คนอยากมีลูก มีลูกยากต้องไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์วัดไหนถึงจะมีลูกสมใจ เรารวบรวม 10 วัดไหวะพระขอลูกสำหรับคนอยากมีลูกมาไว้ให้แล้ว
10 วัดไหว้พระขอลูก มีลูกยาก อยากมีลูกต้องรีบไปก้มกราบ
ถ้าคุณเป็นคู่หนึ่งที่อยากมีลูกมาก แต่มีลูกยากเหลือเกิน ในระหว่างที่ใช้วิธีธรรมชาติสารพัด แถมยังรับคำแนะนำจากทั้งเพื่อนทั้งหมอมาก็เยอะแต่ยังไม่ท้อง ก็อย่าเพิ่งท้อค่ะ ลองหาที่พึ่งทางใจที่หลายๆ คู่ก็ไปพึ่งกันมาจนมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมาเยอะว่า สถานที่เหล่านี้คือวัดและที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับขอพร ขอลูก ไหว้พระขอลูกกัน ลองไปตามดูกันค่ะว่ามีที่ไหน วัดไหนกันบ้าง
- วัดพระธาตุดอยคำ จ.เชียงใหม่
- วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา
- วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร จ.กรุงเทพฯ
- วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร จ.กรุงเทพฯ
- ศาลเจ้าพ่อเสือ จ.กรุงเทพฯ
- เจ้าแม่กวนอิม วัดเล่งเน่ยยี่ จ.กรุงเทพฯ
- วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช
- พระพรหมเอราวัณ จ.กรุงเทพฯ
- พระแม่อุมาเทวี หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ จ.กรุงเทพฯ
- ศาลเจ้าปุดจ้อ จ.ภูเก็ต
สำหรับเครื่องไหว้ต่างๆ แต่ละสถานที่ก็จะไม่เหมือนกัน แถมที่เดียวกันยังมีการไหว้หลายแบบ ถ้าใครจะไปก็ศึกษาหาข้อมูลกันไปก่อนหรือไปลุยกันหน้าวัดไปเลยค่ะ แต่อย่างที่บอกนะคะว่าการไหว้พระขอพรเป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่งสำหรับคนอยากมีลูกให้สบายใจขึ้นค่ะ แต่ถ้าจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีลูกซักที อย่าลืมไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ
การผสมเทียม เด็กหลอดแก้ว เป็นเทคโนโลยีช่วยให้ผู้มีบุตรยาก ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น การผสมเทียมเพื่อตั้งครรภ์มีวิธีอะไรบ้าง เรามีคำแนะนำค่ะ
6 วิธีผสมเทียม สำหรับคนมีลูกยากแต่อยากมีลูก
การผสมเทียมคืออะไร
การผสมเทียม คือ การนำน้ำอสุจิฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงโดยไม่มีการร่วมเพศ การผสมเทียม นี้พบว่ามีโอกาสตั้งท้องได้ประมาณร้อยละ 50 ซึ่งปัจจุบันมี การผสมเทียม สามารถทำได้ทั้งการนำ อสุจิ และ ไข่ มาผสมภายนอกก่อนแล้วจึงนำไปใส่ในมดลูกู และการฉีดอสุจิเข้าโพรงมดลูก แต่ก่อนที่คู่สามีภรรยาจะตั้งครรภ์ด้วยวิธีผสมเทียม จำเป็นต้องรู้ข้อกฏหมายบางข้อที่สำคัญของ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 เช่น
-
การผสมเทียมจะต้องใช้อสุจิและไข่ของคู่ สามี ภรรยา ตามกฏหมาย (จดทะเบียนสมรส)
-
หากจำเป็นต้องใช้อสุจิหรือไข่ของบุคคลอื่น จะต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือทั้งผู้รับบริจาคและผู้บริจาค
-
ห้ามไม่ให้ผู้หญิงโสดทำการผสมเทียมเพื่อป้องกันการรับจ้างท้อง อุ้มบุญในเชิงธุรกิจ และช่วยปกป้องสิทธิ์ของเด็กที่เกิดจากการผสมเทียมด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้องด้วย
การผสมเทียมเหมาะกับสามีภรรยาที่มีปัญหาอะไร
- ผู้มีปัญหา มี ลูก ยาก โดยประเมินเบื้องต้นจากการมีเพศสัมพันธ์กันสม่ำเสมอ แล้วยังไม่ตั้งครรรภ์ได้ในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งมีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น ถือว่าเข้าข่ายการมีลูกยาก ซึ่งควรไปปรึกษาคุณหมอ เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษา
- ฝ่ายชายมีปัญหาสุขภาพ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ผิดปกติ แต่กำเนิด (สามีอวัยวะเพศสั้นทำให้มีลูกยากจริงไหม อ่านต่อคลิก) ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ พันธุกรรมผิดปกติไม่สามารถสร้างตัวอสุจิได้หรือสร้างได้น้อยมาก การได้รับสารเคมีที่ส่งผลต่ออสุจิ (เช่น ยาฆ่าแมลง สารตะกั่ว สารประกอบเบนซีน รวมถึงการใช้ยาบางชนิด) สูบบุหรี่เป็นประจำ มีโรคประจำตัวบางอย่างที่ส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ (เช่น เบาหวาน) เป็นโรคคางทูมในวัยเด็ก ได้รับอุบัติเหตุ เป็นต้น
- ฝ่ายหญิงมีปัญหาสุขภาพ เช่น อายุมาก สูบบุหรี่เป็นประจำ อวัยวะสืบพันธุ์ผิดปกติแต่กำเนิด เนื้องอกของมดลูกขนาดใหญ่หรืออยู่ในโพรงมดลูก ท่อนำไข่ตัน มีเยื่อพังผืดในอุ้งเชิงกรานหรือเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ รังไข่ทำงานไม่ได้ตามปกติ มีซิสต์หรือเนื้องอกของรังไข่ มีความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกายที่ส่งผลต่อการตกไข่ เป็นต้น
เมื่อคู่สามีภรรยาที่ปัญหาการตั้งครรภ์ยากที่ต่างกันจากหลายสาเหตุ การเลือกวิธีผสมเทียมจึงมีหลายวิธีเพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละคู่เช่นกัน นี่คือ 6 วิธีผสมเทียมเพื่อการตั้งครรภ์ สำหรับคนมีลูกยากที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยได้ค่ะ
วิธีที่ 1: การฉีดเชื้อหรือการผสมเทียม (Intra Uterine Insemination หรือ IUI)
คือ การนำเชื้ออสุจิของฝ่ายชายมาคัดเชื้อที่มีคุณภาพโดยเลือกตัวที่วิ่งเร็ว แข็งแรง และรูปร่างดีที่สุด ฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกในวันที่ไข่ตก โดยแพทย์จะใช้ฮอร์โมนจากภายนอกช่วยฉีดเข้าไปหรืออาจมีการอัลตราซาวนด์ด้วย แล้วลองดูว่าการทำลักษณะนี้แล้วได้ผลหรือไม่
โดยปกติแล้วการผสมเทียมจะทำไม่เกิน 3 ครั้ง ถ้าเกิน 3 ครั้งแล้วยังไม่ตั้งครรภ์ก็ต้องเปลี่ยนวิธีไปทำกิฟท์ ซึ่งความสำเร็จแต่ละครั้งประมาณ 15-20% วิธีนี้ใช้ในกรณีฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิไม่แข็งแรงหรือมีปริมาณน้อย ฝ่ายหญิงไม่มีมูกที่ปากมดลูกหรือมูกเหนียวข้น และไม่สามารถผลิตฮอร์โมนได้เพียงพอต่อการผลิตไข่ที่สมบูรณ์ได้ ซึ่งอาจต้องใช้ฮอร์โมนเพิ่มและกระตุ้นการตกไข่
วิธีที่ 2: การทำกิฟท์ (Gamete IntraFollopain Transfer หรือ GIF)
คือ การเก็บเซลล์สืบพันธุ์ทั้งไข่และอสุจิมาผสมกัน จากนั้นจึงใส่กลับเข้าสู่ท่อนำไข่ทันที โดยให้อสุจิและไข่ปฏิสนธิกันเองตามธรรมชาติในร่างกายของแม่ โอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 30-40%
วิธีนี้ใช้ในกรณี ฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิอ่อนแอไม่มากนัก ฝ่ายหญิงมีท่อนำไข่ที่ปกติอย่างน้อย 1 ข้าง มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือมีพังผืดมาก อาจใช้สำหรับคู่สมรสที่ไม่ทราบสาเหตุของการมีบุตรยาก
วิธีที่ 3: การทำซิฟท์ (Zygote IntraFollopain Transfer หรือ ZIFT)
คือการผสมกันระหว่างไข่กับอสุจิคล้ายการทำกิ๊ฟท์ แต่ต่างกันตรงที่ต่างจากการทำกิฟท์ตรงที่เป็นการนำไข่และอสุจิมาผสมกันให้เกิดการปฏิสนธินอกร่างกายก่อน แล้วจึงนำตัวอ่อนในระยะ Zygote ใส่กลับเข้าไปในท่อนำไข่ โอกาสตั้งครรภ์แต่ละครั้งประมาณ 20-30%
วิธีนี้ใช้ในกรณี ฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิน้อยกว่าปกติ ฝ่ายหญิงที่ท่อนำไข่ไม่ตัน แต่ทำงานไม่ปกติ มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และมีพังผืดมาก และคู่สมรสที่ไม่ทราบสาเหตุของการมีบุตรยากด้วย
วิธีที่ 4: การทำเด็กหลอดแก้ว (InVitro Fertilization and Embryo Transfer หรือ IVF& ET)
คือการเอาไข่ 10-20 ใบ ออกมาผสมกับอสุจิในจานหรือในหลอดแก้ว พอผสมกันแล้วจะรู้เลยว่าจะมีการปฏิสนธิหรือไม่ แล้วก็ต้องเลี้ยงตัวอ่อนประมาณ 3-5 วัน แล้วจึงใส่กลับเข้าไปในมดลูกของฝ่ายหญิง โอกาสตั้งครรภ์สูงสุดคือ 30-50%
วิธีนี้ใช้ในกรณี ฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิที่ไม่แข็งแรง ฝ่ายหญิงมีท่อนำไข่อุดตันทั้ง 2 ข้าง และมีพังผืดในอุ้งเชิงกราน
วิธีที่ 5: การทำอิ๊คซี่ (IntraCytoplasmic Sperm Injection หรือ ICSI)
เป็นการต่อยอดจากเด็กหลอดแก้ว โดยเอาเข็มที่มีเชื้อสเปิร์มอยู่หนึ่งตัวเจาะเข้าไปในไข่ เป็นการช่วยตัวเชื้อสเปิร์มที่ไม่แข็งแรง และไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ โอกาสตั้งครรภ์ประมาณ 25-30%
วิธีนี้ใช้ในกรณี ฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิผิดปกติอย่างมาก ฝ่ายหญิงมีรังไข่ผิดปกติ ไม่มีการตกไข่ และไข่กับอสุจิไม่สามารถปฏิสนธิกันเองได้
วิธีที่ 6: บลาสโตซิสท์ คัลเจอร์ (Blastocyst Culture)
เป็นขั้นตอนเลี้ยงตัวอ่อนก่อนจะใส่กลับเข้าไปในมดลูก โดยจะเลี้ยงตัวอ่อนประมาณ 3-5 วัน ซึ่งวันที่ 3 ของการเลี้ยงจะเป็นระยะของการแตกเซลล์ วันที่ 5 จะเป็นระยะบลาสโตซิสท์ ซึ่งตัวอ่อนที่โตมาถึงระยะบลาสโตซิสท์จะมีคุณภาพดีระดับหนึ่ง
วิธีนี้ใช้ในกรณีที่ไข่ของผู้หญิงไม่สมบูรณ์หรือไม่แข็งแรง ซึ่งจะเป็นการเพาะเลี้ยงภายนอกจนตัวอ่อนแข็งแรงพร้อมที่สุดที่จะเกาะผนังมดลูก แล้วจึงค่อยนำกลับไปใส่ในมดลูกเพื่อเจริญเติบโตต่อไป
การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก IUI สำหรับคนมีลูกยาก มีขั้นตอนอย่างไร ค่าใช้จ่ายแพงไหม คุณหมอสูตินรีแพทย์มีคำแนะนำก่อนตัดสินใจค่ะ
IUI การผสมเทียม ที่ช่วยให้ คนมีลูกยาก ตั้งท้อง ได้สมใจ แถม ราคาไม่แพง อย่างที่คิด
สำหรับคู่สมรสที่มีลูกยาก การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก (Intrauterine Insemination-IUI) หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า “IUI” ก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ วิธีนี้จะช่วยให้คู่สมรสตั้งท้องได้สมใจ ซึ่งมักจะได้ผลดีในระดับหนึ่ง ปลอดภัย และเสียค่าใช้จ่ายไม่มากเลยค่ะ เพราะน่าสนใจแบบนี้ เราจึงมีคำแนะนำจากคุณหมอมาฝากค่ะ
การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI) คืออะไร
วิธีนี้จะมีการคัดเอาเฉพาะตัวอสุจิที่ยังมีชีวิตและเคลื่อนที่ได้ดี แล้วนำเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกเล็ก ๆ สอดผ่านปากมดลูก แล้วฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในช่วงที่มีหรือใกล้กับเวลาที่มีไข่ตก โดยที่ตัวอสุจิไม่ต้องว่ายผ่านปากมดลูก ทำให้มีตัวอสุจิที่เคลื่อนไหวจำนวนมากเข้าไปในโพรงมดลูก และพร้อมที่จะผสมกับไข่
ขั้นตอนการฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI)
- ขั้นตอน IUI ในการเตรียมฝ่ายหญิง
แพทย์จะทำการกระตุ้นรังไข่ให้มีการเจริญเติบโตของฟองไข่ในรอบเดือนนั้น ๆ หลาย ๆ ใบ โดยใช้ยาฉีดหรือยารับประทานซึ่งมักจะเริ่มในวันที่ 3 ของรอบเดือน หลังจากนั้นจะมีการนัดตรวจอัลตร้าซาวด์ เพื่อติดตามดูขนาด จำนวนของฟองไข่ และความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อฟองไข่มีขนาดพอเหมาะ แพทย์จะทำการฉีดยากระตุ้นให้มีการตกไข่
หลังจากนั้นประมาณ 36-40 ชั่วโมงจะเป็นเวลาที่มีการตกไข่ แพทย์จะทำการนัดอีกครั้งเพื่อทำการฉีดเชื้ออสุจิเข้าโพรงมดลูกในวันที่ไข่ตก เห็นไหมครับว่าการทำ IUI นั้นไม่ยากอย่างที่คิดนะครับใช้เวลามาพบแพทย์เพียง 3 ครั้งต่อการทำในรอบหนึ่ง ๆ เท่านั้น
- ขั้นตอน IUI ในการเตรียมอสุจิของฝ่ายชาย
จะต้องงดเพศสัมพันธุ์ 2-7 วัน เพื่อเก็บน้ำอสุจิแล้วนำมาส่งภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญจะนำอสุจิที่ได้มาทำการคัดกรอง เลือกเฉพาะตัวอสุจิที่ยังมีชีวิตและเคลื่อนไหวดี เพื่อให้แพทย์นำมาฉีดกลับเข้าไปในโพรงมดลูก ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาเตรียมประมาณ 1-2 ชั่วโมง (หากฝ่ายชายมีธุระต้องทำก็สามารถไปทำได้เลยภายหลังจากทำการเก็บเชื้ออสุจิ เสร็จสิ้นโดยไม่ต้องรอ)
- ขั้นตอน IUI การฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก
เมื่อเตรียมอสุจิเรียบร้อยก็จะนำเอาน้ำเชื้ออสุจิบรรจุลงในท่อพลาสติก ปราศจากเชื้อขนาดเล็ก ๆ แล้วแพทย์จะทำการสอดท่อขนาดเล็กนี้ผ่านปากมดลูกอย่างนุ่มนวล จากนั้นจึงทำการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูก โดยใช้เวลาในการทำไม่กี่นาที ไม่เจ็บ และหลังทำ IUI แล้วท่านสามารถปฏิบัติตัวได้ตามปกติ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
- ข้อปฏิบัติตัวหลังทำ IUI
ทั่วไปแล้วหลังฉีดเชื้ออสุจิจะให้นอนพักประมาณ 30 นาทีแล้วให้กลับบ้านได้ งดเพศสัมพันธ์ในวันที่ทำ IUI และหลังจากนั้นสามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้ตามปกติ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ แล้วจะมีการนัดหมายเพื่อมาตรวจการตั้งครรภ์ภายหลังทำการฉีดอสุจิในระยะ 2 สัปดาห์
ค่าใช้จ่ายในการฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก IUI
การทำ IUI หรือ การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูกสามารถรับบริการได้ในโรงพยาบาล หรือคลินิกที่ให้บริการ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่หลักพัน ถึง หลักหมื่น ขึ้นอยู่กับสถานบริการ และ เงื่อนไขสุขภาพที่ในบางรายอาจจะต้องดูแลสุขภาพให้พร้อมก่อนที่จะเข้ารับการทำ IUI ค่ะ
โดยสรุปแล้วการทำ IUI เป็นวิธีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายวิธีหนึ่ง มีอัตราความสำเร็จมากพอสมควร ปลอดภัย และเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก แต่หากทำวิธีข้างต้นแล้วฝ่ายหญิงยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ แพทย์จะนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์วิธีอื่นมาใช้ในการรักษาต่อไป เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว การทำอิ๊กซี่ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก: นายแพทย์ธีรยุทธ์ จงวุฒิเวศย์ สูตินรีแพทย์ เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลเวชธานี
ผู้หญิงเราอายุมากขึ้น รังไข่ทำงานน้อยลง อย่ากังวลไปค่ะ เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับ PRP ทางเลือกใหม่ปฏิวัติวงการอยากมีลูก
PRP ทางเลือกใหม่ปฏิวัติวงการอยากมีลูกในคนที่รังไข่ทำงานน้อย
เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น จะพบว่าทั้งจำนวนและคุณภาพไข่ ลดลงอย่างมากและลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้โอกาสที่จะตั้งครรภ์ ทั้งกรณีการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติหรือแม้แต่ความสำเร็จจากเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์เองก็ตามจะลดลงด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาความเสื่อมของรังไข่ จากอายุที่มากขึ้น จะพบว่าฟองไข่จะมีความผิดปกติเกี่ยวกับการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้เพิ่มโอกาสที่จะมีทารกที่ผิดปกติของโครโมโซมหรือความผิดปกติของการพัฒนาของตัวอ่อน และแท้งบุตรมากขึ้น
ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ที่จะลด ชะลอ หรือเปลี่ยนให้ความเสื่อมที่เกิดจากอายุที่มากขึ้นกลับมาเด็กลงได้ แม้ว่าจะมีรายงานการใช้อาหารเสริมประเภทสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี หรือการใช้เมลาโตนิน ดีเอชอีเอ รวมทั้งโคเอนไซม์คิวเท็น ในกลุ่มผู้ที่ประสบปัญหาจากความเสื่อมของรังไข่ แต่ยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สำหรับแนวทางหรือทางเลือกของความต้องการมีบุตรในบุคคลกลุ่มนี้ ได้แก่ การทำเด็กหลอดแก้วโดยใช้ไข่บริจาคหรือการรับบุตรบุญธรรมนั่นเอง แต่นั่นไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ทำให้ได้รับความพึงพอใจ เนื่องจากความเกี่ยวข้องทางสายเลือดทางพันธุกรรมยังไม่สามารถเป็นของเจ้าตัวได้นั่นเอง
จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและวิทยาการทางแพทย์ ในปัจจุบันได้มีการนำ PRP(platelet-rich plasma) มาใช้กันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นในด้านการบาดเจ็บของข้อหรือเส้นเอ็นจากการเล่นกีฬา รวมทั้งการรักษาเกี่ยวกับความงามหรือการปลูกผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาของการดูแลเกี่ยวกับเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่พบว่าการรักษาด้วย PRP ที่สกัดจากเลือดของตนเองนั้น ให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ จึงได้มีการพัฒนาและนำวิธีการดังกล่าวมาใช้ในกลุ่มคนที่มีปัญหาความเสื่อมของรังไข่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัยหมดประจำเดือนที่รังไข่หยุดทำงานตามธรรมชาติ, วัยใกล้หมดประจำเดือน, คนที่รังไข่เสื่อมก่อนวัยอันควร, หรือในรายที่เคยรักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้วแต่พบว่าการตอบสนองต่อการรักษาน้อยกว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็น กลับพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ตอบสนองต่อการรักษาด้วย PRP ที่สกัดจากเลือดของตนเอง ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และสามารถกลับมามีประจำเดือนได้ปกติ มีการทำงานของรังไข่ที่ดีขึ้น ภายใน 1 - 3 เดือนหลังการรักษา
นอกจากนี้ มีรายงานการตั้งครรภ์ที่ปกติทั้งที่เกิดโดยธรรมชาติและความสำเร็จจากการรักษาด้วยเด็กหลอดแก้ว และไม่พบภาวะแทรกซ้อนใด ๆ จากการรักษาและต่อเด็กที่คลอดอีกด้วย ในวงการของเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ได้มีการศึกษาและนำมาใช้กันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ PRP ที่สกัดจากเลือดของตนเอง และฉีดเข้าไปที่รังไข่โดยตรง
ซึ่งการเตรียม PRP นั้นได้มาจากการเจาะเลือดที่แขน (โดยใช้เลือดปริมาณ 10 - 60 มล. ขึ้นอยู่กับวิธีการสำหรับเตรียมเป็น PRP) แล้วนำไปสู่ขั้นตอนของการสกัดเตรียม PRP สำหรับ PRP ที่ได้จะมีปริมาณเกล็ดเลือดที่สูงมากกว่าเลือดทั่วไป ทำให้มีปริมาณของ growth factor, cytokines ที่สูงขึ้น ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ของร่างกาย
เมื่อได้ PRP ที่สกัดจากเลือดของตนเองแล้ว จะนำไปฉีดเข้ารังไข่ข้างละประมาณ 4 มล.ทันที โดยขั้นตอนของการฉีดที่รังไข่นั้นอาจทำได้ 2 วิธี
- วิธีแรกคือการผ่าตัดส่องกล้องแล้วฉีด PRP ที่ได้ไปที่รังไข่โดยการมองเห็นโดยตรง
- วิธีที่ 2 คือการฉีดเข้าไปในรังไข่ผ่านทางช่องคลอดด้วยการอัลตราซาวด์ประเมินตำแหน่งของรังไข่และเข็มที่ฉีด (วิธีการเช่นเดียวกันกับการเจาะเก็บไข่เพื่อทำเด็กหลอดแก้วนั่นเอง)
ซึ่งพบว่าวิธีที่ได้รับความนิยมมากกว่าคือการฉีดผ่านทางช่องคลอดเหมือนการเก็บไข่ หลังจากนั้นจะมีการติดตามผลการรักษา โดยพบว่าภายหลังการรักษาเพียง 1 เดือน กลุ่มวัยหมดประจำเดือนกลับมามีประจำเดือนอีกครั้ง ส่วนกลุ่มรังไข่เสื่อมก่อนวัยอันควรหรือวัยใกล้หมดประจำเดือนการกลับมามีประจำเดือนที่สม่ำเสมอมากขึ้น
นอกจากนี้จากการตรวจประเมินการทำงานของรังไข่ พบว่า ระดับ AMH ที่บ่งบอกถึงทุนสำรองของรังไข่มีระดับเพิ่มขึ้นในผู้ที่ได้รับการรักษาทุกราย ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ารังไข่ฟื้นตัวและทำงานได้ดีขึ้น และยังพบว่าระดับฮอร์โมน FSH จากต่อมใต้สมองที่มีค่าสูงมากเมื่อรังไข่ทำงานน้อย หลังได้รับการรักษาด้วย PRP ระดับฮอร์โมนลดลงอย่างชัดเจน และมีการตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่สำหรับการทำเด็กหลอดแก้วได้ดีขึ้น รวมทั้งมีจำนวนฟองไข่มากขึ้นถึง 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนได้รับการรักษา เมื่อมีจำนวนฟองไข่มากขึ้น อัตราการปฏิสนธิดีขึ้น จำนวนตัวอ่อนย่อมมากขึ้นไปด้วย จึงเป็นการเพิ่มโอกาสสำเร็จจากการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทำให้ตั้งครรภ์ได้ และเพิ่มโอกาสสำเร็จของการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติอีกด้วย
ดังนั้นจึงนับว่า PRP ที่สกัดจากเลือดของตนเอง เป็นทางเลือกใหม่ของวงการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ที่จะช่วยทำให้กลุ่มคนที่รังไข่มีการทำงานน้อย ได้มีโอกาสมีลูกที่มาจากสายเลือดและพันธุกรรมของตนเอง
พญ.วนากานต์ สิงหเสนา
สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร V Fertility Center
Q&A มีลูกหัวปี ท้ายปี ลูกคนที่สองจะไม่แข็งแรง พัฒนาการไม่ดีจริงไหม
Q: เพิ่งคลอดลูกชายไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ พอพฤศจิกายนมีอาการแปลกๆ เลยไปตรวจ ปรากฏว่าตั้งท้อง ตอนนี้เครียดมาก เพราะลูกก็ยังเล็กและติดแม่มาก แล้วเขาบอกว่ามีลูกติดกันแบบหัวปีท้ายปีแบบนี้ ร่างกายแม่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ จะทำให้ลูกคนที่สองไม่แข็งแรง พัฒนาการไม่ดีจริงหรือเปล่าคะ
A:ความจริงแล้วคุณแม่ควรตั้งครรภ์ห่างกันอย่างน้อย 2 ปี เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากการตั้งครรภ์แรก รูปร่างและน้ำหนักตัวเริ่มเข้าที่ หรือลูกคนแรกก็อาจจะเริ่มเข้าโรงเรียน ทำให้คุณแม่ไม่รู้สึกว่าทรุดโทรมหรือเหนื่อยมากจนเกินไป เพราะลูกคนแรกช่วยเหลือตนเองได้แล้ว อีกทั้งเสื้อผ้าเครื่องใช้ก็ใช้ต่อด้วยกันได้ ไม่ต้องซื้อหาใหม่ ประหยัดเงินได้อีกด้วย ลูกไม่รู้สึเหงาเพราะวัยไล่เลี่ยเป็นเพื่อนเล่นกันได้
แต่ในกรณีนี้ที่ท้องแล้วก็ไม่เป็นไรครับ ดูแลเขาให้ดีที่สุดดีกว่า การเครียดต่างหากที่อาจจะทำให้ลูกไม่แข็งแรงได้ คุณแม่ควรฝากท้องทันทีเมื่อรู้ว่าท้อง ดูแลตัวเองในด้านโภชนาการให้ดี รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพื่อให้ร่างกายมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีนและแคลเซียมสูง ลดอาหารจำพวกแป้งและไขมัน ทานยาบำรุงเลือดตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง บุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
ท้องสองคุณอาจจะรู้สึกว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติโดยเฉพาะคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรคนแรกไม่กี่เดือน ทั้งนี้เป็นเพราะร่างกายยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะเดิม ดังนั้นจึงควรควบคุมอาหารให้ดี อย่าให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากเกินไป พยายามให้น้ำหนักตัวเพิ่มทีละน้อยตามเกณฑ์ แต่ในบางรายคุณแม่อาจจะรู้สึกเหนื่อยมากจากการเลี้ยงดูลูกคนแรกทำให้เบื่ออาหาร ทานไม่ลง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ คุณแม่ที่มีภาวะโภชนาการที่ดีจะมีน้ำหนักตัวขึ้นตามเกณฑ์ปกติ ถ้าน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามที่ควรจะเป็นก็ควรเพิ่มปริมาณสารอาหารตามความเหมาะสม
เมื่อรู้ว่าท้องคุณแม่อาจจะเกิดความลังเล ความกังวลใจ ความไม่พร้อม ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเครียดขึ้นมาจนทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สดชื่นไม่สบายใจในการท้องครั้งใหม่ คุณแม่ต้องพยายามปรับตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะต้อนรับสมาชิกใหม่ มั่นใจต่อการท้องครั้งนี้ให้มาก อาจมองในแง่ดีว่าเป็นความโชคดีที่เคยมีประสบการณ์จากท้องแรกมาแล้ว และหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะส่งผลเสียต่อตัวคุณแม่และลูกน้อย
คุณแม่ควรมีเวลาพักผ่อนให้มากกว่าตอนที่ท้องแรกเพราะจะเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกคนแรก คุณพ่อควรช่วยเลี้ยงลูกในเวลากลางคืน ให้คุณแม่มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยให้คุณแม่คลายความเครียด รู้สึกสดชื่น กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น อาจเป็นการเล่นโยคะ กายบริหารเล็กน้อย แต่ถ้าคุณแม่ไม่มีเวลาออกกำลังกายก็สามารถเลือกใช้เวลาระหว่างการดูแลลูกคนแรกมาออกกำลังกายร่วมด้วย เช่น การพาลูกคนแรกนั่งรถเข็นเดินเล่น
นอกจากสภาพร่างกายที่คุณแม่จะต้องดูแลเป็นพิเศษแล้ว สภาพจิตใจก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เพราะด้วยสภาพร่างกายของคุณแม่ท้องที่เริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย อยากพักผ่อน แต่ขณะเดียวกันหากลูกคนแรกยังเล็กก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่จากคุณแม่ ซึ่งกรณีนี้จะทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย เป็นสาเหตุให้อารมณ์แปรปรวน ทั้งยังไม่มั่นใจกับสภาพร่างกายตัวเอง กังวลว่าสามีจะเบื่อหน่าย ซึ่งภาวะเช่นนี้อาจจะทำให้คุณแม่เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งไม่ดีแน่สำหรับคุณแม่ที่ท้องและต้องเลี้ยงลูกเล็กครับ
รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
ยิ่งมีลูก ผู้หญิงยิ่งแก่เร็ว เรื่องนี้ชัวร์หรือเท็จเรามาเช็กกันด้วยผลวิจัยกันเลยว่า ผู้หญิงที่มีลูกแล้วจะดูแก่มากกว่าเดิม แถมยังดูแลตัวเองได้น้อยลงด้วย
จริงไหม? การมีลูกหนึ่งคนจะทำให้แม่ต้องแก่ลงกว่าเดิมถึง 11 ปี
เป็นแม่ไม่ง่ายเลยนะคะ ไหนจะแบกน้ำหนักเป็นสิบกิโล ไหนจะแพ้ท้อง เวลาคลอดก็แสนจะกังวลไปทุกอย่าง นี่ยังไม่รวมเรื่องหมดสวยในช่วงตั้งครรภ์อีกนะ บอกเลยว่า "ไม่ท้องเองไม่รู้หรอก" การเป็นแม่จึงเต็มไปด้วยความเสียสละที่ยากลำบากแต่ก็เต็มไปด้วยความสุขค่ะ
ทราบไหมคะว่าตอนนี้มีผลวิจัยออกมาบอกให้คนเป็นแม่อย่างเราต้องตะลึงมากขึ้นอีกว่า "การมีลูกหนึ่งคน จะทำให้แม่ต้องแก่ลงกว่าเดิมในระดับเซลล์ถึง 11 ปี"
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอร์จเมสันของสหรัฐฯ ศึกษาข้อมูลจากตัวอย่างเลือดของหญิงอเมริกันอายุ 20-44 ปี ราว 2,000 คน ที่เข้าร่วมในโครงการตรวจสุขภาพและภาวะโภชนาการระดับชาติระหว่างปี 1999-2002 โดยศึกษามุ่งเน้นไปที่การวัดความยาวของเทโลเมียร์ (Telomere) ซึ่งเป็นส่วนปลายของโครโมโซมที่เป็นเสมือนปลอกหุ้มปกป้องสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอในเซลล์เอาไว้
ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Human Reproduction ระบุว่า หญิงที่มีบุตรแล้วจะมีความยาวของเทโลเมียร์หดสั้นลงกว่าหญิงที่ไม่มีบุตรโดยเฉลี่ย 4.2% ซึ่งเป็นความยาวที่เท่ากับเทโลเมียร์ของหญิงที่มีอายุแก่กว่าถึง 11 ปี แสดงว่าเซลล์ของหญิงที่มีบุตรจะถูกเร่งให้ชราลงเร็วยิ่งขึ้น และยิ่งมีบุตรมากคนขึ้นเท่าไหร่ เทโลเมียร์ก็จะยิ่งสั้นลงเท่านั้น
ดร.แอนนา พอลแล็ก ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า ความยาวของเทโลเมียร์นั้นเชื่อมโยงกับสุขภาวะของร่างกายในระยะยาวรวมทั้งอายุขัยด้วย ซึ่งการที่หญิงมีบุตรมีเทโลเมียร์หดสั้นลงราว 4.2% นั้นน่าตกใจอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับว่าเซลล์ร่างกายแก่ชราลงในอัตราที่มากยิ่งกว่าการสูบบุหรี่หรือเป็นโรคอ้วนด้วยซ้ำ
"เรารู้มาก่อนแล้วว่าการมีบุตรนั้นเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจหรือเบาหวานให้กับคนเป็นแม่ แต่ผลวิเคราะห์ล่าสุดนี้ยังชี้ว่าการตั้งครรภ์และคลอดลูกยังเร่งกระบวนการเข้าสู่วัยชราของเซลล์ให้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้นอีกด้วย" ดร.พอลแล็กกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาล่าสุดนี้ขัดกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยไซมอนเฟรเซอร์ในแคนาดา ซึ่งวัดความยาวของเทโลเมียร์ในหมู่หญิงที่คลอดบุตรแล้วทารกรอดชีวิตที่ประเทศกัวเตมาลา โดยพบว่าหญิงเหล่านี้กลับมีส่วนของเทโลเมียร์ขยายยาวมากขึ้น
ดร.พอลแล็กอธิบายในส่วนนี้ว่า "ผลการศึกษาผู้หญิงในชุมชนสองแห่งที่มีสภาพทางสังคมวัฒนธรรมแตกต่างกัน อาจทำให้ได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันได้ เพราะการที่เทโลเมียร์หดสั้นลงอาจไม่ได้มาจากการคลอดบุตรโดยตรง แต่การที่แม่ชาวอเมริกันมีความเครียดมากกว่า เพราะไม่มีเครือข่ายทางสังคมสนับสนุนรองรับการเลี้ยงดูบุตรเหมือนแม่ชาวกัวเตมาลา อาจเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เทโลเมียร์หดสั้นลงก็เป็นได้ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมในเรื่องนี้ต่อไป"
ขอบคุณข้อมูลจาก: www.bbc.com/thai
ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมาบ้างไม่มาบ้างเป็นสาเหตุที่ทำให้ตั้งท้องซักทีใช่ไหม ใครกำลังสงสัยกับคำถามนี้อยู่ คุณหมอมีคำตอบค่ะ
ประจำเดือน ไม่ค่อยมา มาไม่ตรง ทำให้มีลูกยาก จริงไหม?
อการแบบไหนคือภาวะมีลูกยาก มีบุตรยาก
ภาวะมีบุตรยากจะวินิจฉัยเมื่อคู่สมรสที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป มีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง เป็นเวลานาน 6 เดือน แล้วยังไม่ตั้งครรภ์หรือในกลุ่มสตรีที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี เป็นเวลานาน 1 ปี แล้วยังไม่ตั้งครรภ์ก็ถือว่าอยู่ในภาวะมีบุตรยาก
ประจำเดือนมาไม่ปกติเสี่ยงมีลูกยากไหม?
ในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่ค่อยตรงวัน หรือไม่สม่ำเสมอทุก 28-30 วัน แสดงว่าน่าจะมีปัญหาในเรื่องการทำงานของรังไข่ อาจจะมีไข่ตกนาน ๆ ครั้ง หรือไข่ตกเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้ประจำเดือนมาช้าหรือเร็วกว่าปกติได้ และอาจจะเป็นสาเหตุของการมีบุตรยากได้เช่นกัน
ในกรณีการตกไข่ที่ช้ากว่าปกติ ทำให้ประจำเดือนเลื่อนออกไป แต่ถ้าเลื่อนออกแบบสม่ำเสมอ โดยมีประจำเดือนมาทุก 35 วัน ก็ยังถือว่าปกติ แสดงว่าเป็นคนที่มีรอบเดือนยาว ดังนั้น ให้เลยกำหนดที่ประจำเดือนมาไปประมาณ 5-7 วัน ค่อยตรวจปัสสาวะทดสอบการตั้งครรภ์ก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนตรวจ เพราะในช่วงแรกปริมาณฮอร์โมนที่ตรวจพบในปัสสาวะยังน้อยอยู่ อาจจะยังตรวจไม่พบ ควรรอให้เลยกำหนดไปก่อน จะได้ไม่ทำให้เกิดความเครียดถ้าผลยังเป็นลบ
บทความโดย: พญ.สายฝน ชวาลไพบูลย์
ปล่อยท้องมาเป็นปีแต่ไม่ตั้งครรภ์สักที อาจเป็นไปได้ว่าเราเข้าข่ายภาวะมีบุตรยากนะคะ ภาวะมีบุตรยากจากทั้งฝ่ายชายและหญิงเกิดจากอะไร คุณหมอมีคำตอบค่ะ
ปล่อยแล้ว ไม่คุมกำเนิด แต่ไม่ท้องสักที แบบนี้เข้าข่ายมีลูกยากหรือยัง
สำหรับใครที่กำลัง อยากมีลูก แต่ปล่อยท้องเท่าไหร่ก็ยังไม่สำเร็จสักที เลยเริ่มสงสัยว่าเข้าข่าย มีลูกยาก หรือเปล่า คุณหมอจะมาตอบให้ค่ะว่าแบบไหนที่เรียกว่า มีลูกยาก
ภาวะมีบุตรยาก (Infertility) คือ ภาวะที่คู่แต่งงานยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ด้วยวิธีธรรมชาติในระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป แบบนี้ก็เข้าข่ายการมีภาวะ มีลูกยาก แล้วค่ะ
ภาวะบุตรยากแบ่งเป็น 2 ประเภท
- ภาวะบุตรยากปฐมภูมิ (Primary Infertility) คือ ไม่เคยมีการตั้งครรภ์ ภายในระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี
- ภาวะบุตรยากทุติยภูมิ (Secondaryinfertility) หมายถึง เคยต้ังครรภ์และการตั้งครรภ์น้ันอาจสิ้นสุดด้วยการคลอด การแท้ง หรือการตั้งครรภ์นอกมดลูก แล้วไม่เคยตั้งครรภ์อีก อย่างน้อย 1 ปี
สาเหตุมีบุตรยากจากฝ่ายชาย
เนื่องจากน้ำเชื้อปริมาณน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ น้อยกว่า 20 ล้านตัวต่อ CC ตัววิ่งมีน้อย และรูปร่างเชื้อไม่ดีทำให้ยากในการปฏิสนธิของไข่
ปัจจัยที่มีผลต่อความแข็งแรงของน้ำเชื้อ
-
อัณฑะมีการอักเสบ ติดเชื้อ เช่น คางทูม เคยได้รับการผ่าตัด เป็นมะเร็ง เป็นเส้นเลือดขอด เคยได้รับการฉายแสง
-
การทำงานในที่ร้อนใส่กางเกงรัดๆ
-
มีการอุดตันของท่อนำอสุจิ
-
มีความผิดปกติทางฮอร์โมนขาดฮอร์โมนเพศชาย
-
สาเหตุทางพันธุกรรม โครโมโซมเพศผิดปกติ
-
ยาที่มีผลต่อภาวะมีบุตรยากในฝ่ายชาย เช่นยา sulfasalazine ที่รักษาเรื่องโรคข้อ rheumatoid ยาเสตียรอยด์ ยาเคมีบำบัด การใช้กัญชา โคเคนทำให้น้ำเชื้อคุณภาพแย่ลง
-
อายุมากกว่า 40 ปี การสัมผัสสารกำจัดศัตรูพืช การดื่ม แอลกอฮอล์ ภาวะอ้วน ความเครียด
สาเหตุมีบุตรยากจากฝ่ายหญิง
-
อายุมากขึ้น
-
การสูบบุหรี่ (ทำให้เพิ่มอัตราการแท้ง)
-
การดื่มแอลกอฮอล์
-
น้ำหนักตัวที่มากขึ้น
-
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้ท่อนำไข่ไม่ดี
-
สัมผัสสารกำจัดศัตรูพืชและสัตว์
-
ภาวะเครียด ซึ่งทำให้มีผลต่อกระบวนการตกไข่
-
ความผิดปกติที่รังไข่ เช่น ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนดคือหมดประจำเดือนก่อนอายุ 40 ปี กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายๆใบ (pcos)
-
ภาวะโปรแลคตินในเลือดสูง ซึ่งมีผลต่อกระบวนการตกไข่
-
โรคไทรอยด์
-
ปัญหาจากท่อนำไข่ เนื้องอกที่มดลูก ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ผิดที่
-
การใช้ยาต้านอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (nsaids) การใช้ยาแอสไพรินนานๆ
-
การได้เคมีบำบัด การได้รับการฉายแสง การใช้สารเสพติด
หากไม่คุมกำเนิด 1 ปี แต่ไม่มีลูก ต้องไปตรวจกับคุณหมอนะคะ อาจมีอาการหรือสาเหตุมาจากที่คุณหมอกล่าวข้างต้น เพื่อที่จะได้รักษา แก้ไข และมีลูกน้อยได้นั่นเองค่ะ
บทความโดย: แพทย์หญิง วรประภา ลาภิกานนท์ สูตินรีแพทย์
มดลูกคว่ำเป็นเกิดจากมีพังผืดดึงรั้งบริเวณด้านหลังของมดลูก ทำให้มดลูกคว่ำไปด้านหลัง หลายคนจึงเข้าใจว่ามดลูกคว่ำทำให้มีลูกยาก เรามีคำแนะนำมาบอกค่ะ
มดลูกคว่ำทำให้มีลูกยากจริงไหม คนอยากมีลูกต้องรู้จักมดลูกตัวเองด้วย
อยาก มี ลูก จังเลย แต่พอไปตรวจภายในเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์พบว่า "มดลูกคว่ำ" ซึ่งทำให้เกิดความกังวลและสงสัยขึ้นมาทันทีว่า มดลูกคว่ำ แปลว่าจะ มี ลูก ยาก อสุจิสามี ไม่เกาะ ใช่ไหม เรามาหาคำตอบเรื่องนี้กันจากผู้เชี่ยวชาญค่ะ
มดลูกคว่ำ เป็นลักษณะตามธรรมชาติของแต่ละบุคคล หรืออาจเกิดจากมีพังผืดดึงรั้งบริเวณด้านหลังของมดลูก ทำให้มดลูกคว่ำไปด้านหลัง แทนที่จะโค้งมาด้านหน้าตามที่พบในคนส่วนใหญ่
มดลูกคว่ำ ของผู้หญิง ไม่มีผลกับการตั้งครรภ์ยากแต่อย่างใดโดยทั่วไปแล้วมดลูกอาจอยู่ในลักษณะคว่ำหน้า คว่ำหลัง หรืออยู่ตรงกลางก็ได้อยู่แล้ว แต่การตั้งครรภ์ได้นั้นก็มีหลายปัจจัย เช่น ความแข็งแรงของมดลูก ไข่สมบูรณ์ อสุจิมีตัวและแข็งแรง เป็นต้น ดังนั้นหากใครตรวจพบว่ามดลูกคว่ำและยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดเพื่อหาปัจจัยอื่นและแก้ไขได้อย่างถูกต้อง
ขอบคุณข้อมูลจาก: น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ และ อ.นพ.ประภัทร วานิชพงษ์พันธ์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
มดลูกโต เป็นคนละกับเนื้องอกมดลูก บางคนไม่แสดงอาการแต่ก็เป็นได้และเสี่ยงกับการเป็นอีกหลายโรคตามมา รวมถึงการมีลูกยากด้วย
มดลูกโต ไม่แสดงอาการก็อาจเป็นได้และเสี่ยงมีลูกยากหากไม่รีบรักษา
ผู้หญิงหลายคนอาจไม่เคยรู้จักโรคมดลูกโต หรือหลายคนอาจเกิดความสับสนว่า เนื้องอกมดลูก กับ มดลูกโต ใช่โรคเดียวกันหรือไม่ ความจริงแล้ว โรคมดลูกโต กับ เนื้องอกมดลูก นั้นเป็นคนละโรคกัน ดังนั้นหากประจำเดือนมากผิดปกติและมีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ อาจเป็นสัญญาณของโรคมดลูกโตได้ หรือที่น่ากังวลใจยิ่งกว่านั้นคือ แม้ไม่มีอาการแสดงผู้หญิงก็มีโอกาสเป็นมดลูกโตได้เช่นกัน
รู้จักมดลูกโต โรคมดลูกโต พบได้จากหลายสาเหตุหลัก ได้แก่ เนื้องอกในมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ มะเร็งในระบบสืบพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่ที่พบคือ โรคมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis) คือการที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญหรือแทรกซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกเกิดภาวะอักเสบเรื้อรังจนเกิดพังผืดในชั้นกล้ามเนื้อมดลูก สุดท้ายมดลูกเกิดการขยายตัวและหนาขึ้น เกิดภาวะมดลูกโต ทำให้เกิดอาการประจำเดือนมามากผิดปกติ และอาการต่าง ๆ ที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ที่สำคัญคือโรคมดลูกโตนั้นไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หากผู้ป่วยมีกรรมพันธุ์หรือเคยทำการผ่าตัดเกี่ยวกับมดลูกอาจทำให้เป็นโรคมดลูกโตได้ นอกจากนี้การหมุนเวียนของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายของผู้หญิงที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอาจส่งผลให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นผู้หญิงที่หมดประจำเดือนหรือผู้หญิงที่ตัดมดลูกทิ้งจึงหมดโอกาสเป็นโรคมดลูกโต
อาการบอกมดลูกโต
- ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
- ปวดท้องประจำเดือนมากผิดปกติและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหว
- มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่เท่าลูกปิงปองออกมาขณะมีประจำเดือน มีอาการคล้าย ๆ ตกเลือดขณะมีประจำเดือน
- ปวดเชิงกรานและช่องท้อง
- รู้สึกแน่นและหนักบริเวณช่องท้องส่วนล่าง
- เจ็บปวดมากขณะมีเพศสัมพันธ์
นอกจากนี้เมื่อมดลูกโตอาจส่งผลให้มีอาการท้องอืดหรือท้องผูกเพราะมดลูกโตจนเบียดลำไส้ ปัสสาวะบ่อยเพราะมดลูกเบียดกระเพาะปัสสาวะ อีกทั้งอาจมีอาการร่วมด้วยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปวดหลัง ปวดกระดูกเชิงกราน ตะคริวบริเวณท้อง เลือดออกจากช่องคลอด รวมถึงมีบุตรยากเพราะการตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์
การตรวจวินิจฉัยมดลูกโต
- ซักประวัติโดยสูติ-นรีแพทย์อย่างละเอียด
- สูติ-นรีแพทย์ตรวจภายใน
- อัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดหรือทวารหนักในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
- ตรวจ MRI ช่องท้องส่วนล่าง (MRI Lower Abdomen) ในกรณีที่ต้องการยืนยันและหรือประเมินความรุนแรงของโรคว่าเกิดพังผืดต่ออวัยวะข้างเคียงหรือไม่
ดูแลรักษามดลูกโต
ในกรณีที่มดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นั้นสูติ-นรีแพทย์จะทำการรักษาตามอาการและความรุนแรงของโรคเป็นสำคัญ ได้แก่ รับประทานยาพอนสแตน (Ponstan) และหรือ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพื่อช่วยให้อาการปวดและการอักเสบดีขึ้น ใช้ Progestin Only Hormone และหรือยาคุมกำเนิดเพื่อลดอาการปวด และช่วยให้ปริมาณรอบเดือนมาน้อยลง ชะลอการเติบโตของพังผืดในกล้ามเนื้อมดลูก หากมีอาการรุนแรงสูติ-นรีแพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดมดลูก ซึ่งปัจจุบันด้วยการผ่าตัดส่องกล้องขั้นสูง (MIS - Advanced Minimal Invasive Surgery) ทำให้ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้อง แผลมีขนาดเล็กเพียง 5 - 10 มม. ที่สำคัญเสียเลือดน้อย ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนหรือติดเชื้อ ฟื้นตัวเร็วใน 1 - 2 วัน และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ภายใน 1 สัปดาห์ ลดความกังวลและเพิ่มความมั่นใจในการเข้ารับการรักษาได้เป็นอย่างดี
การป้องกันมดลูกโต
อย่างที่ทราบกันว่าสาเหตุของโรคมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นั้นไม่แน่ชัด แต่การป้องกันดูแลด้วยการควบคุมน้ำหนักให้ไม่เกินเกณฑ์ ตรวจร่างกายและตรวจภายในกับสูติ-นรีแพทย์เป็นประจำทุกปี รวมทั้งเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเมื่อถึงวัยที่เหมาะสมตามคำแนะนำของสูติ-นรีแพทย์จะช่วยให้ทราบถึงความผิดปกติและรับมือได้ทันท่วงที
แบบไหนเรียกประจำเดือนเป็นปกติ
ประจำเดือนมาไม่เกิน 80 ซีซีต่อวัน ประจำเดือนมามากเฉพาะช่วง 3 วันแรก ประจำเดือนมาไม่เกิน 7 วัน ลิ่มเลือดระหว่างมีประจำเดือนขนาดเท่าเม็ดถั่ว
ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมดลูกโตนั้นมักไม่ทราบอาการจนเมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรง ดังนั้นการหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตนเองอยู่เสมอคือสิ่งสำคัญ และควรใส่ใจตรวจเช็กสุขภาพภายในกับสูติ-นรีแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
ขอบคุณข้อมูลจาก : พญ.หยิงฉี หวัง สูติ-นรีแพทย์ผู้ชำนาญการผ่าตัดส่องกล้อง โรงพยาบาลกรุงเทพ