หากพูดถึงโรคเบาหวาน หลายคนมักนึกถึงโรคที่เกิดในผู้ใหญ่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเด็กก็สามารถเป็นโรคเบาหวานได้นะคะ และทุกวันนี้มีเด็กป่วยโรคเบาหวานค่อนข่างเยอะด้วย ซึ่งมีคุณแม่ที่มีประสบการณ์ตรง ได้มาแชร์เรื่องราวให้แม่ ๆ ได้อ่านและระวังกันด้วยค่ะ
คุณแม่น้องสมหวัง โพสต์ว่า... “อันนี้มาแชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกตัวเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อแม่ ๆ ได้ ลูกสาวคนโตเราตอนนี้ 12 ขวบ ตอนเค้าขวบกว่ากว่าเค้าชอบกินนมยี่ห้อหนึ่งที่เป็นขวดแก้วและหวานมาก ชอบกินมาก ความที่ยายรักหลานยายซื้อให้หลานกินทุกวัน ๆ ละขวดพอลูกอายุได้สองขวบกว่า ๆ ลูกเริ่มมีอาการแปลก ๆ ลูกชอบดื่มน้ำเยอะมาก พอดื่มเสร็จวิ่งเข้าห้องน้ำฉี่จะฉุนมาก กินเท่าไหร่ก็ไม่โต
เริ่มมีอาการเจ็บไข้เราเลยพาลูกเราไปหาหมอแล้วเล่าอาการให้ฟัง หมอไม่รอช้าจับลูกตรวจเลือดแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ลูกเราเป็นเบาหวาน เบาหวานในเด็กซึ่งไม่มีโอกาสหาย ครั้งแรกที่หมอบอกว่าลูกเราเป็นเบาหวานเราตกใจร้องไห้ทำอะไรไม่ถูก แต่เราโชคดีเราได้หมอดีดูแลลูกเราดีมาก ลูกเราต้องเช็กน้ำตาลทุกวัน วันละหกถึงเจ็ดครั้ง ฉีดยาทุกวันวันละสี่ครั้ง ทำแบบนี้มาแล้ว 10 ปี ที่เรามาแชร์เพราะอาจจะมีประโยชน์ต่อใครหลาย ๆ คน #เพราะเราเห็นแม่ท่านนึ่งโพสต์ถามเราเลยมีโอกาสได้แชร์ประสบการณ์โดยตรงของเราเอง หวังว่าโพสต์นี้จะมีประโยชน์ต่อใครหลายหลายคนนะคะ”
จากกรณีของคุณแม่เราจะพามารู็จักโรคเบาหวานในเด็กกันค่ะ โดยกลไกของโรคเบาหวานเกิดจากการขาดอินซูลิน หรือการทำงานบกพร่องของอินซูลิน หรือจากทั้ง 2 สาเหตุร่วมกัน ซึ่งเบาหวานในเด็กแบ่งเป็น 2 ประเภทที่พบบ่อยคือ
1. เบาหวานชนิดที่ 1
โรคนี้เกิดได้ในเด็กตั้งแต่อายุน้อย ส่วนมากมักไม่อ้วน ประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากมีการสร้างภูมิต้านทานตนเองมาทำลายเบต้าเซลล์ของตับอ่อนส่งผลให้ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินในร่างกายได้ผู้ป่วยจึงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
การรักษาเบาหวาน ชนิดที่ 1
ปัจจุบันการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 มีเพียงวิธีเดียวคือการฉีดยาอินซูลิน ควบคู่กับการรับประทานอาหารให้เป็นสัดส่วนให้เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของผู้ป่วยร่วมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม ยังไม่มีการรักษาด้วยยากินในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ปัจจุบันการฉีดยาอินซูลินมีหลากหลายแบบตั้งแต่ 2 - 4 ครั้ง/วัน หรือในบางรายอาจใช้การติดปั๊มอินซูลินไว้กับตัว (Insulin Pump) เพื่อให้มีการหลั่งอินซูลินเหมือนตามธรรมชาติของตับอ่อนมากที่สุด อย่างไรก็ตามจะเลือกใช้วิธีการฉีดยาแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้รักษาพิจารณาร่วมกับครอบครัวผู้ป่วยอีกที
2. เบาหวานชนิดที่ 2
ส่วนใหญ่มักเกิดในผู้ป่วยที่เข้าวัยรุ่นแล้ว โดยปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่ ภาวะอ้วน ปัจจัยทางพันธุกรรม อายุที่มากขึ้น เชื้อชาติ (Asian, Native American, African American, Latino, Pacific Islander) และประวัติการคลอดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยหรือมากกว่าปกติ กลไกเกิดจากการที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ร่วมกับตับอ่อนบกพร่องในการหลั่งอินซูลิน ปัจจุบันเนื่องจากสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมการกินที่เปลี่ยนไป เช่น การนิยมรับประทานอาหาร Fast Food ร่วมกับเด็กใช้เวลาไปกับมือถือมากขึ้นทำให้ขาดการออกกำลังกาย จึงส่งผลให้เด็กไทยเป็นโรคอ้วน และเบาหวานชนิดที่ 2 มากขึ้น
การรักษาเบาหวาน ชนิดที่ 2
ประกอบด้วยการการดูแลเรื่องอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการกินยาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด แต่ถ้าการรักษาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผลถึงพิจารณาให้การรักษาด้วยยาฉีดอินซูลินเพิ่มเติม
อาการแสดงของโรคเบาหวาน
ในกรณีที่เป็นรุนแรงจะพบภาวะเลือดเป็นกรด (Diabetic Ketoacidosis : DKA) ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึมลง หายใจหอบลึก ในรายที่เป็นรุนแรงอาจหมดสติ หรือมีภาวะขาดน้ำจนช็อกได้ ภาวะเลือดเป็นกรดมักเป็นอาการแสดงที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มักมีอาการอย่างช้า ๆ ไม่รุนแรงพบภาวะเลือดเป็นกรดได้น้อย มากกว่าร้อยละ 85 ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มักมีภาวะอ้วนร่วมด้วย และตรวจพบลักษณะดื้ออินซูลิน คือผู้ปวยจะมีรอยปื้นหนาสีดำขรุขระที่คอ รักแร้ หรือข้อพับ (Acanthosis Nigricans)
การป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีในการป้องกันเบาหวานชนิดที่ 1 ได้แต่เบาหวานชนิดที่ 2 อาจป้องกันโดยการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดภาวะอ้วน โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะ เด็ก ๆ ไม่ควรทานของหวานเยอะ เช่น น้ำอัดลม ขนม เป็นต้น และต้องออกกำลังกายเป็นประจำด้วยนะคะ