facebook  youtube  line

ลูกทารกคอเอียงผิดปกติไหม วิธีแก้และรักษาทารกคอเอียง

 ทารก คอเอียง, เด็กคอเอียง, ทำไม ทารก คอเอียง, สาเหตุ ทารกคอเอียง, ทารก คอเอียงเกิดจาก, ทารก คอเอียงแต่กำเนิด, ทารก กล้ามเนื้อคอไม่แข็งแรง, อาการทารกคอเอียง, ทารกคอเอียง อันตรายไหม, ทารก คอเอียง รักษายังไง, วิธีแก้ ทารกคอเอียง, ลูก 3 เดือน คอ เอียง, ทารก นอน คอ เอียง

ทารกคอเอียงเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งคอเอียงแต่กำเนิดและคอเอียงจากวิธีเลี้ยง ทารคอเอียงสามารถรักษาและมีวิธีแก้ไขได้ค่ะ

ลูกทารกคอเอียงผิดปกติไหม วิธีแก้และรักษาทารกคอเอียง

สาเหตุทารกคอเอียง

  1. คอเอียงแต่กำเนิด (Congenital torticollis)
    1. กล้ามเนื้อคอผิดปกติ (congenital muscular torticollis)
    2. คอเอียงจากกระดูกสันหลังส่วนคอเจริญผิดปกติตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทำให้เห็นลักษณะคอเอียงตั้งแต่แรกเกิดหรืออาจค่อยๆ เกิดภายหลังคลอดก็ได้
    3. ตาผิดปกติ เช่นตาเหล่ ทำให้เวลาเด็กมองต้องเอียงคอตามไปด้วย

  2. คอเอียงภายหลังคลอด (acquired torticollis)
    1. กล้ามเนื้อคอหดรัดตัว (muscle spasm)
    2. กระดูกสันหลังคอแตกหรือเคลื่อน
    3. เลือดคั่งเหนือชั้นดูรา (epidural hematoma)
    4. เนื้องอกไปกดทับเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อคอ
    5. การอักเสบของหูและการผ่าตัดต่อม adenoid ออก อาจเกิดการเคลื่อนของข้อกระดูกคอ atlantoaxial

การรักษาอาการทารกคอเอียง

  1. การยืดกล้ามเนื้อข้างคอที่หดสั้น ได้ผลดีเมื่อทำในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ผู้ดูแลควรเรียนรู้วิธีการยืดที่ถูกต้อง จากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด

  2. การผ่าตัด bipolar release เพื่อแก้ปัญหากล้ามเนื้อหดสั้น ถ้ายืดกล้ามเนื้อหดสั้นไม่ได้ผลหลังอายุ 1 ปีควรรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อให้มีสมดุลของศีรษะและใบหน้าดีขึ้น การผ่าตัดมักได้ผลดีพอสมควร อายุที่เหมาะสมที่สุดคือ 1-4 ปี ในผู้ป่วยที่มีอายุมากขึ้นการผ่าตัดอาจได้ผลไม่เต็มที่

  3. พบจักษุแพทย์เพื่อแก้ไขอาการคอเอียงที่เกิดจากปัญหาทางสายตา เพราะคอเอียงในเด็กอาจเป็นการปรับตัวให้มองเห็นได้ดีกว่าตอนที่อยู่ในท่าปกติ อาการคอเอียงที่เกิดขึ้นแสดงถึงความผิดปกติในการมองเห็นของตาทั้งสองข้าง เด็กที่มีคอเอียงส่วนใหญ่พบความผิดปกติในเรื่องตาเข ตากระตุก

เบื้องต้นอาจพบว่าอาการทารกคอเอียงไม่ได้เกิดจากสาเหตุความผิดปกติของร่างกาย แต่เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่เอง สามารถดูแลลูกได้ดังนี้

  • การวางตำแหน่งของล่อเล่นไม่สูงเกินไป ควรวางหรือแขวนให้อยู่ในระดับสายตาและไม่เน้นการล่อเล่นด้วยการวางของเล่นด้านที่น้องคอเอียงค่ะ อาจล่อเล่นได้แต่ไม่บ่อยมากเพื่อป้องกันการใช้กล้ามเนื้อด้านคอที่เอียงมากเกินไปจนคออีกด้านโดนยืดมากและไม่แข็งแรง

  • แนะนำให้คุณแม่อุ้มในท่าตะแคงด้านที่น้องคอเอียง แล้วล่อเล่นคล้ายการทำเครื่องบินล่อนขึ้นล่อนลงช้าๆเพื่อฝึกให้กล้ามเนื่อด้านที่เอียงได้ต้านกับ แรงโน้มถ่วงและได้มีการเกร็งกล้ามเนื้อคอด้านที่เอียงเพื่อการออกกำลังกาย

  • แนะนำในท่านอนหรือท่าให้นม แนะนำให้เน้นการนอนตะแคงด้านที่คอไม่เอียงค่ะและไม่ให้น้องมีการแหงนหน้ามาก เกินไปค่ะซึ่งกรณีน้องควรนอนตะแคงด้านขวาค่ะเพื่อให้คอด้านซ้ายได้มีการยืด ของกล้ามเนื้อแต่บางครั้งคุณแม่ก็สามารถให้นอนตะแคงซ้ายได้น่ะค่ะแต่ไม่ควรบ่อยมากค่ะ

  • การรักษาในขั้นต้นช่วงเด็กมีอายุ 1-2 ปี คือการพยายามช่วยดัดคอเบาๆ การจับเด็กนอนหันศีรษะไปด้านตรงข้าม

  • พาลูกไปปรึกษากับแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดใกล้บ้าน เพราะท่าออกกำลังกายบางท่าคุณแม่อาจต้องได้รับคำแนะนำโดยตรงค่ะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับน้องและน้องจะได้รับท่าออกกำลังกายที่เหมาะสมมากขึ้นค่ะ

 

ลูกทารกเป็นเริมติดจากพ่อแม่ กอด จูบ สัมผัสจากผู้ใหญ่ทำเด็กเป็นเริมได้

ทารกเป็นเริม, เด็ก เป็นเริม, ลูกเป็นเริม, ลูกติดเริมจากพ่อแม่, อาการ เริม, การรักษา เริม, การป้องกันเริม เด็ก ทารก, ไม่ กอด จูบ ทารก, เริม ทารก เกิดจาก, ทำไมทารกเป็นเริม, ทำไมเด็กเป็นเริม, กอด จูบ ทารก เริม
ลูกทารก เด็กเล็กหลายคนเป็นเิรม โดยติดต่อเชื้อโรคจากพ่อแม่เอง เพราะเด็กทารกมีภูมิต้านทานไม่มาก การสัมผัสกับทารกแรกเกิดโดยตรงจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 

ลูกทารกเป็นเริมติดจากพ่อแม่ กอด จูบ สัมผัสจากผู้ใหญ่ทำเด็กเป็นเริมได้

เชื้อเริมมาจากผู้ใหญ่

โรคเริมเกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex virus หรือ HSV) มี 2 ชนิดคือ HSV1 ก่อให้เกิดติดเชื้อในช่องและริมฝีปาก และ HSV2 เป็นการติดเชื้อที่อวัยวะเพศ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์  

ทารกเสี่ยงเป็นเริมตั้งแต่คลอด

เชื้อเริมที่ทำให้ทารกเสี่ยงเสียชีวิตนั้น ตัวหลักมาจากเชื้อที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ และติดเชื้อที่จุดซ่อนเร้น แล้วเชื้อนี้แพร่กระจายไปสู่ทารก โดยทารกติดเชื้อนี้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ผ่านทางเยื่อหุ้มทารก โดยเฉพาะภายในเวลา 4-6 ชั่วโมง หลังคุณแม่น้ำเดิน หรือถุงน้ำคร่ำแตก รวมทั้งช่วงเวลาขณะคลอด ที่ทารกติดเชื้อได้ผ่านทางช่องคลอด หรือจุดซ่อนเร้นของคุณแม่ ซึ่งอาจมีแผลเริมหรือตุ่มน้ำใสอยู่ จะยิ่งเสี่ยงมากขึ้นเมื่อแม่คลอดเอง

หากแม่มีประวัติ หมอจะพิจารณาผ่าคลอดให้เพื่อป้องกันการติดเชื้อสู่ทารก และทารกยังติดเชื้อเริมได้ในช่วงเวลาหลังคลอดด้วย ผ่านการสัมผัสจากบุคคลที่มีเชื้อเริมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเริมสายพันธุ์ไม่รุนแรง เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ภูมิต้านทานในร่างกายของตัวเองต่ำลง แล้วบังเอิญได้รับเชื้อเริมเข้าสู่ร่างกาย กระทั่งเชื้อเริมแสดงผล โดยเกิดแผลเริม หรือตุ่มน้ำใสบริเวณริมฝีปาก แต่เมื่อสัมผัสทารกที่มีภูมิต้านทานไม่แข็งแรง ย่อมส่งผลรุนแรงต่อร่างกายและสมองก่อนเด็กจะโตเป็นผู้ใหญ่

อาการเมื่อทารกได้รับเชื้อเริมขณะคลอด

  • อาการทางร่างกายจะแสดงออกช่วง 5-11 วันหลังคลอด จะมีตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณผิวหนัง ตา ปาก ของทารก พ่อแม่จะเห็นได้ชัดเจน จอประสาทตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ ทำงานผิดปกติ เช่น สมอง ตับ ปอด หัวใจ และต่อมไร้ท่อ

  • อาการที่รุนแรงจะแสดงออกช่วง 8-17 วันหลังคลอด ทารกอาจชัก สมองมีขนาดเล็ก มีโพรงน้ำในสมอง เพราะเกิดความผิดปกติที่ระบบประสาท แต่จะไม่มีไข้ ทารกจะซึมลง งอแง ร้องกวน ไม่ค่อยดูดนม ความตึงของกล้ามเนื้อไม่ดี ร่างกายอ่อนปวกเปียก อาเจียน หายใจผิดปกติ ปากเขียว ตัวเหลือง ผิวมีผื่นสีม่วง และอาจหยุดหายใจได้ ซึ่งทารกที่ติดเชื้อเริมเสี่ยงเสียชีวิตถึง 50% หรือมีโอกาสรอดแต่สมองจะพิการ

การป้องกันเริมในทารก

  1. เริ่มตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ ควรฝากครรภ์และไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ หมั่นสังเกตตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณจุดซ่อนเร้นของแม่ว่าพบตุ่มน้ำใสหรือไม่ หรือเกิดแผลบริเวณริมฝีปากหรือไม่ หากพบควรแจ้งแพทย์เพื่อตรวจรักษา และวางแผนในการคลอดต่อไป

  2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสทารกแรกเกิด ด้วยการหอมแก้ม จูบร่างกาย เมื่อพบว่าตัวเองมีแผลเริมบริเวณที่ปาก หรือมีตุ่มน้ำใส จากอาการอื่น ๆ

  3. ควรใช้ช้อนกลางตักอาหาร งดหลอดดูด หรือดื่มน้ำแก้วเดียวกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อลดอัตราการติดเชื้อเริม

หากพ่อแม่มีการป้องกันและดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง อัตราการติดเชื้อทั้งตัวพ่อแม่เองย่อมน้อยลง การติดเชื้อสู่ลูกวัยทารกก็ย่อมลดลงเช่นกัน และควรระมัดระวังการสัมผัสทารกหลังคลอดจากบุคคลอื่น เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะพาเชื้อโรคอะไรมาติดลูกเราบ้าง

หนาวนี้อย่าประมาท RSV

2375 

ไวรัส RSV เป็นไวรัสที่ยังไม่มีทั้งยารักษา มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝน หรือแม้แต่ช่วงปลายฝนต้นหนาวก็ต้องระวังค่ะ เพราะเจ้าเชื้อนี้ชอบอากาศชื้น   

ไวรัส RSV คืออะไร

Respiratory Syncytial virus หรือ RSV เป็นเชื้อไวรัสที่รู้จักกันมานานในวงการแพทย์ ซึ่ง RSV เป็นสาเหตุของอาการหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก

สาเหตุ

ไวรัส RSV จะพบมากและเจริญเติบโตได้ดีในช่วงที่มีอากาศชื้นโดยเฉพาะหน้าฝน หรือปลายฝนต้นหนาว แถมยังติดต่อกันได้ง่ายเพียงการสัมผัสใกล้ชิด หรือสัมผัสสารคัดหลั่งทางตาหรือจมูก และทางลมหายใจ 

อาการ
  • มีน้ำมูกใส
  • มีอาการไอ
  • จามมีเสมหะมาก
  • หอบเหนื่อย หายใจเร็ว หายใจแรง หายใจครืดคราด มีเสียงหวีดในปอด
  • ตัวเขียว
ไวรัส RSV กับโรคหวัดต่างกันอย่างไร

หวัดธรรมดาจะมีอาการไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล กินน้ำ กินนมได้ ซึ่งจะหายได้ใน 5-7 วัน แต่อาการที่เกิดจากไวรัส RSV มีอาการหอบ เหนื่อย บางคนหอบมากจนเป็นโรคปอดบวม หรือหายใจมีเสียงวี้ดแบบหลอดลมฝอยอักเสบ บางรายไอมากจนอาเจียน ซึมลง ตัวเขียว กินข้าว กินน้ำ กินนมไม่ได้

รักษา ไวรัส RSV
  1. ระวังเรื่องการขาดน้ำ เพราะจะยิ่งทำให้เสมหะเหนียวข้นและเชื้อลงปอด
  2. อาจต้องใช้ยาพ่นร่วมกับ oxygen เพื่อช่วยขยายหลอดลม
  3. รับประทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4 – 6 ชั่วโมงพร้อมกับเช็ดตัวลดไข้
  4. นอนพักผ่อนเยอะ ๆ ร่างกายก็จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ใช้เวลาประมาณ 7 – 14 วัน จึงจะหาย  
วิธีป้องกัน ไวรัส RSV
  • ฉีดวัคซีน
  • การล้างมือให้เด็กเล็กบ่อย ๆ และพี่เลี้ยงเด็กก็ต้องล้างมือบ่อย ๆ เช่นกัน
  • รับประานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ครบ 5 หมู่ 
  • ให้ลูกนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายในที่อากาศถ่ายเท 

หลีกเลี่ยงการสัมผัสเด็กที่สงสัยว่าเป็นหวัด และใส่หน้ากากอนามัยป้องกันเอาไว้ เมื่อมีเด็กป่วย หากเป็นไปได้ให้ผู้ปกครองรับกลับบ้าน แต่หากไม่สามารถรับกลับบ้านได้ ให้แยกเด็กและแยกเครื่องใช้ของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค หลีกเลี่ยงการจูบและหอมเด็ก เพราะอาจเป็นการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว ไม่พาบุตรหลานไปที่ชุมชมสถานที่ที่มีคนเยอะ

ไวรัส RSV ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่จะเป็นการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น แถมยังมีอาการคล้ายโรคหวัด เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องหมั่นสังเกตอาการของลูก ซ้ำร้ายเจ้าโรคนี้มีโอกาสเกิดซ้ำได้อีก ถ้าเด็ก ๆ ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งจะกระตุ้นอาการหอบจนทำให้เป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในที่สุดค่ะ

หอมแดงก็แก้หวัดให้ลูกทารก ลูกเล็กได้จริงไหม วิธีใช้หัวหอมแดงแก้หวัด

 

ว่ากันว่าในหัวหอมแดงมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยลดไข้ แก้หวัดสำหรับลูกทารก ลูกเล็กได้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร มาดูคำแนะนำกันค่ะ

หอมแดงก็แก้หวัดให้ลูกทารก ลูกเล็กได้จริงไหม วิธีใช้หัวหอมแดงแก้หวัด

อ้างอิงจากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำหอมแดงแห้งมาทดลองรักษาเด็กแรกเกิดจนถึง 3 ปี จำนวน 20 คน พบว่าหอมแดงสามารถรักษาหวัดได้ดี ผู้ปกครองของก็พึงพอใจ และไม่ปฏิเสธการรักษา ในทางการแพทย์นั้นถือว่าช่วยลดต้นทุนการสั่งซื้อยารักษาโรคหวัดได้ นอกจากนี้ยังมีความสะดวกและประหยัดเวลา เมื่อเทียบกับการใช้ยา chlorpheniramine ที่สำคัญยังไม่พบผลข้างเคียงของการใช้หอมแดงรักษาหวัดด้วย

ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า ในหัวหอมนั้นมีน้ำมันอัลลิลิก ไดซัลไฟด์ ( Allilic disulfides oil ) เป็นน้ำมันหอมระเหย รักษาอาการหวัดเบาๆ ที่ไม่มีไข้ โดยน้ำมันอัลลิลิก ไดซัลไฟด์จากหัวหอมจะช่วยต้านสิ่งแปลกปลอม ลดการอักเสบ ต้านเชื้อไวรัส ขับเสมหะ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี

3 วิธีใช้หอมแดงรักษาหวัด

  1. ทุบหัวหอมแดงให้บุบ แล้ววางไว้บนหัวนอน ใช้หอมแดง ประมาณ 3-4 หัว หรือ 1 กำมือ ปอกเปลือกแล้วทุบจนมีน้ำซึมออกมาไม่ จากนั้นห่อด้วยผ้าบางๆ มัดจุกแล้วนำไปวางบนหัวนอนลูก ช่วยบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหลได้

  2. ต้มน้ำหัวหอมแดง ใช้อาบ ปอกเปลือกหอมแดง แล้วนำไปต้มในน้ำร้อนจนเดือด จานั้นนำไปผสมน้ำให้ลูกอาบ คุณแม่บางคนผสมใบมะขามลงไปด้วย น้ำมันระเหยจากหัวหอมจะช่วยให้ลูกหายใจโล่งขึ้นค่ะ และต้องทำทุกวัน จนกว่าลูกจะหาย

    ข้อควรระวังการใช้หัวหอมอาบน้ำให้ลูกคือ อย่าให้น้ำเข้าหน้าหรือดวงตา เพราะอาจจะทำให้แสบตา ระคายเคืองได้ หากมีบาดแผลบริเวณร่างกายก็ไม่ควรอาบ เพราะถึงหอมแดงจะมีสรรพคุณเป็นยา ช่วยรักษาแผลได้แต่อาจจะทำให้ลูกเล็กๆ ระคายเคืองได้เช่นกัน

  3. สูดดมไอน้ำต้มหัวหอมแดง วิธีนี้ดูยุ่งยากและอันตรายสำหรับเด็กเล็กไปสักหน่อย แต่สามารถใช้กับเด็กโตที่พูดรู้เรื่องได้ คือต้มหัวหอมในน้ำเดือด รอจนอุ่น เทใส่กะละมัง จากนั้นใช้ผ้าขนหนูคลุมหัวและหม้อไว้ ให้ลูกหลับตาและสูดดมไอน้ำ ความร้อนจะช่วยขับเหงื่อลดไข้ และน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้หายใจโล่งขึ้น

นอกจากนี้ การกินหอมแดงก็ช่วยบรรเทาอาการหวัดได้ค่ะ แต่สำหรับเด็ก ๆ แล้วอาจจะไม่ชอบรสชาติและกินยากไป ดังนั้นใช้วิธีเบื้องต้นที่กล่าวมาก็ช่วยบรรเทาได้แล้วค่ะ 

อย่าหอมแก้มทารก! 5 โรคติดเชื้อรุนแรงที่มาจากการหอมแก้มเด็กทารก

โรคติดต่อ ทารก, โรคจากการสัมผัสทารก, ทารก RSV, ลูกเป็น RSV, ทารก อีสุกอีใส, โรคอีสุกอีใส, ลูกเป็นอีสุกอีใส, ทารก 4S, โรค 4S, ลูกเป็นโรค 4S, โรคหัด, เริม, ทารกเป็นเริม, ทารก โรคหัด, โรคจูบ, โรคจากการจูบ ทารก, ห้ามจูบ หอมแก้ม ทารก, ทำไมห้าม จูบแก้มทารก

รู้หรือไม่ว่า การหอมแก้ม จูบแก้มเด็กทารก เรากำลังสร้างความเสี่ยงติด 4 เชื้อโรครุนแรงที่อาจทำให้เด็กทารกเสียชีวิตได้เลย

อย่าหอมแก้มทารก! 5 โรคติดเชื้อรุนแรงที่มาจากการหอมแก้มเด็กทารก

เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ภูมิคุ้มกันไม่ได้แข็งแรงเหมือนผู้ใหญ่ค่ะ เพราะฉะนั้นเวลาใกล้ชิดใครที่เจ็บป่วยก็มีโอกาสไม่สบายได้ทั้งนั้น ยิ่งผู้ใหญ่บางคนที่ชอบกอด หอม หรือจูบเด็กด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ 

  1. ทารกเป็น RSV
    โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก พบในช่วงที่มีอากาศชื้นโดยเฉพาะหน้าฝน แถมยังติดต่อกันได้ง่ายเพียงการสัมผัสใกล้ชิด หรือสัมผัสสารคัดหลั่งทางตาหรือจมูก และทางลมหายใจ

  2. ทารกเป็น 4S สตาฟิโลค็อกคอล สเกลด์ สกิน ซินโดรม หรือ Staphylococcal scalded skin syndrome (SSSS)โรคติดเชื้อทางผิวหนัง เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังของคนเราทั่วไป มีโอกาสเกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะเด็กทารกแรกเกิดหรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ  ซึ่งนอกจากจะได้รับเชื้อจากผิวหนังของตนเองแล้ว เด็กยังมีโอกาสรับเชื้อจากการสัมผัสตัวของผู้ใหญ่ด้วยค่ะ

  3. ทารเป็นเริมโรคติดเชื้อจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์  มี 2 ชนิดคือ HSV1 ก่อให้เกิดการติดเชื้อในช่องปากและริมฝีปาก และ HSV2 เป็นการติดเชื้อที่อวัยวะเพศ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์  ซึ่งเชื้อเริมที่ทำให้ทารกเสี่ยงเสียชีวิตนั้น มักมาจากเชื้อที่เกิดจากเพศสัมพันธ์ และติดเชื้อที่จุดซ่อนเร้น แล้วเชื้อนี้แพร่กระจายไปสู่ทารก โดยทารกติดเชื้อนี้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ผ่านทางเยื่อหุ้มทารก

    นอกจากนี้ทารกยังติดเชื้อเริมได้ในช่วงเวลาหลังคลอดด้วย ผ่านการสัมผัสจากบุคคลที่มีเชื้อเริมอยู่ แม้จะเป็นเริมสายพันธุ์ไม่รุนแรง แต่ก็ส่งผลรุนแรงต่อเด็กได้ 

  4. ทารกเป็นหัด โรคหัดเป็นไข้ออกผื่นพบได้บ่อยในเด็กอายุ 1-6 ขวบ ติดต่อกันผ่านการไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย และการสัมผัสตัวกับผู้ที่มีเชื้อ ระยะฟักตัวประมาณ 8-12 วัน หลังจากนั้นจะมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ผื่นจะขึ้นประมาณวันที่ 4 และหายภายใน 14 วัน

    โดยระหว่างนี้การปฐมพยาบาลหากมีไข้สูงก็ให้ยาลดไข้ ยาขับเสมหะ และเช็ดตัว แต่ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยอาจจะมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นได้ อาทิ ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง ช่องหูอักเสบ สมองอักเสบและภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะในเด็กขาดสารอาหาร หรือขาดวิตามินเอ เมื่อเป็นหัดจะมีความรุนแรงมาก และถ้ามีปอดอักเสบร่วมด้วย อาจทำให้เสียชีวิตได้

  5. ทารกเป็นอีสุกอีใส โรคอีสุกอีใส หรือ Chickenpox เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ ไวรัส (Varicella zoster virus หรือ เรียกย่อว่า VZV/ วีซีวี ไวรัส) หรือ ฮิวแมนเฮอร์ปี่ไวรัส ชนิดที่ 3 (Human herpes virus type 3) ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด ติดต่อโดยการหายใจ ไอ จามรดกัน หอมแก้ม หรือการสัมผัสถูกตุ่มแผลสุกใส สัมผัสถูกของใช้ เช่น ที่นอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่เปื้อนตุ่มแผลของผู้ป่วย หายใจเอาละอองของตุ่มน้ำผ่านเข้าไปทางเยื่อเมือก

วิธีป้องกันโรคติดต่อในทารกจากการจูบ หอมแก้มทารก 

  1. ให้ลูกกินนมแม่ตั้งแรกเกิดจนถึง 6 เดือน หรือนานที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก
  2. อุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าของลูก ต้องสะอาดอยู่เสมอ
  3. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อที่แพทย์รับรองว่าปลอดภัยสำหรับเด็กในการทำความสะอาดเสื้อผ้า ของใช้ และร่างกายของเด็ก
  4. ก่อนสัมผัสเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ควรล้างมือด้วยสบู่ฆ่าเชื้อและเช็ดทำความสะอาดให้แห้ง
  5. อย่าให้คนแปลกหน้า กอด หอม หรือจับบริเวณใบหน้าของลูก 
  6. พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านควรดูแลสุขลักษณะ ไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน  
  7. หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ที่แออัดและผู้คนพลุกพล่าน เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ
     

อันตรายใกล้ตัว! ห้ามเขย่าเด็กทารกไม่ว่าจะเล่นหรือร้องไห้ เสี่ยงพิการ เสียชีวิต

 
อันตรายจากการเขย่าตัวเด็ก ทารก, ห้ามเขย่าตัวเด็ก ทารก, ห้ามเขย่าตัวทารก, Shaken Baby Syndrome, ทำไมห้ามเขย่าตัวเด็ก ทารก, เขย่าตัวเด็กเสี่ยงพิการ, เขย่าตัวเด็กเสี่ยงเสียชีวิต, เขย่าตัวเด็กทารก สมองพิการ, เขย่าตัวเด็ก ทารก สมองบวม, รักลูก Community of The Experts, คลินิกเบบี้

การเขย่าตัวทารกแรกเกิด หรือ เด็กเล็กอันตรายถึงชีวิตนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการเขย่าเพราะเล่น อยากให้หยุดร้อง หรือ เพราะโมโหก็ไม่ควรทำเด็ดขาด กุมารแพทย์จะมาบอกให้รู้ว่า การเขยา่ตัวเด็กแม้เพียงเบาๆ ไม่กี่วินาทีอันตรายแค่ไหน พร้อมแนะนำวิธีปลอบให้ลูกหยุดร้องได้อย่างใจเย็น และ ได้ผลค่ะ

อันตรายใกล้ตัว! ห้ามเขย่าเด็กทารกไม่ว่าจะเล่นหรือร้องไห้ เสี่ยงพิการ เสียชีวิต

Shaken Baby Syndrome ภาวะที่เกิดจากการเขย่าตัวทารก

ภาวะที่มักพบในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี ซึ่งเกิดจากการที่พ่อแม่จับลูกเขย่าแรง ๆ อาจจะด้วยความตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แรงเขย่านั้นจะทำให้เนื้อสมองกระแทกกับกะโหลกศีรษะ เส้นเลือดรอบเนื้อสมองฉีกขาด เกิดเลือดออกในสมองและอาจลุกลามไปจนทำให้เส้นเลือดในจอตาขาดได้ด้วย เพราะเส้นเลือดในสมองของเด็กเล็กยังไม่แข็งแรง โอกาสที่มีการฉีกขาดจึงมีมากกว่าผู้ใหญ่

เด็กที่ตกอยู่ในภาวะสมองกระทบกระเทือนจากการถูกเขย่าตัวมีโอกาสเสียชีวิต ถึง 1 ใน 3 หรือหากรอดชีวิตอีกร้อยละ 30-40 ก็ไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังมีกล้ามเนื้อคอไม่แข็งแรง ยังไม่สามารถพยุงศีรษะตัวเองได้ หากถูกเขย่าอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดกลุ่มอาการเด็กถูกเขย่า หรือภาษาอังกฤษ เรียกว่า Shaken Baby Syndrome เรามาทำความรู้จัก และเรียนรู้วิธีป้องกันภาวะนี้กันค่ะ

วิธีสังเกตอาการของภาวะ Shaken Baby Syndrome หลังจากเด็กถูกเขย่า

  1. อาเจียน
  2. หายใจลำบาก
  3. กลืนน้ำลายไม่ได้
  4. หน้าผากบวมโนปูดออกมาชัดเจน  

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และควรแจ้งด้วยว่าเด็กได้รับการเขย่าตัวอย่างรุนแรง เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาทันเวลา ผลที่อาจตามมาในระยะยาวหากไม่ได้รับการรักษาทันที คือ ตาบอด พัฒนาการช้าลง ชัก เป็นอัมพาต หรือเสียชีวิตได้

สรุปแล้ว Shaken baby syndrome หรือกลุ่มอาการเด็กถูกเขย่า ทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บ และเป็นภาวะใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้ทุกบ้านค่ะ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กวัยต่ำกว่า 1 ปี หากพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู รู้เท่าไม่ถึงการณ์เขย่าตัวลูก ไม่ว่าจะเพราะเล่น หรือโมโหที่ลูกร้องไห้ ก็อาจทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตได้นะคะ

คำแนะนำหากลูกร้องไห้ไม่หยุด โดยไม่ต้องเขย่าตัวให้เกิดอันตราย

  1. หาสาเหตุที่ทำให้เด็กร้องก่อน เพราะส่วนใหญ่เด็กมักจะร้องเมื่อหิว ง่วง หรือไม่สบายตัว
  2. หากไม่พบสาเหตุ ให้ลองอุ้ม ปลอบ หรือ เบี่ยงเบน ชวนให้เด็กสนใจสิ่งอื่น

  3. พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง หนักแน่น พยายามเข้าใจว่าเด็กยังสื่อสารด้วยคำพูดไม่ได้จึงต้องใช้วิธีการร้อง แต่หากคิดว่าควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ไหวหรือหงุดหงิดมาก ควรเรียกหาคนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้มาดูแลเด็กแทนในช่วงนั้น

  4. ต้องจำไว้เสมอว่าไม่ควรเขย่าหรือทุบตีเด็ก เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เด็กหยุดร้องแล้ว ยังจะเกิดอันตรายอย่างรุนแรงกับเด็กได้

การดูแลเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป เพราะลักษณะของเด็กมีหลากหลายตามพื้นอารมณ์ของแต่ละคน พ่อแม่หรือคนเลี้ยงดูจึงต้องปรับตัวตามลักษณะของเด็กด้วย พยายามไม่เปรียบเทียบกับครอบครัวอื่น ๆ หรือไปรับข้อมูลมากมายที่จะทำให้ตัวเองเครียด จำไว้เสมอว่า “เด็กแต่ละคน ไม่เหมือนกัน”

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องดูแล สังเกต เอาใจใส่ลูกของเรา เพื่อจะได้รู้จังหวะและลักษณะของเขา เราจะได้ไม่เครียดและสนุกกับการเลี้ยงลูก คอยติดตามพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกในแต่ละวันอย่างมีความสุขค่ะ เหนื่อยแต่ก็คุ้มค่าค่ะ


รักลูก Community of The Experts 

พญ.สินดี จำเริญนุสิต
กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม

อาการ TICS ภาวะกล้ามเนื้อกระตุก เด็กเป็นบ่อย พ่อแม่แก้ไขได้

อาการ TICS-ภาวะ TICS-ภาวะกล้ามเนื้อกระตุก-ลูกกระพริบตาบ่อย-อาการกระพริบตาบ่อย-กระพริบตาบ่อยเกิดจากอะไร-เด็กกระพริบตาบ่อย-อาการที่เด็กกระพริบตาบ่อยๆ-เด็กเครียด-ภาวะ TICS ในวัยเด็ก

อาการ TICS ภาวะกล้ามเนื้อกระตุก มักเกิดขึ้นในเด็ก ทำให้กระพริบตาบ่อย กระพริบตาถี่มาก ซึ่งนี่คืออีกหนึ่งอาการผิดปกติของสายตา

อาการ TICS ภาวะกล้ามเนื้อกระตุก เด็กเป็นบ่อย พ่อแม่แก้ไขได้

อาการ TICS พบบ่อยในเด็กอายุระหว่าง 4-8 ปี ส่วนใหญ่จะพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง สาเหตุมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ถ้าหากพบอาการ TICS ในวัยผู้ใหญ่โดยที่ไม่เคยมีประวัติของภาวะ TICS ในวัยเด็ก อาจเกิดจากความผิดปกติทางสมอง 

อาการ TICS เป็นภาวะที่ทำให้รู้สึกต้องเคลื่อนใหวร่างกาย เปล่งเสียง หรือเป็นทั้งสองอย่างซึ่งทำให้มีการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า คอ ใหล่ แขน และมือ หรือเปล่งเสียงซ้ำ ๆ มักเป็น ๆ หาย ๆ อาการ TICS มักควบคุมได้ในบางสถานการณ์ เช่น เวลาออกนอกบ้าน ได้พบปะผู้คน จะสามารถควบคุมอาการได้ชั่วคราว แต่จะมีการแสดงอาการมากกว่าปกติเมื่อกลับมาอยู่บ้าน หรืออยู่คนเดียว


อาการ TICS แบ่งเป็น 2 แบบ

1. การเคลื่อนไหว (MOTOR TICS) อาการที่ต้องขยับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ยักใหล่ หรือกระพริบตา ในบางคนจะมีอาการแสดงทางตรงกันข้ามกล่าวคือ จะมีอาการเกร็ง หรือหยดการกระทำ (Blocking TICS)

2. การเปล่งเสียง (PHONIC TICS) อาการที่ต้องเปล่งเสียงออกมาหรือพูดบางคำพูด เช่น กระแอม พูดคำหยาบ

 

ทำไมลูกถึงกระพริบตาบ่อย

1. เกิดจากบุคลิกประจำตัวของเด็กเอง

มักพบในเด็กที่ขี้อาย หรือมีความรู้สึกอ่อนไหว ต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือตำหนิจากผู้อื่น กลัวที่จะทำอะไรผิดหรือไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้อื่น เด็กที่พบว่ามีอาการ TICS ส่วนใหญ่พบว่าเป็นเด็กปกติที่ค่อนข้างฉลาด แต่อ่อนไหวง่าย

2. เกิดจากพ่อแม่ และทุกคนรอบข้าง

เด็กจะมีอาการเพราะคนรอบข้าง ที่ส่วนใหญ่จะตั้งความคาดหวังไว้ค่อนข้างสูง เกินกว่าที่เด็กเองจะทำได้ พบว่าผู้ที่คอยจ้ำจี้จ้ำไช หรือขี้บ่นกับการกระทำของเด็กอยู่ตลอดเวลา หรือคอยที่จะเปรียบเทียบในทางลบอยู่เป็นประจำ

อาการ TICS-ภาวะ TICS-ภาวะกล้ามเนื้อกระตุก-ลูกกระพริบตาบ่อย-อาการกระพริบตาบ่อย-กระพริบตาบ่อยเกิดจากอะไร-เด็กกระพริบตาบ่อย-อาการที่เด็กกระพริบตาบ่อยๆ-เด็กเครียด-ภาวะ TICS ในวัยเด็ก

3. เกิดจากการเลียบแบบ

การกระพริบตาบ่อย ๆ หรือการกระตุกของกล้ามเนื้อแก้มที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีการระบายความเครียดของเด็ก ที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดขึ้น และเป็นไปอย่างไม่ได้กำหนดเอง เพราะเป็นจากจิตใต้สำนึก

ในกรณีที่เด็กเริ่มมีอาการกระพริบตาบ่อย ๆ พ่อแม่ควรพาเด็กไปพบกุมารแพทย์เพื่อให้ช่วยดูว่ามีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของตาหรือไม่ เช่น ขนตาแยงตา ปัญหาภูมิแพ้ทางตา หรือวินิจฉัยแยกโรคจากปัญหาทางกายอย่างอื่น ๆ

 

พ่อแม่จะช่วยลูกที่มีอาการ TICS ได้อย่างไร

1. ลดความเครียด ช่วยให้ลูกได้ผ่อนคลาย

โดยช่วยให้ลูกได้มีเวลาว่าง และพักผ่อนได้เพียงพอ เช่น ได้มีโอกาสเล่นตามประสาเด็กกับเพื่อน ๆ เพราะปัจจุบันหลังเลิกเรียน เด็กมักจะไม่ค่อยได้เล่นที่โรงเรียน แต่กลับต้องเรียนพิเศษต่ออีก จึงควรจัดเวลาให้ลูก ในเรื่องการเรียนพิเศษ ไม่ให้มากจนเกินไป

2. ลดการตำหนิลูก

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินอาหาร การแต่งตัว การทำการบ้าน การอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือเรื่องคะแนนสอบที่อาจจะไม่ได้ดั่งใจ แม้ว่าพ่อแม่อาจจะรู้สึกหงุดหงิด และคิดว่าคุณจำเป็นต้องพูดเตือนลูกอยู่เสมอ ๆ แต่ต้องเลือกใช้วิธีอื่น ที่เป็นในเชิงบวกกับลูก



3. ให้ทำเป็นไม่เห็นเมื่อลูกกระพริบตาบ่อย ๆ 

หากคอยดุลูกเรื่องกระพริบตาบ่อย ๆ ลูกก็จะเกิดความเครียดมากขึ้น ยิ่งทำให้กระพริบตาบ่อยขึ้น ให้ทำเป็นไม่เห็นบ้างเพื่อให้ลูกผ่อนคลาย และควรจะบอกคุณครู คุณปู่ คุณย่า และคนอื่น ๆ รอบข้าง ให้ใช้วิธีการเดียวกัน และไม่ล้อเลียนเด็ก

4. หลีกเลี่ยงการลงโทษ

ลูกมีอาการกระพริบตาบ่อย ๆ ลูกไม่ได้แกล้งทำ แต่ที่จริงแล้ว เด็กเองก็ไม่สามารถควบคุมอาการ TICS ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก ที่จะปลดปล่อยความเครียด ดังนั้นอย่าดุหรือทำโทษลูก เพราะจะยิ่งเป็นการเพิ่มความเครียด ให้กระพริบตามากขึ้นไปอีก

 

แต่ถ้าพ่อแม่ทำทุกข้อแล้วลูกยังไม่หาายจากอาการ TICS ยังคงมีอาการขยิบตา ย่นจมูก กระตุกมุมปาก บิดคอ ยักไหล่ สะบัดมือ กระตุกมือ ซ้ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาต่อไป

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานนท์, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

เช็กสัญญาณทารกปวดหัว ลูกทารกปวดหัวอาจไม่ใช่อาการปกติ

ทารก ปัวดหัว, เด็กปวดหัว, ลูกปวดหัว, อาการ ทารกปวดหัว, อาหาร เด็กปวดหัว, ทารก ปวดหัว จากอะไร, ทำไม ทารกปวดหัว, โรค ทารกปวดหัว, ทำไม เด็กปวดหัว, โรคเด็ก ปวดหัว, ทารก เป็นหวัด ปวดหัว, เด็ก ทารก ปวดหัว งอแง ร้องไห้, เด็ก ทารก ปวดหัว ไม่กินนม, เด็ก ทารก ปวดหัว อาเจียน 

ลูกทารกก็อาจมีอาการปวดหัวได้เหมือนกัน เขาจะส่งสัญญาณบอกแม่อย่างไรว่าปวดหัว เพื่อหาสาเหตุและรักษาโรคที่ทำให้ปวดหัว

เช็กสัญญาณทารกปวดหัว ลูกทารกปวดหัวอาจไม่ใช่อาการปกติ

ทารกแรกเกิด - 1 ปี ระบบภูมิต้านทานยังทำงานไม่สมบูรณ์ ไม่แข็งแรง มีความเสี่ยงติดเชื้อโรคได้ง่าย ที่สำคัญบริเวณกระหม่อมหน้ายังไม่ปิด เมื่อลูกเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือมีการติดเชื้อทางเดินหายใจ จะส่งผลให้ส่วนเชื่อมต่อระหว่างคอ จมูก และหู ติดเชื้อต่อๆ กันได้ ทำให้ลูกทารกรู้สึกปวดหู และปวดหัวค่ะ

สัญญาณว่าลูกทารกปวดหัว

  • ใช้มือจับ ถู ตี ขยี้ บริเวณศีรษะ หรือใบหน้า ดึงผมหรือดึงหูตัวเอง
  • งอแง ร้องกวนกว่าปกติ ดูหงุดหงิด
  • ไม่กินนม ไม่กินอาหาร
  • สีหน้าไม่สดชื่น ไม่แจ่มใส ซึม หรือความรู้สึกตัวลดลง
  • ไม่ค่อยขยับตัว ไม่ค่อยขยับแขนขา หรือขยับได้ไม่เท่ากัน
  • มีไข้ อาเจียน มีน้ำมูก มีน้ำหรือหนองออกจากหู
  • กระหม่อมหน้าโป่งนูน แข็งตึง 

เด็กทารกปวดหัวจากโรคร้ายแรง 

  1. โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และสมองอักเสบ จากการติดเชื้อหวัด และหูน้ำหนวก แล้วเชื้อเข้าสู่เยื่อหุ้มสมอง สังเกตอาการได้จากกระหม่อมหน้าของลูกจะโป่งตึง ทารกบางคนอาจเกิดน้ำหนองคั่งอยู่ภายใน ทำให้ปวดหัวมากขึ้น มีไข้สูง อาเจียนพุ่ง และระบบประสาทต่างๆ ทำงานผิดปกติ เช่น ซึมลง ไม่ค่อยดูดนม ไม่ขยับตัว ไม่ขยับแขนขา ตาดำมองต่ำลงตลอดเวลา (sunset eyes) ถือเป็นสัญญาณอันตราย ที่เสี่ยงเสียชีวิตได้ 

  2. โรคไข้เลือดออก ที่พบบ่อยคือภาวะเลือดออกในสมองจากเส้นเลือดผิดปกติ หรือจากเนื้องอก  และโรคเนื้องอกในสมอง แต่เกิดน้อยมากในทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็ก    

ทารกปวดหัวจากพฤติกรรมพ่อแม่และสิ่งแวดล้อม 

  • การใส่หมวก ผ้าคาดผม หรือสายรัดศีรษะ ที่รัดแน่นเกินไปหรือมีน้ำหนักมาก  มากดบริเวณศีรษะ จึงทำให้ลูกปวดหัว เพราะฉะนั้นระวังอย่าให้รัดแน่นเกินไป รวมทั้งการใส่เป็นเวลานานก็ทำให้ลูกเจ็บหรือปวดหัวได้เช่นกัน

  • อุ้มเขย่า (Baby Shaken Syndrome) การเล่นกับลูกเล็กแรงๆ ด้วยความรักและมันเขี้ยว หรืออุ้มเขย่า โยน อาจทำให้เส้นเลือดในสมองของลูกฉีกขาด เลือดออกในสมอง และเพิ่มแรงดันในสมองทำให้เด็กปวดหัวมากขึ้น และมีโอกาสเสียชีวิตได้

  • อุบัติเหตุโดยเฉพาะการตกจากที่สูง เช่น ตกเตียง ตกบันได ตกเก้าอี้ อาจทำให้เลือดออกในสมอง ลูกจะปวดหัวมาก และเสี่ยงเสียชีวิต

เด็กขาโก่ง ลูกขาโก่ง ต้องดัดขาไหม ลูกขาโก่งต้องรักษาแก้ไขอย่างไร

เด็กขาโก่ง, ลูกขาโก่ง, แก้ไขขาโก่ง, ดัดขา ขาโก่ง, ลูกขาไม่ตรง, ขาโก่ง ต้องดัดขาไหม, ขาโก่ง ดัดขา ขาตรงไหม, ขาโก่ง ดัดขา ขาหัก, ขาโก่ง ดัดขาได้ไหม, ขาโก่ง ดัดขา อันตรายไหม, วิธีดัดขาเด็ก, ขาโก่ง รักษา, ขาโก่ง แก้ไขยังไง, เด็กขาโก่ง สาเหตุ, ทรรก ขาโก่ง เกิดจาก
 
จะสังเกตยังไงว่าลูกขาโก่ง เด็กขาโก่ง แล้วควรดัดขาลูกไหมให้ขาตรง ก่อนทำให้ลูกได้รับอันตรายจากการดัดขา มาอ่านเรื่องจริงเกี่ยวกับลูกขาโก่งที่บทความนี้ก่อนค่ะ

เด็กขาโก่ง ลูกขาโก่ง ต้องดัดขาไหม ลูกขาโก่งต้องรักษาแก้ไขอย่างไร

หนึ่งเรื่องที่คุณแม่ หรือ คุณปู่คุณย่า ญาติๆ ผู้ใหญ่จะคอยแนะนำคือทำอย่างไรไม่ให้ลูกขาโก่ง เมื่อเห็นขาลูกไม่ตรงแนบชิดติดกัน มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องขาโก่งอะไรบ้างที่บอกเล่าเชื่อต่อ ๆ กันมาคุณหมอจะมาไขข้อข้องใจค่ะ

ความเชื่อเรื่องเด็กทารกขาโก่ง ลูกขางโก่ง

  • ความเชื่อ : ขาโก่งเพราะใส่ผ้าอ้อม ไม่จริง เพราะจริงๆ แล้วการใช้ผ้าอ้อมอาจจะช่วยป้องกันสะโพกหลุดในเด็กได้ดีทีเดียว

  • ความเชื่อ : ขาโก่งเพราะอุ้มลูกเข้าเอว ไม่จริง การอุ้มลูกเข้าเอวอาจจะช่วยกันสะโพกหลุดได้ด้วย

  • ความเชื่อ : ดัดขาแก้ขาโก่งได้ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนในเรื่องนี้ แต่มีงานวิจัยส่วนใหญ่ว่าถึงจะไม่ดัดก็ทำให้ขาเด็กสามารถพัฒนาการตรงได้เอง

ความเชื่อ : ดัดขาลูกหลังอาบน้ำ ดัดบ่อย ๆ จะหายขาโก่ง ในเด็กเล็กเอ็นต่าง ๆ ในร่างกายจะนิ่ม ดังนั้นการดัดเข่าจะทำให้ดูเหมือนเข่าตรงเล็กน้อย ตอนดัด สิ่งที่ดัดคือเอ็นยึดข้อเข่า โดยกระดูกไม่ได้รับการดัดแต่อย่างไร กระดูกขาโก่งจะหายได้เองอยู่แล้วเมื่อถึงเวลา ดังนั้นจึงทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะมือดัด ส่วนในรายขาโก่งเป็นโรค ดัดอย่างไร ก็ไม่หาย และจะยิ่งเป็นมากขึ้นด้วย ดังนั้นการดัดด้วยมือจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ขาหายโก่งแต่อย่างใด - (ที่มา : เขาทักว่า...ลูกดิฉันเดินขาโก่ง)

ลูกทารกขาโก่ง เด็กขาโก่ง ทำอย่างไรดี ต้องแก้ไขไหม 

ภาวะขาโก่ง เป็นภาวะที่คุณพ่อคุณแม่กังวล และนำลูกๆ มาพบคุณหมอกันมาก โดยเมื่อทารกคลอดออกมาแล้วขาไม่ตรงชิดกันก็จะกังวลว่าลูกมีกระดูก มีโครงสร้างผิดปกติ ซึ่งคุณหมอได้ให้คำแนะนำว่า ภาวะขาโก่งนั้นมักจะเป็นกับเด็กทารกแรกเกิดเกือบทุกคนเพราะในขณะที่อยู่ในครรภ์ ในมดลูกที่มีพื้นที่อันน้อยนิดของแม่ช่วงสุดท้ายก่อนคลอดต้องอยู่ในท่างอตัว งอเข่า งอสะโพก ขา เท้าไว้เป็นเวลานาน เมื่อคลอดออกมาก็ทำให้เห็นว่าขาโก่งซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า Physiologic Bow Legs โดยเมื่อเวลาผ่านไปร่างกายจะเริ่มพัฒนาและขาก็จะเริ่มตรงได้เอง

ผ่านไปประมาณ 2-3 ปี ขาจะเริ่มตรงเอง และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 1-2 ปีเด็กจะเริ่มยืนหรือเดินแบบเข่าชิด หรือที่เรียกว่า ขาเป็ด หรือ ขาฉิ่ง (Physiologic Knock Knee) โดยจะสังเกตเห็นชัดเมื่ออายุ 3-4 ปี หลังจากนั้นขาและเข่าของเด็กจะกลับมาตรงเหมือนเดิม

เด็กขาโก่ง, ลูกขาโก่ง, แก้ไขขาโก่ง, ดัดขา ขาโก่ง, ลูกขาไม่ตรง, ขาโก่ง ต้องดัดขาไหม, ขาโก่ง ดัดขา ขาตรงไหม, ขาโก่ง ดัดขา ขาหัก, ขาโก่ง ดัดขาได้ไหม, ขาโก่ง ดัดขา อันตรายไหม, วิธีดัดขาเด็ก, ขาโก่ง รักษา, ขาโก่ง แก้ไขยังไง, เด็กขาโก่ง สาเหตุ, ทรรก ขาโก่ง เกิดจาก

สังเกตขาอย่างไรว่าโก่งหรือไม่โก่ง

ขาของลูกที่เห็นว่าโก่งนั้น อาจเป็นโก่งจริงหรือโก่งหลอก หมายถึงกระดูกขาโก่งจริงๆ หรือกระดูกขาไม่ได้โก่งจริงแต่เนื่องจากท่ายืนไม่ตรง จึงทำให้ดูภายนอกเหมือนขาโก่ง ลองสังเกตดูเมื่อเรายืนปลายเท้าชี้ออกด้านนอก งอเข่าเล็กน้อย จะดูเหมือนขาโก่งโค้งออกด้านนอก ถ้ายืนหันปลายเท้าเข้าด้านใน งอเข่าเล็กน้อยก็เหมือนขาโก่งเข้าด้านใน เพราะในเด็กช่วงวัย 1-2 ปี ซึ่งเป็นช่วงหัดเดิน การทรงตัวยังไม่มั่นคง เด็กจะเดินขาถ่างๆ หน่อย เข่างอเล็กน้อย และกางแขนเป็นบางครั้ง เพื่อช่วยในการทรงตัว อันนี้ เป็นท่าเดินมาตรฐานของเด็กวัยนี้ ดังนั้นเวลาดูว่ากระดูกขาโก่งหรือไม่แบบง่ายๆ ต้องเหยียดเข่าให้ตรงสุด หันลูกสะบ้าตรงมาด้านหน้า หรือหันเข้ามาด้านหน้า นำข้อเท้ามาชิดกัน ถ้ามีช่องว่างระหว่างขอบในของเข่าห่างเกิน 2 นิ้วของคุณพ่อคุณแม่ ให้ลองนำลูกมาให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจต่อ หรือถ้าเมื่อนำข้อเท้ามาชิดกัน แล้วเข่าลูกซ้อนกันหรือเกยกัน ให้ลองนำลูกมาตรวจเช่นกัน - (ที่มา : เขาทักว่า...ลูกดิฉันเดินขาโก่ง)

ขาโก่งแบบนี้ต้องรักษา

แต่อย่างไรก็ตามจะมีภาวะขาโก่งที่เป็นโรคและต้องได้รับการรักษาจริงๆ เรียกว่า โรคบราวซ์ (Blount’s Disease) ปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิดโรคได้แก่ เด็กยืนหรือเดินเร็วก่อนวัย หรือพบในเด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก เชื้อชาติ หรือขาโก่งที่เกิดจากโรคที่เรียกว่า Ricket คือ โรคที่เกิดจากกระดูกขาดแคลเซียม เป็นต้น ซึ่งบางครั้งอาจจำเป็นต้องใส่อุปกรณ์กั้นขาโก่งหรือทำการผ่าตัดรักษาได้ เมื่ออายุ 3-4 ปี และหลังจากผ่าตัดจะต้องใส่เฝือกนาน 6-8 สัปดาห์

ขอบคุณข้อมูล

  • รศ.นพ.จตุพร โชติกวณิชย์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ไขข้อสงสัย เรื่องขาโก่ง

  • นพ.วีระศักดิ์ ธรรมคุณานนท์ แพทย์เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์และออร์โธปิดิกส์ในเด็ก เขาทักว่า...ลูกดิฉันเดินขาโก่ง

เด็กชายเป็นเยอะมาก! ปัญหาอัณฑะลูกชายผิดปกติ พ่อแม่ควรรู้ว่าแบบไหนที่ไม่ปกติ

ปัญหาลูกอัณฑะเด็กผู้ชาย, ลูกอัณฑะแบบไหนที่ไม่ปกติ, ลูกอัณฑะผิดปกติ, สังเกตลูกอัณฑะ, อัณฑะผู้ชายมีลักษณะอย่างไร, อัณฑะผู้ชาย, มีอัณฑะข้างเดียว, ถุงอัณฑะอัณฑะผู้ชายผิดปกติ, อัณฑะอันตราย, ภาวะลูกอัณฑะพลุบ ๆ โผล่ ๆ, สายยึดลูกอัณฑะ, อัณฑะยืดหด, อัณฑะห้อย, ไส้เลื่อนเด็ก, ลูกชาย มีไข่ข่างเดียว, ลูกขายไม่มีไข่

เคยสังเกตไหมคะ ว่าอัณฑะของลูกชายมีลักษณะอย่างไร บางครั้งดูเหมือนจะมีอัณฑะข้างเดียว แต่บางครั้งก็เห็นทั้ง 2 ข้างอยู่ในถุงอัณฑะ บางครั้งก็ไม่มีอัณฑะเลย แบบไหนที่เรียกว่าผิดปกติ พ่อแม่ควรรู้ก่อนจะเกิดอันตรายนะคะ

เด็กชายเป็นเยอะมาก! ปัญหาอัณฑะลูกชายผิดปกติ พ่อแม่ควรรู้ว่าแบบไหนที่ไม่ปกติ

ลูกอัณฑะในเด็กชาย แบบไหนที่เรียกว่าผิดปกติ

  1. ภาวะลูกอัณฑะพลุบ ๆ โผล่ ๆ (Retractile testis)
    ลูกอัณฑะพลุบ ๆโผล่ ๆ เพราะลูกอัณฑะจะมีสายยึดลูกอัณฑะที่มีการยืดหดได้ดีพอควร ทำให้เวลาที่ตื่นเต้น หรืออากาศเย็น ก็มีการหดตัวของสายห้อยลูกอัณฑะดึงให้ลูกอัณฑะข้างนั้นขึ้นมาอยู่สูงที่บริเวณขาหนีบ แทนที่จะลงมาอยู่ในถุงอัณฑะเหมือนเวลาปกติ ซึ่งภาวะนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย ๆ และไม่ได้มีผลกระทบต่อการเจริญพันธ์ใด ๆ 

    วิธีสังเกตลูกชาย ว่าลูกอัณฑะผิดปกติหรือไม่
    วิธีสังเกตว่าลูกอัณฑะได้ลงมาอยู่ในถุงหรือไม่ ให้ลูกชายยืน หรือในตอนที่อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นสบาย จะช่วยให้มีการผ่อนคลาย และจะพบว่าสายยึดลูกอัณฑะจะหย่อนให้ลูกอัณฑะลงมาอยู่ในถุงอัณฑะได้มากขึ้น ซึ่งเมื่อลูกชายโตขึ้นเป็นหนุ่มก็จะไม่พบปัญหานี้ และลูกอัณฑะจะอยู่ในถุงอัณฑะในตำแหน่งปกติ โดยไม่ต้องการการรักษาอะไร และไม่มีข้อต้องวิตกอะไรเลย

  2. ลูกอัณฑะข้างเดียว (ไข่ทองแดง)
    ในเด็กผู้ชายลูกอัณฑะควรจะลงมาอยู่ในถุงอัณฑะ ให้ตรวจคลำได้ตั้งแต่แรกเกิด บางครั้งก็จะพบว่ามีลูกอัณฑะในถุงอัณฑะเพียงข้างเดียว บางครั้งอาจไม่พบทั้ง 2 ข้าง ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกว่า “ไข่ทองแดง”

    เมื่ออายุเกิน 1 ปีไปแล้วยังไม่พบลูกอัณฑะทั้ง 2 ข้างในถุงอัณฑะ ก็เรียกว่าผิดปกติ เพราะจะไม่พบว่าลูกอัณฑะจะเลื่อนตัวลงมาได้เองอีก มักจะเป็นข้างขวา และส่วนใหญ่จะคลำพบได้ที่บริเวณขาหนีบเป็นก้อน แต่ในบางรายก็อาจจะคลำไม่พบ เพราะว่าลูกอัณฑะอาจจะไม่มีมาตั้งแต่กำเนิด หรือว่ายังคงค้างอยู่ในช่องท้องไม่ได้เลื่อนลงมาในช่องบริเวณขาหนีบก็ได้

    ภาวะไข่ทองแดงนี้ เชื่อว่าเกิดจากการที่มีระดับฮอร์โมนที่ไม่ปกติ หรือจากการที่สิ่งอื่นมาปิดกั้นการเคลื่อนตัวของลูกอัณฑะ เช่น การมีไส้เลื่อน หรือส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ

    วิธีการรักษาภาวะไข่ทองแดง

    ส่วนใหญ่จะรอจนอายุเกิน 1 ปี เพื่อให้เวลาที่ลูกอัณฑะจะเคลื่อนตัวลงมาอยู่ในถุงอัณฑะเอง ในบางรายอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ทางด้านฮอร์โมนต่อมไร้ท่อ เพื่อตรวจดูว่ามีปัญหาด้านความไม่สมดุลของฮอร์โมนหรือไม่ และเนื่องจากการที่ลูกอัณฑะไม่ลงมาอยู่ในถุงอัณฑะอาจมีผลในระยะยาวเกี่ยวกับการเจริญพันธ์ และอาจเกิดปัญหามะเร็งของลูกอัณฑะข้างนั้นได้

    จึงมีการพิจารณาทำการผ่าตัดเพื่อนำลูกอัณฑะที่อยู่ผิดที่ให้ลงมาอยู่ในถุงอัณฑะอย่างที่ควรจะเป็น (Orchipexy) เพื่อทำให้ลูกอัณฑะนั้นยังสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ เมื่อเด็กโตขึ้น ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมในการทำผ่าตัดก็จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผ่าตัดก่อนที่ลูกอัณฑะนั้นจะเริ่มมีการเสื่อมสภาพ และไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างปกติ จึงควรปรึกษาแพทย์ถ้าลูกของคุณมีปัญหานี้ ไม่ควรรอจนเด็กโตมากแล้ว เพราะถึงตอนนั้นลูกอัณฑะอาจจะไม่มีสภาพที่จะทำงานได้อย่างเดิม


ปัญหาลูกอัณฑะเด็กผู้ชาย, ลูกอัณฑะแบบไหนที่ไม่ปกติ, ลูกอัณฑะผิดปกติ, สังเกตลูกอัณฑะ, อัณฑะผู้ชายมีลักษณะอย่างไร, อัณฑะผู้ชาย, มีอัณฑะข้างเดียว, ถุงอัณฑะอัณฑะผู้ชายผิดปกติ, อัณฑะอันตราย, ภาวะลูกอัณฑะพลุบ ๆ โผล่ ๆ, สายยึดลูกอัณฑะ, อัณฑะยืดหด, อัณฑะห้อย, ไส้เลื่อนเด็ก, ลูกชาย มีไข่ข่างเดียว, ลูกขายไม่มีไข่



ขอบคุณข้อมูลจาก

น.พ.ประสงค์ พฤกษานานนท์ 





 

เมื่อลูกทารก ลูกเล็กต้องผ่าตัดรักษาโรค ลูกต้องเจอกับอะไรบ้าง

ทารก ผ่าตัด, ลูกเล็กผ่าตัด, เด็ก เข้ารับการผ่าตัด, เด็กผ่าตัด อันตรายไหม, เด็กผ่าตัด ยาสลบ, เด็ก ผ่าตัดยังไง, ลูกเข้าโรงพยาบาล, ลูกผ่าตัด เจ็บมากมั้ย, เด็กผ่าตัด ยากมั้ย

ลูกทารกบางคนเกิดมาพร้อมกับโรคบางชนิดที่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดตั้งแต่ยังเล็ก เช่น โรคหัวใจ เมื่อลูกต้องรับการผ่าตัดเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง ต้องเตรียมตัวอย่างไร เรามีข้อมูลมาบอกค่ะ

เมื่อลูกทารก ลูกเล็กต้องผ่าตัดรักษาโรค ลูกต้องเจอกับอะไรบ้าง

ขั้นแรก เป็นการเริ่มเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ปกติศัลยแพทย์ (หมอผ่าตัด) จะเชิญคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองมาบอกเล่าถึงสาเหตุ ความจำเป็นในการผ่าตัด วิธีผ่าตัด พร้อมนัดวันผ่าตัด

  • หากเป็นการผ่าตัดใหญ่ จะต้องพาลูกน้อยมานอนที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 1 วันก่อนการผ่าตัด เพื่อให้แพทย์เตรียมความพร้อมร่างกายของลูกน้อย และเลือดสำหรับการผ่าตัด ซึ่งจะต้องงดอาหารก่อนผ่าตัดประมาณ 6 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เศษอาหารหลงเหลือในกระเพาะอาหารอันเป็นการป้องกันการขย้อนอาหารเข้าสู่ปอดและทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ

    ในช่วงเย็นก่อนการผ่าตัด 1 วัน วิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา) จะเข้าไปพูดคุยสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับลูกน้อยของคุณ และคุณพ่อคุณแม่เพื่อบอกรายละเอียดของการรักษา วิธีดมยาสลบ และการระงับความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด ซึ่งหากมีข้อสงสัยก็สามารถซักถามได้เต็มที่ จากนั้นจะเริ่มสั่งยานอนหลับให้ลูกน้อยของคุณรับประทานก่อนนอน เพื่อให้หลับปุ๋ยอย่างมีความสุขไปจนถึงห้องผ่าตัดในเช้าวันรุ่งขึ้น

  • กรณีที่เข้ารับการผ่าตัดเล็ก ที่สามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะให้ผู้ป่วยอดอาหารก่อนประมาณ 6 ชั่วโมง และจะนัดให้คุณพาลูกน้อยมาถึงห้องผ่าตัดในเช้าของวันนั้น ส่วนบรรยากาศก็สบายใจหายห่วง เพราะที่นั่นคุณจะพบกับศัลยแพทย์ วิสัญญีแพทย์ พยาบาลวิสัญญี และพยาบาลห้องผ่าตัดที่พร้อมให้การต้อนรับคุณและลูกน้อยอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง ยิ่งถ้าหากลูกน้อยของคุณเป็นเด็กอารมณ์ดี ไม่งอแงก็จะได้เล่นของเล่นหลากชนิดในห้องพักรอการผ่าตัด แถมบางอย่างก็ให้กลับบ้านได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีวิดีโอการ์ตูนที่กำลังนิยมเปิดให้ชมเพื่อความเพลิดเพลินและผ่อนคลาย แต่ถ้าขี้แย หรือขี้กลัว ไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าก็จะได้รับยานอนหลับ เพื่อจะได้หลับปุ๋ยอย่างสบายก่อนเข้าห้องผ่าตัด

โดยปกติ แพทย์จะอนุญาตให้ผู้ปกครองเข้าห้องผ่าตัดพร้อมลูกน้อย โดยต้องเปลี่ยนเป็นชุดปราศจากเชื้อของห้องผ่าตัดเสียก่อน จากนั้นวิสัญญีแพทย์ก็จะเริ่มนำยาสลบมาใช้กับลูกน้อยของคุณ ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี คือ

  1. วิธีที่ 1 ให้สูดดมยาสลบผ่านทางหน้ากากหายใจ ซึ่งอาจชักชวนให้ลูกน้อยของคุณเล่นอุปกรณ์การดมยาในระหว่างที่อยู่ภายในห้องพักรอการผ่าตัด และเมื่อเข้าห้องผ่าตัดก็จะชักชวนให้เป่าลูกโป่งที่บรรจุยาสลบ โดยยาสลบจะมีกลิ่นหอมหวาน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ และก็จะทำให้ค่อย ๆ หลับอย่างมีความสุข

  2. วิธีที่ 2 วิสัญญีแพทย์จะฉีดยาสลบเข้าหลอดเลือดดำแล้วเด็กจะหลับทันที แต่วิธีนี้จะต้องใช้กับเด็กที่ไม่กลัวการฉีดยา และพูดรู้เรื่อง

หากลูกน้อยของคุณหลับแล้ว แพทย์จะให้คุณออกมารอนอกห้องผ่าตัด แต่อย่าเพิ่งเดินไปไหนไกลนะคะ เพราะทันทีที่เขาฟื้นจากยาสลบ คุณจะต้องเป็นคนแรกที่เขาเห็น ภายหลังการผ่าตัด ลูกน้อยของคุณจะต้องนอนพักฟื้นเพื่อสังเกตอาการประมาณ 2 – 8 ชั่วโมง ก่อนอนุญาตให้กลับบ้านได้

ส่วนเรื่องความเจ็บปวดเมื่อฟื้นก็หายห่วง เพราะในระหว่างที่เขายังไม่ฟื้น วิสัญญีแพทย์ได้ฉีดยาชาและยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์ได้นานเพื่อให้ตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุข และภายหลังที่วิสัญญีแพทย์วินิจฉัยแล้วลงความเห็นว่าอยู่ในภาวะปลอดภัย ก็จะย้ายไปยังหอพักผู้ป่วย

ในกรณีที่อนุญาตให้กลับบ้าน ศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะเป็นผู้สั่งยาให้ไปรับประทานที่บ้าน ซึ่งมักจะประกอบด้วยยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการติดเชื้อของแผลผ่าตัด รวมถึงยาแก้ปวด โดยไม่ลืมที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของลูกน้อยในระหว่างพักฟื้นให้คุณทราบ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ศ.คลินิก พญ.สุมิตรา เชาวนโยธิน
ภาควิชาวิสัญญีวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

เมื่อลูกเป็นเยื่อบุตาอักเสบ

4608

 

หากลูกน้อยมีอาการตาแดง มีขี้ตาแฉะคันตา ขยี้ตาบ่อย ๆ อย่าวางใจนะคะ เพราะนี่คืออาการเริ่มแรกของโรคเยื่อบุตาอักเสบ หรือโรคตาแดงที่อาจลุกลามทำให้กระจกตาอักเสบได้ค่ะ

 

เยื่อบุตาอักเสบ เป็นได้ง่าย ๆ

เยื่อบุตาอักเสบ หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อโรคตาแดง แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ

1.ชนิดติดเชื้อ จากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะติดต่อจากการสัมผัส โดยเฉพาะเด็กเล็กซึ่งเริ่มหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ รอบตัวได้เองเชื้ออาจติดมากับมือ แล้วมาจับหน้า เอามือเข้าปากหรือเอามือขยี้ตาทำให้ได้รับเชื้อ เป็นสาเหตุที่เด็กเป็นโรคตาแดงง่ายและเป็นมากกว่าผู้ใหญ่ค่ะ

2.ชนิดไม่ติดเชื้อ อาจเกิดจากการที่ลูกน้อยมีโรคประจำตัวอื่น เช่น โรคภูมิแพ้ มีอาการคันตาทำให้ขยี้ตาบ่อย ๆ จนเกิดการอักเสบและติดเชื้อตามมาภายหลัง หรืออาจจะมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในเปลือกตา เกิดอุบัติเหตุ เกิดจากการแพ้ยา ทำให้มีการระคายเคือง เผลอขยี้ตา จนเปลือกตาถลอก และเกิดการอักเสบติดเชื้อได้

เบบี้เป็นแล้วรุนแรง

ในเด็กแรกเกิดหรือวัย 1 เดือน ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้จากตอนคลอด คือแม่อาจมีเชื้ออยู่ที่ช่องคลอด ขณะลูกผ่านช่องคลอดออกมาจึงติดเชื้อ แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อย เพราะก่อนคลอดคุณแม่ต้องทำการตรวจสุขภาพตามระยะเวลาที่แพทย์นัดตลอด หากพบว่ามีเชื้อก็ต้องรักษาให้หายก่อนคลอด

ถ้าทารกเกิดการติดเชื้อระหว่างคลอด นอกจากจะส่งผลทำให้เป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบแล้ว อาจนำไปสู่อาการที่รุนแรงอื่น ๆ ได้ เพราะทารกแรกเกิดภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง เมื่อได้รับเชื้อมาแล้วอาจ แพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระจายไปสู่สมอง ทำให้เกิดเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ถ้าไปสู่ปอดก็อาจจะทำให้เป็นปอดอักเสบในกรณีที่รุนแรงจริง ๆ ที่ได้รับเชื้อบางอย่างอาจจะลุกลามไปที่กระจกตา และทำให้เกิดการตาบอดตั้งแต่กำเนิดได้ค่ะ

อาการเมื่อลูกเป็นเยื่อบุตาอักเสบ

คันตา ขยี้ตาบ่อย อยู่ ๆ ก็มีอาการตาแดง เปลือกตาบวมแดง มีขี้ตาแฉะ เยิ้ม ๆ ถ้าติดเชื้อแบคทีเรียจะมีสีเหลืองอมเขียว ตาสู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหล ตาพร่ามัว (ถ้าลูกน้อยบอกได้)

การรักษาเยื่อบุตาอักเสบ

คุณแม่ควรพาลูกไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าเป็นเยื่อบุตาอักเสบชนิดไหน ได้รับเชื้ออะไรมา ถ้าได้รับเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบได้บ่อย จะรักษาด้วยการใช้ยาหยอดตาเพื่อทำการฆ่าเชื้อ และคอยประคบเย็น เพื่อลดอาการบวมของเปลือกตา ให้รู้สึกสบายตามากขึ้น ประคบครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง ประมาณ 5-6 วันอาการจะดีขึ้น

แต่บางคนอาจจะมีอาการรุนแรง คือเป็นเรื้อรัง 3-4 สัปดาห์ก็ยังไม่หาย โดยเฉพาะถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสลุกลามเกิดการอักเสบไปที่กระจกตาดำร่วมด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบเดือนกว่าอาการถึงจะดีขึ้น

แม้ไม่ใช่โรคที่รุนแรงอะไรนัก แต่ถ้าเป็นนาน ๆ จะส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อยได้เด็ก ๆ จะรู้สึกรำคาญ มองอะไรไม่ค่อยชัดเพราะตาพร่ามัว จะหยิบจับหรือเล่นอะไรก็ไม่ค่อยถนัดไม่ยอมกินข้าว ทำให้อารมณ์เสีย หงุดหงิดได้ง่าย ๆ

หากเกิดจากเชื้อไวรัส ต้องรักษาตามอาการ เพราะยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสโดยตรง และต้องพาลูกไปตรวจอาการอยู่เรื่อย ๆ การรักษาอาจใช้วิธีหยอดน้ำตาเทียม ควบคู่กับการประคบเย็นลดอาการบวม ถ้าติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ก็ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรักษาเสริมควบคู่กันไป

ในรายที่มีอาการรุนแรง มีการติดเชื้อไปยังกระจกตาดำ ต้องใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ร่วมด้วยจนกว่าอาการจะดีขึ้น ที่สำคัญต้องคอยทำความสะอาดตาอย่างถูกวิธีด้วยค่ะ

วิธีทำความสะอาดตา ถ้าลูกน้อยมีน้ำตาหรือขี้ตาควรใช้สำลีชุบน้ำหรือใช้ทิชชูเช็ดเบา ๆ เช็ดแล้วทิ้งเลย ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็จะเป็นวิธีการช่วยป้องกันการติดต่อได้

ป้องกันก่อนอาการลุกลาม

ทารกแรกเกิด วิธีการป้องกันคือ เมื่อลูกน้อยคลอดออกมาแล้วจะป้ายขี้ผึ้งที่ตาของทารกทุกคน เพื่อฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อกลับบ้านแล้วคุณแม่ต้องคอยสังเกต ถ้าหากลูกน้อยมีอาการตาแดงผิดปกติให้รีบพามาพบแพทย์ทันที

ในเด็กวัยซน ให้ล้างมือบ่อย ๆ ออกกำลังกายและกินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่แข็งแรง

 

ที่สำคัญ ถ้าหากคนในบ้านหรือเพื่อนที่โรงเรียนมีอาการเยื่อบุตาอักเสบ ต้องแยกลูกของเราออกมาก่อน ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน และคอยสังเกตถ้าลูกมีอาการผิดปกติให้รีบพามาพบแพทย์ค่ะ

ให้ลูกล้างมือบ่อย ๆ ไม่ใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงได้ เพื่อลูกน้อยจะมีดวงตาใสปิ๊งพร้อมเรียนรู้เรื่องดี ๆ ที่อยู่รอบตัวค่ะ

แม่เตือน! ลูกน้อยติดเชื้อซาลโมเนลลา มีไข้สูง ถ่ายเหลว อันตรายจนต้องแอดมิท

 โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา, ลูกติดเชื้อซาลโมเนลลา, ลูกเป็นซาลโมเนลลา, ซาลโมเนลลา, อาการเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา รักษา, ป่วยเชื้อซาลโมเนลลา, สังเกตเชื้อซาลโมเนลลา, เด็กป่วยติดเชื้อซาลโมเนลลา, Salmonella Infection, ทารก ท้องร่วง, เด็กท้องร่วง. เด็ก ทารก ท้องเสีย

ลูกท้องร่วงไม่ใช่แค่จากไวรัสโรต้านะคะ แต่ยังมีเชื้อซาลโมเนลลา ที่อันตรายไม่แพ้กัน และรุนแรงจนทำให้เด็กๆ ต้องแอดมิทด้วย

แม่เตือน! ลูกน้อยติดเชื้อซาลโมเนลลา มีไข้สูง ถ่ายเหลว อันตรายจนต้องแอดมิท

การรักษาความสะอาดร่างกายและของใช้ทุกอย่างของลูก นับเป็นเรื่องสำคัญมากที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ เพราะเชื้อโรคมากมายอยู่รอบตัวลูก ที่เรามองไม่สามารถเห็นได้ ยิ่งลูกน้อยที่มีภูมิคุ้มกันน้อย ก็จะยิ่งป่วยได้ง่ายมากขึ้น ดังเช่นคุณแม่จากเพจ แม่มาเม้าท์ ที่ได้เล่าเรื่องราวของลูกสาววัย 11 เดือน ที่ป่วยติดเชื้อ "ซาลโมเนลลา" ให้เป็นเรื่องราวเตือนใจทุกครอบครัว

คุณแม่โพสต์ดังนี้...

" บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกสาวแม่ กับโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อซานโมเนลลา หรือจะอ่านว่าซัลโมเนลลาก็ได้ โดยเชื้อโรคนี้จะเกิดกับเด็กเล็กตั้งแต่ 0-15 ปี ใช่ค่ะ น้องเจอแปนโดนแจ็คพอตนี้เข้าไปเต็ม ๆ น้องถูกเลือกให้ติดเชื้อนี้ตั้งแต่อายุ 11 เดือน ไม่สิ แม่หยิบยื่นเชื้อไวรัสนี้ให้น้องเอง เดี๋ยวแม่จะบอกนะว่าน้องนี้ได้รับเชื้อไวรัสนี้ได้อย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดมาน้องแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วย และนี่เป็นครั้งแรกหนักหนาเหลือเกิน จนต้องแอดมิทที่โรงพยาบาลถึง 4 วัน 3 คืน

อาการเริ่มต้น (วันศุกร์)

เริ่มตัวร้อนมีไข้ ไข้จะขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ยังเล่นได้ กินได้ปกติ แค่ซึม ๆ นิดหน่อย และติดแม่มาก ไม่ค่อยเอาใคร วันแรกที่มีไข้ เมื่อแม่พาน้องไปหาหมอ หมอวัดไข้ได้ 39.6 องศา ตัวร้อนมาก น้องซึม ๆ พยาบาลพาไปเช็ดตัว เช็ด ๆ ถู ๆ แรงมาก มันเป็นวิธีที่จะทำให้ไข้ลด ขยี้หัว ขยี้หลัง ทั้งตัว จนไข้ลดเหลือ 37 องศากว่า หลังจากนั้นเข้าพบหมอเพื่อประเมิณอาการเบื้องต้น หมอให้ยาลดไข้ และให้เช็ดตัวบ่อย ๆ และกลับมาดูอาการที่บ้าน

อาการคืนแรก (คืนวันศุกร์-เช้าวันเสาร์)

มีไข้ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่เมื่อประมาณตีสาม ไข้ขึ้นสูงมาก แม่เช็ดตัวให้แทบจะทุกชั่วโมงเลย อาการเริ่มออก น้องท้องเสียถ่ายประมาณ 3 รอบ อุจจาระมีกากอาหารมีน้ำเยอะมาก 2 รอบแรกเต็มแผ่นผ้าอ้อมสำเร็จรูป ส่วนรอบ 3 เริ่มมีน้ำจนน่ากังวล จึงตัดสินใจพาโรงพยาบาลอีกครั้ง น้องร้องไห้หนักมาก เริ่มงอแงไม่ค่อยเอาใคร วัดไข้ วัดชีพจรก็ร้องไห้ วันนั้นจึงตัดสินใจแอดมิท

วันแรกที่แอดมิท (เช้าวันเสาร์-คืนวันเสาร์)

วัดไข้ วัดชีพจร เจาะเลือดพร้อมกับดูดเลือดออกไปตรวจถึง 3 หลอด แล้วเปลี่ยนเป็นสายให้น้ำเกลือ น้ำเกลือขวดแรกเริ่มขึ้น น้องซึม ๆ อยู่ เล่นแฟลชการ์ดได้ แต่กินข้าวได้น้อยมาก หลังจากนั้นก็แปะที่เก็บปัสสาวะ และตักอุจจาระไปตรวจ วันนี้ยังมีไข้ตัวร้อนอยู่ตลอด พยาบาลเข้ามาวัดไข้แทบจะทุกชั่วโมง เพราะไข้ขึ้นสูงถึง 40 องศากว่า เช็ดตัว ให้ยาลดไข้ ดีขึ้นมาหน่อย เป็นแบบนี้จนถึงเช้า น้องไม่ค่อยงอแงจะมีร้องไห้ โวยวายตอนมาวัดไข้ และก็เช็ดตัว (มียาหลังอาหาร 3 มื้อ เป็นยากลุ่มฆ่าเชื้อประมาณ 4 ตัว)

วันรุ่งขึ้น (เช้าวันอาทิตย์-คืนวันอาทิตย์)

อาการยังทรง ๆ หมดน้ำเกลือขวดแรกไปเติมขวดที่สองต่อ วันนี้ถ่ายประมาณ 6 ครั้ง (อุจจาระมีสีเขียวเข้ม ๆ มีมูกด้วย มูกใส ๆ ยืด ๆ บางรายมีมูกและมีเหลือ นี่ถือว่าเบาหน่อย) น้องทานอาหารในแต่ล่ะมื้อได้น้อย มื้อล่ะ 5 คำ ทานนมได้ 3 มื้อ มื้อล่ะ 3-4 ออนซ์เป็นนมสูตรใหม่ที่ทางโรงพยาบาลปรับให้สำหรับน้องที่ยังท้องเสียอยู่ วันนี้ก็เช่นกันที่มีไข้สูง 39-40 องศา แม่รู้ว่าเค้าปวดท้อง เพราะแม่เอาเค้ามานอนบนตัวเค้าจะอ้อน ๆ หน่อย คือเค้าจะเกร็งท้อง เหมือนกันคนที่แขม่วพุงขึ้นลงอยู่แบบนั้น แค่ตด อุจจาระก็เล็ดออกมาแล้ว ผลการเพาะเชื้อออกแล้ว หมอว่าน้องติดเชื้อในลำไส้ และกระเพาะอาหาร เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ ซาลโมเนลลา หมออธิบายตัวเชื้อและสาเหตุไปเบื้องต้น เดี๋ยวแม่จะอธิบายอีกทีว่ามาได้อย่างไร

วันถัดมา วันแม่แห่งชาติ เช็คอินโรงพยาบาลช่วงเวลาดี ๆ ที่วันนี้อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว (เช้าวันจันทร์-คืนวันจันทร์)

อาการเริ่มดีขึ้นแล้วค่ะ ไข้ลงมา 36 37 ร่าเริงแล้ว แต่ก็ยังท้องเสียอยู่ ถ่ายมา 5-6 ครั้ง วันนี้น้องทานได้เยอะขึ้น อาหารยังอ่อนอยู่

วันนี้หนูพร้อมกลับบ้านแล้ว พอแล้วโรงพยาบาล (เช้าวันอังคาร)

ก่อนกลับบ้านวันนี้ มีหมอมาตรวจประเมิณอาการดูว่ากลับบ้านได้แล้ว แต่ยังคงต้องกินยาฆ่าเชื้ออยู่ เพราะเชื้อจะอยู่ในร่างกายราว ๆ 1 สัปดาห์ วันนี้มีการเก็บอุจจาระอีกครั้งเพื่อไปเพาะเชื้อ แต่ช่วงที่เก็บน้องยังไม่ถ่ายท้อง พยาบาลใช้ไม้ที่หุ้มสำลี คัตเติลบัตนั่นแหละแต่ไม้จะยาว ๆ และหัวใหญ่อยู่ แหย่เข้าไปในรูทวารน้อง น้องนอนนิ่งไม่ร้องเลย ทำเอาแม่ใจหายใจคว่ำ

โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา, ลูกติดเชื้อซาลโมเนลลา, ลูกเป็นซาลโมเนลลา, ซาลโมเนลลา, อาการเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา รักษา, ป่วยเชื้อซาลโมเนลลา, สังเกตเชื้อซาลโมเนลลา, เด็กป่วยติดเชื้อซาลโมเนลลา, Salmonella Infection, ทารก ท้องร่วง, เด็กท้องร่วง. เด็ก ทารก ท้องเสีย

สาเหตุของอาการป่วย เด็กท้องเสีย ท้องร่วง

ด้วยความที่แม่อยู่กับน้องแทบจะ 24 ชั่วโมง เลยรู้กิจวัตรประจำวัน ทำไรมา กินอะไรเข้าไป โดยวันก่อนที่จะมีไข้ แม่พาน้องไปทานอาหารนอกบ้าน แล้วด้วยความเสียดายเงินสิบบาทยี่สิบบาท แม่หยิบน้ำขวดหลังรถให้น้องทาน จริง ๆ น้องมีน้ำขวดต้มสุกส่วนตัวแต่แม่ไม่ได้หยิบลงไป ตอนหยิบก็เอะใจ ไม่เป็นไรหรอก เพราะปกติก็เคยทานได้อยู่ แจ็คพอตแตกเลย นั้นแหละเป็นสาเหตุ เพราะน้ำที่อยู่ในรถและตากแดดเป็นเวลานาน เป็นแหล่งเพาะเชื้อดี ๆ นี่เองซึ่งก็ไม่รู้ว่าอยู่ในรถนานแค่ไหนแล้ว ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ก็มาจากน้ำดิบ น้ำที่ไม่ได้ต้มสุก น้ำแข็ง การหยิบจับของเล่นเข้าปาก เอามือเข้าไป ตัวนี้ก็มีส่วนเช่นกัน อาหารไม่สุกก็ด้วยนะ ที่หมอเค้าบอกมาค่ะ

การป้องกันก็ต้องดูแลความสะอาดมือเป็นพิเศษหน่อย หมั่นล้างมือบ่อย ๆ เช็ดข้าวของ ของเล่นด้วยแอลกอฮอล์ลหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ  ตอนนี้ก็เลี่ยงการดื่มน้ำจากขวด ให้กินน้ำต้มสุกแล้ว แม่พลาดเองจริง ๆ ช่วงกลับมาจากโรงพยาบาลก็กินยากลุ่มฆ่าเชื้อวันละ 5 ครั้ง กินต่อเนื่องจนยาหมด ประมาณ 10 วันนับจากวันที่เป็น น้องมีเรียนว่ายน้ำก็ต้องหยุดไปก่อน เพราะยังท้องเสียอยู่ ไม่ควรนำเชื้อโรคไม่แพร่ไปสระ อันนี้กาดอกจันทน์ไว้เลยนะ ถ้าเด็กท้องเสียอย่าพาลงสระ เพราะจะแพร่เชื้อโรคให้คนอื่นได้ แม่ต้องให้น้องหยุดไปเทมอนึงก่อน แล้วค่อยไปเรียนใหม่ กลับมาบ้านครั้งนี้ก็ดูแลรักษาความสะอาดมากขึ้นกว่าเดิม น้องเริ่มทานอาหารได้เยอะเหมือนเดิม แต่ยังคงงดผักผลไม้ ขับถ่ายดีขึ้นไม่มีมูกแล้ว เริ่มมีชื้นเนื้อ ๆ บ้าง แต่ยังไม่ปกติ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เรื่องราวของหนูจะเป็นประโยชน์สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองไม่มากก็น้อยนะคะ "

โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา, ลูกติดเชื้อซาลโมเนลลา, ลูกเป็นซาลโมเนลลา, ซาลโมเนลลา, อาการเชื้อซาลโมเนลลา, เชื้อซาลโมเนลลา รักษา, ป่วยเชื้อซาลโมเนลลา, สังเกตเชื้อซาลโมเนลลา, เด็กป่วยติดเชื้อซาลโมเนลลา, Salmonella Infection, ทารก ท้องร่วง, เด็กท้องร่วง. เด็ก ทารก ท้องเสีย
จากกรณีของคุรแม่ เรามารู้จักโรคติดเชื่อ Salmonella Infection หรือ โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา หรือโรคซาลโมเนลโลสิส กันค่ะ

โรคติดเชื้อซาลโมเนลลา เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียซาลโมเนลลา มักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเป็นไข้ ถ่ายเหลว หรืออาเจียน โดยอาการอาจปรากฏอยู่นาน 8-72 ชั่วโมง ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงอาจมีอาการดีขึ้นเองภายใน 2-3 วันโดยไม่จำเป็นต้องรับการรักษา ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น

อาการของโรคติดเชื้อซาลโมเนลลา

การติดเชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลา อาจใช้เวลานานหลายชั่วโมงจนถึง 2 วัน จึงจะปราฏอาการของโรค อาการดังนี้

  • ปวดท้อง
  • ท้องเสีย โดยอุจจาระอาจมีเลือดปน
  • อาเจียน
  • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ
  • เป็นไข้ หนาวสั่น
  • เบื่ออาหาร

โดยปกติแล้วอาการของซาลโมเนลลา จะคงอยู่ประมาณ 2-7 วัน ส่วนอาการท้องเสียอาจคงอยู่ประมาณ 10 วัน ซึ่งอาจอาจต้องใช้เวลาหลายเดือนจนกว่าลำไส้จะกลับมาทำงานปกติ หรือ หากยังมีอาการผิดปกตินานเกิน 7 วัน ควรไปพบแพทย์อีกซ้ำ

นอกจากนี้ หากผู้ติดเชื้อเป็นเด็กที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง แล้วมีอาการอุจจาระเป็นเลือด มีไข้สูง หรือมีภาวะขาดน้ำ เกิดขึ้นนานกว่า 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์ซ้ำเช่นเดียวกัน


 

แม่เตือน! ใช้ยาเขียวตอนลูกป่วยเป็นอีสุกอีใส ตุ่มอักเสบหนัก ไข้สูง อาการทรุดกว่าเดิม

ยา เขียว แก้ อีสุกอีใส, อิ สุ อิ สั ย ยา เขียว, ใช้ยาเขียว รักษาอีสุกอีใสได้ไหม, ยาเขียว แก้อีสุก อีใส ได้ไหม, ยาเขียว อันตรายกับเด็ก ไหม, ยาเขียวใช้ทำอะไร, อันตรายของยาเขียว, ห้ามใช้ยาเขียว อีสุกสีใส, ยาเขียว แก้อีสุก อีใส ไม่ได้, ห้ามใช้ยาเขียวกับเด็ก, ยาเขียว อีสุก อีใส ลุกลาม, ลูกเป็น อีสุก อิใส ต้องทำยังไง

ยาวเขียวไม่ได้ช่วยให้ลูกหายอีสุกอีใสเร็วขึ้นนะคะ แต่อาจจะยิ่งทำให้อาการแย่ลง ติดเชื้อและอักเสบมากกว่าเดิม

แม่เตือน! ใช้ยาเขียวตอนลูกป่วยเป็นอีสุกอีใส ตุ่มอักเสบหนัก ไข้สูง อาการทรุดกว่าเดิม

โรคอีสุกอีใส ผู้ใหญ่เป็นโรคนี้ยังปวดตัว มีไข้ และทรมานอยู่หลายวัน และถ้าเกิดขึ้นกับเด็กเล็กที่บอกอาการความเจ็บไม่ได้ เรียกว่าน่าสงสารมากนะคะ คุณแม่ Mattika Phomunจึงมาแชร์ประสบการณ์ลูกวัย 8 เดือน เป็นโรคอีสุกอีใส และแนะนำว่าอย่าใช้ยาเขียวกับเด็ก ตามที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมา เพราะจะทำให้เด็กอาการทรุดลงได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถอ่านไว้เป็นอุทาหรณ์ได้นะคะ

คุณแม่ Mattika Phomun โพสต์ดังนี้

“เอาประสบการณ์มาฝากค่ะ น้องเป็นอีสุกอีใสตอน 8 เดือนค่ะ เป็นวันแรกไม่ได้พาไปหาหมอ เพราะเราปลูกฝังกันมาว่าอีสุกอีใสให้ใช้ยาเขียวเช็ดตัวกับกินยาเขียว อาการน้องเริ่มแรกมีตุ่มใสขึ้นที่หลังก่อนหนึ่งตุ่ม พอเช้าวันต่อมาขึ้นที่หน้าเหมือนในรูปเลยค่ะ ก็ทำการเช็ดตัวด้วยยาเขียวและเอายาเขียวผสมน้ำให้ดื่ม

ด้วยความที่ฟังใครต่อใครบอกมาให้เช็ดตัวบ่อย ๆ ตุ่มจะออกจะได้หายเร็ว ๆ ผ่านไปคืนแรก คืนที่สอง พอเข้าวันที่ 3 น้องเริ่มมีไข้ถึง 40 เช็ดตัวตลอด นอนแป๊ปตื่น งอแง บ้างทีหลับก็เพ้อร้องคราง ให้กินยาลดไข้ ไข้ไม่ลง ตี 3 น้องตื่นเพราะไข้สูง ได้เช็ดตัวให้น้อง วันนั้นน้องอ้วกใส่แม่ อ้วกที่ออกมาร้อนมาก ๆ จำได้ว่าร้อนจนแม่แสบแขน

น้องไป รพ. ใกล้บ้าน ได้ไปทำการรักษาที่ห้อง ER เพราะว่าตี 4 ไม่มีหมอ มีแต่พยาบาล ไปถึงวัดไข้ได้ 40.5 ได้กินยาลดไข้ และเช็ดตัว เช็ดจนน้องไข้ลด ได้ทำการแอดมิท ให้น้ำเกลือ พ่อได้ขอใบส่งตัวจะขอย้าย รพ. พยาบาลว่าไม่มีแพทย์เซ็นให้ ต้องรอหมอมาตรวจตอนเช้าแล้วขอหมอย้ายตอนนั้นได้

ยา เขียว แก้ อีสุกอีใส, อิ สุ อิ สั ย ยา เขียว, ใช้ยาเขียว รักษาอีสุกอีใสได้ไหม, ยาเขียว แก้อีสุก อีใส ได้ไหม, ยาเขียว อันตรายกับเด็ก ไหม, ยาเขียวใช้ทำอะไร, อันตรายของยาเขียว, ห้ามใช้ยาเขียว อีสุกสีใส, ยาเขียว แก้อีสุก อีใส ไม่ได้, ห้ามใช้ยาเขียวกับเด็ก, ยาเขียว อีสุก อีใส ลุกลาม, ลูกเป็น อีสุก อิใส ต้องทำยังไง

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับบทความ


พอช่วงเช้าหมอเข้ามา เลยขอใบส่งตัวกับหมอ หมอที่นั่นได้บอกว่า อาการของโรคนี้ไม่มียารักษา ต้องรักษาตามอาการ ย้ายไปที่นั่นก็ไม่มียารักษา ก็นอนให้น้ำเกลือแบบนี้แหละ แต่ถ้าพ่อกับแม่น้องไม่สบายใจจะเขียนให้ รอจนเวลาเที่ยงถึงได้ใบส่งตัว ไปถึง รพ. ที่ 2 ติดเที่ยงหมอเข้าบ่ายครึ่ง เกือบบ่าย 3 ได้ตรวจ แต่พยาบาลเอาน้องแยกต่างหาก หมอเดินมาตรวจเอง หมอให้แอดมิท และสั่งยาให้เป็นยาต้านไวรัสเฉพาะโรค

หมอที่ รพ. ที่ 2 ว่าน้องมาอาการหนักมาก ไข้สูงตลอด หมอสั่งให้ยาต้านไวรัสให้ 3 เวลา + ยาฆ่าเชื้อให้ 3 เวลา น้ำเกลือไม่ถอดจนกว่าน้องจะกินได้ปกติ นอน รพ. ได้คืนที่ 2 ไข้ไม่ลงหมอสั่ง x-ray น้องทันที น้องได้ยาฆ่าเชื้อเพิ่มมาอีกตัวให้ 1 เวลา อีกวันน้องอาการดีขึ้นมาก ที่น้องแย่ตั้งแต่แรกเพราะยาเขียว ยาเขียวจะเร่งให้ตุ่มออก ตุ่มที่ออกมาอักเสบ เด็ก 8 เดือน ทนไม่ได้ เลยทำให้มีไข้ น้องเลยทรุด

ถ้าไม่เปลี่ยน รพ. น้องอาจจะทนการอักเสบไม่ไหว เลยอยากบอกแม่ ๆ ว่าถ้าน้องเป็นอีสุกอีใส อย่าใช้ยาเขียว มันจะเป็นการเร่งทำให้อักเสบ น้องทนไม่ได้ ให้รีบพาหาหมอ เพราะสมัยนี้เค้ามียาสำหรับการรักษาแล้วค่ะ ถ้า รพ. ไหนว่าไม่มี ขอย้ายเลยค่ะ ชีวิตลูกเรามีค่าที่สุด

ทุกวันนี้ น้องรักษาที่ รพ. ที่ 2 ได้ 3 คืน 4 วันแล้วค่ะ ยังไม่ได้ออกจาก รพ. เพราะต้องให้ยาต้านไวรัสให้ครบ 7 วัน และต้องรอให้แผลน้องแห้งดีก่อน หมอกลัวการติดเชื้อ มันอันตราย เวลาเข้ายาร้องตลอด เจาะแทงน้ำเกลือวันละ 7-8 ครั้ง เพราะน้องกำลังซน เข็มหลุดบ้าง ทำให้แขนบวมขาบวมตามภาพค่ะ #อาจจะยาวไปนิดนะคะ แต่เชื่อว่ามีสาระมากค่ะ”

จากประสบการร์ตรงที่คุณแม่เล่ามา เราจะพามารู้จักโรคอีสุกอีใสในเด็กเล็กกันก่ะ ว่าสังเกตอย่างไร รักษาอย่างไรถึงถูกวิธี


ยา เขียว แก้ อีสุกอีใส, อิ สุ อิ สั ย ยา เขียว, ใช้ยาเขียว รักษาอีสุกอีใสได้ไหม, ยาเขียว แก้อีสุก อีใส ได้ไหม, ยาเขียว อันตรายกับเด็ก ไหม, ยาเขียวใช้ทำอะไร, อันตรายของยาเขียว, ห้ามใช้ยาเขียว อีสุกสีใส, ยาเขียว แก้อีสุก อีใส ไม่ได้, ห้ามใช้ยาเขียวกับเด็ก, ยาเขียว อีสุก อีใส ลุกลาม, ลูกเป็น อีสุก อิใส ต้องทำยังไง

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับบทความ 

วิธีสังเกตอาการโรคอีสุกอีใส 

  • มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย
  • เบื่อนม เบื่ออาหาร
  • ร้องไห้งอแง เพราะปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
  • มีผื่นขึ้นตามใบหน้า ลำตัว และหลัง และกลายเป็นตุ่มนูนมีน้ำใส ๆ คล้ายตุ่มหนอง และจะมีอาการคันร่วมด้วย
  • หลังจากนั้นประมาณ 2-4 วันตุ่มใส ๆ ก็จะเริ่มตกสะเก็ด เด็กบางคนจะมีแผลในช่องปากและอาการเจ็บคอร่วมด้วย ทำให้ปากและลิ้นเปื่อย

วิธีดูแลลูกป่วยโรคอีสุกอีใส 

  • พาลูกไปพบแพทย์ หรือ เภสัชกร เพื่อรับคำแนะนำ เพราะปัจจุบันจะมียาที่ช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสอีสุกอีใสได้แล้ว และยังต้องใช้ยาภายในวันแรก ๆ ที่มีอาการ
  • ให้ลูกนอนเยอะ ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ให้ดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้มาก ๆ
  • ถ้ามีไข้แค่ทานยาพาราเซตามอล เพื่อลดอาการไข้ ตามที่แพทย์ หรือ เภสัชกรแนะนำเท่านั้น
  • อาบน้ำและใช้สบู่ฆ่าเชื้อฟอกผิวหนังให้สะอาด
  • ตัดเล็บให้สั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกา แต่สามารถใช้ยาช่วยลดอาการคันได้ ตามที่แพทย์ หรือ เภสัชกร แนะนำ
  • ปรึกษาแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส เพราะมีประสิทธิภาพการป้องกันโรคได้มากถึง 90%




 

โรคขาดธรรมชาติ โรคใหม่จากการใช้ชีวิตแบบ New Normal

พัฒนาการเด็ก 3-6 ปี-โรคเด็ก-โรคขาดธรรมชาติ-ชีวิตวิถีใหม่-วิถีชีวิตแบบ new normal-Children & Nature-deficit Disorder-วิกฤติโควิด-19-Covid-19-โควิด-19-ปัญหาหมอกควัน-PM2.5-ฝุ่น PM 2.5-การเลี้ยงเด็ก-การดูแลเด็ก-การพัฒนาเด็ก

โรคขาดธรรมชาติ โรคใหม่จากการใช้ชีวิตแบบ New Normal

วิกฤติโควิด-19 และปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทำให้หลายอย่างเปลี่ยนแปลง หลายคนปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ นอกจากการรักษาระยะห่างทางสังคมแล้ว บางคนยังงดเว้นการทำกิจกรรมนอกบ้าน ซึ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก จนกลายเป็น "โรคขาดธรรมชาติ" ที่กำลังเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคม และก็เป็นประเด็นเร่งด่วนของสังคมในยุคปัจจุบัน

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า “โรคขาดธรรมชาติ Children & Nature-deficit Disorder” เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากและในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเด็กๆ จะมีภาวะของการขาดธรรมชาติในหลายๆ มิติด้วยกัน ทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดมลพิษต่าง ๆ มากมาย

ไม่ว่าจะเป็นผลจากสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย ซึ่งทำให้เด็กขาด "พื้นที่เล่นตามธรรมชาติ" นอกเหนือไปจากปัญหาดิน น้ำ อากาศเป็นพิษ ปัญหาหมอกควัน PM2.5 หรือวิธีการทำงานที่พ่อแม่ต้องทำงานอย่างหนัก ทำให้เด็กขาดเวลาการเล่น และเวลาการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่

เมื่อพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลลูก เด็กก็จะอยู่กับโลกเสมือนจริง เด็กหลายคนแทนที่จะอยู่กับธรรมชาติในโลกแห่งความเป็นจริงก็ถูกกระตุ้น ถูกผลักดันให้กลับไปอยู่ในโลกเสมือนจริงต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเล่นเกมหรือเล่นกับเพื่อนในโลกเสมือนจริงซึ่งส่งผลให้เด็กเกิดภาวะของการขาดธรรมชาติ

ผลจากเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมเอาแต่นั่งนอน ขลุกอยู่แต่ในห้อง เพื่อเล่นเกม และโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นเพียงโลกเสมือนจริง ที่แยกเด็กออกจากธรรมชาติ หรือ โลกแห่งความจริง

ผลเสียจากโรคขาดธรรมชาติของเด็กๆ ปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ความสมบูรณ์ของร่างกายของเด็ก ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสามารถของการใช้สมรรถภาพร่างกายและการเรียนรู้ก็ลดต่ำลง เห็นได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่

ซึ่งโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อาจไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ยังครอบคลุมถึงโรคที่อาจเกิดขึ้นใหม่ต่างๆ ในอนาคต ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเด็ก และเด็กจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือตั้งแต่ในวันนี้

และผลจากวิกฤติโรคติดเชื้อโควิด-19 ทำให้เด็กและผู้ใหญ่ต้องถูกจำกัดพื้นที่เพื่อการเฝ้าระวัง โดยต้องอยู่แต่ในบ้าน และทำให้เด็กต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน ทำให้ขาดพื้นที่เล่นตามธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นต้นตอที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายโรคในระยะยาว หรือตลอดชีวิตของครอบครัว เช่น โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ ฯลฯ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดในครอบครัวที่สูงขึ้น จนเกิดภาวะ "ความเครียดเป็นพิษ" (Toxic Stress) ซึ่งส่งผลอย่างยิ่งต่อร่างกายและจิตใจ

วิธีป้องกันไม่ให้เด็กเป็นโรคขาดธรรมชาติ คือการจัดการเพื่อหาจุดสมดุลของชีวิตที่ทำให้เด็กสามารถเติบโตได้ตามธรรมชาติ โดยการยึดเอาเด็กและครอบครัวเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ตลอดจนปรับรูปแบบการศึกษาให้เป็นไปในแนวทางที่สามารถดึงธรรมชาติในตัวเด็กออกมาให้พร้อมต่อการเรียนรู้ และปรับตัวให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง

 

โรคจูบ (kissing disease) คืออะไร อันตรายอย่างไร

4478

ข้อมูลมีประโยชน์ของโรคที่หลายคนไม่รู้จัก และไม่คิดว่ามีอยู่จริงๆ หรือ โรคจูบ หรือ kissing disease เป็นชื่อโรคที่ ศ.นพ. ยง ภู่วรวรรณ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาโพสต์ให้ข้อมูลในโอกาสวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์

โรคจูบ ชื่อโรคทุกคนคงสนใจ ที่จริงก็คือ infectious mononucleosis (IM) ซึ่งเกิดจากไวรัส Ebstein Barr หรือย่อว่า EB ไวรัส ติดต่อได้ทางสัมผัส และทางน้ำลาย ส่วนใหญ่การติดเชื้อ EB ในประเทศไทย จากการศึกษา ของศูนย์เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาคลีนิค โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จะเกิดขึ้นใน 2 ขวบปีแรก โดยไม่มีอาการของโรค หลังจากนั้นจะมีเชื้อ ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกายแบบไม่แสดงอาการ (latent infection) แต่สำหรับในเด็กโตนั้น เมื่อได้รับเชื้อจะมีอาการรุนแรงขึ้น แม้ไม่เคยมีการติดเชื้อมาก่อน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการติดเชื้อในวัยรุ่น ที่เกิดจากการจูบ โดยสัมผัสจากน้ำลาย

อาการโรคจูบ (kissing disease) ผู้ป่วยจะมีอาการไข้หลายวันถึงสัปดาห์ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ต่อมทอลซิลโต มีฝ้าขาว หายใจลำบาก หรือต้องหายใจทางปาก มีผื่น แต่อาการทั้งหมดนี้ จะสามารถหายได้เอง โรคนี้จึงนับเป็นอีกโรคหนึ่งที่ติดต่อได้ทางน้ำลาย

โรคลำไส้กลืนกัน ภัยเงียบของลูกน้อยที่พ่อแม่ต้องรู้

ลำไส้ กลืน กัน, โรคลำไส้กลืนกัน, อาการลำไส้กลืนกัน, อาการ ลํา ไส้ กลืน กัน ทารก, โรค ลํา ไส้ กลืน กัน อาการ, ลํา ไส้ กลืน กัน คือ, สาเหตุ ลำไส้กลืนกัน, รักษา ลำไส้กลืนกัน, ป้องกัน ลำไส้กลืนกัน, ลำไส้กลืนกันในเด็ก, ลำไส้อักเสบ, ติดเชื้อในลำไส้, โรคลำไส้ในเด็ก, รักลูก Community of The Experts, The Healthy Kid, สุขภาพเด็ก, โรคเด็ก, พัฒนาการเด็ก

ลำไส้กลืนกันเป็นหนึ่งในโรคลำไส้ที่พบมากในเด็กค่ะ ถ้าพ่อแม่รู้ช้า รักษาไม่ถูกต้องและทันท่วงที จะส่งผลต่อพัฒนาการเด็กในระยะยาวแน่นอน พญ.ลั่นทม ตันวิเชียร กุมารศัลยศาสตร์ ศูนย์กุมารเวชกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ มีคำแนะนำเรื่องโรคลำไส้กืนกันมาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ 

โรคลำไส้กลืนกัน ภัยเงียบของลูกน้อยที่พ่อแม่ต้องรู้

ลำไส้กลืนกันเป็นอย่างไร ลำไส้กลืนกันมีอาการอย่างไร 

ลำไส้กลืนกันมักพบมากในเด็กวัย 3 เดือน - 2 ปี ซึ่งเป็นวันที่มีความเสี่ยงที่สุดค่ะ โดยลำไส้ส่วนต้นมุดเข้าสู่โพรงของลำไส้ส่วนที่อยู่ถัดไปทางด้านปลาย เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็ว เพราะถ้าลำไส้กลืนกันอยู่เป็นเวลานานจะเกิดภาวะลำไส้ขาดเลือดจนเกิดการเน่า ลำไส้แตกทะลุ และเยื่อบุช่องท้องอักเสบ รวมทั้งติดเชื้อในกระแสเลือดและอาจจะเสียชีวิตได้     

วิธีสังเกตอาการโรคลำไส้กลืนกัน  

  • อาการปวดท้อง
  • กระสับกระส่าย มือเท้าเกร็ง
  • ร้องไห้เป็นพัก ๆ ประมาณ 15-30 นาทีก็เริ่มร้องอีก เวลาที่ร้องไห้ลูกจะงอเข่าขึ้นทั้งสองข้าง (Colicky pain)
  • ท้องอืดและอาเจียน โดยช่วงแรกมักจะเป็นนมหรืออาหารที่ลูกกินเข้าไป แต่ระยะหลังจะมีสีเหลืองหรือเขียวของน้ำดีปนออกมา
  • อุจจาระมีเลือดคล้ำ ๆ ปนเมือก
  • เด็กบางคนอาจจะมีอาการซึมหรือชักร่วมด้วย    

2 วิธีรักษาโรคลำไส้กลืนกัน 

  1. การดันลำไส้ส่วนที่ถูกกลืนให้ออกมาจากลำไส้ส่วนที่กลืนกันอยู่ โดยการใช้แรงดันผ่านทางทวารหนัก ซึ่งอาจจะใช้การสวนลำไส้ใหญ่ด้วยสารของเหลวที่เป็นสารทึบรังสี barium หรือใช้ก๊าซเป็นตัวดัน ถ้ากระบวนการสวนลำไส้ใหญ่สามารถดันลำไส้ที่กลืนกันออกได้สำเร็จ ก็ไม่จำเป็นจะต้องผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถรับประทานอาหารได้ภายใน 1-2 วัน    

  2. การผ่าตัดเปิดช่องท้อง ในการผ่าตัดนั้นศัลยแพทย์จะใช้มือบีบดันให้ลำไส้ส่วนที่กลืนกันคลายตัวออกจากกัน มีเพียงผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีการเน่าหรือมีการแตกทะลุของลำไส้แล้ว ซึ่งในกรณีเช่นนี้จำเป็นจะต้องตัดลำไส้ส่วนที่เน่าตายออกและทำการต่อลำไส้ส่วนที่ดีเข้าหากัน กลุ่มนี้จะรุนแรงและให้การดูแลรักษาแบบกลุ่มลำไส้อุดตัน นอนในโรงพยาบาลนาน และมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่า        

 คุณพ่อคุณแม่ที่มีมลูกวัย 3 เดือน - 2 ปี ต้องหมั่นสังเกตอาการข้างต้นนี้ไว้นะคะ หากเกิดอาการและสงสัยว่าจะเป็นโรคลำไส้กลืนกัน ต้องรีบพามาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด และรับการรักษาทันทีค่ะ

รักลูก Community of The Experts

พญ.ลั่นทม ตันวิเชียร
กุมารศัลยศาสตร์ ศูนย์กุมารเวชกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ

 

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มักเกิดกับลูกทารก ต้องดูแลรักษาอย่างไร

โรค หัวใจ พิการ แต่ กำเนิด, โรค หัวใจ พิการ แต่ กำเนิด ชนิด เขียว, โรค หัวใจ แต่ กำเนิด, หัวใจ พิการ คือ, การ รักษา โรค หัวใจ พิการ แต่ กำเนิด, ทำไม ทารก หัวใจพิการแต่กำเนิด, หัวใจพิการแต่กำเนิด เกิดจากอะไร สาเหตุ, เด็กหัวใจพิการแต่กำเนิด, ดูแล เด็ก หัวใจพิการแต่กำเนิด, เด็กทารก ลิ้นหัวใจรั่ว, โรคหัวใจในเด็ก

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ซับซ้อน และบางครั้งไม่อาจสังเกตอาการได้ทันที แต่กว่าร้อยละ 99 สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มักเกิดกับลูกทารก ต้องดูแลรักษาอย่างไร

โรคหัวใจในเด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถบอกสาเหตุที่แน่ชัดได้ ส่วนที่สามารถบอกสาเหตุได้ คือ การที่แม่มีความผิดปกติในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น เป็นหัดเยอรมัน หรือติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น และการใช้ยาบางชนิดโดยเฉพาะในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ ส่งผลให้เด็กเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติทางโครงสร้างของหัวใจตั้งแต่กำเนิด สำหรับอุบัติการณ์นั้น สถิติของประเทศไทยก็เหมือนกับทั่วโลก กล่าวคือ เด็กที่เกิดใหม่จำนวน 1,000 คน จะมี 8 คนที่เป็นโรคหัวใจผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ในประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ที่มีปัญหาโรคหัวใจปีละประมาณ 8,000 คน โดยในจำนวนนี้ มีประมาณร้อยละ 50 ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด”

โรคหัวใจในเด็ก โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่พบบ่อย

โรคหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด เป็นคำเรียกรวมความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจหลายประการที่เกิดกับผนังกั้นหัวใจ ลิ้นหัวใจ หรือหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจในเด็กที่พบบ่อยที่สุด มีดังนี้

  1. ผนังกั้นหัวใจห้องบนรั่ว (Atrial Septal Defect - ASD) ผลจากการที่มีรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจห้องบน ทำให้เลือดไหลผ่านจากหัวใจห้องบนซ้ายผ่านรูรั่วไปห้องบนขวา ตรวจพบได้จากเสียงฟู่ที่หัวใจและผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยง่าย ส่วนใหญ่มักถูกตรวจพบโดยบังเอิญ

  2. ผนังกั้นหัวใจห้องล่างรั่ว (Ventricular Septal Defect - VSD) มีรูรั่วที่ผนังกั้นห้องหัวใจห้องล่าง ทำให้เลือดแดงจากหัวใจห้องล่างซ้ายผ่านรูรั่วไปยังห้องล่างขวา ออกสู่หลอดเลือดแดงของปอด ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปยังปอดมีมากขึ้น ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายและล่างซ้ายก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ส่งผลให้หัวใจห้องซ้ายทำงานมากขึ้นจนหัวใจวายได้

  3. มีช่องเปิดระหว่างหลอดเลือดหัวใจใหญ่ทั้งสองเส้น (Patent Ductus Arteriosus - PDA) ทารกแรกเกิดทุกคนจะมีช่องเปิดระหว่างหลอดเลือดหัวใจสองเส้น (Aorta และ Pulmonary Artery) และจะปิดเองภายในหนึ่งชั่วโมงหรือไม่เกิน 24 ชั่วโมงหลังคลอด ในกรณีผิดปกติช่องเปิดนี้จะไม่ปิด ส่งผลให้เลือดแดงกับเลือดดำผสมกัน ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  4. มีรูรั่วของผนังกั้นหัวใจห้องล่างร่วมกับหลอดเลือดหัวใจที่จะไปยังปอดตีบหรือลิ้นหัวใจตีบ (Tetralogy of Fallot - TOF) เป็นโรคชนิดซับซ้อนที่พบบ่อยที่สุดทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ปกติแล้วหัวใจจะส่งเลือดไปยังปอดเพื่อเอาเลือดไปฟอกให้มีออกซิเจนมากขึ้น แต่กรณีนี้ลิ้นหัวใจตีบ หรือหลอดเลือดเล็กกว่าปกติ เป็นเหตุให้เลือดที่จะต้องถูกส่งไปฟอกที่ปอดมีน้อยกว่าปกติ จึงรั่วผ่านผนังห้องหัวใจไปออกทางด้านซ้ายและเอาไปเลี้ยงร่างกายต่อ กลายเป็นว่าเลือดที่ไปเลี้ยงร่างกายเป็นเลือดดำ เด็กจึงมีภาวะเขียว

  5. ลิ้นหัวใจห้องล่างขวาตีบ (Pulmonary Valve Stenosis) เป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจห้องล่างขวาเปิดไม่เต็มที่เนื่องจากหนาตัว แข็ง หรือเชื่อมประสานกันอย่างผิดปกติ ทำให้หัวใจต้องทำงานมากกว่าเดิม

  6. หัวใจห้องเดียว (Single Ventricle) เป็นความผิดปกติของหัวใจห้องล่างเป็นหลัก โดยเด็กกลุ่มนี้หัวใจห้องล่างสองห้องทำงานเหมือนเป็นห้องเดียวจึงทำให้ระบบรวนไปหมด เนื่องจากหัวใจห้องล่างสองห้องมีหน้าที่ต่างกัน คือ ห้องขวาทำหน้าที่บีบส่งเลือดดำไปฟอกยังปอดส่วนข้างซ้ายจะบีบเลือดที่ฟอกแล้วมาจากปอดเพื่อส่งไปเลี้ยงยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ความผิดปกตินี้ทำให้ไม่มีการแบ่งทางเดินของเลือดอย่างชัดเจน เลือดดำกับเลือดแดงปะปนกัน เด็กจึงมีภาวะเขียวเสมอ

  7. หลอดเลือดใหญ่ของหัวใจสลับขั้ว (Transposition of theGreat Arteries - TGA) คือการที่หลอดเลือดดำและแดงของหัวใจสลับขั้วกันอย่างสิ้นเชิง จากขวาเป็นซ้าย จากซ้ายเป็นขวา ความผิดปกตินี้ทำให้เด็กที่เกิดมามีภาวะเขียวเนื่องจากเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดถูกส่งกลับไปที่ปอด ขณะที่เลือดดำที่ถูกส่งมาที่หัวใจก็ถูกส่งไปเลี้ยง
    อวัยวะอื่น ๆ ต่ออีก

การวินิจฉัยโรคหัวใจในเด็ก โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

โรคหัวใจในเด็กสังเกตอาการได้ง่ายแม้ว่าเด็กจะบอกไม่ได้ว่าเหนื่อย ใจสั่นหรือเจ็บหน้าอก แพทย์จะดูอาการของเด็กซึ่งมีอยู่เพียงสองอาการเท่านั้น คือ หัวใจวายกับอาการเขียว ถ้าเด็กเขียวก็สังเกตได้ง่าย แต่ถ้าหัวใจวาย หลายครั้งไม่อาจสังเกตได้ทันที พ่อแม่ของเด็กแทบจะไม่รู้เลย เพราะหัวใจวายในเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่อย่างสิ้นเชิง

ภาวะหัวใจวายในผู้ใหญ่ จะสังเกตได้จากอาการขาบวม หน้าบวมหอบเหนื่อย เหนื่อยง่าย แต่ภาวะหัวใจวายในเด็กไม่มีอาการดังกล่าวดังนั้น ผู้ปกครองต้องสังเกตอาการ ดังนี้

  • เลี้ยงไม่โต หมายความว่า สัดส่วนระหว่างส่วนสูง น้ำหนักตัว และอายุไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าต้องมีอะไรผิดปกติ

  • เมื่อกินนมต้องหยุดเป็นพัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูดนมแม่หรือนมจากขวด เด็กทั่วไปจะดูดรวดเดียวหรือพักครั้งเดียวจบ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่เด็กที่เป็นโรคหัวใจจะทำไม่ได้ ดูดได้พักเดียวต้องหยุดหอบ แล้วค่อยกลับไปดูดใหม่ กว่าจะอิ่มต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ตรงนี้สำคัญมากเพราะเป็นอาการที่พ่อแม่มักจะไม่ได้สังเกต และคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น หากเด็กดูดนมช้าหรือดูดแล้วหยุดเป็นพัก ๆต้องใช้เวลาในการให้นมแต่ละมื้อนานเป็นชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ก็ให้สงสัยไว้ก่อน

  • หายใจหอบถี่ หมายความว่าอาการแย่ลง เด็กแรกเกิดอาจหายใจ 40 ครั้งต่อนาที แต่เด็กที่หัวใจวายอาจหายใจเร็วถึง 60 ครั้งต่อนาที แม้ในขณะที่นอนหลับ

การรักษาและดูแลโรคหัวใจในเด็ก โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

การรักษาโรคหัวใจในเด็กที่มีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิดนั้น มีอยู่ 3 วิธีได้แก่

  • การรักษาด้วยยา
  • การทำหัตถการบางอย่างเพื่อซ่อมแซมความผิดปกติ
  • การผ่าตัด

ปัจจุบัน แพทย์สามารถทำการผ่าตัดเด็กที่เป็นโรคหัวใจได้ทุกอายุ ารผ่าตัดหัวใจ จะต้องให้เด็กมีน้ำหนักตัวเกิน 10 - 15 กิโลกรัมก่อนเพื่อความปลอดภัย และลดอัตราการเสียชีวิต แต่สมัยนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าจนทำให้เด็กทุกวัย ไม่ว่าจะน้ำหนักตัวเท่าไรก็เข้ารับการผ่าตัดได้ สิ่งที่ผมอยากเน้นก็คือว่า เมื่อไรก็ตามที่เด็กมีข้อบ่งชี้ให้ต้องทำการผ่าตัดหัวใจ ผู้ปกครองควรเชื่อคำแนะนำของแพทย์และอนุญาตให้มีการ
ผ่าตัดโดยไม่รอช้าเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเด็กเอง เพราะความผิดปกติบางชนิด หากปล่อยให้เวลาผ่านไป โครงสร้างหัวใจของเด็กก็จะเปลี่ยนไป การผ่าตัดอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เรียกว่าเป็นการเสียโอกาสไปอย่างถาวรเลยทีเดียว

ขณะที่การผ่าตัดช่วยเด็กที่มีปัญหาโรคหัวใจที่ซับซ้อนให้ดีขึ้นได้การดูแลภายหลังผ่าตัดก็สำคัญมากไม่แพ้กัน “เมื่อผ่าตัดเสร็จเราถือว่าเสร็จเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อีกครึ่งคือการดูแลหลังการผ่าตัด เพราะหากมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงนั้น เช่น มีการติดเชื้อ มีออกซิเจนต่ำ ความดันต่ำหรือมีอวัยวะที่ทำงานผิดปกติไป เด็กก็จะเสียชีวิตได้เช่นกัน โชคดีที่ปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยชีวิตต่าง ๆ ช่วยให้เราดูแลเด็กหลังผ่าตัดได้ดีขึ้นมากเช่น เครื่อง ECMO หรือ Extra Corporeal Membrane Oxygenator ซึ่งเป็นเครื่องช่วยชีวิตเด็กในยามคับขัน เครื่องนี้จะทำหน้าที่เป็นปอดและหัวใจเทียมในระหว่างที่รอให้หัวใจและปอดของเด็กฟื้นตัวและทำงานเองได้ ส่งผลให้เด็กมีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น” นพ. สัมพันธ์กล่าว

หลังจากผ่าตัด โรคหัวใจในเด็กจะดีขึ้นทันทีแต่แพทย์ยังจำเป็นต้องนัดตรวจติดตามอาการอีกเป็นระยะ ๆ ซึ่งนพ. สัมพันธ์เน้นว่า ผู้ปกครองต้องพยายามพาเด็กมาตามนัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่เป็นโรคหัวใจชนิดซับซ้อน (เช่น TOF) เพื่อจะได้ตรวจพบความผิดปกติได้อย่างทันท่วงที พร้อมกันนี้ นพ. สัมพันธ์ได้ฝากคำแนะนำแก่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานป่วยเป็นโรคหัวใจว่า “เมื่อหมอวินิจฉัยว่าลูกของคุณเป็นโรคหัวใจ อย่าตกใจหรือเสียกำลังใจ เพราะกว่าร้อยละ 99 รักษาได้ หรือทำให้ดีขึ้นได้ครับ ศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจ ให้ความร่วมมือกับแพทย์ โรคหัวใจในเด็กก็ไม่ยากเกินไปที่จะรับมือ”


ขอบคุณที่มา : Bumrungrad International hospital

โรคหัวใจในเด็กเป็นอย่างไร โรคหัวใจเด็กมีกี่ชนิด พ่อแม่ต้องดูแลอย่างไร

โรค หัวใจ ใน เด็ก, โรค หัวใจ ชนิด เขียว, โรค pda ใน ทารก แรก เกิด, โรคหัวใจเด็ก, เด็กเป็นโรคหัวใจ, โรคหัวใจเด็ก เกิดจากอะไร, โรคหัวใจเด็ก รักษาหายไหม, โรคหัวใจแต่กำเนิด, หัวใจรั่วแต่กำเนิด, หัวใจพิการแต่กำเนิด, รักษา โรคหัวใจเด็ก, ป้องกัน โรคหัวใจเด็ก

โรคหัวใจในเด็กเกิดได้ตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นตอนโต โรคหัวใจในเด็กเป็นอย่างไร โรคหัวใจในเด็กมีกี่ชนิด มาศึกษาข้อมูลกันไว้ในบทความนี้ค่ะ 

โรคหัวใจในเด็กเป็นอย่างไร โรคหัวใจเด็กมีกี่ชนิด พ่อแม่ต้องดูแลอย่างไร

เด็กที่ป่วยเป็นโรคหัวใจไม่ว่าจะเป็นชนิดเป็นแต่กำเนิด หรือชนิดที่เป็นเมื่อโตแล้วก็ตาม อาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่มเด็กโรคหัวใจที่ไม่มีอาการ
  2. กลุ่มเด็กโรคหัวใจที่มีอาการ

โรคหัวในในเด็กกลุ่มที่ไม่มีอาการ

ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่บิดามารดาหรือกุมารแพทย์ทั่วไปฟังได้เสียงผิดปกติในหัวใจ กลุ่มนี้ถ้าจะเป็นโรคหัวใจชนิดใดก็ตามส่วนใหญ่การผิดปกติของหัวใจมักไม่รุนแรง ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาทางยาหรือผ่าตัด การดำเนินชีวิตกิจกรรมต่างๆ มักเป็นไปตามปกติเช่นเด็กทั่วไป ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในเรื่องการกินอยู่ การออกกำลังกาย แต่จำเป็นต้องให้การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างดียิ่ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อตรงบริเวณที่ผิดปกติของหัวใจจากเชื้อในช่องปากหรือหากมีการผ่าตัดหรือหัตถการกับเด็กกต้องให้ยาปฏิชีวนะป้องกันไว้ด้วย

ควรพาเด็กไปพบแพทย์โรคหัวใจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แพทย์ประเมินสถานภาพความรุนแรงของโรคหัวใจนั้นๆ ว่ายังคงสภาพเดิม หรือมีความรุนแรงมากขึ้น หรือมีอย่างอื่นแทรกซ้อน เพราะโรคหัวใจเด็กบางชนิดการรุนแรงของโรคอาจเพิ่มมากขึ้นได้ตามอายุ เด็กกลุ่มนี้หากบิดามารดา หรือแม้แต่ตัวเด็กเองมีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องโรคที่เป็นแล้ว ครอบครัวและเด็กเองจะคลายความวิตกกังวลอันนำมาซึ่งสุขภาพจิตที่ดีขึ้น มีอนาคตอันสดใสเฉกเช่นเด็กปกติทั่วไป

ยังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นเด็กปกติไม่มีโรคหัวใจ แต่เมื่อโตขึ้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดเบต้า-สเตร็ปโตคอคคัส กลุ่มเอ ที่ลำคอและไม่ได้รับการรักษาหรือได้รับการรักษาแต่ไม่พอเพียง เด็กบางคนจะเกิดโรคไข้รูห์มาติคมีอาการปวดข้อหลายๆ แห่ง มีการเคลื่อนไหวผิดปกติของแขนขาหรือมีการอักเสบของหัวใจ โดยเฉพาะที่ลิ้นหัวใจซึ่งเมื่อรักษาหายแล้วยังคงเหลือร่องรอยอยู่ ทำให้ลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้ เด็กเหล่านี้หากลิ้นหัวใจอักเสบไม่มากนัก และได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกต้องเมื่อหายจากโรคแล้วเด็กก็จะไม่มีอาการอะไรทางหัวใจ แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการฉีดยาเบนซาทีนเพนนิซิลิน ทุก 3-4 สัปดาห์เข้ากล้ามไปนานๆ เป็นระยะเวลาหลายสิบปี (ดูหัวข้อโรคหัวใจรูห์มาติค) เพราะหากไม่ได้รับการฉีดยานี้แล้วเด็กเหล่านี้เมื่อติดเชื้อสเตร็ปกลุ่มเดิมที่ลำคออีก โอกาสจะเป็นโรครูห์มาติคซ้ำมีสูงมาก และอาจทำให้ลิ้นหัวใจหรือแม้แต่กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมากยิ่งขึ้นจนเกิดภาวะหัวใจวายต้องรับประทานยาตลอดไป หรือหากเป็นมากๆ อาจต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจไปเลย

เมื่อถึงระยะนี้แล้วเด็กจะมีความพิการทางหัวใจจนทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติอนาคตจะเสียไป ความเข้าใจอันถูกต้องในเรื่องการป้องกันการเกิดซ้ำของโรคนี้โดยการได้รับยาฉีดทุก 3-4 สัปดาห์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

โรคหัวใจในเด็กกลุ่มที่มีอาการ

โดยทั่วไปอาการส่วนใหญ่ของเด็กที่เป็นโรคหัวใจมี 2 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่มที่มีอาการหัวใจวาย
  2. กลุ่มโรคหัวใจที่มีอาการชนิดเขียว

โรคหัวใจในเด็กกลุ่มที่มีอาการหัวใจวาย

มักจะพบในกลุ่มที่มีเลือดรั่วจากซีกซ้ายของหัวใจไปยังด้านขวาและไปปอดมากขึ้น เด็กกลุ่มนี้จะมีอาการเจ็บเรื้อรัง ผอม น้ำหนักน้อย มีปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูไม่เจริญเติบโต เหนื่อยหอบ เหงื่อออกมากแม้อากาศเย็น ดูดนมลำบาก รับประทานอาหารได้น้อย ต้องพักเหนื่อยระหว่างรับประทาน บางครั้งมีพัฒนาการช้า เนื่องจากป่วยหนัก สีผิวซีดเซียว และบางรายก็มีอาการบวมร่วมด้วย หรือป่วยเป็นปอดบวมบ่อยๆ เด็กกลุ่มนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ตั้งแต่แรกๆ

ส่วนใหญ่เด็กกลุ่มนี้จะได้รับการผ่าตัดเมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งแพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งต้องกระทำก่อนเกิดพยาธิสภาพของหลอดเลือดแดงเล็กๆ ในปอด ช่วงระยะเวลาก่อนผ่าตัดการให้การดูแลสุขภาพทั่วไป และให้ภูมิคุ้มกันเช่นเด็กปกติ ลดอาหารเค็มจัด หลีกเลี่ยงการนำเด็กไปที่แออัดเพื่อไม่ให้เด็กเป็นหวัดง่ายอันจะนำมาซึ่งโรคแทรกปอดอักเสบหรือปอดบวมเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เด็กกลุ่มนี้มักจะได้รับยาหลายชนิดหลายขนานเพื่อรักษาภาวะหัวใจวาย ได้แก่ ยา กลุ่มเพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ (ดีจิตาลิส) ยาขับปัสสาวะลดการบวมคั่งของน้ำในร่างกาย ยาขยายหลอดเลือดร่างกาย ยาเหล่านี้จำเป็นต้องให้พอดีกับขนาด น้ำหนักเด็ก หากให้เกินขนาดจะเกิดอันตรายแก่เด็กได้ หรือหากได้รับยาขนาดน้อยเกินไปก็จะไม่เกิดประโยชน์

พ่อแม่ควรทำความเข้าใจในการให้ยาเหล่านี้เป็นอย่างดี เพื่อป้องกันการผิดพลาดในการให้ยา นอกจากนี้ก็ยังคงต้องดูแลสุขภาพฟันดังได้กล่าวมาแล้วด้วย ในรายที่เด็กเป็นไข้หวัดเด็กกลุ่มนี้มักจะไอมีเสมหะมาก ซึ่งหากเป็นหลายๆ วันอาจมีการติดเชื้อในปอดเป็นโรคปอดบวมแทรกได้ จึงควรที่จะไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆเมื่อเด็กเริ่มป่วย การออกกำลังกาย ต้องไม่หักโหม ไม่ควรเล่นกีฬาแข่งขันเพราะเด็กจะหยุดไม่ได้เมื่อเหนื่อย แต่โดยทั่วไปเด็กกลุ่มนี้เด็กมักจะจำกัดตัวเองเท่าที่กระทำได้ เมื่อเด็กได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยแล้วส่วนใหญ่ก็จะหายขาดจากโรค แต่ในช่วงระยะเวลาแรกๆ หลังผ่าตัดก็จำเป็นที่จะต้องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดเช่นเดิม เพื่อมิให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน

โรคหัวใจในเด็กกลุ่มโรคหัวใจที่มีอาการชนิดเขียว

ในเด็กกลุ่มโรคหัวใจที่มีอาการชนิดเขียว ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่มเด็กที่เขียวและมีอาการหัวใจวายร่วมด้วย
  2. กลุ่มเด็กที่มีอาการเขียวแต่ไม่มีอาการหัวใจวาย

กลุ่มเด็กที่เขียวและมีอาการหัวใจวายร่วมด้วย

เด็กกลุ่มนี้จะมีอาการหลังคลอดเร็วมาก หากไม่ได้รับการรักษาผ่าตัดทันท่วงทีส่วนใหญ่จะถึงแก่กรรมภายในเวลา 1-2 ขวบปีแรก เด็กเหล่านี้ช่วงก่อนการผ่าตัดก็จะต้องดูแลให้ยาเช่นเด็กที่มีอาการหัวใจวายดังได้กล่าวแล้ว แพทย์โรคหัวใจเด็กมักจะนัดเด็กกลุ่มนี้มาตรวจบ่อยๆ ก่อนการผ่าตัดเพื่อประเมินสภาวะหัวใจและปอด การผ่าตัดหัวใจของเด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่แล้วต้องกระทำเร็วก่อนที่เส้นเลือดแดงในปอดจะเสีย

การผ่าตัดจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ซึ่งในปัจจุบันแพทย์ตามศูนย์โรคหัวใจต่างๆ ทั่วประเทศสามารถผ่าตัดให้หายได้ กรณีที่เด็กมีอาการหัวใจวายมากหรือสุขภาพทั่วไปไม่เอื้ออำนวยอาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพียงแค่ไปรัดเส้นเลือดที่ไปยังปอดให้แคบลงลดปริมาณเลือดที่ไปยังปอด รอให้เด็กโตขึ้นแข็งแรงขึ้นจึงผ่าตัดอีกครั้ง ช่วงหลังผ่าตัดครั้งแรกนี้อาการหัวใจวายของเด็กจะดีขึ้นหรือหายไป เด็กจะเจริญเติบโตดีขึ้นแต่อาจจะมีอาการเขียวมากขึ้น การดูแลรักษาเด็กในช่วงนี้ก่อนการผ่าตัดใหญ่จะเป็นเช่นเดียวกับกลุ่มที่จะได้กล่าวต่อไป อันได้แก่กลุ่มเด็กที่มีอาการเขียวแต่ไม่มีอาการหัวใจวาย

กลุ่มเด็กที่มีอาการเขียวแต่ไม่มีอาการหัวใจวาย

เด็กกลุ่มนี้อาการเขียวอาจเป็นตั้งแต่แรกเกิดหรือค่อยๆ เป็นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาร้องไห้บางรายอาจมีอาการเขียวคล้ำ กวนมาก หายใจหอบลึก และอาจมีอาการตัวเกร็งเป็นลมหมดสติได้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดในเด็กเล็กๆ ก่อนอายุ 2 ปีมักเป็นตอนเช้าๆ หรือหลังร้องไห้นานๆ เมื่อโตขึ้นเด็กกลุ่มนี้จะตัวเล็ก หอบ เหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกายหรือเดินนานๆ เด็กมักจะชอบนั่งยองๆ จนอาการดีขึ้นแล้วถึงจะทำต่อ

เด็กกลุ่มนี้ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น แต่มักจะรอได้ไม่ต้องรีบทำตั้งแต่เล็กๆ หรือเกิดใหม่ เพราะเส้นเลือดแดงในปอดจะไม่เสีย ช่วงก่อนการผ่าตัดการดูแลรักษาเด็กกลุ่มนี้ นอกจากจะดูแลการฉีดวัคซีน การให้อาหารเช่นเด็กปกติทั่วไปแล้วยังต้องดูแลสุขภาพช่องปากให้ดี และให้ยาปฏิชีวนะก่อนทำฟัน เพื่อมิให้มีการติดเชื้อในหัวใจหรือเป็นฝีในสมอง การออกกำลังกายไม่ควรหักโหมพักผ่อนให้พอเพียง บางรายที่อาจต้องรับประทานยาก็ควร

รับประทานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้มีเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นมากในเลือด เลือดเข้มข้น หากมีอาการท้องเดินควรรีบพาไปพบแพทย์เพราะต้องดูแลอย่าให้เด็กขาดน้ำจนเกินไปอาจเกิดอาการทางสมองได้ เมื่อเด็กมีอาการเขียวคล้ำหายใจหอบลึกบิดามารดาควรพยายามทำให้เด็กสงบหยุดร้องไห้ ชันเข่าเด็กงอชิดหน้าอกหรืออุ้มพาดบ่า และรีบพาเด็กไปโรงพยาบาล เพราะการเกิดอาการนี้นานๆ อาจมีผลทางสมองเกิดขึ้นได้เช่นกัน

อาการอื่นที่อาจพบได้ในเด็ก เช่น อาการใจสั่นมีการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ อาจพบได้ในเด็กที่มีหรือไม่มีความผิดปกติของหัวใจได้ เด็กเหล่านี้ควรปรึกษากับแพทย์เกี่ยวกับการออกกำลังกาย เล่นกีฬาของเด็กให้ชัดเจน เพราะบางรายอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

เด็กที่เป็นโรคหัวใจไม่ว่าชนิดใดก็ตามหากมีอาการไข้ต่ำๆ เป็นสัปดาห์หรือเดือน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีอาการปวดข้อ ซึมลง หรือมีจุดเลือดตามตัว อาจมีการติดเชื้อที่บริเวณส่วนผิดปกติของหัวใจ ต้องรีบพาเด็กมาพบแพทย์ทันทีเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที เพื่อมิให้พยาธิสภาพหัวใจเลวลง เด็กที่มีการติดเชื้อภายในหัวใจหากมิได้รับการรักษาจะมีโรคแทรกซ้อนได้มาก และถึงแก่กรรมในที่สุด

โดยสรุปการดูแลเด็กที่เป็นโรคหัวใจในส่วนของผู้ปกครองควรพิจารณาหลักเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้

  1. ด้านโภชนาการ ในเด็กที่เป็นโรคหัวใจและไม่มีอาการ ให้การดูแลเช่นเด็กปกติ ให้อาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในเด็กที่มีอาการหัวใจวาย มีอาการหอบบวมควรให้อาหารลดเค็ม ให้น้ำพอสมควร เด็กที่เขียวควรให้อาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ เพื่อให้ร่างกายสร้างฮีโมโกลบินได้พอเพียงกับปริมาณของเม็ดเลือดแดง เพื่อป้องกันการเกิดอาการทางสมอง

  2. การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ว่าเด็กจะเป็นโรคหัวใจชนิดใดให้ได้เช่นเด็กปกติ แต่ควรเลือกช่วงเวลาที่เด็กสบายๆ ไม่มีการเจ็บป่วยหนักขณะนั้น

  3. การออกกำลังกาย ในกลุ่มเด็กที่ไม่มีอาการทำได้เช่นปกติ (ยกเว้นบางกรณี เช่น มีการเต้นผิดจังหวะของหัวใจบางชนิด หรือลิ้นหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ ถึงแม้เด็กจะไม่มีอาการเมื่ออยู่เฉยๆ แต่อาจมีอาการมากมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เมื่อออกกำลังกาย ควรปรึกษาขอคำแนะนำจากแพทย์ให้ชัดเจนว่าสามารถออกกำลังกายได้แค่ไหน เล่นกีฬาแข่งขันได้หรือไม่ ในกลุ่มเด็กที่มีอาการส่วนใหญ่เด็กมักจะจำกัดตัวเองอยู่แล้วก็ควรปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่ก็ต้องไม่ให้เด็กหักโหม

  4. การป้องกันโรคแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อจากฟันหรือช่องปาก ต้องดูแลสุขภาพฟันให้ดี รับประทานยาปฏิชีวนะก่อนการทำฟัน หรือการผ่าตัดบางชนิดตามคำแนะนำของแพทย์ (ดูหัวข้อภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจและการป้องกัน) ในเด็กที่เขียวควรระวังอย่าให้เด็กเสียน้ำมากเวลามีอาการท้องเสีย อาเจียน หากมีอาการตัวเกร็งเป็นลมหมดสติควรทราบวิธีปฏิบัติดูแลเด็กก่อนพามาโรงพยาบาล

  5. ควรมีความเข้าใจอย่างดียิ่งในการให้ยาทางโรคหัวใจในรายที่จำเป็น เช่น ก่อนและหลังการผ่าตัด หรือในเด็กบางรายที่จำเป็นต้องได้ยาตลอดชีวิต เช่น เป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจหรือเป็นโรคหัวใจบางชนิดที่ไม่สามารถผ่าตัดให้หายขาดได้ หรือการฉีดยาทุก 3-4 สัปดาห์เป็นระยะเวลานานๆ ในผู้ป่วยโรคหัวใจรูห์มาติค เพื่อป้องกันการสับสน ให้ยาผิดขนาดหรือเลิกไปเองก่อนเวลาอันสมควร และควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาการข้างเคียงของยาที่ใช้ด้วยโดยปรึกษากับแพทย์ผู้ให้การดูแล

จะเห็นได้ว่าการดูแลเด็กที่เป็นโรคหัวใจ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูง หายจากโรค และมีการดำเนินชีวิตปกติมีอนาคตสดใส จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ปกครอง บิดามารดาของเด็กที่ป่วยเข้าใจถึงพยาธิสภาพการดำเนินของโรคชนิดนั้นๆ อย่างแท้จริง ตลอดถึงความเข้าใจเรื่องการให้ยา และเฝ้าระวังโรคแทรกและให้การรักษาอย่างทันท่วงที การเข้าใจอย่างถ่องแท้จะนำมาซึ่งการผ่อนคลายความวิตกกังวลของครอบครัว และของเด็กเองเมื่อโตขึ้น เด็กจะมีสุขภาพจิตที่ดีเป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพของสังคมของประเทศเช่นเด็กปกติได้


ที่มา มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ
The Cardiac Children Foundation of Thailand,

โรคหูน้ำหนวก หลังเด็กเป็นหวัด รู้ไม่ทัน อาจถึงขั้นหูหนวกได้

โรคหูน้ำหนวกในเด็ก, โรคหูน้ำหนวกในเด็ก สาเหตุ, โรคหูน้ำหนวกในเด็ก อาการ, การอักเสบของเยื่อบุหูชั้นกลาง, น้ำเข้าหู, แคะหู 

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านเข้าใจผิดว่า โรคหูน้ำหนวกหรือการอักเสบของเยื่อบุหูชั้นกลาง เกิดจากน้ำเข้าหู ความจริงแล้วไม่ใช่นะคะ

แต่การเอามือสกปรกไปแคะ ไปเขี่ย หรือบังเอิญในน้ำสกปรกมีเชื้อโรคบางตัวอยู่ก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ โรคนี้เด็ก ๆ เป็นกันเยอะ พ่อแม่ต้องรู้จักสัญญาณเตือนโรคไว้นะคะ ก่อนจะอันตรายไปมากกว่านี้

อาการอักเสบของหูชั้นกลาง แบ่งเป็น 3 ลักษณะ
  1. การอักเสบอย่างเฉียบพลัน

เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดจากการที่น้ำเข้าหู หรือการแคะหู เป็นเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจ เช่น เชื้อโรคจากโพรงจมูกอักเสบ ลำคอ หรือทอนซิลอักเสบ เชื้อโรคเหล่านี้จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นในเด็กเล็ก เด็กมักจะมีอาการปวดหู งอแง มีไข้ มีอาการติดเชื้อ มีน้ำมูก ถ้าเป็นเด็กโตพอคุยรู้เรื่อง อาจจะบอกว่า การได้ยินของเขาลดลง

  1. อาการอักเสบเป็นระยะเวลานาน

อักเสบนานประมาณ 2-3 สัปดาห์ติดต่อกัน ทำให้บริเวณหูชั้นกลางมีน้ำ หรือของเหลวขังอยู่ภายใน ผู้ป่วยมักจะมีอาการ หูอื้อ คล้าย ๆ กับการดำน้ำ หรือ ขึ้นเครื่องบิน อาการไม่รุนแรง แต่จะรำคาญมาก บางคนเป็นอยู่นานเป็นเดือน




3. การอักเสบอย่างรุนแรงในหูชั้นกลาง

จนแก้วหูทะลุ มีน้ำหนองไหลออกมา และมีกลิ่นเหม็น กรณีนี้เองที่เรียกว่า โรคหูน้ำหนวก บางคนอาจเป็นแค่ 2-3 สัปดาห์ อาการก็ดีขึ้น แต่ในรายที่มีอาการรุนแรง เป็นนาน ๆ ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป หรือเป็นนานหลายปี ลักษณะดังกล่าวเรียกว่า เป็นโรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง หรือหูชั้นกลางอักเสบชนิดเรื้อรัง มีอาการหูอื้อเป็นระยะ การได้ยินลดลง ผู้ป่วยอาจมีภาวะติดเชื้อมากขึ้น และอาจถึงขั้นหูหนวกได้


โรคหูน้ำหนวกในเด็ก เกิดจากอะไร

โรคหูน้ำหนวกในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เกิดหลังจากการเป็นหวัด โดยเชื้อโรคจะเกิดขึ้นจากคอผ่านไปยังหูชั้นกลางและทำให้เยื่อบุหูชั้นกลางอักเสบ หูน้ำหนวกสามารถแบ่งได้ 3 ชนิด คือ หูน้ำหนวกชนิดเฉียบพลัน หูน้ำหนวกชนิดใส และหูน้ำหนวกชนิดเรื้อรัง

ทั้งนี้หูน้ำหนวกชนิดเฉียบพลัน เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็ก ภายหลังจากการเป็นหวัด หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ มักมีอาการค่อนข้างรุนแรงซึ่งอาการของโรคโดยทั่วไป เด็กจะมีอาการปวดหูมากและเป็นไข้ ต่อมาอาจมีแก้วหูทะลุและมีน้ำหนวกไหล

การรักษาโรคหูน้ำหนวกในเด็ก

หูน้ำหนวกชนิดใส

เกิดจากการทำงานของท่อระบายอากาศในหูชั้นกลางบกพร่อง ทำให้มีน้ำขัง เด็กจะรู้สึกเหมือนมีน้ำขังอยู่ในหูตลอดเวลา มักเป็นหลังการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หวัด ไซนัสอักเสบโรคภูมิแพ้ทางจมูก มักมีอาการปวดหูเล็กน้อย หูอื้อ เสียงก้องในหูการรักษาจะรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุของน้ำในหูชั้นกลางควบคู่กับการให้ยา ถ้าไม่หายภายใน 3 เดือน ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด โดยการเจาะแก้วหูเพื่อดูดน้ำออกจากหูชั้นกลาง และใส่ท่อระบาย

หูน้ำหนวกชนิดเรื้อรัง

เกิดจากภาวะที่มีอาการอักเสบของหูชั้นกลางมากกว่า 3 เดือน และมีแก้วหูทะลุ มีน้ำหนวกไหล อาจมีอาการตลอดเวลา หรือเป็น ๆ หาย ๆ เกิดจากการที่เป็นหูน้ำหนวกเฉียบพลัน แล้วไม่ได้รับการรักษาปล่อยไว้จนอักเสบเรื้อรัง

  1. หูอักเสบเรื้อรังชนิดไม่รุนแรง มีแก้วหูทะลุ มีน้ำหนวกไหลเป็นระยะ รักษาด้วยการกินยาและหยอดยา หรือผ่าตัดปะแก้วหูเมื่อหูแห้ง

  2. หูอักเสบชนิดเรื้อรังรุนแรง เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ฝีหลังหู หน้าเบี้ยว เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในสมอง หูหนวก เวียนศีรษะ ชัก เป็นต้น รักษาโดยการผ่าตัด

รู้จักโรคหูน้ำหนวกกันมากขึ้นแล้วนะคะ เป็นโรคที่รักษาหายขาดได้ แต่ถ้าหากลูกเป็นหวัด เป็นไข้ ต้องระวังอาการแทรกซ้อนอย่างโรคหูน้ำหนวกให้ดีเลยค่ะ ควรดูแลสุขอนามัยของลูกอย่างถูกวิธี ไม่แคะหู ระวังน้ำสกปรกเข้าหู ตลอดจนให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอนะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก :   เว็บไซต์แนวหน้า, นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ , นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา

  • 1
  • 2