facebook  youtube  line

10 สมุนไพรไล่ยุง ป้องกันลูกจากโรคไข้เลือดออก

สมุนไพร ไล่ ยุง, ตะไคร้ ไล่ ยุง, สมุนไพร กัน ยุง, มะกรูด ไล่ ยุง, สมุนไพร ไล่ ยุง วิธี ทํา, วิธี ไล่ ยุง ด้วย สมุนไพร, วิธี ทำ สมุนไพร ไล่ ยุง, ตะไคร้ กัน ยุง, สมุนไพร กำจัด ยุง, วิธี ทํา ตะไคร้ ไล่ ยุง, สมุนไพน ป้องกันยุง, ไข้เลือดออก, อาการ ไข้เลือดออก, รักษา ไข้เลือดออก 
เด็ก ๆ เป็นโรคไข้เลือดออกสูงขึ้นทุกปี และเป็นได้ตลอดปี บางคนอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ พ่อแม่ควรป้องกันลูกจากยุงลายให้ดีที่สุด การใช้สมุนไพรไล่ยุงลายเป็ยอีกหนึ่งวิธีที่ช่วย เรามีสมุนไพรไล่ยุงมาแนะนำค่ะ

10 สมุนไพรไล่ยุง ป้องกันลูกจากโรคไข้เลือดออก

ยุงลายสาเหตุของโรคไข้เลือดออก

คือการที่ยุงลายเป็นพาหะนำโรคมากัด ทำให้เชื้อไวรัสเดงกี่แพร่สู่ร่างกาย โดยลูกจะมีอาการไข้สูงและเป็นหลายวัน อาจจะมีอาการหวัด ปวดเมื่อยตัว หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ถ้าหากไม่ดีขึ้นหรืออาการทรุดๆ ทรงๆ คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดนะคะ  

ทารกใช้ยากันยุงได้ไหม

ทารกต่ำกว่า 6 เดือน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากันยุงทุกประเภทเนื่องจากผิวหนังยังบอบบางอยู่มาก มีโอกาสแพ้ได้ง่าย ควรป้องกันด้วยวิธีอื่น เช่น กางมุ้งให้ลูก ใช้รถเข็นที่มีตาข่ายกันยุง สวมเสื้อผ้ามิดชิด เป็นต้น แต่ถ้าเป็นลูกอายุมากกว่า 6 เดือนอาจใช้สมุนไพรแทนยากันยุงได้ค่ะ ก่อนใช้ควรทดสอบดูก่อนว่าลูกน้อยไม่แพ้ และไม่ควรทาในบริเวณใกล้ตาหรือมือเพราะลูกอาจนำเข้าปากได้  

แนะนำ 10 สมุนไพรไล่ยุง

  1. ตะไคร้หอม เป็นสมุนไพรไล่ยุงที่หลายๆ คนนึกถึงเป็นอันดับแรก เพียงนำมาบดหรือขยี้เพียงเล็กน้อยให้กลิ่นออก และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้ปัจจุบันนิยมนำตะไคร้หอมไปผลิตยา น้ำมัน และครีมสำหรับทากันยุงมากมาย

  2. กระเทียม กลิ่นฉุนและค่อนข้างแรงของกระเทียมสามารถไล่ยุงได้ดี ลองนำกระเทียมมาตำให้แตกแต่ไม่ต้องละเอียดมาก จากนั้นนำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน รับรองว่ายุงกระเจิง บินกระจายค่ะ

  3. กะเพรา นอกจากแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อแล้ว กะเพราะยังสามารถไล่ยุงได้อีกด้วย วิธีการคือขยี้ใบกะเพราสดๆ หลายๆ ใบแล้ววางไว้ใกล้ตัว กลิ่นน้ำมันกะเพราที่ระเหยออกจากใบจะช่วยไล่ยุงตัวเล็กตัวน้อยได้ค่ะ

  4. จิงจูฉ่าย เป็นสมุนไพรจีนคล้ายขึ้นฉ่าย เมื่อบดเล็กน้อย กลิ่นของจิงจูฉ่ายจะโชยออกมาและทำให้ยุงบินหนีไป นอกจากนี้ยังสามารถนำมาทาผิวหนังเพื่อป้องกันยุงกัดได้อีกด้วย

  5. สะระแหน่ กลิ่นสาระแหน่เป็นกลิ่นที่ยุงไม่ชอบอย่างมาก ลองนำใบสะระแหน่มาขยี้และทาลงบนผิว รับรองว่าวันนั้นจะไม่มียุ่งมาวิ่งวุ่นให้รำคาญใจเลยค่ะ

  6. มะกรูด ไม่ได้มีสรรพคุณดูแลแค่เส้นผมอย่างเดียว มะกรูดยังสามารถไล่ยุงได้อีกด้วย วิธีการคือ หั่นผิวมะกรูดสดเป็นชิ้นเล็กๆ โขลกกับน้ำ 1 เท่าตัวจนละเอียด จากนั้นให้กรองเอาเฉพาะน้ำมาทาผิวหรือใส่กระบอกฉีด สามารถฉีดได้ตามมุมบ้านหรือที่ยุงชุกได้เลยค่ะ

  7. ส้ม (เปลือกส้ม) ใช้เปลือกส้มสดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 200 กรัม มาบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำเปล่าในปริมาณ 150 มล.ผสมให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำแล้วเทใส่กระบอกนำไปฉีดพ่นบริเวณที่มียุง

  8. พริกไทยดำ สำหรับการใช้พริกไทยดำในการไล่ยุงคือ นำพริกไทยดำมาทุบให้พอหยาบ จากนั้นนำไปใส่ภาชนะแล้วตั้งวางไว้ตามจุดต่างๆ ในบ้าน

  9. ใบแมงลัก เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน ไล่ยุงได้เป็นอย่างดี วิธีการคือขยี้ใบสดหลายๆ ใบ ขยี้ให้เกิดกลิ่น แล้วนำไปวางในจุดที่ต้องการไล่ยุง หรือนำมาทาถูที่ผิวหนัง แขน ขา ช่วยป้องกันแมลงกัดได้

  10. ยูคาลิปตัส ใช้ทำเป็นยาไล่ยุงและแมลง ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 1 กำมือ นำมาขยี้ กลิ่นของน้ำมันจะออกมา ซึ่งจะช่วยไล่ยุงและแมลงได้

 

 

5 สัญญาณเตือน ลูกเสี่ยงเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ

การเลี้ยงลูก- โรคย้ำคิดย้ำทำ- ย้ำคิดย้ำทำ- โรคเด็ก- โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก 

นิสัย ย้ำคิด ย้ำทำ..ลูกเสี่ยงเป็นโรคได้นะ!

หากลูกมีพฤติกรรมทำและคิดบางอย่างซ้ำ ๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอด นี่อาจเป็นสัญญาณแรก ๆ ของโรคย้ำคิดย้ำทำ ที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยอนุบาล

โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) คือโรคอะไร?

คือพฤติกรรมคิดวิตกกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไปคิดซ้ำ ๆ หมกมุ่น คิดแต่เรื่องเดิม ๆ ซึ่งเด็กจะรู้ตัวว่าคิดซ้ำ คิดมากเกินไป และไม่ต้องการคิด แต่ก็หยุดคิดไม่ได้ จะรู้สึกทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วทำซ้ำ ๆ มากจนผิดปกติ เพื่อลดความกังวลที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่คิด

การคิดและทำซ้ำ ไม่เป็นโรคได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เด็กคิดและเริ่มทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ วนเวียน จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเด็ก เกิดนอนไม่หลับเพราะคิดตลอดเวลา ไม่มีสมาธิ ส่งผลต่อการเข้าสังคม ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รวมทั้งส่งผลต่อการเรียน อาการแบบนี้ย่อมผิดปกติ และอาจมาควบคู่กับโรคสมาธิสั้น โรคกล้ามเนื้อกระดูก หรือโรคที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำ ๆ ที่ผิดปกติ เป็นต้น

อาการโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

คิดซ้ำ ๆ ทำซ้ำ ๆ อาจเริ่มได้ตั้งแต่วัยอนุบาล แล้วสะสมอาการย้ำคิดย้ำทำ จนเห็นได้ชัดเจนในวัยประถมต้น โดยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำได้ในช่วงประถมปลายเป็นต้นไป ซึ่งระยะเวลาที่เป็นนั้น เด็กจะมีพฤติกรรมคิดและทำซ้ำนานเป็นเดือน ๆ และอาจต่อเนื่องยาวเป็นปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน

สาเหตุโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

การทำงานของสมองผิดปกติ สารเคมีในสมองหลั่งออกมาผิดปกติ พันธุกรรมจากยีนที่คนในครอบครัวเคยเป็น เกิดจากการเลี้ยงดู การอบรมสั่งสอนของผู้ปกครอง เป็นต้น

 

 
5 อาการย้ำคิดย้ำทำที่พ่อแม่สังเกตได้

เด็กอาจมีอาการหรือแสดงพฤติกรรมดังนี้ โดยจะพบ 3 พฤติกรรมแรกเป็นส่วนใหญ่

  1. กลัวเชื้อโรค กลัวความสกปรกต่าง ๆ จนต้องทำความสะอาดซ้ำ ๆ นาน ๆ เช่น ล้างมือ เปลี่ยนที่นอน อาบน้ำ ล้างนานเป็นชั่วโมง ล้างจนมือลอก แห้งเป็นแผล กลัวว่าจะติดเชื้อสกปรก ใครมาโดนตัวก็ต้องไปล้างมือหรืออาบน้ำตลอดเวลาเป็นต้น

  2. จัดวางของต้องเป๊ะ เช่น ใส่เสื้อผ้าซ้ายขวาต้องเท่ากัน ขยับของบนโต๊ะให้เสมอกัน ทำซ้ำ ๆ เพราะกลัวว่าจะไม่เท่ากัน เมื่อเท่ากัน แล้วก็ทำซ้ำอีก เพราะไม่แน่ใจว่าเท่ากัน

  3. ตรวจซ้ำ ๆ นับซ้ำ ๆ เช่น การลืมเลื่อนประตู เด็กอาจย้ำกับผู้ปกครองว่า ปิดไฟ ล็อคประตูหรือยังบ่อย ๆ ประมาณ 3-5 ครั้ง หรือนับขึ้นบันไดตลอดเวลา เดินขึ้นไปแล้วลงมาใหม่ แล้วนับซ้ำอีก เป็นต้น

  4. คิดเรื่องบางเรื่องตลอดเวลา เช่น คิดทำร้ายพ่อแม่ คิดเรื่องศาสนา มหันตภัยต่าง ๆ ซึ่งเรื่องที่คิดนั้น เป็นการรับข้อมูลในเรื่องนั้น ๆ มากจนเกินไป แล้วปล่อยวางไม่ได้ ทำให้คิดกังวลตลอดเวลา

  5. สะสมสิ่งของ โดยเฉพาะการเก็บของที่ไม่ใช้แล้ว กังวลที่จะทิ้งของเหล่านั้น กลัวว่าจะต้องใช้แล้วทิ้งไป กังวลว่าหากทิ้งไปจะนำกลับมาอีกไม่ได้ เป็นต้น

อาการที่เสี่ยงพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้า เมื่อย้ำคิดย้ำทำมาก ๆ อาการรุนแรงมากขึ้น เด็กจะมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ตัวเองไม่มีคุณค่า จนอยู่กับความคิดความรู้สึก แล้วลุกขึ้นมาไม่ได้ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่ อาจกลายเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการฆ่าตัวตายได้ในอนาคต

 
พ่อแม่คือ "ยา" บำบัดที่ดีที่สุดของอาการย้ำคิดย้ำทำ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้สุขภาพจิตของเด็ก ๆ ดีขึ้น มาจากพ่อแม่เป็นอันดับแรก ตามด้วยการบำบัดโดยจิตแพทย์เด็ก การปรับความคิดพฤติกรรมบำบัดคอร์สละ 2-3 เดือน และรักษาด้วยยาปรับสารเคมีในสมองในรายที่รุนแรงเป็นอันดับสุดท้าย ปรับการเลี้ยงดูและวิธีการสอน โดยบางพฤติกรรมของผู้ปกครองเป็นตัวสนับสนุนให้เด็กเกิดอาการย้ำคิดย้ำทำ พูดคุยกับลูกบ่อย ๆ หากลูกยังไม่ยอมพูด ไม่ยอมคุย ไม่ต้องบังคับลูก ค่อย ๆ ใช้วิธีอื่นที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้ว่า ลูกกังวลเรื่องอะไร เพื่อช่วยให้คำแนะนำหรือช่วยแก้ไขปัญหาให้ลูกอย่างถูกต้องเหมาะสม เบี่ยงเบนความสนใจของลูก หากลูกว่าลูกกำลังคิดอะไรซ้ำ ๆ ลองชวนลูกไปทำอย่างอื่นแทน เช่น ชวนไปออกกำลังกาย เล่นนอกบ้าน เล่นกีฬา เพื่อให้ลูกได้ระบายอารมณ์ ลดความเครียด และเบี่ยงเบนความคิดในหัว ลูกจะลืมสิ่งที่คิดเยอะไปได้เอง

 
"4 อย่า" วิธีป้องกันลูกจากโรคย้ำคิดย้ำทำ
  1. อย่าขู่ลูกให้กลัว เพราะจะทำให้ลูกเข้าใจผิด บวกจินตนาการกลายเป็นมโนไปเอง เมื่อเกิดภาวะนี้บ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำได้ คุณพ่อคุณแม่ควรอธิบายให้ลูกฟังด้วยเหตุผลตามหลักความเป็นจริงเสมอ

  2. อย่าใส่อารมณ์ อย่าซ้ำเดิม หากลูกทำผิด หรือเริ่มคิดอะไรซ้ำ ๆ ต้องอธิบายเรื่องบางเรื่องให้ลูกฟังบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการใส่อารมณ์ หรือชักสีหน้าเวลาพูดกับลูก และเลี่ยงการใช้คำพูดในลักษณะซ้ำเติม เช่น เรื่องที่ลูกคิดมันไร้สาระ แต่ควรชี้ให้เห็นถึงข้อดีของความไร้สาระนั้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล

  3. อย่าดุด่า เมื่อลูกกังวลหรือคิดอะไรในใจ หลีกเลี่ยงการดุด่า เพราะลูกจะเก็บไปคิดหนักขึ้นกว่าเดิม ให้ใช้ความเข้าใจบอกกับลูก ด้วยโทนเสียงที่อบอุ่น สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

  4. อย่าจิตตก คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นผู้ประคับประคองที่ดีให้ลูก ต้องนิ่ง ต้องมั่นคง ตั้งสติให้ดี ไม่ไหวเอนตามความกังวลของลูก หากยิ่งกังวลตามลูกก็จะยิ่งทำให้ลูกกังวลหนักมากขึ้น และพร้อมรับฟังและคอยให้คำแนะนำที่ดีกับลูก

 

เด็กที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ บางคนพบว่าเป็นเด็กฉลาดมี IQ ดี คุณพ่อคุณแม่ควรพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการชี้ทางให้ลูกอย่างถูกต้องได้ค่ะ

6 โรคลำไส้ในทารกแรกเกิด 0-1 ปี ที่พ่อแม่ต้องรู้และรีบรักษาโดยด่วน

 โรคลำไส้ ทารก, โรคลำไส้เด็ก, เด็ก ลำไส้อักเสบ, เด็ก ลำไส้ติดเชื้อ, เด็กทารก ลำไส้กลืนกัน, เด็ก ทารก ลำไส้สั้น, เด็ก ทารก ท้องผูก, เด็ก ทารก ท้องร่วง, เด็กทารก ลำไส้แพ้โปรตีน นมวัว, เด็ก ทารก เป็นโรคลำไส้ได้ไหม, อาการ โรคลำไส้ใน เด็ก ทารก, โรค ลำไส้เด็ก มีอะไรบ้าง, โรคลำไส้ เด็ก ทารก รักษายังไง, สาเหตุ โรคลำไส้ เด็ก ทารก, อาการ โรค ลำไส้เด็ก

ลูกทารก เด็กเล็กๆ ช่วงวัย 0-1 ปี ก็เป็นโรคลำไส้ได้เหมือนกัน มาดูกันว่าว่าโรคลำไส้แบบไหน ที่เด็กขวบปีแรกมีโอกาสเป็นบ้าง พร้อมวิธีการดูแลอย่างถูกวิธีมาฝากกันค่ะ

6 โรคลำไส้ในทารกแรกเกิด 0-1 ปี ที่พ่อแม่ต้องรู้และรีบรักษาโดยด่วน

  1. ติดเชื้อในลำไส้ ลำไส้อักเสบ หรืออุจจาระร่วงเฉียบพลัน

    อาจเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย เป็นสาเหตุของโรคลำไส้ที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก ส่วนเด็กที่อยู่ในเขตเมืองมักเกิดการติดเชื้อไวรัส โดยไวรัสที่พบบ่อยที่สุดคือ ไวรัสโรต้า

    วิธีสังเกตอาการติดเชื้อในลำไส้ ลำไส้อักเสบ หรืออุจจาระร่วงเฉียบพลัน
    ลูกจะมีอาการอาเจียน ถ่ายอุจจาระเหลวมีน้ำมาก หรือมีมูกเลือดปน อาจมีไข้ร่วมด้วย ในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส อาจมีอาการไอ น้ำมูกไหลร่วมด้วย ถ้าสูญเสียน้ำมาก จะมีอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง น้ำลายน้อย เบ้าตาลึก กระหม่อมบุ๋ม ปัสสาวะน้อยผิดปกติ ซึม ตัวเย็น ฯลฯ

    วิธีดูแลการติดเชื้อในลำไส้ ลำไส้อักเสบ หรืออุจจาระร่วงเฉียบพลัน
    สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลรักษาคือ การแก้ไขและทดแทนภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ เด็กที่เสียชีวิตจากโรคลำไส้อักเสบมีสาเหตุจากการขาดน้ำอย่างรุนแรงจนช็อก ในกรณีที่ลูกขาดน้ำไม่มาก สามารถดูแลเองที่บ้าน โดยให้ลูกดื่มสารละลายเกลือแร่ และกินอาหารตามวัย แต่ถ้ามีอาการขาดน้ำรุนแรงหรืออาเจียนมาก ก็ต้องนำไปพบแพทย์และอาจต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อให้สารน้ำทางหลอดเลือด ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะทุกคน เนื่องจากการติดเชื้อในลำไส้ที่พบในเด็กมักเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ไม่รุนแรง

    วิธีป้องกันโรคติดเชื้อในลำไส้ ลำไส้อักเสบในเด็กทารก
    1. เตรียมนม น้ำ และอาหารให้สะอาด ควรต้มขวดนมและจุกนม ใช้ภาชนะปกปิดอาหารและน้ำเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อจากแมลงวัน
    2. ล้างมือก่อนป้อนอาหารให้ลูก หมั่นเช็ดถูพื้น โต๊ะและล้างของเล่นบ่อยๆ เนื่องจากเด็กวัยต่ำกว่า 1 ปี มักชอบเอาของเล่นหรือมือเข้าปาก
    3. ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรต้าซึ่งเริ่มให้ได้ตั้งแต่ทารกอายุ 6 สัปดาห์ แต่ไม่ใช่ว่าลูกจะไม่ท้องร่วงเลย เพราะโรคนี้ยังมีสาเหตุจากเชื้ออื่นๆ ได้อีก

  2. โรคลำไส้กลืนกัน

    ในทารกสันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบริเวณส่วนปลายของลำไส้เล็กโตขึ้น เป็นจุดนำทำให้ลำไส้เล็กมุดเข้าไปในลำไส้ใหญ่

    วิธีสังเกตอาการลำไส้กลืนกัน
    ลูกจะมีอาการร้องไห้เป็นพักๆ เนื่องจากปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเมือกสีแดง และอาจอาเจียนร่วมด้วย

    วิธีดูแลโรคลำไส้กลืนกัน
    ทำให้ลำไส้ที่กลืนกันคลายออก อาจใช้วิธีสวนแป้งหรือลมเข้าทางทวารหนัก แต่ถ้าลำไส้กลืนกันนานจนเกิดลำไส้ขาดเลือดมากหรือลำไส้ทะลุ จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

  3. ลำไส้อักเสบจากการแพ้โปรตีน

    ที่พบบ่อยที่สุดคือแพ้โปรตีนนมวัว รองลงมาได้แก่ โปรตีนจากถั่วเหลือง ไข่ อาหารทะเล และถั่วเปลือกแข็ง

    สังเกตอาการลำไส้อักเสบจากการแพ้โปรตีน
    ลูกอาจมีอาการถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายมีมูกเลือดปน

    วิธีดูแลลำไส้อักเสบจากการแพ้โปรตีน
    ต้องให้ลูกงดอาหารที่แพ้ กรณีที่แพ้นมวัวแต่ไม่แพ้ถั่วเหลือง อาจให้ลูกกินนมถั่วเหลืองได้ แต่ถ้าแพ้ถั่วเหลืองด้วย ต้องเปลี่ยนเป็นนมพิเศษที่โปรตีนมีขนาดเล็กลง

    วิธีป้องกันโรคลำไส้อักเสบจากการแพ้โปรตีน
    พยายามให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวให้ได้นานอย่างน้อย 6 เดือน ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวมีปัญหาภูมิแพ้ ควรเริ่มอาหารเสริมหลังอายุ 6 เดือน และไม่ควรให้อาหารทะเลก่อนอายุ 1 ปี

  4. ลำไส้สั้น

    พบได้น้อย สาเหตุมักเกิดจากเด็กมีความผิดปกติของทางเดินอาหารแต่กำเนิด หรือเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงลำไส้ เมื่อรักษาด้วยการผ่าตัด แพทย์จำเป็นต้องตัดลำไส้ออกบางส่ว

    สังเกตอาการลำไส้สั้น
    เด็กจะมีอาการถ่ายอุจจาระเหลว มีน้ำปริมาณมาก และเลี้ยงไม่โต เนื่องจากลำไส้เล็กมีหน้าที่สำคัญในการดูดซึมน้ำ แร่ธาตุ และสารอาหาร เมื่อเด็กถูกตัดลำไส้เล็กออกไปทำให้การดูดซึมดังกล่าวบกพร่อง

    วิธีดูแลอาการลำไส้สั้น
    กรณีที่ยังเหลือความยาวลำไส้เล็กพอประมาณ เด็กสามารถรับอาหารทางปาก หรือทางสายให้อาหารทางกระเพาะอาหารได้ แต่ถ้าลำไส้เล็กมีขนาดสั้นมากๆ จำเป็นต้องให้อาหารทางหลอดเลือดแทน ในต่างประเทศมีการผ่าตัดปลูกถ่ายลำไส้ในกรณีที่เด็กมีลำไส้สั้นมากและไม่สามารถหยุดการให้อาหารทางหลอดเลือด

  5. อาการทารกท้องผูก

    ในเด็กเล็กมีสาเหตุหลัก 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีลำไส้ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เช่น ผนังลำไส้ใหญ่ไม่มีปมประสาท ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งพบบ่อยกว่าคือ กลุ่มที่มีท้องผูกโดยลำไส้ปกติดี กลุ่มนี้มักมีสาเหตุจากกินผักผลไม้น้อย หรือเกิดจากเด็กเคยถ่ายอุจจาระแข็ง เบ่งยากหรือมีการฉีกขาดที่รูทวาร ทำให้กลัวการถ่ายจึงพยายามกลั้นอุจจาระไว้

    สังเกตอาการทารกท้องผูก
    เด็กกลุ่มที่มีลำไส้ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด อาจไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้เองตั้งแต่เกิด ต้องเหน็บหรือสวนทวารบ่อยๆ และอาจมีท้องอืดมาจากภาวะลำไส้ใหญ่อุดตัน

    ส่วนเด็กที่กินผักผลไม้น้อยหรือเคยถ่ายอุจจาระแข็ง เวลาที่ปวดท้องถ่ายเด็กจะมีพฤติกรรมกลั้นอุจจาระคือ เขย่งขา เกร็งขา ทำขาไขว้กันเป็นกรรไกร บีบก้น และมักหลบมุมไม่ให้ใครเข้าใกล้ ถ้ามีปัญหาไปนานๆ เด็กจะสามารถกลั้นได้เป็นเวลาหลายวันหรือเป็นสัปดาห์ แต่มีข้อยกเว้นในทารกช่วงอายุ 1-4 เดือน ที่กินนมแม่ อาจถ่ายอุจจาระห่างเป็นทุกๆ 7-10 วัน แต่อุจจาระก็นิ่มหรือเหลวเป็นปกติ ทารกเหล่านี้ไม่จัดว่ามีปัญหาท้องผูก และจะค่อยๆ กลับมาถ่ายอุจจาระถี่ขึ้นได้เอง

    วิธีดูแลทารกท้องผูก
    ในกลุ่มที่ผนังลำไส้ใหญ่ไม่มีปมประสาท จำเป็นต้องรับการผ่าตัดเพื่อตัดลำไส้ส่วนที่ผิดปกติทิ้งไป ส่วนเด็กที่กินผักผลไม้น้อยก็ต้องพยายามหาวิธีชักจูงให้ลูกกินผักผลไม้ให้เพิ่มขึ้น อาจให้ดื่มน้ำลูกพรุน

    ส่วนเด็กที่ถ่ายอุจจาระแข็งทั้งที่กินผักผลไม้เพียงพอแล้ว ต้องให้กินยากลุ่มที่ทำให้อุจจาระนิ่ม เพื่อเด็กจะได้หายกลัวการถ่ายอุจจาระ ส่วนทารกที่กินนมแม่และถ่ายอุจจาระห่างแต่นิ่ม ไม่ต้องใช้สบู่หรือกลีเซอรีนเหน็บรูทวารเพื่อกระตุ้นให้เด็กถ่าย ปล่อยให้ทารกเบ่งถ่ายอุจจาระด้วยตนเอง

    วิธีป้องกันทารกท้องผูก
    ต้องฝึกให้ลูกกินผักผลไม้ และกินอาหารเสริมที่เหมาะสมตามวัย

  6. ติ่งเนื้อในลำไส้

    เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อลำไส้

    สังเกตอาการติ่งเนื้อในลำไส้ 
    ลูกจะมีอาการถ่ายอุจจาระมีเลือดปน โดยอาจไม่มีอาการปวดท้องก็ได้

    วิธีดูแลติ่งเนื้อในลำไส้ 
    ถ้าเป็นติ่งเนื้อที่ลำไส้ใหญ่ แพทย์จะส่องกล้องเข้าไปในรูทวารและตัดติ่งเนื้อได้เลย แต่ถ้าเป็นติ่งเนื้อที่ลำไส้เล็กจำเป็นต้องรับการผ่าตัด

 

รศ.พญ.วรนุช จงศรีสวัสดิ์
หน่วยโรคทางเดินอาหารและโรคตับ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

7 ปัญหาโรคตาเด็กที่พบได้บ่อย

โรคตาเด็ก-การดูแลดวงตา-ลูกเป็นโรคสายตาขี้เกียจ-ลูกตาเหล่ ตาเข-ลูกเป็นต้อหิน-ลูกเป็นต้อกระจก-ลูกหนังตาตก-มะเร็งจอประสาทตา-พัฒนาการของดวงตาและการมองเห็นของลูก-พัฒนาการทางสายตา-การตรวจตาเด็ก-ลูกตาแฉะ

ถึงเป็นเด็กก็มีโอกาสป่วยโรคตาได้ โรคตาเด็กหลาย ๆ โรคถ้าไม่ได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ มีโอกาสที่ลูกโตไปจะกระทบการมองเห็นได้ 

7 ปัญหาโรคตาเด็กที่พบได้บ่อย

ลูกยังเล็ก คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับสุขภาพตาลูกกันเท่าไหร่นัก เห็นตาลูกผิดปกติก็คิดว่าไม่เป็นอะไร เดี๋ยวคงดีเอง หารู้ไม่ว่าพัฒนาการของดวงตาและการมองเห็นของลูกไม่ได้สมบูรณ์แบบมาตั้งแต่เกิด ยังต้องมีการพัฒนาต่อไปอีกโดยเฉพาะในช่วงแรกของชีวิต

เพราะฉะนั้นหากในช่วงที่ลูกยังเล็ก ๆ อยู่มีสิ่งใดมาขัดขวางพัฒนาการทางสายตา อาจทำให้ตาลูกผิดปกติไปตลอดชีวิตก็ได้ การตรวจตาเด็กเล็กจึงมีความสำคัญอย่างมาก ควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตาก่อนอายุ 2 ปีสักครั้ง เพื่อที่จักษุแพทย์จะได้รักษาทันท่วงทีหากมีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น

7 ปัญหาโรคตาเด็ก

1. ท่อน้ำตาอุดตันตั้งแต่กำเนิด

พบได้บ่อยโดยมักพบในเด็กอายุประมาณ 1-2 เดือน เด็กจะมีอาการตาแฉะตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ร้องไห้ ต่อมาอาจมีการติดเชื้อร่วมด้วย ทำให้เด็กมีขี้ตามากขึ้น

การรักษา เมื่อลูกตาแฉะใช้การหยอดยาหยอดตาที่เป็นยาปฏิชีวนะร่วมกับการนวดบริเวณหัวตา อาการท่อน้ำตาอุดตันจะดีขึ้นและหายไปได้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจนเด็กอายุประมาณ 1 ปี จักษุแพทย์ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือช่วย เพื่อช่วยขยายท่อน้ำตาให้เปิดออก

2. สายตาขี้เกียจ 

คือการที่สายตาข้างหนึ่งพัฒนาไม่เป็นปกติในช่วงวัยเด็ก เป็นผลให้ระดับสายตาข้างนี้แย่กว่าอีกข้างหนึ่ง โดยปกติหลังจากที่เด็กคลอดออกมา สายตาทั้ง 2 ข้างจะพัฒนาไปเท่าๆ กันจนถึงอายุ 7-9 ปี ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เช่น ตาเหล่ จะทำให้พัฒนาการของสายตาทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน โดยข้างหนึ่งจะพัฒนาเป็นปกติ แต่อีกข้างหนึ่งจะมีการพัฒนาด้อยกว่า เราเรียกสายตาที่ด้อยกว่าว่า "สายตาขี้เกียจ"

สาเหตุหลักของสายตาขี้เกียจได้แก่ ตาเหล่ สายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ หรือการเป็นต้อกระจกตั้งแต่กำเนิด ฯลฯ หมอมักวินิจฉัยสายตาขี้เกียจได้ไม่ยากถ้ามีอาการตาเหล่ร่วมด้วย แต่จะมีปัญหาได้ ถ้าสายตาขี้เกียจนั้นเกิดจากการมีสายตาสั้นหรือยาวผิดปกติ ซึ่งในกรณีหลังนี้ต้องใช้วิธีวัดสายตาจึงจะทราบได้

การรักษา ควรจะทำก่อนลูกอายุ 6 ปี จึงจะได้ผลดี การรักษามักใช้วิธีปิดตาข้างที่มีระดับสายตาปกติ เพื่อกระตุ้นตาที่มีสายตาขี้เกียจให้กลับมาทำงานตามปกติ ความสำเร็จในการรักษาสายตาขี้เกียจนี้ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เป็นหลัก เพราะเด็กมักไม่ชอบให้ใครมาปิดตา ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยอมใจอ่อน ตามใจลูกโดยไม่ปิดตาตามคำสั่งจักษุแพทย์ จะทำให้ระดับสายตาลูกผิดปกติไปตลอดชีวิต

3. ตาเหล่หรือตาเข

คือการที่ตาข้างหนึ่งมองตรงไปข้างหน้า แต่อีกข้างอาจจะเหล่เข้าในหาจมูกหรือเหล่ออกนอก หรือบางครั้งอาจจะเหล่ขึ้นบนหรือลงล่างก็พบได้

อาการตาเหล่อาจพบได้ตั้งแต่แรกเกิดหรือพบหลังอายุ 2-3 ปีได้ สาเหตุของตาเหล่ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มักพบอาการนี้ได้บ่อยในเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองได้

การรักษาการรักษาอาการตาเหล่จะได้ผลดี ต้องมารักษาก่อนอายุ 2 ปี โดยการรักษาได้แก่..

รักษาสายตาขี้เกียจที่มีร่วมด้วย เพราะการปล่อยให้ตาข้างใดข้างหนึ่งเหล่นาน จนเด็กไม่ได้พัฒนาสายตาสองข้างให้ทำงานร่วมกัน ทำให้ตาตรงโดยการใช้แว่นตาหรือการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา อาการตาเหล่หากไม่รักษาอาจทำให้เด็กมีปัญหาดูภาพแบบคนปกติ ไม่สามารถดู ภาพสามมิติได้ การรักษาจะเนิ่นนานออกไปอีก

4. หนังตาตก

คืออาการที่หนังตาบนตกมาคลุมตาดำมากผิดปกติ เด็กมักจะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยการเงยหน้าขึ้นหรือพยายามเลิกคิ้วขึ้นเพื่อ มอง ปัญหาที่พบร่วมกับอาการหนังตาตก ได้แก่ สายตาขี้เกียจ

การรักษา โดยส่วนใหญ่การรักษาอาการหนังตาตกมักใช้การผ่าตัดยกหนังตาขึ้น และรักษาสายตาขี้เกียจที่มีร่วมด้วย

5. ต้อกระจกตั้งแต่กำเนิด

ต้อกระจกไม่ได้พบเฉพาะคนสูงอายุเท่านูน ยังสามารถพบในเด็กแรกเกิดได้ และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการสายตาขี้เกียจ คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ว่าลูกเป็นต้อกระจกหรือไม่จากจุดขาวที่มีในตาดำ

การรักษา ทำได้ด้วยการผ่าตัดเอาต้อกระจกออก

6. ต้อหินตั้งแต่กำเนิด

เป็นภาวะที่มีความดันภายในลูกตาสูง และจะมีการทำลายของขั้วประสาทตา เด็กจะมีอาการตาแฉะ ตาไม่กล้าสู้แสง ชอบหยีตา มีลูกตาดำโตกว่าปกติ

การรักษา ใช้ยาลดความดันภายในลูกตา และมักต้องผ่าตัด

7. มะเร็งของจอประสาทตา

มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี อาการนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการตาวาวคล้ายลูกตาแมวหรือมองเห็นจุดสีขาวในลูกตาดำ

การรักษา สามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้ามาพบจักษุแพทย์ในระยะเริ่มต้น การรักษามะเร็งของจอประสาทตามีหลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าเด็กเป็นมะเร็งในระยะ ไหน การรักษาทำได้โดยการผ่าตัด การใช้แสงเลเซอร์หรือความเย็นจี้ที่ก้อนเนื้อมะเร็ง การใช้เคมีบำบัด การฉายรังสี

 

ปัญหาสายตาเหล่านี้สามารถรักษาให้หายได้ หากคุณพ่อคุณแม่พาลูกมารักษาเสียแต่เนิ่นๆ เมื่อเห็นว่าสายตาลูกมีความผิดปกติ ให้รีบพาลูกไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ การให้จักษุแพทย์ตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติ ดีกว่าพบความผิดปกติทีหลังแล้วรักษาไม่ทันการณ์

80 รายชื่อหมอภูมิแพ้เด็กที่พ่อแม่รีเควสต์

5118 

80 รายชื่อหมอภูมิแพ้เด็กที่พ่อแม่รีเควส

เด็กๆ เป็นภูมิแพ้กันเยอะขึ้น พ่อแม่หลายคนจึงต้องตามหาคุณหมอเฉพาะทางเพื่อรักษาเจ้าตัวเล็กให้หาย รักลูกรวบรวมรายชื่อคุณหมอที่รักษาภูมิแพ้ที่แม่ๆ แนะนำเข้าใน https://www.facebook.com/raklukeclub มาให้แล้วค่ะ

  1. นพ.กันย์ พงษ์สามารถ คลินิกภูมิแพ้โรงพยาบาลเด็ก
  2. นพ.กัลย์ กาลวันตวานิช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
  3. นพ.เฉลิมไทย เอกศิลป์ โรงพยาบาลพญาไท 3
  4. นพ.ธัชชัย วิโรจวานิช โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ
  5. นพ.ปิยวุฒิ กรีฑาภิรมย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยา
  6. นพ.พุทธชาติ ดำรงกิจชัยพร โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา
  7. นพ.มนตรี ตู้จินดา โรงพยาบาลเจ้าพระยา / โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ / โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์
  8. นพ.วรวิชญ์ เหลืองเวชการ โรงพยาบาลเจ้าพระยา
  9. นพ.วรุตม์ ทองใบ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ / โรงพยาบาลสินแพทย์
  10. นพ.วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง โรงพยาบาลวิภาราม
  11. นพ.วิทยา อัศวะวิเชียนจินดา โรงพยาบาลพญาไท 3
  12. นพ.วีระพงษ์ จันจงเจริญชัย โรงพยาบาลวิภาวดี
  13. นพ.วีระพงษ์ จันจงเจริญชัย โรงพยาบาลสินแพทย์
  14. นพ.สงวน วงศ์ศรีสุจริต รพ.วิภารามพัฒนาการ
  15. นพ.สาธิต สันตดุสิต โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
  16. นพ.สิระ นันทพิศาล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
  17. นพ.สุกิจ รุ่งอภินันท์ โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม
  18. นพ.สุนทร สุนทรชาติ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น
  19. นพ.อิสรา บุญสาธร โรงพยาบาลวิภาวดี
  20. พญ.กัญลดา ว่องวรภัทร โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
  21. พญ.กานติมา กาญจนภูมิ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  22. พญ.ขนิษฐา ศิริพูล โรงพยาบาล บางปะกอก 1
  23. พญ.จีรารัตน์ บุญสร้างสุข โรงพยาบาลพญาไท 3
  24. พญ.จุฬามณี วงศ์ธีระญานี โรงพยาบาลสมิติเวช
  25. พญ.ฉัฐฐิมา เสาวภาคย์ โรงพยาบาลพระรามเก้า
  26. พญ.ชนาภรณ์ โมกขมรรคกุล โรงพยาบาลเจ้าพระยา
  27. พญ.ชัญญรัช ตัณศุภผล โรงพยาบาลรามคำแหง
  28. พญ.ดรุณี ชัยดรุณ โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา
  29. พญ.ทัศลาภา แดงสุวรรณ คลินิกภูมิแพ้โรงพยาบาลเด็ก / โรงพยาบาลพญาไท 3
  30. พญ.ธัชขวัญ อินทปันตี โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
  31. พญ.ธิดารัตน์ อัคราช โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น / โรงพยาบาลวิภาวดี
  32. พญ.นภัสยชญ์ ชูศรี โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม
  33. พญ.นริดา ถาวรพานิช โรงพยาบาลไทยนครินทร์
  34. พญ.นริศรา สุรทานต์นนท์ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
  35. พญ.นวินดา มหาวิจิตร โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สระบุรี
  36. พญ.นันทนัช หรูตระกูล โรงพยาบาลสมิติเวช
  37. พญ.ประภาศิริ สิงห์วิจารณ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยา
  38. พญ.ปัญจมา ปาจารย์ โรงพยาบาลสมิติเวช
  39. พญ.ปารวี พรตตะเสน โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการรุณย์
  40. พญ.ปิติยา โรจน์พรประดิษฐ์ โรงพยาบาลสินแพทย์
  41. พญ.ปิยวดี เลิศชนะเรืองฤทธิ์ โรงพยาบาลวิภาวดี
  42. พญ.เปรมวดี อนุรักษ์เลขา โรงพยาบาลกรุงเทพ
  43. พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
  44. พญ.พิจิตรา บุญฑริกพรพันธุ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ หาดใหญ่
  45. พญ.เพลินพิศ ลิขสิทธิพันธุ์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
  46. พญ.ภัทรา ตันติเจริญวิวัฒน์ โรงพยาบาลสมิติเวช
  47. พญ.ภัสรา นิลายน โรงพยาบาลพญาไท 1
  48. พญ.ยิหวา สุขสวัสดิ์ โรงพยาบาลเวชธานี
  49. พญ.ยุเพ็ญ สมาณาธิกรณ์ โรงพยาบาลรามคำแหง
  50. พญ.รัตนา พิพิธปรีชา โรงพยาบาลเวชธานี
  51. พญ.ลินน่า งามตระกูลพานิช โรงพยาบาลกรุงเทพ
  52. พญ.วรรณนิภา วงศ์รัศมี โรงพยาบาลสมิติเวช
  53. พญ.วรรณวิภา บรรณางกูร โรงพยาบาลกรุงเทพ หาดใหญ่
  54. พญ.วรรณี ถิรภัทรพงศ์ โรงพยาบาลพญาไท 3
  55. พญ.วริศรา สิรยานนท์ โรงพยาบาลสินแพทย์
  56. พญ.วิชชญา ศรีสุวัจรีย์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  57. พญ.วิภารัตน์ มนุญากร โรงพยาบาลรามาธิบดี
  58. พญ.วิลาวัณย์ เวทไว โรงพยาบาลพระรามเก้า
  59. พญ.ศศิกานต์ ซื่อศิริสวัสดิ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอนแก่น
  60. พญ.ศิรภัสสร ศรพิพัฒน์พงศ์ โรงพยาบาลพญาไท 3
  61. พญ.ศิริพร หิรัญนิรมล โรงพยาบาลกรุงเทพ
  62. พญ.สดุดี บุญมี กล้าขยัน โรงพยาบาลขอนแก่น
  63. พญ.สมหญิง อินทรทัต โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา
  64. พญ.สวพร สิทธิสมวงศ์ โรงพยาบาลขอนแก่น ราม
  65. พญ.สิรินันท์ บุญยะลีพรรณ คลินิคบ้านคุณหมอประชาชื่น
  66. พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ โรงพยาบาลสินแพทย์
  67. พญ.สุดาวรรณ ศิริอักษร โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม
  68. พญ.สุรีรัตน์ พงศ์พฤกษา โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  69. พญ.สุวาณี เจริญลาภ โรงพยาบาลพญาไท 3
  70. พญ.อารีย์ แสงศิริวุฒิ โรงพยาบาลกรุงเทพ
  71. รศ. พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังสี โรงพยาบาลพระรามเก้า
  72. รศ.นพ.สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์ โรงพยาบาลพญาไท 2
  73. รศ.พญ.ปัญจมา ปาจารย์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  74. รศ.พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  75. รศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
  76. ศ.เกียรติคุณ นพ.ประกิต วิชยานนท์ โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี
  77. ศ.เกียรติคุณ พญ.นวลอนงค์ วิศิษฏสุนทร โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  78. ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ / คลินิคภูมิแพ้ Allergy Clinic Bangkok
  79. ศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ โรงพยาบาลพญาไท 3
  80. ศ.พญ.อรทัย พิบูลโภคานันท์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

Checklist! ยาสำหรับเด็กที่ควรมีติดบ้านเมื่อลูกเจ็บป่วย พร้อมปริมาณการกินยาที่ถูกต้อง

 
ยาที่ควรมีติดบ้าน, ยาสำหรับเด็ก, ยาประจำบ้าน, ยาเด็กที่ต้องมีติดบ้าน, ปริมาณยาที่เด็กควรกิน, เด็กควรกินยายังไง, เด็กควรกินยาแค่ไหน, ควรซื้อยาเด็ก เก็บไว้ไหม, ยาเด็ก ที่คมรซื้อติดบ้านไว้, ยาสามัญประจำบ้ายสำหรับเด็ก, ป้อนยาเด็ก, เด็กกินยาอะไรได้, ลูกป่วย ต้องกินยาอะไร, รักลูก Community of The Experts, คลินิกเบบี้ 
ตู้ยาสามัญประจำบ้านยังจำเป็นนะคะ โดยเฉพาะยาสำหรับเด็ก เพราะลูกเราอาจเจ็บป่วยได้เสมอ เราจึงต้องเตรียมพร้อมยาเหล่านี้ไว้ตลอดเวลา

Checklist! ยาสำหรับเด็กที่ควรมีติดบ้านเมื่อลูกเจ็บป่วย พร้อมปริมาณการกินยาที่ถูกต้อง

ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้ลูกเจ็บป่วยค่ะ แต่ก็ห้ามยาก ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้วยการมีชุดยาสามัญประจำบ้าน ชุดปฐมพยาบาลจึงสำคัญที่สุด พญ.สินดี จำเริญนุสิต กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม จะมาบอกคุณพ่อคุณแม่ว่ายาอะไรบ้างที่ควรมีติดบ้าน และที่สำคัญที่สุดคือ ลูกควรกินยาแต่ละชนิดปริมาณเท่าไหร่จึงจะถูกต้อง ปลอดภัย 

5 หลักการเลือกซื้อและใช้ยาสามัญประจำบ้านในบ้านที่มีลูกเล็ก

  1. ควรเลือกซื้อที่ร้านที่มีเภสัชกรให้คำแนะนำ และก่อนซื้อยาควรแจ้งอายุของลูก รวมถึงโรคประจำตัว หรือประวัติแพ้ยา/แพ้อาหารแก่เภสัชกรด้วย

  2. ปรึกษาแพทย์/เภสัชกรก่อนจะซื้อยานั้นๆมาให้ลูกใช้

  3. อ่านฉลากเอกสารกำกับยาก่อนทุกครั้ง

  4. เลือกซื้อยาที่มีฉลากยา ระบุตำรับยา สรรพคุณ ขนาด และวิธีใช้

  5. ต้องมีวันเดือนปีที่ผลิต และวันสิ้นอายุ หรือวันที่ยาหมดอายุระบุไว้  

5 ยาสามัญประจำบ้านที่ควรมีติดบ้านที่มีลูกเล็ก

  1. ยาลดไข้สำหรับเด็ก
    วิธีใช้ยาลดไข้สำหรับเด็ก

    ใช้เมื่อมีอาการตัวร้อนมีไข้ เพื่อให้อาการไข้ลดลง หรือใช้ในกรณีที่มีอาการปวดหัว ปวดฟัน (ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่าไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน ถ้าไม่แน่ใจควรพบแพทย์)

    ปริมาณการกินยาลดไข้สำหรับเด็ก
    • ขนาดยาพาราเซตามอลที่ใช้โดยประมาณ คือ 10-15 มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (ถ้าไม่แน่ใจอาจจะดูที่ฉลากยาซึ่งระบุอายุของเด็กกับปริมาณยาที่เหมาะสม)
    • ความถี่โดยทั่วไป คือ ทุก 4-6 ชั่วโมง
    • การดูแลเวลาที่เด็กมีไข้ คือ การเช็ดตัวลดไข้ ควบคู่ไปกับการกินยาด้วย ส่วนทารกและเด็กเล็ก ต้องระมัดระวังในการใช้ยาลดไข้ และควรพาไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ

  1. กลุ่มยาลดน้ำมูก/ยาแก้ไอสำหรับเด็ก
    โดยทั่วไป ไม่แนะนำให้พ่อแม่ซื้อยาลดน้ำมูกมาให้ลูกรับประทานเอง (โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ) เพราะมีโอกาสที่จะทำให้ น้ำมูกแห้งอยู่ในโพรงจมูก และอาจทำให้ปิดกั้นทางเดินหายใจได้ค่ะ หากมีอาการควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา แต่ในเด็กโตพ่อแม่อาจใช้พวกน้ำมันหอมระเหย เช่น น้ำมันยูคาลิปตัสบริสุทธิ์ หยดบริเวณหมอน ผ้าห่ม ปกเสื้อลูก หรือสเปรย์ภายในห้องนอน หรือ อาจใช้ยาขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของน้ำมันยูคาลิปตัส ทาบริเวณหน้าอก คอ และหลัง เพื่อช่วยให้ลูกหายใจได้สะดวกขึ้น (ต้องแน่ใจว่าลูกไม่มีอาการแพ้ และ ไม่ควรทาที่จมูกลูกโดยตรงเพราะจะแสบได้)

    เด็กเล็กหากมีอาการไอ และมีเสมหะไม่มาก อาจให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เสมหะเหนียว ช่วยให้ชุ่มคอและไม่ระคายเคือง แต่ถ้ามีอาการไอและมีเสมหะมาก ยาเบื้องต้นที่สามารถใช้ในเด็กได้อย่างปลอดภัย เช่น ยาคาร์โบซีสเทอีน, แอมบรอกซอล หรือบรอมเฮกซีน เป็นต้น ยาแก้ไอสำหรับเด็กส่วนมากจะปราศจากแอลกอฮอล์ และบางยี่ห้อจะไม่มีทั้งน้ำตาลและแอลกอฮอล์ค่ะ

    ข้อควรระวัง: ไม่ควรซื้อยากดอาการไอมาให้ลูกเอง เช่น ยากลุ่ม เดกซ์โทรเมทอร์แฟน โดยเฉพาะในเด็กที่ยังบ้วนเสมหะไม่เป็น เพราะยาจะกดอาการไอเอาไว้ ทำให้เสมหะไม่ถูกขับออกมาผ่านทางการไอ แต่กลับสะสมในปอดแทน อาจทำให้เกิดอาการติดเชื้อที่ปอดและมีอาการรุนแรงได้

  1. ยาแก้ท้องอืดสำหรับเด็ก ที่นิยมใช้กัน เช่น มหาหิงคุ์ ยู่ยี่ออยล์ เป็นต้น
    วิธีใช้ยาแก้ท้องอืดสำหรับเด็ก
    1. เด็กทารกสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย โดยทาที่หน้าท้องบริเวณรอบ ๆ สะดือ หรืออาจทาฝ่ามือฝ่าเท้าด้วย จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารได้ และทำให้เด็กรู้สึกสบายท้องมากขึ้น
    2. ยากินเพื่อบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จะเป็นกลุ่มยาน้ำโซเดียมไบคาร์บอเนต หรือ ไซเมทิโคน ชนิดน้ำเชื่อม

  1. ยาทาแผลสด และอุปกรณ์ทำแผล หรือแผลฟกช้ำ
    1. ใช้น้ำเกลือล้างแผล จะไม่แสบเหมือนแอลกอฮอล์ และใช้ยาใส่แผล กลุ่มโพวิโดน-ไอโอดีน หรืออาจใช้เป็นยาครีมขี้ผึ้งที่ผสมยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
    2. อุปกรณ์ทำแผลที่ควรมีติดตู้ยาไว้ได้แก่ พลาสเตอร์ยา สำลี ผ้าก๊อซ เทปปิดผ้าก๊อซ เป็นต้น
    3. แผลฟกช้ำโดยช่วงแรก(1-2 วันแรก) ควรใช้เจลประคบเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็งไว้ ประคบ เพื่อให้แผลฟกช้ำไม่บวมกระจายเป็นวงกว้าง ลดอาการปวดได้ และไม่ควรคลึงหรือนวดเพราะอาจจะบวมมากขึ้น

  1. ยาแก้แพ้/แก้คันสำหรับเด็ก
    1. บ่อยครั้งที่ลูกวิ่งเล่นที่สนามหญ้า อาจจะถูกแมลงสัตว์ กัดต่อย หรือเกิดอาการผดผื่นคันตามตัวได้ ควรมียาขี้ผึ้ง หรือยาทาแก้ผดผื่นคันไว้ เช่น ยาคาลาไมน์ หรือยาทาที่มีสเตียรอยด์แบบอ่อนๆ (0.1%ไฮโดรคอทิโซนครีม)
    2. ถ้าอาการเป็นมาก อาจใช้ยากินแก้แพ้ ร่วมด้วย เช่น กลุ่มแอนตี้ฮิสตามีน เป็นต้น

ข้อควรระวังในการใช้ยาสำหรับเด็ก

  1. หากลูกมีประวัติแพ้ยาหรือพ่อแม่มีประวัติแพ้ยา ก็ต้องระมัดระวังการให้ยากลุ่มนั้นกับลูกเป็นพิเศษด้วยค่ะ เพราะมีโอกาสที่ลูกอาจจะแพ้ยาได้ เหมือนกับพ่อแม่

  2. ลูกมีโรคประจำตัวหรือไม่ เพราะโรคประจำตัวบางโรค อาจจะต้องหลีกเลี่ยงยาบางกลุ่มที่จะกระตุ้นให้แสดงอาการผิดปกติได้  

อุปกรณ์มาตรฐานในการตวงยาให้เด็ก

ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรใช้ช้อนทานข้าว หรือช้อนชงกาแฟ เพราะจะทำให้ได้ปริมาณยาที่ไม่ถูกต้อง โดยขนาดมาตรฐานในการตวงยา มีดังนี้

  • 1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มิลลิลิตร
  • 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ 15 มิลลิลิตร

อาจใช้ช้อนชาที่ให้มากับขวดยา หรือใช้กระบอกฉีดยา (SYRINGE) ป้อนก็ได้นะคะ   อย่างไรก็ตาม หากลูกไม่ยอมรับประทานยา หรือให้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแย่ลง ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

รักลูก Community of The Experts

พญ.สินดี จำเริญนุสิต
กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม

Mom's Issue EP 18 (Rerun) : เทคนิค "เลือกประกันสุขภาพ" เลือกยังไงคุ้มค่าและตอบโจทย์

 

ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เด็กๆ ป่วยและเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ซึ่งค่าใช้จ่ายก็เป็นเงาตามตัว

EP นี้แม่ดอยและป้าปอย ชวนคุยเรื่องการทำประกันสุขภาพ เพราะเป็นเหมือนยันต์กันภัย มีแล้วปลอดภัยกับสุขภาพลูกและเงินในกระเป๋า ฟังประสบการณ์และหลักการเลือกอย่างไรให้คุ้มค่าและตอบโจทย์

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

คุณหมอเฉลยแล้ว! จริงไหมฉีดวัคซีนที่คลินิกลูกจะไม่มีไข้ ไม่แพ้วัคซีน

ฉีดวัคซีน คลิกนิก ลูกไม่เป็นไข้, มีวัคซีนที่ลูกไม่เป็นไข้ไหม, ทำยังไง ฉีดวัคซีน ไม่เป็นไข้, ฉีดวัคซีน โรงพยาบาล ลูกเป็นไข้, ฉีดวัคซีนที่ไหน ลูกไม่เป็นไข้, วัคซีนเชื้อเป็น, วัคซีนเชื้อตาย, วัคซีนทารก เป็นไข้, ทารก เป็นไข้หลังฉีดวัคซีน, ทารก แพ้วัคซีน เป็นไข้, ทำไม ทารก แพ้วัคซัีนเป็นไข้, ทำไมเด็ก แพ้วัคซีน เป็นไข้


มีคุณแม่หลายคนเข้าใจและเชื่อต่อ ๆ กันว่า ถ้าพาลูกไปฉีดวัคซีนที่คลินิก ลูกจะไม่เป็นไข้ ไม่แพ้วัคซีนเหมือนไปฉีดที่โรงพยาบาล เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร คุณหมอเด็กมาเฉลยให้เข้าใจกันใหม่ค่ะ 

คุณหมอเฉลยแล้ว! จริงไหมฉีดวัคซีนที่คลินิกลูกจะไม่มีไข้ ไม่แพ้วัคซีน

เพื่อช่วยคลายข้อสงสัย ทางรักลูกได้สอบถาม พญ. สินดี จำเริญนุสิต กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม ได้ให้คำตอบ พร้อมความรู้เรื่องเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนของลูกมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

จริงไหม? ฉีดวัคซีนที่คลินิกลูกจะไม่มีไข้ ไม่แพ้วัคซีน 

ตอบ ไม่จริงค่ะ ความจริงแล้วขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน และภูมิคุ้มกันของเด็ก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ฉีด โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดกับวัคซีนเข็มแรก พอเด็กเริ่มโตขึ้นจะฉีดที่โรงพยาบาล หรือคลินิก ก็อาจจะไม่มีไข้ได้ค่ะ

เด็กทารกเกิดมาพร้อมภูมิต้านทานโรคบางชนิดที่ได้มาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา นอกจากนี้การให้นมแม่ยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้แก่เด็ก อย่างไรก็ตามภูมิต้านทานโรคนี้จะคงอยู่เพียงชั่วคราว การฉีดวัคซีนจึงช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่เด็กในระยะยาว โดยวัคซีนจะกระตุ้นภูมิต้านทานโรคให้เกิดปฏิกิริยาเหมือนกับร่างกายติดเชื้อโรคจริง ๆ และจดจำเชื้อโรคนั้นไว้ เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ภูมิต้านทานจะสามารถทำลายเชื้อโรคนั้นได้

วัคซีนสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

  1. วัคซีนประเภทท็อกซอยด์ (Toxoid) เป็นการนำพิษของเชื้อโรคมาทำให้หมดฤทธิ์แต่ยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ ได้แก่ วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก

  2. วัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live Vaccine) เป็นวัคซีนที่นำเชื้อมาทำให้อ่อนแรงจนไม่สามารถก่อโรคได้ แต่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ ได้แก่ วัคซีนหัด คางทูม หัดเยอรมัน อีสุกอีใส งูสวัด ไข้สมองอักเสบ เจอี (ชนิดเชื้อเป็น)

  3. วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Killed Vaccine)เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นจากเชื้อโรคทั้งตัวหรือบางส่วนของเชื้อ ได้แก่ วัคซีนตับอักเสบ เอ บี ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ โปลิโอชนิดฉีด

ทางคลินิกส่วนใหญ่จะเป็นแบบเชื้อตายไม่ทำให้มีไข้ ส่วนทางโรงพยาบาล จะเป็นแบบเชื้อเป็นค่ะ แต่ก็มีบางโรงพยาบาลจะมีแบบไม่มีไข้ให้คุณพ่อคุณแม่เลือกได้เหมือนกันกับทางคลินิก แต่อาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมนะคะ ราคาขึ้นอยู่กับทางโรงพยาบาล หรือคลินิกนั้น ๆ ค่ะ

สรุปแล้ว การฉีดวัคซีนจะโดยทางโรงพยาบาล อนามัยใกล้บ้าน หรือคลินิกก็ไม่ต่างกันค่ะ ลูกจะมีไข้หรือไม่มีไข้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ แต่ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและชนิดของวัคซีนที่เจ้าตัวน้อยจะได้รับ อย่าลืมพาลูกไปฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนดกันด้วยนะคะ เพื่อให้ลูกรักมีสุขภาพแข็งแรง “วัคซีน” ซึ่งเป็นเสมือนปราการด่านแรกที่จะช่วยปกป้องลูกน้อยจากเชื้อโรคร้ายต่าง ๆ 


ปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อ โรคที่พ่อแม่ต้องระวังเมื่อมีลูกทารก

ปอดอักเสบ เด็กทารก, ปอดติดเชื้อ เด็กทารก, ปอดบวม เด็กทารก, ปอดชื้น, ปอด ติด เชื้อ กี่ วัน หาย, ปอด อักเสบ สาเหตุ, ปอด อักเสบ ติดต่อ ไหม, ปอด อักเสบ ใน เด็ก, ปอดบวม อันตราย ไหม, ปอด ติด เชื้อ ใน เด็ก, เด็ก ปอด ติด เชื้อ, เด็ก ปอด อักเสบ

เด็กทารกมักปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อได้ง่ายเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง จนลุกลามกลายเป็นปอดบวม จะป้องกันลูกจากปอดอัดเสบ ปอดติดเชื้ออย่างไร เรามีคำแนะนำค่ะ 

ปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อ โรคที่พ่อแม่ต้องระวังเมื่อมีลูกทารก

เข้าช่วงหน้าฝนฝน หรืออากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อากาศมีความชื้นสูง อาการปอดอักเสบ ปอดติดเชื้อมักเกิดขึ้นได้กับเด็กทารก เด็กเล็กค่ะ เพราะเด็กเล็ก ๆ ยังมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอจะต้านทานโรคปอดอักเสบ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “โรคปวดบวม” ซึ่งเป็นภัยใกล้ตัวใกล้ตัวลูกสำหรับหน้าฝน พ่อแม่จึงไม่ควรละเลยที่จะหาทางรับมือและป้องกันลูกน้อยอย่างถูกวิธี

โรคปอดอักเสบคืออะไร

คือการติดเชื้อจากทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งอาจเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อไวรัส และเชื้อรา โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยทั่วไปแล้วโรคปอดอักเสบมักเป็นอาการที่ต่อเนื่องมาจากโรคไข้หวัดใหญ่ ที่จะพบมากในช่วงฤดูฝน 

สาเหตุของโรคปอดอักเสบ

เชื้อโรคปอดอักเสบ มักแฝงอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วยและสามารถแพร่กระจายโดยการไอ จาม หายใจรดกัน หรือการแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด เช่น ฉีดยา การให้น้ำเกลือ เป็นต้น

อาการของโรคปอดอักเสบ

  • มีไข้ ไอ มีอาการหายใจลำบาก ดูดนมไม่ค่อยได้ อกบุ๋ม และอาจมีอาการตัวเขียวได้
  • บางรายมีอาการร้องกวนบ่อย งอแง กระสับกระส่าย และศีรษะสั่น
  • บางรายอาจมีไข้หรือไม่มี อาจมีอาการซึม อาเจียน ไม่ยอมดูดนมหรือน้ำ

6 วิธีห่างไกลจากโรคปอดอักเสบ

  1. ฉีดวัคซีน เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ไอพีดี หรือฮิบ
  2. หลีกเลี่ยงให้เด็กอยู่ในที่แออัดโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโรคระบาด
  3. ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือใช้แอลกอฮอล์เจล
  4. ไม่ควรให้เด็กเล็กต่ำกว่า 1 ขวบ และผู้ที่สุขภาพไม่แข็งแรงคลุกคลีกับผู้ป่วย
  5. ใช้ช้อนกลางรับประทานอาหาร ควรกำชับลูกไม่ให้ใช้หลอดดูดน้ำ หรือผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น
  6. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ ควันไอรถยนต์ หรืออากาศหนาวเย็น

การรักษาโรคปอดอักเสบ

สามารถรักษาได้โดยให้ยาฆ่าเชื้อในรูปแบบยากินและยาฉีด โดยทั่วไปหลังจากได้รับยาฆ่าเชื้อ อาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ส่วนโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส มีความรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งการรักษาจะพิจารณาตามอาการ เน้นให้คนไข้ดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ 

ทั้งนี้หากสงสัยว่าลูกน้อยมีอาการเสี่ยงเป็นโรคปอดอักเสบ คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีนะคะ

ฝนมา โรคตาแดงก็มา

ตาแดง, โรคตาแดง, ลูกเป็นตาแดง, ตาแดงต้องทำอย่างไร, ตาแดงหรือไม่, ตาแดงในเด็ก, โรคตา, โรคตาในเด็ก 

อาการตาแดงหรือเยื่อตาอักเสบ เกิดจากเชื้อไวรัส กลุ่มอดิโนไวรัส ที่มักจะติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำตาของผู้ป่วย ติดผ่านมือแล้วมาสัมผัสหน้าตาโดยตรง ไม่ติดต่อทางการสบตา ทางอากาศ หรือจากการกินอาหารร่วมกัน 

โรคตาแดงสามารถติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พบได้ในทุกฤดูกาลแต่มักระบาดในช่วงหน้าฝน เนื่องจากเชื้ออดิโนไวรัส (Adenovirus) จะเจริญเติบโตได้ดีในช่วงหน้าฝนและแฝงตัวอยู่ในละอองฝนที่มีน้ำสกปรกหรือฝุ่นปนเปื้อน และเมื่อปลิวเข้าตาก็จะทำให้เกิดโรคตาแดงได้

โรคตาแดงพบได้บ่อยในเด็กเล็กและนักเรียนชั้นประถมศึกษา เนื่องจากการทำกิจกรรมที่โรงเรียน การเล่นคลุกคลีกับเพื่อน รวมถึงเด็กนักเรียนยังไม่สามารถดูแลสุขอนามัยส่วนตัวได้ดีเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ โดยอาการของโรคจะเกิดได้ภายใน 1-2 วัน และมีระยะการติดต่อไปยังผู้อื่นประมาณ 14 วัน แม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มป่วย อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทำให้ตาพิการได้ 

ลักษณะอาการโรคตาแดง
  • รู้สึกไม่สบายตาหรือรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งอยู่ในตา แสบตา น้ำตาไหล

  • ดวงตาและภายในเปลือกตามีสีแดง แพ้แสง หนังตาบวม รู้สึกเจ็บ

  • ตาแฉะหรือมีขี้ตาเป็นหนอง 

  • ขนตาพันกันและติดกันตอนตื่นนอน ลืมตาไม่ได้ หรืออาจมองไม่ชัด 

  • คันและมีน้ำตาไหล (กรณีที่เป็นตาแดงจากภูมิแพ้)

วิธีรับมือโรคตาแดง
  • ทำความสะอาดบริเวณดวงตาของลูกอย่างระมัดระวัง ด้วยผ้าก็อซหรือสำลีก้อนชุบน้ำอุ่น

  • ประคบเย็นที่ดวงตา

  • ให้ลูกกินยาพาราเซตามอลหรือยาแก้อักเสบเพื่อบรรเทาอาการปวด (ควรอ่านฉลากให้ละเอียดหรือปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้ลูกกินยาในปริมาณที่ถูกต้องเหมาะสม)

** หากเป็นเด็กแรกเกิด ควรรีบพาไปพบแพทย์ (เพราะอาจต้องรักษาด้วยการหยอดยาปฏิชีวนะหรือใช้ขี้ผึ้งป้ายตา)

อาการนี้ต้องรีบพบแพทย์
  • รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือตาแดงนานเป็นสัปดาห์กรณีที่ไม่ได้รักษา

  • ตาแดงรุนแรงมากขึ้น

  • เปลือกตาบวมมากขึ้น

  • ลูกบ่นว่าเจ็บตาอย่างรุนแรง

  • การมองเห็นเปลี่ยนไป

  • ตามีความไวต่อแสง

  • มีอาการเจ็บหู (อาการตาแดงและหูอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน)

 

 
การป้องกันโรคตาแดง
  • ล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสดวงตาผู้ป่วย

  • ไม่ใช้เสื้อคลุมอาบน้ำ ผ้าเช็ดตัว ปลอกหมอนร่วมกัน

  • ปรึกษาแพทย์หากมีอาการคัน ตาแฉะ หรือตาแดงบ่อยๆ ซึ่งอาจเกิดจากอาการภูมิแพ้ และหากทราบสาเหตุแน่ชัดแล้วว่าอาการตาแดงเกิดจากภูมิแพ้ ควรลดปัจจัยก่อโรคโดย

ทำความสะอาดและดูดฝุ่นเสมอ ปิดหน้าต่างและประตูหากบริเวณรอบๆ บ้านมีละอองเกสรดอกไม้ฟุ้งกระจาย หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม สเปรย์ปรับอากาศ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ผสมน้ำหอม หลีกเลี่ยงบริเวณที่จะได้รับควันบุหรี่

การป้องกันโรคตาแดงไม่ให้ระบาด
  1. ถ้าต้องออกไปนอกบ้าน ควรใส่แว่นตาเพื่อป้องกันลม และฝุ่นละออง
  2. ผู้ป่วยควรนอนแยกจากสมาชิกในครอบครัว และไม่ใช้สิ่งของส่วนตัว เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา และเครื่องนอนร่วมกันผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
  3. ผู้ป่วยโรคตาแดง ควรหยุดงาน หรือหยุดเรียน พักรักษาตัวที่บ้าน เพื่อป้องกันมิให้โรคลุกลามหรือติดต่อสู่ชุมชน

ถ้ามีอาการปวดตารุนแรง ตาพร่า แขนขาเป็นอัมพาต หรืออาการตาแดงไม่ทุเลาภายใน 7 วัน รีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านเพื่อรับการรักษา

 

พ่อแม่ต้องรับมือ! 6 โรค ที่เด็กเสี่ยงเป็นมากที่สุดในหน้าฝน!

 โรคหน้าฝน-โรคเด็ก-ลูกเป็นไข้หวัดใหญ่-ลูกเป็นไข้เลือดออก-ลูกเป็นอิสุกอิใส-ลูกเป็นโรคปอด-ลูกปอดบวม-ลูกติดไวรัสโรต้า-ท้องเสีย โรต้า-ท้องร่วงโรต้า-วัคซีนเด็ก-วัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับเด็ก-วัคซีนไอพีดี-วัคซีนโรต้า

หน้าฝนมักมาพร้อม 6 โรคอันตรายที่มักเกิดง่าย ๆ ในเด็กเล็กค่ะ และโรคเหล่านี้ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย พ่อแม่จะป้องกันและรักษาโรคหน้าฝนที่เกิดขึ้นกับลูกได้อย่างไร นพ.พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์สาขาโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ มีคำแนะนำค่ะ  

1. โรคไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่พบบ่อยในคนทุกเพศทุกวัย และจะเป็นมากในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แพทย์มักจะให้การวินิจฉัยเด็กที่มีอาการตัวร้อนมา 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ (แต่ไม่ทุกครั้งครับ ขึ้นอยู่กับอาการและดุลยพินิจของแพทย์) 

ไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน และอาจเป็นอันตรายถึงชิวิตได้ อาการหลัก ๆ เด็กจะมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื้อยตามตัว และกล้ามเนื้อ ไอ หรือเจ็บคอ ซึ่งเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ ผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีโอกาสเสี่ยง และมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น

การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในเด็ก

แพทย์จะแนะนำว่า ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดประมาณ 1-2 เดือนก่อนฤดูกาลระบาดของโลกในทุก ๆ ปี และสามารถฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป การป้องกันที่ดีที่สุด คือ คนป่วยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่คนอื่น รวมถึงใส่หน้ากาก ล้างมือ และทานอาหารให้ถูกสุขอนามัย จะเป็นการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

2. โรคมือ เท้า ปาก

โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากเชื้อไวรัส (Enterovirus 71, Coxsackie) พบได้ประปรายตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในฤดูฝน อาการของโรค เด็กจะมีไข้ ผื่น ตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผลในปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก บางรายอาจมีผื่นที่ขา และก้นร่วมด้วย พบมากในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 3 ปี (อนุบาลถึงประถม) อาการมักหายได้เองภายใน 3-10 วัน สามารถติดต่อได้ทางการไอ จาม น้ำลาย หรืออุจจาระ มีระยะฟักตัว 3-6 วัน พบเชื้อทางน้ำลาย 2-3 วัน ก่อนมีอาการ จนถึง 1-2 สัปดาห์หลังมีอาการ

เมื่อเป็นโรคมือเท้าปากแล้ว เด็กบางคนจะรับประทานอาหาร และน้ำไม่ค่อยได้ เพราะเจ็บปากมาก ซึ่งแม้แต่น้ำลายก็ไม่ยอมกลืน ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้นอย่าให้เด็กมีไข้สูงเกินไป เพราะอาจจะชักได้ บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตอาการ เมื่อผิดปกติต้องรีบพาพบแพทย์ทันที        

การป้องกันโรคมือ เท้า ปาก

ผู้ปกครองควรดูแลลูกในเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และถ้าไม่จำเป็นไม่ควรให้ลูกไปอยู่ในสถานที่แออัด และควรมีกระติกน้ำ หรือแก้วน้ำส่วนตัวให้ลูกไปใช้กินที่โรงเรียนด้วย รวมถึงปลูกฝัง และฝึกให้ลูกใช้ช้อนกลางขณะรับประทานอาหารทุกครั้งไม่ว่าจะที่โรงเรียน หรือที่บ้านก็ตาม

3. โรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มีโอกาสเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าได้รับเชื้อแล้วจะมีไข้สูงเกิน 3 วันขึ้นไป ตาและหน้าจะเริ่มแดง มีความรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดท้อง กินยาลดไข้เท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล ปวดเมื้อยตามตัว 

นอกจากนี้ โรคไข้เลือดออกยังส่งผลให้เกิดภาวะตับอักเสบ ทำให้คนไข้มีอาการปวดท้อง โดยเฉพาะตรงบริเวณชายโครงด้านขวาซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ นั่นเพราะตับโต ขณะเดียวกันจะมีการอาเจียนร่วมด้วย และมีภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาการเหล่านี้ ถ้ามาพบแพทย์ได้ทันจะคาดการณ์ได้ว่า เด็กมีกลุ่มอาการตรงกับไข้เลือดออก และแพทย์จะทำการตรวจสอบต่อไป เช่น รัดแขนที่ความดันระดับหนึ่งเพื่อดูจุดที่มีเลือดออกว่าเกิดขึ้นได้หรือไม่ เป็นต้น        

การป้องกันโรคไข้เลือดออก

วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ดีที่สุดคือ อย่าให้ลูกโดนยุงกัดและอย่าให้ยุงเกิด ด้วยการจำกัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้หมดสิ้น ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท ให้ลูกนอนในห้อง มีมุ้งเพื่อป้องกันยุง และอย่ารอให้เกิดอาการที่รุนแรงก่อนแล้วจึงมาพบแพทย์ เช่น เป็นไข้สูงเกินไป ช็อก หรือมีปัญหาเลือดออกง่าย ต้องรีบพาลูกมาพบแพทย์ทันที

4. โรคอีสุกอีใส
โรคอิสุกอิใสเป็นโรคที่เกิดขึ้นบ่อย แต่มักจะเป็นในบางช่วง โดยมักจะติดกันเป็นทอด ๆ เช่น ติดต่อจากเพื่อนที่โรงเรียน คนในบ้าน เป็นต้น กลุ่มอาการของโรคอิสุกอิใสนี้ ผู้ป่วยจะมีไข้ เป็นผื่นแดง และมีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นตามตัว โดยเริ่มจากบริเวณท้อง ลามไปตามต้นแขน ขา และใบหน้า หลังจากนั้นจะเกิดเป็นสะเก็ด และแผลเป็นขึ้นได้ มักหายได้เองประมาณ 2-3 สัปดาห์

การป้องกันโรคอิสุกอิใสในเด็ก

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งมีประสิทธิภาพค่อนข้างดี เริ่มฉีดในเด็กตั้งแต่ 1 ขวบเป็นต้นไป และจะกระตุ้นอีกครั้งในตอน 4 ขวบ ซึ่งวัคซีนโรคอิสุกอิใสยังเป็นวัคซีนเสริม ไม่ใช่วัคซีนมาตรฐานสำหรับเด็กไทยที่ต้องฉีดทุกคนครับ 

นอกจากนี้พ่อแม่ต้องรักษาสุขอนามัยให้ลูกเป็นอย่างดี ออกกำลังกายให้แข็งแรง นอนหลับสนิทอย่างเพียงพอ เพราะโรคนี้เกิดขึ้นไม่ตรงตามวัย บางรายเป็นตอนเด็ก หรือบางรายอาจเป็นตอนโต หากเป็นในตอนโตจะมีอาการและการขึ้นตุ่มที่รุนแรงกว่าตอนเด็ก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะของร่างกายด้วย ที่สำคัญคือ ไม่ควรเข้าใกล้ผู้มีเป็นอิสุกอิใสโดยเด็ดขาด


5. โรคท้องเสีย หรืออุจจาระร่วง (จากไวรัสโรต้า)
โรคท้องเสียในเด็ก หรือ ท้องเสียจากไวรัสโรต้า เกิดขึ้นเพราะลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อโรต้าไวรัส ซึ่งมาจากของเล่น อาหาร หรือของใช้ใกล้ตัวเด็กที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะเด็กเล็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และไม่เข้าใจเรื่องของสุขอนามัย จึงมักนำของเล่น หรือของใช้ที่มีเชื้อนี้เข้าปากโดยไม่รู้ตัว อาการท้องเสียจากไวรัสโรต้าส่วนใหญ่จะพบว่ามีอาการท่วงเสีย อาเจียน บางรายจะมีไข้สูง กินได้น้อย งอแง ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งมีการศึกษาวิจัยพบว่า ในเด็กแรกเกิดถึงอายุ 5 ขวบแทบทุกคนจะเคยติดเชื้อนี้มาแล้ว

การป้องกันท้องเสียจากไวรัสโรต้า

การป้องกันไวรัสเริ่มต้นได้จากการให้ลูกได้กินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดเลยครับ นอกจากนี้พ่อแม่ควรดูแลสุขลักษณะการกิน การเล่นให้เหมาะสม ต้องสะอาดและปลอดภัย ขณะเดียวกันไม่ควรพาเด็กเข้าเนอสเซอรี่เร็วเกินไป เพราะเด็กที่อยู่ด้วยกันเยอะ ๆ การแพร่กระจายของเชื้อจะมีได้ง่าย

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งได้รับอนุมัติใช้ทั้งหมด 2 ชนิด คือวัคซีนที่มีส่วนประกอบของเชื้อโรต้า 1 สายพันธุ์ และ 5 สายพันธุ์ เป็นวัคซีนชนิดรับประทาน (หยอด) ที่มีข้อมูลความปลอดภัย และสามารถเริ่มให้วัคซีนป้องกันไวรัสโรต้ากับทารกอายุตั้งแต่ประมาณ 6-12 สัปดาห์ เพราะในช่วงสัปดาห์แรก ๆ เด็กทารกจะยังได้รับภูมิคุ้มกันที่สร้างจากรกและการกินนมแม่ การสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโรต้า จึงควรเริ่มต้นในช่วงอายุประมาณ 2 เดือน ซึ่งเด็กอาจจะเริ่มมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่รอบ ๆ ตัวแล้ว


6. โรคไอพีดี (IPD) และปอดบวม
โรคไอพีดี (IPD) และ ปอดบวม คือโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ “นิวโมคอคคัส” ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดและที่เยื้อหุ้มสมอง ซึ่งมีความรุนแรงและอาจทำให้เด็กพิการ หรือเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
       
ถ้าติดเชื้อที่ระบบประสาท เช่น เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาจเจียน คอแข็ง เด็กเล็กจะมีอาการงอแง ซึม และชักได้ ส่วนการติดเชื้อในกระแสเลือด เด็กจะมีไข้สูง งอแง ถ้ารุนแรงอาจทำให้ช็อก และเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ดีถ้ามีอาการดังกล่าวควรรีบพามาพบแพทย์ทันที
       
นอกจากนี้เจ้าเชื้อ “นิวโมคอคคัส” ยังเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งจากข้อมูลการประเมินขององค์กรอนามัยโลก และยูนิเซฟพบว่า ปอดบวมเป็นโรคที่คร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีเด็กที่เสียชีวิตจากโรคนี้สูงถึง 2 ล้านคนต่อปี ซึ่งมากกว่าโรคเอดส์ มาลาเรีย และหัดรวมกัน

 

การป้องกันโรคไอพีดี (IPD) และ ปอดบวม 

ปัจจุบันมีวัคซีนไอพีดี (IPD) ฉีดให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง ส่วนในเด็กทารกควรเริ่มฉีดเมื่ออายุได้ 2 เดือนขึ้นไป และฉีดเข็มต่อไปเมื่ออายุได้ 4, 6 และ 12-15 เดือน โดยเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง วัคซีนจึงมีส่วนสำคัญ

สำหรับการป้องกันที่ทำได้แน่นอนคือ ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และสร้างสุขอนามัยที่ดีกับลูก เป็นตัวช่วยที่สำคัญที่สุดครับ

 
 
รักลูก Community of The Experts

นพ.พรเทพ สวนดอก
กุมารแพทย์สาขาโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ

 

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์แต่กำเนิดคืออะไร เด็กทารกจะมีอาการอย่างไร

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์, ภาวะ พร่อง ไทรอยด์, อาการ พร่อง ไทรอยด์, ฮอร์โมนไทรอยด์, ไทรอยด์ ปัญญาอ่อน, โรคแต่กำเนิด, พิการทางสมอง, ต่อมไทรอยด์, ฮCongenital Hypothyroidism

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์สามารถเกิดได้กับทารกรแรกเกิด ภาวะนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้นกับลูกบ้าง มาเช็กกันค่ะ 

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์แต่กำเนิดคืออะไร เด็กทารกจะมีอาการอย่างไร

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์แต่กำเนิด หรือ Congenital Hypothyroidism เป็นโรคที่พบได้บ่อยประมาณ 1:3,000 - 1:4,000 ราย ซึ่งภาวะนี้เป็นสาเหตุของปัญญาอ่อนที่สามารถป้องกันได้ถ้าให้การวินิจฉัยและเริ่มการรักษาเร็ว เนื่องจากไทรอยด์ฮอร์โมนเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อพัฒนาการของสมองโดยเฉพาะในช่วง 3 ขวบปีแรก เพราะฉะนั้นถ้าร่างกายขาดฮอร์โมนตัวนี้ก็จะทำให้สมองพัฒนาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งจะส่งผลต่อสติปัญญา และพัฒนาการของลูกน้อยได้ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจคัดกรองตั้งแต่แรกเกิดเพื่อให้การรักษาได้อย่างทันท่วงที

อาการมักจะยังไม่แสดงอาการเมื่อแรกเกิดเนื่องจากได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนจากแม่ผ่านมาทางรก อาการจะชัดเจนเมื่อทารกอายุมากขึ้น โดยอาการจะแตกต่างกันตามช่วงอายุ ดังนี้

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ในทารกแรกเกิด-2 สัปดาห์

  • อายุครรภ์มากกว่า 42 สัปดาห์
  • น้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 4 กิโลกรัม
  • กระหม่อมมีขนาดใหญ่โดยเฉพาะกระหม่อมหลัง มักมีขนาดใหญ่มากกว่า 1 ซม.
  • นอนหลับมาก ดูดนมไม่ดี และสำลักนมบ่อย

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ในทารกอายุ 1-3 เดือน

  • ตัวเหลืองนาน
  • ท้องผูก ดูดนมไม่ดี น้ำหนักขึ้นน้อย นอนหลับมาก
  • ลิ้นโตคับปาก ท้องป่อง สะดือจุ่น ผิวลาย ผิวแห้งและเย็น

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ในทารกอายุ 3-6 เดือน

  • เจริญเติบโตและพัฒนาการล่าช้า
  • เสียงแหบ ลิ้นโตคับปาก
  • ท้องผูก ท้องป่อง สะดือจุ่น
  • ผิวแห้ง หยาบ
  • ตัวบวมทั้งตัว

ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ในทารกอายุ 6 เดือน-3 ปี

  • เจริญเติบโตช้า ตัวเตี้ย ขาสั้น
  • ฟันขึ้นช้า
  • ถ้าลูกน้อยมีอาการดังกล่าวควรพามาปรึกษากุมารแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษา


ข้อมูลจาก โรงพยาบาลเด็ก สมิติเวช ศรีนครินทร์

ระวัง! โรคมือเท้าปากระบาดหนัก กลุ่มเสี่ยงเด็ก 1-3 ปี

โรคมือเท้าปาก-โรคในเด็ก-โรคเด็ก-วิธีป้องกันโรคมือเท้าปาก-โรคหน้าฝน 

โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่พ่อแม่จะต้องระวังให้มาก เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งที่บ้านและในโรงเรียน แถมอาการของโรคยังคล้ายกับโรคหวัด ซึ่งบางครั้งพ่อแม่ไม่ทันสังเกตถึงความรุนแรง กว่าจะรู้และรักษาให้หายเด็กก็อาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นเราจึงควรรู้เรื่องโรคมือ เท้า ปาก กันไว้เพื่อหาทางป้องกัน ดูแล และรักษาให้ทันท่วงทีค่ะ



สาเหตุของโรคมือ เท้า ปาก

  • เกิดจากเชื้อไวรัสหลายตัวในตระกูลเอนเตอโรไวรัส ซึ่งมีกว่า 70 สายพันธุ์ โดยส่วนมากเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จะรับเชื้อได้ง่าย 
  • เชื้อไวรัสมักติดมากับมือหรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก รวมไปถึงการไอจามรดกัน 

 

อาการโรคมือ เท้า ปาก 

  • เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คล้ายเป็นหวัด อาจมีถ่ายเหลวด้วย
  • มีผื่นและตุ่มน้ำใสที่บริเวณปาก ฝ่ามือ และฝ่าเท้า บางครั้งอาจจะมีผื่นขึ้นที่บริเวณก้นด้วย
  • น้ำลายไหลมากผิดปกติ 


4 วิธีป้องกันง่ายๆ 

  1. ไม่ใช้ของปะปนกับเพื่อน เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด
  2. หมั่นรักษาความสะอาดร่างกาย เช่น ล้างมือ อาบน้ำวันละสองครั้ง
  3. ทำความสะอาดของเล่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้ปลอดเชื้อ
  4. รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด และพักผ่อนให้เพียงพอ


โรคมือ เท้า ปาก รักษาอย่างไร
เพราะยังไม่มีวัคซีนและยาเฉพาะในการรักษา อีกทั้งยังสามารถหายเองได้ภายใน 5 - 7 วัน ดังนั้นจึงจะรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ให้กินอาหารอ่อน ๆ และอาหารที่มีความเย็น เพื่อลดอาการเจ็บที่ปาก ลิ้น และทำให้เด็กกินได้มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงอาหารแข็งและอาหารร้อนๆ



ถ้าหากลูกมีอาการท้องร่วง อ่อนเพลีย เนื่องจากสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ควรให้ลูกดื่มสารละลายเกลือแร่ร่วมด้วย แต่หากลูกเกิดตัวเขียว หายใจหอบเหนื่อย มือซีด อาการแย่ลงอย่างรวดเร็ว ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วนเลยนะคะ 
 


 

รักลูก The Expert Talk EP.127 : ลูกปวดท้อง ต้องระวังโรคเกี่ยวกับลำไส้

 

รักลูก The Expert Talk Ep.127 : ลูกปวดท้อง ต้องระวังโรคเกี่ยวกับลำไส้

 

โรคลำไส้กลืนกัน ไม่ใช่แค่ลูกปวดท้องหากปล่อยให้รุนแรงอาจจะต้องตัดลำไส้

 

พ่อแม่รับมือและสังเกตก่อนอาการจะรุนแรงได้ รวมถึงฟังโรคและอาการที่ทำให้ลูกปวดท้องได้ จาก The Expert

พญ. สีวลี สีดาฟอง

แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก โรงพยาบาลวิมุต

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk Ep.59 (Rerun) : รับมือภูมิแพ้ลูก รู้เร็วหายได้

รักลูก The Expert Talk Ep.59 (Rerun) : รับมือภูมิแพ้ลูก รู้เร็วหายได้

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวอากาศร้อน สักพักฝนตก เจ้าตัวเล็กอาจจะมีอาการของระบบทางเดินหายใจ จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเริ่มเข้าใกล้โรคภูมิแพ้แล้ว

 

ฟังวิธีการสังเกต และวิธีการดูและเมื่อลูกเป็นโรคภูมิแพ้โดย The Expert

คุณหมอใหม่ รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชณรังษี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.60 : “มือ เท้า ปาก ภัยร้ายใกล้ตัวเด็ก”

รักลูก The Expert Talk Ep.60 : มือ เท้า ปาก ภัยร้ายใกล้ตัวเด็ก

มือเท้าปาก โรคระบาดในกลุ่มเด็กเล็กโดยเฉพาะช่วงฤดูฝน แม้อาการจะไม่รุนแรง แต่เป็นแล้วกระทบกับพัฒนาการเจ้าตัวเล็ก

 

ฟังวิธีการดูแล รับมือและป้องกัน

โดย The Expert รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์

รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

 

รู้จักโรคมือ เท้า ปาก

โรคมือ เท้า ปากเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเป็นกลุ่มไวรัสที่เราใช้คําว่า Enteroviruses เป็นไวรัสที่ติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร ซึ่งในกลุ่มนี้เชื้อที่พบได้บ่อยๆ ก็จะมีเชื้อที่เราเรียกว่า Coxsackieviruses และ Enteroviruses71 เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ามันมีเชื้อมากกว่าหนึ่งตัว ที่ทําให้เกิดอาการ สาเหตุที่เด็กป่วยแล้วป่วยอีกเพราะว่าอาจจะติดเชื้อคนละตัว

อาการและวิธีสังเกต

โรคมือ เท้า ปากจะมีตุ่มขึ้นที่มือ เท้าและปากเป็นแผล รวมถึงมีอาการทั่วๆไปจากการติดเชื้อไวรัส เช่น มีไข้ น้ำมูก ไอ ซึ่งเป็นโรคติดต่อผ่านทางเดินหายใจและทางเดินอาหารร่วมด้วย การไอ จามรดกันหรือติดต่อผ่านการปนเปื้อนของอุจจาระ ปัสสาวะ น้ําคัดหลั่งต่างๆ เวลาที่เด็กหยิบจับของต่างๆ แล้วเอาเข้าปาก ก็ทําให้มีโอกาสติดกันได้ ยิ่งเด็กมีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ ร่างกายอ่อนแอหรือเด็กกลุ่มที่เป็นโรคเรื้อรังก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าเด็กทั่วๆไป

แต่หากเด็กมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง อาการก็อาจจะมีไม่ครบ สำหรับความความรุนแรงของโรคจะเห็นว่าช่วงที่มีแผลในปากดูจะรุนแรงมาก เพราะเด็กกินอะไรไม่ค่อยได้ ทำให้ขาดน้ําและมีไข้ กินยาและเช็ดตัวแล้วไข้ก็กลับมาใหม่ หากมีอาการแบบนี้อาจจะต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้สารน้ําทางเส้นเลือด ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดว่าลูกอยู่ในระยะไหน เพื่อจะได้ไปพบคุณหมอและรักษาได้อย่างรวดเร็ว

โรคแทรกซ้อน

โรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัสก็จะเหมือนกับโรคแทรกซ้อนของการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ หากติดเชื้อขึ้นข้างบน อาจจะทำให้หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ไปจนถึงสมองอักเสบ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ แต่หากลงข้างล่างก็ทำให้เกิดเป็นโรคปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรืออาจจะมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบซึ่งตรงนี้สําคัญ เพราะว่าทําให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและมีโอกาสอาจจะเสียชีวิตได้

โดยปกติหากมีการระบาดในโรงเรียนคุณครูมักจะต้องหยุด ปิดห้องเพื่อทำความสะอาดและฝึกให้เด็กดูแลเรื่องสุขอนามัยพื้นฐานให้ดี ออกกำลังกาย กินอาหารครบ5หมู่ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะหากเด็กป่วยบ่อยก็กระทบพัฒนาการ ทำให้กลายเป็นเด็กที่ไม่อยากเรียนรู้ ไม่สนุกในการเรียนรู้ และทำให้พัฒนาการสะดุด

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.62 : “รับมือโรคอุบัติใหม่”

รักลูก The Expert Talk Ep.62 : รับมือ "โรคอุบัติใหม่"

 

โรคอุบัติใหม่คืออะไร รับมืออย่างไรดี พร้อมวิธีการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อรับทุกโรคอุบัติใหม่

โดยThe Expert รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์

รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

 

รู้จักโรคอุบัติใหม่

โรคอุบัติใหม่ คือ โรคที่เราไม่เคยเจอมาก่อนไม่เคยรู้จักมาก่อนวันดีคืนดีก็มีโรคนี้เข้ามาให้เราได้รู้จักและที่สําคัญมันกระทบกับการใช้ชีวิตของเรา โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก ด้วยวิถีชีวิตของคนปัจจุบันจะเห็นว่าการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมีผลต่อการเกิดโรค เรามีชีวิตแบบคนเมืองมากขึ้น ทำให้เป็นโรคไม่ติดต่อและตัวโรคก็มีความรุนแรงมากขึ้น เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ที่เกิดขึ้นมาเพราะว่าวิถีชีวิตของเราที่เปลี่ยนแปลงไป

ส่วนโรคติดเชื้อ เช่น โควิดในอดีตเป็นเชื้อที่มาจากสัตว์ แต่ตอนนี้ติดต่อจากสัตว์มาสู่คนก็แสดงว่าวิถีชีวิตของเราเปลี่ยนแปลง สิ่งที่มันไม่เคยเกิดก็จะมีโอกาสเกิดขึ้น หากถามว่าเราจะคาดการณ์ได้จากอะไรก็คาดการณ์จากการใช้ชีวิตของเรา การที่จะมีโรคจากสัตว์มาสู่คนได้มากขึ้น ก็หมายความว่าเราไปคลุกคลีกับสัตว์ชนิดต่างๆมากขึ้นและสัตว์นั้นก็มีเชื้อโรคที่นํามาสู่คน ส่วนกลุ่มที่ไม่ใช่โรคติดต่อก็เป็นผลมาจากการใช้ชีวิต พฤติกรรมไลฟ์สไตล์

โรคอุบัติใหม่ระบาดเร็ว

หากโรคอุบัติใหม่เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจจะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย แต่หากเป็นโรคที่ติดเชื้อทางอื่น เช่น ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ถ้าไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงโอกาสติดเชื้อก็จะน้อยลง อย่างในระยะหนึ่งเราจะเห็นว่าโรคเอดส์เป็นโรคติดต่อ ซึ่งก็มีทั้งกลุ่มเสี่ยงและไม่เสี่ยง แต่หากเป็นโรคทางเดินหายใจก็จะติดต่อกันง่ายจึงทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้นและระบาดได้ง่าย เช่น โรค RSV มือเท้าปาก ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก กลุ่มโรคเหล่านี้ก็จะระบาดในช่วงฤดูกาลของมัน ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้กับทุกคนเพราะว่าติดต่อผ่านทางระบบหายใจ

เฝ้าระวังรับมือโรคอุบัติใหม่

  • ตั้งรับให้ดี การตั้งรับเป็นเรื่องที่ดีแต่เราจะต้องไม่วิตกกังวลจนเกินไปเพราะว่าในชีวิตเราต้องพบเจอแน่นอน เป็นสิ่งที่มาทดสอบความสามารถของพวกเรากันอยู่เสมอเพราะฉะนั้นเราก็ต้องตั้งสติให้ดี เวลาที่มันมีความเจ็บป่วยใหม่ๆ มีโรคใหม่ๆ เกิดขึ้น
  • หาสาเหตุ ที่มาของโรคติดต่อดูว่าโรคนี้มันติดต่อได้อย่างไร เช่น ช่วงที่มีโรคไข้หวัดนกระบาดติดต่อจากไก่มาถึงคน เราก็งดกินไก่ไปช่วงหนึ่งและรักษาไก่ไม่ให้ไก่ป่วยเพื่อที่พอเราไปกินก็จะได้ไม่มีโอกาสติดเชื้อ
  • หาวิธีป้องกันเช่น โควิด-19 ติดต่อผ่านทางระบบทางเดินหายใจ และสารคัดหลั่ง เราก็หาทางป้องกันได้ เช่น ใส่หน้ากาก ล้างมือเพื่อที่จะไม่ให้สารคัดหลั่งต่างๆ ที่มีเชื้อปนเปื้อน ทําความสะอาดพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เพราะลดโอกาสการติดเชื้อให้น้อยลง
  • รักษาร่างกายให้แข็งแรง เพราะเมื่อร่างกายแข็งแรงเชื้อที่รับไปปริมาณเล็กน้อยทําอะไรเราไม่ได้ หมั่นให้เด็กออกกําลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายอย่างน้อยวันละ1ชั่วโมง ถ้าเป็นเด็กเล็กก็ประมาณวันละ 30นาทีขึ้นไป เพื่อช่วยเสริมการทํางานของภูมิคุ้มกันในร่างกาย กินอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคอื่นๆ ได้

วิตามินเสริมจำเป็นต่อร่างกาย?

หากว่าร่างกายไม่ขาดวิตามินโดยทั่วไปตามทฤษฎีคือไม่จําเป็นต้องเสริม ซึ่งการที่ร่างกายไม่ขาดวิตามิน คือ กินอาหารให้ครบ 5หมู่และกินนมเสริมเพื่อให้ได้รับแคลเซียมและโปรตีน การกินวิตามินเสริมหากกินชนิดที่ละลายในน้ำได้ เช่น วิตามินซีก็จะไม่อันตรายเพราะละลายออกทางปัสสาวะได้ แต่วิตามินที่ละลายในไขมันถ้าร่างกายได้รับเพียงพออยู่แล้ว เมื่อรับไปจะสะสมไปเรื่อยๆ และทําให้เกิดอาการของวิตามินเกิน

เพราะฉะนั้นโดยทั่วไปเวลาที่ไปพบคุณหมอทำไมหมอไม่ให้วิตามินเลย เพราะมันไม่จําเป็นถ้าเด็กแข็งแรง สุขภาพดี กินอาหารครบถ้วน วิธีที่คุณหมอเด็กจะดูว่ามีโภชนาการที่ดีไหมก็ดูได้จากการเจริญเติบโตและน้ําหนักตัวว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ก็พอจะบอกได้ว่าเขาน่าจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.94 : รับมือภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

 

รักลูก The Expert Talk Ep.94 : รับมือภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

 

ลูกตัวสูงและตัวใหญ่กว่าเพื่อน พ่อแม่ต้องคอยสังเกตเพราะอาจจะมีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย หากละเลยลูกอาจจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวเตี้ย และมีปัญหาพัฒนาการทางอารมณ์ 

 

ฟัง The Expert พญ. ปิยธิดา วิจารณ์

กุมารแพทย์ผู้ชำนาญการ ด้านโรคต่อมไร้ท่อในเด็กและวัยรุ่น

ศูนย์สุขภาพและโรคเฉพาะทางเด็ก โรงพยาบาลเมดพาร์ค

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รู้จักไข้นอนกรน หรือ อะดีโนไวรัส โรคจากเชื้อไวรัสที่พ่อแม่ต้องระวัง   

5783 1

รู้จักไข้นอนกรน หรือ อะดีโนไวรัส โรคจากเชื้อไวรัสที่พ่อแม่ต้องระวัง   

เพิ่งเคยได้ยินชื่อโรค “ไข้นอนกรน” หรือ “อะดีโนไวรัส” (Adenovirus) คิดว่าเป็นโรคใหม่ที่พ่อแม่ต้องเฝ้าระวัง แต่แท้จริงโรคนี้มีมานานแล้ว ความน่ากลัวคือเจ้าไวรัสชนิดนี้มีชีวิตอยู่ได้นานถึง 30 วัน และอาการจะรุนแรงมากหากเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ปีได้รับเชื้ออะดีโนไวรัส

 

การติดต่อ ไวรัสอะดีโนติดต่อได้อย่างไร

อะดีโนไวรัส เป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในร่างกาย มักพบบ่อยใน เด็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 5 ปี และมีโอกาสเกิดความรุนแรงได้ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี หรือเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน มีโรคประจำตัวในระบบทางเดินหายใจหรือระบบหัวใจที่ผิดปกติ

ไวรัสชนิดนี้มักอยู่ในอากาศ และมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 30 วันตามพื้นผิวของวัตถุหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว สามารถระบาดได้เกือบทั้งปี แต่ช่วงที่ระบาดมากสุดคือฤดูหนาว

การติดต่อของไวรัสอะดีโนเกิดได้หลายทาง ได้แก่

1. สารคัดหลั่ง ละอองฝอย น้ำมูก น้ำลาย ไอจามใส่กัน

2. ติดต่อทางอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค และการสัมผัสโดยตรง ทั้งสัมผัสพื้นผิวปนเปื้อน หรือแม้แต่การกินอาหารร่วมกัน

เด็กที่ติดเชื้ออะดิโนไวรัสมีโอกาสแพร่เชื้อไปยังพ่อแม่ได้ หากสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ หรือของเล่นของใช้ที่สัมผัสหรือใช้ร่วมกัน พ่อแม่ที่ได้รับเชื้อจากลูกจะมีอาการป่วยคล้ายกันแต่จะไม่รุนแรงเท่าเพราะผู้ใหญ่มีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าเด็ก

 

5783 2

อาการของการโรคติดเชื้ออะดีโนไวรัส

เด็กที่ได้รับเชื้ออะดีโนไวรัสจะมีอาการดังต่อไปนี้

ระบบทางเดินหายใจ : มีไข้ ไอ มีน้ำมูกไหล เจ็บคอ ตาแดง บางคนอาจมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงปอดอักเสบ ทำให้หายใจหอบได้

ระบบทางเดินอาหาร : จะมีอาการถ่ายเหลว ท้องร่วง ท้องเสียง อาเจียน ปวดท้อง

โดยปกติเด็กจะหายจากอาการเหล่านี้ภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากเด็กมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ ปีกจมูกบาน คอหอยและใต้ซี่โครงมีลักษณะบุ๋มขณะหายใจ มีน้ำมูกสีเหลืองหรือเขียว ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้

 

การรักษาเมื่อเด็กติดเชื้อไวรัสอะดีโนไวรัส

เนื่องจากโรคนี้ไม่มียาต้านเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ คุณหมอจะรักษาตามอาการ ให้ยาลดไข้ เช็ดตัว ให้เด็กนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หรือบางคนอาจต้องให้น้ำเกลือ พ่นยาขยายหลอดลม ดูดเสมหะ หรือให้ออกซิเจนเมื่อมีการติดเชื้อที่ปอด

 

5783 3

การป้องกันไวรัสอะดีโน

1.  สอนลูกล้างมือให้ถูกวิธี ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล

2. การรักษาความสะอาดเครื่องใช้ภายในบ้าน โต๊ะ เก้าอี้ ของเล่นต่าง ๆ ที่หยิบ จับ สัมผัสเป็นประจำ

3. การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ไม่พาลูกไปในแหล่งชุมชนที่มีคนแออัด โดยเฉพาะเด็กเล็กต่ำกว่า 1 ขวบที่ยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ

4. สำหรับเด็กอายุ 2 ขวบขึ้นไปควรให้สวมหน้ากากอนามัยสำหรับเด็ก เมื่อออกนอกบ้าน และการเว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างเหมาะสม

5. การกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง

6. พาลูกออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่ดี

 

อ้างอิงข้อมูลจาก

คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

โรงพยาบาลสมิติเวช

โรงพยาบาลนวเวช

โรงพยาบาลกรุงเทพ

ลูกช้ำง่าย ระวังโรคฮีโมฟีเลีย อันตรายกว่าที่คิด

 โรคฮีโมฟีเลีย-โรคเด็ก-โรคในเด็ก-เลือดกำเดาไหล

ลูกช้ำง่าย ระวังโรคฮีโมฟีเลีย อันตรายกว่าที่คิด

โรคฮีโมฟีเลียเลือดออกง่าย หยุดยาก เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เป็นโรคที่พบไม่บ่อย โดยมากพบในเพศชาย

หากพบว่าบุตรหลานของท่านโดยเฉพาะในเด็กผู้ชาย มีภาวะเลือดออกง่ายหยุดยาก มีจ้ำเขียวตามตัวหรือแขนขา โดยเฉพาะมักมีเลือดออกในข้อและกล้ามเนื้อ นั่นอาจเป็นอาการและสัญญาณของโรคฮีโมฟีเลีย

ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย จะมีโปรตีนตัวหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดหายไปหรือมีไม่เพียงพอ โปรตีนเหล่านี้รู้จักกันในนาม แฟคเตอร์ (Factor) ซึ่งมีอยู่ในเลือดตามธรรมชาติ ร่างกายจะต้องอาศัยแฟคเตอร์ (Factor) เหล่านี้ในการทำให้เลือดแข็งตัว และช่วยรักษาแผลเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือสูญเสียเลือด นับเป็นความโชคดีที่ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียสามารถดำเนินชีวิตด้วยความกระฉับ กระเฉง คล่องแคล่ว หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์

โรคฮีโมฟีเลีย แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
  1. ฮีโมฟีเลีย เอ (หรือ classical hemophilia) มีแฟคเตอร์ 8 (factor VIII) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอหรือขาดแฟคเตอร์ 8 (Factor VIII)
  1. ฮีโมฟีเลีย บี (หรือ Christmas disease) มีแฟคเตอร์ 9 (factor IX) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอหรือขาดแฟคเตอร์ 9 (Factor IX)
  1. ฮีโมฟีเลีย ซี มีแฟคเตอร์ 11 (factor XI) ต่ำกว่าปริมาณที่ต้องการ มีแฟคเตอร์ 11 (factor XI) ในปริมาณที่ไม่เพียงพอหรือขาดแฟคเตอร์ 11 (factor XI)
อะไรเป็นสาเหตุของโรคฮีโมฟีเลีย

โรคฮีโมฟีเลีย เกิด จากภาวะขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดที่เรียกว่าแฟคเตอร์ 8 หรือ แฟคเตอร์ 9 มาแต่กำเนิด ดังนั้นการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ต้องให้แฟคเตอร์เข้มข้นทดแทนปัจจัยการแข็งตัว ของเลือดที่ผู้ป่วยขาดไป ซึ่งแฟคเตอร์เข้มข้นที่ใช้ฉีดให้ผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย

โรคฮีโมฟิเลีย เป็นโรคที่สืบทอดทางพันธุกรรม โดยเกิดจากความผิดปกติของ ยีน/จีน (Gene) โดยมารดาจะเป็นพาหะโรค/ผู้แฝงโรค และนำความผิดปกติสู่บุตรชาย แต่ผู้ป่วยประมาณ 30% ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคฮีโมฟิเลีย คือ มีการผ่าเหล่าของยีน (Mutation) คือเกิดโรคด้วยตัวเองโดยไม่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

โรคฮีโมฟีเลียมีอาการอย่างไร

อาการของโรคฮีโมฟีเลีย จะ เป็นจ้ำเขียว และมีอาการเลือดออกภายในข้อต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อเริ่มมีอาการผู้ป่วยจะมีอาการปวดตึงขัดบริเวณกล้ามเนื้อและข้อ อาการจะรุนแรงมากขึ้น มีข้อติด กล้ามเนื้อลีบ หรือเกิดภาวะข้อพิการได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม

รักษาโรคฮีโมฟีเลียได้อย่างไร

เมื่อมีเลือดออกผิดปกติ หลักการสำคัญในการรักษา คือ ต้องให้เลือดหยุด โดยวิธีห้ามเลือด และให้การแข็งตัวของเลือดทดแทนให้เพียงพอ โดยวิธีดังต่อไปนี้

  1. รักษาโรคฮีโมฟีเลียโดยใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดที่แห้งกดบริเวณแผลที่เลือดออก หากเลือดออกในข้อหรือกล้ามเนื้อ ให้ประคบด้วยความเย็น เช่น ผ้าห่อน้ำแข็ง เพื่อช่วยให้เลือดหยุดจากการหดตัวของหลอดเลือดเมื่อได้รับความเย็น

  2. รักษาโรคฮีโมฟีเลียโดยใช้ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดทดแทน โดยต้องให้มีปัจจัยการแข็งตัวของเลือดขึ้นไปอยู่ในระดับที่ทำให้เลือดหยุด ซึ่งขึ้นอยู่กับอวัยวะหรือบาดแผลที่มีเลือดออก

  3. รักษาโรคฮีโมฟีเลียตามอาการและการประคับประคอง เช่น ให้ยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวด หรือหากมีเลือดออกบริเวณเยื่อบุอวัยวะภายใน ต้องให้ยาต้านการละลายลิ่มเลือด (Antifi brinolysis) เพื่อให้มีก้อนเลือดไปช่วยอุดบริเวณที่มีเลือดไหลซึมออกมา หากมีเลือดออกที่เหงือกหรือฟัน ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ทันที

ดังนั้นผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลียควร ใส่ใจและสังเกตอาการตนเองอย่างสม่ำเสมอ หากพบว่าเมื่อฉีดแฟคเตอร์เข้มข้นเข้าไปแล้ว แต่เลือดยังไม่หยุดไหลเหมือน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็คหาภาวะการเกิดสารต้านแฟคเตอร์และได้รับการ รักกษาที่ถูกต้อง

การเกิดสารต้านแฟคเตอร์นั้น ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ ประวัติครอบครัว ยีนที่ผิดปกติของผู้ป่วยแต่ละราย และปริมาณแฟคเตอร์ที่ผู้ป่วยได้รับ ผู้ป่วยจึงควรระมัดระวังตนเองไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง ถึงขั้นต้องให้แฟคเตอร์ในปริมาณมากและเป็นเวลานานติดต่อกัน เช่น การผ่าตัด

อย่างไรก็ดี โดยปกติแพทย์จะตรวจร่างกาย และเจาะเลือดผู้ป่วยเพื่อติดตามภาวะการเกิดสารต้านแฟคเตอร์ทุก ๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อให้การรักษาและกำจัดตัวต้านแฟคเตอร์ตั้งแต่เริ่มต้น

  • 1
  • 2