หน้าหนาวทีไร อากาศเปลี่ยนปุ๊บปั๊บแน่นอน ขนาดผู้ใหญ่ยังเริ่มฮัดเช้ยเป็นหวัดคัดจมูกกันเป็นแถว งานนี้ไม่ต้องพูดถึงเจ้าตัวเล็ก ถ้าดูแลสุขภาพลูกน้อยไม่ดีรับรองเจ้าโรคตัวร้ายมาถามหาแน่นอน ว่าแล้วก็มาดูกันดีกว่าว่า 5 โรคที่เจ้าลมหนาวจะหอบมามีอะไรบ้างหนอ
ไข้หวัดป่วนหนู
ไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่บริเวณเยื่อบุจมูก แพร่กระจายผ่านทางการจามและการสั่งน้ำมูก ส่วนเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดไข้หวัดใหญ่จะอยู่บริเวณเยื่อบุของระบบทางเดินหายใจ แพร่กระจายผ่านการไอ โดยการที่ลูกน้อยเป็นหวัดส่วนใหญ่จะเป็นการรับเชื้อไวรัสมาจากคนอื่น หรือรับเชื้อที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศ ซึ่งในฤดูหนาวเชื้อยิ่งแพร่ระบายเร็วเพราะเชื้อเติบโตเร็ว
- มีไข้ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม
- เวลามีไข้ร่างกายจะสูญเสียน้ำมากกว่าปกติควรให้ลูกดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- วัดอุณหภูมิเป็นระยะจนกว่าไข้จะลด
- เลือกเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ระบายอากาศดี แต่อบอุ่นให้ลูก
- ถ้าลูกมีไข้ต่ำไม่เกิน 38 องศาเซลเซียสไม่ควรให้ยาลดไข้ แต่ควรลดไข้ด้วยการเช็ดตัวโดยใช้ผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวโดยเฉพาะบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ
- ถ้าลูกมีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป ก่อนให้ยาลดไข้ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อความปลอดภัย
- หากให้ยาแล้วไข้ยังไม่ลดควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจรักษาอย่างถูกต้อง
รับมือหวัด
ในช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงที่เชื้อไวรัสแพร่กระจายและเจริญเติบเติบโตได้เร็ว ดังนั้นไม่ควรพาลูกออกไปในที่ที่มีคนอยู่เยอะ เพราะจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อให้ลูก นอกจากนี้คนในครอบครัวที่เป็นไข้หวัดก็ไม่ควรคลุกคลีกับลูกด้วย
ท้องร่วงเพราะไวรัสโรต้า
ในฤดูหนาวจะมีเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงในเด็กเล็กๆ ได้ค่อนข้างบ่อย ที่พบมากคือโรตาไวรัสซึ่งก่อให้เกิดโรคท้องร่วงรุนแรง และถึงแม้จะได้รับเชื้อไม่มากก็ก่อให้เกิดโรคได้ โดยโรคท้องร่วงที่เกิดจากเชื้อโรตาไวรัสมักจะพบในเด็กอายุตั้งแต่ 3 เดือน-2 ปี
- เด็กที่ได้เชื้อจะมีไข้ อาเจียน ถ่ายเหลว ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อที่รับเข้าไป
- เด็กที่มีอาการรุนแรงจะถ่ายมาก ส่งผลให้เสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายไปเยอะ โดยการสูญเสียน้ำจากท้องร่วงที่มีเกิดจากเชื้อโรตาไวรัสจะรุนแรงและค่อนข้างมาก
- ควรให้ลูกดื่มน้ำมากๆ เพื่อชดเชยน้ำที่เสียไป นอกจากนี้ต้องให้น้ำตาลเกลือแร่กับลูกด้วยเพื่อชดเชยเกลือแร่ที่เสียไป
- หากอาการลูกไม่ดีขึ้น ควรรีบพาไปพบคุณหมอทันที
รับมือท้องร่วง
เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดอาการท้องร่วงกับลูกน้อยจะติดเชื้อจากทางปาก จึงต้องดูแลรักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อมและอาหาร ล้างมือให้สะอาด ระวังอย่าให้ลูกหยิบสิ่งของเข้าปาก อีกวิธีป้องกันที่ได้ผลดีคือการฉีดวัคซีน โดยวัคซีนจะฉีดในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนโดยฉีด 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 หลังคลอด 6 สัปดาห์และครั้งที่ 2 ฉีดภายใน 6 เดือน
ปอดบวมต้องระวัง
โรคปอดบวมเกิดจากการติดเชื้อที่ปอด โดยติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย โรคนี้พบบ่อยในช่วงระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาว หรือตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนมีนาคม พบมากในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ติดต่อผ่านทางการหายใจ น้ำมูก และน้ำลาย
- อาการของปวดบวมคือ มีไข้ ไอ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจลำบาก นอกจากนี้ลูกจะงอแง ซึม
- บางรายอาการรุนแรงจะหายใจแรงจนจมูกบานหรือหน้าอกบุ๋ม และถ้าหลอดลมภายในปอดตีบอาจจะเกิดเสียงหายใจวี๊ด รายที่อาการรุนแรงมากอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
- อย่าปล่อยให้ลูกหายใจลำบากอยู่นานจะทำให้ขาดออกซิเจน รีบพาลูกไปพบคุณหมอ
รับมือปอดบวม
- หลีกเลี่ยงพาลูกน้อยไปในสถานที่ๆ มีคนมาก เช่นห้างสรรพสินค้า
- เลี่ยงเด็กจากควันบุหรี่ ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์
- ช่วงอากาศที่หนาวเย็นควรให้ลูกเสื้อผ้าที่อบอุ่น นอนห่มผ้าเสมอ
- ควรพาลูกไปพบคุณหมอเกี่ยวกับการฉีควัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรค
โรคหัดอย่ามองข้าม
เกิดจากเชื้อไวรัสรูบิโอลา พบมากในน้ำลายของผู้เป็นโรค ติดต่อง่ายและรวดเร็วจากการไอ จาม หายใจรดกัน หรือใช้สิ่งของร่วมกัน พบบ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ระบาดในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน
- อาการช่วงแรกหลังรับเชื้อโรคหัดไป 7 วัน มีอาการคล้ายไข้หวัด มีไข้สูงตลอดเวลา กินยาลดไข้แต่ไข้ไม่ลด ซึม งอแง ร้องกวน เบื่ออาหาร น้ำมูกใส ไอแห้ง บางรายทีอาการถ่ายเหลว และอาจชักจากการมีไข้
- ผื่นเริ่มขึ้น ลักษณะเป็นจุดแดงเล็กๆ ขนาดเท่าหัวเข็มหมุด เริ่มจากบริเวณตีนผม ซอกคอ ก่อนจะลามขึ้น ใบหน้า ลำตัว แขนขา อาจมีอาการคัน
- ผื่นจะขึ้นอยู่ 2-3 วันนับจากวันแรกที่ผื่นเริ่มขึ้นและจะจางลง โรคหัดส่วนใหญ่เป็นแล้วหายได้เอง
- ดูแลลูกปกติเหมือนเวลาป่วยเป็นไข้หวัด คือพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะ ๆ เช็ดตัวลดไข้ ไม่อาบน้ำเย็น ให้กินยารักษาตามอาการ
- ถ้ามีอาการไอ เสมหะข้น-เขียว หายใจมีเสียงวี๊ด(Wheeze) เพราะหลอดลมตีบควรพบคุณหมอ
รับมือโรคหัด
ควรหลีกเลี่ยงพาลูกไปยังสถานที่ที่มีคนมาก เช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับฉีดป้องกัน และหากมีอาการควรอยู่ในการดูแลของคุณหมอ
อีสุกอีใสแกล้งหนู
มักระบาดในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน จากเชื้อไวรัสชื่อวาริเซลลา หรือฮิวแมนเฮอร์ปี่ไวรัสชนิดที่ 3 ไวรัสนี้ติดต่อผ่านการหายใจ ไอ จาม สัมผัสถูกตุ่มแผลสุกใสโดยตรงหรือสัมผัสถูกของใช้ที่เปื้อนตุ่มแผลของคนเป็นโรค
- เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจะใช้เวลา 10-20 วันจึงเริ่มออกอาการ
- อาการเริ่มต้นคล้ายอาการไข้หวัดใหญ่ มีไข้ เบื่ออาหาร งอแง
- จากนั้นเริ่มมีผื่นแดง ก่อนเปลี่ยนเป็นตุ่ม มีน้ำใสภายในและคัน ตุ่มจะทยอยขึ้นทั่วตัวเต็มที่ภายใน 4 วัน ควรตัดเล็บลูกให้สั้นและใส่จำเป็นต้องใส่ถุงมือเพื่อกันลูกเกาซึ่งจะเป็นการทำให้เชื้อลุกลาม
- โรคนี้เป็นแล้วหายได้เอง แต่คุณแม่ต้องระวังอย่าให้เกิดโรคแทรกซ้อนกับลูกน้อย
- คุณแม่ควรดูแลรักษาลูกตามอาการ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ กินยาลดไข้ตามคุณหมอสั่ง
- ควรรีบพาลูกน้อยพบคุณหมอด่วนถ้าลูกรับเชื้อไวรัสเป็นอีสุกอีใสตอนอายุน้อยกว่า 4 สัปดาห์เพราะเด็กยังไม่มีภูมิต้านทานเสี่ยงจะเกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่ายหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
- หากลูกมีอาการผิดปกติเช่น ตุ่มแผลติดเชื้อ หายใจขัด ควรพาลูกพบคุณหมอ
รับมืออีสุกอีใส
- อย่าให้ลูกสัมผัสกับผู้ป่วยโรคสุกใส ควรแยกห้องนอนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วยอีสุกอีใส
- ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคสุกใส เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไปและฉีดซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ขวบ
ใส่ใจ รู้ทัน ป้องกันดี แค่นี้ลูกน้อยก็ไม่ต้องกลัว 5 โรคที่จะมากับฤดูหนาวแล้ว