
ทำอาหารให้ลูกน้อยทานว่ายากแล้ว การคิดเมนูให้ลูกน้อยในแต่ละวันนั้นยากยิ่งกว่า ไหนจะต้องคำนึงถึงสารอาหารที่ครบถ้วน ไหนจะกังวลว่ารสชาติอร่อยถูกปากลูกน้อยไหม วันนี้เราจึงขอนำเสนอเมนูที่ทำง่าย อย่างเมนูปลาน้อยคอยรักรับรองเลยว่าทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อลูกน้อยอย่างแน่นอน
ส่วนผสม
- ปลากะพงทั้งชิ้นแล่แล้วขนาด 2-3 นิ้ว 1 ชิ้น
- ถั่วเขียวเลาะเปลือกนึ่งสุก 1 ช้อนโต๊ะ
- ถั่วแดงต้มลอกเปลือกออก 1 ช้อนโต๊ะ
- ถั่วลิสงต้มลอกเปลือก 1 ช้อนโต๊ะ
- เห็ดฟางต้มสุกหั่นบางๆ 2 ช้อนโต๊ะ
- นมสด 1/2 ถ้วยตวง หรือนมที่ลูกดื่มชงน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่ากัน
- เนย 2 ช้อนชา
- เกลือ 1/8 - 1/4 ช้อนชา
ลงมือปรุง
- นำปลากะพงไปทอดหรือย่างพอสุก ตักใส่จานพักไว้
- ตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมันพืชหรือเนย นำถั่วและเห็ดลงผัด แล้วราดบนเนื้อปลา
- จากนั้นราดด้วยนม เติมเกลือแล้วนำไปอบในเตาไมโครเวฟ ประมาณ 3 – 5 นาที (ถ้าใช้เนยชนิดเค็มไปต้องเติมเกลือ)
* พลังงานรวม 255 กิโลแคลอรี
Tip : เคล็ดลับการทำเนื้อปลาไม่ให้เหม็นคาว คือฝานมะนาวครึ่งลูก ทาให้ทั่วเนื้อปลาแล้วพักไว้ เวลาจะนำไปปรุงอาหารไม่ต้องล้างออก

เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่มักไม่รู้เลยก็คือ ภูมิแพ้นั้นอยู่ใกล้ลูกมากกว่าที่คิด อย่างโรคจมูกอักเสบที่เด็ก ๆ มักเป็นกันบ่อย ๆ สาเหตุหลักก็มาจากภูมิแพ้เช่นกัน
อาการโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ บางครั้งดูเหมือนโรคหวัดธรรมดา เช่น มีน้ำมูกใส ๆ จาม คันจมูก คัดจมูก ไอกระแอม แต่ความจริงแล้ว จะมีอาการหนักเพิ่มขึ้นเมื่อในช่วงเวลาที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ อาจจะจามติด ๆ กันเป็นสิบ ๆ ครั้ง คัดจมูกมากจนนอนหลับไม่ได้ หรือมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้อีกมากมาย เช่น ไซนัสอักเสบ แก้วหูอักเสบ ต่อมอดีนอยด์โตจนนอนกรนดังมาก อาจถึงขั้นหยุดหายใจขณะนอนหลับได้
สารก่อภูมิแพ้ที่คนทั่วโลกรวมถึงเด็กไทยด้วย แพ้บ่อยที่สุด คือ “ไรฝุ่น” ซึ่งพบมากบริเวณที่มีฝุ่นปนเปื้อนอยู่ เช่น สิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้ตัวลูก ตุ๊กตา หมอน ที่นอน ผ้าห่ม เปรียบเสมือนภัยมืดที่อยู่ใกล้ตัวลูก ๆ ของเรา ดังนั้นหากลูก ๆ มีอาการคล้ายหวัด แต่เป็นเรื้อรัง เป็นมากขึ้น ๆ หรือมีภาวะแทรกซ้อนเมื่ออยู่ใกล้สิ่งของดังกล่าว ควรไปพบแพทย์โรคภูมิแพ้เพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรคที่ถูกต้องต่อไป
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
1. ตัวเด็กมียีนหรือพันธุกรรมที่แพ้สารก่อภูมิแพ้
2. สารก่อภูมิแพ้ต้องมาสัมผัสใกล้ชิดเด็ก
3. สภาวะที่เหมาะต่อการเกิดโรค เช่น มลภาวะ PM 2.5 ควันรถ/ บุหรี่ การดูแลสุขภาพที่ไม่ดี นอนดึก ไม่ออกกำลังกาย เครียด รับประทานอาหารไม่ครบถ้วน เมื่อมีครบทั้ง 3 ปัจจัย ก็จะเกิดโรคได้
วิธีการรักษา
หากรู้ว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ตัวใดและสามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็จะไม่มีอาการของโรคอีกเลย แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้และมีปัจจัยครบทั้ง 3 ข้อ จะเริ่มรักษา โดย การล้างจมูก ยาพ่นจมูก ยารับประทาน หรือในบางรายต้องได้รับวัคซีนภูมิแพ้ร่วมด้วยจึงจะควบคุมอาการได้
วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคภูมิแพ้

จากปัจจัยด้านพันธุกรรมมีผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะหากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคนี้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคนี้ 60 – 80 % ดังนั้นถ้าเลือกคู่ครองที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวได้ก็จะดีที่สุด แต่ถ้าเลือกไม่ได้แล้ว ควรจะต้องดูแลเด็กตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์ โดยไปฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มแรก ปฏิบัติตามที่สูติแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด พักผ่อนให้พอเพียงรับประทานอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ งดสูบบุหรี่และงดไปแหล่งที่มีมลภาวะสูง
เมื่อเด็กทารกคลอด ควรให้นมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก และให้ต่อไปจนอย่างน้อยอายุ 1 ปี หรือนานที่สุดเท่าที่จะให้ได้ อาหารเสริมควรเริ่มเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป ดูแลสิ่งแวดล้อมของเด็กให้ห่างจากมลภาวะและสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ
กรณีคุณแม่มีปัญหาสุขภาพหรือข้อจำกัดที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ คุณแม่อาจขอคำแนะนำจากแพทย์ในเรื่องของนมสูตรพิเศษ ที่เป็นสูตร Hypo-Allergenic (HA)ซึ่งมีโปรตีนผ่านการย่อยบางส่วน (partial hydrolysate formula) ร่วมกับ เติม Probiotics คือ เชื้อจุลลินทรีย์ชนิดดี เช่น Bifidus BL (B. lactis), LGG, L. reuteri เป็นต้น และอาจจะเติม Prebiotics คืออาหารของเชื้อจุลลินทรีย์ชนิดดี เช่น Lactose, GOS, IcFOS, 2’-FL เป็นต้น สุดท้ายแล้ว เมื่อเราดูแลลูกได้ดังที่กล่าวมาแล้ว คงทำให้เด็ก ๆ ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ลดลงได้บ้างไม่มากก็น้อย
อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check
#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

ขอบคุณข้อมูลจาก : นพ. วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ โรคหืด และ วิทยาภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลวิภาราม
พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

สำหรับบ้านไหนที่เบื่อเมนูเดิมๆ อยากหาเมนูที่ไม่ซ้ำจำเจ ให้กับลูกรัก ทำก็ง่ายแสนง่าย แถมได้คุณค่าครบถ้วน เป็นเมนูที่เหมาะกับเด็กวัยขวบขึ้นไป แนะนำ
มะกะโรนีน้ำใสเลยค่ะ
เครื่องปรุง
ไก่สับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
กุ้ง หลาหมึก หรือปลาที่ลูกไม่แพ้
มะกะโรนี 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุปไก่ 1/4 ช้อนโต๊ะ
หัวหอม / แครอต / มะเขือเทศ / ผักที่ลูกชอบ หั่นชิ้นเล็กๆ
ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ต้มมะกะโรนีจนสุกนิ่ม
2. นำน้ำซุปไก่ตั้งไฟ ใส่ไก่สับ เนื้อสัตว์ มะกะโรนี และผักที่เลือก ตามด้วยซอสปรุงรส ต้มต่อจนทุกอย่างสุกนิ่ม ยกลง ตักใส่ชามเสิร์ฟลูกได้เลย

มะระหวานหรือฟักแม้ว เป็นผักที่มีกากใย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ทั้งยังช่วยระบบขับถ่าย มีคุณสมบัติขับปัสสาวะได้ดีเยี่ยมเลยค่ะ เหมาะจะนำมาทำอาหารให้ลูกกินอย่างมาก และเมนูง่ายๆ อย่างมะระหวานผัดไข่ก็เป็นอีกเมนูที่ทำง่าย และรสชาติดีด้วย
ส่วนผสม
มะระหวานปอกเปลือกหั่นเต๋า 1 ลูก
ไข่ไก่ 2 ฟอง
กระเทียมสับ 2-3 กลีบ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา
วิธีทำ
- ตั้งกระทะ เทน้ำมันลงไป เจียวกระเทียมจนเหลืองหอม
- ตอกไข่ลง ยีจนแตก จากนั้นนำมะระหวานลงไปผัด
- ใส่ซอสปรุงรสและน้ำมันหอยลงไป ผัดจนมะระหวานสุก ตักใส่จานให้ลูกกินกับข้าวสวยร้อนๆ อิ่มอร่อยได้ทันทีค่ะ
รับมือเมื่อลูกเข้าสู่โลกดิจิตอล พ่อแม่ต้องรู้เท่าทันอย่างไร
ฟัง The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ
นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
เพื่อให้เรารู้เทคนิค วิธีการที่จะรับมือกับทั้งสื่อ จอ และ Content หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ใช้สื่ออย่างรู้เท่าทัน
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
รักมากไปทำร้ายลูก? รักจนสำลักความรัก ประคบประหงมจนไม่ให้ลูกทำอะไร ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก แต่มากไปก็ทำลายลูก
The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม
เลี้ยงประคบประหงม เด็กป่วยได้ง่าย (Munchausen Syndrome by Proxy)
เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูและดูแลสุขภาพแต่มีประเภทที่เยอะเกินไป มีเคสที่ลูกตกเตียงซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงตกตอนเที่ยงแต่พอตกเย็นก็พาลูกมาที่รพ. ให้หมอเช็กอย่างละเอียดเพราะว่ามีลูกคนเดียวและแม่ก็อ่านมาแล้วว่าเลือดที่ซึมออกมาจากในสมองมันจะไม่มีอาการ แต่อยากให้หมอรับรอง100% ว่าลูกไม่มีปัญหา หมอถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงคือเด็กตกเบาะเลี้ยงเด็กซึ่งกลิ้งแล้วหัวกระแทกพื้นไม่ปาร์เก้ลูกตกใจ ร้องไห้ เสร็จแล้วก็เล่นปกติ แต่ว่าแม่ไม่ไว้ใจ และอยากให้ทำMRI ซึ่งการทำกับเด็ก 9เดือนไม่ได้ง่าย แต่ด้วยความที่มีลูกคนเดียวและไม่พลาดไม่ได้เลยขอให้แม่ยืนยันซึ่งไแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย
การทำMRIเด็กต้องนิ่งมากซึ่งทางเดียวที่จะทำคือเพื่อให้เด็กหลับ แล้วฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดว่ามีปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็อาจจะต้องดมยา พอแม่ได้ยินก็บอกหมอว่าเต็มที่ไม่อั้นแต่คนเจ็บตัวคือลูก ลักษณะแบบนี้คือ Munchausen Syndrome by Proxy เครียดมากและวิตกกังวลมาก อาจจะมาจากการเห็นคนในบ้านป่วยจากประสบการณ์เดิม จึงตรวจหาความเสี่ยงของลูกทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพที่เยอะเกินไป
อีกเคสคือย่าเป็นมะเร็งไตแล้วเสียชีวิต แม่ต้องการทำRenal scan (การตรวจสแกนไต) ซึ่งทำไม่ได้ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้แม่ก็ไปเอาน้ำแดงมาผสมในปัสสาวะ แล้วให้หมอตรวจคือสำหรับหมอตรวจไม่ยากว่าเป็นน้ำแดงหรือเลือด แบบนี้คือทำให้เกิดเครียด วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ เครียดแล้วมาลงที่ลูก ผลที่เกิดกับลูกคือเกิดความหวาดระแวงไปกับแม่ ลูกซึมซับความหวาดระแวงจากแม่นี่คือในแง่ของสุขภาพ ลูกกังวล เครียดมาก
เลี้ยงแบบเร่งรัด เด็กต่อต้าน (Overstimulation)
ตอนนี้มีปัญหาเยอะเพราะด้วยระบบแพ้คัดออก เรียนทุกวัน ตื่นตั้งแต่ตีห้าเลิกเรียนก็กวดวิชาแล้วก็ติวกลับมาทำการบ้าน นอนตี1 ตื่นตี5วนไปแบบนี้ทั้งสัปดาห์ พอเสาร์อาทิตย์ก็กวดวิชาเช้าบ่าย หมอเคยเจอเคสรร.สาธิตชื่อดังพอลูกสอบเสร็จพ่อก็ให้ไปเรียนกวดวิชาที่ลงเรียนไว้ ลูกก็โมโหว่าทำไมไม่ถามว่าลูกอยากเรียนไหม เขาอาจจะอยากเล่นไวโอลิน อยากไปเที่ยว พ่อบอกว่าก็อยากจะเป็นหมอ ตอนที่มาหาหมอคือแม่ร้องไห้ พ่อความดันขึ้นเพราะว่าหวังดีแต่ทำไมเป็นแบบนี้
หมอก็ถามว่านี้เป็นเป้าของใครพ่อบอกว่าเป็นของลูก แล้วพอเราลงกวดวิชาเต็มที่แล้วแต่ลูกไม่ได้เป็นหมอจะเสียใจไหมพ่อบอกว่าไม่เสียใจเพราะว่าไม่ใช่เป้าของพ่อ เป็นเป้าของลูกและพ่อก็บอกว่าการที่พ่อจะทำให้ลูกคนหนึ่งมันผิดด้วยหรือ ซึ่งพอคุยไปพ่อก็บอกว่าผมไม่ได้อยากให้ลูกเป็นหมอเขาจะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รักและชอบและขอให้เป็นคนดี หมอก็บอกว่าพูดดีมากให้กลับไปบอกลูก ซึ่งหลังจากนั้นความดันในบ้านก็ลดลงมากเพราะที่ผ่านมาทะเลาะกันตลอด
ตอนนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่วางเป้าให้ลูกเรียบร้อยเลยแล้วลูกก็มีหน้าที่เดินตามเป้าและบอกตัวเองว่าการที่พ่อแม่ทำให้ลูกมันผิดด้วยเหรอ ไม่ผิดแต่เป็นเป้าของพ่อแม่หรือของลูก แล้วการที่ส่งสัญญาณว่าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ได้บอกตรงๆหรือยัง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ก็จะไม่เจอกับการเรียนแบบOverstimulationเร่งรัดบังคับจันทร์ถึงจันทร์ แต่จะได้ใจถึงใจ
เลี้ยงแบบสำลักความรัก (Over Indulgence/Spoiled Child)
มีบ้านไหนที่ลูกทำงานบ้านบ้าง นี่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้านเรามีเด็กเยอะที่ไม่ปัดกวาด ถูบ้านล้างจาน พ่อแม่สปอยทุกอย่างจนทัศนคติของลูกเปลี่ยนว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เขาไม่จำเป็นต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้าน ความรักไม่เกิดบนการร่วมทุกข์ร่วมสุข มีแต่สุขอย่างเดียว เด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นเพื่อนมนุษย์
เวลาจะรักใครก็รักแบบฉาบฉวย พ่อแม่ไม่รู้ตัวว่ากำลังพัฒนาลูกไปเป็นแบบนั้นไม่สามารถรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรนเปรอให้ทุกอย่าง นี่คือการสปอยล์ รักเยอะ ผิดหวังไม่ได้ เจอกับความผิดหวังก็เบรคเลย ไปไกล่เกลี่ยก็ลงเอยด้วยการใช้ความรุนแรง พ่อแม่ต้องรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่มีแต่ความสุข ปรนเปรอแต่ความสุขเจอความยากลำบากไม่ได้ ต้องเจอความยากลำบากร่วมกันง่ายๆ คือ ปัดกวาด ถูกบ้าน ซักผ้า ล้างจาน
เลี้ยงขาดพื้นที่ส่วนตัว เด็กเกิดความเครียด (Parenting Enmeshment)
หมอเคยเจอบ้านที่ไม่ดูทีวีจนอายุ 18ปีจะใช้เครื่องมือสื่อสารไม่ได้ เมื่อเข้าบ้านห้ามใช้ใช้ได้อย่างอิสระเมื่ออายุ 18ปีขึ้นไป ลูกมีห้องส่วนตัวแต่ปิดไม่ได้เพราะว่าพ่อสามารถ เข้าไปดูได้ทุกเมื่อสามารถไปดูแชทส่วนตัวได้ มีเคสที่แม่ลูกชายอายุ 14ปี ยังอาบน้ำกับแม่ขาดพื้นที่ส่วนตัวมาก ถ้าบ้านไหนทำอยู่ให้กลับมาตั้งหลักใหม่
ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่อยากทำอะไรก็ได้เป็นความเข้าใจผิดการให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีของลูกจึงมีนัยยะแม้ลูกโตมาถึงชั้นประถมไม่ต้องรอถึงมัธยม การที่พ่อไม่จับที่สงวนของลูกเลย เคารพในพื้นที่ส่วนตัว ลูกจะเกิดการเรียนรู้เลยว่าขนาดคนเป็นพ่อยังเคารพพื้นที่ส่วนตัว แล้วคนอื่นที่เป็นคนนอกจะมารุกล้ำได้อย่างไร ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้จะสอนด้วยการท่องจำหรือ
การที่พ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะเป็นสิ่งที่ติดตัวลูกเมื่อโตขึ้น อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นไหน อยากให้ลูกเป็นคนเคารพพื้นที่ส่วนตัวก็ต้องทำแบบนั้นกับลูกเช่นเดียวกัน ศรัทธาและสัจจะของลูกมีความหมาย วันนี้เราไม่มั่นใจลูกเลยก็ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นจากพลังบวก เช่นเดียวกันเด็กที่โตมาในครอบครัวที่เข้มงวด ก็จะขาดความมั่นใจไม่เหลือเลย ขาดภาวะผู้นำไม่มีsense of propority การเคารพพื้นที่ส่วนตัวไม่มีถูกล่อลวงโดยไม่รู้ตัวและเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
เด็กจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้ จุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการ รู้วิธีรับมือและพลิกเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมพัฒนาทักษะลูก เพื่อให้เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ดีของลูก
ฟังมุมมองการรับมือวัยทองแต่ละช่วงวัยจาก The Exeprt ครูก้า กรองทอง บุญประคอง
ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตต์เมตต์
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
เลี้ยงลูกให้ได้ดี ลูกต้องมี “SELF” เพราะตัวตนที่แข็งแกร่ง จะทำให้ลูกเติบโตและอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย มั่นคงและอยู่รอด
ชวนสร้าง SELF กับครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร
อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
เด็กปฐมวัยทั่วประเทศมีพัฒนาการล่าช้า 25% หลังสถานการณ์โควิดยิ่งทำให้พัฒนาการของเด็กล่าช้า และถดถอยไปมากกว่าเดิม
ความรักความหวังดีจากพ่อแม่ และครูที่ไม่เข้าใจพัฒนาการและปัญหาที่แท้จริง ยิ่งซ้ำเติมปัญหาพัฒนาการของเด็กให้มากยิ่งขึ้น แล้วเราจะทำกันอย่างไร เพื่อฟื้นฟูวิกฤตซ้อนวิกฤตนี้
ชวนคุยกับ The Expert ครูหวาน ธิดา พิทักษ์สินสุข นายกสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย
รู้วิกฤต รู้ปัญหาและเห็นทางออกเพื่อฟื้นฟูพัฒนาการให้เด็ก
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
#รักลูกPodcast
#รักลูกTheExpertTalk
#Moms_Issues
ผลลัพธ์ของการเลี้ยงทั้ง 3แบบเด็กจะเป็นอย่างไร หากกำลังเลี้ยงลูกแบบ 3 วิธีการนี้ ลูกจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร และต้องปรับแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างไร ฟัง The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม
เราเลี้ยงลูกบนความไม่เข้าใจบางเรื่องเป็นความปรารถนาดีอยากให้ลูกมีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ความปรารถนาบางครั้งต้องให้ลูกเจอความผิดหวัง เช่น ลูกผิดหวังไม่ได้เลยก็ต้องสอนให้ลูกผิดหวังบางครั้งพ่อแม่เจ็บปวดที่ลูกร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งหวังซึ่งไม่ผิด แต่เราปรับจูนความเข้าใจกันว่าจะมีจังหวะไหนที่ผ่อน จังหวะไหนที่ตึงบางเรื่องแล้วทำให้พ่อแม่รู้เท่าทันว่าบางเรื่องเราต้องถอยบางเรื่องรักษาระยะห่างเป็นการเรียนรู้ร่วมกันแต่จะผิดคือบกพร่องหน้าที่พ่อแม่
เลี้ยงปกป้องเกินไป เด็กขาดความมั่นใจ (Over Protection)
เป็นหน้าที่พ่อแม่ที่ต้องปกป้องลูกแต่ถ้ามากเกินไปมีปัญหาคือไม่ปกป้องเลย เช่น ตอนเป็นเด็กลูกร้องไห้ ปัสสาวะ อุจจาระราดที่บอกว่าเด็กร้องไห้ไม่ต้องสนใจ จริงๆแล้วเด็กอายุน้อยกว่า 6เดือนไม่มีมารยาไม่มีอารมณ์ไม่มีเงื่อนไขแต่รู้สึกไม่สบายตัวจึงร้องไห้ออกมา พ่อแม่ต้องรีบไปดูทันทีเพื่อปกป้องแต่พ่อแม่ไม่ทำนี่คือบกพร่องต่อหน้าที่ หิวก็ปล่อยลูกร้องอายุน้อยกว่า 6เดือน ซึ่งถ้าน้อยกว่า6เดือนไม่มีเงื่อนไขนอกจากหิวไม่สบายตัวจริงๆ
หรือที่ชัดกว่านี้คือเมื่อเด็กมีอารมณ์แต่พ่อแม่น็อตหลุดแทนที่จะเป็นการปกป้องกลายเป็นทารุณกรรมนี่เป็นปัญหา ซึ่งมีหลากหลาย Under Protection แย่ บกพร่อง มีปัญหา และ Over Protectionก็มีปัญหา เช่น เด็กที่ไปเที่ยวแล้วก็ถามว่า “รู้ไหมชั้นลูกใคร” แล้วพ่อแม่ตามไปปกป้อง แม้กระทั่งลูกทำผิดกฎหมายก็ยังเข้าข้าง ปกป้องคุ้มครองจนไม่รู้รับผิดชอบชั่วดี
หรือกรณีที่ด็กอนุบาลแกล้งกันเด็กจบแล้วแต่พ่อแม่ไม่จบบิวท์อารมณ์กันผ่านSocial mediaใช้อารมณ์ของลูกเป็นตัวตั้งจนยกพวกตีกันในรร.อนุบาล แต่ลูกกำลังเห็นโมเดลว่าพ่อแม่กำลังทำอะไร คือยิ่งมีลูกน้อยลงพ่อแม่จะรักแบบเทหมดใจ ซึ่งดีแต่มันเยอะเกินไปผลคือเด็กไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
เลี้ยงอ้วน เด็กเอาแต่ใจ (Overfeeding)
คำว่าอ้วนเอาแต่ใจมาจากระดับโภชนาการและเรื่องการซื้อของ มีอันจะกิน มีข้าวกิน มีอาหาร มีของครบตามความจำเป็นหมวดนี้คือการบริโภคนิยมและทุนนิยมอ้วนเอาแต่ใจ เป็นประเภทที่เยอะ แต่ถ้าบกพร่องคือข้าวไม่มีกินคือเกิดปัญหาเราเห็นเด็กที่มีปัญหาภาวะขาดอาหารทุพภาวะโภชนาการ ส่วนอีกกลุ่มตรงกันข้ามคือ มีอันจะกิน กินทิ้งกินขว้าง กินไม่เลือก กินได้ตลอดเวลา จึงขึ้นว่าอ้วนเอาแต่ใจ
มีเคสหนึ่งที่พ่อจบป.เอกถามหมอว่าสอนให้ลูกหัดผิดหวังให้เป็น แล้วถ้าลูกผมดูดขวดนมอย่างสร้างสรรค์แล้วจู่ๆ จะให้ยกเลิกการดูดขวดนมอย่างสร้างสรรค์ก็เท่ากับว่าผมไปบล็อกความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งลูกอายุ 8ขวบแล้วหมอตกใจมากที่ยังดูดนมอยู่คือไม่ต้องคิดว่าอ้วน ฟันผุ ฟันเหยินหรือไม่ หมอจึงบอกพ่อคนนั้นว่าเป็นหน้าที่ของพ่อไหมต้องสอนให้ลูกหัดผิดหวังให้เป็น หรือพอจะตอบหมอได้ไหมว่าจะอยู่จนชั่วชีวิตลูกจะหาไม่ไหม
Overfeed คือการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นการผิดหลักEQทั้งหมดจะเห็นว่าเด็กเอาแต่ใจ ยับยั้งอารมณ์ไม่ได้ ไม่ซื้อของลงไปดิ้นกลางห้าง โตมาหน่อยก็กรี๊ดสนั่นหรือพ่อแม่ที่ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมไม่อั้นลูกก็ซึมซับ ปากเราพูดอย่างแต่เราทำอีกแบบ ลูกเห็นว่าพ่อแม่ก็ไม่ยั้งตัวเองจับจ่ายอย่างสนุกซื้ออาหารเต็มที่เพราะว่ารวย กินทิ้งกินขว้างไม่มี dog bag คือเหลือเอาเก็บมากิน ลักษณะนี้เรียกว่า อ้วนเอาแต่ใจ มีปัญหาEQ โตมาเป็นคนที่บริโภคนิยมทุนนิยมใช้เงินซื้อทั้งหมดเราคงไม่อยากฝึกลูกให้เป็นแบบนี้ การยั้งตัวเองแล้วทำให้ดูมีประสิทธิภาพ กว่าใช้ปากพูดแล้วสอนให้ลูกเป็นแต่วิธีการทำเป็นอีกแบบมันทำไม่ได้พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบ
เลี้ยงอวดรวย (Multiple homes)
หลักการคือการไม่มีบ้านก็เป็นเด็กเร่ร่อนคือบกพร่องไม่มีบ้านอยู่ ส่วนมีหลายบ้านคือมีทั้งบ้านและคอนโด จันทร์ถึงศุกร์อยู่คอนโดเสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน ผลคือลูกไม่รู้จักข้างบ้าน ไม่มีการร่วมทุกข์ร่วมสุข ซึ่งเมื่อก่อนเราเติบโตมาเป็นชุมชนมีรากเหง้าเราจะเรียนรู้ซึมซับร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับชุมชนจะรักและเรียนรู้รากเหง้าของเราเองว่าเราเป็นคนจังหวัดนี้ พอย้อนกลับไปก็ภูมิใจว่าบ้านเราเมื่อก่อนเจริญแต่เด็กยุคนี้ไม่มี
การอยู่หลายที่ทำให้ความรักในรากเหง้าการเรียนรู้อยู่ในชุมชนจะอ่อนแอไปด้วย ผลลัพธ์คือโตเป็นคนจับจด เปลี่ยนที่ได้ง่ายเวลาเข้ามาทำงานก็ทำงานตามค่าตอบแทนที่สูงกว่า ความมั่นคงในจิตใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขในองค์กรไม่มี อาจจะบอกว่านี่เป็นเทรนด์ใหม่ของโลกก็เพราะสถานการณ์บีบบังคับจึงทำให้ได้เทนรด์ใหม่ของโลกในลักษณะนี้ แต่เราจำเป็นต้องเติมไม่งั้นจะเป็นประเด็นเกิดขึ้นได้แน่นอน
สร้างวิถีใหม่ปรับเปลี่ยนแนวทางการเลี้ยงลูก
1.เรียนรู้ว่าความรักกับความถูกต้องคนละเรื่องกัน รักลูกก็จริงแต่ผิดลูกก็ต้องเรียนรู้ไม่ปกป้องแม้จะผิด
2.ต้องระมัดระวัง มีบันยะบันยัง วิธีการคือเราเองต้องเป็นต้นแบบที่ดี ทั้งการเลือกกิน เลือกซื้อของ คือหลักพอเพียง หัดเบรคตัวเองมีแล้วหรือยังลูกก็จะเรียนรู้ว่าพ่อแม่ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย
3.ต้องเปิดใจให้ลูกเรียนรู้ อยู่ร่วมกับการมีหลายบ้านให้รักรากเหง้าทำให้ลูกเป็นผู้ให้ในหมู่บ้าน ชุมชนในคอนโด ก็จะทำให้เกิดการรักรากเหง้าร่วมทุกข์ร่วมสุขในชุมชนได้
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
เปิดศึกกลางบ้าน ไม่มีทีท่าว่าจะสงบและยังเกิดขึ้นถี่ๆ บ้านไหนเป็นแบบนี้ ชวนฟังวิธีแก้ 3 ปัญหาน่าหนักใจ เพื่อไม่ให้กระทบพัฒนาการระยะยาว ได้แก่ ติดจอ, ก้าวร้าวเอาใจ, นิ่ง เนือย เฉื่อยชา ฟังดูเป็นเรื่องยากแต่แก้ไขได้
ฟังแนวทางจากครูก้า กรองทอง บุญประคอง ผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตต์เมตต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย
จะทำให้พ่อแม่มองเห็นปัญหา เข้าใจพัฒนาเจ้าตัวเล็ก และเห็นแนวทางแก้ที่ไม่ยากเกินไป
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

ลูกชอบกินไข่มากแต่กินไปหลายฟองจะดีต่อสุขภาพมั้ย แล้วเด็กกินไข่ได้วันละกี่ฟอง มาหาคำตอบกัน
ลูกชอบกินไข่มาก แต่เด็กกินไข่ได้วันละกี่ฟองกันนะ
เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้วนะคะ ว่ากินไข่วันละ 1 ฟอง ดีต่อร่างกาย แต่ถ้าเด็ก ๆ ชอบกินไข่มาก เมนูไข่จะกินได้เยอะ ทั้งไข่ออมเล็ต ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่เจียว ไข่คน เรียกว่าขอเมนูไข่ วันละ 3 มื้อ ได้เลย กินไปหลายฟองแบบนี้ พ่อแม่คงกังวลว่ากินไข่มากไปจะดีต่อสุขภาพลูกหรือเปล่า และเด็กกินไข่ได้วันละกี่ฟองกันนะ มาไขข้อสงสัยกันค่ะ
ประโยชน์ของไข่ ที่ดีต่อเด็กวัยกำลังโต
- ไข่มีโปรตีนสูง ไข่ 1 ฟอง จะมีโปรตีนอยู่ถึง 6 กรัม จึงถือเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เหมาะสำหรับคนทุกวัย
- ไข่มีธาตุเหล็ก ที่ช่วยสร้างเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- ไข่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท ไข่ 1 ฟอง มีโคลีน มากถึง 20% เพียงพอต่อร่างกาย จึงทำให้สมองและระบบประสาทแข็งแรง
- ไข่มีแคโรทีนอยด์ ช่วยในการมองเห็น บำรุงระบบจอประสาทตา
- ไข่มีวิตามินสูง ช่วยเสริมการทำงานของระบบสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี

ปริมาณไข่ ที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ
กรมอนามัยสนับสนุนให้เด็ก ๆ กินไข่ วันละ 1 ฟอง รวมถึงกลุ่มวัยอื่น ๆ ด้วย ดังนี้
- เด็กอายุ 6 เดือน ให้กินไข่แดงต้มสุกครึ่งฟอง บดผสมกับข้าวในปริมาณน้อย ๆ
- เด็กอายุ 7-12 เดือน ให้กินไข่ต้มสุกวันละครึ่งฟอง
- เด็กวัยก่อนเรียน 1 – 5 ปี เด็กวัยเรียน แม่ตั้งครรภ์และแม่ให้นม ผู้ใหญ่กลุ่มวัยทำงาน และผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี สามารถกินไข่ได้เฉลี่ยวันละ 1 ฟอง
- สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ ไม่ควรกินไข่เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ หรือตามคำแนะนำของแพทย์
ไข่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ แตี่ถ้าเรากินไข่ร่วมกับอาหารแปรรูปอื่น ๆ ที่มากเกินไปเช่น กินไข่ดาวกับไส้กรอก แฮม เบค่อน บ่อย ๆ ก็อาจทำให้ได้รับไขมันส่วนเกิน หรือหากให้ลูกกินไข่อย่างเดียวเด็ก ๆ ก็อาจเป็นโรคขาดสารอาหาร เนื่องจากสารอาหารจากไข่เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ควรให้ลูกกินไข่แต่พอดี และต้องกินให้หลากหลาย ครบ 5 หมู่ ด้วยค่ะ
นอกจากนี้ เด็กเล็ก แม่ตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไม่ควรกินไข่ดิบ หรือไข่กึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ไข่ดอง ไข่ดาวไม่สุก ไข่ต้มยางมะตูม เพราะนอกจากร่างกายจะดูดซึมโปรตีนจากไข่ได้น้อยแล้ว ไข่ดิบยังอาจมีเชื้อซาโมเนลลา (Salmonella) ปนเปื้อนได้อีกด้วย ซึ่งเจ้าเชื้อนี้เป็นตัวการให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรง และบางคนอาจถึงขั้นเสียชีวิตจากการติดเชื้อซาลโมเนลลาได้เลย
ลูกพูดช้า ไม่ใช่พัฒนาการปกติ ต้องรีบแก้ไข
เมื่อลูกพูดช้า แบบไหนจะเรียกว่าพัฒนาการด้านภาษาและการพูดเป็นไปตามปกติ แบบไหนถึงเรียกว่าพัฒนาการด้านภาษาและการพูดไม่เป็นไปตามปกติ พ่อแม่จะป้องกันและดูแลได้อย่างไร
พัฒนาการด้านภาษาและการพูดตามปกติ
1-4 เดือน ส่งเสียงอ้อแอ้ สนใจเสียงผู้ที่มาคุยด้วย คุ้นเคยกับเสียงคนใกล้ชิด
5-6 เดือน ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ เริ่มหันหาเสียงและเลียนเสียงผู้อื่น
9-12 เดือน เริ่มพูดได้เป็นคำพยางค์เดียว ให้ท่าทางสื่อความหมายร่วมด้วย
1-1.5 ปี มีการโต้ตอบชัดเจน สามารถทำตามคำสั่งได้ เริ่มพูดคำที่มีความหมายได้
1.5-2 ปี พูดได้ 50-80 คำ เริ่มรวมคำ เข้าใจคำสั่งที่ยากขึ้น
2-3 ปี สามารถพูดเป็นประโยคได้ ตอบได้ พูดคุยสื่อสารรู้เรื่องมากขึ้น
แบบไหนเรียกว่าพูดช้า
6-10 เดือน ไม่ส่งสัญญาณการพูด ไม่หันมาตามเสียง ไม่เลียนแบบ
12 เดือน พูดได้แต่เสียงสระไม่มีเสียงพยัญชนะ เช่น อินอ้าว(กินข้าว) แอ้(แม่) อ้อ(พ่อ)
15 เดือน ไม่เข้าใจความหมายของคำง่ายๆ เช่น สวัสดี บ๊ายบาย
18 เดือน พูดคำที่มีพยางค์เดียว เช่น หิว กิน ได้น้อยกว่า 10 คำ 2 ปี พูดคำที่มีความหมาย 2 พยางค์ต่อกันไม่ได้ เช่น ไม่เที่ยว ไม่เอา
1-2 ปี ไม่เริ่มการสื่อสารและไม่เข้าใจคำถามหรืออาจจะพูดไม่หยุด แต่ไม่สื่อสารในเรื่องเดียวกัน
2 ปี 6 เดือน พูดอธิบายสื่อความหมายไม่ได้ 3 ปี พูดยังไม่เป็นประโยค อธิบายความหมายไม่ได้
3 ปี ไม่บอกความต้องการ ไม่เข้าใจและไม่เคยใช้ประโยคคำถาม หรืออาจจะพูดเป็นภาษาสคริปต์ ที่ไม่ใช่ภาษาของเด็กวัยเดียวกัน
สาเหตุของความผิดปกติของพัฒนาการด้านภาษาและการพูดของเด็ก
- ความผิดปกติของร่างกาย
- ความผิดปกติจากโรคทางพันธุกรรม
- ภาวะออทิสติก
- พัฒนาทางภาษาผิดปกติ
- ขาดการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม เช่น ปล่อยลูกไว้ตามลำพังไม่มีคนพูดคุยด้วย หรือเมื่อลูกพยายามพูดแล้วผู้ใหญ่ไม่ตอบสนอง
- สมาชิกในบ้านพูดกันมากกว่า 2 ภาษาขึ้นไป อาจทำให้ลูกเกิดความสับสนว่าจะเลือกพูดภาษาไหนดี และอาจจะทำให้ไม่เข้าใจภาษาที่พูดอย่างถ่องแท้ได้
- คุณแม่ที่สั่งอย่างเดียว หรือให้เด็กดูทีวีมากเกินไป เหล่านี้เป็นการสื่อสารทางเดียวก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ค่ะ
พ่อแม่แก้ไขได้
ส่งเสียง ขยับปาก - คุณแม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกทำตามได้ดีที่สุด เวลาพูดกับลูกแม่ควรย่อเข่าหรือนั่งลงให้ลูกได้สังเกตหน้าและปากของแม่เวลาพูด หรือให้ลูกส่องกระจกดูว่าคำที่เขาพูดไม่ชัดนั้นเขาทำปากอย่างไร และช่วยแก้ไขโดยให้เขาทำปากตามแม่ ที่สำคัญคุณแม่ควรพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ดังหรือค่อยจนเกินไป และไม่พูดช้าหรือเร็วจนเกินไปด้วย
ชีวิตประจำวันเป็นแบบฝึกหัดที่ดี - เรื่องรอบๆ ตัว คุณแม่สามารถนำมาช่วยกระตุ้นให้ลูกพูดได้ทั้งนั้นค่ะ เช่น การฟังเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ให้เด็กเรียกชื่อสิ่งที่ได้ยิน และควรใช้สิ่งของจริงจะช่วยในการหัดพูดได้ดี เพราะจะช่วยให้ลูกทั้งจำสิ่งของและพูดได้ด้วย
บรรยากาศก็สำคัญ - จัดสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ให้ลูกบ้าง เพื่อช่วยในการเรียนรู้ เช่น พาลูกไป หรือชวนคุยเมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจ ควรสอนแทรกไปในกิจวัตรประจำวันและสอนให้บ่อย ถ้าให้ลูกได้มีโอกาสเล่นกับเด็กวัยเดียวกันบ้างก็จะช่วยให้การพูดพัฒนาเร็วขึ้น ส่วนเด็กบางคนไม่มั่นใจที่จะพูดกับผู้ใหญ่ คนแปลกหน้าแบบนี้บทบาทสมมุติช่วยได้ ลองหาตุ๊กตาให้ลูกเล่นสักตัวเป็นเพื่อนเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกได้นะคะ
อย่าสื่อสารทางเดียว - การถาม-ตอบเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ถ้าลูกถามว่า "ทำไม" "อะไร" ควรตอบลูกให้ละเอียด เช่น เมื่อลูกถามว่า "นี่เรียกว่าอะไร" ไม่ควรตอบว่า "แมว" เท่านั้น อาจขยายความต่อว่า "แมวมีสีเทา หางยาว มีสี่ขา" การสื่อสารทางภาษาแบบนี้จะช่วยให้ลูกรับข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้นค่ะ ให้กำลังใจ
อย่าหักโหม - อย่าลืมให้กำลังใจลูกทุกครั้งที่ลูกสามารถพูดได้แล้ว สิ่งสำคัญคืออย่าใช้ท่าทีก้าวร้าวรุนแรงกับลูก ต้องเข้าใจว่าความสามารถทางการพูดของลูกนั้นจะขึ้นอยู่ตามระดับอายุ อย่าหักโหมในการสอนเกินไป อ่านสนุก
กระตุ้นการพูดได้ด้วย - คุณแม่ลองหยิบหนังสือภาพสวยๆ มาอ่านให้ลูกฟังดูสิคะ ขณะที่อ่านนั้นลองให้ลูกชี้ภาพให้ตรงกับคำถามของแม่ เช่น นกอยู่ตรงไหน หลังจากนั้นผลัดให้พ่อแม่เป็นฝ่ายชี้ภาพแล้วถามคำถามให้ลูกตอบบ้างว่า ภาพนี้คืออะไร ร้องอย่างไร กำลังทำอะไรอยู่ ลูกน่าจะค่อยๆ พูดได้แล้วค่ะ
ถ้าสำรวจดูแล้วว่าเราช่วยเหลือลูกอย่างดี แต่ลูกก็ยังมีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ช้าอยู่ ก็น่าจะลองพาลูกไปปรึกษากุมารแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางพัฒนาการเด็กเพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง หรืออาจจะไปปรึกษานักแก้การพูดเพื่อช่วยฝึกพูดต่อไปค่ะ
อ้างอิง : RAMA CHANEL

แนะวิธีดูแลผิวหนัง และบรรเทาผดผื่นให้ลูกอย่างถูกต้อง
Q : ลูกชายอายุ 1 ปี 2 เดือน เป็นผดผื่นที่ต้นแขน ลำคอ หลัง ส่วนอื่นไม่เป็น ควรใช้แป้งเด็กที่กันผดผื่นทาไหม ต้องทาเยอะหรือไม่ กลัวว่าเนื้อแป้งจะไปอุดตันปิดตรงตุ่มเล็กๆ ค่ะ และถ้าใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดถูตรงบริเวณที่เป็นผื่นจะดีไหม
A : ลูกอายุ 1 ปี 2 เดือน เป็นผื่นผด ผื่นแดงเล็กๆ บางครั้งจะมีน้ำใสๆ เล็กๆ ที่ยอดผื่น บริเวณที่เป็นบ่อยโดยเฉพาะหน้าร้อน คือ ต้นแขน ลำคอ หน้าอก หลัง ถ้าเป็นมากจะเป็นที่ใบหน้าบริเวณไรผม เพราะอากาศร้อนร่างกายจะระบายความร้อนทางต่อมเหงื่อ ถ้ามีเหงื่อออกมากแต่ผิวหนังมีอะไรไปอุดตันท่อเปิดของต่อมเหงื่อ ก็จะทำให้เกิดการอักเสบเป็นผื่นแดงดังกล่าว
การดูแลผิวหนังที่เกิดผดผื่นที่ดีที่สุด
- การช่วยลดความร้อนในร่างกายโดยหมั่นอาบน้ำ (แช่น้ำ) ให้ลูกสบายตัว
- ใส่เสื้อผ้าเนื้อบางๆ เบาๆ
- อยู่ในที่ที่อากาศเย็น เช่น ที่ๆ มีลมโกรก ห้องปรับอากาศหรือมีพัดลมช่วยระบายความร้อน
ควรใช้แป้งเด็กที่กันผดผื่นทาไหม?
การทาแป้งจะไม่ค่อยช่วยในการรักษาผด ถ้าทามากไป แป้งโดนกับเหงื่อจะเป็นก้อน ถ้าอยู่ในบริเวณซอกคอ รักแร้ ข้อพับ ก็จะเกิดการเสียดสีเกิดผื่นแดงได้ ถ้าลูบไล้บางๆ เพื่อลดการเสียดสีก็อาจใช้ได้ แต่ไม่ควรเขย่าโรยแป้งลงไปบนตัวเด็ก เพราะฝุ่นแป้งอาจฟุ้งเข้าจมูกเด็ก เกิดโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจตามมา ถ้าเด็กที่เป็นผด มีอาการคัน หลังอาบน้ำหรือใช้ผ้าเย็นชุบเช็ดตัวแล้ว อาจใช้ยาแป้งน้ำคาลาไมน์ช่วยลดอาการคันได้บ้าง
ข้อมูลโดย : พญ.สุจิตรา วีรวรรณ

วิธีจัดการลูกอารมณ์รุนแรง ชอบทำร้ายตัวเองและคนอื่น
พฤติกรรมเด็กชอบเอามือตีหัวตัวเอง เอาหัวชนฝาผนัง และชอบกัดคนอื่นเวลาไม่ได้ดั่งใจ พ่อแม่ควรทำอย่างไร เรามีคำแนะนำมาฝากค่ะ
การที่เด็กในวัย 1-3 ปี แสดงพฤติกรรมที่ค่อนข้างรุนแรงเมื่อไม่ได้ดั่งใจนั้น มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยค่ะ
ปัจจัยที่สำคัญได้แก่
1.เด็กยังระบายความโกรธไม่เป็น
เพราะการระบายความรู้สึกโกรธที่ดีที่สุด คือการพูด ดังนั้นในเด็กที่อายุยังไม่ถึง 2 ขวบซึ่งภาษาก็ยังไม่ได้พัฒนามากพอที่จะพูดระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหมดทั้งมวลออกมาได้ ก็จะระบายความโกรธออกมาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น ร้องไห้ ลงไปนอนดิ้นกับพื้น หรืออาจหนักถึงขนาดที่ทำร้ายตัวเองหรือคนอื่นได้เช่นกันค่ะ
2.เด็กใช้พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเครื่องต่อรอง
หากเด็ก ๆ ของเราเรียนรู้ว่าเมื่อเขาแสดงพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว ผู้ใหญ่มีท่าทีตระหนกตกใจ หรือกลายมาเป็นยอมตามใจเขา ไม่ว่าจะเพราะกลัวเด็กจะเครียดหรือเพื่อตัดรำคาญก็ตาม เด็กๆ ก็จะเรียนรู้ว่าหากอยากที่จะเอาชนะเราแล้วละก็ มีเพียงวิธีเหล่าเท่านั้นที่ได้ผล และแน่นอนค่ะว่ายิ่งทำแล้วได้ผลมากเท่าไหร่ เด็กๆ ก็จะยิ่งเกิดความชำนาญ และสุดท้ายเขาอาจกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาหัวโขกกำแพง หรือการกัดคนอื่นในที่สุด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขนาดที่จะเป็นโรคอะไรนะคะ นั่นหมายความว่า การดูแลอย่างถูกวิธีสามารถทำให้พฤติกรรมเหล่านี้หายไปได้ค่ะ โดยสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำในตอนนี้ได้แก่
-ควรห้ามลูกทุกครั้งเมื่อเขาทำรุนแรง : การห้ามในที่นี้คงไม่ใช่แต่เพียงพูดกับลูกว่า "อย่ากัดแม่นะลูก มันเจ็บ" หรือ "อย่าตีตัวเองสิคะ" เท่านั้นนะคะ แต่เราต้องเข้าไปจับมือเขาไว้เมื่อเขาตีตัวเอง จับหัวเขาไว้ไม่ให้โขกกำแพง และดันตัวเขาออกไปทุกครั้งเมื่อเขากัดเรา เพราะหากเราเพียงแค่พูดเฉยๆ เด็กๆ จะเข้าใจว่าเราไม่ได้เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ และรับรองค่ะว่าเขาจะทำอีกแน่นอน
-สอนวิธีระบายความโกรธที่ดีกว่านี้ : ดีที่สุดคือสอนให้เด็กรู้จักพูดเมื่อตัวเองโกรธ แม้เด็กจะไม่สาธยายความโกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวของตัวเองออกมาได้ทั้งหมด แต่การพูดว่า "ไม่เอา" หรือ "โกรธ" ออกมาได้ ก็อาจจะช่วยให้เขาลดการทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นลงได้
แต่หากในกรณีที่เขายังไม่สามารถพูดคำเหล่านี้ออกมาได้ คุณแม่อาจต้องยอมปล่อยให้เขาร้องไห้ หรือลงไปดิ้นกับพื้นแทน ต้องจำให้ขึ้นใจเลยนะคะว่าเด็กสามารถที่จะโกรธได้ เพียงแต่ต้องระบายออกมาในวิธีที่เหมาะสม และไม่ควรบอกเขาว่า อย่าร้อง ห้ามโกรธ หรืออย่างอแง เพราะว่านั่นคือการฝืนธรรมชาติของมนุษย์ จะทำให้เขากลายเป็นเด็กเก็บกดในที่สุด
และที่สำคัญห้ามตามใจเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หมอย้ำบ่อยมาก เพราะเด็กจะใช้พฤติกรรมเหล่านี้เพื่อมาต่อรองกับเรา
ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำสิ่งที่รุนแรงแค่ไหน คุณแม่ก็เพียงแต่จับเขาไว้และก็ต้องยืนยันว่ายังไงเขาก็จะไม่ได้ของที่เขาต้องการ ในกรณีที่น้องอายุไม่มาก เราอาจใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจให้เขาสนใจสิ่งของหรือกิจกรรมอื่นแทนได้ค่ะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การปรับพฤติกรรมลูกสำเร็จหรือไม่ ก็คือผู้ปกครองต้องมีความสม่ำเสมอและห้ามใจอ่อนเด็ดขาด (รวมถึงคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายที่อยู่ที่บ้านด้วยนะคะ) หรือหากคุณแม่ลองทำดูแล้วไม่ประสบผลสำเร็จอาจพาน้องไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อลองมองหาสาเหตุอื่นหรือการรักษาเพิ่มเติมได้ค่ะ