งสิ้น

นักจิตวิทยาก็เล่าทุกอย่างจนไม่รู้จะเล่าอะไรแล้ว ก็เลยเริ่มเล่าเรื่องส่วนตัวให้กับผู้ป่วยมะเร็งฟัง แล้วสบายใจในการเล่า เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะผู้ป่วยไม่มีแรงโต้ตอบ ฟังอย่างเดียวจริงๆ นักจิตวิทยาสบายใจอีกขั้น คือเค้ามั่นใจว่าผู้ป่วยจะไม่ไปซุบซิบนินทา และจะไม่เอาความลับเค้าไปเปิดเผย ก็เลยเล่า นักจิตวิทยาของผมดีวันดีคืนครับ จนในที่สุดหายป่วยแต่คนไข้ตาย รู้มั้ยใครเป็นคนรักษา ไม่ใช่ยานะครับ มหัศจรรย์แห่งการฟัง เห็นไหมว่าการฟังอย่างเดียวเยี่ยวยานักจิตวิทยาให้หายป่วยจากภาวะซึมเศร้าได้

ฟังให้เป็น

วันนี้กลับไปถามคุณพ่อคุณแม่ที่ฟังเราอยู่ตกลงวันๆ เราฟังเสียงหัวใจลูกไหม และเสียงของเด็กมีความหมายมาก ฟังลูก แค่เปิดใจรับฟังอย่างไม่ต้องติเตียน ฟังอย่างเดียว ฟังอย่างมีสติ ไม่ใช่แม่ทำกับข้าวไป ลูกมาสะกิด หนูทำผลงาน.......เออรู้แล้วแม่ทำกับข้าวอยู่ อย่างนี้ไม่เรียกว่าฟังในระดับแรกอย่างที่คุณหมอบอก เพราะการฟังในระดับแรกคือการฟังอย่างมีสติ ถ้าไม่พร้อมก็บอกลูกเลยว่าแม่กำลังทำกับข้าวอยู่ เดี๋ยวแม่เสร็จแล้วจะไปนั่งฟังลูกเลย ถ้าส่งสัญญาณแบบนี้ปุ๊ป แสดงว่าเรากำลังใช้ประเด็นแรก คือการฟังอย่างมีสติ แล้วฟังในระดับนี้ไม่ต้องพูดเลย ฟังอย่างเดียว

ผมยังมีคนไข้อีกหนึ่งนะ เด็กคนนี้อยู่ชั้น ม.1 แล้วสอบเข้าติดโรงเรียน ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายอยากเล่นฟุตบอลมาก แล้วเขาก็ไปเตะฟุตบอล แต่เนื่องจากเพื่อนของเขาหายไปไหนไม่รู้ สรุปคือเพื่อนๆ ไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำ แต่เด็กคนนี้ไม่ได้สูบนะ แค่อยากรู้ว่าไปไหนกัน

แต่คงเป็นคราวเคราะห์ที่ครูฝ่ายปกครองมาเจอแล้วก็รวบทั้งหมดเรียกผู้ปกครองพบรวมทั้งผู้ปกครองของเด็กคนนี้ด้วย เด็กคนนี้ก็พยายามสะท้อนว่าไม่ได้ยุ่งอะไรกับพวกนี้เลย แต่ผู้ปกครองถูกทำทัณฑ์บน แล้วครูก็ย้ำกับผู้ปกครองว่าทุกครั้งที่เจอลูก ใ้ห้ถามว่ายังคบกับเพื่อนกลุ่มเดิมอยู่ไหม ยังสูบบุหรี่อยู่หรือเปล่าทำนองนี้

ซึ่งคุณพ่อท่านนี้ทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์มาก ก็ถามแบบนี้ทุกครั้งที่เจอหน้า ปรากฏว่าทำไปทำมาเด็กเริ่มจิตตกแล้วก็เป็นเหตุให้มาพบหมอ วันที่มาพบหมอ หมอก็ถามคุณพ่อ ว่าคุณพ่อมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ ในครอบครัวเป็นยังไงบ้างสัมพันธภาพระหว่างภรรยาเป็นยังไงบ้างพ่อก็ตอบว่า ดีไม่มีปัญหาเลย ทุกอย่างดีหมด มีเรื่องเดียวผมกลัวลูกจะติดยา แล้วหมอก็ถามว่าพ่อใช้เทคนิคอะไรถึงไม่มีปัญหาอะไรกับภรรยาเลย เขาตอบว่าผมก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังอย่างเดียว หมอเลยถามว่าฟังยังไง

เขาก็เล่าเวลาภรรยาผมกลับจากที่ทำงานมีเรื่องราวเยอะแยะมากมายเขาก็จะมานั่งข้างๆ ผมก็โอบไหล่ นั่งฟังอย่างเดียว มีบ้างที่บางครั้งผมโอบไหล่และตบไปเบาๆ แล้วบอกเอาน่า เดี๋ยวเวลาผ่านไปมันจะดีเอง แล้วหมอก็ถามต่อว่าผลลัพธ์เป็นยังไง ภรรยาก็เล่าเรื่องต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เดินผิวปากสบายใจ แล้วแกก็ไปทำงานต่อ

เห็นอะไรไหมครับ หมอเลยถามคุณพ่อว่า คุณพ่อครับแล้วแบบนี้เคยทำกับลูกบ้างมั้ย คุณพ่อนิ่งเงียบเลย ไม่เคยเลย ในการที่จะนั่งลงแล้วถามว่าลูกมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ หรือมีเรื่องอะไรดีๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง และทำหน้าที่ในการฟังอย่างเดียว แถมถ้าโอบไหล่เบาๆ แล้วอาจจะบอกลูก เอาน่า เดี๋ยวเวลาผ่านไป มันจะดีขึ้นเอง

การฟัง 3ระดับ

เพราะฉะนั้น ฟังในระดับที่หนึ่งคือฟังอย่างมีสติ ฟังอย่างเดียวเลย ไม่ต้องสะท้อนความรู้สึก ฟังอย่างเดียวจริงๆ ถ้าท่านทำอะไรไม่ได้ ฟังอย่างเดียวเยียวยาไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าอยากจะเติมเพิ่มสะท้อนความรู้สึกที่ดี ที่คนเล่าอยากเล่าต่อ

หมอยกตัวอย่าง เช่น ตั้ม สมัยแม่เป็นวัยรุ่นคิดเหมือนตั้มเลย ไหนลองเล่าต่อสิเกิดอะไรขึ้น อันนี้ตั้มอยากเล่ามั้ย? เอาใหม่เปลี่ยนใหม่แทนที่จะสะท้อนความรู้สึกที่ดี สมองมีแค่นี้หรอ คิดได้แค่นี้หรอ หมอไม่คิดว่าคนๆ นั้นจะเล่าต่อ

ฟังในระดับที่สองสะท้อนความรู้สึกจริงๆ พ่อแม่ทุกคนก็ทำได้ แต่โจทย์อยากคือมันสะกดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ คือเราก็จะรู้สึกว่าทำไมลูกไม่ดีดั่งใจอาจจะมีความรู้สึกแบบนั้น เลยทำให้มันปนเปกับความรู้สึกแล้วก็สะท้อนออกความรู้สึก แทนที่จะสะท้อนแบบดีออกมา ดีที่ลูกเล่า ก็กลายเป็นออกมากระบุงโกรธ

แต่ฟังในระดับสามอันนี้ต้องฝึกจริงๆ คือการใช้คำถามปลายเปิด ลูกรู้สึกยังไง ลูกคิดเห็นยังไง ถ้าเป็นลูกจะแก้ปัญหายังไง พวกนี้ต้องฝึก ซึ่งอันนี้เป็นมหัศจรรย์แห่งการฟัง สิ่งที่หมออยากฝากพ่อเลยคือว่า เราจะได้หัวใจของลูกกลับคืนมาทันทีที่เราใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง ฟังอย่างเดียว

วันนี้คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนบุคลิกเลย เปลี่ยนจากวิธีการที่พูดปากเปียกปากแฉะ พูดแบบที่ท่านบอกปากจะฉีกถึงรูหู เปลี่ยนใหม่เป็นวันนี้ฟัง ลองดูถ้าเปลี่ยนทันทีคนแรกที่รู้สึกทันทีเลยคือลูก วันนี้แม่เปลี่ยนไป แม่ไม่เหมือนเดิม แล้วยิ่งถ้าเขาเล่าอะไรออกมา อย่าเพิ่งไปวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าอยากจะพูอะไรออกไปก็ใช้เทคนิคเหมือนคุณพ่อคนนี้ที่เค้าโอบไหล่เบาๆ เอาน่าเดี๋ยวเวลาผ่านไปจะดีขึ้นเอง

แต่หากต้องการเหลาความคิด คำถามปลายเปิดแบบที่หมอฝากไว้ ก็คือความรู้สึก เช่น ลูกรู้สึกอย่างไร เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมดตอนนี้ แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แม่รู้ว่าลูกโกรธ อันนี้เป็นการสะท้อนความรู้สึกเพื่อให้เค้าจับอารมณ์เค้าได้ว่าเรื่องราวที่เล่ามาแบบนี้ แม่จับความได้แล้วละว่าลูกคงรู้สึกโกรธมากใช่มั้ย พอจะบอกได้มั้ยว่าอารมณ์โกรธเกิดจากอะไร แล้วถ้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะจัดการอย่างไร อันนี้คือวิธีการในการเหลาความคิด

ซึ่งถ้าเราเชฟแบบนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปเค้าจะเป็นเจ้าของความคิด เจ้าของวิธีการจัดการโดยที่พ่อแม่เองจะทำหน้าที่รังสรรค์ค่อยๆ เหลาเค้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเค้าสามารถไปในทิศทางที่บวกได้

ประสบการณ์สไตล์หมอเดว

เทคนิคในลักษณะแบบนี้หมอเคยใช้บ่อย โดยเฉพาะตัวหมอเองตอนที่ประพฤติปฏิบัติตลอดก็คือ ครั้งหนึ่งที่ลูกสาวเคยเล่าให้ฟัง ตอนเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายคุณครูถามวิธีการจัดการความเครียดของนักเรียนแต่ละคน แต่ละคนก็จะตอบ ไปร้องเพลง ไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว แต่ลูกสาวตอบว่า หนูเดินเล่นกับพ่อหายเครียด ทำไมกลายเป็นอย่างนั้นละ ก็เมื่อไหร่ก็ตามที่พ่อนั่งอยู่ริมสระเป็นเวลาที่เรียกว่าเรามอบให้แล้วว่าจะเป็นผู้ฟัง แล้วก็ไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์เราก็นั่งฟัง

วิธีการก็คือเหลาความคิด ลูกเราจะแก้ปัญหายังไงดี แล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะทำยังไง การโยนคำถามให้ เวลาเราโยนคำถามให้แล้วเห็นความคิดของเค้าออกมา

หมอจะยกตัวอย่างหนึ่ง คือตอนซีรส์ เรื่องฮอร์โมนวัยว้าวุ่นกลายเป็นประเด็น หมอไม่ดูเรื่องเหล่านี้นะ ก็ถามลูกสาวได้ดูไหม เขาก็บอกว่าดูทุกตอน หมอเลยให้เขาช่วยวิเคราะห์ให้พ่อหน่อยว่าดูแต่ละตอนแล้วรู้สึกอย่างไร เค้าก็สะท้อนเลยว่า เจ้าวินเป็นยังไง สไปรท์เป็นยังไง แล้วคนดูจะได้อะไร

เวลาเราฟังลูกของเราเองวิเคราะห์หนังในลักษณะนี้มันทำให้เรารู้ทันนี้ว่าลูกดูหนังอย่างคิดเป็น และเขาสามารถวิเคราะห์ได้ และบทวิเคราะห์ของเค้าก็เป็นส่วนหนึ่งตอนที่หมอเข้าไปดูจริงๆ ปรากฏก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วตอนที่มีคนมาขอข้อวิพากษ์วิจารณ์ของหมอในเรื่องนี้ ส่วนที่หมอวิพากษ์วิจารณ์ไป ต้องบอกเลยว่าเคารพความคิดเห็นของลูก ที่หมอเอามาใช้

เราสบายใจอย่างหนึ่งว่าเวลาเขาบริโภคสื่อในลักษณะนี้จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ หรือจะเป็นช่วงวัยของความเป็นวัยรุ่นแล้วมีบางเรื่องที่เขาอยากรู้ หรือพอดูแล้วมันมีเนื้อหาบางเรื่องมันดูแล้วอาจจะไม่เหมาะ แต่ถ้าถูกฝึกให้เหลาความคิดไปด้วย นสื่อที่ไม่เหมาะมันจะกลายเป็นสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเขาเองได้ เป็นจุดหนึ่งที่สบายใจได้มากขึ้น

หมอจึงอยากฝากพ่อแม่ว่าหัวใจสำคัญที่สุดเราต้องรู้จักในการที่จะเป็นผู้ฟัง ช่วยลองเปลี่ยนแปลงตัวเองสักหน่อย เปลี่ยนจากที่เราพูดมาทุกวัน อย่าให้ลูกปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นทีวีเครื่องหนึ่งที่กำลังพูดอะไรออกมาเยอะแยะ พอถึงเวลากลายเป็นว่าลูกเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พอถึงเวลาเราถาม แกไม่ได้ยินฉันหรอ แม่พูดอะไรนะขออีกที อย่าให้เป็นลักษณะนั้นเลย

จงใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง มาเป็นตัวเปลี่ยนแล้วมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อะไรก็ตามที่เราคิดว่าทำยาก เริ่มต้น แล้วเราเริ่มต้นจากการเป็นผู้ฟังก่อน ฟังอย่างเดียว หมอเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะเอาให้เก่งขึ้นไปอีก ฟังแล้วสะท้อนความรู้สึกที่ดี ถ้าให้สุดยอดเลยคือฟังแล้วเหลาความคิดไปด้วย

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.67 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “Dysfunctional Family” บทบาทหน้าที่ครอบครัวบกพร่อง

 

รักลูก The Expert Talk Ep.67 : Dysfunctional Family บทบาทหน้าที่ครอบครัวบกพร่อง?

เลี้ยงลูกแบบหมอเดว พบกัน 4 EP ต่อเนื่อง เริ่มต้น EP67 คุณหมอเดวชวนมองภาพกว้างครอบครัวไทยในปัจจุบัน โครงสร้างที่เปลี่ยนไปส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

ครอบครัว 3 แบบที่คุณหมอชี้ให้เห็นภาพ : ครอบครัวใช้อำนาจในการเลี้ยงลูก ครอบครัวปล่อยปละละเลย และครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย พร้อมวิธีการเป็นครอบครัวที่ไร้ปัญหาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขทำได้อย่างไร และใน EP ถัดไปฟัง 9 รูปแบบในการเลี้ยงลูกที่ทำให้เกิดปัญหา

 

ฟัง The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

ปัญหาสภาพครอบครัวไทย

ครอบครัวไทยตอนนี้มี20ล้านครอบครัว ในจำนวนนี้มีประเด็นใหม่ๆเกิดขึ้น 2หมวดใหญ่ๆ คือ

โครงสร้างครอบครัวมีขนาดเล็กลง TFR (Total Fatality Rate) อัตราการมีลูกของเด็กในประเทศไทยตอนนี้ค่าเฉลี่ยที่ 1.4 เดิม 1.6 คือส่วนใหญ่มีลูก 1คน ซึ่งประเทศเสียเปรียบเพราะปิรามิดของประชากรเปลี่ยนแต่เดิมผู้สูงวัยน้อยฐานวัยแรงงานเยอะ คือ 10:1 (ทำงาน 10คน ผู้สูงอายุ 1คน) เมื่อ20ปีที่แล้วลดลงมาเหลือ 5:1 ปัจจุบันเหลือ 2:1 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั้นหมายถึงว่าประชากรวัยแรงงานจะต้องดูผู้สูงอายุ 1:1 ต้องทำงานและดูแลผู้สูงอายุด้วย ซึ่งถ้าเป็นสภาพนี้ผู้สูงอายุจะเยอะมากคือ ประชากร 10คนจะมีอย่างน้อย 3 คนที่อายุเกิน 60ปีและหนึ่งในสามนั้นมีหนึ่งคนที่อายุเกิน 65ปี และเริ่มมีคำใหม่คือ ชมรม DINK (Double Income No Kids)แต่งงานแต่ไม่มีลูก นี่คือโครงสร้างที่มีปัญหา ดังนั้นโครงสร้างใหม่คือSmall Family คือครอบครัวพ่อแม่ลูกชุมชนก็ไม่รู้จัก ไซซ์เล็ก ครอบครัวหย่าร้างซึ่งอัตราอยู่ระหว่าง 5-10% ก็จะมีพ่อเลี้ยงเดี่ยวแม่เลี้ยงเดี่ยว มีครอบครัวแหว่งกลาง บางภาคตามหัวเมืองจะเห็นภาพที่ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลาน พ่อแม่ทำงานในเมือง

Unicef รายงานข้อมูลว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า 18ปี สามล้านคนที่พ่อแม่มีชีวิตแต่ไม่ได้เลี้ยง ในจำนวนนี้ 500,000คนเป็นเด็กปฐมวัย ซึ่งเรารับรู้ว่าเด็กวัยนี้พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู นี่คือโครงสร้างของครอบครัวที่มีปัญหา ซึ่งต้องยอมรับว่ามีปัญหาเดิมและมีปัญหามากขึ้น

และอีกประเด็นคือ Dysfunction คือการทำหน้าที่ของครอบครัวบกพร่องทั้งลบและบวกมีปัญหาทั้งนั้น หน้าที่ของครอบครัวคือให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข การมีความสุขคือการมีข้าวกินมีบ้านอยู่ เพราะฉะนั้นบทบาทของครอบครัวต้องดูแลร่วมกันเพื่อให้ได้ปัจจัยสี่ ขั้นพื้นฐาน และอีกปัจจัยคือ Psychological ทางด้านจิตใจ อารมณ์ เช่น สมาชิกเมื่ออยู่ในบ้านแล้วมีปฏิสัมพันธ์ มีความรู้สึกที่อบอุ่น ปลอดภัย Sense of security ถ้าเข้าบ้านแล้วมีทารุณกรรม แสดงว่าบ้านมีปัญหาหรือเข้ามาในบ้านไม่คุยกันเลย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างสังคมไม่เกี่ยวกับเรื่องหย่าร้าง แต่ฟังก์ชั่นมีปัญหานี่คือระดับทางจิตใจ

ส่วนด้านสังคมสมาชิกในครอบครัวต้องดูแลให้มีปฏิสัมพันธ์ทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในชุมชนต้องรู้จักกัน เยี่ยมญาติพี่น้อง พบเพื่อนฝูง รู้จักการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม นี่คือลักษณะ Socialogical ถ้าดูง่ายเลยๆ Physical ปัจจัยขั้นพื้นฐาน Psychological ปัจจัยทางด้านจิตใจและอารมณ์และปัจจัยทางด้านสังคม ซึ่งถ้าบกพร่อง บ้านไม่มีให้อยู่ก็เดือดร้อนข้าวไม่มีกินนี่คือบกพร่อง แต่อีกฟากหนึ่งคือมีหลายบ้านหรืออีกบ้าน Ovefeed คือกินทิ้งกินขว้างทั้งลบและบวกจึงมีปัญหาเลยสุขภาพไม่ได้รับการดูแลก็มีปัญหา แต่ถ้าดู Over เกินไปก็มีปัญหาเหมือนกัน

Dysfunctional Family

ครอบครัวที่พ่อแม่รักลูก แต่เลี้ยงลูกแบบใช้อำนาจ

มีทั้งหมด 9ประเภทแต่ก่อนที่จะไปตรงนั้นมีประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูคือ ครอบครัวในประเทศไทยมีการเลี้ยงลูกคือ ใช้อำนาจในการเลี้ยงลูกพ่อแม่เป็นใหญ่เป็นกันเยอะ ไม่ได้เจตนาแต่ตัดสินใจแทนลูกทั้งหมด ทำบนฐานของความรักซึ่งมีเกิน50% ไม่ได้ทำสำรวจแต่ด้วยประสบการณ์เวลาที่เอาลูกมาปรึกษาหมอจับทางได้ว่าใช้อำนาจ คือจับทางจากประสบการณ์และความรู้ที่หมอมีมาร้อยเคสครึ่งหนึ่ง คือรักษาคนที่พามาและอีก 25% ตามไปซ่อมคนส่งมา บริวารของเด็กมีปัญหามากกว่าตัวเด็ก บางคนที่พามาได้ยาแทนคือพ่อแม่อาการหนักเกินเด็ก อำนาจมีไว้ให้กับพ่อแม่นั้นถูกต้องแต่มีไว้ให้ผ่อนลงเรื่อยๆ

ก่อนที่จะลงไปการเลี้ยงดูผิดประเภทหมออยากให้เข้าใจก่อนว่า ด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กพ่อแม่จะต้องช่วยทำให้ลูกทุกคนอยู่รอดและปลอดภัย ได้รับการเลี้ยงดู ปกป้องคุ้มครองและได้การรับการพัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วม

เมื่อลูกเป็นทารกอำนาจจึงอยู่เต็มที่พ่อแม่ในการทำให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย ต่อเมื่อพัฒนาการเติบโตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตรงนี้อำนาจของพ่อแม่ต้องถอย คืออายุ 2ปีแรกพ่อแม่มีอำนาจเต็ม100% แต่พอหลัง2ขวบเริ่มเดินเองได้ นั่งเล่นกับเพื่อนแม้ไม่แบ่งปันแต่ก็นั่งเล่น ช่วยเหลือตัวเองได้อำนาจของพ่อแม่ต้องค่อยๆถอยลงมา เหลือประมาณ 80% แต่พอเข้าสามขวบพ่อแม่เอาลูกไปฝากที่อนุบาลระบบนิเวศน์เปลี่ยน อำนาจของพ่อแม่จะถอยลงมาเหลือ 60 -40% พออยู่ชั้นประถม เพื่อนครู รร. เป็นบ้านหลังที่สองอำนาจของพ่อแม่จะถอยลงไปเรื่อยๆแล้วจะเหลือแค่30%ตอนเข้าสู่วัยรุ่น

ถ้าเป็นวัยรุ่นตอนกลางและเป็นเด็กโตด้วยอำนาจพ่อแม่เหลืออยู่10% แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่เป็นติ่งห้อยอยู่อยากมาปรึกษาก็มา ไม่อยากก็อย่าเข้าไปยุ่ง แต่ปัญหาของการใช้อำนาจครอบครัวบ้านเรากลับหัวหมดเลย ตอนเด็กใช้ทีวีเลี้ยงลูกใช้พี่เลี้ยงimportมาดูแลลูกเราไม่ได้ใช้อำนาจเต็มตรงนั้น แต่พอโตกลับลาออกแล้วมานั่งเฝ้าลูกแล้วไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวจึงทำให้เกิดปัญหาแล้วยิ่งไม่ผ่อนด้วย พ่อแม่มีปัญหากับลูกเร่งรัดกับลูกแล้วก็ไม่ดึงลูกเข้ามาแก้ปัญหาร่วมกัน ถามตัวเองว่าคุยกับลูกกับลูกวัยรุ่นรู้เรื่องไหม

ครอบครัวที่อยากได้ลูกเป็นคนดี จะเห็นว่าสังคมสมัยนี้พ่อแม่เริ่มมีฐานะก็กลายเป็นว่าอยากให้ลูกเป็นคนดีแต่ช่วยเลี้ยงลูกฉันให้เป็นคนดีนะคือการซื้อระบบนิเวศน์ลงทุนเต็มที่ รร.อินเตอร์จะแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย และความคาดหวังก็ตามมา ได้รร.ดีแล้วช่วยเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีหน่อยแต่ไม่ได้กลับมาดูว่าตัวเองกำลังทุ่มอะไรอยู่

ครอบครัวปล่อยปละละเลย บางบ้านไม่ได้ทำหน้าที่บทบาทพ่อแม่ซึ่งคาดหวังสูงมากแต่ใช้เงินซื้อหรือให้คนอื่นทุ่มเทซึ่งเริ่มมีเยอะขึ้นมาจากครอบครัวที่ปล่อยปละละเลย

ครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย สร้างการมีส่วนร่วมตั้งแต่อนุบาล ลูกทุกคนมีความหมาย ลูกมีศักดิ์และศรี ไม่เปรียบเทียบเวลาจะตั้งกฏเกณฑ์ก็มีการพูดคุยแบบนี้อยากให้มีเยอะขึ้น ซึ่งมีเยอะก็จะเป็นประโยชน์กับการเลี้ยงลูกสร้างครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย

Functional Family  คุณลักษณะที่ดีของพ่อแม่ 

1.รักอบอุ่นและไว้วางใจ ต้องไม่สำลักความรักหรือเยอะเกินไป รักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขพ่อแม่ที่รักกันอยู่ได้ต้องมองว่าตอนที่รักกันไม่ได้มีแต่เรื่องดีแต่เป็นการฝ่าฟันมาด้วยกัน รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่เจอแต่ความสุขทุกข์ไม่ได้

2.สื่อสารที่ดีต่อกัน สื่อสารพลังบวก สื่อสารดีบ้านป็นสุข

3.การจัดการควบคุมอารมณ์ตัวเอง เริ่มคุมอารมณ์ตัวพ่อแม่คุมสถานการณ์ได้ แต่การจะให้ลูกเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ลูกดูเราเป็นตัวอย่างที่ดีจะเรียนรู้วิธีการจากเรา ถ้าทำเป็นและมีศิลปะในการควบคุมอารมณ์เอาอยู่ในทุกสถานการณ์

4.มีวินัย วินัยเกิดขึ้นจากส่วนร่วมไม่ใช่พ่อแม่เป็นคนกำหนดกติกาและมีผลบังคับใช้ทุกคนยกเว้นตัวเอง

5.เด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด เด็กทุกคนเกิดมาล้วนมีความหมายหมอต้องการให้ปรับจูนทัศนคติในการเลี้ยงลูก พ่อแม่ต้องล้างทัศนคติไม่ได้เรียนเก่งแต่ชอบวาดรูป พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจและอย่าเอาลูกไปวัดกับระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออก อย่าเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ จะไม่มีปัญหาในการเลี้ยงลูก

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 

ในขณะที่เกมสำหรับเด็กมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ คาสิโนออนไลน์เช่น sa88 ให้ความสำคัญกับผู้ใหญ่ที่แสวงหาความบันเทิงและความตื่นเต้นของการพนัน

รักลูก The Expert Talk EP.69 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “ไม่สำลักความรัก จนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.69 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว "ไม่สำลักความรัก จนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง"

 

เลี้ยงลูกแบบสำลักความรัก รักแบบเร่งรัดลูกอยากให้ลูกได้ดี และประคบประหงมจนไม่ให้ลูกทำอะไร ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก แต่รักมากไปทำลายลูก แก้ปัญหาความรักมากไปนี้อย่างไร 

เลี้ยงประคบประหงม เด็กป่วยได้ง่าย (Munchausen Syndrome by Proxy)

เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูและดูแลสุขภาพแต่มีประเภทที่เยอะเกินไป มีเคสที่ลูกตกเตียงซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงตกตอนเที่ยงแต่พอตกเย็นก็พาลูกมาที่รพ. ให้หมอเช็กอย่างละเอียดเพราะว่ามีลูกคนเดียวและแม่ก็อ่านมาแล้วว่าเลือดที่ซึมออกมาจากในสมองมันจะไม่มีอาการ แต่อยากให้หมอรับรอง100% ว่าลูกไม่มีปัญหา หมอถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงคือเด็กตกเบาะเลี้ยงเด็กซึ่งกลิ้งแล้วหัวกระแทกพื้นไม่ปาร์เก้ลูกตกใจ ร้องไห้ เสร็จแล้วก็เล่นปกติ แต่ว่าแม่ไม่ไว้ใจ และอยากให้ทำMRI ซึ่งการทำกับเด็ก 9เดือนไม่ได้ง่าย แต่ด้วยความที่มีลูกคนเดียวและไม่พลาดไม่ได้เลยขอให้แม่ยืนยันซึ่งไแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย

การทำMRIเด็กต้องนิ่งมากซึ่งทางเดียวที่จะทำคือเพื่อให้เด็กหลับ แล้วฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดว่ามีปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็อาจจะต้องดมยา พอแม่ได้ยินก็บอกหมอว่าเต็มที่ไม่อั้นแต่คนเจ็บตัวคือลูก ลักษณะแบบนี้คือ Munchausen Syndrome by Proxy เครียดมากและวิตกกังวลมาก อาจจะมาจากการเห็นคนในบ้านป่วยจากประสบการณ์เดิม จึงตรวจหาความเสี่ยงของลูกทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพที่เยอะเกินไป

อีกเคสคือคนในครอบครัวคุณย่าเป็นมะเร็งไตแล้วเสียชีวิต แม่ต้องการทำRenal scan (การตรวจสแกนไต) ซึ่งทำไม่ได้ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้แม่ก็ไปเอาน้ำแดงมาผสมในปัสสาวะ แล้วให้หมอตรวจคือสำหรับหมอตรวจไม่ยากว่าเป็นน้ำแดงหรือเลือด แบบนี้คือทำให้เกิดเครียด วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ เครียดแล้วมาลงที่ลูก ผลที่เกิดกับลูกคือเกิดความหวาดระแวงไปกับแม่ ลูกซึมซับความหวาดระแวงจากแม่นี่คือในแง่ของสุขภาพ ลูกกังวล เครียดมาก

เลี้ยงแบบเร่งรัด เด็กต่อต้าน (Overstimulation)

ตอนนี้มีปัญหาเยอะเพราะด้วยระบบแพ้คัดออก เรียนทุกวัน ตื่นตั้งแต่ตีห้าเลิกเรียนก็กวดวิชาแล้วก็ติวกลับมาทำการบ้าน นอนตี1 ตื่นตี5วนไปแบบนี้ทั้งสัปดาห์ พอเสาร์อาทิตย์ก็กวดวิชาเช้าบ่าย หมอเคยเจอเคสรร.สาธิตชื่อดังพอลูกสอบเสร็จพ่อก็ให้ไปเรียนกวดวิชาที่ลงเรียนไว้ ลูกก็โมโหว่าทำไมไม่ถามว่าลูกอยากเรียนไหม เขาอาจจะอยากเล่นไวโอลิน อยากไปเที่ยว พ่อบอกว่าก็อยากจะเป็นหมอ ตอนที่มาหาหมอคือแม่ร้องไห้ พ่อความดันขึ้นเพราะว่าหวังดีแต่ทำไมเป็นแบบนี้

หมอก็ถามว่านี้เป็นเป้าของใครพ่อบอกว่าเป็นของลูก แล้วพอเราลงกวดวิชาเต็มที่แล้วแต่ลูกไม่ได้เป็นหมอจะเสียใจไหมพ่อบอกว่าไม่เสียใจเพราะว่าไม่ใช่เป้าของพ่อ เป็นเป้าของลูกและพ่อก็บอกว่าการที่พ่อจะทำให้ลูกคนหนึ่งมันผิดด้วยหรือ ซึ่งพอคุยไปพ่อก็บอกว่าผมไม่ได้อยากให้ลูกเป็นหมอเขาจะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รักและชอบและขอให้เป็นคนดี หมอก็บอกว่าพูดดีมากให้กลับไปบอกลูก ซึ่งหลังจากนั้นความดันในบ้านก็ลดลงมากเพราะที่ผ่านมาทะเลาะกันตลอด

ตอนนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่วางเป้าให้ลูกเรียบร้อยเลยแล้วลูกก็มีหน้าที่เดินตามเป้าและบอกตัวเองว่าการที่พ่อแม่ทำให้ลูกมันผิดด้วยเหรอ ไม่ผิดแต่เป็นเป้าของพ่อแม่หรือของลูก แล้วการที่ส่งสัญญาณว่าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ได้บอกตรงๆหรือยัง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ก็จะไม่เจอกับการเรียนแบบOverstimulationเร่งรัดบังคับจันทร์ถึงจันทร์ แต่จะได้ใจถึงใจ

เลี้ยงแบบสำลักความรัก (Over Indulgence/Spoiled Child)

มีบ้านไหนที่ลูกทำงานบ้านบ้าง นี่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้านเรามีเด็กเยอะที่ไม่ปัดกวาด ถูบ้านล้างจาน พ่อแม่สปอยทุกอย่างจนทัศนคติของลูกเปลี่ยนว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เขาไม่จำเป็นต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้าน ความรักไม่เกิดบนการร่วมทุกข์ร่วมสุข มีแต่สุขอย่างเดียว เด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นเพื่อนมนุษย์

เวลาจะรักใครก็รักแบบฉาบฉวย พ่อแม่ไม่รู้ตัวว่ากำลังพัฒนาลูกไปเป็นแบบนั้นไม่สามารถรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรนเปรอให้ทุกอย่าง นี่คือการสปอยล์ รักเยอะ ผิดหวังไม่ได้ เจอกับความผิดหวังก็เบรคเลย ไปไกล่เกลี่ยก็ลงเอยด้วยการใช้ความรุนแรง พ่อแม่ต้องรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่มีแต่ความสุข ปรนเปรอแต่ความสุขเจอความยากลำบากไม่ได้ ต้องเจอความยากลำบากร่วมกันง่ายๆ คือ ปัดกวาด ถูกบ้าน ซักผ้า ล้างจาน

เลี้ยงขาดพื้นที่ส่วนตัว เด็กเกิดความเครียด (Parenting Enmeshment)

หมอเคยเจอบ้านที่ไม่ดูทีวีจนอายุ 18ปีจะใช้เครื่องมือสื่อสารไม่ได้ เมื่อเข้าบ้านห้ามใช้ใช้ได้อย่างอิสระเมื่ออายุ 18ปีขึ้นไป ลูกมีห้องส่วนตัวแต่ปิดไม่ได้เพราะว่าพ่อสามารถ เข้าไปดูได้ทุกเมื่อสามารถไปดูแชทส่วนตัวได้ มีเคสที่แม่ลูกชายอายุ 14ปี ยังอาบน้ำกับแม่ขาดพื้นที่ส่วนตัวมาก ถ้าบ้านไหนทำอยู่ให้กลับมาตั้งหลักใหม่

ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่อยากทำอะไรก็ได้เป็นความเข้าใจผิดการให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีของลูกจึงมีนัยยะแม้ลูกโตมาถึงชั้นประถมไม่ต้องรอถึงมัธยม การที่พ่อไม่จับที่สงวนของลูกเลย เคารพในพื้นที่ส่วนตัว ลูกจะเกิดการเรียนรู้เลยว่าขนาดคนเป็นพ่อยังเคารพพื้นที่ส่วนตัว แล้วคนอื่นที่เป็นคนนอกจะมารุกล้ำได้อย่างไร ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้จะสอนด้วยการท่องจำหรือ

การที่พ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะเป็นสิ่งที่ติดตัวลูกเมื่อโตขึ้น อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นไหน อยากให้ลูกเป็นคนเคารพพื้นที่ส่วนตัวก็ต้องทำแบบนั้นกับลูกเช่นเดียวกัน ศรัทธาและสัจจะของลูกมีความหมาย วันนี้เราไม่มั่นใจลูกเลยก็ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นจากพลังบวก เช่นเดียวกันเด็กที่โตมาในครอบครัวที่เข้มงวด ก็จะขาดความมั่นใจไม่เหลือเลย ขาดภาวะผู้นำไม่มีsense of propority การเคารพพื้นที่ส่วนตัวไม่มีถูกล่อลวงโดยไม่รู้ตัวและเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 

 

รักลูก The Expert Talk EP.70 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว "โตไปไม่เป็นปัญหา เร่งสร้างต้นทุนชีวิตให้ลูก"

รักลูก The Expert Talk Ep.70 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว "โตไปไม่สร้างปัญหา เร่งสร้างต้นทุนขีวิตให้ลูก"

 

อีก 2 วิธีของการเลี้ยงลูกที่สร้างปัญหา ได้แก่ เลี้ยงลูกแบบเลี้ยงเข้มงวดมากเกินไป (Insular Family) และเลี้ยงแบบอิสระไร้กฎเกณฑ์กติกา (Boundaryless) เรียกว่าเคร่งครัดมากไปก็ไม่ดีหย่อนยานเกินไปก็เกิดปัญหา

ชวนฟังวิธีการรับมือเลี้ยงลูกจากหมอเดว พร้อมสถานการณ์ต้นทุนชีวิตเด็กไทย ทางออกของปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ฟัง หมอเดว The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.95 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “ไม่จับจด ไม่เอาแต่ใจ รู้ผิดชอบชั่วดี”

รักลูก The Expert Talk Ep.95 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว "ไม่จับจด ไม่เอาแต่ใจ รู้ผิดชอบชั่วดี"

ผลลัพธ์ของการเลี้ยงทั้ง 3แบบเด็กจะเป็นอย่างไร หากกำลังเลี้ยงลูกแบบ 3 วิธีการนี้ ลูกจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร และต้องปรับแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างไร ฟัง The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

เราเลี้ยงลูกบนความไม่เข้าใจบางเรื่องเป็นความปรารถนาดีอยากให้ลูกมีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ความปรารถนาบางครั้งต้องให้ลูกเจอความผิดหวัง เช่น ลูกผิดหวังไม่ได้เลยก็ต้องสอนให้ลูกผิดหวังบางครั้งพ่อแม่เจ็บปวดที่ลูกร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งหวังซึ่งไม่ผิด แต่เราปรับจูนความเข้าใจกันว่าจะมีจังหวะไหนที่ผ่อน จังหวะไหนที่ตึงบางเรื่องแล้วทำให้พ่อแม่รู้เท่าทันว่าบางเรื่องเราต้องถอยบางเรื่องรักษาระยะห่างเป็นการเรียนรู้ร่วมกันแต่จะผิดคือบกพร่องหน้าที่พ่อแม่

เลี้ยงปกป้องเกินไป เด็กขาดความมั่นใจ (Over Protection)

เป็นหน้าที่พ่อแม่ที่ต้องปกป้องลูกแต่ถ้ามากเกินไปมีปัญหาคือไม่ปกป้องเลย เช่น ตอนเป็นเด็กลูกร้องไห้ ปัสสาวะ อุจจาระราดที่บอกว่าเด็กร้องไห้ไม่ต้องสนใจ จริงๆแล้วเด็กอายุน้อยกว่า 6เดือนไม่มีมารยาไม่มีอารมณ์ไม่มีเงื่อนไขแต่รู้สึกไม่สบายตัวจึงร้องไห้ออกมา พ่อแม่ต้องรีบไปดูทันทีเพื่อปกป้องแต่พ่อแม่ไม่ทำนี่คือบกพร่องต่อหน้าที่ หิวก็ปล่อยลูกร้องอายุน้อยกว่า 6เดือน ซึ่งถ้าน้อยกว่า6เดือนไม่มีเงื่อนไขนอกจากหิวไม่สบายตัวจริงๆ

หรือที่ชัดกว่านี้คือเมื่อเด็กมีอารมณ์แต่พ่อแม่น็อตหลุดแทนที่จะเป็นการปกป้องกลายเป็นทารุณกรรมนี่เป็นปัญหา ซึ่งมีหลากหลาย Under Protection แย่ บกพร่อง มีปัญหา และ Over Protectionก็มีปัญหา เช่น เด็กที่ไปเที่ยวแล้วก็ถามว่า “รู้ไหมชั้นลูกใคร” แล้วพ่อแม่ตามไปปกป้อง แม้กระทั่งลูกทำผิดกฎหมายก็ยังเข้าข้าง ปกป้องคุ้มครองจนไม่รู้รับผิดชอบชั่วดี

หรือกรณีที่ด็กอนุบาลแกล้งกันเด็กจบแล้วแต่พ่อแม่ไม่จบบิวท์อารมณ์กันผ่านSocial mediaใช้อารมณ์ของลูกเป็นตัวตั้งจนยกพวกตีกันในรร.อนุบาล แต่ลูกกำลังเห็นโมเดลว่าพ่อแม่กำลังทำอะไร คือยิ่งมีลูกน้อยลงพ่อแม่จะรักแบบเทหมดใจ ซึ่งดีแต่มันเยอะเกินไปผลคือเด็กไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

เลี้ยงอ้วน เด็กเอาแต่ใจ (Overfeeding)

คำว่าอ้วนเอาแต่ใจมาจากระดับโภชนาการและเรื่องการซื้อของ มีอันจะกิน มีข้าวกิน มีอาหาร มีของครบตามความจำเป็นหมวดนี้คือการบริโภคนิยมและทุนนิยมอ้วนเอาแต่ใจ เป็นประเภทที่เยอะ แต่ถ้าบกพร่องคือข้าวไม่มีกินคือเกิดปัญหาเราเห็นเด็กที่มีปัญหาภาวะขาดอาหารทุพภาวะโภชนาการ ส่วนอีกกลุ่มตรงกันข้ามคือ มีอันจะกิน กินทิ้งกินขว้าง กินไม่เลือก กินได้ตลอดเวลา จึงขึ้นว่าอ้วนเอาแต่ใจ

มีเคสหนึ่งที่พ่อจบป.เอกถามหมอว่าสอนให้ลูกหัดผิดหวังให้เป็น แล้วถ้าลูกผมดูดขวดนมอย่างสร้างสรรค์แล้วจู่ๆ จะให้ยกเลิกการดูดขวดนมอย่างสร้างสรรค์ก็เท่ากับว่าผมไปบล็อกความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งลูกอายุ 8ขวบแล้วหมอตกใจมากที่ยังดูดนมอยู่คือไม่ต้องคิดว่าอ้วน ฟันผุ ฟันเหยินหรือไม่ หมอจึงบอกพ่อคนนั้นว่าเป็นหน้าที่ของพ่อไหมต้องสอนให้ลูกหัดผิดหวังให้เป็น หรือพอจะตอบหมอได้ไหมว่าจะอยู่จนชั่วชีวิตลูกจะหาไม่ไหม

Overfeed คือการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นการผิดหลักEQทั้งหมดจะเห็นว่าเด็กเอาแต่ใจ ยับยั้งอารมณ์ไม่ได้ ไม่ซื้อของลงไปดิ้นกลางห้าง โตมาหน่อยก็กรี๊ดสนั่นหรือพ่อแม่ที่ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมไม่อั้นลูกก็ซึมซับ ปากเราพูดอย่างแต่เราทำอีกแบบ ลูกเห็นว่าพ่อแม่ก็ไม่ยั้งตัวเองจับจ่ายอย่างสนุกซื้ออาหารเต็มที่เพราะว่ารวย กินทิ้งกินขว้างไม่มี dog bag คือเหลือเอาเก็บมากิน ลักษณะนี้เรียกว่า อ้วนเอาแต่ใจ มีปัญหาEQ โตมาเป็นคนที่บริโภคนิยมทุนนิยมใช้เงินซื้อทั้งหมดเราคงไม่อยากฝึกลูกให้เป็นแบบนี้ การยั้งตัวเองแล้วทำให้ดูมีประสิทธิภาพ กว่าใช้ปากพูดแล้วสอนให้ลูกเป็นแต่วิธีการทำเป็นอีกแบบมันทำไม่ได้พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบ

เลี้ยงอวดรวย (Multiple homes)

หลักการคือการไม่มีบ้านก็เป็นเด็กเร่ร่อนคือบกพร่องไม่มีบ้านอยู่ ส่วนมีหลายบ้านคือมีทั้งบ้านและคอนโด จันทร์ถึงศุกร์อยู่คอนโดเสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน ผลคือลูกไม่รู้จักข้างบ้าน ไม่มีการร่วมทุกข์ร่วมสุข ซึ่งเมื่อก่อนเราเติบโตมาเป็นชุมชนมีรากเหง้าเราจะเรียนรู้ซึมซับร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับชุมชนจะรักและเรียนรู้รากเหง้าของเราเองว่าเราเป็นคนจังหวัดนี้ พอย้อนกลับไปก็ภูมิใจว่าบ้านเราเมื่อก่อนเจริญแต่เด็กยุคนี้ไม่มี

การอยู่หลายที่ทำให้ความรักในรากเหง้าการเรียนรู้อยู่ในชุมชนจะอ่อนแอไปด้วย ผลลัพธ์คือโตเป็นคนจับจด เปลี่ยนที่ได้ง่ายเวลาเข้ามาทำงานก็ทำงานตามค่าตอบแทนที่สูงกว่า ความมั่นคงในจิตใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขในองค์กรไม่มี อาจจะบอกว่านี่เป็นเทรนด์ใหม่ของโลกก็เพราะสถานการณ์บีบบังคับจึงทำให้ได้เทนรด์ใหม่ของโลกในลักษณะนี้ แต่เราจำเป็นต้องเติมไม่งั้นจะเป็นประเด็นเกิดขึ้นได้แน่นอน

สร้างวิถีใหม่ปรับเปลี่ยนแนวทางการเลี้ยงลูก

1.เรียนรู้ว่าความรักกับความถูกต้องคนละเรื่องกัน รักลูกก็จริงแต่ผิดลูกก็ต้องเรียนรู้ไม่ปกป้องแม้จะผิด

2.ต้องระมัดระวัง มีบันยะบันยัง วิธีการคือเราเองต้องเป็นต้นแบบที่ดี ทั้งการเลือกกิน เลือกซื้อของ คือหลักพอเพียง หัดเบรคตัวเองมีแล้วหรือยังลูกก็จะเรียนรู้ว่าพ่อแม่ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย

3.ต้องเปิดใจให้ลูกเรียนรู้ อยู่ร่วมกับการมีหลายบ้านให้รักรากเหง้าทำให้ลูกเป็นผู้ให้ในหมู่บ้าน ชุมชนในคอนโด ก็จะทำให้เกิดการรักรากเหง้าร่วมทุกข์ร่วมสุขในชุมชนได้

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.97 (Rerun) : “Dysfunctional Family” บทบาทหน้าที่ครอบครัวบกพร่อง

 

รักลูก The Expert Talk Ep.97 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว Dysfunctional Family บทบาทหน้าที่ครอบครัวบกพร่อง?! 


Dysfunctional Family การทำหน้าที่ของครอบครัวบกพร่อง บกพร่องด้านไหนบ้าง กระทบกับครอบครัวและลูกอย่างไร เมื่อรู้แล้วจะรับมือแก้ไขแบบไหน

ชวนทวนสอบบทบาทหน้าที่ครอบครัวกันค่ะ ว่าเรากำลังอยู่ในสถานะ Dysfunctional Family อยู่หรือเปล่า ฟังคุณหมอเดวพูดเรื่องนี้กันได้ที่ รักลูก Podcast

 

ปัญหาสภาพครอบครัวไทย

ครอบครัวไทยตอนนี้มี20ล้านครอบครัว ในจำนวนนี้มีประเด็นใหม่ๆเกิดขึ้น 2หมวดใหญ่ๆ คือ

โครงสร้างครอบครัวมีขนาดเล็กลง TFR (Total Fatality Rate) อัตราการมีลูกของเด็กในประเทศไทยตอนนี้ค่าเฉลี่ยที่ 1.4 เดิม 1.6 คือส่วนใหญ่มีลูก 1คน ซึ่งประเทศเสียเปรียบเพราะปิรามิดของประชากรเปลี่ยนแต่เดิมผู้สูงวัยน้อยฐานวัยแรงงานเยอะ คือ 10:1 (ทำงาน 10คน ผู้สูงอายุ 1คน) เมื่อ20ปีที่แล้วลดลงมาเหลือ 5:1 ปัจจุบันเหลือ 2:1 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั้นหมายถึงว่าประชากรวัยแรงงานจะต้องดูผู้สูงอายุ 1:1 ต้องทำงานและดูแลผู้สูงอายุด้วย ซึ่งถ้าเป็นสภาพนี้ผู้สูงอายุจะเยอะมากคือ ประชากร 10คนจะมีอย่างน้อย 3 คนที่อายุเกิน 60ปีและหนึ่งในสามนั้นมีหนึ่งคนที่อายุเกิน 65ปี และเริ่มมีคำใหม่คือ ชมรม DINK (Double Income No Kids)แต่งงานแต่ไม่มีลูก นี่คือโครงสร้างที่มีปัญหา ดังนั้นโครงสร้างใหม่คือSmall Family คือครอบครัวพ่อแม่ลูกชุมชนก็ไม่รู้จัก ไซซ์เล็ก ครอบครัวหย่าร้างซึ่งอัตราอยู่ระหว่าง 5-10% ก็จะมีพ่อเลี้ยงเดี่ยวแม่เลี้ยงเดี่ยว มีครอบครัวแหว่งกลาง บางภาคตามหัวเมืองจะเห็นภาพที่ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลาน พ่อแม่ทำงานในเมือง

Unicef รายงานข้อมูลว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า 18ปี สามล้านคนที่พ่อแม่มีชีวิตแต่ไม่ได้เลี้ยง ในจำนวนนี้ 500,000คนเป็นเด็กปฐมวัย ซึ่งเรารับรู้ว่าเด็กวัยนี้พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู นี่คือโครงสร้างของครอบครัวที่มีปัญหา ซึ่งต้องยอมรับว่ามีปัญหาเดิมและมีปัญหามากขึ้น

และอีกประเด็นคือ Dysfunction คือการทำหน้าที่ของครอบครัวบกพร่องทั้งลบและบวกมีปัญหาทั้งนั้น หน้าที่ของครอบครัวคือให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข การมีความสุขคือการมีข้าวกินมีบ้านอยู่ เพราะฉะนั้นบทบาทของครอบครัวต้องดูแลร่วมกันเพื่อให้ได้ปัจจัยสี่ ขั้นพื้นฐาน และอีกปัจจัยคือ Psychological ทางด้านจิตใจ อารมณ์ เช่น สมาชิกเมื่ออยู่ในบ้านแล้วมีปฏิสัมพันธ์ มีความรู้สึกที่อบอุ่น ปลอดภัย Sense of security ถ้าเข้าบ้านแล้วมีทารุณกรรม แสดงว่าบ้านมีปัญหาหรือเข้ามาในบ้านไม่คุยกันเลย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างสังคมไม่เกี่ยวกับเรื่องหย่าร้าง แต่ฟังก์ชั่นมีปัญหานี่คือระดับทางจิตใจ

ส่วนด้านสังคมสมาชิกในครอบครัวต้องดูแลให้มีปฏิสัมพันธ์ทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในชุมชนต้องรู้จักกัน เยี่ยมญาติพี่น้อง พบเพื่อนฝูง รู้จักการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม นี่คือลักษณะ Socialogical ถ้าดูง่ายเลยๆ Physical ปัจจัยขั้นพื้นฐาน Psychological ปัจจัยทางด้านจิตใจและอารมณ์และปัจจัยทางด้านสังคม ซึ่งถ้าบกพร่อง บ้านไม่มีให้อยู่ก็เดือดร้อนข้าวไม่มีกินนี่คือบกพร่อง แต่อีกฟากหนึ่งคือมีหลายบ้านหรืออีกบ้าน Ovefeed คือกินทิ้งกินขว้างทั้งลบและบวกจึงมีปัญหาเลยสุขภาพไม่ได้รับการดูแลก็มีปัญหา แต่ถ้าดู Over เกินไปก็มีปัญหาเหมือนกัน

Dysfunctional Family

ครอบครัวที่พ่อแม่รักลูก แต่เลี้ยงลูกแบบใช้อำนาจ มีทั้งหมด 9ประเภทแต่ก่อนที่จะไปตรงนั้นมีประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูคือ ครอบครัวในประเทศไทยมีการเลี้ยงลูกคือ ใช้อำนาจในการเลี้ยงลูกพ่อแม่เป็นใหญ่เป็นกันเยอะ ไม่ได้เจตนาแต่ตัดสินใจแทนลูกทั้งหมด ทำบนฐานของความรักซึ่งมีเกิน50% ไม่ได้ทำสำรวจแต่ด้วยประสบการณ์เวลาที่เอาลูกมาปรึกษาหมอจับทางได้ว่าใช้อำนาจ คือจับทางจากประสบการณ์และความรู้ที่หมอมีมาร้อยเคสครึ่งหนึ่ง คือรักษาคนที่พามาและอีก 25% ตามไปซ่อมคนส่งมา บริวารของเด็กมีปัญหามากกว่าตัวเด็ก บางคนที่พามาได้ยาแทนคือพ่อแม่อาการหนักเกินเด็ก อำนาจมีไว้ให้กับพ่อแม่นั้นถูกต้องแต่มีไว้ให้ผ่อนลงเรื่อยๆ

ก่อนที่จะลงไปการเลี้ยงดูผิดประเภทหมออยากให้เข้าใจก่อนว่า ด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กพ่อแม่จะต้องช่วยทำให้ลูกทุกคนอยู่รอดและปลอดภัย ได้รับการเลี้ยงดู ปกป้องคุ้มครองและได้การรับการพัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วม

เมื่อลูกเป็นทารกอำนาจจึงอยู่เต็มที่พ่อแม่ในการทำให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย ต่อเมื่อพัฒนาการเติบโตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตรงนี้อำนาจของพ่อแม่ต้องถอย คืออายุ 2ปีแรกพ่อแม่มีอำนาจเต็ม100% แต่พอหลัง2ขวบเริ่มเดินเองได้ นั่งเล่นกับเพื่อนแม้ไม่แบ่งปันแต่ก็นั่งเล่น ช่วยเหลือตัวเองได้อำนาจของพ่อแม่ต้องค่อยๆถอยลงมา เหลือประมาณ 80% แต่พอเข้าสามขวบพ่อแม่เอาลูกไปฝากที่อนุบาลระบบนิเวศน์เปลี่ยน อำนาจของพ่อแม่จะถอยลงมาเหลือ 60 -40% พออยู่ชั้นประถม เพื่อนครู รร. เป็นบ้านหลังที่สองอำนาจของพ่อแม่จะถอยลงไปเรื่อยๆแล้วจะเหลือแค่30%ตอนเข้าสู่วัยรุ่น

ถ้าเป็นวัยรุ่นตอนกลางและเป็นเด็กโตด้วยอำนาจพ่อแม่เหลืออยู่10% แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่เป็นติ่งห้อยอยู่อยากมาปรึกษาก็มา ไม่อยากก็อย่าเข้าไปยุ่ง แต่ปัญหาของการใช้อำนาจครอบครัวบ้านเรากลับหัวหมดเลย ตอนเด็กใช้ทีวีเลี้ยงลูกใช้พี่เลี้ยงimportมาดูแลลูกเราไม่ได้ใช้อำนาจเต็มตรงนั้น แต่พอโตกลับลาออกแล้วมานั่งเฝ้าลูกแล้วไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวจึงทำให้เกิดปัญหาแล้วยิ่งไม่ผ่อนด้วย พ่อแม่มีปัญหากับลูกเร่งรัดกับลูกแล้วก็ไม่ดึงลูกเข้ามาแก้ปัญหาร่วมกัน ถามตัวเองว่าคุยกับลูกกับลูกวัยรุ่นรู้เรื่องไหม

ครอบครัวที่อยากได้ลูกเป็นคนดี จะเห็นว่าสังคมสมัยนี้พ่อแม่เริ่มมีฐานะก็กลายเป็นว่าอยากให้ลูกเป็นคนดีแต่ช่วยเลี้ยงลูกฉันให้เป็นคนดีนะคือการซื้อระบบนิเวศน์ลงทุนเต็มที่ รร.อินเตอร์จะแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย และความคาดหวังก็ตามมา ได้รร.ดีแล้วช่วยเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีหน่อยแต่ไม่ได้กลับมาดูว่าตัวเองกำลังทุ่มอะไรอยู่

ครอบครัวปล่อยปละละเลย บางบ้านไม่ได้ทำหน้าที่บทบาทพ่อแม่ซึ่งคาดหวังสูงมากแต่ใช้เงินซื้อหรือให้คนอื่นทุ่มเทซึ่งเริ่มมีเยอะขึ้นมาจากครอบครัวที่ปล่อยปละละเลย

ครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย สร้างการมีส่วนร่วมตั้งแต่อนุบาล ลูกทุกคนมีความหมาย ลูกมีศักดิ์และศรี ไม่เปรียบเทียบเวลาจะตั้งกฏเกณฑ์ก็มีการพูดคุยแบบนี้อยากให้มีเยอะขึ้น ซึ่งมีเยอะก็จะเป็นประโยชน์กับการเลี้ยงลูกสร้างครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย

Functional Family  คุณลักษณะที่ดีของพ่อแม่ 

1.รักอบอุ่นและไว้วางใจ ต้องไม่สำลักความรักหรือเยอะเกินไป รักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขพ่อแม่ที่รักกันอยู่ได้ต้องมองว่าตอนที่รักกันไม่ได้มีแต่เรื่องดีแต่เป็นการฝ่าฟันมาด้วยกัน รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่เจอแต่ความสุขทุกข์ไม่ได้

2.สื่อสารที่ดีต่อกัน สื่อสารพลังบวก สื่อสารดีบ้านป็นสุข

3.ควบคุมอารมณ์ตัวเอง เริ่มคุมอารมณ์ตัวพ่อแม่คุมสถานการณ์ได้ แต่การจะให้ลูกเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ลูกดูเราเป็นตัวอย่างที่ดีจะเรียนรู้วิธีการจากเรา ถ้าทำเป็นและมีศิลปะในการควบคุมอารมณ์เอาอยู่ในทุกสถานการณ์

4.มีวินัย วินัยเกิดขึ้นจากส่วนร่วมไม่ใช่พ่อแม่เป็นคนกำหนดกติกาและมีผลบังคับใช้ทุกคนยกเว้นตัวเอง

5.เด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด เด็กทุกคนเกิดมาล้วนมีความหมายหมอต้องการให้ปรับจูนทัศนคติในการเลี้ยงลูก พ่อแม่ต้องล้างทัศนคติไม่ได้เรียนเก่งแต่ชอบวาดรูป พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจและอย่าเอาลูกไปวัดกับระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออก อย่าเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ จะไม่มีปัญหาในการเลี้ยงลูก

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u