facebook  youtube  line

"จำเป็นต้องวางกติกา เพื่อลูกอยู่ในสังคมได้ดี"

2436

กล้ามเนื้อใหญ่ที่ทรงพลังทำให้เราจำเป็นต้องวางกติกา มิเช่นนั้นเด็กจะอยู่ในสังคมไม่ได้ เมื่อวางกติกาลงไปแล้วเราเองที่ต้องเอาจริงไปจนถึงเข้มงวดเพราะเด็กจะทดสอบพลังของกล้ามเนื้อของตัวเองตลอดเวลา ทดสอบกฎ กติกา มารยาท นั่นคือทดสอบพ่อและแม่ว่าแน่จริงหรือเปล่า เอาจริงเพียงใดหรือว่าที่แท้แล้วเหยาะแหยะ ไปจนถึงมักจะรักษาหน้าตาของตัวเองมากกว่าที่เข้มงวดกับเรื่องที่ต้องเข้มงวด

เรื่องที่ต้องเข้มงวดมี 3 ข้อคือ ห้ามทำร้ายตัวเอง ห้ามทำร้ายคนอื่น และห้ามทำลายข้าวของ กริยาสามอย่างนี้เราไม่อนุญาตให้มีครั้งที่สอง เมื่อพบครั้งหนึ่งต้องสั่งสอนและบอกกล่าวด้วยความจริงจังและไม่อนุญาตให้ทำได้อีก  ความเข้มงวดที่กริยาสามประการนี้ไม่มากเกินไป

หากจะมีคำว่ามากเกินไปจึงเป็นการมีข้อห้ามที่มากเกินไป คือมีข้อที่ 4 ไปเรื่อยๆ จนถึงข้อที่ร้อยหรือหลายร้อย เด็กตื่นเช้ามาพร้อมข้อห้ามหลากหลายประการทั้งในบ้านและนอกบ้านจนเขาไม่สามารถขยับตัว ไม่สามารถพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ ไม่สามารถพัฒนาอะไรต่อไปได้โดยง่ายหรือด้วยความภาคภูมิใจและความมั่นใจ  ในกรณีเช่นนี้เด็กจะไม่ดูคนอื่น ไม่เจ้ากี้เจ้าการคนอื่นเหมือนที่ถามมา แต่เด็กจะสงสัยตัวเอง แคลงใจในความสามารถของตัวเองไปจนถึงสงสัยความมีอยู่ของตนเอง

อิริคสันเรียกว่า Doubt ความสงสัย ไม่มั่นใจ และหากปล่อยให้เป็นมากขึ้นๆ จนถึงอายุประมาณ 4-6 ขวบซึ่งเด็กจะพัฒนากล้ามเนื้อเล็กคือกล้ามเนื้อนิ้วมือทั้งสิบซึ่งอยู่ไกลที่สุดจากศูนย์กลางของร่างกายเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างละเอียด (fine motor) เพื่อรังสรรค์สิ่งใหม่ (Initiation)แต่กลับทำไม่ได้

ความสงสัยแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิด (Guilt) ที่ตนเองทำอะไรแทบไม่ได้เลยเพราะถูกห้ามอยู่ตลอดเวลา

เด็กที่มั่นใจในตนเองมากจนกระทั่งสามารถก้าวล่วงไปสังเกตพฤติกรรมของเด็กคนอื่นและแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยย่อมไม่มีความสงสัยในตนเองหรือความรู้สึกผิด

ในทางตรงข้ามเขามีสิ่งที่เรียกว่าเซลฟ์เอสตีม(self-esteem) คือรักตัวเอง มั่นใจในตัวเองและภาคภูมิใจในตัวเองมากพอที่จะเดินเข้าโรงเรียนโดยไม่ร้องไห้ หอบเสื้อผ้าไปนอนกับตายายโดยไม่เกรงกลัว แสดงออกว่าไม่พอใจที่เพื่อนๆ ที่โรงเรียนไม่ทำตามกติกา

ทั้งนี้เพราะเขาทำได้ ได้ทำ และมี EF มากพอที่จะควบคุมตัวเองให้ทำได้ด้วย เหล่านี้เริ่มต้นที่แม่มีอยู่และเอาจริงในเรื่องที่ควรเอาจริง

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล



 

"เพราะอะไรคุณหมอเอาจริงเอาจังกับการกินข้าวด้วยตัวเองของเด็กๆ"

2342

หลายบ้านเดินป้อนข้าวทั่วบ้าน ในสนาม ที่สนามเด็กเล่น เราพบเห็นเป็นประจำ ไม่มีอะไรรีบและถ้าจะอ้างว่าก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย ก็น่าจะใช่ เหตุเพราะโลกเป็นเช่นนั้นเอง

คือโลกที่มีงานรอให้ทุกคนเมื่อเรียนจบหรือเป็นผู้ใหญ่ งานส่วนมากไม่ซับซ้อน งานในออฟฟิศ โรงงานหรือในภาคเกษตรกรรม มีลักษณะการทำงานเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนสายพานในโรงงาน แม้แต่งานวิชาชีพ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกรรม สถาปัตยกรรม ฯลฯ ทำไปตามสายพานมาตรฐาน ผลงานก็จะดีได้ง่ายๆ

โลกเปลี่ยนไปแล้ว ตำรามิได้มีเพียงตำรามาตรฐาน มีความรู้นอกเหนือมาตรฐานคือถูกบ้างผิดบ้างอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต มีเคล็ดลับและหลุมพรางมากมายรอลูกๆ ของเราไปพบ ลักษณะงานก็เปลี่ยนไปแล้ว งานของทุกอาชีพหรือวิชาชีพมิได้ตรงไปตรงมาเหมือนเดิม มีความหลากหลายและซับซ้อนในตัวเอง มีการผนวกรวมของความรู้หลากหลายในงานหนึ่งๆ เสมอ คือโลกที่เด็กในวันนี้ต้องการสมองส่วนหน้าพรีฟรันทัลคอร์เท็กซ์(prefrontal cortex) ที่ดีในวันหน้า

สมองส่วนหน้าพรีฟรันทัลคอร์เท็กซ์เป็นชานชาลา(platform)ของ executive function(EF) คือทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ ซึ่งต้องอาศัยการควบคุมตัวเอง(self control)เป็นปฐม  ควบคุมตัวเองได้คือควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย คือเป้าหมายของงานและเป้าหมายของชีวิต

การควบคุมตัวเองเป็นองค์ประกอบของ EF ที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นในวัย 3-4 ขวบคือช่วงที่อิริคสันเรียกว่า autonomy อันเป็นช่วงเวลาที่กล้ามเนื้อเรียบควบคุมการขับถ่าย กล้ามเนื้อใหญ่ควบคุมแขนขา และกล้ามเนื้อเล็กควบคุมนิ้วมือพัฒนาอย่างรวดเร็ว เด็กๆ ค้นพบว่าตนเองมีพลังที่จะทำอะไรต่อมิอะไรได้สารพัด รวมทั้งการไม่กินข้าว

เล่นบนโต๊ะอาหาร ดูหน้าจอบนโต๊ะอาหาร อ่านการ์ตูนบนโต๊ะอาหาร ไปจนถึงเดินสุดสนามให้ผู้ใหญ่เดินตามป้อน จนกระทั่งกิจกรรมการกินข้าวกลายเป็นกิจกรรมที่ใช้เวลานานแสนนานกระทบกระเทือนตารางกิจวัตรของตัวเด็กเอง รบกวนจังหวะของนาฬิกาชีวิตภายในตัวเขาเอง ไปจนถึงสร้างความเสียหายทั้งทางหน้าที่การงานหรืออารมณ์ของคนอื่นในครอบครัว  อะไรที่ควรจะง่าย มีความสุข จบใน 30 นาทีกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ นาน และมีอารมณ์ต่อกัน

แต่ที่เสียหายร้ายแรงคือเด็กมิได้ถูกฝึกให้มีความสามารถควบคุมตัวเอง คือควบคุมตัวเองให้กินข้าวตามเวลาที่กำหนด ตรงเวลาและไม่ใช้เวลานานจนเกินไป และด้วยความที่การกินเป็นการหาความสุขทางปากตามจิตวิเคราะห์ การกินจึงเป็นปฐมบทของการสำรวจโลกและการพัฒนา หากเด็กคุมได้ เด็กจะคุมอย่างอื่นได้งายขึ้นตามลำดับ

การกินควรมีความสุข เวลากินควรเป็นเวลาที่มีความสุข มีเทคนิคหลากหลายที่เราจะทำให้ 30 นาทีของมื้ออาหารให้มีความสุข ด้วยการให้เด็กตักหรือเปิบข้าวกินเอาเอง

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล


 

พ่อแม่ต้องมีอยู่จริง ไม่เว้นแม้เด็กพิเศษ

2884

ลูกเป็นเด็กพิเศษ มีคนแนะนำต่างๆ นานา เช่น ให้ไปโรงเรียนจะได้เข้าสังคมได้ ให้อยู่บ้านก่อนเพื่อเตรียมความพร้อม หรือให้พาไปพบนักบำบัดบ่อยๆ จะได้ดีขึ้น สับสนมากเลยค่ะ เวลาก็มีเท่านี้ไม่รู้จะทำอะไรดี

เด็กพิเศษคือเด็กที่มีวิธีพัฒนาตนเองแบบพิเศษ

เขาไม่เหมือนเด็กทั่วไป แต่มิใช่ผิดปกติ ความข้อนี้อาจจะฟังดูเป็นปรัชญาแต่ถ้าเราเข้าใจข้อนี้ได้เร็วกว่าเราจะทำอะไรได้มากกว่า พลังงานในการพัฒนาตนเองไปข้างหน้าของคนเราคือ เซลฟ์เอสตีม(self esteem) คือความสามารถที่จะรู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง พอรู้ว่าตนเองทำอะไรได้ก็จะไปต่อไป

ลองนึกภาพตรงข้าม ตื่นเช้ามา “รู้สึก” ว่าตนเองทำอะไรก็มิได้ เช่นนี้จะไม่ไปไหน หมดพลังตั้งแต่ตอนเช้า เด็กที่ตื่นมารู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้างจะสนุกกับชีวิต รักตนเอง มั่นใจตนเอง ภูมิใจตนเอง เขาจะก้าวเดินไปด้วยวิธีของเขา ในวิถีของเขา บนถนนของเขา และเมื่อเขาไปแล้ว บ่อยครั้งที่เขาลากเอาความสามารถด้านอื่นๆ ติดตามไปด้วยอย่างช้าๆ  แน่นอนเขาไม่เหมือนเด็กทั่วไปแต่เขาจะ “รู้สึก”ดีกับตัวเอง

ไม่มีอะไรแย่เท่ากับความรู้สึกที่ว่าตัวเองมันแย่

ไปโรงเรียนแล้วทำอะไรไม่ได้ ถูกครูตำหนิหรือเพื่อนล้อเลียน หากโรงเรียนเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรไป ไปให้เขาทำลาย เซลฟ์เอสตีมเสียเปล่าๆ ถ้าจะไปโรงเรียนเราควรหาโรงเรียนที่คุณครูรู้งานและจัดการได้ ไปจนถึงหาครูการศึกษาพิเศษที่ใช้การได้ เรื่องสังคมไม่มีอะไรน่าห่วง เด็กจะเข้าได้เองโดยไม่ต้องสอนเมื่อเขา “รู้สึก” ว่าตนเองมีคุณค่าพอ

ไปหานักบำบัดบ่อยๆ เป็นเรื่องดีแน่ นักบำบัดที่เก่งๆ ทำเรื่องมหัศจรรย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรมบำบัด นักแก้ไขการพูด หรือนักกระตุ้นพัฒนาการ อย่างไรก็ตามหน้าที่เป็นของพ่อแม่เสมอนะครับ นักบำบัดที่ดีจะส่งมอบความสามารถที่จะดูแลลูกให้แก่พ่อแม่ และพ่อแม่ที่มีใจจะยอมรับหน้าที่ยิ่งใหญ่นี้มาเป็นของเราจึงจะเป็นพ่อแม่ที่ทำสำเร็จ การโยนงานทั้งหมดไปที่นักบำบัดโดยที่พ่อแม่แสดงออกให้เห็นได้ว่าไม่ทำหรือไม่อุทิศตัวมากพอ มักจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี

อยู่บ้านจึงเป็นเรื่องดีที่สุด เพราะบ้านคือวิมานของเรา บ้านควรเป็นสถานที่ที่เด็กพิเศษได้ซุ่มฝึกวิชาฝีมือโดยไม่ต้องเกร็ง พ่อแม่ที่มีอยู่จริง สายสัมพันธ์ที่แข็งแรง ตัวตนที่ชัดเจนและรักตนเอง ยังเป็นปัจจัยตั้งต้นที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตเสมอ  เด็กพิเศษก็ไม่ยกเว้น

เวลาที่บ้านมาก จะเปิดโอกาสให้เราลองผิดลองถูกได้มาก ค่อยๆ ค้นหาพื้นที่หรือลู่วิ่งที่เขาทำได้ ทำได้สักนิดแล้วเราอัดฉีดที่ตรงนั้นเขาจะไปได้เสมอ อาจจะช้าเป็นเต่าแต่เต่าก็จะถึงเส้นชัยอยู่ดี ถึงเร็วถึงช้าจะเป็นอะไรไป หากเราเริ่มวันนี้จะอย่างไรเขาก็จะไปถึงระดับดูแลตนเองได้ก่อนเราเสียชีวิต หรือพี่น้องรักกันช่วยเหลือกันได้ก่อนเราเสียชีวิต

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล

 

รักลูก The Expert Talk EP.110 (Rerun) : รักลูกเชิงบวก “สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง"

รักลูก The Expert Talk Ep.110 :  รักลูกเชิงบวก "สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง" 

เลี้ยงลูกให้ได้ดี ลูกต้องมี “SELF” เพราะตัวตนที่แข็งแกร่ง จะทำให้ลูกเติบโตและอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย มั่นคงและอยู่รอด

 

ชวนสร้าง SELF กับครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

ไม่อยากให้ลูก Self Esteem ต่ำ เปลี่ยนคำพูดต้องห้ามเป็นคำพูดสร้างสรรค์กันเถอะพ่อแม่

Self Esteem คือ-ลูก Self Esteem ต่ำ-Self Esteem คืออะไร-คำพูด 5 ที่ทำให้ลูก Self Esteem ต่ำ-พ่อแม่ใช้คำพูดขู่ลูก-พ่อแม่ชอบขู่ลูก-คำพูดของพ่อแม่ทำลูก Self Esteem ต่ำ-สอนลูกให้มี Self Esteem

ไม่อยากให้ลูก Self Esteem ต่ำ เปลี่ยนคำพูดต้องห้ามเป็นคำพูดสร้างสรรค์กันเถอะพ่อแม่

Self Esteem คือการรับรู้คุณค่าของตัวเอง ไม่ว่าคนจะสูงต่ำดำขาวอ้วนผอม เชื้อชาติอะไร เพศอะไร ทุกคนล้วนมีคุณค่า ในการเลี้ยงลูก คำพูดของพ่อแม่สามารถสร้างและทำลาย Self Esteem ของลูกได้เลยนะคะ ยิ่งลูกวัยอนุบาลกำลังกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ คำพูดของพ่อแม่ที่สร้างสรรค์จะช่วยพัฒนาด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคม ของลูกได้ค่ะ

คำพูด 5 ประเภททำลูก Self Esteem ต่ำ ที่ต้องเปลี่ยน

1. พ่อแม่ใช้คำพูดขู่ลูก มักเกิดในบริบทที่พ่อแม่ห้ามไม่ให้ลูกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และต้องมีการลงโทษลูกหากเขาไม่หยุดกระทำ เช่น

❌ ถ้าไม่หยุดขว้างของแม่จะไม่รักหนูนะ

❌ ถ้าไม่ยอมกินข้าวแม่จะปล่อยให้หนูอดตาย

เปลี่ยนคำขู่เป็นคำที่แสดงความรู้สึก เมื่อลูกไม่ยอมเชื่อฟัง แทนที่จะใช้คำพูดขู่ ลองเปลี่ยนไปใช้คำพูดที่สื่อความรู้สึกแท้จริงของพ่อแม่ว่ารู้สึกอย่างไร เพื่อให้ลูกรับรู้ความรู้สึกดีๆ และเข้าใจเหตุผลของสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ เช่น

✔ แม่รักลูกนะ แต่แม่ไม่ชอบที่ลูกทำแบบนี้

✔ แม่รักและอยากให้ลูกแข็งแรงมีสุขภาพดีแม่เลยต้องการให้หนูกินข้าวเยอะๆ 

2. พ่อแม่ไม่แนะนำสิ่งที่ควร เป็นคำพูดที่มาพร้อมกับอารมณ์บอกว่าสิ่งที่ลูกทำนั้นผิด แต่ไม่บอกให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง ที่เขาควรทำ เช่น

❌ หยุดพูดแทรกได้แล้วลูก...น่ารำคาญ

❌ อย่าซนได้มั้ยลูก...เล่นแบบนี้อีกแล้ว

เปลี่ยนเป็นอธิบายและให้เหตุผล เมื่อจะดุลูก หรือสั่งให้เขาหยุดทำอะไร ควรใช้การโน้มน้าวชักชวนเขาไปทำกิจกรรมอื่นที่เห็นว่าเหมาะสม จะเป็นการดีกว่าไปหยุดหรือเบรกเขากะทันหัน พร้อมทั้งแนะนำเขาด้วยว่าเขาควรไปทำอะไร เช่น

✔ แม่จะคุยธุระกับคุณย่า 2 คน หนูชวนพี่ตุ๊กตาหมีไปเดินเล่นก่อนดีมั้ยลูก

✔ สนามหน้าบ้านยังมีน้ำขังอยู่ พ่อว่าเราไปเล่นปลูกต้นไม้หลังบ้านกันดีกว่านะลูก

 

3. พ่อแม่ใช้คำพูดหลอกให้กลัว การหยอกล้อในสิ่งไม่สมควรทำให้ลูกกลายเป็นตัวตลก แม้เป็นเป็นความหวังดี ไม่อยากให้ลูกมีอันตรายก็ตาม เช่น

❌ เงียบนะลูก อย่าร้องไห้ เดี๋ยวแม่ให้ตำรวจมาจับเลย

❌ กิ๊วกิ๊ว... หนูหน้าตาไม่เหมือนพ่อแม่เพราะถูกเก็บมาเลี้ยงจากถังขยะ

เปลี่ยนคำหยอกล้อเป็นการอธิบายเหตุผล เด็กที่ถูกหลอกจะถูกลดทอนความภาภูมิใจ เขาจะเกิดคำถามและรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเขาหรือเขาไม่ดีพอสำหรับพ่อแม่ และลูกจะคำพูดประเภทนี้จนอาจติดความกลัว กลายเป็นความหวาดระแวงที่ติดอยู่ในใจเขาไปตลอด ควรเปลี่ยนเป็นการอธิบายเหตุผลของเหตุการณ์ต่างๆ อย่างแท้จริงจะดีกว่า เช่น

✔ หยุดร้องไห้เถอะนะลูก เดี๋ยวคอหนูจะเจ็บนะจ๊ะ

✔ ที่หนูหน้าตาไม่เหมือนพ่อกับแม่เพราะ... (กรรมพันธุ์) แต่หนูก็เหมือนคุณยายนะลูก

 


Self Esteem คือ-ลูก Self Esteem ต่ำ-Self Esteem คืออะไร-คำพูด 5 ที่ทำให้ลูก Self Esteem ต่ำ-พ่อแม่ใช้คำพูดขู่ลูก-พ่อแม่ชอบขู่ลูก-คำพูดของพ่อแม่ทำลูก Self Esteem ต่ำ-สอนลูกให้มี Self Esteem

4. พ่อแม่ที่เอาเอาตัวตนลูกมาตำหนิ การตำหนิที่ตัวตนลูกเมื่อลูกทำอะไรไม่ดี ไม่สำเร็จ โง่จริงลูก...

❌ ง่ายๆ แค่นี้ก็ทำไมได้

❌ เด็กดื้อ...ไม่น่ารักเลย

เปลี่ยนเป็นดุลูกที่การกระทำ ดุเมื่อลูกทำไม่ได้ต้องบอกเขาเลยว่าสิ่งที่เขาทำไม่ถูกต้องอย่างไร แล้วสิ่งที่เขาควรทำคืออะไร อย่าตำหนิที่ตัวตนลูกเพราะจะทำให้เขาไม่เกิดการเรียนรู้ เช่น

✔ เรื่องนี้ยากนะลูก หนูต้องค่อยๆ ฝึกทำ ค่อยๆ คิดเรียนรู้นะจ๊ะ

✔ การที่ลูกดื้อ ไม่ฟังแม่... ไม่ถูกต้องนะจ๊ะ หนูควรจะฟังเวลาที่ผู้ใหญ่พูดด้วยนะลูก

 

5. พ่อแม่ชอบเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น เรื่องของการเปรียบเทียบกับพี่น้อง หรือเด็กข้างบ้าน เช่น

❌ ทำไมยุกยิกจัง ไม่เรียบร้อยเหมือนลูกบ้านโน้นเลย

❌ พี่เรียนเก่งกว่าหนูอีกนะเนี่ย ทำไมหนูเรียนไม่เก่งเท่าพี่เลย

เปลี่ยนการเปรียบเทียบปรับให้เท่าเทียม คำเปรียบเทียบจะทำให้ลูกคิดว่าตัวตนเขาไม่มีค่าพอ หรือเขาไม่ดีพอ พ่อแม่จึงชอบเปรียบเทียบเขากับคนอื่น ดังนั้น เปลี่ยนเป็นการอธิบายหรือแสดงให้ลูกเห็นและเข้าใจว่า ‘ทุกคนเท่าเทียมกัน’ มีข้อดีและข้อเสียต่างกัน เพื่อให้ Self Esteem ของลูกแข็งแกร่ง เช่น

✔ ลูกบ้านโน้นเรียบร้อยจัง แต่ลูกแม่ก็ไม่กระโดกกระเดกและอยู่นิ่งๆ ได้เหมือนกันใช่มั้ยจ๊ะ

✔ พี่คิดเลขเก่งจัง แต่หนูก็ทำการบ้านภาษาอังกฤษถูกหมดเลยนะลูก

 

เพราะคำพูดแย่ๆ ส่งผลกระทบกับพัฒนาการลูก เพราะฉะนั้นทิ้งประโยคต้องห้ามเหล่านั้นเสียค่ะ ยิ่งในวัย 3-6 ปี เป็นวัยที่เริ่มเรียนรู้การเข้าสังคม ลูกเริ่มพัฒนาเรื่องการรู้คุณค่าในตัวเอง พ่อแม่รู้สึกอย่างไรกับเขา คือสิ่งที่จะส่งผลถึงเรื่องของความภาคภูมิใจในตัวเอง หรือ Self Esteem ของลูก