facebook  youtube  line

Mom’s Issue EP 05. ตอน “เนื้อหา บทเรียนที่ยากเกินไป ส่งผลอย่างไรต่อการเรียนรู้ของเด็กบ้าง”

 

นอกจากประเด็นเรื่องความยากง่ายของการบ้านมีสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ ระดับการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเด็ก หากเด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินไปส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรบ้าง

รวมไปถึงหลากหลายประเด็นที่คาใจพ่อแม่ ทั้งการเรียนที่ยากและการบ้านที่ต้องทำ

 

ฟังมุมมองนักวิชาการด้านศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า

อาจารย์สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่

Apple podcast : Rakluke Podcast

Spotify : Rakluke Podcast

YouTube Channel : Rakluke Club

Mom’s Issue EP 06. ตอน "เปิดเทอมยุคโควิด พ่อแม่ต้องพร้อมแค่ไหน ลูกได้หรือเสีย"

 

ไขข้อข้องใจ ช่วยคลี่คลายความกังวลให้กับพ่อแม่ หลากหลายคำถามจะฉีดวัคซีนดีไหมนะ ปลอดภัยแล้วหรือยัง? เปิดเทอมแล้วจะพาลูกไปโรงเรียนดีไหม?

แม่ดอยและป้าปอยมาชวนคิด ชวนคุย แบ่งปันมุมมอง และนำข้อมูลจากคุณหมอมาช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจได้อย่างรอบด้าน และสังเกตอาการ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านอื่นๆ

 

ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่

Apple podcast : Rakluke Podcast

Spotify : Rakluke Podcast

YouTube Channel : Rakluke Club 

Mom’s Issue EP 07. ตอน เทคนิคป้องกันลูกจากสื่อร้ายในโลกโซเชียล

 

ลูกเรียนออนไลน์ไม่ได้เปิดแค่โปรแกรมเรียนเท่านั้น เพราะหลายครั้งจะต้องใช้เว็บไซต์ค้นหาความรู้ไปด้วย จะให้ลูกท่องเว็บยังไงให้ไกลจากบรรดาเว็บไม่เหมาะสม ทั้งเว็บโป๊ เว็บพนัน เว็บขายของหลอกลวง พร้อมการป้องกันที่ดีที่สุดคือการให้ลูกมี Digital Literacy จะสอนและทำได้อย่างไร แม่ดอยและป้าปอยมีวิธีการบอก

 

ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่

Apple podcast : Rakluke Podcast

Spotify : Rakluke Podcast

YouTube Channel : Rakluke Club

รหัสโปรโมชั่น Roobet "CSGOBETTINGS" รับสิทธิพิเศษ ไม่มีเงินฝาก และฟรีสปิน

ใRoobet Promo Code "CSGOBETTINGS" รับสิทธิพิเศษ ไม่มีเงินฝาก และฟรีสปิน

Roobet เป็นคาสิโนออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการการพนันออนไลน์ มีความโดดเด่นในเรื่องของเกมที่หลากหลาย ระบบการเล่นที่ทันสมัย และโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ หนึ่งในข้อเสนอที่ดีที่สุดของ Roobet คือการใช้ Roobet รหัสโปรโมชั่น "CSGOBETTINGS" เพื่อรับสิทธิพิเศษที่ไม่ควรพลาด เช่น โบนัสไม่มีเงินฝาก ฟรีสปิน และเงินคืน 20% ภายใน 7 วันแรกของการสมัครสมาชิกใหม่

ในบทความนี้ เราจะสำรวจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Roobet promo code วิธีการใช้โบนัสอย่างมีประสิทธิภาพ และข้อดีของการเข้าร่วมโปรแกรม RooWards ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะของคุณ

รีวิวโค้ดโปรโมชั่นและโบนัส Roobet

Roobet มีชื่อเสียงในฐานะคาสิโนออนไลน์ที่ให้ประสบการณ์การเล่นที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นที่คุ้มค่ามากมายให้กับผู้เล่นทั่วโลก โดยเฉพาะ รหัสโปรโมชั่น Roobet "CSGOBETTINGS" ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้รับโบนัสที่ไม่ต้องมีการฝากเงินก่อน (No Deposit Bonus) ฟรีสปิน และเงินคืน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นใหม่

โบนัสไม่มีเงินฝาก (No Deposit Bonus)

โบนัสไม่มีเงินฝากเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่น่าสนใจที่สุดของ Roobet เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่สามารถเริ่มเล่นเกมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการฝากเงินก่อน ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถสำรวจและสนุกกับเกมต่าง ๆ ที่ Roobet นำเสนอได้โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เพื่อรับโบนัสนี้จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองเล่นคาสิโนออนไลน์โดยไม่ต้องใช้เงินของตนเอง

ฟรีสปิน (Free Spins)

อีกหนึ่งข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมจากการใช้ Roobet promo code คือการได้รับฟรีสปิน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้เล่นเกมสล็อต ฟรีสปินช่วยให้คุณสามารถเล่นเกมสล็อตที่คุณชื่นชอบได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินทุนของคุณเอง ฟรีสปินที่ได้รับจากโปรโมชั่นนี้สามารถนำไปใช้ในเกมสล็อตยอดนิยม เช่น Sweet Bonanza, Book of Dead, และเกมอื่น ๆ ที่มีโอกาสชนะรางวัลใหญ่ การใช้ฟรีสปินในเกมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการชนะเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสนุกสนานในการเล่นอีกด้วย

ข้อเสนอโบนัสจาก Roobet

Roobet มีการนำเสนอโบนัสที่หลากหลายและคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นโบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงินครั้งแรก หรือโบนัสเงินคืน ซึ่งแต่ละโบนัสมีจุดเด่นและเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงข้อเสนอเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

โบนัส 20% Cashback ภายใน 7 วันแรก

หนึ่งในโบนัสที่น่าสนใจที่สุดคือโบนัสเงินคืน 20% ภายใน 7 วันแรกหลังจากที่คุณทำการฝากเงินครั้งแรก โบนัสนี้มีความสำคัญมากสำหรับผู้เล่นใหม่ เนื่องจากมันช่วยลดความเสี่ยงในการเล่นเกม หากคุณสูญเสียเงินในช่วงเวลานี้ Roobet จะคืนเงินให้คุณถึง 20% ของยอดที่สูญเสีย ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเงินทุนในการเล่นต่อได้ทันที ทำให้คุณมีโอกาสในการชนะและเพิ่มกำไรได้มากขึ้น

RooWards และสิทธิพิเศษต่าง ๆ

Roobet ยังมีโปรแกรมสะสมคะแนนที่เรียกว่า RooWards ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เล่นที่มีการเล่นเกมอย่างต่อเนื่องและสะสมคะแนนได้มาก ผู้เล่นที่ใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะได้รับ RooWards ทันทีในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นทันที เช่น การได้รับโบนัสเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นประจำ หรือการเข้าถึงกิจกรรมพิเศษที่ให้รางวัลมากมาย การใช้ RooWards ทำให้การเล่นที่ Roobet ยิ่งน่าสนใจและคุ้มค่ามากขึ้น

โปรโมชั่นล่าสุดจาก Roobet

Roobet มักจะมีการอัปเดตโปรโมชั่นอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้เล่นได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเล่นเกมออนไลน์ การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงโปรโมชั่นล่าสุดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

โบนัสฝากเงินครั้งแรกและโปรโมชั่นพิเศษ

Roobet มีโบนัสฝากเงินครั้งแรกที่น่าประทับใจ โดยเมื่อผู้เล่นใหม่ทำการฝากเงินครั้งแรกจะได้รับโบนัสที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือได้รับฟรีสปินเพิ่มเติมในเกมสล็อตที่กำหนด โบนัสนี้ทำให้ผู้เล่นมีเงินทุนเพิ่มขึ้นสำหรับการเริ่มต้นเล่นเกม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการสำรวจและทดลองเล่นเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Roobet

นอกจากนี้ Roobet ยังมีโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น โปรโมชั่นในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสนุกสนานในการเล่นเกม การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นเหล่านี้ เช่น การได้รับโบนัสเพิ่มเติมในช่วงเทศกาล หรือการเข้าถึงกิจกรรมพิเศษที่ให้รางวัลมากมาย

วิธีการใช้รหัสโปรโมชั่น Roobet (ขั้นตอนการใช้)

การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เป็นกระบวนการที่ง่ายและสะดวก แต่เพื่อให้ผู้เล่นทุกคนมั่นใจในการใช้รหัสนี้ เรามีขั้นตอนการใช้รหัสที่ชัดเจนดังนี้:

  1. สมัครสมาชิกหรือเข้าสู่ระบบ: ถ้าคุณยังไม่มีบัญชีที่ Roobet คุณต้องสมัครสมาชิกก่อน โดยการกรอกข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้ใช้ อีเมล และรหัสผ่าน หลังจากนั้นยืนยันอีเมลของคุณเพื่อเริ่มต้น
  2. ไปที่หน้าโปรโมชั่นหรือการฝากเงิน: เมื่อคุณเข้าสู่ระบบแล้ว ให้ไปที่หน้าฝากเงินหรือหน้าโปรโมชั่น ซึ่งจะมีช่องให้คุณกรอก Roobet promo code
  3. กรอกรหัสโปรโมชั่น "CSGOBETTINGS": ในขั้นตอนการฝากเงิน ให้คุณกรอกรหัส "CSGOBETTINGS" ลงในช่องที่กำหนด จากนั้นกดยืนยัน
  4. ตรวจสอบโบนัสที่ได้รับ: หลังจากกรอกรหัสและยืนยัน ระบบจะแสดงโบนัสที่คุณจะได้รับ คุณสามารถตรวจสอบโบนัสในบัญชีของคุณได้ทันที
  5. เริ่มเล่นและใช้โบนัส: เมื่อโบนัสถูกเพิ่มเข้าสู่บัญชีของคุณ คุณสามารถเริ่มเล่นเกมต่าง ๆ ที่ Roobet เสนอได้ทันที โดยใช้โบนัสที่ได้รับในการวางเดิมพัน

การใช้ Roobet promo code ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณได้รับโบนัสเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โปรโมชั่นพิเศษอื่น ๆ ที่ Roobet มีให้ ทำให้การเล่นคาสิโนออนไลน์ของคุณมีความสนุกสนานและตื่นเต้นมากขึ้น

ข้อดีของการใช้รหัสโปรโมชั่น Roobet

การใช้ Roobet promo code มีข้อดีมากมายที่ผู้เล่นทุกคนควรรู้:

  • เพิ่มโอกาสในการชนะ: ด้วยโบนัสฟรีสปินและเงินคืน คุณจะมีโอกาสเล่นเกมได้นานขึ้นและเพิ่มโอกาสในการชนะ
  • ประหยัดเงินทุน: การใช้ Roobet promo code ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในการเล่นเกม เนื่องจากโบนัสที่ได้รับสามารถใช้เป็นเงินทุนในการเล่นได้
  • เข้าถึงโปรโมชั่นพิเศษ: บางโปรโมชั่นอาจจำกัดให้เฉพาะผู้ที่ใช้รหัสโปรโมชั่นเท่านั้น ดังนั้น การใช้รหัสโปรโมชั่นจะทำให้คุณสามารถเข้าถึงข้อเสนอพิเศษที่คนอื่นไม่ได้รับ
  • เพิ่มประสบการณ์ในการเล่น: ด้วยการใช้รหัสโปรโมชั่น คุณจะได้รับโบนัสต่าง ๆ ที่ทำให้การเล่นเกมของคุณสนุกสนานและน่าสนใจยิ่งขึ้น
  • ความปลอดภัยในการใช้รหัส: การใช้รหัสโปรโมชั่นที่ Roobet นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการยอมรับและมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุดในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและการทำธุรกรรมทางการเงิน

ความปลอดภัยในการใช้ Roobet promo code

Roobet เป็นคาสิโนออนไลน์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงการ การใช้ Roobet promo code นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน การทำธุรกรรมทางการเงินและข้อมูลส่วนตัวของคุณได้รับการปกป้องด้วยระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้คุณสามารถใช้รหัสโปรโมชั่นและเล่นเกมได้อย่างสบายใจ

Roobet ยังใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลขั้นสูงเพื่อปกป้องข้อมูลของผู้เล่นทุกคน ซึ่งหมายความว่าข้อมูลการทำธุรกรรมและข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยหรือใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ Roobet ยังได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มั่นใจว่าเกมที่พวกเขานำเสนอเป็นธรรมและมีความโปร่งใส

การถอนโบนัส

เมื่อคุณได้รับโบนัสจากการใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" แล้ว คุณอาจต้องการถอนเงินโบนัสนั้นออกมาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน การถอนโบนัสที่ Roobet นั้นไม่ยุ่งยาก แต่คุณจำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขการเล่นที่กำหนดไว้ก่อน เช่น การเล่นให้ครบตามจำนวนครั้งที่กำหนดหรือการใช้โบนัสในเกมที่ระบุไว้เท่านั้น

Roobet มีวิธีการถอนเงินที่หลากหลายให้คุณเลือก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การถอนผ่านสกุลเงินดิจิตอล เช่น Bitcoin และ Ethereum การทำธุรกรรมการถอนเงินมักจะเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่นาน ทำให้คุณได้รับเงินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย

การทำธุรกรรมที่ Roobet ได้รับการปกป้องด้วยมาตรการความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้ผู้เล่นสามารถมั่นใจได้ว่าเงินของพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างดี นอกจากนี้ Roobet ยังมีฝ่ายบริการลูกค้าที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ หากคุณมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการถอนเงิน คุณสามารถติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โปรโมชั่นหลักจาก Roobet

Roobet มีโปรโมชั่นหลักที่น่าสนใจมากมายให้กับผู้เล่นใหม่และผู้เล่นปัจจุบัน ซึ่งโปรโมชั่นเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสนุกในการเล่นเกม แต่ยังเพิ่มโอกาสในการชนะอีกด้วย

โบนัสต้อนรับ (Welcome Bonus)

โบนัสต้อนรับที่ Roobet เสนอให้กับผู้เล่นใหม่เป็นหนึ่งในโปรโมชั่นที่คุ้มค่าที่สุด โดยผู้เล่นสามารถรับโบนัสเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือรับฟรีสปินเพิ่มเติมในเกมสล็อตที่กำหนด โบนัสนี้เป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นการเล่นที่ Roobet ด้วยเงินทุนที่มากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการชนะและสำรวจเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Roobet

โปรโมชั่นฝากเงินประจำ (Regular Deposit Bonuses)

Roobet ยังมีโปรโมชั่นสำหรับการฝากเงินประจำ ซึ่งผู้เล่นสามารถรับโบนัสเพิ่มเติมจากการฝากเงินครั้งที่สอง สาม หรือสี่ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษที่ให้ฟรีสปินหรือโบนัสเพิ่มขึ้นเมื่อทำการฝากเงินในช่วงเวลาที่กำหนด โปรโมชั่นเหล่านี้ช่วยให้ผู้เล่นมีโอกาสเพิ่มเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการชนะในระยะยาว

Roobet มักจะมีโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมพิเศษ เช่น โปรโมชั่นในช่วงปีใหม่ ฮาโลวีน หรือวันหยุดอื่น ๆ ผู้เล่นสามารถรับโบนัสพิเศษ ฟรีสปิน หรือรางวัลพิเศษที่ไม่มีในช่วงเวลาอื่น ๆ การใช้ Roobet promo code จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นเหล่านี้

สรุป

การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มโอกาสในการชนะและรับสิทธิพิเศษมากมายจาก Roobet ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นใหม่หรือผู้เล่นที่มีประสบการณ์ การใช้ Roobet promo code จะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการเล่นคาสิโนออนไลน์อย่างแน่นอน อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชั่นล่าสุดและติดตามข่าวสารจาก Roobet เพื่อไม่พลาดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากข้อเสนอที่ดีที่สุด

การใช้โปรโมชั่นและโบนัสที่ Roobet ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะ แต่ยังทำให้การเล่นเกมสนุกสนานและน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น Roobet มอบประสบการณ์การเล่นเกมที่มีคุณภาพสูงพร้อมด้วยโปรโมชั่นที่คุ้มค่า ทำให้เป็นหนึ่งในคาสิโนออนไลน์ที่ผู้เล่นทั่วโลกเลือกใช้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ's)

Roobet promo code คืออะไร? 

Roobet promo code คือรหัสที่คุณสามารถใช้เพื่อรับสิทธิพิเศษ เช่น โบนัสไม่มีเงินฝากและฟรีสปิน รหัสนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะและทำให้การเล่นเกมสนุกสนานยิ่งขึ้น

ฉันจะใช้ Roobet promo code ได้อย่างไร? 

การใช้ Roobet promo code ง่ายมาก เพียงแค่กรอกรหัสในขั้นตอนการฝากเงินหรือสมัครสมาชิกที่ Roobet แล้วคุณจะได้รับโบนัสทันทีเพื่อใช้ในการเล่นเกม

โบนัสที่ได้จาก Roobet promo code สามารถถอนเงินได้หรือไม่? 

ได้ โบนัสที่คุณได้รับจาก Roobet promo code สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด คุณควรตรวจสอบเงื่อนไขการเล่นก่อนทำการถอนเงิน

Roobet มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง? 

Roobet มีโปรโมชั่นมากมาย เช่น โบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงิน และโปรโมชั่นฟรีสปินที่มีให้เลือกตามความต้องการของผู้เล่น

Roobet ปลอดภัยหรือไม่? 

ใช่, Roobet เป็นเว็บไซต์ที่ปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือในการเล่นคาสิโนออนไลน์ ข้อมูลส่วนตัวและการทำธุรกรรมทางการเงินของคุณจะได้รับการปกป้องด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง

รักลูก The Expert Talk EP 01: เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว ตอน เด็กคือผ้าหลากสี

รักลูก The Expert Talk EP 01: เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว ตอน เด็กคือผ้าหลากสี

“เด็กผ้าหลากสี” เด็กไม่ใช่ “ผ้าขาว” พ่อแม่อย่าเข้าใจผิด ลูกมีสีพื้นเฉพาะตัว มีพื้นฐานอารมณ์เฉพาะตัว บางคนอาจจะมีสีโทนเย็น บางคนโทนร้อน ลักษณะพื้นฐานทางอารมณ์นี้เองที่บ่งบอกเด็กมีความหลากหลาย พ่อแม่ต้องมีศิลปะในการเลี้ยงดู เพื่อลดแรงกระแทกในครอบครัว เพราะถ้าไม่เข้าใจ เขาจะทำตรงกันข้ามกลายเป็นความขัดแย้งในครอบครัว โดย รศ. นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

  • ทำไมเด็กถึงเป็นผ้าหลากสี ไม่ใช่ผ้าขาวอย่างที่พ่อแม่เคยเข้าใจ
  • เด็กผ้าหลากสีมีกี่ประเภท
    • เด็กเลี้ยงง่าย
    • เด็กเลี้ยงยาก
    • เด็กอ่อนไหว
    • เด็กบ้าพลัง
    • เด็ก Mixing 
  • เด็กแต่ละประเภท แต่ละลักษณะ พ่อแม่จะเลี้ยงดู เข้าถึง และส่งเสริมอย่างไรให้ถูกทาง

ทำไมเด็กจึงไม่ใช่ผ้าสีขาว

ที่เขาใช้คำว่า เด็กคือผ้าขาว เป็นการเปรียบเปรย ว่าผ้าสีขาว บ่งบอกถึงความใสบริสุทธิ์ เด็กทุกคนที่เกิดมาเหมือนจิตประภัสสร มีความใสบริสุทธิ์ ยังไม่มีมารยา ยังไม่เข้าใจอะไรโลกสักเท่าไหร่ มันเป็นเชิงสัญลักษณ์ แล้วผู้ใหญ่ในยุคเดิมๆ ก็จะบอกว่าลวดลายต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนผ้าเหล่านี้ เกิดจากการเลี้ยงดู เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น เลี้ยงดูใช้ความรุนแรง ก็อาจจะเทสีใส่เข้าไปเป็นโทนร้อน แล้วเกิดลวดลายเป็นระเบียบ ลวดลายเละเทะเลย แต่ละอย่างไม่เหมือนกัน

แต่สิ่งที่หมอส่งสัญญาณเพิ่มคือ เวลาที่เด็กเกิดมา ตั้งแต่เกิดมาเลย พื้นฐานอารมณ์แต่ละคนไม่เหมือนกัน มีมาตั้งแต่เกิด เด็กบางคนร้องแป๊บเดียว เด็กบางคนร้องยาว คุณพ่อคุณแม่คงเคยสังเกตเห็นในทางการแพทย์เรามีการวินิจฉัยว่าร้อง โคลิค คือ พอคลอดออกมาได้สัก 3 สัปดาห์ขึ้นไป ก็สามารถที่จะร้องยาวไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง เริ่มประมาณสามทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน แล้วไม่พอท่าอุ้มของพ่อแม่ที่ลูกจะหลับ บรรยากาศในห้องแสงไฟสลัวๆ แสงไม่วูบวาบ อุณหภูมิ ต้องไม่กระตุก เสียงต้องไม่กระตุก ถ้าทุกอย่างกระตุกขึ้นมาปุ๊ป ต้องกลับไปนับ 1 ใหม่ กว่าจะหายจากสภาวะโคลิคก็ประมาณ 3 เดือน

จะเห็นเลยว่าพื้นฐานอารมณ์เด็กไม่เหมือนกัน แม้แต่คู่แฝดก็ไม่เหมือนกัน เปรียบให้ชัดมากขึ้นอีก หมอเชื่อว่าเวลาที่คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปฉีดวัคซีน เด็กบางคนมาถึงที่คลินิกหรือโรงพยาบาลก็จะยิ้ม ร่าเริง สดใส พอหมอหรือพยาบาลฉีดยาให้ก็จะร้อง แต่ร้องแป๊บเดียว พอได้ของเล่นก็หยุด เล่นหัวเราะ เหมือนเจ็บแป๊บนึง แต่บางคนแค่แม่หยิบเล่มชมพูที่บ้านยังไม่ทันมาที่คลินิกหรือโรงพยาบาลเลย แค่หยิบเล่มชมพูลูกเกิดการเรียนรู้ว่าอีกไม่นานฉันจะเจ็บตัว เกิดการร้องตั้งแต่ที่บ้าน มือเกาะเป็นตีนตุ๊กแก เกาะแบบต้องแงะทีละนิ้ว ทั้งหมดนี้ยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลนะยังอยู่ที่บ้าน

สภาวะการแบบนี้ พื้นฐานอารมณ์แบบนี้ จึงทำให้แบ่งเด็กออกมามีความหลากหลาย นี่คือเชิงสัญลักษณ์อันนึงที่หมอส่งสัญญาณให้คุณพ่อคุณแม่ ว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด หมอไม่ได้ปฏิเสธว่าเด็กทุกคนเกิดมาใสบริสุทธิ์ หมอก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าลวดลายที่เกิดขึ้น บนผ้าผืนนั้นมันเกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อม แต่หมอส่งสัญญาณเพิ่มให้พ่อแม่ว่า ลูกของคุณแม่มีพื้นฐานอารมณ์หรือผ้าสีของเขา สีพื้นทั้งผืนของเขาอาจจะเป็นสีเหลือง บางคนอาจจะเป็นสีโทนเย็น สบายๆ สมาธิเยอะ บางคนสมาธิสั้น อันนี้เป็นลักษณะพื้นฐานทางอารมณ์ที่แบ่งเด็ก
สำหรับพ่อแม่ต้องรู้ว่าลูกของตัวเองเป็นแบบไหน

คุณพ่อคุณแม่เวลาเลี้ยงลูกไปก็จะเรียนรู้ไปกับลูก หมอใช้คำว่าศิลปะการเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ พูดง่ายๆ คือถ้าเอาแบบของคนพี่มาใช้กับคนน้องต้องมีการปรับประยุกต์ คือถ้ามาแบบจัดเต็มเหมือนกัน วิธีเดียวกันเลยมันอาจจะไม่ได้ผล บางคนอาจจะได้ผลในทิศทางหนึ่ง แล้วเราก็จะเริ่มเปรียบเทียบ ทำไมแกไม่เหมือนพี่เลย สัญญาณนี้คือที่หมอบอกว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด เพราะหมอต้องการให้คุณพ่อคุณแม่เรียนรู้อย่างน้อย 2 เรื่อง

1.อย่าเปรียบเทียบลูก

เพราะลูกทุกคนที่เกิดมานั้นเขาใสบริสุทธิ์แต่เขาอยู่บนผ้าสีพื้นที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะมาเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าทำไมไม่ฉลาดเหมือนน้อง ทำไมไม่ฉลาดเหมือนพี่ หรือไปเปรียบเทียบบ้านนู้นอีก อันนี้ยิ่งแย่ หยุดการเปรียบเทียบ ถ้าจะเปรียบเทียบกรุณาเปรียบเทียบกับตัวเขาตอนทำไม่ได้กลายเป็นทำได้ กลายเป็นทำเก่ง ทำเรียบร้อย เปรียบเทียบกับตัวเอง พัฒนาการที่เพิ่มขึ้น และลูกก็จะมีกำลังใจที่สำคัญ เป็นการชมเชยในเชิงบวก ในเชิงจิตวิทยาด้วย

2. พื้นฐานอารมณ์ต่างกัน

อีกอันที่สัญญาณว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาว หมอต้องการบอกว่าเมื่อพื้นฐานอารมณ์ต่างกันแบ่งแบบหยาบนะ จริงๆ มีทั้งนพลักษณ์เก้า สีสัน แล้วยังมาผสมสีกันได้ ตัวอย่าง คนนี้โทนผ้าสีเหลือง อีกคนโทนผ้าสีแดง แบบสมาธิสั้น เวลา Reaction เรียกว่าออกปฏิกิริยาก็ออกจัดเต็มเหมือนละครก็เป็นนางร้ายทำนองนั้น บางคนเหลืองมาบวกแดงกลายเป็นส้ม บางคนน้ำเงินมาเจอกับแดงกลายเป็นม่วง คือสีแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงแบ่งเด็กออกมาแบบหยาบๆ แบบ ที่พ่อแม่เข้าใจง่ายๆ เลย

ที่หมอเขียนไว้ในลักษณะเด็กไม่ใช่ผ้าขาวโปรดอย่าเข้าใจผิด คือพื้นฐานอารมณ์แบ่งออกมาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย โชคดีของโลกใบนี้ที่ส่วนใหญ่เด็กจะเลี้ยงง่าย แต่เลี้ยงมาเลี้ยงไปกลายเป็นกบอันนี้ไม่รู้เรื่องนะ อันนั้นค่อยว่ากัน

จุดสตาร์ทครึ่งหนึ่งเป็นเด็กเลี้ยงง่าย แล้วเมื่อมีเด็กเลี้ยงง่าย ลักษณะของเด็กเลี้ยงง่ายสังเกตไหมว่าเป็นอย่างไร สั่งให้ซ้ายก็หันซ้าย สั่งให้ขวาก็หันขวา สั่งให้นั่งให้เรียบร้อยก็นั่งเรียบร้อย ปรับตัวง่ายเวลาไปบริบาลไปโรงเรียนปลอบใจนิดหน่อยก็สามารถเดินเข้าโรงเรียนได้แล้วสามารถ เล่นกับเพื่อนได้ สุขภาพดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เข้ากับคนง่าย แบบนี้พ่อแม่ชอบไหม ชอบ หมอไม่คิดว่ามีพ่อแม่คนไหนไม่ชอบ แต่โลกใบนี้ไม่ได้มีแต่เด็กเลี้ยงง่าย

เมื่อมีเลี้ยงง่ายก็ต้องมีเด็กเลี้ยงยาก สั่งให้ซ้ายหันขวา สั่งให้ขวาหันซ้าย สั่งให้นั่งให้เรียบร้อยไม่มีทาง สั่งให้กินไม่กิน บอกอย่ากินเลยลูกวิ่งไปกิน แบบนี้คือสภาพลักษณะของเด็กที่เลี้ยงอยาก กลุ่มในลักษณะของเลี้ยงยากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโคลิค ลักษณะอาการที่พ่อแม่สังเกตเห็นได้เลย เช่น มีน้องโคลิคแบบนี้เลี้ยงยากมาก จะดูว่าเด็กเลี้ยงยากหรือง่าย สามารถดูได้ตั้งแต่ 3 สัปดาห์แรกก็เริ่มสังเกตเห็นแล้ว

ถ้าตอนนี้มีคุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูกฟังอยู่ มันจะเป็นเส้นบางๆ ได้นิดนึงว่าลูกเราอยู่ในเกณฑ์เลี้ยงยากหรือเลี้ยงง่าย ก็จะเริ่มเห็นบ้างเวลาที่เขาไม่ได้ดั่งใจ เขาร้องนาน ยาวนานขนาดไหนเราจะเริ่มสังเกตเห็น เช่น เวลาเราฝึกการกิน วิถีชีวิตของเด็กเล็กๆ ก็จะมีแค่กินกับนอน ไม่ได้กินดั่งใจ หรืออาจจะมีเรื่องอึฉี่เสร็จจะให้เปลี่ยนผ้าอ้อมร้องยาว เสียงเข้มมาก ดังมาก 3 บ้าน 4 บ้านได้ยินหมด เราจะสังเกตเห็นอากัปกิริยาเหล่านี้

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จรูป ต้องติดตามต่อๆ ไปเรื่อยๆ เช่น พอพัฒนามาเป็นเด็ก 4-5 เดือน เริ่มมีอัตตาของตัวเอง เด็กหลัง 6 เดือนขึ้นไป มีตัวตนของเขาที่สามารถแยกได้ว่านี่คือฉันนั่นคือแม่ ตอนนี้แหละจะเริ่มมีอัตตาเป็นตัวของตัวเองสูง ก็จะลองภูมิพ่อแม่มากขึ้น เพราะฉะนั้นกลุ่มเด็กเลี้ยงยากก็วัดใจพ่อแม่กันพอสมควร

พ่อแม่อยากได้เด็กเลี้ยงง่าย

ถ้าเลือกได้ใครๆ ก็อยากได้เด็กเลี้ยงง่าย เพียงแต่เราเลือกไม่ได้ เพราะออกมาก็ต้องรับมือหมดแล้ว พ่อแม่รักลูกทุกคน เพียงแต่ว่าเวลาเจอเด็กเลี้ยงอยาก ความอึดอดทน การให้อภัย การเสียสุข มาเต็มสำหรับพ่อแม่ อึดมาก ทุ่มเท การทุ่มเทต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นต้องมีศิลปะด้วย เพราะถ้าไม่มีศิลปะแรงกระแทกมันเยอะ เพราะเขาทำตรงกันข้าม

แต่คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกที่มีพื้นฐานไปทางโทนร้อน แล้วเลี้ยงยาก ฟังหมอเดวแล้วท่านสบายใจอยู่อย่างหนึ่ง แม้ว่าอาจจะต้องใช้พลังเยอะมาก อึดอดทน ในการดูแล แต่บอกอยู่อย่าง ความคิดนอกกรอบ ความคิดแบบสร้างสรรค์ น้อยที่จะเกิดในกลุ่มเด็กเลี้ยงง่าย แต่ในกลุ่มเด็กเลี้ยงยากจะแหกกฎ แหกกรอบ หลายคนที่มีชื่อเสียงระดับโลกถ้าไปดูปูมชีวิตของเขาไม่ได้มาจากเด็กเลี้ยงง่ายเลย แม้กระทั่งที่เราเล่น Podcast / Youtube อยู่ วิวัฒนาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเด็กเลี้ยงง่าย เกิดขึ้นจากเด็กเลี้ยงยาก

Start up ส่วนใหญ่มาจากพวกที่ไม่อยู่ในกรอบ เพราะพวกนี้ก็สร้าง High Value Added คุณจะเป็นไทยแลนด์ 4.5 / 5.0 ไม่ได้ฝีมือด้วยเด็กเลี้ยงง่าย แต่มันฝีมือเด็กเลี้ยงยาก อันนี้พ่อแม่ภูมิใจไว้นะคือท่านกำลังได้โจทย์ที่ท้าทาย เพียงแต่เลี้ยงไปเลี้ยงมาอย่าบาดเจ็บแล้วกัน

เด็กกลุ่มที่ 3 เด็กที่อ่อนไหวง่าย จัดเต็มทุกเม็ดอีกแบบหนึ่ง น้ำตานองหน้าตลอดเวลา คือเวลาจะขึ้นเวทีก็ต้องอยู่ข้างๆ เวที ต้องการให้ใครมาโอบกอด แล้วน้ำตาไหลมีความรู้สึกว่า Sensitive มาก อ่อนไหวง่าย ใครพูดผิดหูไปนิด คำเดียว กลับไปนั่งคิดอีกเป็นชั่วโมง

ลูกอยู่ในกลุ่มนี้ค่ะ เขาอ่อนไหวง่าย เก็บทุกเม็ด วันนั้นแม่บอกหนูแบบนี้ แต่วันนี้แม่ไม่ทำ ดราม่าจัดเต็ม เป็นสายดราม่า อันนี้อารมณ์ศิลปิน

สำหรับสายศิลปินหน้าที่เราคือวอร์มอัพ ให้เขารู้จักการจัดการกับอารมณ์ เปิดพื้นที่การระบายอารมณ์ได้ในขณะเดียวกันเปิดพื้นที่การจัดการอารมณ์ได้ ถ้าเราสามารถทำให้เกิดความมั่นใจ และสามารถสะท้อนอารมณ์ของเขาได้ แล้วเขาได้รับความไว้วางใจ มั่นใจ นึกตอนที่เด็กที่เขาต้องการกำลังใจ หันมองไปมองมา เด็กเหล่านี้บางทีสิวเม็ดเดียวคิดเป็นวรรคเป็นเวร ยาวเป็นชั่วโมง บางทีเป็นวัน เขาคิดมาก

แต่ถ้าเราสามารถสร้างความมั่นใจบน Self Esteem อะไรก็ตามที่เขาสามารถทำได้และภาคภูมิใจ และเราก็มี Reflection วิธีสะท้อนคิดสะท้อนอารมณ์ทีดี ในที่สุดเขาจะเกิดความมั่นใจ แล้ววันที่เขาเกิดความมั่นใจอารมณ์ศิลปินของเขาก็จะรังสรรค์สิ่งที่ดีงามออกมาในเชิงสร้างสรรค์ที่ไม่ได้ไปหมกมุ่นกับตัวเอง กับความ Sensitive กับดราม่าตรงนั้น เพราะพลังพวกนี้อารมณ์แบบพลังศิลปินเยอะ ซึงแต่ละอันจะมีมูลค่าทั้งสิ้น

เด็กประเภทบ้าพลัง สามารถวิ่งได้ทั้งตึกแค่นี้กิ๊กก๊อก พลังเยอะไม่รู้ไปเอาพลังมาจากไหนวิ่งอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกบ้าพลัง หรือกลุ่มที่อ่อนไหวง่าย กลุ่มเลี้ยงยากทำตรงกันข้ามที่พ่อแม่บอก กลุ่มเหล่านี้หมอเข้าใจและเห็นใจพ่อแม่ว่าเหนื่อย มันไม่เหมือนเด็กเลี้ยงง่าย 3 กลุ่มนี้เหนื่อยทุกกลุ่ม พ่อแม่ก็ต้องใส่แรง

จริงๆ ยังมีประเภทที่ 5 อีกอันนึง คือ Mixing ผสมสานทุกแบบ ประเภทบางสัปดาห์เลี้ยงง่าย บางสัปดาห์เลี้ยงยาก บางสัปดาห์อ่อนไหวง่าย มาแบบ Mixing เพราะฉะนั้นอันนี้แหละที่หมอถึงได้บอกว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวโปรดอย่าเข้าใจผิด แล้วอย่าเปรียบเทียบ เพราะนึกสภาพดูนะ สมมุติ แม่คนนึง คนพี่เลี้ยงง่ายตอนที่เลี้ยงด้วยประสบการณ์ตัวเองมีลูกคนแรก เลี้ยงไป คนนี้ปรับตัวได้ แค่ 2 ขวบ ไปศูนย์ปฐมวัย เนอร์สเซอรี่ได้แล้ว ไม่งอแง แต่พอมาคนน้องมีอารมณ์เป็นศิลปินเลย 2 ขวบร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ไปไม่ได้ แม่เริ่มเปรียบเทียบ

ถ้าแม่ไม่เข้าใจ Concept แบบนี้ แม่จะเริ่มเปรียบเทียบทำไมแกไม่เหมือนพี่เลย อารมณ์เริ่มมา พออารมณ์เริ่มมาเริ่มหลุด แล้วก็ไปเปรียบเทียบ พอเปรียบเทียบขึ้นมา นึกถึงอารมณ์เจ้าเด็กที่อ่อนไหวง่าย เก็บมาคิดไหม ขนาดพูดผิดไปประโยคเดียวยังเก็บมาคิดกันเป็นสัปดาห์เลย พอสั่งสมนานๆ เข้า ความเป็นไม้เบื่อไม้เมา บาดแผลใจ นี่เป็นจุดนึงที่เราใช้คำว่า Sibling Rivalry ความหมายคือความอิจฉาริษยาระหว่างพี่น้อง

ที่นี้เราจะเห็นเลยว่าพ่อแม่หลายคนก็มีความหนักอกหนักใจที่ลูกบอกออกมาได้อย่างไรว่า รักพี่มากกว่า แม่ไม่ได้รักหนูหรอก เขาสังเกตอากัปกิริยา ว่าถูกตอบสนองในลักษณะไหนบ้าง มันเป็นเรื่องของศิลปะในการเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเราสามารถใช้ Concept ได้ เราใช้หลักการได้

คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านที่ฟังเราอยู่ จงมองอยู่อย่างหนึ่งเลยว่าลูกทุกคนมีคุณค่าอันนี้คือ Concept แรก ถ้าเราเข้าใจว่าลูกทุกคนมีคุณค่า แต่เป็นคุณค่าในแบบฉบับของเขาเอง คนพี่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับคนน้อง แต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่มีคุณค่าในตัวเอง ถ้าเราวางคงใน Concept ของเราไว้ในลักษณะนี้เราจะไม่เสียศูนย์

ข้อที่สองที่เราจะต้องคิดไว้เลยว่า เมื่อลูกทุกคนมีคุณค่าการปรับวิธีการ กระบวนต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่คงไว้ซึ่งหลักการเหมือนกัน พูดง่ายๆ คือเราจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่เราต้องมีวินัย มันเป็นไปไม่ได้ว่าบ้านนี้ไม่ต้องมีวินัย ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ต้องฝึกฝน หรือเป็นเด็กเลี้ยงง่ายไม่ต้องมีวินัย ไม่ใช่ หลักการคือต้องชัด พ่อแม่หลักการต้องชัดก่อน

ต้องสามารถ Modify ได้ เรียกว่ายืดหยุ่นและมีการปรับเข้าปรับออกเพื่อทำให้เห็นเลยว่าแต่ละคนก็มีแบบฉบับของตัวเองถ้าเราทำในลักษณะคล้ายๆ แบบนี้ได้ หมอเชื่อว่าเราก็จะมีความสุขในการเลี้ยงลูกได้ แม้ว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ความน่าสนใจอีกอันคือ ยิ่งมีลักษณะที่แตกต่างกัน เวลาบ้านไหนก็ตามที่มีครอบครัวความเป็นหัวใจประชาธิปไตย ที่ใช้สุนทรียสนทนาในบ้าน ลองนึกสภาพ

หมอเปรียบเทียบ พ่อแม่คนหนึ่ง มีลูก 4 คน ลูกคนแรกเลี้ยงง่าย ลูกคนที่ 2 เลี้ยงยาก ลูกคนที่ 3 อ่อนไหวง่าย ลูกคนที่ 4 บ้าพลัง เมื่อเข้าสู่สมัชชาครอบครัวความคิดเห็นต่างจะเป็นสุดยอด แต่ละคนก็จะมีมุมมองของแต่ละคน

 

ติดตาม รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

รักลูก The Expert Talk EP 02: เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว ตอน มหัศจรรย์แห่งการฟัง

 

รักลูก The Expert Talk EP 02: เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว ตอน มหัศจรรย์แห่งการฟัง

บางบ้านหาคนฟังไม่เจอ ต่างฝ่ายต่างพูด ปากเปียกปากแฉะลูกก็ยังเป็นเหมือนเดิม ลองใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง แค่เริ่มต้น “ฟัง” แล้วทุกอย่างจะเปลี่ยน โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

 

ชวนคุณพ่อคุณแม่ มาสร้างมหัศจรรย์แห่งการฟัง เพราะทุกวันนี้ที่เกิดปัญหา จริงๆ แล้วเกิดจากการที่เราไม่ฟังในปัญหาต่างๆ การสื่อสารสร้างสายสัมพันธ์ในบ้าน

การฟังเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารซึ่งกันและกัน การสื่อสารมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1.ภาษาที่เราพูดออกไป 2.การฟัง และอีกอันคือ 3.อวัจนภาษา คือ ไม่พูดออกมาแต่ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมิตรหรือไม่เป็นมิตร สื่อสารออกมาด้วยท่าทาง ฉะนั้นการฟังถือเป็นเรื่องของการสื่อสาร การสื่อสารพลังบวกถือว่ามีความหมายมาก

การสื่อสารที่ดีต่อกันก็จะช่วยให้มิตรภาพหรือสัมพันธภาพยิ่งดี แต่ถ้าการสื่อสารไม่ดีก็จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ด้วย แม้กระทั่งการฟังเองก็มี 3 แบบ

ระดับแรก คือฟังอย่างเดียว แต่ทุกวันนี้คือพูดอย่างเดียว ยิ่งคนเป็นแม่ บ่นมากกว่าฟัง บางบ้านหาคนฟังไม่เจอ มีแต่ต่างฝ่ายต่างพูดกันเต็มไปหมด ปากเปียกปากแฉะ เป็นประโยคที่พ่อแม่ใช้ประจำเลยว่า พูดปากเปียกปากแฉะก็ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม


ระดับที่สอง คือฟังแล้วสะท้อนความรู้สึกที่ทำให้คนเล่าอยากเล่าต่อ

ระดับที่สาม คือฟังแล้วเหลาความคิด ฟังสองระดับแรกไม่ต้องฝึก ถ้าตั้งใจจริงๆ ทำได้ ไม่ต้องไปเข้าค่ายฝึกการฟัง เพราะฟังอยากเดียวถ้าเราตั้งใจฟังก็ทำได้ แต่หลายบ้านหาคนฟังไม่เจอ คนฟังกลายเป็นเด็กไป หมอจะเปรียบเทียบให้คนที่ฟังเราอยู่ตอนนี้

เคยไหมเวลาเช้าตื่นมา เราจะเปิดทีวีเป็นเพื่อนขณะที่เราทำกิจวัตรของเราไป แล้วเราก็ไม่ได้ฟังว่าทีวีพูดอะไร แล้วเราก็ทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ ต่อเมื่อมีข่าวที่กระชากอารมณ์ขึ้นมา เราก็จะหันไปมองทีวีสักทีนึงว่าข่าวอะไร เป็นมั้ย เวลาพ่อแม่พูดมาก พูดเยอะแยะไปหมด แม้แต่ลูกเค้าก็จะทำคล้ายๆ เหมือนที่เราฟังทีวี คือเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พ่อแม่พูดไปเถอะเข้าซ้ายออกขวา จนแม่ถามว่าแกไม่ฟังฉันบ้างเลยหรอ ลูกก็ถามแม่พูดอะไรหรอขออีกที สังเกตเลยว่าหัวใจแห่งการรับฟังมีความหมายมาก

หมอเคยมีเคสนึง นักจิตวิทยาป่วยเป็นภาวะซึมเศร้า เราให้ยาภาวะซึมเศร้า แต่พอผ่านไปประมาณเดือนเศษ เราติดตามผลพบว่าเขามีอาการดีขึ้น หมอก็ถามว่าคุณใช้วิธีการอะไร นักจิตวิทยาเล่าว่า เขามีหน้าที่ไปเยี่ยมบ้าน เพื่อไปให้กำลังใจ แล้วมีอยู่บ้านหนึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย นอนเตียง หายใจรวยริน ไม่มีเรี่ยวแรง นักจิตวิทยาก็ทำทุกทางลูบแขน กายสัมผัส แล้วก็พยายามคุย เนื่องจากผู้ป่วยเองก็ไม่มีแรงจะโต้ตอบอะไรทั้งสิ้น

นักจิตวิทยาก็เล่าทุกอย่างจนไม่รู้จะเล่าอะไรแล้ว ก็เลยเริ่มเล่าเรื่องส่วนตัวให้กับผู้ป่วยมะเร็งฟัง แล้วสบายใจในการเล่า เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะผู้ป่วยไม่มีแรงโต้ตอบ ฟังอย่างเดียวจริงๆ นักจิตวิทยาสบายใจอีกขั้น คือเค้ามั่นใจว่าผู้ป่วยจะไม่ไปซุบซิบนินทา และจะไม่เอาความลับเค้าไปเปิดเผย ก็เลยเล่า นักจิตวิทยาของผมดีวันดีคืนครับ จนในที่สุดหายป่วยแต่คนไข้ตาย รู้มั้ยใครเป็นคนรักษา ไม่ใช่ยานะครับ มหัศจรรย์แห่งการฟัง เห็นไหมว่าการฟังอย่างเดียวเยี่ยวยานักจิตวิทยาให้หายป่วยจากภาวะซึมเศร้าได้

ฟังให้เป็น

วันนี้กลับไปถามคุณพ่อคุณแม่ที่ฟังเราอยู่ตกลงวันๆ เราฟังเสียงหัวใจลูกไหม และเสียงของเด็กมีความหมายมาก ฟังลูก แค่เปิดใจรับฟังอย่างไม่ต้องติเตียน ฟังอย่างเดียว ฟังอย่างมีสติ ไม่ใช่แม่ทำกับข้าวไป ลูกมาสะกิด หนูทำผลงาน.......เออรู้แล้วแม่ทำกับข้าวอยู่ อย่างนี้ไม่เรียกว่าฟังในระดับแรกอย่างที่คุณหมอบอก เพราะการฟังในระดับแรกคือการฟังอย่างมีสติ ถ้าไม่พร้อมก็บอกลูกเลยว่าแม่กำลังทำกับข้าวอยู่ เดี๋ยวแม่เสร็จแล้วจะไปนั่งฟังลูกเลย ถ้าส่งสัญญาณแบบนี้ปุ๊ป แสดงว่าเรากำลังใช้ประเด็นแรก คือการฟังอย่างมีสติ แล้วฟังในระดับนี้ไม่ต้องพูดเลย ฟังอย่างเดียว

ผมยังมีคนไข้อีกหนึ่งนะ เด็กคนนี้อยู่ชั้น ม.1 แล้วสอบเข้าติดโรงเรียน ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายอยากเล่นฟุตบอลมาก แล้วเขาก็ไปเตะฟุตบอล แต่เนื่องจากเพื่อนของเขาหายไปไหนไม่รู้ สรุปคือเพื่อนๆ ไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำ แต่เด็กคนนี้ไม่ได้สูบนะ แค่อยากรู้ว่าไปไหนกัน

แต่คงเป็นคราวเคราะห์ที่ครูฝ่ายปกครองมาเจอแล้วก็รวบทั้งหมดเรียกผู้ปกครองพบรวมทั้งผู้ปกครองของเด็กคนนี้ด้วย เด็กคนนี้ก็พยายามสะท้อนว่าไม่ได้ยุ่งอะไรกับพวกนี้เลย แต่ผู้ปกครองถูกทำทัณฑ์บน แล้วครูก็ย้ำกับผู้ปกครองว่าทุกครั้งที่เจอลูก ใ้ห้ถามว่ายังคบกับเพื่อนกลุ่มเดิมอยู่ไหม ยังสูบบุหรี่อยู่หรือเปล่าทำนองนี้

ซึ่งคุณพ่อท่านนี้ทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์มาก ก็ถามแบบนี้ทุกครั้งที่เจอหน้า ปรากฏว่าทำไปทำมาเด็กเริ่มจิตตกแล้วก็เป็นเหตุให้มาพบหมอ วันที่มาพบหมอ หมอก็ถามคุณพ่อ ว่าคุณพ่อมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ ในครอบครัวเป็นยังไงบ้างสัมพันธภาพระหว่างภรรยาเป็นยังไงบ้างพ่อก็ตอบว่า ดีไม่มีปัญหาเลย ทุกอย่างดีหมด มีเรื่องเดียวผมกลัวลูกจะติดยา แล้วหมอก็ถามว่าพ่อใช้เทคนิคอะไรถึงไม่มีปัญหาอะไรกับภรรยาเลย เขาตอบว่าผมก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังอย่างเดียว หมอเลยถามว่าฟังยังไง

เขาก็เล่าเวลาภรรยาผมกลับจากที่ทำงานมีเรื่องราวเยอะแยะมากมายเขาก็จะมานั่งข้างๆ ผมก็โอบไหล่ นั่งฟังอย่างเดียว มีบ้างที่บางครั้งผมโอบไหล่และตบไปเบาๆ แล้วบอกเอาน่า เดี๋ยวเวลาผ่านไปมันจะดีเอง แล้วหมอก็ถามต่อว่าผลลัพธ์เป็นยังไง ภรรยาก็เล่าเรื่องต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เดินผิวปากสบายใจ แล้วแกก็ไปทำงานต่อ

เห็นอะไรไหมครับ หมอเลยถามคุณพ่อว่า คุณพ่อครับแล้วแบบนี้เคยทำกับลูกบ้างมั้ย คุณพ่อนิ่งเงียบเลย ไม่เคยเลย ในการที่จะนั่งลงแล้วถามว่าลูกมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ หรือมีเรื่องอะไรดีๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง และทำหน้าที่ในการฟังอย่างเดียว แถมถ้าโอบไหล่เบาๆ แล้วอาจจะบอกลูก เอาน่า เดี๋ยวเวลาผ่านไป มันจะดีขึ้นเอง

การฟัง 3ระดับ

เพราะฉะนั้น ฟังในระดับที่หนึ่งคือฟังอย่างมีสติ ฟังอย่างเดียวเลย ไม่ต้องสะท้อนความรู้สึก ฟังอย่างเดียวจริงๆ ถ้าท่านทำอะไรไม่ได้ ฟังอย่างเดียวเยียวยาไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าอยากจะเติมเพิ่มสะท้อนความรู้สึกที่ดี ที่คนเล่าอยากเล่าต่อ หมอยกตัวอย่าง เช่น ตั้ม สมัยแม่เป็นวัยรุ่นคิดเหมือนตั้มเลย ไหนลองเล่าต่อสิเกิดอะไรขึ้น อันนี้ตั้มอยากเล่ามั้ย? เอาใหม่เปลี่ยนใหม่แทนที่จะสะท้อนความรู้สึกที่ดี สมองมีแค่นี้หรอ คิดได้แค่นี้หรอ หมอไม่คิดว่าคนๆ นั้นจะเล่าต่อ

ฟังในระดับที่สองสะท้อนความรู้สึกจริงๆ พ่อแม่ทุกคนก็ทำได้ แต่โจทย์อยากคือมันสะกดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ คือเราก็จะรู้สึกว่าทำไมลูกไม่ดีดั่งใจอาจจะมีความรู้สึกแบบนั้น เลยทำให้มันปนเปกับความรู้สึกแล้วก็สะท้อนออกความรู้สึก แทนที่จะสะท้อนแบบดีออกมา ดีที่ลูกเล่า ก็กลายเป็นออกมากระบุงโกรธ

แต่ฟังในระดับสามอันนี้ต้องฝึกจริงๆ คือการใช้คำถามปลายเปิด ลูกรู้สึกยังไง ลูกคิดเห็นยังไง ถ้าเป็นลูกจะแก้ปัญหายังไง พวกนี้ต้องฝึก ซึ่งอันนี้เป็นมหัศจรรย์แห่งการฟัง สิ่งที่หมออยากฝากพ่อเลยคือว่า เราจะได้หัวใจของลูกกลับคืนมาทันทีที่เราใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง ฟังอย่างเดียว

วันนี้คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนบุคลิกเลย เปลี่ยนจากวิธีการที่พูดปากเปียกปากแฉะ พูดแบบที่ท่านบอกปากจะฉีกถึงรูหู เปลี่ยนใหม่เป็นวันนี้ฟัง ลองดูถ้าเปลี่ยนทันทีคนแรกที่รู้สึกทันทีเลยคือลูก วันนี้แม่เปลี่ยนไป แม่ไม่เหมือนเดิม แล้วยิ่งถ้าเขาเล่าอะไรออกมา อย่าเพิ่งไปวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าอยากจะพูอะไรออกไปก็ใช้เทคนิคเหมือนคุณพ่อคนนี้ที่เค้าโอบไหล่เบาๆ เอาน่าเดี๋ยวเวลาผ่านไปจะดีขึ้นเอง

แต่หากต้องการเหลาความคิด คำถามปลายเปิดแบบที่หมอฝากไว้ ก็คือความรู้สึก เช่น ลูกรู้สึกอย่างไร เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมดตอนนี้ แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แม่รู้ว่าลูกโกรธ อันนี้เป็นการสะท้อนความรู้สึกเพื่อให้เค้าจับอารมณ์เค้าได้ว่าเรื่องราวที่เล่ามาแบบนี้ แม่จับความได้แล้วละว่าลูกคงรู้สึกโกรธมากใช่มั้ย พอจะบอกได้มั้ยว่าอารมณ์โกรธเกิดจากอะไร แล้วถ้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะจัดการอย่างไร อันนี้คือวิธีการในการเหลาความคิด

ซึ่งถ้าเราเชฟแบบนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปเค้าจะเป็นเจ้าของความคิด เจ้าของวิธีการจัดการโดยที่พ่อแม่เองจะทำหน้าที่รังสรรค์ค่อยๆ เหลาเค้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเค้าสามารถไปในทิศทางที่บวกได้

ประสบการณ์สไตล์หมอเดว

เทคนิคในลักษณะแบบนี้หมอเคยใช้บ่อย โดยเฉพาะตัวหมอเองตอนที่ประพฤติปฏิบัติตลอดก็คือ ครั้งหนึ่งที่ลูกสาวเคยเล่าให้ฟัง ตอนเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายคุณครูถามวิธีการจัดการความเครียดของนักเรียนแต่ละคน แต่ละคนก็จะตอบ ไปร้องเพลง ไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว แต่ลูกสาวตอบว่า หนูเดินเล่นกับพ่อหายเครียด ทำไมกลายเป็นอย่างนั้นละ ก็เมื่อไหร่ก็ตามที่พ่อนั่งอยู่ริมสระเป็นเวลาที่เรียกว่าเรามอบให้แล้วว่าจะเป็นผู้ฟัง แล้วก็ไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์เราก็นั่งฟัง

วิธีการก็คือเหลาความคิด ลูกเราจะแก้ปัญหายังไงดี แล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะทำยังไง การโยนคำถามให้ เวลาเราโยนคำถามให้แล้วเห็นความคิดของเค้าออกมา

หมอจะยกตัวอย่างหนึ่ง คือตอนซีรส์ เรื่องฮอร์โมนวัยว้าวุ่นกลายเป็นประเด็น หมอไม่ดูเรื่องเหล่านี้นะ ก็ถามลูกสาวได้ดูไหม เขาก็บอกว่าดูทุกตอน หมอเลยให้เขาช่วยวิเคราะห์ให้พ่อหน่อยว่าดูแต่ละตอนแล้วรู้สึกอย่างไร เค้าก็สะท้อนเลยว่า เจ้าวินเป็นยังไง สไปรท์เป็นยังไง แล้วคนดูจะได้อะไร

เวลาเราฟังลูกของเราเองวิเคราะห์หนังในลักษณะนี้มันทำให้เรารู้ทันนี้ว่าลูกดูหนังอย่างคิดเป็น และเขาสามารถวิเคราะห์ได้ และบทวิเคราะห์ของเค้าก็เป็นส่วนหนึ่งตอนที่หมอเข้าไปดูจริงๆ ปรากฏก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วตอนที่มีคนมาขอข้อวิพากษ์วิจารณ์ของหมอในเรื่องนี้ ส่วนที่หมอวิพากษ์วิจารณ์ไป ต้องบอกเลยว่าเคารพความคิดเห็นของลูก ที่หมอเอามาใช้

เราสบายใจอย่างหนึ่งว่าเวลาเขาบริโภคสื่อในลักษณะนี้จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ หรือจะเป็นช่วงวัยของความเป็นวัยรุ่นแล้วมีบางเรื่องที่เขาอยากรู้ หรือพอดูแล้วมันมีเนื้อหาบางเรื่องมันดูแล้วอาจจะไม่เหมาะ แต่ถ้าถูกฝึกให้เหลาความคิดไปด้วย นสื่อที่ไม่เหมาะมันจะกลายเป็นสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเขาเองได้ เป็นจุดหนึ่งที่สบายใจได้มากขึ้น

หมอจึงอยากฝากพ่อแม่ว่าหัวใจสำคัญที่สุดเราต้องรู้จักในการที่จะเป็นผู้ฟัง ช่วยลองเปลี่ยนแปลงตัวเองสักหน่อย เปลี่ยนจากที่เราพูดมาทุกวัน อย่าให้ลูกปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นทีวีเครื่องหนึ่งที่กำลังพูดอะไรออกมาเยอะแยะ พอถึงเวลากลายเป็นว่าลูกเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พอถึงเวลาเราถาม แกไม่ได้ยินฉันหรอ แม่พูดอะไรนะขออีกที อย่าให้เป็นลักษณะนั้นเลย

จงใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง มาเป็นตัวเปลี่ยนแล้วมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อะไรก็ตามที่เราคิดว่าทำยาก เริ่มต้น แล้วเราเริ่มต้นจากการเป็นผู้ฟังก่อน ฟังอย่างเดียว หมอเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะเอาให้เก่งขึ้นไปอีก ฟังแล้วสะท้อนความรู้สึกที่ดี ถ้าให้สุดยอดเลยคือฟังแล้วเหลาความคิดไปด้วย

 

ติดตาม รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

รักลูก The Expert Talk EP 03: Opened Mindset or Fixed Mindset


 

รักลูก The Expert Talk EP 03: Opened Mindset or Fixed Mindset

ติดกรอบหรือเปิดกว้าง...คุณเป็นพ่อแม่แบบไหน ลูกจะสามารถอยู่รอดได้ในสังคมอย่างเป็นคนปกติ หรือเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะต่ำ อยู่ที่ทัศนคติของพ่อแม่ ชวนมาเปิดหัวใจ กับ 5 วิธีสู่การเป็นพ่อแม่ที่มี Open Mindset เพื่อให้การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

 

Mindset  ถ้าแปลเป็นไทยง่ายๆ  ก็คือทัศนคติ คือถ้ามีทัศนคติหรือจิตใจที่เรียกว่าไม่เปิดกว้าง  จิตใจที่ไม่เปิดกว้างกับจิตใจที่เปิดแล้ว สังคมในยุคปัจจุบัน ที่กลายเป็นสังคมที่ไร้พรมแดน เป็นโลกยุคดิจิทัลจะเห็นเลยว่าเด็กๆ  ยุคปัจจุบันนี้เขาสามารถที่จะบริโภคสื่อผ่านระบบโชเชียลมีเดียแม้กระทั่งที่เรากำลังทำ Podcast  มันเป็นวิธีการใหม่หมดเลย พอมันเป็นวิถีชีวิตในลักษณะแบบนี้

เด็กเจนเนอเรชั่นใหม่เขาสามารถเข้าถึงเรื่องพวกนี้ได้หมดเลย สถานภาพของครอบครัวจึงมีอาคันตุกะใหม่เพิ่ม  ถ้าทัศนคติของเราเปิดเราสามารถเรียนรู้ข้ามวัยกัน  เรียนรู้บนความหลากหลายทางเพศ อันนี้จะเป็นลักษณะของ  Open Mindset 

แต่ถ้า  Fix Mindset  เลยเหมือนอุตสาหกรรม เช่น  ระบบการศึกษาปัจจุบันนี้ ที่เข้าสู่สายพาน อันนี้หมอไม่ได้โทษใครแต่โทษทั้งระบบ เช่น  เราต้องมีระบบแพ้คัดออก  เวลาเข้าสู่อนุบาลก็ต้องเข้าไปเรียนประมาณนี้  คิดนอกกรอบไม่ได้ แล้วเวลาขึ้นสู่อนุบาล  1 2 3 เสร็จแล้วก็ต้องสอบเข้า แล้วก็ต้องเข้าโรงเรียนดังๆ  เข้าไปเสร็จก็ต้องเรียนเยอะๆ การบ้านเยอะๆ

 ตื่นตีห้าล้อหมุน  6 โมงเช้า กินข้าวเช้าบนรถ มาถึงโรงเรียนก็มีการบ้านเช้า ครูเขียนไว้บนกระดาน พอถึงเวลาปุ๊บ ถ้ามาสายเกิน  7 โมงครึ่ง ลบกระดานออก หมอก็ถามว่าแล้วคนที่มาสายกว่าทำอย่างไร ลอกเพื่อนเอาตัวรอด ตามมาด้วยวิชาที่เรียน แล้ววิชาที่เรียนก็กลายเป็น  Fix หมด ลักษณะที่  Fix หมดทั้งหลายที่ไม่สามารถเปิดทางเลือกใดๆ ได้เลย 

 การบ้านที่คุณครูก็ให้นึกว่าเรียนวิชาแกวิชาเดียวเทกระจาดเข้าไป จนตกเย็นไปกวดวิชา ดินเนอร์บนรถ รถติดไปถึงบ้าน ทำการบ้านเสร็จกว่าจะเรียบร้อย เข้านอนเกือบเที่ยงคืน  ตื่นตี 5 ล้อหมุน 6 โมงเช้า เหมือนเดิมเป็นแบบนี้จันทร์ถึงจันทร์

หมอมีคนไข้เด็ก ม.4 โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง  เดินเข้ามาอย่างกับซอมบี้ ผีดิบ เขาเรียนจันทร์ถึงจันทร์ เขาภูมิใจมากเลยเรียนจันทร์ถึงจันทร์ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนการเรียนรู้แบบ  Fix Mindset  ไม่ใช่  Open Mindset  

ความปรารถนาดีความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูกเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรา Open Mindset  สักนิดนึงแล้วเราถอยออกมาแล้วเราอยู่ในสถานะที่ เราใช้คำว่า  Scaffolding (นั่งร้าน) คือครูหรือพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน จะต้องทำเป็นนักอำนวยการเรียนรู้ ไม่ใช่ไปครอบงำ เพราะโลกมันเปิดหมดแล้ว  สิ่งที่เราเรียนในตำราเรียนแบบเดิม แต่ถ้าไปเรียนรู้ต่างวัฒนธรรมมันอาจจะไม่ใช่ 

 แต่ในขณะที่เขาสามารถไปสัมผัสสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เลย แล้วถ้าเรารังสรรค์สิ่งเหล่านี้ให้เกิดในบ้าน  เรียกว่าครอบครัวหัวใจประชาธิปไตยมันเกิดขึ้นในบ้านเลยไม่ได้เหรอ แล้วเกิดขึ้นในโรงเรียนไม่ได้หรอ คือถ้ามันเกิดขึ้นในลักษณะนี้หมอเชื่อแน่ว่าผู้ใหญ่สิ่งที่จะต้องปรับเลยคือ  Open Mindset  ทัศนคติต้องเปิด  ใจต้องเปิด ถ้าใจไม่เปิดสมองไม่เกิดการเรียนรู้ อันนี้เป็นหลักการ คือถ้าใจไม่เปิดแล้วใจเราปิด เราคิดเลยว่าสิ่งที่ลูกคิดอยู่นี้พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ดีที่มันไม่ลวก

 อาบน้ำร้อนมาก่อน ต้องเชื่อพ่อแม่

อย่าลืมว่าพ่อแม่เติบโตในยุคนู้น แล้วถ้ายิ่งเป็นปู่ย่า ตายาย อีกยิ่งในยุคนู้นไปอีก อันนี้มันยุคนี้  ทีนี้จะอยู่อย่างไรให้มันกลายเป็นการ  Open Mindset  ที่เรียกว่าทัศนคติเราเปิดแล้ว ทัศนคติที่เปิดแล้วระบบการศึกษาก็จะไม่ได้เป็นลูฟแบบนี้ พ่อแม่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  ลูกเรียนเข้าไว้ ต้องเรียนสูงๆ เข้าไว้ จบด็อกเตอร์พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่ในลักษณะนั้น

เราเป็นพ่อแม่ต้องถอยกลับมานั่งมองเลยว่า ลูกจะอยู่ร่วมกับสังคมอย่างไร เวลาลูกเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียนลูกจะต้องมีวิชาชีวิต ลูกก็ต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น  ในขณะเดียวกันเองเวลาที่มาที่บ้าน 

 หมอเคยพูดไว้หลายครั้งเลยว่า เช็ด ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน เป็นเบสิกขั้นพื้นฐานมากเลย ถ้าเราเปิดใจในลักษณะนี้ วันนี้ลูกหลานเราจะไม่เป็นหุ่นยนต์เดินได้ เพราะเรากำลัง Fix Mindset  เข้าสู่สายพานเข้าอนุบาล  1 2 3 จะต้องกวดวิชาแค่ไหน แล้วจะต้องไปสอบเข้า พอสอบเข้าเสร็จปุ๊บ ต้องเข้าโรงเรียนดัง ต้องสายอินเตอร์ เป็นไบลิงกัวร  อันนี้เป็นประชานิยมนิดนึง มีการบลั๊ฟกันระหว่างพ่อแม่อีก ว่าลูกเธอเรียนที่ไหนเนี่

 สมมติมีลูก 2 คน คนหนึ่งเรียนโรงเรียนสาธิต อีกคนเรียนโรงเรียนวัด คนที่เรียนโรงเรียนวัดหงอยไปเลยนะ อันนี้คือลักษณะของ Fix Mindset  ทั้งสิ้น ถ้าใจเปิดเราจะรังสรรค์ให้เกิดการเรียนรู้ได้ รูปแบบต่างๆ การสุนทรียสนทนาในบ้านจะเกิดขึ้น 

 5 หัวใจที่มันจะกลายเป็น Open Mindset 

เป็นกระบวนการที่ทำให้พ่อแม่ทุก Generation จะไม่มีปัญหากับลูกทุก Generation  

 1. รักอบอุ่น  และไว้วางใจ 

 นัยยะของหมอคือรักร่วมทุกข์ ร่วมสุข วันนี้กลับไปถามใจตัวเองก่อน จริงหรือป่าวว่ารักร่วมทุกข์ร่วมสุข แม้แต่เช็ด ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน  ทุกวันนี้บางคนกางเกงในตัวเองยังไม่ซักเลย ถุงเท้าตัวเองก็ไม่ซัก ถ้ารักต้องรักร่วมทุกข์ร่วมสุข คุณแม่ตอนที่เกิดมาตั้งท้อง แม่ไม่ได้สบายกายนะ ทุกข์กายแต่ใจพองโต 

 แล้วความทุกข์ทางกายสุดยอดตอนที่คลอดลูก เจ็บปวดที่แม่ได้รับ แสดงว่ารักนี้เกิดขึ้นบนความเจ็บปวด แต่เป็นความเจ็บปวดที่หัวใจพองโต ได้ยินเสียงลูกร้อง เอาลูกมาซบอกดูดนมแม่ กลายเป็น  Tender loving care รักนี้จึงกลายเป็นรักที่สมบูรณ์แบบที่ต่อให้ลูกจะเป็นอะไรก็ตามก็รักหมดใจไม่มีเงื่อนไข ทำไมเราไม่ใช้กระบวนการนี้ในการฝึกลูกเราบ้าง 

 เมื่อเขาเติบโตขึ้นไปเขาต้องรักเป็น  รักเป็นไม่ใช่สำลักความรัก แต่ต้องบนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน เบสิกพื้นฐานเลย วันนี้คุณพ่อคุณแม่กลับไปถามใจตัวเองเลยว่าลูกเช็ด  ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจานบ้างไหม แล้วลองฝึกหัดเขาบนเรื่องนี้เลยแล้วคุณธรรมจะเกิด  รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ใช่รักอบอุ่นและไว้วางใจ เทไปเลยลูกอยากได้อะไร เดี๋ยวแม่จะให้คนใช้ไปใส่ถุงเท้าบนห้องนอน อันนี้เยอะไปแล้วคุณพ่อคุณแม่

2. การสื่อสารพลังบวก 

การใช้วิธีการสื่อสารซึ่งกันละกันที่ดีๆ ก็จะทำให้เกิดสุนทรียสนทนา เราอาจจะกำหนดกติกาก็ได้ว่าความคิดเห็นแต่ละคนมันหลากหลาย ลูกคนโตกับลูกคนเล็ก ลูกผู้ชายกับลูกผู้หญิง อาจจะไม่เหมือนกัน พ่อแม่ก็อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน 

 เวลาเราจะสุนทรียสนทนาในบ้านซึ่งกันและกันเราอาจจะกำหนดกติการ่วม ถ้าเมื่อไหร่ที่อินไปกับอารมณ์แล้วเราอาจจะขอพักเบรก กติกาง่ายๆ ในลักษณะแบบนี้จะทำให้เกิดการเปิดใจ  เป็น  Open Mindset  อันนี้คือการสื่อสารที่ดี ที่หมอใช้คำว่าสุนทรียสนทนา 

3. บ้านต้องมีวินัย

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีวินัย แต่เป็นวินัยเชิงบวกที่หมอใช้คำว่า  Kindly but Firmness คือ มีหลักการ มีเหตุผล แต่ยืดหยุ่นได้ หมายถึงว่าไม่ใช่กฎกติกาที่ออกโดยใครคนใดคนนึง แต่มาจากการมีส่วนร่วม แม้แต่เสียงเด็กเล็กๆ เชื่อไหมว่าแม้แต่อนุบาลเรายังสามารถคุยกับลูกของเราเพื่อกำหนดกติกาได้เลย

 โดยใช้คำพูดง่ายๆ ว่า แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แม่รู้ว่าลูกร้องไห้ บอกแม่สิเกิดอะไรขึ้น และถ้าคราวหน้าไม่ไห้เกิดแบบนี้ลูกจะทำยังไง คราวหน้าไม่เกิดแบบนี้จะทำยังไง  มันจะกลายเป็นกติกา  โอเคนะ ลูกสัญญาแล้วนะ ว่าคราวหน้าลูกทำแบบนี้แล้วจะไม่เกิดแบบนี้เกิดขึ้น เป็นกติกาง่ายๆ และลูกเป็นเจ้าของความคิดด้วย เราไม่ได้ไปครอบงำความคิดเขา

เพราะฉะนั้นการใช้หลักการแบบนี้ บ้านต้องมีวินัยด้วย ความหมายคือวินัยอย่างมีส่วนร่วม คือ ทุกคนฟังเสียงซึ่งกันและกัน สามารถเติมเต็ม และเกิดข้อตกลงร่วม แม้แต่ลูกวัยอนุบาลก็ทำได้ 

  วินัยเชิงบวกต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่หมายถึงหันซ้ายหันขวา ไม่ใช่การลงโทษ สมัยก่อนต้องใช้วิธีการลงโทษ อันนี้เป็น  Fix Mindset  คิดแบบเดิม  แต่ถ้าเป็น Open Mindset ยืดหยุ่นได้ อยู่บนเมตตาธรรม 

ถ้าเราน็อตหลุด ไม่ทำตามวินัย กติกาคุยกันไว้แล้วทำไมแกไม่ทำ เราโกรธ เราอาจจะบอกได้ว่าตอนนี้พ่อโกรธ พ่อคุมอารมณ์ไม่ได้ ขอพักออกไปก่อน เรามาคุยกันดีๆ แล้วก็กลับมาเหลาความคิดใหม่

 ถ้าไม่ให้เกิดแบบนี้ลูกจะทำยังไง คือลักษณะการคุยกันจะทำให้เกิดการทบทวนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง  แล้วครั้งหน้าลูกไม่ทำแล้วทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก จะให้พ่อทำยังไง เขาเรียกว่าบ้านต้องมีวินัย

4. รู้จักควบคุมอารมณ์ ซึ่งกันและกัน 

อันนี้คือ Mindset ทัศนคติ ที่จะทำให้เปิดได้ เราต้องรู้จักการจัดการอารมณ์ได้  ไม่งั้นไม่สามารถที่จะ  Open Mindset  ได้  คุณลักษณะในลักษณะนี้ของผู้ใหญ่จะกลายเป็นหัวใจเปิด มีสุนทรียสนทนา มีวินัยในการจัดการซึ่งกันและกัน สามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง 

 5.มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี

แม้แต่เจ้าตัวเล็กๆ  ก็มีศักดิ์ศรี เขามีตัวตนคือถ้าเราเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรี ในสถานะของเขา เราจะไม่เหยียดหยาม เราจะไม่ดูถูกซึ่งกันและกัน เราจะไม่บอกว่าอันนี้คือความหลากหลายทางเพศ อันนี้คือคิดมาได้อย่างไร แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน  ประโยคแบบนี้จะไม่หลุดออกมาเลย 

เพราะเรารู้อยู่ว่ามนุษย์ทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา เมื่อเป็นอย่างนั้นการฟังซึ่งกันและกัน ก็จะเกิดขึ้นได้  นี่คือคุณลักษณะที่จะนำไปสู่เรื่องของ  Open Mindset  ใจจะเปิดขึ้นทันที หัวใจสำคัญอันนี้จะกลายเป็นเรื่องของหัวใจแห่งประชาธิปไตย

 วันนี้เราไม่ต้องไปวุ่นวายตรงไหนเลย เรากลับมาเลี้ยงลูกด้วยหัวใจประชาธิปไตย แต่ครอบครัวในปัจจุบันนี้ที่เราเคยสำรวจกัน การเลี้ยงลูกที่เป็นแบบ Fix Mindset  บางจังหวะก็อาจจะโอเคนะ  เช่น ถ้าเรามีวิธีการ กระบวนการ การจัดการทัศนคติ ของเราเองในลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว  ในบางเหตุการณ์มันอาจจะจำเป็น เช่น ในตอนที่ลูกเราเล็กๆ  แล้วเราจำเป็นต้องควบคุมเพื่อไม่ให้ลูกเกิดอันตราย ปกป้องคุมครอง ใช้อำนาจในการเลี้ยง อันนั้นอาจจะเหมาะสมในสถานการณ์นั้น แต่เมื่อเขาโตขึ้นลักษณะพวกนี้เราต้องค่อยๆ ถอยลงไป เพราะ  Fix Mindset  ของเราอาจจะทำให้ลูกอ่อนแอในเรื่องวุฒิภาวะ 

ถ้าเรา Open Mindset  วุฒิภาวะเขาจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะอยู่กับเขาไปตลอด อย่างตอนที่ลูกเราเล็กๆ เราคิดแทนเขาตัดสินใจแทน ว่าอยากได้อะไร  Mindset  ของเราเป็นแบบไหน เราก็ว่าแบบนั้น เราเลือกเรียนโรงเรียนไหน ให้เข้าอะไรยังไง ลูกก็ทำไปตามนั้น แต่เมื่อโตขึ้นมาเรื่อยๆ  เปิดพื้นที่ให้เขามากขึ้น เขาเริ่มแสดงทัศนคติตัวเอง เริ่มแสดงความคิดเห็น ตรงนี้พ่อแม่ต้องภูมิใจว่าลูกเริ่มมีความคิด และทัศนคติของตนเองแล้ว 

เราจะเริ่มเปลี่ยนจาก Fix ให้กลายเป็น Open  คือเปิดพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เปิดพื้นที่มากถึงขนาดที่ตอนลูกเข้าวัยรุ่นอำนาจของเราจะเหลืออยู่แค่ 30%  อีก 70% จะกลายเป็น  Open Mindset  แล้วอะไรๆ  ก็จะสามารถมารังสรรค์ซึ่งกันและกันได้ สามารถที่จะออกแบบ สามารถที่จะอยู่ร่วม เกิดพื้นที่ส่วนตัวของเขา การเรียนรู้อยู่ร่วมกันบนวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป ยิ่งถ้าเป็นเยาวชน ขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็น  10%  ยิ่งถ้าโตขึ้นไปก็จะลดน้อยลง ทั้งหมดนี้ถ้ามันเกิดขึ้นได้ก็จะสามารถทำให้เกิด Open Mindset  ได้

ลูกช่วยฝึก Open Mindset พ่อแม่

“ลูกคือแบบฝึกหัดชีวิต พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบเปิดใจ รับฟังลูกได้บนความคิดที่แตกต่างกัน พ่อแม่จะเก่งขึ้น มีทักษะเพิ่มขึ้นและจะเลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น” “พ่อแม่ที่มี Open Mindset เปิดใจ ”จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องอดทน  ต้องเปิดใจ แม้แต่ทัศนคติเราต้องรับฟังลูกเราได้บนความคิดที่ต่าง วิธีการที่แตกต่างกัน  ใจของเราเปิดขึ้น เราเก่งขึ้น  อันนี้คนเป็นพ่อแม่เก่งขึ้นนะ  เก่งขึ้นตามลูกไปด้วย 

ตอนลูกอยู่ปฐมวัยเราก็ปรับตัวอีกแบบ  พอขึ้นวัยเรียนเราก็ต้องปรับตัวตามเขาเรื่อยๆ  ยิ่งบางบ้านมีลูกคนเดียว บางบ้านมีลูกสองสามคน พื้นฐานอารมณ์ไม่เหมือนกันอีก  พ่อแม่ที่ใจเปิดจะเลี้ยงลูกสองแบบที่แตกต่างได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวล 

แม้แต่ครูเองถ้าใจเปิดไม้เรียวไม่ต้องมี  Classroom Management  แต่เราจะใช้คำว่า Flipped Classroom เป็นห้องเรียนกลับทาง เกิดขึ้นได้หมดเลย แต่ทุกวันนี้เป็น  Fix Mindset  พอเป็น  Fix Mindset  ก็สอนแบบเดิม ๆ อัดเนื้อหาวิชาเข้าไป เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เด็กไม่สามารถตั้งคำถามได้  ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ อันนี้จะกลายเป็นปัญหาทันที  

แล้วจงภาคภูมิใจเอาไว้ถ้าเมื่อไหร่ที่เราฝึกฝนตนเองให้กลายเป็นคนที่  Open Mindset  ทัศนคติเปิดท่านจะอยู่ในที่ทำงานได้อย่างมีความสุข  อยู่ที่บ้านก็อยู่อย่างมีความสุข อยู่ในสังคมก็กลายเป็นสังคมที่เปิด เราเชิญชวนกันอยากให้เป็น open  Mindset

 

ติดตาม รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

รักลูก The Expert Talk EP 08: ตอน ปั้นน้ำเชื้อเป็นตัว โดย โรงพยาบาลวิภาวดี

มีลูกยาก...การบ้านก็ทำแล้วนะ...พึ่งทุกทางแล้วเนี่ยะ...เจ้าตัวเล็กก็ยังไม่มาซักที

ชวนคนอยากมีลูก มีลูกยากมาปั้นน้ำเชื้อให้เป็นตัว โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พญ.อัญชุลี พฤฒิวรนันทน์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์รักษา ผู้มีบุตรยากและผ่าตัด ผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลวิภาวดี

 

จำนวนคนไข้ที่มีบุตรยากมีเพิ่มขึ้น จริงๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกปี อาจจะด้วยว่ามันคงสะสมมาระยะหนึ่ง ด้วยเทรนด์ที่คนกว่าจะตั้งตัวได้ กว่าจะเรียนจบ ด้วยอายุถือเป็นปัจจัยหนึ่ง เพราะกว่าจะเรียนจบ ก็ยังต้องทำงานก่อน จะมามีลูกก็ยังไม่มีเงินเลี้ยงลูก พออยากจะมีลูกอายุก็มากขึ้น

ซึ่งจริงๆ โดยทฤษฏี พออายุมากเกิน 35 ปี ก็จะเข้าข่ายมีบุตรยากแล้ว มีแนวโน้มไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ ถ้าสมมติว่าอายุเกิน 35 ปี ก็ไม่ควรปล่อยนาน บางคนแต่งงาน 35 36 ละไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็มี ไม่ได้นะคะเพราะว่าเป็นปัจจัยแล้ว ต้องมีการบ้านแล้วละต้องตอบโจทย์ตัวเองแล้วว่าอยากมีลูกตอนไหน อยากมีลูกอายุเท่าไหร่ ก็จะต้องวางแผนละ ถ้าเราอยากมีเร็วก็ไม่ควรปล่อยเลยตามเลย ต้องจริงจัง โดยทฤษฎีถ้าปล่อยมีลูกนานเกินกว่า 12 เดือน หรือ 1 ปี ก็ยังไม่มีก็ควรจะต้องพบแพทย์แล้ว แต่ถ้าอายุเกิน 35 ปี ก็ไม่ควรรอนานถึง 12 เดือน ควรจะเป็น 6 เดือน ถ้าจริงจังแล้วยังไม่มีควรมาพบแพทย์ได้แล้ว

นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้มีลูก

มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับปัจจัยในแต่ละคู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องตรวจร่างกายก่อนทั้งผู้หญิงและผู้ชายเพื่อหาสาเหตุ และแก้ไขไปตามสาเหตุนั้นๆ บางคนอาจจะต้องมีผ่าตัดก่อนแก้ไข ถ้าเจอโรคเช่น เนื้องอกมดลูก หรือว่ากลุ่มซีสต์รังไข่ ก็จะต้องไปผ่าตัดก่อนการวางแผนมีบุตร พอแก้ไขเสร็จเรียบร้อยก็เข้าสู่กระบวนการรักษาเรื่องการมีบุตร

ถ้าง่ายที่สุดคือถ้ารังไข่ไม่ค่อยดีแล้วตกไข่ไม่ค่อยดีก็อาจใช้ยากระตุ้นไข่ เป็นวิธีแรก อันนี้ในกรณีที่คุณพ่อแข็งแรงดี ทุกคนแข็งแรงดี แต่ไข่อาจมีขี้เกียจบ้าง คุณภาพไม่ค่อยดี เพื่อที่จะได้ไข่ที่สมบูรณ์รู้วันตกไข่ที่ชัดเจนหลังจากนั้นก็กระตุ้นไข่ด้วยวิธีรับประทานธรรมดาไม่ต้องฉีดอะไร ถ้าปัจจัยไม่เยอะจะลองวิธีนี้ก่อน

ซึ่งถ้าเรารู้วันตกไข่ที่แน่นอนโอกาสของการทำการบ้านอยู่แค่ 24-48 ชั่วโมง ปกติเรารักษาแต่ละคู่เราก็จะบอกเลยว่ามันจะประมาณการวันตกไข่ได้ ถ้าอยู่คนละจังหวัด อยู่คนละที่ก็ต้องวางแผนกลับมาเจอกัน

IUI (Intra – Uterine Insemination)

สำหรับวิธีต่อไปถ้ากระตุ้นไข่แล้วยังไม่สำเร็จ โดยทั่วไป 3-6 เดือนควรต้องเริ่มขยับวิธีอื่น ซึ่งวิธีต่อไปก็จะเป็นเรื่องของการฉีดเชื้อ ก็คือนำน้ำเชื้อหรืออสุจิของฝ่ายชายหลั่งออกมาและบางที่อาจจะมีทั้งตัวที่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ วิ่งได้บ้าง จอดนิ่งบ้าง ก็เอามาล้างเอามาคัดเชื้อเอาเฉพาะตัวที่สมบูรณ์ เสร็จแล้วก็ฉีดกลับเข้าไปในโพรงมดลูก หมอชอบอธิบายคุณไข้ง่ายๆ ว่านึกถึงสภาพรถติด บนถนนมีทั้งรถติด รถแข่ง รถจอดตาย มันก็มีตัวดีๆ นะ มีรถแข่ง มันวิ่งไปไม่ได้รถมันติดก็ต้องมาล้างมาคัดเชื้อเอาเฉพาะรถแข่งแล้วนอกจากนั้นส่งขึ้นทางด่วนด้วย เพื่อไปให้ถึงผิวไข่เพื่อไปปฏิสนธิให้ได้ วิธีนี้เรียกว่า IUI

ถ้าเทียบกับวิธีแรกคือการกระตุ้นไข่อย่างเดียวเทียบเป็นระดับเท่าคือมีมากกว่าประมาณ 2-3 เท่า แต่ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ต้องนับจากธรรมชาติก่อนโดยที่ไม่ทำอะไรเลยโอกาสท้อง 1-2 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน หมายความว่า 100 คู่ มีโอกาสสำเร็จ 1-2 คู่ต่อเดือน แต่ถ้าเป็นสเต็ปแรกที่เล่าให้ฟังไปเป็นการกระตุ้นไข่อย่างเดียวก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวก็จะเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ก็ขยับมาเป็น 20 คู่ท้อง 1 คู่ แล้วพอมาเป็น IUI ก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 10 เปอร์เซ็นต์

วิธีนี้นิยมมากที่สุด ถ้าเทียบกับฐานคนไข้ทั้งหมด เพราะราคาไม่แพง แล้วก็ยังเป็นหัตถการที่ไม่ค่อยเจ็บตัว ไม่โดนฉีดยาอะไรมากมาย ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ นัดวันมากระตุ้นไข่ นัดวันมาฉีดเชื้อ

เด็กหลอดแก้ว

วิธีต่อไปจะขยับมาเป็นเด็กหลอดแก้ว ซึ่งเด็กหลอดแก้วจริงๆ ก็จะมี 2 แบบ ก็คือ IVF กับ อิ๊กซี่ ก็คือICSI แต่เราก็จะเรียกเป็นอิ๊กซี่ ซึ่งจริงๆ ทั้ง IVF และ อิ๊กซี่ คือเด็กหลอดแก้วทั้งหมด หมายความว่าเก็บไข่ออกมาข้างนอก เก็บสเปิร์มออกมาปฏิสนธิเสร็จเรียบร้อย พอทำให้เป็นตัวอ่อนแล้วที่ห้องแลป

พอได้ตัวอ่อนมาแล้วย้ายกลับเข้าโพรงมดลูกนี่คือเป็นเด็กหลอดแก้ว แต่ว่าต่างกันอย่างไร IVF คือการเอาสเปิร์ม ล้าง คัด หยอดลงไปที่ผิวหน้าไข่โดยเฉพาะ สเปิร์มยังต้องเจาะไข่เองเพื่อที่จะเข้าไปปฏิสนธิ แต่ถ้าเป็นอิ๊กซี่ก็คือ 1ไข่ ต่อ 1 สเปิร์ม คือฉีดสเปิร์มเข้าไปในใจกลางไข่เลย เพื่อที่จะทำให้เขาปฏิสนธิได้สมบูรณ์ที่สุด ปอกเปลือกไข่ก่อนด้วยแล้วก็ยิงสเปิร์มเข้าไปด้วยแล้วก็เฝ้าดูด้วยว่าเขาจะเจริญเติบโตแบ่งเซลล์หรือเปล่า ซึ่งมีโอกาสสูงมากตั้งแต่ 50 เปอร์เซ็นต์ ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยในแต่ละคู่

วิธีการนี้เจ็บตัวในช่วงที่ต้องกระตุ้นไข่ เพราะว่ายากระตุ้นไข่จะต้องเป็นยาฉีด จะต้องฉีดยาทุกวัน ฉีดประมาณ 8-10 วัน ฉีดแล้วต้องมามอนิเตอร์ก็คือต้องมีการอัลตราซาวนด์บ่อยมากขึ้นเพื่อที่จะเห็นไข่เติบโตตามระยะ มีการปรับยากระตุ้นไข่ และเจ็บตัวอีกทีตอนเก็บไข่

แต่จริงๆ แล้วเวลาเก็บไข่จะเจ็บตอนฉีดยาเพราะนอนเสร็จหมอก็จะฉีดยานอนหลับให้ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่คุณหมอ ที่เหลือหลับสบาย คนไข้บอกว่าจะกลัววันเก็บไข่ที่สุดแต่ปรากฎว่าไม่เจ็บเลยเพราะนอนหลับไป ตื่นมาก็เสร็จแล้ว

ผสมเทียมกับการได้เด็กฝาแฝด

ทางการแพทย์ไม่ต้องการเลย หมอทุกคนที่รักษาในกลุ่มมีบุตรยากไม่อยากให้เกิดแฝดเลย เพราะเวลาที่เราทำให้คนไข้ท้องคนหนึ่งเรามองไปถึงจุดที่ต้องคลอดแล้ว เพราะฉะนั้นเรามองไปถึงระยะยาวเลยว่ามีความเสี่ยงระหว่างตั้งครรภ์ การแท้ง คลอดก่อนกำหนดไหม เด็กจะออกมาสมบูรณ์ไหม

เพราะฉะนัั้นเมื่อไหร่เป็นแฝดจะมีความเสี่ยงมากขึ้นอยู่แล้วไม่ว่าแท้งคูณเป็นสองเท่า ถ้าเป็นแฝดสองก็คูณสองเท่าระหว่างทางก็มีโอกาสที่จะกระตุ้นครรภ์เป็นพิษ เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ความดันสูง คลอดก่อนกำหนด ซึ่งพอคลอดก่อนกำหนดก็ขึ้นอยู่กับว่าเด็กคลอดก่อนกำหนดมากน้อยแค่ไหน ถ้าก่อนกำหนดมากก็ต้องอยู่ตู้อบ ซึ่งเสียเงินแล้วค่าใช้จ่ายในการมอนิเตอร์ก็เยอะ ซึ่งเป็นความเจ็บของแม่ที่เห็นลูกนอนอยู่ในตู้

หมอไม่อยากได้แฝดแต่ว่าเทคโนโลยีในการกระตุ้นไข่มีโอกาสได้ไข่มากกว่าธรรมชาติ ก็คือถ้าเป็น IUI มีโอกาสได้ไข่ตั้งแต่ หนึ่งใบสองใบสามใบแล้วเราคอนโทรลให้มีการปฏิสนธิไม่ได้ เนื่องจากว่าเราปล่อยเชื้อเข้าไปปฏิสนธิในช่องท้อง เพราะเราฉีดสเปิร์มเข้าไปในมดลูกเลย

เพราะฉะนั้นสมมติมาบังเอิญติดทั้งหนึ่งไข่สองไข่สามไข่ ก็มีสิทธิ์เป็นแฝดสองแฝดสามได้ เพราะฉะนั้นการ IUI ก็มีข้อกำหนดว่าเมื่อไหร่มีไข่เกินสามใบห้าม IUI ทันที จะต้องยกเลิก อันนี้เป็นข้อบางชี้ทางการแพทย์ เพราะถ้ามีโอกาสที่ได้มากกว่าสามก็เป็นแฝดสี่แฝดห้า ซึ่งความเสี่ยงก็จะเยอะมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็น IUI โอกาสที่จะคอนโทรลเรื่องของแฝดก็จะอยากกว่าที่เป็นเด็กหลอดแก้ว

แต่ถ้าเป็นเด็กหลอดแก้วก็คือไม่ว่าจะเป็น IVF หรืออิ๊กซี่ ซึ่งจริงในปัจจุบัน IVF ไม่ค่อยมีใครทำแล้วนะคะ เนื่องจากอิ๊กซี่ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้สูงกว่าเนื่องจากเราบังคับปฏิสนธิเลย จริงๆ ถ้าความเข้าใจของหมอ 98-99 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

ในประเทศไทยตอนนี้ทำเป็นอิ๊กซี่หมดทุกเซ็นเตอร์เพราะโอกาสการตั้งครรภ์สูงกว่า ยกเว้นว่าเซ็นเตอร์ไหนนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถคอนโทรลเรื่องของการทำอิ๊กซี่ได้เขาก็อาจจะมั่นใจในการทำ IVF มากกว่าก็คือแล้วแต่เซ็นเตอร์นั้นๆ แต่ถ้าอย่างเซ็นเตอร์โรงพยาบาลวิภาวดีคือทำอิ๊กซี่ 100 เปอร์เซ็นต์มา 15 ปีแล้วไม่มี IVF เลย

ย้อนกลับไปเรื่องแฝด ถ้าเป็นเด็กหลอดแก้วมันก็มีโอกาสเก็บไข่ออกมาได้มากอยู่แล้ว มีตั้งแต่สามใบในคนอายุเยอะจนกระทั้งถึง 20-25 ใบในคนอายุน้อยลง เพราะฉะนั้นถ้า 20-25 ใบก็มีโอกาสเป็นตัวอ่อนประมาณเป็น 10 ตัว พอเป็น 10 ตัวเราเลือกย้ายตัวอ่อนที่ดีที่สุด เวลาย้ายตัวอ่อนก็จะย้ายได้ 1 หรือ 2 ตัว

ปัจจุบันทางราชวิทยาลัยหรือสมาคมเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์แนะนำว่าไม่ควรย้ายตัวอ่อนเกิน 2 ตัว ซึ่งจริงๆ แนะนำให้ย้ายตัวอ่อนทีละตัวเท่านั้นเพราะว่าเราไม่ต้องการแฝดอย่างที่บอก และโดยเฉพาะคนที่มีลูกยากอายุเยอะความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนต่างๆ ก็ยิ่งมากขึ้นไปอีกเพราะฉะนั้นแฝดจะเรียกเป็นเหมือนภาวะแทรกซ้อนที่เราไม่อยากได้ก็ได้จริงแล้วดูเหมือนคุ้มแต่หมอจะพยายามบอกคนไข้ทุกคนว่าความคุ้มมันต้องมองไปถึงจุดสุดท้าย

ถ้าให้อธิบายเรื่องของพัฒนาการจริงๆ เลี้ยงลูกทีละคนดีกว่าเรามอบความรัก แล้วดูแลเอาใจใส่เขาได้มากที่สุดทีละคนรวมถึงพัฒนาการที่พี่กระตุ้นน้องตามลำดับไปด้วย

คุณแม่ดูแลสุขภาพ

การทำด้วยเทคโนโลยีมีงานวิจัยออกมาเป็นหมื่นๆ งานวิจัยเลย และได้ข้อสรุปมาเป็น 10 ปีแล้วว่าไม่มีผลใดๆ ทุกอย่างเทียบเท่ากับธรรมชาติ แต่ถ้าในส่วนของเรื่องภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ให้อธิบายในแง่ของพื้นฐานของคนที่มีลูกยากมักมีปัจจัยอยู่แล้วไม่ว่าจะอายุเยอะหรือว่าอาจจะโรคที่เป็นมาอยู่เดิม เนื้องอกมดลูก พังผืด ซีสต์รังไข่

ทั้งหมดทั้งมวลคือการทำให้เกิดในเรื่องโอกาสการคลอดก่อนกำหนด อาจมีภาวะรกเสื่อม น้ำคล่ำน้อย เพราะฉะนั้นในช่วงท้ายๆ ก็ต้องมีการพักผ่อนมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้ลูกไปถึงการคลอดครบกำหนดให้ได้ จริงๆ ไม่เฉพาะไตรมาสสามตั้งแต่ไตรมาสแรก แล้วก็พูดถึงความพยายามความจริงจังในแต่ละคู่สมรสกว่าจะได้มาก็เหมือนแบบ Golden Child / Platinum Child ไม่รู้จะตั้งระดับไหน ก็เหมือนเป็นเด็กที่เราต้องประคบประหงมเขาหน่อยกว่าจะได้เขามา เสียเงินก็มาก เสียเวลาไปเสียทุกสิ่งอย่าง

สำหรับการดูแลก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ถ้าเป็นแค่ปัจจัยน้อยๆ กระตุ้นไข่น้อยๆ จริงๆ ก็เหมือนกับการตั้งครรภ์ปกติ ก็คือใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ถ้าเกิดว่าต้องใช้เทคโนโลยีมากขึ้นก็อาจจะต้องเฝ้าระวัง คืออาจจะเกิดเหตุก็ได้ เกิดเหตุที่จะมีภาวะแทรกซ้อน หรือคลอดก่อนกำหนด

ทั้งนี้ทั้งนั้นหมอที่ดูแลเวลาที่เราฝากครรภ์ก็จะประเมินอยู่แล้วว่าเราเป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนไหม เพราะฉะนั้นอย่างแรกเลยคือเชื่อฟังหมอไปฝากครรภ์สม่ำเสมอตามกำหนด ถ้ามีความเสี่ยงอะไรพอหมอแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมพอเราตรวจแล้วถ้ามีภาวะแทรกซ้อน ก็จะต้องปฏิบัติตัวมีวินัยตามระยะของการตั้งครรภ์

แนะนำหากอยากมีลูก

อย่างแรกต้องทำการบ้านก่อนคุยกันว่าพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมเลยก็ไม่ต้องกลัวที่จะมาตรวจ จริงๆ แล้วตรวจเบื้องต้นพอเราจอสาเหตุก็จะได้รักษาไปตามสาเหตุนั้นๆ ตรวจเบื้องต้นควรจะมาตรวจทั้งคู่ ตรวจทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย แล้วก็ระหว่างทางที่รักษาไปก็ควรดูแลสุขภาพ ตั้งใจเต็มที่ แล้วก็เรื่องการดูแลสุขภาพตัวเอง การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีช่วยทำให้มีบุตรง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วก็วิตามินที่เตรียมการตั้งครรภ์ก็ควรจะเริ่มกินได้ จริงๆ มีแค่โฟลิกเม็ดเล็กๆ วันละเม็ดก็ทานไปเลยทานได้นานเลย

บางคนถามว่าอยากมีลูกปีหน้าทานได้เลยไหม จริงๆ คือทานไว้ได้เลยค่ะ โฟลิกก็คือดูแลในเรื่องเซลล์พื้นฐานตั้งแต่หัวจรดเท้า คือเป้าหมายหลักเราต้องการให้เซลล์ไข่คุณภาพดีป้องกันความพิการของทารกได้ด้วย แต่จริงๆ โฟลิกเป็นสารตั้งต้นที่ดูแลผิวดูแลผมได้ด้วย

นวัตกรรมผู้มีบุตรยาก

ที่โรงพยาบาลวิภาวดีเราทำเป็นเทคนิคอิ๊กซี่มากที่สุด ทำมาเป็น 15 ปีแล้ว ก็คือในอัตราการตั้งครรภ์ของเราค่อนข้างสูงคือ 50-80 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่บอกมีโอกาสได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์เลยถ้าปัจจัยไม่ได้เยอะมาก รวมถึงเรามีห้องแล็ปของเราเองไม่ได้จำเป็นต้องส่งไข่หรือตัวอ่อนออกไปที่อื่น แล้วยังสามารถตรวจโครโมโซมตัวอ่อนได้ด้วยในคนที่มีข้อบ่งชี้ สามารถบ่งชี้ได้เลยว่าตัวอ่อนมีโครโมโซมที่ปกติไหม มีโครโมโซมผิดปกติมากน้อยแค่ไหน โรงพยาบาลเรามีหมอเฉพาะทางหลายท่านสามารถที่จะให้บริการได้ทุกวันทั้ง 7 วัน เข้ามาได้ตามวันที่สะดวกค่ะ

 

พบกับ รายการ รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast:  https://apple.co/3m15ytB

Spotify:  https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:  https://bit.ly/3cxn31u

www.rakluke.com/community-of-the-experts.html

รักลูก The Expert Talk EP 85 (Rerun) : เลี้ยงลูกเชิงบวก พ่อแม่มีอยู่จริง สร้างฐานที่มั่นทางใจของลูก

 

รักลูก The Expert Talk Ep.85 (Rerun) : เลี้ยงลูกเชิงบวก "พ่อแม่มีอยู่จริง สร้างฐานที่มั่นทางใจลูก"

 

คลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์ในบ้าน ด้วยการสร้าง Family Attachment

เพราะฐานที่มั่นทางใจที่แข็งแรง จะสามารถสู้อุปสรรค ให้ล้มแล้วลุกได้

 

กับ The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 86 : เรียนรู้อยู่ร่วมกับความต่าง นิทานในสวนกับ ย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

รักลูก The Expert Talk Ep.86 : เรียนรู้อยู่ร่วมกันกับความต่าง นิทานในสวนกับ ย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

นิทานที่เป็นได้มากกว่านิทาน เป็นการเรียนรู้โลกเบื้องต้นของเด็ก เพื่อเตรียมตัวให้รู้จักกับชีวิตที่จะเดินไปข้างหน้า ได้รู้จักผู้คน รู้จักสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว และรู้หลักคิดว่าจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร

พ่อแม่สามารถใช้นิทานสร้าง Eco System ให้กับเด็กได้ เป็นตัวกระตุ้นการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากยิ่งขึ้น

 

ฟังแนวคิดและหลักคิดที่จะได้จาก นิทานชุดไปสวนกับย่า “ไม่เหมือนกันแต่ก็เหมือนกัน” และ “เหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน” จากย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 87 : ฟื้นฟูสมอง เร่งเรียน เร่งรู้ด้วยนิทาน EF

 

รักลูก The Expert Talk Ep.87 : ฟื้นฟูสมอง เร่งเรียน เร่งรู้ด้วยนิทาน EF

 

นิทานชุดในสวนของย่า เรื่อง โอ๊ะโอ! ขอโทษนะ และ เรื่อง ให้เวลาหน่อยนะ จะช่วยตอบคำถามที่ค้างคาในใจของพ่อแม่ได้ว่าทำไมลูกเราช้ากว่าคนอื่น? ทำไมคนอื่นต้องทำผิดกับเรา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย?

คำถามที่ต้องการมุมมอง ความคิด เพื่อทำความเข้าใจกับพัฒนาการของลูกและสถานการณ์ปัจจุบัน

 ชวนฟังแนวคิดและหลักคิดเพื่อนำไปปรับใช้เลี้ยงลูกได้จากนิทานของย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

ให้เวลาหน่อยนะ ชุดในสวนของย่า

ในสวนของย่า เริ่มจากที่ชวนหลานมาช่วยทําสวนครัวเล็กๆ บนหลังคาโรงรถ มันทําให้เราได้สังเกตชีวิตของพืชพันธุ์ ของผักที่เราปลูก แมลงต่างๆ มันทำให้มีชีวิตชีวา ซึ่งก็เป็นจุดที่ดึงความสนใจเด็กได้พอสมควร นิทานเรื่องให้เวลาหน่อยนะก็มาจาก จากการที่เราสังเกตว่าเวลาเราปลูกต้นไม้แม้จะปลูกพร้อมกัน แต่มันขึ้นไม่พร้อมกัน การเติบโตก็ไม่เหมือนกัน มันจะมีต้นใหญ่ต้นเล็ก แล้วแต่เหตุปัจจัย ก็เกิดไอเดียขึ้นมาว่าเด็กๆ ก็อาจจะต้องเข้าใจพัฒนาการของแต่ละช่วงเวลา สําหรับเด็กเขาน่าจะได้มีโอกาสรู้ว่า อะไรต่ออะไรมันก็ไม่ได้ต้องเป็นไปตามแบบนั้นแบบนี้เสมอไป ก็เลยใช้เรื่องต้นถั่วขึ้นมาเพื่อที่จะให้หลานได้เรียนรู้ เขาเองก็มีข้อสงสัยอยู่แล้วว่าก็หยอดเหมือนกันแล้วทำไมไม่โตสักที จากการที่ว่ามันไม่โตสักที ทําไมมันไม่เท่าคนอื่นไม่เหมือนคนอื่นก็เป็นที่มาของการเขียน

เข้าใจจังหวะเวลาการเติบโต

สิ่งที่เด็กได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ สิ่งต่างๆถ้าตามธรรมชาติ มันจะมีจังหวะเวลาของมัน เช่น ผักถ้าเป็นเมล็ดถั่วยังไงก็ต้องประมาณเกือบ 10 วัน กว่ามันจะงอกหรือถ้าเป็นผักเล็กๆน้อยๆประมาณ 4-5วัน แต่ละชนิดมันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเขาพอจะเข้าใจว่าแต่ละสิ่งนั้นมันมีจังหวะเวลาของมัน มันมีเวลาของชีวิตมันซึ่งไม่เหมือนกัน มนุษย์ สัตว์ ต้นไม่ก็มีเวลาของตัวเอง

เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าใจก่อนว่าแต่ละสิ่งมีเวลาที่ไม่ตรงกันไม่เหมือนกันก็เป็นการทําความเข้าใจโลก ซึ่งการชวนให้เขาไปสังเกตเขาจะได้ความรู้ ได้ทักษะรวมทั้งได้เจตคติ Mindsetว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เราจะไปเร่งให้มันเร็วหรือทำให้สิ่งนี้ช้าลงก็ไม่ได้ เหมือนไปบอกผักว่าไม่อยู่บ้าน อย่าเพิ่งโตนะกินไม่ทันเราก็บอกมันไม่ได้ และสิ่งที่สําคัญก็คือถ้าเรารู้จักเวลามันจะทําให้เรารู้จักรอด้วย เราจะรู้จักรอ รู้ว่าอย่าเพิ่งไปเร่งมัน แล้วสิ่งที่ได้ประโยชน์มากก็คือคนอ่านพ่อแม่ก็ได้เข้าใจลูกไปด้วยว่า ลูกเราก็จะเหมือนต้นถั่วนี้แหล่ะ ถ้าอะไรที่เรารู้สึกยังไม่ถูกใจไม่ชอบใจ ทําไมทำนั่นทำนี่ไม่ได้ เราก็อาจจะต้องมาดูก่อนว่าอันที่หนึ่ง ใช่เวลาของเขาไหมยังรอได้ไหม อันที่สองมันจะนําไปสู่การเข้าใจที่มาของการที่มันไม่ได้ มันไม่ได้ต้องตรงกัน

เด็กในห้องเรียนห้องเดียวกัน ทําไมคนนี้สอบได้ คนนี้สอบไม่ได้ ทําไมลูกเขาได้ ABCแล้วทําไมลูกเราไม่ได้ กระบวนการทําความเข้าใจอย่างนี้ นอกจากจะมีเวลาเป็นตัวตั้งแล้ว มันยังมีการเข้าใจถึงปัจจัยและเหตุที่มาว่าทําไมเขาถึงไม่ได้ เด็กบางคนก็ช้ากว่าเพื่อนแต่เขาเป็นม้าตีนปลาย ดังนั้นการที่ผู้ใหญ่เข้าใจเราก็จะเปลี่ยน คือไม่ไปเร่งเด็ก ไม่คาดหวังเด็กเองพอเขาเข้าใจก็จะไม่คาดหวังทุกเรื่องมากจนเกินไป รู้จักจังหวะรู้จักรอคอย ใช้ธรรมชาติให้เขาได้เรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลง และเด็กจะค่อยๆ เข้าใจธรรมชาติของตัวเองด้วย และปรับเข้ากับเรื่องอื่นด้วย อย่างเช่นบางที น้องชายบอกทําไมเขาไม่ได้อันนี้เท่านี้เท่านั้นเหมือนพี่ พี่ชายเขาตอบเองเลยก็พี่เกิดก่อนไงพี่ก็ต้องรู้ก่อน แล้วพี่ก็ต้องกินมากกว่าอะไรทํานองแบบนี้ พอจะมีคําอธิบายถูกบ้างผิดบ้างแต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักเอาไปใช้

อีกเรื่องที่สําคัญเราจะพบว่าหลายอย่างเราแก้ปัญหาได้ เช่น สมมติว่าเรารู้ว่ามันโตช้ากว่าคนอื่นเราอาจจะต้องเติมดินเติมปุ๋ย เพราะว่าความต้องการ มันไม่เหมือนกั เมื่อเขาโตขึ้นเขาก็จะเข้าใจว่ามนุษย์ก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคนนี้เขาขาดสิ่งนั้นสิ่งนี้เราเติมเข้าไปก็ยังมีโอกาส ที่จะทําให้เขาเติบโตต่อไปได้ยังแก้ได้ไม่มีอะไรที่แบบว่าจะไม่โตเลย

ไม่ยัดเยียด ไม่เร่งรัด สร้างใยประสาทให้เติบโตด้วยความสุข

หลังโควิดพ่อแม่เร่งเรียนลูกเป็นความเข้าใจของพ่อแม่ที่คิดว่าต้องอัดให้เท่ากับสิ่งที่เขาไม่ได้เรียนมา ก็คือเป็นการชดเชยที่ตรงไปตรงมาเพียงแต่ว่ามนุษย์ มันไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างนั้นซะทั้งหมด เพราะว่าสิ่งที่หายไปมันไม่ใช่แค่เวลาที่เขาไม่ได้เรียนแต่สิ่งที่หายไปคือ เช่น เส้นใยประสาทมันไม่งอกในช่วงเวลานั้น ถ้ามันไม่มีอะไรกระตุ้นเลย ใช้แต่มือถือแล้วก็นั่งจับเจ่าอยู่กับที่ เพราะฉะนั้นเส้นใยประสาทที่ควรจะงอกเมื่อเขาได้วิ่งเล่น ได้เจอผู้คน ได้อ่าน ได้อยู่กับเพื่อน พอมันไม่งอก มันคุดไปแล้วเปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีอะไรมาบัง อาจจะโตได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าเราเอาสิ่งที่บังออกเราจะทําให้มันเท่ากับต้นที่โตไปแล้ว 1ฟุตได้ไหม อาจจะไม่ได้ เพราะว่ามันแกร็นไปแล้ว และถ้าจะทำให้โตเท่ากับอีกต้นที่มันไม่ถูกแกร็นก็คงจะต้องเอาใจใส่มากพอ มันอาจจะไม่ได้ต้องการแค่น้ำกับปุ๋ยเท่านั้น ต้องมีการพรวนดิน ดูแลกันอย่างละเอียด

เพราะฉะนั้นเด็กก็เหมือนกันหลังโควิดว่านอกจากจะต้องเข้าใจว่าพัฒนาการมันถดถอยไป ล่าช้าไป สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำคือ หนึ่งต้องร้อนใจแต่ไม่ใช่ไปเร่ง โดยการไปอัดโน่น อัดนี่ ยัดเยียดทุกอย่างเข้าไป แต่เราต้องไปดูว่าที่จะทําให้เขาโตมันมีปัจจัยอะไรอีกบ้างที่มันไปครอบเอาไว้ เช่น ความสุขใยประสาทที่หายไป ก็เรื่องนึงแต่ถามว่าทําอย่างไรจะให้ใยประสาทโตขึ้นมา ก็ต้องมาจากการที่เด็กรู้สึกมีความสุข มีสมองส่วนอารมณ์ที่เบิกบาน มีความรู้สึกพร้อมอยากจะเรียน จะมีความรู้สึกว่าชีวิตเป็นปกติไม่เครียดเหมือนเมื่อก่อน

แต่ถ้าเติมแล้วสิ่งนั้นมันทําให้เขาทุกข์เครียดไปอีก สมองเขาก็จะชะงักอีก เพราะฉะนั้นกระบวนการของการที่เราจะทําให้เขาเลิกแคระแกร็นได้มันก็จะต้องมีความประณีต ซึ่งเวลานี้ก็เราก็ชี้กันไปแล้วว่าอย่างนี้ 1.แทนที่จะให้เด็กไปอ่าน คัด ABC อ่านตัวอักษรอย่างเดียวก็มาอ่านนิทาน

2.วิ่งเล่นและเคลื่อนไหวร่างกาย

3.ครูกอดและพูดคุยกับเด็กให้มากขึ้น

4.อ่านนิทานเยอะๆ แล้วก็พูดคุยซักถามไปเรื่อยๆ ชวนคิดชวนคุย ทํากิจกรรมต่อเนื่องมากขึ้น ให้เด็กได้ทำบทบาทสมมติ คือทําให้มันเกิดการงอกงาม เพื่อไปกระตุ้นให้มันกลับมาดีและก็พร้อมที่จะโตต่อไป

3 เร่ง 3ลด 3เพิ่ม

เนื่องจากว่าพอมันมีโควิดเด็กก็กระทบทุกด้านร่างกายก็เนือยนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวพ่อแม่ก็โยนมือถือให้เพราะว่าพ่อแม่ก็จะไม่มีเวลาทํางานแต่มันกลายเป็นทําร้ายลูก มีงานวิจัยว่าสายตาเด็กเสียไปเยอะ ด้านอารมณ์เด็กก็กระทบคือเด็กมันต้องวิ่ง ต้องวิ่ง ต้องเล่น ต้องอยู่กับเพื่อน ปรากฏว่าก็ไม่ได้วิ่งไม่ได้เล่นอะไรแล้วก็ใช้มือถือมากๆ สายตาก็ใช้งานหนักก็เครียดโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นเด็กก็จะอารมณ์หงุดหงิดแล้วก็ไม่ค่อยมีความสุข โดยที่ผู้ใหญ่เราอาจจะไม่รู้ก็คิดว่านิ่งกับโอเคแล้ว นอกจากนี้ในเรื่องสังคมคือเด็กก็ไม่ได้อยู่กับสังคม เพราะการเข้าสังคมมันทําให้เด็กนอกจากจะเรียนรู้แล้ว ยังเป็นที่ระบายอารมณ์ ได้เล่นกับเพื่อนก็สนุกสนาน หัวเราะ แต่บรรยากาศอย่างนี้มันไม่มีมันหายไป แล้วก็ด้านจิตปัญญาเด็กไม่ได้เรียนอะไร แต่สิ่งที่เป็นห่วงกันมากที่สุดก็คือเส้นใยประสาทที่ช่ฃวงอายุ 3-6ปีจะแผ่ขยายมาก แต่พอไม่ได้มีกระบวนการเรียนรู้ มีประสบการณ์ที่ดี มันก็จะแกร็นแล้วถ้าพ่อแม่ ไม่เข้าใจก็ฟื้นไม่ได้ ผลกระทบก็คือเด็กก็อาจจะไม่ใช่คนที่พอใจต่อการเรียนรู้ ไม่ใช่เด็กที่อยากเรียนรู้ เพราะว่าสมองส่วนที่ควรจะกําลังเรียนรู้มันแกร็นไปแล้ว

เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นคนที่ไม่พอใจกับเรื่องต่างๆ เพราะภาวะอารมณ์โครงสร้างสมองมันทําให้กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว คือไม่ค่อยมีความสุข หงุดหงิดงัวเงียๆ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเป็น Learning Lossของจริง สิ่งที่เป็นข้อเสนอออกมาก็คือว่าต้องเร่งแก้ปัญหา เคสที่หนักๆ เช่น เด็กที่เจอกับความรุนแรงในบ้าน รวมถึง อ่านหนังสือชวนกันอ่านนิทานบ่อยๆ ให้เด็กไปวิ่งเล่น เรารณรงค์เรื่องกิจกรรมทางกายว่าต้องให้เด็กวิ่งทุกวัน ร่างกายได้ขยับขับเคลื่อน สมองได้ทํางาน ได้เล่นกับเพื่อน ได้หัวเราะ ได้อากาศที่เข้าไปปอดทํางาน ซึ่งต้องกลับมาทำอย่างจริงจัง

แล้วถามว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่ากิจกรรมที่เราทํามันจะพาเด็กไปสู่การแก้สถานการณ์นะคะหรือฟื้นฟูได้จริง วิธีเช็กเบื้องต้นคือ

1.เด็กมีความสุขหรือเปล่า มีความอยากทํากิจกรรมอะไรเหล่านี้ไปพร้อมกับคุณครูกับคุณพ่อคุณแม่ไหม

2.สัมพันธภาพดีไหมถ้าในกิจกรรมนั้นสัมพันธภาพดีเชื่อได้ว่าสมองส่วนอารมณ์เขาจะดีและมันก็พร้อมที่จะไปกระตุ้นสมองส่วนคิดให้ทํางาน

3.กิจกรรมนั้นทําได้หลากหลายอย่างหรือเปล่า เช่น สมมติว่าการอ่านหนังสือคือเด็กก็ได้อ่าน สมองได้ทํางาน แล้วครูก็ชวนทำท่า ต้นถั่ว ท่าที่มันกําลังเติบโตทํายังไงบ้าง เป็นMusic Movement ได้เคลื่อนไหวทั้งร่างกาย ทั้งสายตา ทั้งสมอง ประสาทสัมผัสทั้งหมดได้ทํางาน อย่างนี้จะช่วยกระตุ้นได้เร็ว

4.สิ่งนั้นมีความหมายต่อชีวิตของเด็กๆ ไหม เช่น จะพูดเรื่องถั่วเราก็อาจจะต้องดึงกลับมาว่าเด็กๆ เราไปปลูกสวนครัวกันไหมเรามีถั่วคนละต้น ชวนเด็กๆ นั่งเฝ้า เพราะฉะนั้นเด็กรู้สึกว่าสิ่งที่อ่านกับสิ่งที่เขากําลังจะทํามันเป็นเรื่องเดียวกัน มันมีความหมายต่อชีวิตเขา เดี๋ยวพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะรดน้ํา จะเริ่มเกิดความรับผิดชอบจะเริ่มเกิดความรู้สึกผูกพันรอคอยว่าเมื่อไหร่มันจะโต เพราะฉะนั้น 4ข้อนี้จะเป็นตัวเช็ก ถ้ามันไปได้ดีผู้ใหญ่เราจะตอบตัวเองได้ว่าเกิดความสุขเกิดแรงจูงใจเกิดความสัมพันธ์ที่ดีเกิดการใช้ประสาทสัมผัสครบถ้วน ไม่ได้สอนอะไรที่ไกลตัวแล้วเด็กไม่รู้เรื่องไม่สนใจ ถ้าทำทั้ง 4ข้อนี้ได้ยังไงก็ฟื้นได้ค่ะ

โอ๊ะ โอ ขอโทษนะ

ตามธรรมชาติของบวบจะสังเกตว่ามันโตเร็ว แล้วด้วยความที่ใบใหญ่ใบหนาก็จึงต้องมีจุดยึดเกาะที่แข็งแรง เพราะใบใหญ่และต้นยาวมาก เพราะฉะนั้นอะไรที่คว้าได้ก็จะคว้า แต่ประเด็นสําคัญก็คือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการขอโทษ สมมติมีใครมาทําเราเจ็บคนนั้นก็ควรจะขอโทษใช่ไหมคะ แต่ว่าบางครั้งความไม่ตั้งใจที่ทำคนนั้นทำลงไปเด็กอาจจะไม่เข้าใจ ทําไมเขาต้องมาทําผิดกับเรา กรณีที่ไม่ตั้งใจจะเกิดขึ้นเยอะ เราจะทำให้เด็กเข้าใจ เรื่องนี้ได้ง่ายขึ้นอย่างไรบ้าง บางทีความปรารถนาดีของคนคนหนึ่งอาจจะทําให้เราไม่โอเค ไม่พอใจ เสียใจ ซึ่งกระบวนการนี้เป็นกระบวนการ ที่ต้องสื่อสาร ถึงจะทําให้เด็กได้เรียนรู้สองเรื่องไปพร้อมกันคือหนึ่งคนไม่ตั้งใจมันมีอยู่เยอะ คนไม่ได้เพอร์เฟกต์หรอก แต่ว่าเบื้องหลังการทําผิดนั้น บางทีเราต้องไปทําความเข้าใจต้องใจเย็นพอที่จะให้โอกาสในการชี้แจงสื่อสาร แล้วเราก็จะพบว่าหลายเรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงจนเราจะรับไม่ได้ ให้อภัยไม่ได้

ฉะนั้นนิทานเรื่องนี้ก็มีเรื่องการสื่อสารที่อยากจะเติมไป เช่น อ๋อขอโทษนะที่ฉันเอาใบไปบังเธอเพราะฉันก็เข้าใจว่าแดดมันร้อน แล้วฉันก็มีใบ ที่แข็งแรงก็ช่วยเธอเธอจะได้ไม่ต้องร้อนเกินไป แต่กลับกลายเป็นว่ามันไปทําให้ต้นมะเขือเทศก็ไม่ได้แดดเลย เพราะฉะนั้นการชี้แจงทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่ขอโทษก็ต้องชี้แจงว่าเราคิดอะไร เราพูดกันได้ตรงไปตรงมา ถ้าเด็กเค้ามีทักษะเหล่านี้ ก็จะไม่ใช่แค่พูดเพียงคําว่าขอบคุณหรือขอโทษ เท่านั้น แต่จะสามารถไปได้ลึกกว่านั้นจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างประณีต มันเป็นลึกอีกชั้นหนึ่งว่าถ้าเกิดเขาเข้าใจที่มาที่ไปของมัน เขาก็จะนําไปสู่วิธีการคิดต่อทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องขอโทษ เขาจะมีความเข้าใจคนอื่น แล้วเขาก็จะรู้ว่าเราก็มีโอกาสเป็นอย่างนั้น บางทีเราก็ไม่ตั้งใจ ที่จะไปทําอะไรกับคนอื่นแต่ว่าเพื่อนเจ็บซะแล้ว ความเข้าใจ สื่อสารและรู้วิธีอธิบายเรื่องต่างๆ มันก็จะประสานไมตรีกันได้ง่ายขึ้น ก็จะทําให้เขา สามารถอยู่ร่วมได้กับคนอื่นได้อย่างเป็นปกติสุขที่สุด

EF ที่ได้รับจากนิทาน

เรื่องโอ๊ะโอขอโทษนะ ได้เรื่อง Empathy การเข้าอกเข้าใจว่าถ้าฉันเป็นเธอฉันจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นกระบวนการเรียนรู้ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่สําคัญมาก ถ้าเราไปอยู่ในสถานการณ์ของเขาเราจะทํายังไง ถ้าเราเจอแบบนั้นเราจะทํายังไง เราจะจัดการไง เพราะฉะนั้นการคิดแบบนี้มันเป็นการคิดสองชั้น ไม่ใช่แค่ว่าผิดแล้วขอโทษ แต่ว่าถ้าฉันเป็นถ้าเขาเป็นเราเขาคงจะทําอย่างงี้มั้งหรือเราเป็นเขาเราก็อย่างงี้มั้ง

การคิดอย่างนี้มันคือการยืดหยุ่นการที่พร้อมจะให้อภัยมันก็จะมาจากตรงนี้ แล้วมันไม่ได้เพราะว่าเธอแย่กว่าฉัน ฉันสงสารเธอแต่ว่าถ้าฉันเป็นเขา ถ้าเขาเป็นฉันเราจะเหมือนๆ กัน เราต่างมีความรู้สึกได้แบบนี้เหมือนกัน เรามีความเสียใจได้ เราทําผิดได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็จะเป็นการเข้าใจตัวเอง แล้วก็เข้าใจคนอื่นด้วย แล้วก็เปล่งวาจาออกมาว่าขอโทษนะด้วยเหตุแบบนี้นะ ก็จะช่วยลดความขัดแย้ง เป็นการประนอมกันมันคือการทําความเข้าใจ

ในเรื่องEFก็เช่นกัน เราสามารถเอาสถานการณ์มาถามเด็กได้ว่าตอนไหนที่รู้สึกโกรธเพื่อน เพื่อนทําอะไรให้เราโกรธ แล้วเขาคิดอย่างไง กับสิ่งที่เพื่อนทำ หรือหลังจากที่อ่านหนังสือแล้วก็คุยกัน เด็กจะได้กลับไปทบทวนความรู้สึกตัวเอง มุมมองของตัวเอง วิธีปฏิบัติที่ตัวเองควรจะทํา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้พี่มองว่าเวลานี้โอกาสที่คนจะเข้าใจกันมันน้อยลงเพราะว่าอะไรๆมันก็เร็วแล้วมันก็จะมีสื่อกั้น เช่น บางทีเขียนในไลน์ มนุษย์ควรมีโอกาสปฏิสัมพันธ์เห็นหน้าตา แต่ตอนนี้ Face to Face มันน้อย เพราะฉะนั้นความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งก็จะน้อย อย่างเวลาเราเขียนขอโทษ ตอนพูดยากกว่ากันเยอะเขียนขอโทษมันจบ มันก็ดูเหมือนก็ไม่เป็นไร แต่เวลาเราจะพูดต่อหน้าเขาว่าขอโทษนะ มันใช้ความรู้สึกตัวเอง เป็นความรู้สึกที่จริงๆ ของเรา

เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะต้องให้เด็กๆได้มีโอกาสเรียนรู้แบบว่าไม่ต้องไปผ่านสื่ออะไร เอาความรู้สึกเราแล้วก็ที่สําคัญอธิบายชี้แจง เอาความจริงมาสื่อสารกันแล้วค่อยๆ ประนอมเรื่องต่างๆ ให้มันไปในทางบวก ก็จะช่วยให้เด็กมีชีวิตที่ง่ายขึ้นตั้งแต่เรื่องเล็กๆไปถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่เราเผลอทําโดยไม่รู้ตัวก็เรียกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ทําให้เด็กเข้าใจรู้จักตัวเองก่อน

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 88 : “รู้ลึก รู้ถึง DNA เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนของลูก”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.88 : รู้ลึก รู้ถึง DNA เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนของลูก

 

การตรวจ DNA เป็นการตรวจเฉพาะบุคคล เพื่อกินหรือปรับพฤติกรรมให้ตรงกับแต่ละคนมากที่สุด ยิ่งตรวจเร็วยิ่งดี เพราะจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถวางแผนอนาคตของลูกได้

การตรวจที่สถาบันสุขภาพและความงาม ตรัยญา จะมีคุณหมอวางแผนการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมครบทุกมิติ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดีพร้อมรับมือกับสถานการณ์โรคต่างๆ ได้

 

ฟังวิธีการตรวจ DNA และแนวทางการป้องกันสุขภาพเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนของครอบครัว โดย พญ.สุวรรณี ศิริวิมลานันท์ แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู สถาบันสุขภาพและความงาม ตรัยญา

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 89 : “Self ดี EF ดี แบบนี้ดีต่อใจ นิทานชุดในสวนกับย่าติ่ง”

รักลูก The Expert Talk Ep.89 : Self ดี EF ดี แบบนี้ดีต่อใจ นิทานในสวนกับย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

นิทานชุดในสวนของย่า เรื่อง “แบบนี้ดีต่อใจ” จะช่วยให้พ่อแม่มองเห็นความสำคัญของการสร้างความสุขให้กับเด็กผ่านต้นชมพู่มะเหมี่ยว เพราะเมื่อเด็กมีความสุข Self ของเด็กจะดีและมีทักษะ EF

ชวนฟังหลักคิดเพื่อนำไปปรับใช้ในการเลี้ยงลูกจากนิทานย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี สุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

แบบนี้ดีต่อใจและได้เรียนรู้

เป็นนิทานที่เล่าเรื่องของต้นมะเหมี่ยว ซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวในบ้านทําให้บ้านเย็น เวลาที่ทําสวนข้างบนมันร้อนก็จะได้อาศัยร่มเงาเขา ก็เป็นประเด็นว่าอยากเสนอเรื่องความสุข เพราะว่าเวลารณรงค์เรื่องEFอย่างที่เรารู้ว่าการทํางานของสมอง สมองส่วนคิดจะทํางานได้ดี หรือEFจะทํางานได้ดีก็ต่อเมื่อ Selfดี มีสมองส่วนอารมณ์ เบิกบาน ปลอดภัย เพราะฉะนั้นคนที่จะมีความสุขคือคนที่มี Selfดี ต้องมีความสุข จะมีความสุขเพราะว่ารู้สึกดีกับตัวเอง แล้วก็สามารถที่จะไปรู้สึกดีกับสิ่งอื่นๆได้ เพราะว่าเขามีความสุขอยู่ในตัว

เพราะฉะนั้นการที่เด็กจะมีความสุขได้ มันเริ่มจากหลายอย่างแต่อันหนึ่งก็คือการมองเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายหรือความสุขมาจากการที่ เราทําอะไรได้ด้วยตัวเองสําเร็จ ความสุขจากการที่รู้สึกว่ามีคนรักเรา มีคนเอื้อเฟื้อเรา เรากําลังทุกข์ใจก็มีคนมากอดเรา มีคนมาให้ความช่วยเหลือ ความสุขก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา เพราะฉะนั้นกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขมันก็ต้องค่อยๆ สะสม ถ้าคิดแบบปรัชญาก็คือว่าทุกข์เป็นของตาย ยังไงเราก็มีความทุกข์ นี่เป็นของตายตามหลักศาสนาหรือปรัชญา แต่ว่าจริงๆมนุษย์ก็ต้องมีจังหวะเวลาโอกาสที่จะต้องมีความสุขเพื่ออะไรเพื่อให้มันประคองชีวิตไปได้ คนที่มีแต่ทุกข์อยู่ตลอดแล้วไม่รู้สึกมีความสุขเลยเนี่ยมันชีวิตเดินหน้าไม่ได้ชีวิตจะไม่มีพลัง

ทำแบบนี้ดีต่อใจลูก

เพราะฉะนั้นการที่เด็กจะมีพลังพ่อแม่หรือคุณครูต้องทำให้

1.เด็กรู้สึกดีกับตัวเองให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีดี เด็กทุกคนมีดีอยู่ที่ว่าเราจะเห็นดีของเขาหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าเขารู้สึกดีกับตัวเอง ถือแก้วน้ําได้แล้ว เดินหยิบขยะไปทิ้งที่ถังขยะได้ เล่นเองแล้วเก็บของเล่นเองได้ จะทำให้ระหว่างทางเขามีความสุขเกิดขึ้น

2.ส่งเสริม ชื่นชม กระตุ้น สนับสนุนเขา ความรู้สึกที่มีความสุขจากการที่ตัวเองมีดีมันจะเป็นฐานที่เมื่อเขาผ่านสถานการณ์ที่ไม่ถูกใจ แต่ถ้าเขาปรับตัวได้หรือพลิกมุมมองบางอย่าง เช่น ต้นแม่มะเหมี่ยวก็จะมีเสียงที่คอยยุแยงตะแคง คอยถาม มาทำให้รําคาญ แต่ก็มีวิธีมองคือมองเรื่องเล็ก ๆ ว่าไม่เป็นปัญหา เรื่องดีมันมีมากกว่านั้นอีก ขี้นกตกเยอะก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวฝนมาขี้นกมันก็หายไป

3.ฝึกลูกอยู่ง่าย กินง่าย ปรับตัวง่าย มองโลกให้มีความสุขเรื่องพวกนี้ก็จะไม่รบกวนเขามากถึงวันที่มันมีเรื่องใหญ่จริงๆ ทุกข์จริงๆ เขาก็จะเอาความสุขที่มีอยู่ในตัวเขาที่มีพลังไปแก้ปัญหาคือวิธีแบบนี้ไม่ได้แปลว่าโลกสวย แต่เราต้องให้เด็กอยู่กับความจริง อะไรที่เป็นสุขก็คือเป็นสุข อะไรที่เป็นทุกข์ก็ต้องยอมรับว่ามันคือความทุกข์มันจะได้ไปแก้ปัญหา เพียงแต่ว่าการมีมุมมองที่บวก Positive Thinking มันคือการพลิกมุมมอง อย่างขี้นกตกใส่รถแทนที่จะโวยวายก็พลิกสถานการณ์จากลบให้เป็นบวกจะได้ชวนลูกบ้างรถ ไม่ได้แปลว่าเราไม่เห็นว่าขี้นกเป็นปัญหาเราเห็นมันเป็นปัญหา แต่เราหยิบปัญหามาเป็นสถานการณ์ที่เป็นการเรียนรู้

ปลายทางของมันคืออะไรคือทําให้เด็กอยู่ง่าย ทําให้เขามีความสุขง่าย มีอะไรก็ดีได้ไม่ต้องยาก แล้ววันที่เขาไปเจอของยากจริงๆ ของแย่จริงๆ เจออุปสรรคที่มันใหญ่จริงๆ ความสุขเหล่านี้มันจะเป็นฐานให้เขาไปแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น คือคนที่จะแก้ปัญหาอะไรยากๆ ถ้าเป็นคนที่คิดลบตลอดจะแก้ปัญหาไม่ได้ เด็กควรโตมาแบบที่เห็นว่าเรื่องยากทั้งหลายมันไม่ยากเกินกําลังแล้วเราก็เคยผ่านมาแล้วเคยจัดการเรื่องเหล่านี้มาแล้วก็สําเร็จมาทีละเล็กทีละน้อย คือมนุษย์มีศักยภาพที่จะหาความสุข สร้างความสุข เราไม่ต้องไปตัดศักยภาพของเด็กทําให้กลายเป็นคนที่รู้จักแต่ความทุกข์อย่างนี้ไม่แฟร์กับเด็กเราต้องให้เขามีโอกาสที่จะหาความสุขด้วย ให้เขามีทักษะมีวิธีมองมีประสบการณ์ไหมคะก็เหมือนกับเรื่องทักษะEF มองยืดหยุ่นความคิดไปอีกมุมหนึ่ง พลิกมุมจากความทุกข์เป็นความสุขได้ คือวิธีคิดที่ดีก็จะนํามาซึ่งความสุข แต่ขณะเดียวกันความสุขก็จะทําให้เรามีโอกาสมีวิธีคิดที่ดีมันเป็นสิ่งที่มันคู่กัน

ถ้าเด็กเป็นคนมีความสุข โดยเฉพาะเป็นความสุขที่มาจากการที่เขาประสบความสําเร็จ ได้รับคําชื่นชมเขาจะใช้ประสบการณ์ที่มีคุณภาพที่มีความสุขเหล่านี้ไปแก้ปัญหาได้เยอะจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ มันมีสถานการณ์แบบนั้นในชีวิตเราเยอะมากที่เราควรที่จะต้องหยิบมาแล้วก็ฝึกให้เขามองว่าถ้ามองอีกแบบหนึ่ง มองแล้วไม่เป็นทุกข์เป็นอย่างไรแล้วพอ คือเวลาที่มันเกิดจากเรื่องที่ไม่ถึงกับยาก ถ้าเราฝึกเขาไว้ในวันที่เขาเจอเรื่องยากเขาจะหยิบประสบการณ์พวกนี้ไปทดลองคิด แต่ถ้าเราไม่เคยให้ลูกทุกข์เลยเพอร์เฟกต์ไม่ต้องคิดอะไรของไม่ดีก็ทิ้งไป เขาก็จะรู้วิธีเดียวหรือแบบที่ตัดปัญหาไป แต่จริงๆ ในชีวิตจริงเราทําให้ดีกว่านั้นได้เราไม่จําเป็นต้องทําแบบนั้น กระบวนการคิด ที่มันค่อยๆซับซ้อนและประณีตขึ้น มันจะเกิดขึ้นได้จากการที่เราชวนเขามองเรื่องอย่างนี้ไปก่อน เริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ

EF ทำให้ลูกอยู่รอด

แม้โลกไม่ VUCA อย่างไรก็ต้องใช้ทักษะ EF เพราะว่าEFคือทักษะที่เกิดจากสมองส่วนหน้า ส่วนที่เราแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นความสามารถนี้ก็ พิสูจน์มาตลอดว่าเราใช้ EF ในการแก้ปัญหา ปรับตัว สร้างสรรค์และพัฒนา ยังไงเราก็ต้องเจอกับปัญหาที่มันหนักขึ้นเรื่อยๆ โลกร้อนนี่ก็เรื่องหนึ่งนะคะ หรือเทคโนโลยีที่เข้ามา อย่างตอนนี้มีแชท GPT มนุษย์ก็ต้องเก่งต้องพัฒนาเพื่อที่จะรับมือแล้วก็จัดการชีวิตเรา ชีวิตครอบครัวเรา ชีวิตสังคมเราได้

เพราะฉะนั้นสถานการณ์เหล่านี้มันต้องการความสามารถของสมองสิ่งที่เรากําลังทำคือฝึกเด็กเรื่องEF ให้เขารู้จักคิด มีทักษะที่จะคิด มีความรู้สึกดีที่จะคิด มีความรู้สึกอยากลองได้ลองผิดลองถูก กระบวนการฝึก EFในเด็กเล็กที่เราพยายามรณรงค์กันคือเพื่อให้เขามั่นใจว่าเขามีทักษะเหล่านี้ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้นแล้วฝังอยู่ในสมองเป็นชิปที่เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอกับอะไรเขาก็จะสามารถค่อยๆคิดวิเคราะห์ค่อยๆหาคําตอบ จนในที่สุดเรื่องยากเรื่องใหญ่มันก็จะเข้ามาในลูปของเส้นใยประสาทแบบนี้เหมือนกัน ถ้าเด็กของเราจํานวนมากเป็นอย่างนี้เราก็มั่นใจได้ว่าเขาจะช่วยกันคิด พากันแก้ปัญหา

สิ่งที่สําคัญก็คือว่าเวลานี้เราพบมากไปกว่านั้นว่าไม่ใช่แค่เด็กคิดเก่งเท่านั้นที่จะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้ดี แต่เราพบว่าเขาจะคิดเก่งคิดดีได้ ก็ต้องมีฐานใจที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน ฐานสมอง ฐานใจก็ต้องเสริมกัน เพราะฉะนั้พอเราจะมาทําเรื่องส่งเสริมEFให้เด็ก เราต้องส่งเสริมเรื่องSelfเขาไปด้วย เพราะว่าSelfที่ดีจะทําให้เขาพัฒนาEFได้ กล้าคิด กล้าพูด กล้าทํา กล้าไปเผชิญโลก กล้าไปเจอปัญหา แต่ถ้าSelfไม่ดี เขาก็จะกลัวไปหมดทั้งโลกมันน่ากลัว ทั้งโลกมันมืดมนทั้งโลกไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นต่อให้เขาคิดอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้จึงต้องทำสองเรื่องนี้ไปคู่กัน แล้วพอมีโควิดก็ทําให้เห็นว่าฐานกายก็ต้องไปด้วยกัน คือสุขภาพที่ดีจึงจะทําให้เขาสามารถไปคิดไปสร้างไปอะไรได้แล้วก็จะทําให้จิตใจของเขาดีได้ด้วย

เพราะฉะนั้นราต้องทำให้เด็กแข็งแรงทั้งสมอง จิตใจ ร่างกายก็คือครบองค์รวมได้ประโยชน์ครอบคลุม แทนที่เราจะไปทําเรื่องคุณธรรมก็ไม่ใช่ไม่ทําแต่ว่าไม่ใช่โฟกัสเรื่องเดียวคือคุณธรรม สมองที่คิดได้ดีที่ยับยั้งตัวเองได้ดีนั่นแหละคุณธรรมก็เกิด ไม่จําเป็นต้องไปไล่บอกว่าคุณต้องฝึกคุณธรรมอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น จริงๆ EFที่ดีมีการยั้งคิดไตร่ตรองก็มีศีลในตัวเอง เพราะฉะนั้นเราจะทําอะไรก็ตามทําให้มันเป็นทําเรื่องเดียวแล้วมันได้ทุกเรื่อง

ทำEFได้คุณธรรมแน่นอน ได้การคิดเก่งแน่นอน ได้IQ ได้ EQด้วย เวลานี้เราผลักดันอยากเชิญชวนพ่อแม่ทําเรื่องส่งเสริมEF ส่งเสริมSelfแล้วก็ผ่านกิจกรรมทางกายด้วย พาลูกออกกําลังกายเยอะๆ แต่ถ้าไปพาเรื่องเรียนเก่งอย่างเดียวจะมาเสียใจทีหลังว่า ลูกไม่มีSelf ลูกซึมเศร้า ลูกอยากฆ่าตัวตาย เมื่อตอนเป็นวัยรุ่น หรือเอาแต่ลูกเรียนหนังสืออย่างเดียว ปรากฏว่าก็ไม่มีปฏิภาณที่จะแก้ปัญหาในชีวิต สรุปแล้วก็ไม่คุ้มทําสามเรื่องนี้ดีกว่าแล้วก็ยาวไปตลอดชีวิตของเขา

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP 90 : รู้อารมณ์ลูกก็รับมือได้ ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

รักลูก The Expert Talk Ep.90 : รู้อารมณ์ลูก ก็รับมือได้ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต ระบุว่า วัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี ประมาณ 1 ใน 7 คน และเด็กไทยอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน มีความผิดปกติทางจิตประสาทและอารมณ์ และจากผลการสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนทั่วโลกในประเทศไทยเมื่อปี 2564 พบว่า 17.6 %ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งการฆ่าตัวตายคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย

 

สาเหตุส่วนหนึ่งของการเป็นโรคซึมเศร้าจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายนั้นคือการมีปัญหาพัฒนาการด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่พ่อแม่สามารถรับมือได้ตั้งแต่เด็ก แต่ละเลยและไม่รู้วิธีการ

 

ฟังวิธีการรับมือกับอารมณ์ลูกจาก The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP 91 : สอนลูกรับมืออารมณ์ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.91 : สอนลูกรับมืออารมณ์ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า

 

ถ้าอยากฝึกลูกควบคุมอารมณ์ พ่อแม่ต้องฝึกก่อน เพราะการเรียนรู้การจัดการอารมณ์ที่ดีที่สุดคือจากพ่อแม่ และอย่าให้ลูกต้องสุขตลอดเวลา เด็กเรียนรู้จากอารมณ์ลบและความทุกข์ได้ โดยมีพ่อแม่อยู่เคียงข้าง

 

ฟังวิธีการฝึกให้ลูกรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง โดย The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิธีการรับมือจัดการกับอารมณ์

ถ้าอยากจะฝึกลูกต้องฝึกที่พ่อแม่หรือว่าคนเลี้ยงก่อน เพราะว่าหลายครั้งการที่เด็กแสดงอารมณ์อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคนที่อยู่รอบตัว แต่ละบ้านก็แตกต่างกัน บางวัฒนธรรมหรือบางคนก็อาจจะรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากพูด หรือบอกแสดงความรู้สึกอารมณ์อะไรออกมา แต่จริงๆ แล้วการจะรับมือกับอารมณ์ของลูกผมอยากให้พ่อแม่มองอย่างนี้ว่า ทุกคนมักจะชอบอารมณ์ลูกในด้านบวก ดีใจ ยิ้ม น่ารัก เราอยากให้ลูกเราอารมณ์ดีตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มีทาง อยากให้มองว่าลูกสามารถเรียนรู้จากอารมณ์เชิงลบได้ อารมณ์เชิงลบถ้าเรียนรู้ได้ดี มันทําให้เขาพัฒนาตัวเองแล้วทําให้เขาสามารถจัดการกับอารมณ์เชิงลบไม่ว่าจะเป็นโกรธ เสียใจ ผิดหวังอะไรต่างๆ ได้ เมื่อเขาโตขึ้น

สิ่งสําคัญเลยก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเข้าไปช่วยเขา พ่อแม่ต้องคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อน หลายครั้งก็คือเราต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ เลย เพราะว่าบางครั้งพอเราคุมอารมณ์เราไม่ได้ มันจะยิ่งทําให้เราใส่อารมณ์เราเข้าไปกับลูกมากขึ้น เลยทําให้อารมณ์เชิงลบของเขามันเกิดนานขึ้น ลองนึกภาพอารมณ์เชิงลบเหมือนไฟ คําพูดหรืออะไรต่าง ๆ น้ําเสียงของเราเข้าไป มันจะเหมือนเรากําลังโยนน้ํามันเข้าไป หรือเราโยนพวกฟืน พวกกระดาษเข้าไป ให้มันยิ่งเผาไหม้มากขึ้น ไฟเวลามันเกิดขึ้นมันต้องดับได้

ดังนั้นเราควรจะต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ไฟมันเริ่มน้อยๆ ลูกหงุดหงิดอะไรนิดหน่อย จริงๆ ต้องเริ่มรู้แล้วนะครับว่าเป็นยังไง แต่ก่อนที่จะมาถึงอารมณ์เชิงลบ ถ้าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านพอทราบแล้วรู้natureลูกเราอย่างที่เมื่อกี้กล่าว เรื่องของพื้นอารมณ์ เช่น เป็นเด็กที่แบบอะไรนิดนึงก็ไม่ได้ ถ้าเราป้องกันได้ก็จะดี ยกตัวอย่างเช่น สมมติวันนี้เราไปเที่ยวกัน เรารู้เลยว่าไปเที่ยวที่นี่ มันจะต้องมีตัวกระตุ้นตรงนี้ ถ้าสมมติว่าลูกเดินผ่านตรงนี้ ลูกจะต้องอยากได้แน่นอน อย่างนี้ครับเราต้องรู้เขารู้เรา ดังนั้นวันนี้ก่อนออกจากบ้านเราต้องเตรียมการเลยครับ ลูกวันนี้เราจะออกไปข้างนอกไปซื้อของ แล้วก็เราจะแวะไปตรงนี้ๆ ไปถึงนี่เราจะทําอะไรบ้าง เสร็จแล้วเรากินอาหารเสร็จกลับบ้าน วันนี้เราไม่แวะซื้อของเล่นนะ ก็เป็นการป้องกันตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เชิงลบแบบนั้น

สะท้อนอารมณ์ลูก ช่วยลดอารมณ์เชิงลบ

แต่ถ้าเมื่ออารมณ์เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสําคัญก็คือคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องนอกจากตั้งสติเแล้ว เราจําเป็นที่จะต้องพูดบอกอารมณ์ลูกหรือว่าสะท้อนอารมณ์ อันนี้เป็นคีย์เวิร์ดสําคัญ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ทํางานผมคิดว่าพ่อแม่จํานวนมาก อาจจะไม่ค่อยพูดบอกอารมณ์อย่างนี้กับลูก การพูดบอกอารมณ์ของลูก เช่น ลูกกําลังเสียใจ ลูกโกรธ ลูกหงุดหงิด แต่สิ่งสําคัญคือพ่อแม่ต้องพูดบอกอารมณ์เขาด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างกลางๆ เพราะลูกสามารถจะจับอารมณ์ความรู้สึกของพ่อแม่ได้หมดมันจะยิ่งทําให้อารมณ์เค้าเกิดขึ้นมากขึ้นได้

การที่เราพูดบอกอารมณ์ของลูกออกมาหรือการสะท้อนอารมณ์ของลูก ไม่ได้แปลว่าจะทําให้อารมณ์ของลูกสงบลงทันที ต้องดูลักษณะนิสัยลูกเราด้วยนะครับ การที่เราพูดอย่างนี้วัตถุประสงค์เพื่อทําให้เด็กรับรู้ได้ว่า พ่อแม่หรือคนเลี้ยงเข้าใจว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร ดังนั้นเราก็แค่พูดบอกและสะท้อนอารมณ์ออกมา แต่คุณพ่อคุณแม่บางท่านก็เล่าให้ผมฟังว่า บางทีพอบอกไปลูกยิ่งหงุดหงิดร้องกว่าเดิม แสดงว่าเขาอาจจะไม่ชอบสไตล์แบบนี้ก็ได้ก็แล้วแต่บ้าน บางครั้งเราก็อาจจะพูดให้น้อยลงหรือรอจังหวะและแค่บอกเขานะครับว่า ลูกกําลังโกรธ หงุดหงิดเดี๋ยวลูกอยู่ตรงนี้ก่อน พออารมณ์ดีเราค่อยคุยกันนะ

แต่สิ่งสําคัญที่ผมอยากจะเน้นนะครับว่าเมื่อไหร่ก็ตามลูกมีพฤติกรรมที่เรียกว่าก้าวร้าวโดยแสดงอารมณ์ออกมามากขึ้นแล้วทําร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่นหรือทำลายข้าวของ จําเป็นที่จะต้องช่วยให้เขาสงบให้ได้ไว ถ้าลูกยังเล็กให้จับมือแล้วพูดว่าลูกกัดแม่ไม่ได้ น้ําเสียงนิ่ง ชัดเจน หรือหากกำลังดิ้นโวยวายละวาด บางบ้านถึงขั้นเอาผ้าห่มมาพันตัวลูก คือทําอย่างไรก็ได้ให้เขาสงบ แม้จะดิ้นไปดิ้นมา แต่สุดท้ายถ้าเขารู้ว่าพ่อแม่เอาจริง เขาจะค่อยๆสงบเอง ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับคุณพ่อคุณแม่นะครับ แต่ว่าต้องฝึกเขาเพราะว่าไม่อย่างนั้นถ้าเขาไม่เคยถูกควบคุมแบบนี้จากภายนอกเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองจากภายในได้ อย่างที่กล่าวไปใน epก่อนหน้านี้

ดังนั้นเวลาเขาโกรธโมโหเขาอาจจะไปทําร้ายเพื่อนหรือไปกัดเพื่อน ถ้าอารมณ์รุนแรงถึงขั้นก้าวร้าวจําเป็นที่จะต้องช่วยให้เขาสงบแล้วพอลูกสงบเสร็จ เราถึงค่อยอธิบายหรือสอน บ้านเราส่วนใหญ่ที่ผมเจอคุณพ่อคุณแม่มักจะชอบสอนหรืออธิบายเยอะมากเลย แต่เวลาที่อารมณ์ไม่พร้อม สมองส่วนอารมณ์ตอนนั้นมันกําลังทํางานเยอะอยู่ สมองส่วนเหตุผลจะยังไม่มา ดังนั้นต้องรอให้สมองส่วนอารมณ์ทํางานได้ดีแล้วก็คุมได้ก่อน แล้วสมองส่วนเหตุผลเขาจะเปิดใจรับฟัง ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่สอนอะไรเขาก็จะเริ่มฟังมากขึ้น

ช่วยลูกออกแบบวิธีจัดการอารมณ์

พออารมณ์สงบจริงๆ บางคนอาจจะไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพราะว่าบางคนรู้สึกว่าเหมือนเป็นการกระตุ้นต่อไป แต่ผมคิดว่าเราสามารถที่จะเรียนรู้จากสิ่งนี้ได้นะครับก็คือพอเขาอารมณ์ดีจริงๆ เช่น ผ่านการเล่นอะไรไปค่อยค่อยคุยกัน เช่น เมื่อกี้ลูกโกรธมากเลย ที่ไม่ได้ซื้อของเล่นอย่างที่บอก งั้นครั้งหน้าถ้าลูกโกรธเราทํายังไงกันดีนะ อันนี้ก็เป็นอีกวิธีขั้นตอนต่อๆไปในการที่จะฝึกหรือสอนให้ลูก เรียนรู้ว่าเวลาโกรธ เขาจะรับมือจัดการกับอารมณ์โกรธยังไงบ้าง เช่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะสาธิตว่าถ้าแม่โกรธเรามาเล่นเกมกันดีกว่า ถ้าเวลาพ่อแม่โกรธพ่อแม่ทํายังไงกันบ้าง เช่น นับ1 ถึง 10 แม้ลูกจะยังไม่หายโกรธ เราก็ชมระหว่างทางที่เขากําลังคุมอารมณ์อยู่ หลายครั้งบางทีลูกร้องโวยวายแต่ว่าเริ่มสงบลงก็ชมได้

แต่ต้องบอกว่าเด็กเล็กอายุ3-5ปี บางทีเรายิ่งพูดเหมือนบางคนจะเหมือนเติมเชื้อไฟ ลูกบางคนจะรู้สึกเหมือนว่าเกือบจะได้แล้ว แปลว่าพ่อแม่กําลังมาง้อแล้ว เราต้องเล่นใหญ่อีกนิดนึง ดังนั้นพ่อแม่ต้องรับรู้นะครับว่าบางทีไฟมันไม่ได้ดับสนิทแบบนี้ บางทีพอดับปุ๊บเราพูดไปนิดนึงเหมือนเราจะไปช่วยนะครับ เพราะเด็กบางคนขึ้นแล้วค้างนานลงไม่เป็น พอเราไปช่วยปรากฏร้องขึ้นมาอีกเหมือนเดิม เราก็ใช้หลักการเหมือนเดิมคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปจัดการที่ลูก

ปัจจุบันมีหนังสือนิทานเยอะมากเลย เด็กๆโดยเฉพาะวัยที่เขาเริ่มฟังนิทานเยอะๆ เราสามารถจะเอาหนังสือนิทานเหล่านี้มาสอนเขาได้เลย สามารถพูดแล้วก็คุยกัน เพราะว่าในหนังสือนิทานบางทีจะมีวิธีพูดบอก เช่น เวลาโกรธเราทําอะไรได้บ้าง เช่น เป่าลูกโป่งแล้วปล่อยให้มันลอยไป เปลี่ยนเรื่องไปวาดรูประบายสี ปั้นดินน้ํามัน ปั้นแป้งโดว์

เป็นแบบอย่างจัดการอารมณ์

1.พ่อแม่ต้องพัฒนาสติหรือบางคนเรียกว่าเจริญสติของตัวเอง ทุกคนมีเวลา 24ชั่วโมงเท่ากันแต่เราให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆไม่เท่ากัน บางทีแค่เราอยู่เฉยๆไม่ดูโซเชียลไม่อะไร หายใจเข้าออกลึกๆก็ได้ คือแต่ละคนอาจจะมีวิธีการอยู่กับตัวเองแตกต่างกันให้ตัวเองมีช่วงเวลาสงบ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามเรารู้จักตัวเองได้ดีพอทําให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ไว แล้วพอเรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ไว เวลาลูกเกิดอารมณ์อะไรที่ไม่โอเค เราก็เข้าไปจัดการหรือรับมือได้อย่างมีสติมากขึ้นนะครับ

2.เป็นแบบอย่างที่ดี หลายครั้งเลยครับเด็กเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ บางคนพ่อแม่ก็เป็นสไตล์ขี้งอนไม่ต้องแปลกใจเลยครับ ดังนั้นมันก็คงหลีกเลี่ยงกันได้ยาก เพราะว่าลูกไม้ก็หล่นใต้ต้นอยู่แล้ว ดังนั้นอะไรก็ตามที่คิดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำให้ลูกเห็น พ่อแม่เองก็สามารถบอกอารมณ์ตัวเองกับลูกได้นะครับ เช่น ตอนที่น้องอารมณ์ไม่ดีแบบนี้แม่ก็อารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน แม่เนี่ยขนาดตัวแม่เองเป็นผู้ใหญ่บางทีแม่ยังคุมอารมณ์ยากเลย เพราะฉะนั้นสําหรับน้องเนี่ยแม่คิดว่ายิ่งยากขึ้นเนาะ งั้นเดี๋ยวเรามาช่วยกันดีกว่าว่าเราทํายังไงกันดี

การที่คุณพ่อคุณแม่บอกอารมณ์ของตัวเองกับลูกก็จะทําให้เหมือนเราเป็นตัวอย่างด้วยนะครับว่าเราทํายังไง ดังนั้นเนี่ยเวลาเราอารมณ์ หงุดหงิด ไม่พอใจอะไรต่าง ๆ นอกจากเรามีสติเรารับมือกับอารมณ์ได้ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องทําให้เห็นนะครับว่าเราจะต้องทําอย่างไรได้บ้าง ที่จะไม่แสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงให้ลูกเห็น

3.ไม่ลงโทษลูกด้วยความรุนแรง หลายครั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นเนี่ยมันไม่ได้เกิดจากการตีอย่างเดียวหรือทําร้ายลูกอย่างเดียวแต่ว่ามันเกิดจากคําพูดยิ่งเราโกรธคําพูดเรา บางทีมันเชือดเฉือนยิ่งทําร้ายมาก บางทีบาดแผลกายหายแล้วแต่บาดแผลทางใจมันยังคงอยู่ตลอดไป ซึ่งหลายๆ ท่านก็คงไม่ได้อยากเห็นลูกเรา จําเราได้ในด้านไม่ดี ซึ่งตรงนี้มันไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นนางฟ้าตลอดเวลาสําหรับลูก แต่ว่าอย่างน้อยเราควรจะมีโมเมนต์ที่ดี มากกว่าโมเมนต์ที่ไม่ดี มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เราจะมีโมเมนต์ที่ดีทั้งหมด แต่อย่างน้อยมีโมเมนต์ที่ดีกับมากกว่าไม่ดี อย่างน้อยมันก็เป็นต้นทุนที่จะทําให้ลูกรับรู้ได้ว่า เวลาเขาไม่พอใจ หงุดหงิด โมโหต่อไปเขาจะมาหาใครได้บ้าง ดังนั้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อแม่กับลูก เป็นเกราะป้องกันเลยสําหรับการเกิดปัญหาทางด้านอารมณ์ต่อไปในอนาคต

พ่อแม่จัดการอารมณ์ได้ดีเกราะป้องกันเมื่อลูกเป็นวัยรุ่น

โดยธรรมชาติวัยรุ่นต้องการค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเองว่าจะพัฒนาเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ดังนั้นเป็นธรรมชาติที่เขาจะต้องไปหาเพื่อนติดเพื่อนมากกว่าติดพ่อแม่ ดังนั้นเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ไปว่าเพื่อนคนนี้เป็นยังไง คนนี้นิสัยเป็นยังไง ถ้าเรายิ่งสนิทกับลูกมากตั้งแต่ตอนเล็กๆ มีอะไรเขาก็จะกล้ามาเล่าให้เราฟัง ซึ่งอันนี้เป็นจังหวะที่ดี แม้กระทั่งขับรถรถติด แล้วลูกเล่าเรื่องเพื่อน เราก็ฟัง เป็นยังไงบ้างล่ะลูก แล้วลูกคิดว่ายังไง จริงๆ การworkกับลูกวัยรุ่นเนี่ยง่ายมากเลยฟังให้เยอะแล้วตัดสินให้น้อย พยายามอย่าไปตัดสินคือควรจะต้องเข้าไปอยู่ในโลกของลูกด้วย เทรนด์อะไรใหม่ๆ เราก็ฟังกับเขาไปด้วยจะทําให้ลูกเปิดใจมากขึ้น

เมื่อเกิดอารมณ์เชิงลบอย่ามองว่าเป็นศัตรูของลูก คนเราทุกคนลองนึกภาพของตัวเรากว่าคนเราจะเติบโตมาถึงขั้นนี้เราต้องเจอทั้งอารมณ์เชิงบวกเชิงลบ การที่เรารับมือกับอารมณ์เชิงลบได้ดีเราได้ทําให้ลูกเรียนรู้ในชีวิตจริงนะ เพราะชีวิตจริงเราต้องเจอกับสิ่งที่ผิดหวัง เสียใจ ไม่ได้ดั่งใจ หงุดหงิด อะไรต่างๆ ยิ่งถ้าลูกเรียนรู้รับรู้อารมณ์ตัวเองได้ไว แล้วเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างดี มันจะยิ่งทําให้เขาเนี่ยสามารถค่อยๆ เติบโตมากขึ้น มีภูมิต้านทานทางด้านทางจิตใจหรืออารมณ์ มันต้องผ่านการฝึกฝนโดยเขาแค่อาศัยพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูที่เปรียบเสมือนเขาเรียกเป็นนั่งร้าย เป็นโครงสร้างที่คอยค้ําจุนพยุง เพื่อไม่ให้โครงสร้างนั้นมันหล่นลงมา

ไม่จําเป็นที่เวลาลูกเผชิญกับความไม่โอเค ไม่พอใจแล้วเราต้องเข้าไปช่วยจัดการทุกอย่างเพราะสุดท้ายแล้วลูกก็สามารถเรียนรู้จัดการด้วยตัวเองได้ระดับหนึ่ง แล้วเราควรจะต้องชื่นชมยินดีกับเขาด้วย เราเองมีหน้าที่รับฟังและอาจจะช่วยเติมในจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้เพื่อทําให้ลูกเรียนรู้ที่จะคิดถึงวิธีต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นเนี่ยครับเราเป็นแค่นั่งร้านแต่สุดท้ายลูกจะภูมิใจนะครับ สิ่งสําคัญคือลูกจะภูมิใจว่า ฉันเองก็สามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ แล้วเด็กที่มีภูมิต้านทานแบบนี้ผมคิดว่า เขาจะห่างไกลจากพวกโรคหรือภาวะที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล

เช็กเบื้องต้นลูกมีปัญหาด้านอารมณ์ คีย์หลักๆ คือถ้าลูกเบื่อไม่อยากทําอะไรที่เคยอยากทําเหมือนเดิม เช่น ลูกชอบวาดรูป เล่นกีฬา แต่จู่ๆ ไม่อยากเล่น เบื่อ แสดงว่าลูกอาจจะถึงขั้นที่ อาจจะมีความผิดปกติทางด้านอารมณ์ หรือลูกมีอารมณ์เศร้า ซึ่งแบบนี้พ่อแม่ต้องพอจะรู้แนวโน้มว่าลูกมีลักษณะพื้นฐานเป็นอย่างไร ถ้าเมื่อไรก็ตามลูกแบบเก็บตัว อยากอยู่คนเดียว เศร้าหรือถ้าอารมณ์เศร้าอาจจะสังเกตยาก แต่เขาจะมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด อะไรนิดหน่อยก็ขึ้นง่าย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะรีบพาไปปรึกษาคุณหมอ

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.06: รักลูกเป็นพิเศษ ตอน เข้าใจหนูคนพิเศษ “ออทิสซึม”

เด็กออทิสซึมมีอาการและความพิเศษที่แตกต่างกันไป แต่หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจโลกของเขา จะช่วยให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้ คุณหมอวรสิทธิ์ชวนมาฟังถึงวิธีการดูแลลูกคนพิเศษ “ออทิสซึม” เพื่อให้ลูกคนพิเศษของเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้

“รักลูกเป็นพิเศษ” จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญ รศ. ดร. นพ.วรสิทธิ์ ศิริพรพาณิชย์ มาตอบให้คุณแม่หายข้องใจกับอาการของลูกเราว่าแค่ซน หรือใช่สมาธิสั้น

สถานการณ์เด็กออทิสติกในประเทศไทย

ในปัจจุบันเราพบว่าออทิสติกมีแนวโน้มที่จะพบมากขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดจากความตระหนักของสังคมในการที่พาเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของพัฒนาการในการสื่อสารหรือทักษะสังคมมาพบหมอได้เร็วขึ้น

ในขณะเดียวกันเองจุดที่สำคัญมากคือการเปลี่ยนเกณฑ์การวินิจฉัย คือเมื่อก่อนกลุ่มที่เรียกว่าออทิสติกมีหลายโรค ยกตัวอย่างที่เราอาจเคยได้ยิน Asperger ลักษณะของ Asperger คือออทิสติกที่ทักษะทางภาษาไม่เสีย หรือบกพร่องเล็กน้อย แต่มีปัญญาความผิดปกติในเชิงของทักษะสังคม แล้วก็ยังมีปัญหาเรื่องของพฤติกรรมบางอย่างที่ดูแตกต่างจากเด็กทั่วๆ ไป แต่ปัจจุบัน Asperger ไม่มีแล้ว ทุกอันเรียกว่าออทิสติก หรือออทิสซึมหมด แล้วก็โรคมีความรุนแรงต่างกัน

ปัจจุบันในการวินิจฉัยโรคก็จะมีการเปลี่ยนไปตามเกณฑ์การวินิจฉัยของสมาคม ส่วนใหญ่เราใช้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ของทางจิตแพทย์อเมริกันเขาจะมีเกณฑ์กำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยโรค

ซึ่งเกณฑ์ล่าสุดให้รวมออทิสติกหรือออทิสซึมทุกอย่างเป็นโรคๆ เดียว แต่เป็นสเปกตรัม คือมีตั้งแต่รุนแรงน้อยถึงรุนแรงมาก แต่ทุกอันจะถูกวินิจฉัยรวมกันว่าเป็นออทิสซึมหรือออทิสติก

เพราะฉะนั้นความชุกของโรคก็เลยเพิ่มขึ้นเยอะ จากเดิมที่เมื่อก่อนจะแยกย่อย 1 2 3 4 กลายเป็นว่าตอนนี้รวมทุกอันเป็นอันเดียว เลยกลายเป็นช่วงนี้จะพบออทิสซึมเยอะขึ้น จากเดิมเราพบอยู่ที่ราวๆ ร้อยละ 1 จากเกณฑ์ใหม่เราพบราวๆ ร้อยละ 2.5 อันนี้ของประเทศสหรัฐอเมริกา

ส่วนของประเทศไทยเท่าที่พบงานล่าสุดจากอาจารย์จากสถาบันเด็ก โรงพยาบาลเด็กท่านทำไว้อยู่พบราวๆ 0.5 แต่ยังเป็นเกณฑ์การวินิจฉัยแบบเดิมอยู่ ถ้าตอนนี้ทำใหม่น่าจะเพิ่มขึ้นแล้วตามเกณฑ์ใหม่

สังเกตอาการออทิสติกและสมาธิสั้น

ออทิสซึมสังเกตได้เร็วกว่าสมาธิสั้น
เพราะอาการของออทิสซึมก็จะมีอาการ 3 อาการหลักด้วยกัน
1.การสื่อสาร
หรือถ้าจะเข้าใจว่าออทิสซึมคือเด็กที่พูดช้าเป็นการสื่อสารแบบหนึ่ง
แต่ในลักษณะของออทิสซึมหลักๆ คือการสนใจในการสื่อสารไม่มี ไม่อยากจะสื่อสารกับเรา ทั้งทางภาษาและทางไม่ใช้ภาษา
ยกตัวอย่าง ในเด็กหลายๆ คนที่พูดช้าเขาก็จะมีอย่างอื่นมาทดแทน เช่น พอเขาพูดๆ ไม่ได้ เขาก็ใช้ภาษามือ หรือมีท่าทางประกอบ
แต่เด็กที่เป็นออทิสซึ่มเขาจะไม่สนใจเรื่องการสื่อสาร คือจะไม่พูด ไม่มีการชี้ หรือจะไม่มีการติดต่อสื่อสารถ้าไม่จำเป็น
เพราะฉะนั้นแปลว่าออทิสซึ่มก็จะพบอาการบกพร่องเรื่องของการสื่อสาร
2.ทักษะสังคมมีความบกพร่อง
เขาจะมีปัญหาในการเข้าใจจิตใจของคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีนะ แต่ความสามารถในการเข้าใจจิตใจคนอื่น
เช่น ตอนนี้เพื่อนกำลังเสียใจ ตอนนี้เพื่อกำลังเข้ามาแหย่เล่น เป็นเรื่องที่ใช้สมองเยอะมาก
ในคนปกติที่มีการเติบโตขึ้นมาตามวัย เรามองกระบวนการอัตโนมัติ จะรู้ทันทีว่าเพื่อนมาอำ หรือตอนนี้เพื่อกำลังเสียใจอยู่
แต่เด็กออทิสซึมซึ่งมีความล่าช้าในการพัฒนาเขาไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นทักษะสังคมเขาจะมีความบกพร่อง

3.พฤติกรรมบางอย่างที่เขาจะมีความแตกต่างจากเด็กทั่วไป
เช่น อาจจะชอบมีพฤติกรรมถูมือซ้ำๆ ขยับมือซ้ำๆ
หรือทำอะไรที่เป็นรูปแบบเดิมๆ กิจวัตรประจำวันก็ต้อง Fix และปรับได้ยากมาก
หรือถ้าเดินไปซื้อของตามห้างหรือไปร้านสะดวกซื้อถ้าวันไหนเปลี่ยนเส้นทางเด็กเหล่านี้จะไม่ยอม
เขาจะโวยวายทันทีเพราะเปลี่ยนจากสิ่งที่เขาเคยชิน
เพราะฉะนั้นหลักๆ คือสื่อสารล่าช้า ทักษะสังคมบกพร่อง และพฤติกรรมที่ผิดปกติไป จะเป็นอาการหลักๆ ของออทิสซึ่ม

สังเกต 3 อาการเบื้องต้น

จุดแรกสุดคือ การพูดที่ล่าช้ากว่าปกติ ปกติเด็กจะพูดคำที่มีความหมายคำแรกตอนอายุ 1 ขวบ เกณฑ์จะตัดว่าถ้า ขวบครึ่งแล้วยังไม่พูดคำที่มีความหมายต้องไปตรวจ

สาเหตุที่ต้องไปตรวจเพราะว่าเราจะคัดกรองภาวะออทิสซึ่ม รู้ก่อนรักษาก่อนได้ผลดีกว่าอันนี้เป็นข้อเท็จจริง ถ้าขวบครึ่งยังไม่พูดแปลว่ามีความบกพร่องล่าช้าเรื่องของการสื่อสาร ซึ่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์การวินิจฉัยของออทิสซึม

ฉะนั้นเราควรต้องรีบไปตรวจก่อน ถึงไม่ได้เป็นออทิสซึมอาจจะไปตรวจอย่างอื่น เช่น การได้ยิน หรืออาจจะไม่เป็นอะไรเลยเป็นแค่เด็กปากหนักก็ได้รับการกระตุ้นพอพูดได้แล้วบางคนพูดไม่หยุดเลย ก็กลับมาปกติก็เป็นเรื่องที่ดี คือเขาจะไม่เสียโอกาสในการเรียนรู้ เพราะเด็กในขวบปีที่สองของชีวิตเขาจะเรียนรู้ผ่านคำพูด คำสอน ซึ่งถ้าเขาเรียนรู้ตรงนี้ได้ช้าก็จะเสียโอกาส

โดยส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันออทิสซึมมักจะถูกพามาโรงพยาบาลจากคุณพ่อคุณแม่ เพราะคุณพ่อคุณแม่เริ่มอ่านหนังสือ และเริ่มมีการตระหนักตรงนี้มากขึ้น พอลูกไม่พูด พอลูกมีอะไรที่ดูแปลกไปจากเพื่อนก็จะรีบพาไปโรงเรียน แล้วยิ่งคุณครูมาคอนเฟิร์มว่าลูกดูมีความแตกต่างจากเพื่อนก็จะยิ่งรีบพามาตรวจรักษา

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการที่เรารู้สึกว่าสงสัยให้รีบมาจะดีกว่าเพราะถึงไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดเป็นแล้วรักษาเร็วช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาได้ดี

การรักษาออทิสติก

หลักการของออทิสซึมจะเหมือนกับโรคพัฒนาการล่าช้าทั่วไป คือการรักษาหลักไม่ใช่ยา การรักษาหลักคือการกระตุ้นพัฒนาการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทักษะสังคม หรือการลดพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์

ยาที่ใช้ในกลุ่มออทิสซึมจะไปเน้นในการควบคุมพฤติกรรมบางอย่างที่ปรับยาก เช่น พฤติกรรมก้าวร้าว บางคนที่มีพฤติกรรมซ้ำซากมากจนกระทั่งรบกวนเรื่องของการฝึก หรือรบกวนเรื่องของการใช้ชีวิต อาจจะต้องเอายาไปช่วยควบคุมพฤติกรรมตรงนั้น แต่ยาไม่ใช่การรักษาหลัก ไม่มียาทำให้ออทิสซึ่มหาย แต่ออทิสซึ่มบางคนอาจะหายได้จากการฝึก การดูแลจากคุณพ่อคุณแม่และผู้บำบัด

การดูแลเด็กออทิสซึม

ในทางปฎิบัติในการวินิจฉัยออทิสซึมก็จะมีกุมารแพทย์ทางด้านพัฒนาการเด็กและทางจิตแพทย์เด็กเป็นคนดูแลหลักซึ่งเมื่อเขาวินิจฉัยแล้ว หรืออาจจะไม่ถึงวินิจฉัยแต่สงสัยเขาก็จะส่งเด็กมาเข้ารับการฝึก

ซึ่งคนได้รับการฝึกก็จะมีหลายกลุ่ม ขึ้นอยู่กับว่าความบกพร่องทางด้านไหนบ้าง โดยทั่วไปนักกิจกรรมบำบัดจะเป็นคนฝึกหรือผู้บำบัดหลักสำหรับเด็กกลุ่มนี้ แต่ถ้าเขามีปัญหาเรื่องของกล้ามเนื้อด้วยก็อาจจะต้องใช้นักกายภาพบำบัด

ถ้าคนไหนมีปัญหาเรื่องของภาษามากๆ ก็อาจจะมีนักอรรถบำบัด หรือถ้าเด็กโตก็เป็นเรื่องของการฝึกอาชีพหรือเป็นคุณครูการศึกษาพิเศษเข้ามาช่วย

เด็กออทิสซึม 1 คน ใช้บุคลากรเยอะในการดูแลขึ้นอยู่กับว่าเขามีการบกพร่องด้านไหนบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีความบกพร่องหลายๆ ด้านรวมกัน ออทิสซึมถ้าเป็นช่วงเด็กเล็กๆ ต้องไปเน้นเรื่องทักษะในการเข้าสังคม และเรื่องของการสื่อสารให้ได้ก่อน พอเข้าโรงเรียนแล้วก็จะเป็นเรื่องของการปรับตัวเองให้อยู่กับเพื่อนได้ แล้วก็เรื่องของการเรียนให้ทันบทเรียน

ออทิสซึมไม่ได้มีแต่ด้านลบ มีด้านบวกด้วย ออทิสซึมเป็นลักษณะของโรคสมองที่มีความไม่สมดุลกันของวงจรประสาท บางที่สื่อสารกันน้อย แต่บางที่สื่อสารกันเยอะมาก หลายท่านจะเคยเห็นภาพ ออทิสซึมสามารถวาดภาพเมืองทั้งเมืองได้จากการเห็นเพียงครั้งเดียว

เด็กออทิสติกจะมีความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ที่เฉพาะด้าน

ไม่ทุกคนแต่บางคนมี ซึ่งก็จะมีลักษณะแบบนี้ที่ได้เจอบ่อยๆ บางคนเก่งเรื่องของความจำ เขาจะมีความจำที่เรียกว่า Photo Graphic Memory ความจำเหมือนกับถ่ายรูปไว้เวลาเขาเห็นอะไรเขาจำทุกอย่าง ทุกรายละเอียดได้

สมัยที่เราเด็กๆ มีสมุดหน้าเหลือง เด็กออทิสซึมจำได้ว่าชื่อนี้อยู่หน้าไหน หรือบางคนที่สนใจรถจำรถทุกยี่ห้อทุกชนิดที่ออกในปีนั้นๆ ได้ เขาจะมีความเก่งในบางด้านที่อาจจะไม่น่าเชื่อ อย่างคนไข้คนหนึ่งถอดล็อคหมื่นเท่ากับคอมพิวเตอร์ถอดคือสามารถพูดออกมาได้เลยว่าล็อคหนึ่งหมื่นเท่ากับ …. ทศนิยมไปกว่า 20 ตำแหน่งเหมือนกับที่เรากดเครื่องคิดเลขตาม

เพราะฉะนั้นตัวเขาเองอาจจะมีอัจฉริยภาพบางอย่างซ่อนอยู่ได้ อย่างที่บอกว่าเป็นความไม่สมดุล ในบางด้านเองเขาดีอาจจะดีมากๆ แต่บางด้านเองเขาก็อาจจะบกพร่องไป หลักการคือเขาเก่งด้านไหนก็อาจจะเก็บความสามารถด้านนั้นไว้ แต่ด้านไหนที่เขาบกพร่องแล้วจำเป็นต่อการใช้ชีวิต การสื่อสารในสังคมมันต้องใช้ในการทำงานปกติอยู่แล้ว หรือเรื่องของการเข้าสังคมเขาก็จำเป็นจะต้องมีการช่วยเหลือ ส่วนที่ขาดก็ต้องช่วย

การสัมผัสกับเด็กออทิสติกไม่ชอบให้ใครมากอด

ไม่ชอบให้ใครมาสัมผัส เป็นลักษณะของวงจรประสาทที่มันติดต่อกันมากเกินไป เพราะฉะนั้นเขาค่อนข้างไวต่อการกระตุ้น เด็กที่เป็นออทิสซึมจะไม่ชอบให้ใครกอด จะไม่ชอบแสงสว่างจ้าๆ จะไม่ชอบเสียงดังๆ เพราะเขาจะรับรู้ตรงนี้มากกว่าคนปกติ จะมีความไวซึ่งเกิดจากวงจรประสาทที่มันเชื่อมโยงกันเยอะเกินไป วงจรประสาทพวกนี้เราปรับไม่ได้แต่ใช้เรื่องของการปรับจากพฤติกรรมจากภายนอก จากการบำบัดต่างๆ เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้นได้

ดูแลเด็กออทิสติก

แนะนำว่ายิ่งไปเร็วได้ยิ่งดี เพราะในประเทศไทยต้องยอมรับว่าการนัดเจอกุมารแพทย์เฉพาะทางพัฒนาการ หรือจิตแพทย์อยู่ในระดับ 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือมากกว่า

ออทิสซึมเป็นโรคที่กุมารแพทย์ทั่วไปวินิจฉัยได้ไปเจอกุมารแพทย์ทั่วไปก่อนได้จะได้วินิจฉัยก่อนว่าเป็นหรือไม่เป็น ถ้าเป็นหรือสงสัยว่าเป็นบำบัดก่อนเลยหรือให้การช่วยเหลือก่อนจะได้ไม่เสียเวลา

เพราะโรคพวกนี้เป็นนาทีทอง สมองเราจะมีหน้าต่างการเจริญเติบโต หน้าต่างของการเรียนรู้ ในแต่ละด้านไม่เท่ากัน หลายๆ อย่างถ้าผ่านไปแล้วมาฝึกตอนโตแล้ว มันฝึกยาก เพราะฉะนั้นถ้าสงสัยไปเจอคุณหมอก่อน จะเป็นหรือไม่เป็นไม่ใช่ประเด็น แต่อะไรที่บกพร่องถ้าฝึกและฟื้นฟูได้ก่อนมันดี ฝึกไว้ไม่เสียหาย แล้วพอไปเจอคุณหมอด้านกุมารแพทย์ของพัฒนาการก็ดี จิตแพทย์ก็ดีค่อยดูหลักๆ อีกทีจะช่วยได้มากกว่า

เด็กออทิสติกสามารถเรียนโรงเรียนร่วมกับคนอื่นได้

ขึ้นอยู่กับเด็กเป็นรายๆ ไป หลักการคือถ้าเขาพอเรียนได้อยากให้เรียน เราอยากให้เขาเรียนแบบพฤติกรรมของเพื่อนเป็นพัฒนาการปกติ เพียงแต่ในบางครั้งเขาเรียนไม่ทันจริงๆ ก็อาจจะต้องเป็นชั้นเรียนพิเศษ แต่ถ้าเขาพอเรียนได้กับเด็กทั่วๆ ไปน่าจะดีกว่า เขาจะได้มีเพื่อนที่มีพัฒนาการปกติคอยช่วยเหลือเขา และเขาก็จะได้เรียนแบบสิ่งดีๆ จากเพื่อนกลุ่มนี้มาใช้กับตัวเขาเองด้วย

เพราะมนุษย์เรามีความสามารถในการเรียนรู้ผ่านการมองเห็นโดยการเลียนแบบ ถ้าเขาเลียนแบบจากตัวอย่างที่ดีจะช่วยให้เขาในการพัฒนาตนเองได้ค่อนข้างมาก

เด็กพิเศษสามารถรักษาให้หายได้

ประเด็นคือ หายหรือเปล่า ถ้าเป็นน้อยๆ บางคนฝึกแล้วก็หายได้ เป็นปกติแบบที่ว่าดูไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็น วงจรประสาทบางทีไม่ผิดปกติเยอะพอได้รับการกระตุ้น หรือได้รับการช่วยเหลืออย่างดีกลับมาเป็นปกติได้ เขาก็สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้

เราเชื่อกันว่านักวิทยาศาสตร์ดังๆ หรือดาราศาสตร์สมัยก่อน หรือคนที่ชอบทำอะไรตามลำพัง กลุ่มนี้เป็นออทิสซึม หลายๆ เคยคนบอกว่าไอแซกนิวตันอาจจะเป็นออทิสซึม พวกนี้เขาจะชอบอยู่กับตัวเขาเอง เขาจะไม่สนใจสังคม

เพราะฉะนั้นเขาถึงให้เวลากับเรื่องต่างๆ ได้นาน ดาราศาสตร์สมัยก่อนที่นั่งมองดาวได้ทั้งวันสังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ดีในการช่วยทำงานได้ ถ้าทักษะสังคมเขาบกพร่องมาก หรือเขาไม่สามารถสื่อสารอะไรได้ มักจะมีปัญหาในการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น

เพราะฉะนั้นหลักการคือทำให้เขาสามารถอยู่ในสังคมได้ อัจฉริยะภาพบางด้านที่มีอยู่ก็ต้องเก็บไว้ ทำให้เขาดูเก่งและโดดเด่นกว่าคนอื่น บางคนหายได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยหาย เพียงแต่ว่าไม่มีคนไหนฝึกแล้วไม่ดีขึ้น

ทุกคนก็จะดีขึ้นมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค บางคนถ้าเป็นเยอะการฝึกก็ต้องใช้เวลาใช้การลงทุนลงแรงค่อนข้างมาก บางคนที่เป็นน้อยฝึกแล้วก็อาจได้ผลที่ไวกว่า แต่ไม่มีคนไหนที่ฝึกแล้วไม่ดี อย่างไรต้องมีข้อดีขึ้นมาบ้างมากบ้างน้อยบ้าง

แนะนำว่าเน้นการฝึกที่สำคัญคือการที่คุณพ่อคุณแม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับการฝึก การฝึกออทิสซึมให้ได้ผลดีไม่ใช้พาไปฝึกตามตารางที่นักจิตบำบัดกำหนด หรือผู้บำบัดทั้งหลายเป็นคนกำหนด แต่คือการที่คุณพ่อคุณแม่เอาบทเรียนที่ลูกๆ ได้ฝึกตรงนั้นมาใช้ในชีวิตจริง

เพราะสมองของเราเรียนรู้ผ่านการฝึกอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การไปฝึก 1 วันต่อสัปดาห์ไม่ได้ประโยชน์อะไรแต่การฝึกที่ทำทุกๆ วันโดยคุณพ่อคุณแม่ การฝึกที่ทำอย่างต่อเนื่องและให้แรงจูงใจในเชิงบวก “หนูทำได้ เก่งมาก” แม่ชม มันทำให้เด็กอยากทำและสามารถทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้จะเป็นวิธีช่วยให้เขามีพัฒนาการดีขึ้นได้

แนวคิด แนวทาง มุมมองสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกคนพิเศษ

เป็นจุดที่เข้าใจความกังวลตรงนี้ มีพ่อแม่หลายๆ ท่านเคยพูด ของหมอเองอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับออทิสซึมมากในเรื่องของการดูแลตามปกติของหมอจะเป็นโรคลมชักและกลุ่มที่มีความบกพร่องเรื่องของสติปัญญา

คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนบอกถ้าฉันป่วยและตายไปลูกจะอยู่อย่างไร กลัวว่าถ้าฉันตายไปลูกก็คงต้องตายตามในอีกไม่นานอะไรแบบนี้ หมอเลยเข้าใจความรู้สึกตรงนี้ว่าพ่อแม่หลายๆ คนกังวล

ออทิสซึ่มถ้าในกรณีที่เป็นไม่เยอะเขาพออยู่ในสังคมได้ อาจจำเป็นต้องการความช่วยเหลือในบางด้าน เช่น การทำธุรกรรมการเงินบางอย่าง เพราะเขาอาจจะไม่ทันคน แต่ทั่วไป เช่น การเดินออกจากบ้าน การเดินไปขึ้นรถประจำทาง รถไฟฟ้า เขาจะทำได้เป็นปกติ

สำหรับออทิสซึมที่รุนแรงต้องยอมรับบางทีเขาทำอะไรไม่ค่อยได้ จุดนี้เองมีระบบการช่วยเหลือของรัฐบาลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานสงเคราะห์ หรือสถานที่ที่จะช่วยดูแลกลุ่มนี้ หรือของทางเอกชนก็มีบางทีต้องมีการติดต่อตรงนี้ไว้บ้างในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถดูเขาได้ หรือในกรณีที่เขาตัวใหญ่มากๆ พ่อแม่อุ้มไม่ไหวอาจจะต้องใช้บริการตรงนี้ด้วย

ต้องยอมรับว่าออทิสซึมที่เป็นเยอะจริงๆ เราไม่สามารถบำบัดเขาจนฟื้นมาเป็นปกติได้ เพราะฉะนั้นการหาสถานที่ หรือเรื่องของการดูแลก็จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่พ่อแม่อาจจะต้องเข้าหาบริการตรงนี้เพื่อช่วยให้เขาสามารถอยู่ต่อได้ในวันที่คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถดูแลเขาได้แล้ว

แต่ในเบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามฝึกลูกให้สามารถช่วยเหลือตัวเอง อันนี้เบื้องต้นต้องสามารถช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อน ออทิสซึมในระดับที่เป็นปานกลางหรือเป็นน้อยๆ สามารถช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้นได้ เช่น การเข้าห้องน้ำ การอาบน้ำ หรือการดูแลตัวเอง ในกรณีของเด็กโตการเปลี่ยนผ้าอนามัยเองสามารถพอดูแลได้

จุดสำคัญในเรื่องทักษะสังคมมากกว่าโดยเฉพาะเรื่องที่เน้นคือเรื่องธุรกรรม กลุ่มนี้จะค่อนข้างเสี่ยงต่อการถูกหลอก เพราะตัวเขาเองไม่ค่อยเข้าใจเวลาใครเข้ามาดีหรือเข้ามาร้าย เขาจะแปลความหมายตรงๆ เพราะทักษะสังคมเขาไม่ค่อยดีนักจุดนี้อาจจะเป็นจุดที่ต้องให้ความช่วยเหลือค่อนข้างมาก แต่เรื่องทั่วๆ ไปถ้าเขาไม่ได้เป็นรุนแรงเขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้

การ Follow และดูแลลูกคนพิเศษ

ควรเป็นคุณหมอท่านเดียวที่ดูแลตลอด และทีมที่ฝึกเป็นทีมเดียวก็จะได้เห็นผลลัพธ์ต่างๆ ได้ สิ่งสำคัญคือการพูดคุยกันระหว่างทีมผู้รักษาว่าฝึกแบบนี้แล้วเป็นอย่างไร เพราะถ้าฝึกแล้วไม่ดีมันมีรูปแบบการฝึกอื่นๆ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้

ในปัจจุบันที่เราได้ยินบ่อยคือออทิสติกเทียม ซึ่งอันนี้ไม่ใช่ออทิสซึ่มแต่เป็นลักษณะของการที่เลี้ยงโดยขาดปฏิสัมพันธ์คนกับคน ออทิสติก กับ ออทิสซึม มีความแตกต่างกันไหม มันคือคำเดียวกัน เวลาที่หมอพูดออทิสซึม จะอิงกับคำว่า Autism spectrum disorder ซึงเป็นชื่อของตัวโรค

เกณฑ์ในปัจจุบันใช้อันนี้ แต่สมัยก่อนก็จะมีใช้ Autistic disorder หรือ Autism บ้างก็มี สามารถใช้ได้ทั้ง 2 อย่าง ออทิสติกเทียม หรือออทิสซึมเทียมลักษณะเป็นอย่างไร คือลักษณะของออทิสติกเทียมที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ก็จะเป็นลักษณะอาการคล้ายๆ กับออทิสติก เช่น มีทักษะทางสังคมที่ไม่ดี หรือไม่ยอมสื่อสาร ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นปัญหาจากสมองแต่เกิดจากปัญหาเรื่องของการเลี้ยงดู ส่วนใหญ่การเลี้ยงโดยใช้อุปกรณ์ทั้งหลายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก เด็กก็ขาดปฏิสัมพันธ์คนกับคน

เพราะฉะนั้นเลยมีพัฒนาการด้านการสื่อสารที่ล่าช้า เรื่องสังคมที่ล่าช้าและชอบเลียนแบบลักษณะคำพูดหรือท่าทางในคลิป ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของคนปกติ ก็จะกลายเป็นพฤติกรรมที่ดูแปลกๆ คล้ายๆ ออทิสซึ่ม ซึ่งพอปรับเปลี่ยนในการลดการใช้อุปกรณ์พวกนี้ลง หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยงดูให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนมากขึ้นเด็กก็จะกลับเป็นปกติได้เพราะเขาไม่ได้เป็นออทิสซึ่ม

เพราะอันนี้ไม่ได้เป็นจากตัวโรคแต่เป็นปัญหาจากการเลี้ยงดู แปลว่าจริงๆ แล้วไม่มีเรื่องเทียม เหมือนสมาธิสั้นเทียมจริงๆ แล้วไม่มี แต่เป็นคำที่คุณหมอบางท่านใช้เพื่อให้อธิบายได้ง่ายขึ้น แต่เป็นปัญหาลักๆ เรื่องของการเลี้ยงดู แต่ถ้าเกิดเป็นออทิสติก หรือออทิสซึ่มจริงๆ อย่างไรก็ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นโรคที่ต้องดูกันระยะยาว

 

พบกับ รายการ รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

รักลูก The Expert Talk EP.07: รักลูกเป็นพิเศษ “กิจกรรมบำบัด แบบไหนใช่ของหนูคนพิเศษ”

กิจกรรมบำบัดการดูแลเพื่อลูกคนพิเศษ มีหลากหลายวิธีการ จะเลือกวิธีใด คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอที่ดูแลลูกคนพิเศษ เพื่อช่วยส่งเสริมการรักษาให้ดีขึ้น โดย รศ. ดร. นพ.วรสิทธิ์ ศิริพรพาณิชย์

 

เกี่ยวข้องกับการรักษาในกลุ่มน้องๆ ที่เป็นเด็กพิเศษมีกระบวนการรักษาที่เป็นการรักษาปกติ และมีอีกหลายๆ เทคนิคซึ่งอาจจะมีบางกลุ่มที่ได้มีการทดลองใช้ได้รับผลดีบ้างหรืออาจจะไม่ได้รับผลดีเท่าไหร่ ฉะนั้นในส่วนของการรักษาเด็กกลุ่มนี้เองก็จำเป็นต้องลองดูก่อนว่าเป็นโรคอะไร แนวทางการรักษาหลักเป็นอะไร

หากคุณพ่อคุณแม่จะลองหาวิธีรักษาอื่นๆ เข้ามาเสริมแนะนำว่าสิ่งสำคัญคือการปรึกษาคุณหมอหรือทางทีมรักษาด้วยว่าตรงนี้สามารถเอามาเสริมได้ไหม โดยส่วนใหญ่แล้วถ้ามันไม่ได้ไปมีผลกับการรักษาหลักส่วนใหญ่คุณหมอที่รักษาต้องยอมเพราะอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์กับเด็กทางหมอโอเคอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าบางอย่างที่อาจจะส่งผลกับตัวเด็กได้อาจจะมีการคุยกันก่อนมาชั่งข้อดีข้อเสียเกี่ยวข้องกับการฝึกพิเศษนั้นก่อน

ศาสตร์บำบัดหรือกิจกรรม

ขอเริ่มที่กลุ่มสมาธิสั้นก่อนอาจจะเห็นตัวอย่างค่อนข้างชัด สมาธิสั้นเป็นเรื่องของพัฒนาการล่าช้าในเรื่องของการควบคุมตัวเอง เพราะฉะนั้นเด็กที่เป็นสมาธิสั้นปกติแล้วเขาจะดีขึ้นจากการปรับสภาพแวดล้อมในเรื่องการปรับพฤติกรรม ส่วนเรื่องของยาอาจจะเป็นตัวหนึ่งที่ช่วยทำให้เขานิ่งเพื่อให้เขาพอเรียนหนังสือได้ นอกเหนือจากการให้ยาและเรื่องของการปรับพฤติกรรมก็จะมีกระบวนการอื่นๆ ที่เอามาใช้ได้

จากประสบการณ์หมอที่เคยทำทำวิจัยคือเราใช้การฝึกสติกับเด็กที่เป็นโรคซน สมาธิสั้น โดยโครงการนี้ดำเนินการที่สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ เชียงใหม่ แล้วเราก็พบว่าในเด็กที่เป็นโรคซน สมาธิสั้น ที่เข้าโครงการฝึกสติแล้วมีการสอนอย่างถูกต้องและมีการประเมินผลพบว่าเด็กกลุ่มนี้มีเรื่องของทักษะ EF ภายหลังการเข้าโครงการดีกว่าเด็กในกลุ่มที่ไม่เข้าโครงการคือทั้ง 2 กลุ่มเป็นเด็กโรคซน สมาธิสั้นเหมือนกัน แต่กลุ่มที่เข้าโครงการฝึกสติได้ผลดีกว่า

แต่อย่างไรก็ดีเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่รักษาหมายความว่าเราจำเป็นที่จะต้องให้การรักษาตามมาตรฐานก่อนแล้ววิธีการอื่นๆ อาจเอาเข้ามาเสริมได้ทำให้ผลตรงนั้นเห็นเด่นชัดมากขึ้น นี้เป็นตัวอย่างของการนำเรื่องการฝึกสติมาใช้กับเด็กสมาธิสั้น ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนไม่น่าเป็นไปได้เลย กับเด็กสมาธิสั้นที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยนิ่งแต่ถ้าคนสอนมีเทคนิคในการสอนมีการปรับรูปแบบกิจกรรมและเข้าใจในตัวเด็กเราสามารถใช้ตรงนี้มาพัฒนาได้ เพราะเราทราบกันดีว่าการฝึกสติเป็นรูปแบบหนึ่งของการพัฒนา EF ในเด็กโต ผู้ใหญ่และเมื่อเราใช้กับเด็กสมาธิสั้นก็ยังเห็นผลที่ดีได้

นอกจากเรื่องการฝึกสติ ในต่างประเทศก็มีการพูดถึงรูปแบบของการเรียนการสอนที่ปรับให้เหมาะกับเด็กที่เป็นโรค ซน สมาธิสั้น โดยเน้นเรื่องของการเรียนโดยใช้โจทย์ต่างๆ จะคล้ายกับ EF ใช้โจทย์เป็นตัวเป้าหมาย คือไม่ได้เน้นการนั่งเรียน เพราะเด็กกลุ่มนี้พลังงานเยอะถ้าให้นั่งเรียนบางทีเด็กก็อาจจะทำได้ไม่ดีนัก ควรให้มีกิจกรรมโดยที่เรากำหนดโจทย์ให้

หลายครั้งเราจะพบว่าเด็กกลุ่มนี้สามารถปรับตัวอยู่กับรูปแบบการเรียนที่มีการเคลื่อนไหวหรือมีการแก้ปัญหาต่างๆ อาจจะได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับการเรียนแบบมาตรฐานที่ต้องนั่งเรียนเป็นหลักก็เป็นวิธีหนึ่งที่เอามาช่วยได้ ส่วนตัวหมอเองมองว่าเรื่องของสมาธิสั้นเองอาจจะมีการนำเทคนิคต่างๆ มาใช้ไม่ได้เยอะมาก เพราะตัวโรคค่อนข้างชัดเจนและด้วยรูปแบบของการรักษาส่วนใหญ่ก็จะดีขึ้น

จุดที่ยากมันอยู่ที่ออทิสซึม คือออทิสซึมในปัจจุบันเป็นหนึ่งโรคที่มีความหลากหลายสูง ตั้งแต่ที่ว่าใกล้ๆ เด็กปกติ หมายถึง Level มีความหลากหลายค่อนข้างมาก จนกระทั่งถึงแบบที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะฉะนั้นโรคที่มีความแตกต่างกันค่อนข้างเยอะ เวลาที่มาพูดถึงกระบวนการที่จะช่วยเหลือจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ทีนี้เอาแบบกลางๆ ก่อนลักษณะของออทิสซึมทั่วๆ ไปอาจจะไม่ได้เก่งในด้านใดด้านหนึ่งมากนักอย่างที่เราเคยคุยกันใน EP ก่อน ในขณะเดียวกันก็ยังพอที่จะสอนได้ไม่ถึงขนาดที่ว่าปรับเปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย

เราจะพบว่าการรักษาหลักของออทิสซึมก็จะไปเน้นเรื่องการไปเสริมจุดที่เขาบกพร่องนั่นคือเรื่องการสื่อสาร เรื่องทักษะสังคม ส่วนยาเองจะมีบทบาทเยอะในแง่ของการจะไปลดเรื่องพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์ เช่น พฤติกรรมซ้ำซากในบางคน หรือบางคนจะชอบพูดอะไรซ้ำไป ซ้ำมา นอกจากนั้นจะเป็นเรื่องของพฤติกรรมก้าวร้าว เนื่องจากเด็กบางคนจะคุมตัวเองในเชิงของความก้าวร้าวไม่ได้ ทีนี้นอกเหนือจากการที่เราจะมีการฝึกตามปกติแล้ว ออทิสซึมจะมีการฝึกเพิ่มเติมค่อนข้างเยอะ

สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือการใช้สัตว์บำบัดไม่ว่าจะเป็นม้า เช่นภาคเหนือเป็นที่อยู่ของสัตว์หลายๆ ชนิด โดยเฉพาะช้างที่เชียงใหม่ก็จะมีการใช้ช้างในการบำบัด ขี่ช้างหลักการเดียวกับขี่ม้าหรืออีกอันที่ต่างประเทศใช้โลมา หมอไม่แน่ใจที่ประเทศไทยใช้โลมาหรือเปล่าแต่ว่าในต่างเทศมีการใช้โลมา คือต้องเข้าใจในธรรมชาติของออทิสซึมถึงจะมีความล่าช้าในบางด้านแต่บางด้านเขามีการทำงานที่ละเอียดหรือต้องบอกว่าดีเกินไปหนึ่งในด้านนั้นคือเรื่องของการรับความรู้สึก

เพราะฉะนั้นสังเกตเด็กที่เป็นโรคออทิสซึมบางทีเขาจะไม่ชอบให้ใครมากอด ไม่ชอบเสียงดังๆ ไม่ชอบแสงสว่างๆ เพราะมันถูกกระตุ้นเยอะทีนี้มันก็ตอบยาก สัมผัสจากสัตว์หรือจากธรรมชาติกลับเข้ากับเด็กกลุ่มนี้อย่างไม่น่าเชื่อ

เราพบว่าการให้เด็กกลุ่มนี้มีโอกาสได้มาเจอกับสัตว์ ได้ขี่ม้า ได้สัมผัสช้าง ได้กอดโลมาทำให้เด็กกลุ่มนี้สามารถที่จะปรับตัวและสอนอะไรต่างๆ ได้ง่ายขึ้นซึ่งค่อนข้างน่าสนใจ เป็นการกระตุ้นได้อย่างสมดุล เพราะบางทีการติดต่อระหว่างคนกันคน เราอาจจะสร้างลักษณะของธรรมชาติเทียมๆ เช่น แสงไฟจากหลอดไฟ หรือเสียงที่มาจากอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยเหมาะหรือไม่ตรงกับที่เด็กต้องการ กลายเป็นว่าการนำเด็กกลับสู่ธรรมชาติทำให้เขาสามารถที่จะยอมรับได้ง่ายกว่าแมทช์กันได้โดยที่เด็กไม่รู้สึกแตกแยก

จากการที่ได้อ่านรายงานส่วนใหญ่ก็พบว่าดีขึ้น เพียงแต่ว่าอย่างที่หมอได้เรียนตั้งแต่ต้นว่าตัวออทิสซึมเองเป็นโรคที่เป็นสเปคตรัมที่ต่างกันตั้งแต่รุนแรงมากจนถึงรุนแรงน้อยฉะนั้นผลที่ดีขึ้นของแต่ละคนไม่เท่ากัน

สิ่งสำคัญคือการให้เด็กได้มีโอกาสเราไม่มีทางทราบจริงๆ ว่าตัวเด็กแต่ละคนที่เป็นออทิสซึมจะมีความบกพร่องในกลไกใดของสมองบ้าง การให้โอกาสเด็กได้เจอรูปแบบของการฝึกต่างๆ ได้มากขึ้นก็มีส่วนช่วย ปกติแล้วเด็กโรคออทิสซึมมักจะอยู่ในการดูแลของกุมารแพทย์พัฒนาการร่วมกับทีมซึ่งมักเป็นนักกิจกรรมบำบัดซึ่งจะกำหนดโปรแกรมการฝึก อย่างเรื่องของการฝึกก็จะเป็น Option ที่เอามาเสริมให้เด็กมีการฝึกต่างๆ ที่ดีขึ้นด้วย

ศิลปะบำบัด

ศิลปะเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เพราะว่าปกติแล้วมนุษย์เราตอนนี้เราใช้ชีวิตแบบไม่ค่อยสมดุล ไม่สมดุลคือเราใช้สมองหนักไปทางด้านซ้ายนั่นคือซีกเด่น ซึ่งเป็นเรื่องของทักษะการคิด ตรรกะ เรื่องของภาษาในเชิงของความหมาย แต่อีกซีกหนึ่งจะเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดนตรี เรื่องของจังหวะต่างๆ เราไม่ค่อยได้ใช้ เรื่องของศิลปะเป็นรูปแบบของการทำงานของสมองซีกที่ไม่เด่น

ในปัจจุบันเรามองว่า Concept ของสมองที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมันควรจะเป็นการ Balance กันแปลว่ามันไม่ควรจะเด่นในฝั่งใดฝั่งหนึ่งมันควรจะทำงาน Balance กันทั้ง 2 ข้างเพราะว่าตัวการวิจัยเด็กที่เป็นโรคออทิสซึมจะมีปรากฏการณ์อันหนึ่งที่เขาพบว่ามันเกิดการไม่สมดุลกันระหว่างสมองทั้ง 2 ซีก

เพราะฉะนั้นการให้เด็กได้เรียนรู้ศิลปะจะเป็นการนำเด็กกลุ่มนี้ไปฝึกพัฒนาทักษะซึ่งปกติแล้วเขาอาจจะไม่ค่อยได้ฝึก การทำงานศิลปะซึ่งตรงนี้เป็นการช่วยทักษะหลายๆ อย่าง อันหนึ่งซึ่งเราอาจจะไม่ได้เจอเป็นอาการหลักของออทิสซึมแต่พบบ่อยคือเรื่องทักษะการใช้มือ เด็กกลุ่มนี้จะไม่ค่อยเก่งจะพบว่าถ้าให้เล่นพละก็จะดูงุ่มง่ามหรือไม่ค่อยคล่อง งานศิลปะก็จะไม่ค่อยเก่ง

เพราะฉะนั้นถ้ามีการฝึกเรื่องของศิลปะไม่ว่าจะเป็นการปั้น การวาดภาพเป็นการทำให้เขาได้มีโอกาสลองทำกิจกรรมต่างๆ ที่แตกต่างไปจากรูปแบบการฝึกเดิมของเขา น่าจะเป็นทักษะหนึ่งที่ช่วยได้ถ้าเกิดในวงจรหลักของเด็กมีปัญหา เราก็มากระตุ้นอีกฝั่งหนึ่งของสมองให้มันเกิดความสมดุลกัน

สมองในช่วงวัยเด็กพร้อมจะปรับตัวอยู่แล้วมันขึ้นอยู่กับโอกาส ถ้าได้มีโอกาสฝึกทักษะที่เกี่ยวข้องกับศิลปะในกลุ่มนี้เราพบว่าดีขึ้นเพียงแต่รูปแบบของศิลปะต้องไม่ใช่การบังคับไม่ใช่การฝืนใจ แต่เป็นสิ่งที่เด็กเองก็สนใจและชอบ ขณะเดียวกันทำไปแล้วก็ได้ประโยชน์กับครอบครัวด้วย

เพราะฉะนั้นอาจต้องลองกิจกรรมหลายๆ อย่างให้เขาได้มีโอกาสเจอไม่ว่าเป็นการปั้น เขียน วาดภาพต่างๆ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่นำมาใช้ได้เพื่อทำให้เกิดการทำงานของสมองให้ Balance มากขึ้นแทนที่จะไปเน้นหนักเรื่องของการสอนแปลความหมายของคำในการสื่อสารอย่างเดียวก็มาเน้นเรื่องของงานศิลปะต่างให้อีกฝั่งได้มีการใช้ให้ Balance กันมากขึ้น

เพลงบำบัด

เรื่องของเพลงอันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเราจะได้ยินเรื่องของประโยชน์ของดนตรีค่อนข้างเยอะ ต้องนำมาใช้อย่างถูกต้อง ถ้าเป็นกิจกรรมบางอย่างที่เกี่ยวของกับอารมณ์ การเคลื่อนไหวการใช้เพลงมาประกอบ มาช่วยส่งเสริมกิจกรรมได้ แต่บางครั้งเด็กออทิสซึมเขาไวต่อเสียง

ฉะนั้นเปิดเสียงเพลงตลอดทำให้เขาล้าบางทีเขาอาจจะไม่ชอบ เพราะฉะนั้นแนะนำว่าใช้เป็นครั้งๆ ใช้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น กิจกรรมนี้ต้องการการเคลื่อนไหว ดนตรีที่เป็นจังหวะเอามาประกอบการเคลื่อนไหวได้ และดนตรีกับการเคลื่อนไหวที่เราเรียกว่า Music and Movement เป็นการเชื่อม 2 ระบบเข้าด้วยกันคือระบบการรับเสียงกับการเคลื่อนไหว

พอระบบนี้เชื่อมกันเหมือนเป็นการต่อวงจรของ 2 ส่วน ซึ่งปกติแล้วทำงานแยกกันเพราะออทิสซึมเองทำงานเชื่อมโยงกันได้ไม่ดีนัก แต่การเอาดนตรีมาใช้สอนการเคลื่อนไหวของเด็กก็สามารถทำให้เด็กเองมีการพัฒนาต่างๆ ได้ดีขึ้นจากการเชื่อมโยงกันของระบบของสมองให้ทำงานด้วยกันได้

ของเล่นของเด็กพิเศษ

จริงๆ แล้วของเล่นที่ให้เด็กต้องประเมินระดับพัฒนาการของเขาก่อน บางทีเขา 7 ขวบก็จริงแต่ทักษะยังไม่ถึงข ต้องประเมินว่าตอนนี้เขาทำได้ประมาณไหนแล้วใช้ของเล่นมาส่งเสริมพัฒนาการ คำว่าส่งเสริมพัฒนาการก็คือว่าของเล่นต้องมีความยากนิดหน่อยคือมีความท้าทายเล็กๆ ถ้าเขาทำได้ง่ายๆ เล่นทีสองทีเขาก็เลิกแล้วอาจต้องมีความท้าทายนิดหน่อย เช่น ถ้าเป็นต่อบล็อกสำหรับเด็กเล็กอาจจะต้องให้ยากขึ้นนิดหน่อย

ความน่าสนใจก็คือตัวของเล่นชวนให้เล่นบางทีเราเห็นของเล่นบางอย่างยังไม่อยากเล่นเลย ดูแล้วตั้งใจมาสอนเกินไปของเล่นบางอย่างดูเป็นอุปกรณ์ในการฝึกมากกว่าของเล่น สำคัญคือต้องสนุกเป็นพื้นฐาน แล้วมาประยุกต์ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น

ของเล่นสำหรับเด็กต้องสนุกไม่จงใจสอน ท้าทาย เกินวัยเขานิดหน่อยท้าทายโดยที่คุณพ่อคุณแม่ต้องอยู่ด้วย และคุณพ่อคุณแม่คือของเล่นอันหนึ่งของเด็ก เป็นของเล่นที่สามารถปรับไปตามสถานการณ์ได้ ฉะนั้นไม่ใช่เป็นการให้ของเล่นลูก ไปแต่คุณพ่อคุณแม่ต้องเล่นด้วย

บางทีเราเห็นลูกจะเข้าใจว่าเจอลูกแล้วเราเข้าไปชาร์จแบต ทำให้เรามีพลังแล้วกลับไปทำงานต่อไม่ใช่นะครับ ถ้าจะมาเล่นกับลูกต้องชาร์จแบตมาก่อนเข้าไปเล่นกับเขา เราจะได้ส่งพลังให้เขาได้เพราะเด็กทั่วไปก็ดี เด็กพิเศษเองก็ดีอย่างไรก็ต้องการพ่อแม่ เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าไปหาลูกก็ต้องมีพลังเข้าไปหาด้วยไม่อย่างนั้นกลายเป็นว่าเหนื่อยกว่าเดิมเพราะถูกสูบพลังออกไป

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญพ่อแม่เป็นเครื่องเล่นที่ดีแต่ต้องเตรียมพลังในการเล่นกับเขาก่อน เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่เองเป็นผู้ใหญ่อาจต้องเตรียมทางหนีทีไล่เพราะเด็กทั่วไปชอบการเล่นที่มีการเคลื่อนไหวแต่บางทีพ่อแม่ก็ไม่ไหวเคลื่อนไหวมาทั้งวันแล้วกลับมาบ้านก็อยากจะพัก บางทีต้องเตรียมกิจกรรมที่เรารู้ว่าลูกเราชอบแบบไหนดึงกลับมาให้มีการนั่งบ้างเดี๋ยวพ่อแม่จะไม่ไหวเสียเอง

ขอเสริมอีกนิดบางทีท่านอาจจะได้ยินเรื่องของเทคนิคต่างๆ ในการกระตุ้นสมองโดยตรงไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า การกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรงนี้มีการศึกษาเยอะแต่เป็นเรื่องของการวิจัยแปลว่าอยากให้ติดตามข้อมูลตรงนี้ไปก่อนเพราะว่าการทำอะไรก็ตามที่เป็นการกระตุ้นสมองโดยตรงมันมีข้อเสียอันนี้ที่เจอและต้องระวัง คือมันกระตุ้นให้เกิดการชักได้

เราทราบกันดีว่าเด็กพิเศษหลายๆ คนมีความเสี่ยงที่จะชักได้ หากสนใจเรื่องของการฝึกกระตุ้นสมองในประเทศไทยเองมีโครงการวิจัยอยู่ค่อนข้างเยอะ อาจจะลองศึกษาดูจากทีมวิจัยต่างๆ ว่าเขามีการศึกษาไหมแล้วอาจจะลองพาลูกๆ ไปร่วมโครงการวิจัยด้วยซึ่งถ้าเข้าร่วมโครงการวิจัยต่างๆ ทำฟรีแล้วมีคนติดตามผลข้างเคียงต่างๆ จะปลอดภัยกว่าการที่ไปลองทำเอง หรือบางที่พอทราบก็พยายามแอบทำกัน และมีการเก็บค่าใช้จ่ายซึ่งบางทีแพงเกินไปแล้วผลที่ได้ยังไม่ชัดเจน แนะนำให้ทำกับที่ที่เขามีการติดตามเป็นรูปแบบของการวิจัยจะได้ประโยชน์มากกว่า

สุดท้ายหมอคิดว่าสิ่งสำคัญคุณพ่อคุณแม่เองรักลูกคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีเพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ของเด็กพิเศษทั้งหลายพยายามแสวงหาวิธีการ บางทีหมอก็ได้เรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่ที่ไปนำศาสตร์แปลกใหม่มา และถามว่าแบบนี้ฝึกได้ไหมซึ่งบางอย่างมันไม่ใช่เลย คือมันไม่มีข้อมูลยืนยันว่าฝึกแบบนี้ได้ แต่บางอย่างก็ต้องยอมรับว่าน่าสนใจเหมือนเป็นวิธีที่โดยหลักวิทยาศาสตร์อธิบายแล้วน่าจะเป็นไปได้ สิ่งสำคัญคือเราไม่สามารถตอบได้ทุกอย่าว่าอันนี้เหมาะหรือไม่เหมาะ

แนะนำว่าเด็กพิเศษส่วนใหญ่ จะมีคุณหมอเด็กคอยดูแลสามารถปรึกษาได้ ซึ่งหมอจะดูว่าแบบไหนที่ทำแล้วเด็กได้ประโยชน์เราไม่ห้าม ส่วนใหญ่แล้วหมอเด็กค่อนข้างใจดีและเปิดรับตรงนี้ได้เพียงแต่ให้บอกสักนิด เพราะบางอย่างถ้าไปทำแล้วมันอันตรายบางทีที่ฝึกมาดีๆ มันจะเสีย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการพูดคุยกันระหว่างพ่อแม่กับคุณหมอที่เป็นคนรักษา คุยกันว่าจะลองตรงนี้ได้ไหม เสี่ยงไหม บางทีหมอตอบไม่ได้ในครั้งแรกหมอก็จะบอกว่าจะไปค้นมาให้แล้วเดี๋ยวครั้งหน้าเรามาคุยกันว่าทำแบบนี้มีกลไกอะไรและมีประโยชน์อะไร สิ่งที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้ประโยชน์ละลูกก็ไม่เสียโอกาสครับ

 

พบกับ รายการ รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

 

 

รักลูก The Expert Talk EP.09: เลี้ยงลูกเชิงบวก ตอน "พ่อแม่มีอยู่จริง สร้างฐานที่มั่นทางใจของลูก"

คลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์ในบ้าน ด้วยการสร้าง Family Attachment เพราะฐานที่มั่นทางใจที่แข็งแรง จะสามารถสู้อุปสรรค ให้ล้มแล้วลุกได้ สร้าง Family Attachment กับ ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

Family Attachment คืออะไร

เรื่องของความผูกพันในครอบครัว ถ้าถามว่ามันคืออะไร คือ ฐานที่มั่นทางใจ ถ้าเราบอกว่าฐานที่มั่นทางใจเหมือนคนเราต้องมีฐานทัพ ทัพเราแข็งแค่ไหน ฐานก็ต้องแข็งกว่า คนเราก็ออกไปต่อสู้โจมตีข้างนอก ก็ต้องมีอู่ข้าวอู่น้ำ แต่ถ้าเราฐานที่มั่นทางใจที่ดีเราก็จะมีอู่ข้าวอู่น้ำทางใจ เราออกไปข้างนอกไปสู้รบปรบมือกับใครกลับมาเราก็ยังมีที่ๆ ให้เราคอยพักพิง มีที่ๆ ค่อยทำให้จิตใจเราคลายกังวล ก็ไปสู้รบปรบมือได้ใหม่ อันนี้ในแง่ของการสู้รบปรบมือ

แต่ถ้าเราไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับใครคุณค่าของพวกเรา เราจะออกไปพิชิตอะไรสักอย่าง แล้วพิชิตให้ใคร ลองนึกถึงว่าถ้าเราประสบความสำเร็จแล้วมีคนมายินดีกับเราด้วย ฐานที่มั่นทางใจคอยสนับสนุนเรา พอเราสำเร็จก็ยินดีกับเรามันน่าจะมีความสุข แต่ถ้าเกิดเราทำอะไรสำเร็จแล้วดีใจคนเดียว เหงานะแค่คิดก็เหงา

ถึงเราจะประสบความสำเร็จมากแต่ไม่มีทัพหลังคอย Support เพราะฉะนั้นเรื่องของความผูกพันในครอบครัวคือฐานที่มั่นทางใจของมนุษย์คนหนึ่ง ที่เรามีปัญหาอะไรมีคนอยู่ข้างๆ เราประสบความสำเร็จอะไรมีคนดีใจกับเรา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของอาหารใจที่เราต้องการ ทางร่างกายก็ต้องการข้าวต้องการน้ำ ถ้าเป็นอาหารใจจิตใจเราจะแข็งแกร่ง จิตใจเราจะมั่นคงเราสามารถสู้อุปสรรคได้ ล้มได้ลุกได้ ฐานที่มั่นทางใจสำคัญมาก

สร้างฐานที่มั่นทางใจ

ถ้าถามว่าความรักอย่างเดียวพอไหม เรื่องของความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ความรู้สึกจะมีอาการของมันมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามอารมณ์ แต่ความมั่นคงทางจิตใจมันเกี่ยวข้องกับเรื่องของความผูกพัน รักอย่างเดียวพอไหม เรื่องของความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นเรื่องของความรู้สึกที่ดี ที่ทำให้เราหลงใหลทำให้เรารู้สึกอยากเข้าไปเรียนรู้หรืออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

แต่ความรักมันจะแปลกพอเราได้ลิ้มรสมันแล้วก็จะทำให้ความรู้สึกของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ถ้ารักอย่างมั่นคงรักและให้มันพัฒนาต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย เราจะรักอย่างไรให้พัฒนาทั้งแม่ทั้งลูกทั้งพ่อคือพัฒนาทั้งครอบครัว เพราะฉะนั้นถามว่ารักอย่างเดียวพอไหม ไม่พอ รักแล้วเราต้องรู้วิธีที่จะรักษาความรัก รวมไปถึงให้ทุกคนให้คุณค่าและให้ความสำคัญกับความรักของครอบครัวถ้าเราพาไปจนถึงจุดนี้ได้อะไรเราก็ผ่านไปได้

รักลูก ตามใจลูก คือการสร้างฐานที่มั่นทางใจ?

เวลาที่เราเห็นพ่อแม่ตามใจลูกครูหม่อมจะไม่ได้มองเห็นว่าพ่อแม่ตามใจลูก แต่ครูหม่อมกำลังเห็นพ่อแม่ตามใจตัวเอง เวลาที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเองเพื่อที่จะสอนลูกไปในทางที่ถูกที่ควร แน่นอนพ่อแม่ไม่อยากเสียอารมณ์ไปกับลูกไม่อยากจะทะเลาะกัน

เพราะฉะนั้นการตามใจเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด แล้วตัวของคุณพ่อคุณแม่เองมีความคาดหวังกับลูกก็จริง แต่ที่เราไม่รู้เท่าทันก็คือเราค่อนข้างคาดหวังกับตัวเองว่าเราจะหาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ให้กับลูกให้ได้โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นทำอย่างไรละให้รู้สึกว่าเราสมหวังแล้วในการคาดหวังตัวเองโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าเราต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก กดดันตัวเอง กดดันมากๆ ไม่รู้ทำอย่างไร เพราะฉะนั้นการที่เราตามใจลูก มันเหมือนทำให้การคาดหวังของตัวเองมันสำเร็จได้ง่าย

เราจะเห็นได้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะมีตั้งแต่ไม่ให้พอลูกง้อมากๆ ก็ให้ด้วยการตัดความรำคาญ อารมณ์ดีให้ อารมณ์เสียไม่ให้ การที่เราอารมณ์เสียแล้วต้องพูดจาดีๆ กับลูกเราก็ไม่ต้องตามใจตัวเอง ตามใจอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่ครูหม่อมเห็นคุณพ่อคุณแม่ตามใจลูก คุณพ่อคุณแม่เหวี่ยงลูก สิ่งที่ครูหม่อมเห็นไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่ตามใจลูกครูหม่อมกำลังเห็นคุณพ่อคุณแม่ตามใจตัวเองอยู่

เพราะฉะนั้นการตามใจตัวเองเป็นเรื่องของคนเดียว ถ้าเราพูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ความสัมพันธ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันต้องเป็นเรื่องของกันและกัน เราต้องทะเลาะกับตัวเองให้เสร็จแล้วเราจะไม่ทะเลาะกับคนอื่น

Family Attachment เริ่มสร้างตั้งแต่เมื่อไหร่

เริ่มได้เลย เมื่อไหร่ที่เราจะเริ่มที่จะเป็นครอบครัว เราต้องเริ่มสร้างได้เลยเรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ การที่เราเริ่มเป็นแฟนกันศึกษากันและกันเริ่มแล้วนะที่เราต้องค่อยๆ ปรับตัวเป็นแค่หนึ่งเดียวไม่ได้ เมื่อไหร่ที่เราเริ่มรู้สึกว่าฉันอยู่ของฉันเองได้ไม่ต้องตามใจเธอไม่ต้องมีเธอก็ได้ อย่าเพิ่งมีครอบครัวยังไม่พร้อม การมีครอบครัวก็คือเราต้องมีกันและกัน

คำถามที่ครูหม่อมมักจะถามลูกศิษย์ เวลาที่เราจะแต่งงานเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราพร้อม ทุกคนก็จะตอบว่าเมื่อมันถึงเวลา นี่คือคำตอบเมื่อมันถึงเวลา เวลานั้นคือเวลาอะไร ครูหม่อมก็จะถามต่อ เขาก็จะตอบ ก็น่าจะเรียนจบ ก็น่าจะทำงานได้ มีบ้านมีรถ ครูหม่อมจะบอกเลยว่าถ้าอย่างนั้นยังไม่ใช่ ยังไม่พร้อมถ้าเกิดมันยังไม่ชัด สิ่งที่ครูหม่อมจะถามคือพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขหรือยัง เมื่อไหร่ที่คิดว่าตัวเองพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคู่เราได้

Family หรือครอบครัวจะเกิด ครอบครัวไม่ได้อยู่ที่บ้านครอบครัวไม่ได้อยู่ที่รถ ครอบครัวอยู่ที่เรา คนบางคนอาจไม่รู้ตัว แต่ครูหม่อมเจอคนหลายคนมากที่ถามว่าแต่งงานรู้ได้อย่างไรว่าพร้อม เขาก็ตอบว่ารอคนนี้เรียนจบ รอเขาได้งานก็เท่ากับพร้อม ครูหม่อมถามต่อว่ายังทะเลาะกันอยู่ไหม เขาตอบว่าคู่เราไม่เคยทะเลาะกันเลย ครูหม่อมก็จะทดไว้ในใจ แล้วค่อยๆ ตั้งคำถามขึ้นมาว่าแล้วถ้าเกิดเขาไม่มีงานจะแต่งงานกันไหม เขาก็ตอบว่าไม่แต่ง แล้วถ้าแต่งงานไปแล้วเขาตกงานจะทำอย่างไรจะหย่าหรือ

เพราะฉะนั้นพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใครได้เมื่อไหร่ Family Attachment จะเกิดขึ้น ไม่ใช่ร่วมทุกข์แล้วไม่มีทางสุข หรือไม่ใช่ร่วมสุขอย่างเดียวพอทุกข์แยกกัน คำตอบแรกคือเริ่มที่ตัวเราสองคน

อันที่สองที่อยากให้ฝึกๆ กันไปก็คือเมื่อไหร่ที่เราเริ่มมีใจอีกคนมาอยู่ในตัวเรา ทำอะไรก็ต้องคิดถึงเขาทำอะไรจะพูดอะไร แน่นอนพวกเราอยู่ตัวคนเดียวอยากพูดอะไรอยากนอนท่าไหนอยากทำอะไรทำได้ แต่ถ้าพอเรามีอีกคนเข้ามาจะต้องมีการฝึกตัวเองอะไรที่เราเคยทำบางอย่างเราอาจจะได้ทำมากขึ้นก็ได้ แต่บางอย่างเราอาจจะได้ทำน้อยลงก็ได้ ถ้าเราฝึกฝืนได้เราก็อาจจะมีความสุขกับคนนี้ได้ มีลูกเรื่องง่ายไหม มันขัดเกลาตัวเองมาทีละระดับ

ครูหม่อมกำลังจะบอกว่า Family Attachment มีขั้นมีตอนของมัน เมื่อกี้เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ละ อันที่สองคือเราเริ่มขัดเกลาตัวเองได้แล้วยอมรับความไม่น่ารักของกันและกันได้บ้างแล้ว อันนี้ครูหม่อมเรียกตามพัฒนาการด้านตัวตนด้วย แล้วก็เรียกตามคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ มักจะเรียก ขั้นแรกเป็นขั้นที่แม่มีอยู่จริงสำหรับเด็กๆ ถ้าเราถามว่า Family Attachment กับลูกเราควรสร้างเมื่อไหร่ คือลูกเกิดมาเมื่อไหร่พยายามทำตัวเองให้เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีอยู่จริง เรากำลังพูดถึงความสัมพันธ์ที่พอเราเริ่มเป็นครอบครัวสามีภรรยา ภรรยาคุณก็ต้องมีอยู่จริง ภรรยาก็ต้องมีสามีที่มีอยู่จริง

พ่อแม่มีอยู่จริง

คำว่า มีอยู่จริงหมายความว่าอะไร มีอยู่จริงหมายความว่า มีอยู่แม้ไม่เห็นด้วยสายตา แม้ว่ามือสัมผัสไม่ได้แต่มีอยู่ นั้นแปลว่าไม่เห็นภรรยาอยู่ในสายตาแต่มีภรรยาอยู่ ความเกรงใจเกิดขึ้น ไม่มีสามีมาด้วยแต่สามีก็ยังอยู่กับเราการวางตัวพฤติกรรมของเราจะเป็นไปตามนั้น ไม่มีคำว่าแอบทำ ไม่มีคำว่าโกหก แต่อย่างไรก็ตามคำว่ามันมีอยู่จริง ยังเกี่ยวข้องกับถ้าเรารู้สึกว่าสามีเรามีอยู่จริงมันไม่ได้อยู่ที่ว่าแต่งงานแล้วเท่ากับสามีมีอยู่จริง หรือแต่งงานเท่ากับภรรยามีอยู่จริง มันอยู่ที่ภรรยาเราหรือสามีเราทำตัวอย่างไรด้วยให้มีอยู่จริง

เพราะฉะนั้นก็กลับมาที่ตัวเราพอเราเริ่มแต่งงานกันแล้วตัวเราเองก็ต้องเป็นภรรยาที่มีอยู่จริง ภรรยาหรือสามีที่มีอยู่จริงคือสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของคู่เราได้

คำว่าความต้องการพื้นฐานทางจิตใจร่างกายเรารู้เรื่องของอาหาร ยารักษาโรค การนอนหลับพักผ่อน แต่ทางจิตใจมันคือความรัก ความปลอดภัยทางอารมณ์ ถ้าเกิดเรานอกใจกันสามีเรามีอยู่จริงไหมหรือเป็นของคนอื่นด้วย หรือในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือสามีเราอยู่ไหมถ้าเกิดสามีเราอยู่เราก็จะรู้สึกว่าสามีเรามีอยู่จริง

เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกมั่นคงในความรัก มั่นคงว่าสามีเรามีอยู่จริงเราไปไหนทำอะไรก็ได้สบายใจ สามีเราก็เช่นกันถ้าเราเป็นภรรยาที่มีอยู่จริงคอย Support ทางจิตใจ กลับมาถึงหิวไหม เหนื่อยไหม หรือกลับมาถึง ไปไหนมา จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ฝึกไปเลยแม้ว่าเราจะรู้สึกว่ากลับมาบ้านแล้วฉันก็ทำงานบ้านเหนื่อยนะแต่กลับมาเขาต้องมาเอาใจฉันสิ ไม่ใช่นะต้องเอาใจซึ่งกันและกันเป็นเรื่องของกันและกัน

มาที่การเลี้ยงลูก วิธีเดียวกัน ก็คือถ้าเป็นลูกเรื่องของคำว่า “มีอยู่จริง” หมายความว่าตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ต่อเนื่องไม่ใช่ทำแค่วันนี้พรุ่งนี้ไม่ทำ ต้องทำจนถูกฝังไปเลยว่าถ้าอยากได้อันนี้เรียกหาพ่ออยากได้อันนี้เรียกหาแม่ นี่คือเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่หากว่าเราเจอที่บอกว่าลูกฉลาดพออยากได้อันนี้แล้วต้องเรียกหาใคร ใช่เลยค่ะลูกเราฉลาด แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเขามีพ่อมีแม่หรือใครก็ตามที่มีอยู่จริง

ครูหม่อมจะยกตัวอย่างเช่นที่บ้านคุณแม่ของครูซึ่งเป็นทั้งคุณยายคุณย่าด้วยสำหรับหลานๆ จะเป็นคนเดียวในบ้านเลยที่ทำกับข้าวแจกทุกคนในครอบครัว ครอบครัวครูเป็นครอบครัวใหญ่ เวลาที่หลานหิวเขาไม่ได้วิ่งหาพ่อแม่เขาเพราะย่าเขามีอยู่จริงวิ่งไปหาย่าได้กิน แล้วฉลาดแม้กระทั่งหยิบอะไรผิดไปหาย่าดีกว่า เช่น สมมุติเราบอกว่าทอดไข่ดาวให้กินง่ายๆ ถ้าเราหยิบไข่ก่อนกระทะ เขาจะไม่เอาหาย่าดีกว่า ทำไมละ ถ้าเป็นย่าย่าจะตั้งกระทะร้อนก่อน

นั่นคือความหมายที่ครูหม่อมบอกว่าความสม่ำเสมอที่เค้าเห็น พ่อแม่ก็ต้องทำแบบนี้ปฏิบัติกับลูกแบบนี้ เคยทำอะไรให้ได้ลูกจะเกิดภาพจำว่าเราทำแบบนี้ให้มันก็จะเป็นความผูกพัน หรือความสัมพันธ์ที่เราเรียกว่า Attachment

ที่ครูหม่อมบอก ฐานที่มั่นทางใจ เวลาที่เราอยากกินข้าวแล้วเรามีย่าความมั่นคงทางจิตใจเกิด แต่ถ้าเกิดเราหิวข้าวแล้วมองไปใครจะทำให้ ทำเองก็อาจจะทำได้แต่จะเหงาหน่อย เพราะฉะนั้นเรื่องของการตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจเป็นฐานรากของเรื่องความผูกพันทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองมีอยู่จริงให้กับคนที่อยู่ข้างๆ เราหันมาเมื่อไหร่ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งคนที่อยู่ข้างๆ เราจะต้องรู้ให้ได้ว่ามีเราอยู่ไม่สามารถช่วยเหลือได้แต่ช่วยปลอบใจได้หรือเราอาจจะทำอะไรที่เขาชินว่าต้องเป็นเรามันก็เป็นการสร้างฐานที่มั่นทางใจให้

วิธีการสร้างพ่อแม่มีอยู่จริง

1.ตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจ

ถ้าเป็นเด็กเล็กแบเบาะเลยก็คือร้องไห้ก็ไปหา หิวก็ต้องเจอ เหงาก็ต้องมากลัวกังวลอะไรก็คืออยู่ตรงนั้น สำหรับเด็กเล็กเลยหรือตัวพวกเราเองสิ่งหนึ่งที่ทำได้ง่ายเลยคือเรื่องของสัมผัส สายตาท่าทาง สัมผัส น้ำเสียง เป็นอวัจนภาษาซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของสมอง

เราอาจจะเคยได้ยิน ซ้ายภาษา ขวาอารมณ์ เป็นเรื่องของการรับข้อมูลถ้าเราใช้ภาษาพูดสิ่งที่เขาจะถูกประมวลคือสมองซีกซ้ายจะเริ่มประมวลเราพูดอะไรหมายความว่าอะไร แต่ก่อนซีกซ้ายจะไปประมวลว่ากำลังพูดอะไร แปลว่าอะไร น้ำเสียงของเรา ท่าทางของเราถูกแปลโดยเร็วจากซีกขวาก่อนแล้ว

เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดว่า อะไรนะคะ อะไร คือซีกขวาจะเร็วมากในการรับอารมณ์เข้าไป เด็กเล็กสัมผัสเหมือนกันแต่ถ้าสัมผัสนั้นมาพร้อมความอบอุ่น สัมผัสอบอุ่นคิดว่าไม่ต้องต้องอธิบายเยอะคุณพ่อคุณแม่น่าจะรู้ สัมผัสที่นุ่มนวล อบอุ่น อ่อนโยน แม้ว่าไม่พูดอะไรก็ไปถึงกอดกันก็พอ

เพราะฉะนั้นในเรื่องของน้ำเสียง ท่าทาง สัมผัส สายตาต้องไปพร้อมคำพูดที่ดีๆ ด้วยเวลาที่เราเดินมาหาลูก โอ๋ลูกปลอบลูกใช้ท่าทางน้ำเสียงสัมผัสที่นุ่มนวลอ่อนโยนก็จะฝังตรึงตาเอาไว้กับลูก ต่อให้คุณพ่อคุณแม่ประชุมลูกแค่งอแงหรือต้องการความสนใจเราแค่เอื้อมมือไปสัมผัสเดิมๆ ตบเบาๆ ก็สื่อสารกับลูกได้แล้วแม้ไม่ต้องพูดเรียกว่าขั้นเบสิก ขั้น

2.การร่วมทุกข์ร่วมสุข

ต่อมาพอลูกเราโตสัก 2-3 ขวบ พอลูกเราเริ่มโตขึ้นเราไม่ได้พาเขาไปวางตรงไหนเขาก็อยู่ตรงนั้นเวลาที่ลูกเดินได้เวลาที่ลูกพูดได้ สังเกตได้ว่าเวลาลูกพูดอะไรกับเดินไปไหนมักสวนทางกับเราตรงนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา เขาเดินไปเจอปัญหาอะไร หรือมีปัญหาอะไรที่เกิดความคับข้องใจ

อยากให้คุณพ่อคุณแม่อย่าปล่อย ห้ามเด็ดขาด ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งคนเดียวนานๆ อยากให้เข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกด้วย อย่างเช่นถ้าลูกเล่นเกมมือถือ สนุก อยู่คนเดียวได้ แต่อยู่นานไปกำลังอยู่ด้วยความสุขกับมือถือนานแปลว่าเขากำลังสร้างความสัมพันธ์ตัวเองกับมือถือเขาก็จะไม่ติดพ่อแม่ก็จะติดมือถือ

ฉะนั้นพยายามเข้าไปร่วมสุขกับเขาด้วยเล่นมือถือเมื่อไหร่ เห็นเขาสนุกนานเกินไปพาตัวเองเขาไปมีความสุขกับลูกอย่าให้ลูกมีความสุขอยู่คนเดียวนานไป ถ้าลูกมีอารมณ์ที่ Negative เชิงลบ เสียใจ โกรธ โมโห กังวล อย่าให้เขาอยู่กับอารมณ์นั้นนานเข้าไปอยู่กับเขาด้วยไปร่วมสุขร่วมทุกข์กับเขา ความมั่นคงทางจิตใจหรือฐานที่มั่นทางใจจะเกิด สุดท้ายเป็นผู้ประคองก็คือคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องประคองอารมณ์ตัวเอง

เคล็ดลับสำหรับพ่อแม่มีเวลาน้อย

ในหนึ่งวันเรามี 24 ชั่วโมง เราทำงานกี่ชั่วโมง 8-10 ชั่วโมง มีเวลากับลูกได้กี่ชั่วโมง กลับมาที่เคล็ดลับของเราอยากเป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริงจะมีเวลาเท่าไหร่ก็ตามขอให้เวลานั้นเป็นเวลาที่ลูกมองหาเจอ เช่น เราจะมีเวลากับลูก 5-10 นาทีก็ได้แต่มันต้องเกิดขึ้นสม่ำเสมอทุกๆ วันจนลูกรู้ว่าช่วงเวลานี้ 10 นาที ฉันต้องได้พ่อมาเป็นของฉัน ฉันต้องได้แม่มาเป็นของฉัน

หากทำได้เราก็เป็นฐานที่มั่นทางใจให้กับลูกได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกถามแล้วเราก็บอกว่าทำงานอยู่ไม่ได้เลยแม้แต่นาทีเดียวลูกก็จะไม่มีฐานที่มั่นทางใจ ก็จะเกิดลูกเผื่อฟลุคขึ้นมาก็คือจะคอยกวนเราอยู่อย่างนี้ เผื่อฟลุคพ่อแม่ตัดความรำคาญแล้วก็มาเล่นกับเรา หรือแม้แต่แม่หยุดดุเราแล้วได้รับความสนใจจากพ่อแม่ก็เอา นี่ก็เป็นเรื่องเศร้าเป็นฐานที่มั่นทางใจแบบเศร้าๆ แต่ถ้าเราบอกว่าเรามีเวลาและเราใช้การสื่อสาร เราให้เขารอแบบมีเป้าหมายแปลว่าเขารอได้ แม้จะรอไม่ได้แต่อย่างน้อยมีที่ยึดเหนี่ยวว่าเดี๋ยวได้เจอ

วิธีการก็คือเราอาจจะนัดกับลูกไปเลยทุกก่อนนอนอาจจะไม่ใช่เป็นเวลาที่กำหนด 2-3 ทุ่ม ก่อนนอนจะเป็นพ่อหรือแม่ที่พาหนูเข้านอนแล้วจะมีเวลาคุณภาพด้วยกัน บ้านครูหม่อมจะมีข้าวเย็นเป็นเวลาคุณภาพ คือทุกคนจะไปเรียน ไปทำงาน ไปไหน ทุกคนก็ไปพอถึงเวลา 18.30 น. ทุกคนพร้อมเพียงกันที่โต๊ะอาหาร มันทำให้เราติดจนโตขึ้นมา เวลาเพื่อชวนกินข้าวข้างนอกครูหม่อมจะนัดหลัง 2 ทุ่ม เจอกัน คือต้องกินข้าวกับที่บ้านก่อนใจไม่ได้จริงๆ เพราะมันชิน มันต้องอยู่ที่ฐานนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือว่าเรารู้เลยเวลาที่เราไปโรงเรียน หรือไปทำงานไปเจออะไรก็ตาม ไม่เป็นไรครูหม่อมจะรอให้ 18.30 น. เราจะเล่าให้ที่บ้านฟังคือมีฐานที่มั่นทางใจ

การที่เด็กคนหนึ่งกำลังอยู่ในความทุกข์หรือความรู้สึกในเชิงลบแต่สามารถเก็บแล้วรู้ว่าจะสามารถไประบายได้เมื่อไหร่ นี่คือทักษะอารมณ์ เหมือนกับว่าฐานที่มั่นทางใจจะทำให้คนเราเกิดความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่เก็บกด ไม่ก้าวร้าว มีทางออก พอถึงช่วงวัยรุ่นถ้าเราสร้างฐานที่มั่นที่แข็งแรง เหมือนที่ครูหม่อมเคยบอกว่าทักษะ EF มันคือ 6 ปีแรก ถ้าเขายึดฐานที่มั่นนี้ไว้แล้วเขาโตไปไปเจออะไรเขาก็จะกลับมาฐานที่มั่นของเราได้เป็นฐานที่มั่นที่มีคุณภาพ

แล้วการสร้าง Family Attachment ไม่มีคำว่าไม่ทัน ครูหม่อมให้กำลังใจและคอนเฟิร์มด้วย สิ่งที่จะมีคือเราต้องฝืนตัวเองมากขึ้นเท่านั้นเอง แต่แพทเทิร์นเหมือนเดิมคือไปเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีอยู่จริง แล้วเมื่อไหร่ที่เราทำฐานที่มั่นนี้ที่มีอยู่จริงขึ้นมาแล้วความผูกพันมันจะถูกรีเซทใหม่จากที่ไม่ไว้ใจก็กลายเป็นไว้ใจ แล้วเมื่อไหร่ที่คนเราสามารถไว้ใจใครได้มันไม่ใช่แค่คนนั้นที่มีอยู่จริงมันคือตัวเราที่เรารู้สึกว่าเราสำคัญ เรามีอยู่จริงเราถึงมีคนที่เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัยไว้ใจได้

ท้ายที่สุดเลยที่เรานั่งคุยกันตรงนี้มันคือการมองย้อนกลับมา แน่นอนเราอยากให้ลูกเรามีฐานที่มั่นทางใจแต่วันนี้เราสร้างฐานของเราอย่างไร ถ้าลูกมองหันหลังกลับมาที่ฐานเป็นความไม่ไว้ใจเป็นความระแวงความไม่มั่นคงปลอดภัยเป็นสิ่งที่พ่อแม่บ่น เป็นสิ่งที่พ่อแม่คอยต่อว่าตำหนิ สั่ง ตัดสิน ตีตรา ฐานนี้ไม่น่ากลับ กลับไปเจอระเบิด ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า

แต่ถ้ารู้ว่ากลับมาที่ฐานนี้แล้วมีกินมีใช้ ไปร่อแร่อยู่ข้างนอกแต่กลับมาจะได้สมานแผลใจ เดี๋ยวจะได้มีคนมาปลอบใจถ้าคุณพ่อคุณแม่ปลอบใจลูกได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกได้อย่างไรลูกก็กลับมา หากว่าเลยไปแล้วแสดงว่าฐานเราไม่เหลืออะไร

เพราะฉะนั้นเราค่อยๆ ระดมกำลังใจอีกทีหนึ่งอาจจะต้องใช้เวลาเพราะว่าลูกเขาอาจจะตีตราเราไปแล้วว่าฐานนี้มันไม่มี แต่ถ้าเราค่อยทำให้เห็นว่าฐานนี้มี กำลังสนับสนุนเยอะอย่างไรเขาก็ต้องกลับมานี่คือธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วเราจะไม่ไปที่แห้งแล้ง

ขอทิ้งท้ายคำนี้เลย เราจะไม่ไปที่แห้งแล้ง คำว่า Family Attachment ฐานที่มั่นทางใจฐานที่มั่นที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าเราจะเหือดแห้งมาจากข้างนอก ถูกข้าศึกโจมตีมาอย่างไรลูกก็จะอยากจะกลับมาฐานที่มั่นทางใจ

 

พบกับ รายการ รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast:  https://apple.co/3m15ytB

Spotify:  https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:  https://bit.ly/3cxn31u

www.rakluke.com/community-of-the-experts.html

 

รักลูก The Expert Talk EP.10: เลี้ยงลูกเชิงบวก ตอน ชวนพ่อแม่เป็น "ผู้ประคอง" แทนผู้ปกครอง

เลี้ยงลูกเชิงบวก ตอน ชวนพ่อแม่เป็น "ผู้ประคอง" แทนผู้ปกครอง

เพราะเราอยู่กับลูกตลอดเวลาไม่ได้ การเป็นผู้ปกครองไม่เพียงพอให้ลูกอยู่รอดได้โลกที่มีความผันผวนได้ ครูหม่อม ชวนเปลี่ยนจากผู้ปกครองเป็น “ผู้ประคอง” เพื่อให้ลูกสามารถอยู่รอดได้อย่างมีความสุข

ฟังวิธีการโดยครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ความหมายของผู้ประคอง

 

ที่จริงคำนี้ครูหยิบมาพูดเพราะว่า พอพูดแล้วมันคลิกว่าคุณพ่อคุณแม่ติดเป็นผู้ปกครองลองเป็นผู้ประคอง พอบอกเป็นผู้ประคองคำนี้ทุกคนจะผ่อนคลาย กลายเป็นว่าที่ครูหม่อมอธิบายมาเป็นชั่วโมงมันจบอยู่ที่ผู้ปกครองแต่พอเราคลายคำว่าลองเป็นผู้ประคองดูแล้วความปกครองเราจะหายไป ปรากฏว่าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจครูหม่อมเลยหยิบยกคำนี้ขึ้นมาและพูดถึงอยู่บ่อยๆ ความต่างก็ตามความรู้สึกหรือความหมายตามที่เรารู้สึก

ถ้าเราเป็นผู้ปกครองเมื่อไหร่ก็กลายเป็นเราต้องไปปกครองเขาคอยสั่ง ตัดสิน ควบคุม ตีตรา แต่ถ้าเราลองเป็นผู้ประคองแปลว่าเรากำลังอนุญาตให้ลูกได้รู้สึกในแบบที่เขารู้สึกจริงๆ คิดในแบบที่เขาคิดจริงๆ มันจะผิดหรือถูกไม่รู้มันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ความคิด ความรู้สึกนึกคิดของลูกเกิดขึ้นจริง แล้วเราจะประคองลูกเราอย่างไรให้กลับมาอยู่บนทิศทางที่ควรจะเป็นถ้าเราประคองเขาได้วันหนึ่งเขาก็จะอยู่ได้ประคองตัวเองได้

แต่ถ้าเราปกครองเขาวันหนึ่งเราไม่อยู่แล้วใครจะไปควบคุมเขา หรือถ้าเราไปทำแทนไปทำให้วันหนึ่งเราไม่ทำให้ใครจะไปทำให้เขา แต่ตอนนี้เรากำลังให้เขาทำให้เขาคิดให้เขารู้สึกแล้วเราประคองสิ่งที่เขาคิดสิ่งที่เขาทำสิ่งที่เขารู้สึกให้อยู่ในลู่ในทาง

คนเป็นพ่อเป็นแม่มักไม่ค่อยอนุญาต บางทีไม่อนุญาตตัวเองให้ทำอย่างนู้นอย่างนี้ด้วย ยิ่งเป็นลูกเราก็เผลอไปปกครอง เราอนุญาตให้เขาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยที่เราค่อยๆ เรียกให้เขากลับเข้าลู่ทางที่มันควรจะเป็น อย่างเช่น ถ้าลูกอยากไปพัทยาเราไม่ห้ามลูกไปพัทยาแต่เขาก็จะหาวิธีทางไปของเขาถ้าเขาอ้อมไปหัวหินเราก็ต้องกวักมือกลับมาแต่ในการกวักมือเราก็ต้องอยู่ข้างๆ ทางที่เขาไปหัวหินประคองเขากลับมาเพื่อไปสู่พัทยา แต่ถ้ายืนอยู่ตรงนี้แล้วตะโกนไปตรงนั้น มาทางนี้ ต้องไปทางนี้ แบบนี้ก็จะยากคือการปกครอง ลูกจะมาเวลาที่เราไปสั่ง ตัดสิน ตีตรา ควบคุมลูก

สิ่งที่เกิดขึ้นคือลูกทำเพราะกลัวกับลูกไม่ทำเพราะก้าวร้าวเราจะได้ลูกแบบนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราประคองเราจะได้ลูกที่เรียนรู้ลองผิดลองถูกเรียนรู้ได้จากสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมคือเขาจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าอันนี้ไม่เหมาะสมและสิ่งที่เขาทำไม่เหมาะสมมันเกิดอะไรไม่ดีกับเขาบ้าง

แต่ถ้าเราเป็นผู้ประคอง เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่เขารักอะไรที่เราเสียใจจะกลายเป็นบทลงโทษของลูกเราอย่างหนักมาก แต่ถ้าเรายังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับลูก บางครั้งลูกประชดประชันแกล้งทำให้มันไม่ดีเพื่อให้พ่อแม่เสียใจเพราะสะใจลูกอันนี้คือความต่างผลลัพธ์ของผู้ประคองและผู้ปกครอง

Checklist เราเป็น

1.วันนี้ทั้งวันเราพูดอะไรกับลูกมากที่สุด

ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ส่วนใหญ่ที่ครูหม่อมเจอคือชื่อลูก เสียงหนึ่ง เสียงสอง เสียงสาม ถ้าวันหนึ่งๆ เรามีเสียงไหนเราต้องเรียกลูกด้วยน้ำเสียงอย่างไรตลอดทั้งวัน เราสามารถจะตัดสินเองได้ว่าเราเป็นผู้ประคองหรือผู้ปกครอง

2.ถามตัวเองว่าเราสั่งหรือสอนลูกมากกว่ากัน

ตั้งแต่เช้าเราพูดอะไรกับลูกเป็นคำสั่งหรือคำสอนมากกว่ากัน ถ้าเป็นคำสอนต้องเป็นการสอนจริงๆ ไม่ใช่เป็นการปรับพฤติกรรมเด็กไทยในวันหนึ่งๆ ได้ยินเสียงคำสั่งเยอะ ครูหม่อมเคยทำงานวิจัยเชื่อหรือไม่ภายใน 1 นาที เด็กไทยได้ยินคำว่า ห้าม ไม่ อย่า หยุด เกือบประมาณ 80 ครั้ง ภายใน 1 นาที จากหลายๆ ทาง ลูกไม่ อย่า ห้ามอยู่ตลอดเวลา คำถามคือให้เราลองนึกถึงตัวเรามีคนมาสั่งเราทั้งวันมันกระตุ้นอารมณ์เราไหม

3.คำถามต่อไปลองเช็กดูเราดุหรือปลอบลูกมากกว่ากัน

4.ตำหนิลูกหรือชมลูก

ทั้งวันมานี้เราตำหนิหรือชมลูก วันหนึ่งๆ คุณพ่อคุณแม่ลองเช็คตัวเองดูว่าสายตาเราไปจ้องจับผิดหรือมองเห็นสิ่งดีๆ ของลูกเรา ผู้ปกครองจะคอยมองว่าทำอะไรผิด จับผิด

แต่ถ้าจะเป็นผู้ประคองเราต้องประคองเขาจากสิ่งที่เขาทำได้ดี แล้วไปพัฒนาตัวเขาให้ดีขึ้นไปอีกเพราะธรรมชาติของมนุษย์คือการเรียนรู้ เราอยากประสบความสำเร็จก็จะมีกำลังที่จะไปต่อ แต่ถ้าทำอันนี้ก็ย่อท้อ อันนั้นก็ไม่ดีเราจะรู้สึกว่าไม่กล้าทำ ไม่ยากทำ ยิ่งทำแล้วโดนดุด้วย ทำแล้วโดนตัดสินว่าเป็นคนไม่ดี ทำแล้วโดนตัดสินว่าเป็นคนไม่เก่ง มันจะไม่อยากโชว์ ไม่มีใครอยากโชว์ความไม่เก่งของตัวเองความมั่นใจสูญเสีย แต่ถ้าเกิดทำแล้วมันมีคนเห็นมันเพิ่มพลังใจ มันอยากจะทำเข้าไปอีก

4 ข้อนี้ เอาไว้ Checklist ก่อนนอน หากว่าเราเช็กในวันนี้คืนนี้กลายเป็นว่าสั่งมากกว่า ดุมากกว่า ตำหนิมากกว่า ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เริ่มใหม่ เราเริ่มใหม่แล้วเราอยู่กับลูกไม่ใช่แค่วันนี้พรุ่งนี้เราอยู่กับลูกอย่างน้อย 30 ปี ก่อนเขาแต่งงาน เพราะฉะนั้นใน 30 ปี ตั้งจิตอธิษฐานไว้เลย อะไรที่ผ่านมาลูกเราอาจจะแค่ 5 ขวบ 6 ขวบ หรือ 10 หรือ 15 ขวบ ไม่เป็นไรยังเหลือเวลาอีก 25 ปี เหลือเวลาอีกเยอะที่เราจะปรับและลองใหม่ ค่อยๆ ปรับไป

พ่อแม่เป็น “ผู้ประคอง” สำคัญในยุคนี้

ต้องบอกว่ายุคนี้อะไรก็เปลี่ยนแปลงเร็ว ยิ่งเป็นยุคที่โควิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี เทคโนโลยีเรายังตั้งรับมือได้ไม่ดีเลย แต่สถานการณ์ที่มันผันผวนปรวนแปร โควิดเราก็ไม่เคยคิดว่าจะมีระลอก 2 ระลอก 3 แล้วก็ไม่รู้จะมีอะไรอีก เพราะฉะนั้นเรื่องความมั่นคงทางอารมณ์ของมนุษย์เราจะต้องเจอกับสิ่งที่ผันผวนปรวนแปรอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่มีคนคอยประคองอารมณ์เราก็จะรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ลำบาก

ผู้ประคองมีเอาไว้สำหรับ เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ที่จะต้องประคองอารมณ์ตัวเองพอเราประคองอารมณ์ตัวเองเสร็จเราจะไปประคองอารมณ์คนข้างๆ ได้ ถ้าเกิดเราหวั่นไหว คนข้างๆ ก็หวั่นไหว

ในยุคสมัยนี้อารมณ์ของเราจะขึ้นลงเยอะเพราะสิ่งที่มาปะทะหรือข้อมูลภายนอกจะเร็วผันผวนควบคุมไม่ได้มันส่งผลกันมนุษย์เราแน่นอน อะไรที่เราหวังไว้ อะไรที่เราตั้งใจไว้มันไม่เป็นไปตามนั้น ความเครียดก็เกิดถ้าไม่มีผู้ประคองความเครียดเรา เราก็จะประคองความเครียดตัวเองลำบาก แต่ถ้ามีคนมาประคองความเครียดเรา เราก็จะประคองความเครียดตัวเองได้ และเราก็จะไปประคองความเครียดก็คือไปรับมือความเครียดของคนอื่นได้อีก เพราะฉะนั้นผู้ประคองจะสำคัญมากๆ ในยุคสมัยนี้

เวลาที่เราบอกว่าประคองไม่ไหวแล้วครูว่าอันนี้คือเทคนิค เมื่อไหร่ที่เราเริ่มรู้ตัวว่าเราประคองไม่ไหวแล้วนั่นคือทักษะอารมณ์อีกเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่คนที่เขวี้ยงอารมณ์ ขว้างปาอารมณ์ เหวี่ยงอารมณ์ใส่คนอื่น คือคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังประคองอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ เพราะฉะนั้นจุดเริ่มแรกในเทคนิคเลยคือ

1.รู้ความรู้สึกตัวเอง

ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่อยากให้คิดไว้เลยว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เราโมโหเราจะทำอย่างไร มันคือเรื่องของ Anger management หรือเรื่องการจัดการความโกรธเป็นเรื่องที่เราต้องฝึกและคิดด้วยตัวเอง เราอาจจะฟังคนอื่นมาเวลาโกรธหายใจเข้า – ออก นับ 1-10 สิ เราอาจจะรู้วิธีแต่เราไม่เคยฝึกก็ต้องฝึกด้วยตัวเองว่าวิธีนี้มันเวิร์คกับเราไหม ถ้าไม่เวิร์คหาวิธีใหม่มันไม่ได้มีวิธีเดียว

2.หาวิธีประคองตัวเอง

แต่ต้องคุยกับตัวเองเยอะๆ ทะเลาะกับตัวเองให้เสร็จ อย่างที่ครูบอกทะเลาะกับตัวเองให้เสร็จแล้วเราจะไม่ไปทะเลาะกับใคร เราไม่เคยทะเลาะกับตัวเอง พอเราโมโหเราไปทะเลาะกับคนอื่น แต่ถ้าเราโมโหเมื่อไหร่และเราบอกว่าฉันกำลังโมโหฉันอยากจะพูดคำนี้แต่ฉันจะไม่พูดคำนี้เดี๋ยวจะทำให้สายสัมพันธ์ฉับลูก กับสามี ฉันกับภรรยาเกิดการขัดแย้งกัน ฉันจะต้องทำอย่างไรกับความโกรธนี้ คุยกับตัวเองให้เสร็จ

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะคิดได้ว่าเราจะจัดการความโกรธอย่างไรเราต้องคิดตอนที่เราไม่โกรธ ว่างๆ คุณพ่อคุณแม่นั่งคิด เป็นอีกหนึ่งเรื่องนะคะนอกจากคิดหาเงินเข้าบ้าน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราต้องคิดว่าเวลาโกรธเราทำอย่างไร ถ้าเรารำคาญลูกทำอย่างไร นั่งคิดไว้เลย ครูจะเล่าให้ฟังว่ามีงานวิจัย งานวิจัยนี้เขาทำการแบ่งกลุ่มคนที่ไม่เคยชู้ตบาสลงห่วงมาก่อน เขาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม เป็นงานวิจัยที่ทำกับเด็กอายุ 15 – 60 แบ่งผู้เข้าร่วมวิจัยออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มแรกคือไม่เคยชู้ตบาสอย่างไรก็ไม่เคยชู้ตบาสอย่างนั้นไม่ต้องชู้ตเลย

กลุ่มที่สองให้ดูคลิปวีดิโอให้ดูจนกว่าจะจำได้ พอดูเสร็จในทุกๆ วันจะพาคนกลุ่มที่สองมานั่งเปิดเพลงแล้วให้เรานึกถึงการชู้ตบาสที่เราดูคลิปมา

กลุ่มที่สามคือให้ไปชู้ตบาสจริงเลย

ผ่านไป 1 เดือนเขาเอาคนทั้งสามกลุ่มมาชู้ตบาส ปรากฏกลุ่มที่1 ก็ตามคาดชู้ตสะเปะสะปะชู้ตไม่ได้เพราะไม่เคย สิ่งที่เราสนใจกลุ่มที่ 2 ชู้ตได้ไม่ดีเท่าฝึกปฏิบัติเหมือนกลุ่มที่ 3 แต่จุดสำคัญคือบางคนในกลุ่มที่ 2 สามารถทำได้ดีกว่ากลุ่มที่ 3 งานวิจัยชิ้นนี้สรุปไว้แบบนี้ว่ากลุ่มที่ 3 ทำได้ดีฝึกซ้อมด้วยการปฏิบัติจริงทำให้คนที่ไม่มีพรสวรรค์เลยก็สามารถทำได้

แต่กลุ่มที่ 2 ที่ให้ใช้สมองนึกจินตนาการ เขาให้ดูทีเดียวแต่วันที่เหลือนั่งนึกวิธีการชู้ตบาสไม่ให้ทำท่า ให้นั่งแล้วก็นึกว่าต้องชู้ตบาสตามภาพที่เคยเห็นให้มันลงได้อย่างไรคลิปดูทีเดียวแล้วหลังจากนั้น 1 เดือนให้นึกจินตนาการ แล้วเขาก็บอกว่าให้นึกจินตนาการพอมาให้ชู้ตจริงๆ บางคนชู้ตได้ดีมากเป็นเพราะเรื่องของพรสวรรค์ด้วย แต่ที่น่าแปลกใจคือเขาชู้ตได้ทุกคน แล้วงานวิจัยนั้นก็บอกว่าสมองของคนเราแม้ว่าตัวเราไม่เคยชู้ตบาส แต่การนั่งนึกไปตลอดหนึ่งเดือนนั้นสมองเราได้ฝึกแล้ว

ครูกำลังจะชวนทุกท่านมาเป็นนักบาสกลุ่มที่ 2 คือเราโกรธ เราต้องทำใจไปก่อนเลยว่าเราไม่ได้ฝึกตัวเองว่าไม่ให้โกรธเราต้องโกรธเหมือนที่บอกว่าผู้ประคองจะอนุญาตความรู้สึกนึกคิดเพราะเราเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ อิจฉาคนอื่นได้ไหม ได้แต่อิจฉาแล้วทำอย่างไรเป็นเรื่องที่เราต้องคิด โกรธคนอื่นได้ไหม โกรธได้แสดงว่าเราปกติแต่การโกรธนั้นเรารู้แล้วว่าเราโกรธ โกรธเสร็จเราจะจัดการกับมันอย่างไร

ผู้ประคองสอนลูก

ผู้ประคองสอนลูกอย่างไร เหมือนกันเวลาลูกโกรธก็สอนลูกแบบนี้ว่าครั้งหน้าหนูโกรธหนูจะทำอย่างไร เวลาลูกโกรธถ้าเราเป็นผู้ปกครองเราจะบอกว่าอย่าทำอย่างนี้ โกรธแล้วตีแม่ไม่ได้นะ คำพูดนี้ สั่ง ตัดสิน ตีตรา ควบคุม ครบเลยแต่ถ้าเราบอกลูกว่า หนูกำลังโกรธ แล้วหยุดแล้วไม่ต้องพูดอะไร หนูกำลังโกรธหนูเลยตีแม่ แค่นั้นไม่ต้องพูดอะไร ทำไมถึงให้หยุดอยู่แค่นั้น

เพราะว่าเวลาที่ลูกของเรากำลังโกรธอยู่เป็นช่วงเวลาที่ลูกของเราต้องการผู้ประคองมากที่สุด โกรธแล้วเขาไม่รู้จะทำอย่างไร วิธีการที่จะระบายโกรธได้ดีที่สุดก็คือการตีคนอื่น การขว้างของ การตะโกน มันไม่ผิดเป็นเรื่องปกติเหมือนปวดฉี่ก็ต้องระบายออก ปวดฉี่มากมันต้องระบายออกเพราะฉะนั้นการระบายออกที่ดีที่สุดนั่นคือฉี่ราด โกรธแล้วตี โกรธแล้วขว้างของ โกรธแล้วกรี๊ด โกรธแล้วตะโกน นี่คือง่าย

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการบอกให้เขารู้ตัวก่อนว่าหนูกำลังโกรธ แต่พออารมณ์เขาลงสิ่งที่เราจะสอนเขาคือครั้งหน้าแทนการกรี๊ดเมื่อหนูโกรธแทนการตีแม่หนูจะทำอะไรได้ นั่นคือสิ่งที่เราจะสอนลูก ที่ครูถามว่าสั่งหรือสอนมากกว่ากันเราสอนลูกให้ลูกคิดหรือเปล่าเวลาสอนก็บอกเป้าไปว่าถ้าโกรธต้องทำอย่างไรแต่ที่เหลือคือลูกเป็นคนคิด

แต่ถ้าเราบอกว่าถ้าครั้งหน้าหนูโกรธหนูต้องนับ 1-10 ไม่ก็เดินหนีไป ไม่ใช่มาตีแม่ แบบนี้สอนหรือสั่ง ในคำพูดจะบอกเลยว่าเป็นคำสั่งหรือคำสอน ปกติที่ผ่านมาเราอาจจะคิดว่าเราพูดแบบนี้ว่า คราวหน้าถ้าโกรธทำอย่างนี้อีกไม่ได้นะ ไม่น่ารักเลย เราคิดว่าเราสอนอยู่แต่คนฟังไม่ใช่นะ สั่งไม่พอ ตัดสิน ตีตรา ทำแบบนี้ไม่น่ารัก ถ้าแม่ปล่อยไปลูกก็จะไปทำกับคนอื่น. แบบนี้เราคิดว่าสอน แต่ถามว่าลูกได้คิดอะไรไหม ความรู้สึกนึกคิดของลูกไม่มีเลย มีแต่เราไปปกครองเขาอยู่อย่างเดียว

ผู้ประคองประคองอารมณ์ ประคองให้เขาค่อยๆ ฝึกทักษะไปกับเรา เวลาเห็นลูกโมโหสิ่งที่ครูอยากให้มองใหม่คือดีใจในเผ่าพันธุ์ ภูมิใจว่าลูกเรามีสมองส่วนความรู้สึก มีรัก มีหลง มีอารมณ์ มีโกรธ มีอิจฉา มีอยากได้ ถ้าเกิดว่าลูกเราเป็นแบบนี้ดีใจเอาไว้ เพราะมีเด็กที่ไม่รู้สึกอะไรเลย มีตั้งแต่ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เข้าใจ เด็กเฉย เด็กที่ตัดตัวเองออกจากโลกไม่อยากจะรู้สึกอะไรชินชา

เพราะฉะนั้นเวลาที่ลูกเรามีอารมณ์ที่หลากหลายนั่นคือพรอันประเสริฐแล้ว ที่เหลือคือเราจะประคองให้เขาแสดงออกอารมณ์เหล่านั้นอย่างไรให้อยู่บนลู่บนทางที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่นั่งคิดฝึกตัวเอง ฝึกตัวเองเสร็จเอาวิธีนี้ไปสอนลูก

คาถาการเป็นผู้ประคอง

คาถาของครูหม่อมจะมีคำว่า มั่นคง ปลอดภัย ไว้ใจได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราท่องคาถา มั่นคง ปลอดภัย ไว้ใจได้ แล้วคาถานี้เข้าไปอยู่ในใจลูกเราจะกลายเป็นฐานที่มั่นทางใจให้ลูกได้ทันที เพราะฉะนั้นให้ท่องคาถานี้เมื่อไหร่ก่อนจะพูดอะไรก่อนพูด มั่นคง ปลอดภัย ไว้ใจได้ ไหมถ้าพูดไปแล้ว มั่นคง ปลอดภัย ไว้ใจได้ พูดเลย

 

พบกับ รายการ รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast:  https://apple.co/3m15ytB

Spotify:  https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:  https://bit.ly/3cxn31u

www.rakluke.com/community-of-the-experts.html

 

รักลูก The Expert Talk EP.100 : สร้างสมดุลฮอร์โมนให้ลูก ก่อนลูกแก่เกินวัยและเติบโตช้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.100 : สร้างสมดุลฮอร์โมนให้ลูกก่อนลูกแก่เกินวัยและเติบโตช้าเกินไป 

 

“ทำไมลูกมีประจำเดือนเร็ว ส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ กินก็เยอะทำไมไม่อ้วน ลูกดูไม่ค่อยแข็งแรง อ่อนเพลียง่าย” รู้ไหมว่าอาการเหล่านี้เป็นผลลัพธ์จากการทำงานของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล แล้วจะทำให้ฮอร์โมนทำงานสมดุลได้อย่างไร เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างสมวัย

ฟัง The Exeprt พญ.นวลผ่อง เหรียญมณี
กุมารเวชศาสตร์ โรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม โรงพยาบาลพญาไท 2

รู้จักฮอร์โมนไทรอยด์

มีฮอร์โมนที่สําคัญกับการเจริญเติบโตของเด็กมีสามตัว ได้แก่ 1.ฮอร์โมนเพศ 2.ฮอร์โมนไทรอยด์ 3.โกรทฮอร์โมน สำหรับEPนี้ทำความรู้จักกับฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสําคัญกับการเจริญเติบโตของเด็ก ได้แก่ 1.การพัฒนาทางด้านสมองของเด็ก 2. การพัฒนาทางด้านร่างกาย 3.ระบบการเผาผลาญก็เกี่ยวข้องนะคะ ฮอร์โมนตัวนี้ทําให้การเผาผลาญของร่างกายเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีโรคหรืออาการที่เกิดจากไทรอยด์ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษเด็กจะมีอาการตาบวม ตาโปน คอโต บางทีมาด้วยปัญหาเรื่องสมาธิสั้นไฮเปอร์แอคทีฟ และอีกอย่างคือกินเยอะแต่น้ำหนักไม่ขึ้น กินแล้วผอมเหมือนที่เขาบอกว่ามีไทรอยด์อ้วนกับไทรอยด์ผอม หรืออาจจะมีอาการท้องเสีย เหนื่อยง่าย นอนหลับไม่สนิท เช็กลิสต์เบื้องต้นที่พ่อแม่อาจจะนำไปเช็กได้แก่ นอนน้อย นอนไม่หลับหลับไม่สนิท สมาธิสั้น เหนื่อยง่าย ใจสั่น กินจุแต่น้้ำหนักไม่ขึ้น ถ้าสังเกตว่าลูกมีอาการเหล่านี้ สามารถพามาพบคุณหมอเพื่อเช็กเรื่องไทรอยด์เป็นพิษ

สำหรับเรื่องฮอร์โมนจะต้องมีความสมดุล ถ้าเยอะก็ไทรอยด์เป็นพิษ แต่ถ้าน้อยไปก็เป็นกลุ่มของไทรอยด์ต่ำ อาการก็จะตรงกันข้ามคือ กินเยอะแต่อ้วน เนือยๆไม่active ท้องผูก นอนเยอะ ดูอ้วนๆ ฉุๆ แต่ว่าทั้งสองกลุ่ม พ่อแม่จะสังเกตเห็นชัดว่าทําไมลูกเราคอโตจังหรือที่เขาเรียกว่าคอพอก อาการแบบนี้ก็จะเจอได้ทั้งสองกลุ่ม ซึ่งต่อมไทรอยด์จะเป็นต่อมที่อยู่ใต้ผิวหนังนี้บริเวณคอเป็นลักษณะรูปผีเสื้อ พอมีความผิดปกติมันก็จะบวมโตขึ้นมา ซึ่งถ้ารุนแรงมากอาจจะดูโตแบบทั้งคอแต่ถ้าไม่มาก พอเงยคอขึ้นมาก็จะสังเกตเห็นได้

ไทรอยด์เป็นพิษ

การรักษาไทรอยด์เป็นพิษจะใช้ยาเป็นหลัก ทั้งการกลืนแร่รังสีและผ่าตัด สำหรับการกลืนแร่รังสีจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่เด็กที่อายุมากกว่า10ปีขึ้นไป ส่วนการผ่าตัดอาจจะต้องดูเป็นกรณี เพราะจะมีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ส่วนการรักษากลุ่มของไทรอยด์ต่ำ มีวิธีรักษาแบบเดียวคือให้ยากินฮอร์โมนไทรอยด์เสริม เด็กบางคนอาจจะกินแต่ช่วงระยะสั้น แต่บางคนก็ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มที่ร่างกายสร้างต่อมไทรอยด์ไม่ได้และเป็นมาตั้งแต่กําเนิด

สาเหตุที่ต่อมไทรอยด์มีความผิดปกติเกิดจากการภูมิต้านทานของร่างกายเข้าไปทําลายทำให้สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาไม่ได้ อย่างที่เราคุ้นเคยกับคําว่าภูมิต้านทาน ทําร้ายเซลล์ของร่างกาย สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นคือต้องทำให้ฮอร์โมนสมดุล ร่างกายมีความสมดุล พักผ่อนดี ออกกําลังกายดี กินอาหารครบถ้วน และให้หลากหลายร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล และถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีความเสี่ยงอยู่ที่จะเป็นโรคไทรอยด์ แต่ความเสี่ยงอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับเด็กมาก ถ้าสามารถรักษาภาวะสมดุลได้

ภาวะการขาดฮอร์โมนไทรอยด์ตั้งแต่กําเนิดเป็นเรื่องที่สําคัญมาก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายคัดกรองทารกแรกเกิดทุกคนว่ามีการขาดฮอร์โมนตัวนี้ไหม ดังนั้นจะเห็นว่าหลังคลอด 2วันแรกเด็กจะโดนเจาะส้นเท้าเพื่อตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน เพราะถ้าขาดและเสริมฮอร์โมนให้ได้ภายใน2สัปดาห์แรก สมองเด็กก็ได้รับ ฮอร์โมนไทรอยด์พัฒนาไปได้ปกติ

รู้จักฮอร์โมนเพศ

ฮอร์โมนเพศทำหน้าที่แบ่งแยกเพศหญิงเพศชาย ฮอร์โมนเอสโตรเจนทําให้เกิดลักษณะเพศหญิง ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทําให้เกิดลักษณะของเพศชาย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ฮอร์โมนมาเร็วมาเยอะก่อนเวลาที่ควรจะเป็นทําให้เกิดภาวะที่เรียกว่าเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย ในช่วงแรกจะเห็นว่าเด็กโตดีโตเร็วสูงกว่าเพื่อน แต่ปรากฎคือกระดูกโตไปมากแล้วอีกไม่นานกระดูกปิด ทําให้ตอนหลังความสูงหยุดก่อนเพื่อน กลายเป็นตัวเตี้ยกว่าเพื่อนและเตี้ยกว่าที่ควรจะเป็นตามพันธุกรรม และพอเราโตเร็วเป็นสาวเร็วแต่ใจเรายังเป็นเด็กก็กระทบต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมและจิตใจของเด็ก ในแง่ของเรื่องอารมณ์อาจจะมีอารมณ์หงุดหงิดเพราะยังควบคุม อารมณ์ได้ไม่ดีนัก คือร่างกายมันไม่ไปกับพัฒนาการทางด้านอารมณ์ และเสี่ยงต่อการถูกการละเมิดทางเพศ เพราะยังป้องกันตัวเองไม่ได้

สาเหตุเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

หลังช่วงโควิดที่ผ่านมามีความชัดเจนขึ้นว่าเด็กเป็นสาวเร็วขึ้นเกิดจากความสมดุลนั่นเองค่ะ คือการที่มีฮอร์โมนเร็วมีจาก 2ปัจจัย 1.เด็กสมบูรณ์มากไป คือมีภาวะอ้วน และ2.ฮอร์โมนไม่สมดุล และส่วนน้อยคือต้องระวังเรื่องโรคที่มีเนื้องอกที่ต่อมไร้สมองมากระตุ้นทําให้เกิดฮอร์โมนเพศหญิงชายเร็วขึ้น ส่วนการรักษา เริ่มต้นก็จะต้อง MRIสมองเพื่อดูว่ามีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองไหม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของเนื้องอกซึ่งก็รักษาไปตามนั้น และเรื่องการมีภาวะอ้วนหรือฮอร์โมนไม่สมดุลก็ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยลูกและพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และหากคุณหมอประเมินแล้วว่าความสูงสุดท้ายได้น้อยก็มียาควบคุมฮอร์โมนไว้ก่อน ลดฮอร์โมนลงให้สมกับวัย เพื่อให้กระดูกก็จะไม่แก่เร็วไม่ปิดเร็ว ทําให้ความสูงสุดท้ายไปได้ดีขึ้นตามศักยภาพของเด็ก

ซึ่งการดูความสูงน้ําหนักตั้งแต่เด็กมีประโยชน์มาก หมั่นสังเกตน้ำหนักและส่วนสูงของลูก วิธีสังเกตคือ สำหรับเด็กผู้หญิงส่วนสูงจะขึ้นเร็วมากประมาณช่วงอายุ 10ปี และเด็กผู้ชายอายุ 13ปี แต่หากก่อนหน้านี้สูงเร็วมากก็อาจจะต้องคอยสังเกต สมมติว่าลูกอายุ 5ปี เขาควรจะสูงที่ 120ซม. แต่ก็สูงขึ้นมาทันที อาจจะสูงทีละ 5-10ซม. เพราะโดยปกติเด็กจะสูงขึ้นประมาณ 4-6ซม.ต่อปี แต่พอมีฮอร์โมนเพศอัตราส่วนสูงจะขึ้นเป็น 10ซม.ต่อปี พ่อแม่ก็ต้องคอยสังเกตและอาจจะพามาพบคุณหมอ ซึ่งฮอร์โมนเพศของเด็กผู้หญิงจะมาช่วงอายุ 10ปี เด็กผู้ชายจะมาตอนอายุ 13ปี

ฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัย10-13ปี อาจจะกลับมาดูกราฟของเราได้ว่ากำลังสูงเกินไปหรือเปล่าหรือเตี้ยเกินไป ซึ่งภาวะหนุ่มสาวก่อนวัย เนี่ยเขาตัดเกณฑ์กันที่อายุ 8ปี ถ้าโตเร็วฮอร์โมนจะมาเร็วในช่วง 7-8ปี กราฟพุ่ง หรือเด็กผู้ชายจะตัดเกณฑ์กันที่อายุ9ปี แต่ถ้าอายุ 8-9ปี แล้วทำไมดูโตเร็ว หน้ามัน เริ่มมีสิวก็ต้องเริ่มเอ๊ะ ว่าฮอร์โมนเพศมาเร็วหรือเปล่า

เมื่อมาที่โรงพยาบาลหมอจะตรวจร่างกาย เด็กผู้หญิงดูว่าหน้าอกนั้นเป็นจากเต้านมหรือว่าเป็นแค่ไขมันอ้วน หน้ามันมีสิวไหม มีขนฮอร์โมนขึ้นไหม โดยเฉพาะรักแร้กับหัวหน่าว หรือการเอกซเรย์อายุกระดูก ถ้ากลุ่มที่มีฮอร์โมนอายุกระดูกก็จะเร็วกว่าอายุจริงไปเกิน1-2ปี และสุดท้ายก็คอนเฟิร์ม โดยการวัดฮอร์โมนจากเลือด

สอบถามเพิ่มเติม โปรแกรมตรวจภาวะเด็กเติบโตช้าโปรแกรมตรวจคัดกรองโรคอ้วนในเด็ก 02-617-2444 ต่อ 3219, 3220 รพ. พญาไท 2

แนะนำทีมกุมารแพทย์เฉพาะทางด้านต่อไร้ท่อและเมตาบอลิซึม รพ. พญาไท 2

พญ. นวลผ่อง เหรียญมณี นพ.ไพรัช ไชยะกุล พญ. ณัฐกานต์ นำศรีสกุลรัตน์

FB @Phyathai2Hospital
Line: @Phyathai 2 , @parenting_school

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u