
ลูกติดเกมมาก พอเตือนก็โมโหขึ้นคำหยาบใส่พ่อแม่ ครั้งสุดท้ายกำหมัด
มาถึงขั้นนี้แล้ว ควรยอมรับว่าเราไม่สามารถแก้ไขได้ในเร็ววันอีกต่อไปแล้ว การดึงปลั๊กออกเป็นเรื่องห้ามทำเพราะอาจจะก่ออันตรายได้ทั้งต่อเราและต่อตัวเขาเอง พึงระลึกว่าเกมเป็นเสาค้ำจุนชีวิต เราจะถอนออกได้ต่อเมื่อเราได้สร้างเสาอื่นทดแทน
เกมทำให้ความสามารถที่จะทำงานที่น่าเบื่อ เช่น ท่องหนังสือ หรือ ทำงานบ้าน กลายเป็นเรื่องยากเพราะวงจรประสาทได้วางตัวเองใหม่แล้ว และสมองได้ตัดแต่ง (pruning) ตนเองเพื่อความเชี่ยวชาญในเกมโดยเฉพาะ จะเป็นโจทย์ที่เราแก้ไขได้ยาก จำเป็นต้องสละเวลามาก
1.นั่งลงประชุมกับเขาดีๆ ว่าเราจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างเกมและการเรียน (ไม่ได้ให้เลิก ให้รักษาสมดุล)
2.ช่วยกันทำตารางกิจวัตร ได้แก่เวลาเล่นเกม เวลาการบ้าน เวลาท่องหนังสือ เวลาทำงานบ้าน และเวลาเที่ยวกับเรา ทั้งหมดนี้เราจำเป็นต้องสละเวลาช่วยเขากำกับตัวเอง แปลว่าเล่นเกมด้วยกัน อยู่ใกล้ๆยามเขาทำการบ้าน สอนทำวานบ้านแล้วทำงานบ้านด้วยกันเสมอ และบริหารเวลาให้ได้ไปเที่ยวด้วยกันมากกว่าเดิม ไม่ทำทั้งหมดนี้ด้วยการสั่ง เราจำเป็นต้องทำด้วยกันเสมอ
3.ยินยอมให้สัดส่วนของเกมในตารางกิจวัตรมีมากกว่าที่ควรในตอนเริ่มต้น เรามิได้เจตนาจะลดเกมลงทันที ที่เราต้องการมากกว่าคือสร้างพ่อแม่ที่มีอยู่จริงขึ้นมาใหม่ สายสัมพันธ์ที่ดีกว่าแข็งแรงกว่าเดิม และตัวตนที่เขาต้องการจะรักษาเอาไว้ ไม่เลือนหายไปในเกมมากจนเกินไปท่องไว้เสมอว่าเรากำลังหาสมดุลใหม่ สมดุลใหม่นั้นจะค่อยๆ มา อาจจะกินเวลา 3 เดือนถึง 1 ปี เราก็จะรอ
4.ทำบ้านให้น่าอยู่ หยุดบ่นและซื้อใจเขาให้ได้ เกมคือสถานที่ที่เขามี autonomy ได้ทำ ได้ทดลอง และได้เรียนรู้ โดยไม่มีใครบ่นอยู่ข้างหู เราต้องทำให้บ้านมีสภาพเดียวกัน คือเป็นสถานที่ที่เขาได้ทำ ทำได้ ได้ลองผิดลองถูก และได้เรียนรู้ มิใช่อะไรๆก็ไม่ให้ คำก็บ่นสองคำก็ด่า ดังนั้นพ่อแม่ต้องนั่งลงคุยกันเองให้เรียบร้อยการงานของตนเองจำต้องเสียหายบ้างก็ต้องยอมแล้ว ควรยอมรับว่าถึงเวลาเราต้องใช้ทุนคืนแล้ว
5.ไปพบแพทย์ ยาที่ถูกต้องจะช่วยได้มาก งานจะง่ายขึ้นคุณหมอจะให้ยาอะไรขึ้นกับว่าคุณหมอตรวจสภาพจิตพบอะไรและวินิจฉัยอะไร ลูกอาจจะมีอารมณ์เศร้า หรือโรคอื่น หรืออย่างไม่มีอะไร คุณหมอก็สามารถให้ยาที่ช่วยลดความหุนหันพลันแล่นและเพิ่มความยับยั้งชั่งใจได้ สมัยใหม่จิตเวชศาสตร์มียารักษาอาการทุกอย่าง ปัญหาคือผู้ป่วยไม่ยอมพบแพทย์เสียมากกว่า
ถ้าลูกโตมากแล้ว เราไม่สามารถบังคับลูกไปพบแพทย์ได้ และถึงจะบังคับได้ก็ไม่สามารถบังคับให้กินยาได้ ดังนั้นเราจึงเหลือวิธีเดียวคือสานสัมพันธ์กับเขาใหม่ ทำบ้านให้น่าอยู่ ทำตัวเองให้น่าฟัง เพื่อให้เขาไว้ใจเราอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นรอเวลาที่เขาจะยอมรับแก่ตนเองว่าเขาเป็นทุกข์ที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ หรือพบความยากลำบากของการเรียน การทำการบ้าน การสอบ ด้วยตนเองแล้วร้องขอความช่วยเหลือ
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์และนักเขียน ขวัญใจพ่อแม่ชาวโซเชียล
เข้าใจก่อนทำไมลูกติดเกม…อยากอยู่กับเพื่อน อยากเล่นอะไรที่ท้าทายเพราะต่อบล็อกไม้แบบเดิมก็เบื่อแล้ว
ชวนพ่อแม่ฟัง The Expert หากจะเล่นเกมจริงๆ จะต้องเลือกอย่างไร แบบไหน ใช้หลักการอะไร ก่อนที่จะถลำเข้าไปสู่ปัญหาเด็กติดเกม
ฟังแนวทางและวิธีให้เด็กห่างจากเกมโดย The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ
นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
ลูกจะเลิกติดมือถือได้ พ่อแม่ต้องเริ่มจาก 5 ข้อนี้
ทำได้! ลูกพัฒนาการกลับมาดี
พ่อแม่ติดหน้าจอมือถือ ทำร้ายลูกไม่รู้ตัว เป็นปัญหาที่พยายามหาทางแก้กันหลายครอบครัวเลย เนื่องจากลูกติดหน้าจอมือถือ ไม่ให้เล่นก็ร้องไห้ข้ามวัน สุดท้ายใจอ่อนยื่นให้เล่นอยู่ดี เพราะแบบนี้ก็เลยแก้กันไม่หาย ขอบอกว่าวิธีการแก้ไขต้องเริ่มจากพ่อแม่ก่อนนะคะ พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก
- พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้ได้ก่อน
พ่อแม่ต้องคิดเสมอนะคะ ว่าอยากให้ลูกเป็นแบบไหน พ่อแม่ต้องทำให้ได้ก่อน เพราะพฤติกรรมที่เราทำ ลูกอาจจะเลียนแบบได้ตลอด เช่น ชอบเล่นโทรศัพท์ตลอดเวลา แล้วมาเรียกร้องให้ลูกอย่าติดมือถือ มันดูย้อนแย้งเกินไป ฉะนั้นพ่อแม่ต้องทำให้ได้ด้วยค่ะ ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กก้มหน้า พ่อแม่ก็ต้องไม่มัวแต่ก้มหน้านะคะ
- พาทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ห่างจากหน้าจอ
พาลูกทำกิจกรรมครอบครัวในทุก ๆ วัน หรือจัดตารางกิจกรรมประจำสัปดาห์ที่ต้องทำ เช่น อ่านหนังสือนิทาน เล่นเกมตัวต่อ ไปปลูกต้นไม้ ไปเที่ยวนอกบ้าน เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมที่หลากหลาย และฝึกทักษะที่จำเป็น พ่อแม่เองก็ร่วมทำกับลูกด้วย ที่สำคัญทำให้ลูกห่างหน้าจอได้

- เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง อย่าให้หน้าจอเป็นพี่เลี้ยง
แน่นอนค่ะ ว่าการปล่อยให้ลูกอยู่หน้าจอ ลูกจะนิ่ง เงียบ ไม่กวนใจ แต่ผลเสียคือลูกติดจอ ส่งผลต่อพัฒนาการได้ในระยะยาว ฉะนั้นอย่าเอามือถือมาเป็นพี่เลี้ยงลูกนะคะ วิธีแก้ปัญหาเมื่อลูกว่าง คือพูดคุยกับลูกให้เยอะ ๆ เช่น วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ลูกทำอะไรบ้างลูกอยากทำกิจกรรมอะไรไหม และเล่าเรื่องของพ่อแม่ให้ลูกฟัง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
- พ่อแม่ต้องตามยุคดิจิทัลให้ทัน
โลกโซเชี่ยลเหมือนดาบสองคม หากจำกัดพื้นที่ให้ลูกเรียนรู้ตามวัยได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าปล่อยให้ลูกท่องโลกโซเชียลโดยไม่ดูแล ก็อาจส่งผลเสียได้แบบคาดไม่ถึง เช่น ตั้งค่ายูทูบสำหรับเด็ก วิธีตั้งค่า YouTube สำหรับเด็ก หรือ ร่วมเล่นไปกับลูกด้วย คอยถาม คอยแนะนำ จะได้รู้ว่าลูกกำลังดูสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ พ่อแม่ต้องตามให้ทันนั่นเอง
- ต้องมีกฏที่แหกไม่ได้ ฝึกระเบียบที่เด็ดขาด
พ่อแม่ควรสร้างกติกาของครอบครัว ควบคุมเรื่องเวลา หรืออาจมีข้อตกลงร่วมกัน เช่น มื้ออาหารห้ามใช้มือถือ ให้เล่นได้แค่ 4 ชั่วโมง แบ่งครึ่งเช้าและครึ่งบ่าย แล้วไปทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วย ข้อนี้พ่อแม่อย่าหวั่นไหวเมื่อลูกร้องไห้ โวยวาย อยากเล่นต่อ ไม่มีการต่อรอง ให้หนักแน่นเข้าใจ หากลูกเสียใจให้ดึงลูกมากอดไว้ และบอกกติกาอีกครั้ง ทำแบบนี้ประจำลูกจะค่อย ๆ เข้าใจได้เอง

แม้พ่อแม่จะปกป้องลูกไปตลอดไม่ได้ แต่ช่วงวัยเด็ก วัยกำลังเรียนรู้สิ่งรอบตัว อะไรที่ควรรู้เป็นไปตามวัย เราก็ต้องให้ลูกได้รับให้มากที่สุดนะคะ และ 5 วิธีนี้ไม่ยากเลย แถมเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรทำด้วยค่ะ อยากให้ลูกเติบโตพัฒนาการสมวัย ก็ต้องดูแลกันตั้งแต่ยังเล็ก ๆ นะคะ

เด็กติดเกมเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากนะคะ ล่าสุดองค์การอนามัยโลก ได้บรรจุอาการผิดปกติในการเล่นเกม หรือการติดเกม เป็นโรคชนิดหนึ่งแล้ว เพื่อให้ผู้ปกครองตระหนักถึงปัญหา หากลูกเป็นโรคติดเกมขึ้นมาอย่าเอาแต่โทษลูกอย่างเดียว ให้ตั้งคำถามกับตัวเองก่อน ว่าลูกยังเล็กอยู่ใครยื่นเทคโนโลยีให้ลูก ใครยื่นสมาร์ทโฟนให้ลูก ใครกันไม่ควบคุมลูก และอีกหลายคำถามที่พ่อแม่ต้องถามตัวเองก่อน เพื่อที่จะได้แก้ไขให้ถูกจุด
- พ่อแม่ต้องปรับทัศนคติ
พ่อแม่ต้องปรับทัศนคติตัวเองก่อน ว่าโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 9 ขวบ ให้คิดว่าสมาร์ทโฟน แทบเล็ต ก็เป็นอุปกรณ์ที่ยังไม่ปลอดภัย ยังไม่ควรให้ลูกใช้จนกว่าจะถึงวัยที่เหมาะสม
- อย่าให้มือถือเป็นพี่เลี้ยงลูก
การให้ลูกเล่นสมาร์ทโฟน ลูกจะอยู่เงียบๆ ไม่กวน การปล่อยให้มือถือเป็นพี่เลี้ยงลูกแบบนี้ คุณกำลังเป็นพ่อแม่ที่ทำร้ายลูกอยู่นะคะ และกำลังส่งเสริมให้ลูกติดมือถือแบบทางตรงเลย หากลูกเล็กๆ ติดเกม ติดมือถือ นั่นไม่ใช่ความผิดลูกเลย
- เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก
ไม่ให้ลูกเล่น แต่พ่อแม่จะเล่นเกมอย่างสนุกสนานต่อหน้าลูกไม่ได้นะคะ พ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็จะเป็นแบบนั้น การเป็นแบบอย่างที่ดี จะช่วยสร้างรากฐานระเบียบวินัยให้กับเด็กๆ ได้ด้วย อย่าเป็นสังคมก้มหน้าในครอบครัวเลยนะคะ
- หากิจกรรมทำกับลูกเสมอ
การสร้างรากฐานที่ดีให้กับลูกช่วงปฐมวัยสำคัญที่สุด การส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมที่หลากหลาย และฝึกทักษะที่จำเป็น ต้องเริ่มจากพ่อแม่ ที่ต้องทำกิจกรรมร่วมกับลูก จะเป็นกิจกรรมในบ้าน หรือนอกบ้านที่มีความเคลื่อนไหวก็ได้ ลูกจะสนุกและมีความสุขกับพ่อแม่มากกว่ามือถือแน่
หากปล่อยให้ลูกเล่นมือถือไปแล้ว นี่คือวิธีสังเกตลูกว่าติดเกมหรือไม่
-
มีความต้องการที่จะเล่นมากขึ้น ชอบต่อรองการเล่น และเพิ่มเวลาในการเล่นมากขึ้น
-
ขอเล่นเกมที่ยากขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น ขอใช้เครื่องที่มีความเร็วและแรงขึ้น
-
เด็กเริ่มตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่คุยกับพ่อแม่ ไม่เล่นกับเพื่อนฝูง ไม่เข้าสังคม หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เด็กในวัยนี้ควรทำเลย
-
เคยกินนอนเป็นเวลา ก็จะไม่ยอมกิน ห่วงเล่นเกม ไม่นอนก็ได้ กระสับกระส่าย อยากเล่นเกม
-
โกรธ เมื่อจำกัดเวลาในการเล่นหรือห้ามเล่น มีพฤติกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น ขว้างข้าวของ อารมณ์เปลี่ยนแปลง ภาวะจิตใจเปลี่ยน
เด็กเล็กติดเกมหรือมือถือ ต้องโทษพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างเดียวเลยค่ะ เพราะพ่อแม่เป็นคนหยิบยื่นให้ลูกเอง และเด็กติดเกมตั้งแต่เล็ก ๆ มีแนวโน้มจะติดเกมระดับรุนแรงเมื่อโตขึ้นด้วย สิ่งที่เด็กจะขาดคือ “โอกาส” และ “ทักษะ” ที่จำเป็นอีกหลายด้าน อย่าให้ลูกเล่นมือถือเลยนะคะ
ข้อมูลจาก : ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เตือน! เด็กติดเกม สู่โรคซึมเศร้า เรียนรู้คำแนะนำก่อนลูกคิดฆ่าตัวตาย
ลูกติดเกม ทำอย่างไรดี? คุณพ่อคุณแม่หลายท่านข้อความเข้ามาถามทางรักลูกบ่อยครั้ง เล่าถึงปัญหาว่าลูกไม่ยอมไปโรงเรียน หรือโดดเรียนไปเล่นเกม มีพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อไม่ยอมให้เล่นเกม
วันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลของโรคติดเกม พร้อมวิธีรับมือเมื่อลูกติดเกมมาแนะนำค่ะ
โรคติดเกม องค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดให้ความผิดปกติจากการเล่นเกมหรือติดเกม เป็นอาการทางสุขภาพจิตร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษา และได้ถูกบัญญัติให้เป็นโรคชนิดหนึ่ง เรียกว่า ภาวะการติดเกม จัดอยู่ในกลุ่มโรคย้ำคิดย้ำทำ และต้องการการบำบัดรักษา จากสถิติทั่วโลกพบว่าเด็กติดเกมจะมีผลเสียต่อสุขภาพ
วิธีสังเกตลูกว่าติดเกมหรือไม่?

สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกน้อยวัยไม่กี่ขวบเริ่มติดเกมจนกลายเป็นปัญหา และต้องการแนวทาง “การช่วยเหลือ” ที่ชัดเจนจากผู้ปกครอง
- มีความต้องการที่จะเล่นมากขึ้น ชอบต่อรองการเล่นและเพิ่มเวลาในการเล่นมากขึ้น
- ขอเล่นเกมที่ยากขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น ขอใช้เครื่องที่มีความเร็วและแรงขึ้น
- เด็กเริ่มตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่คุยกับพ่อแม่ ไม่เล่นกับเพื่อนฝูง ไม่เข้าสังคม หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เด็กในวัยนี้ควรทำเลย
- เคยกินนอนเป็นเวลา ก็จะไม่ยอมกิน ห่วงเล่นเกม ไม่ทำการบ้าน ไม่นอนก็ได้ นั่งเล่นดึกดื่นได้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย อยากจะตื่นมาเล่นเกม
- โกรธ เมื่อจำกัดเวลาในการเล่นหรือห้ามเล่น มีพฤติกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น ทุบตีพ่อแม่ ขว้างข้าวของ อารมณ์เปลี่ยนแปลง ภาวะจิตใจเปลี่ยน มีพฤติกรรมก้าวร้าวกับพ่อแม่และคนรอบข้างได้
4 โรคแทรกซ้อนจากพฤติกรรมการติดเกม
-
สายตาสั้น การจ้องจอนานๆ จะมีผลต่อสายตา เพราะแสงและสีของภาพที่ฉูดฉาด การเคลื่อนที่เร็ว จะส่งผลให้เด็กๆ เป็นโรคสายตาสั้น และยังทำให้ปวดกล้ามเนื้อตา ตาอักเสบได้
-
ขัดพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ เพราะเด็กๆ จะใช้นิ้วกดเล่น มีการเกร็งกล้ามเนื้อมือและแขน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต้นคอ ไหล่ กล้ามเนื้ออักเสบ ส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่
-
การสื่อสารบกพร่อง การมองแต่จอโดยไม่สนใจหรือมองสิ่งรอบข้าง ทำให้เด็กสื่อสารทางเดียว มองทางเดียว เล่นคนเดียว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง พูดช้าลง หรืออาจนำไปสู่การเป็นโรคสมาธิสั้นได้
-
โรคอ้วน การที่เด็กๆ มองแต่จอ และนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานวันละหลายชั่วโมง ไม่มีการออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย มีภาวะเครียดจากการเล่นเกม ต้องการเอาชนะ ทำให้กระบวนการทำงานของร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดโรคอ้วนและอาจนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้