
ลูกทารกแรกเกิดมักมีอาการผิดปกติบางอย่างที่ทำให้พ่อแม่กังวลใจ นี่คือ 12 อาการที่พบบ่อยในเด็กทารกแรกเกิด พร้อมสาเหตุ วิธีป้องกันและรักษาอย่างถูกต้อง
รวม 12 อาการที่พบบ่อยในเด็กทารก พร้อมวิธีรักษาและการป้องกัน
1. ผื่นผ้าอ้อม ผื่นแพ้ผ้าอ้อม อาการผื่นผ้าอ้อม
ผื่นผ้าอ้อมเกิดขึ้นบ่อยกับเด็กทารกวัย 4 - 12 เดือน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องหนักอกของคุณพ่อคุณแม่ไม่น้อยเลยนะคะ ที่ผิวสวย ๆ ของลูกถูกแทนที่ด้วย ผื่นผ้าอ้อม ผื่นแดง ปื้นแดง ผิวหนังลอกออกเป็นแผ่น ๆ จนทำให้ลูกระคายเคืองเจ็บแสบ แต่อย่าเครียดมากไปนะคะเพราะผื่นผ้าอ้อมจะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายไปได้เองหากดูแลอย่างถูกต้อง และเพื่อไม่ให้ผื่นตัวร้ายกลับมาเยือนผิวสวย ๆ ของลูกอีกครั้ง มารู้วิธีปกป้องผิวจากผื่นผ้าอ้อมและยาทาผื่นผ้าอ้อมกันเลยค่ะ อ่านบทความผื่นผ้าอ้อม
2. ลูกพูดช้า
ลูกถึงวัยที่พูดได้แล้ว แต่ลูกยังไม่ยอมพูด ลูกพูดช้า ลูกพูดไม่ได้ ลูกพูดไม่ชัด คุณพ่อคุณแม่คงแอบกังวลใจอยู่ไม่น้อย สาเหตุอะไรที่ลูกพูดไม่ชัด ลูกไม่พูด ลูกพูดช้า แม่แอดมินมีคำแนะนำไว้ดังนี้ค่ะ อ่านบทความวิธีแก้ไขปัญหาพูดช้า
3. กลากน้ำนม เกลื้อนน้ำนม กลากน้ำนม
ถ้าฟังแค่ชื่อก็อาจเข้าใจผิดคิดว่าหมายถึง โรคกลาก ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อรา แต่จริง ๆ แล้ว กลากน้ำนม เป็นคนละโรคกับ โรคกลาก โดยสิ้นเชิง
กลากน้ำนม (Pityriasis Alba) หรือ เกลื้อนน้ำนม คือผิวหนังบางลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้สีผิวบริเวณนั้นจางลงเป็นวงด่าง โดยในช่วงแรกอาจเป็นผื่นชมพูอ่อน ๆ แห้งและตกสะเก็ด คล้ายอาการ ผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) โรคนี้สามารถพบบ่อยในเด็ก อ่านบทความกลากน้ำนม
4. ลูกแหวะนม ทารกแหวะนม อาการแหวะนม
อาการแหวะนมของทารกช่วงแรกคลอด – 4 เดือน เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ค่ะ สาเหตุของการ แหวะนม เกิดจากเพราะกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารและกระเพาะทำงานยังไม่เต็มที่ หรือลูกกินลมเข้าไปมากจากการดื่มนมผิดวิธี เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรงและปรับตัวได้ การกินของลูกจะดีขึ้น อาการแหวะนมจะหายไปได้เอง หากแหวะนมบ่อยมาก เช่น ทุกครั้งหลังดื่มนมลูกจะแหวะนม และแหวะนมร่วมกับอาเจียนเป็นประจำต่อเนื่อง อาจเกิดความผิดปกติในท้อง เช่น เนื้องอก หากแหวะนมเป็นเวลานาน และน้ำหนักลดลง อาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ควรปรึกษากุมารแพทย์โดยด่วน อ่านบทความแหวะนม
5. ลูกแพ้นมวัว อาการแพ้นมวัว แพ้นมวัว
มักเป็นในเด็กเล็กวัยต่ำกว่า 1 ปี สาเหตุของการแพ้นมวัวเกิดจากพันธุกรรม พ่อแม่เป็นภูมิแพ้ เพราะอาการนี้ถ่ายทอดทางสายเลือดทำให้ลูกแพ้นมวัวได้ รวมถึงการถูกกระตุ้นด้วยสารก่อภูมิแพ้ เช่น ช่วงตั้งครรภ์คุณแม่กินนมวัวมากเกินกว่าปกติ ทำให้ลูกในท้องมีโอกาสที่จะแพ้นมวัวได้ง่ายค่ะ อ่านบทความแพ้นมวัว
6. ลูกเป็นโคลิก อาการโคลิก
โคลิก คือการร้องแบบไม่มีสาเหตุ ปกติแล้วเด็กทารกวัย 1-3 เดือน ลูกร้องไห้แผดเสียง หน้าแดง ร้องเหมือนเจ็บ กำมือแน่น ขางอเข้าหาตัวโดยที่ไม่มีสาเหตุ ร้องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ร้องมากกว่า 3 วันต่ออาทิตย์ และร้องมากกว่า 3 อาทิตย์ ให้สันนิษฐานได้เลยว่าลูกเป็นโคลิกค่ะ สาเหตุของโคลิกเกิดได้จากหลายอย่าง เช่น ทารกท้องอืดท้องเฟ้อ อากาศหนาวหรือร้อนเกินไป ห้องนอนเสียงดังเกินไป เป็นต้น ดังนั้นหากดูอาการแล้วลูกเข้าข่ายอาการโคลิก คุณแม่สามารถปรึกษาคุณหมอเพื่อการดูแลที่ถูกต้องได้ค่ะ อ่านบทความโคลิก
7. ลูกไม่หลับยาว
การที่ลูกนอนหลับยาก ไม่ยอมนอน หรือตื่นมาร้องไห้งอแงตอนกลางคืน เป็นเรื่องปกติที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเจอ เพราะในช่วงแรกหลังคลอด เขายังต้องปรับตัวกับโลกภายนอกท้องแม่ ได้รับแสงสว่าง ได้ยินเสียง หรือสัมผัสอากาศที่ไม่ใช่ในท้องแม่ ซึ่งโดยปกติแล้วเขาจะค่อย ๆ ปรับตัวให้นอนได้ยาวขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืนตามพัฒนาการ รวมถึงถ้าจัดสภาพแวดล้อมในการนอน การดูแลก่อนนอนให้ดี เขาจะสามารถปรับตัวและเวลนอนได้ดีขึ้นค่ะ อ่านบทความลูกไม่หลับยาว วิธีทําให้ลูกหลับยาวตอนกลางคืน
8. ทารกตัวเหลืองตาเหลือง ลูกมีภาวะตัวเหลืองหลังคลอด
ภาวะทารกตัวเหลือง คือ ภาวะที่ร่างกายมีสารสีเหลืองที่เรียกว่า บิลิรูบิน (Bilirubin) ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ สาเหตุที่เด็กแรกเกิดตัวเหลือง ภาวะตัวเหลืองปกติที่ไม่ใช่โรค พบเป็นส่วนใหญ่ในทารกหลังคลอด เนื่องจากขณะอยู่ในครรภ์มารดา ทารกมีจำนวนเม็ดเลือดแดงมากกว่าทารกหลังคลอด เม็ดเลือดแดงส่วนเกินนี้จะถูกทำลาย สารฮีมภายในถูกเปลี่ยนเป็นบิลิรูบิน แม้ทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ประมาณ 50-60% ก็อาจมีภาวะตัวเหลืองได้ตั้งแต่อายุ 2-3 วัน และมักจะหายเหลืองเมื่อมีอายุ 5-7 วัน คำแนะนำเกี่ยวกับภาวะทารกตัวเหลือง อ่านบทความทารกตัวเหลือง
9. ทารกเป็นผื่นร้อน ผดร้อน ผื่นขึ้นหน้าทารก
ผดร้อนทารกมักเกิดขึ้นบ่อยในทารกที่อายุ 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากโครงสร้างผิวหนังและต่อมเหงื่อของทารกยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดการอุดตันของท่อระบายเหงื่อ ทำให้เกิดผดร้อน ผื่นร้อน มักเป็นผื่นที่มีลักษณะผื่นลมพิษ ตุ่มนูน หรือตุ่มใส ซึ่งบางรายอาการอาจหายได้เอง แต่หากมีผดร้อน ผื่นร้อนมีอาการรุนแรงก็อาจต้องไปพบแพทย์ อ่านบทความผื่นร้อน ผดร้อน
10. ลูกท้องผูก ทารกท้องผูก
อาการท้องผูกคือ ถ่ายลำบาก มีก้อนอุจจาระแข็ง ต้องใช้แรงเบ่งมาก หรือปวดเวลาอุจจาระผ่านออกมา ไม่มีการเคลื่อนไหวของลำไส้ และถ้าหากท้องผูกเกิดในเด็กแล้ว เจ้าหนูก็จะกลัวการถ่ายอุจจาระ เพราะว่าก้อนอุจจาระแข็ง ตอนเบ่งอาจทำให้รูทวารฉีกขาดได้ โดยปกติแล้วลำไส้ใหญ่ จะมีหน้าที่ดูดน้ำกลับเข้าสู่ร่างกาย หากอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่นาน อุจจาระจะถูกดูดน้ำจนแข็งและแห้ง เวลาถ่ายยิ่งจะเจ็บมากขึ้นตามลำดับ เวลาปวดท้องเด็กก็จะอั้นไว้ก่อน เพราะกลัวว่าอึแล้วจะเจ็บ ก็เป็นวงจรวนไปทำให้เกิดท้องผูกได้ อ่านบทความท้องผูก
11. ลูกท้องอืด ทารกท้องเฟ้อ
ท้องอืดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทารกรู้สึกไม่สบายตัว เกิดขึ้นได้เป็นปกติและมักไม่เป็นอันตราย พ่อแม่ควรเรียนรู้วิธีป้องกันท้องอืด ท้องเฟ้อ และบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อในเบื้องต้นเพื่อช่วยคลายความอึดอัดให้ลูกน้อย รวมทั้งหมั่นสังเกตอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารที่รุนแรงได้
สาเหตุของอาการท้องอืด อึดอัด หรือไม่สบายท้องของลูกน้อยเกิดจากการมีแก๊สสะสมในกระเพาะอาหารมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นผลมาจากหลายปัจจัย อาการท้องอืดเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกมีอายุ 2-3 สัปดาห์ แม้ทารกไม่สามารถสื่อสารให้รู้ได้ด้วยคำพูด ทว่าพ่อแม่อาจสังเกตความผิดปกติได้เมื่อลูกน้อยแสดงอาการ อ่านบทความท้องอืด ท้องเฟ้อ
12. ทารกมีสีอึผิดปกติ ลักษณะอึผิดปกติ
อึของลูกนั้นเป็นตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น อึสีเหลือง นุ่ม เหมือนสีฟักทองบด อึสีเขียว เป็นต้น คุณแม่จึงต้องหมั่นสังเกตสีอึและลักษณะของอึลูก เพราะหากอึลูกมีความผิดปกติ เช่น มีเหมือกปนออกมา มีกลิ่นเหม็นเน่า หรือ มีรเลือดปนออกมา นั่นอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าเด็ก ๆ กำลังป่วยอยู่ อ่านบทความสีอึ ลักษณะอึทารก
โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกแบบไหนเหมาะสำหรับเด็ก สายพันธุ์ไหนดี กินปริมาณเท่าไหร่เพียงพอ
ฟัง The Expert พญ. สีวลี สีดาฟอง
แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก โรงพยาบาลวิมุต
ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke

ลูกไม่ยอมกินข้าว กินยาก เลือกกิน ผักก็เขี่ยทิ้ง ผลไม้ก็ส่ายหน้า นานวันเข้าก็เหมือนจะโตไม่ทันเพื่อนรุ่น ๆ เดียวกัน ระบบขับถ่ายก็ไม่ดี ท้องผูก ถ่ายยาก ปัญหาเหล่านี้เชื่อว่าหนักอก หนักใจ คุณพ่อคุณแม่ค่ะ ยิ่งปล่อยไว้จนลูกน้ำหนักตกเกณฑ์ พัฒนาการร่างกายไม่สมบูรณ์ มีผลกับพัฒนาการลูกแน่นอนค่ะ
“วิตามินเสริม” จึงเป็นตัวเลือกที่คุณแม่หลายคนมองหามาให้ลูกค่ะ แต่ไปที่ร้านขายยา สารพัดวิตามินในท้องตลาดก็มีให้เลือกเยอะมากกก จนแม่ ๆ ก็เลือกไม่ถูก วันนี้เรามีวิตามินเสริมสำหรับเด็กมาแนะนำคุณสมบัติกันไว้เป็นหนึ่งทางเลือกของแม่ ๆ ค่ะ เพราะเป็นวิตามินที่เห็น ๆ กันอยู่ แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าดียังไง หรือมีคุณสมบัติเหมาะกับลูก ๆ เราไหม? วันนี้มาดูกันเลยค่ะ

นิวโทรเพล็กซ์โอลิโกพลัส หรือ Nutroplex Oligo Plus คือ วิตามินเสริมสำหรับเด็ก เจ้าตัวนี้เป็นมัลติวิตามิน หรือวิตามินรวมแต่ที่มีพลัส ก็เพราะเพิ่มธาตุเหล็กเข้ามาด้วย เดี๋ยวมาดูกันค่ะว่ามีธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นมาด้วยดียังไง ช่วยอะไรเด็ก ๆ บ้าง

Nutroplex Oligo Plus มี 2 ขนาดคือ 60 มล. และขนาด 100 มล. เป็นวิตามินน้ำรสส้ม อยู่ในขวดยาสีชาค่ะ ซึ่งช่วยรักษาคุณภาพ ช่วยป้องกันแสงแดด สำหรับกลิ่น และรสชาติ คุณแม่สามารถลองชิมดูได้เลยค่ะ แต่อย่าติดใจแอบแย่งลูก ๆ กินนะคะ รสชาติ มีรสชาติเดียวคือรสส้ม รสจะออกไปทางหวานอมเปรี้ยวค่ะ แต่จะติดไปทางหวานมากกว่า รสชาติไม่แหลมจนเกินไป เด็ก ๆ กินได้สบายค่ะ แต่เด็กบางคนก็อาจจะไม่ชอบ คุณแม่ควรให้ลูกกินโดยตรง ไม่ควรผสมกับเครื่องดื่ม หรืออาหารนะคะ
ที่กล่องผลิตภัณฑ์มีข้อมูลโภชนาการ สารอาหารในวิตามิน ข้อมูลวิธีรับประทาน อย่างครบถ้วน ส่วนวันเดือนปีที่ผลิต วันหมดอายุจะอยู่ที่ใต้กล่องค่ะ คุณแม่ลองพลิกเช็กดูก่อนให้ลูกรับประทานด้วยนะคะ

ทำไม Nutroplex Oligo Plus ถึงมีคำเตือนแล้วเด็กๆ จะกินได้ไหม ?
ถ้าอ่านที่ฉลากดี ๆ คุณแม่อาจจะเห็นว่า Nutroplex Oligo Plus มีคำเตือนว่าเด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน ทำให้คุณแม่หลายคนสงสัย สับสนว่าแล้วลูก ๆ จะกินได้หรือ? จริง ๆ แล้วที่ต้องมีคำเตือนเพราะ Nutroplex Oligo Plus ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากมี Oligofructose ซึ่งเป็นใยอาหารธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ ซึ่งตามข้อกำหนดของประกาศกระทรวงสาธารณสุข จำเป็นจะต้องมีคำเตือน เพราะผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในท้องตลาดมีเยอะมาก เดี๋ยวจะใช้กันไม่ระวัง!
ซึ่งถ้าจะให้มั่นใจว่าอาหารเสริมแบบไหนที่รับประทานได้ก็ต้องดูที่ส่วนประกอบค่ะว่าไม่เกินตามที่ RDI กำหนด สำหรับ Nutroplex Oligo Plus นั้นมีวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณเหมาะสมไม่เกินที่กำหนด มั่นใจว่าให้ลูกๆ รับประทานได้แน่นอนค่ะ

สารอาหารสำคัญใน Nutroplex Oligo Plus ช่วยอะไรบ้าง
Nutroplex Oligo Plus จะมีสารอาหารสำคัญคือ โอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกส์ และใยอาหารจากธรรมชาติ ที่ช่วยในการปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร และเพิ่มกากใยให้กับระบบทางเดินอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้นได้ค่ะ และยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียม ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกให้เด็ก ๆ ในวัยกำลังโตอีกด้วยค่ะ
สำหรับ Nutroplex Oligo Plus ยังมีส่วนของธาตุเหล็กที่เพิ่มขึ้นมา ในช่วงแรกเกิด ถึงวัยเตาะแตะ เด็ก ๆ มักจะเสี่ยงกับการขาดธาตุเหล็กได้ เพราะกำลังเจริญเติบโต ถ้าลูก ๆ ขาดธาตุเหล็กจะทำให้อ่อนเพลีย หรือมีผลกับภูมิคุ้มกัน หรือพัฒนาการการมองเห็น การได้ยิน พัฒนาการสติปัญญาได้ค่ะ แถมอาจจะมีภาวะซีดได้ค่ะ ภาวะซีดไม่ใช่ตัวซีดเหลือง ๆ นะคะ อยากรู้แน่ ๆ ต้องให้คุณหมอลองตรวจดูด้วยค่ะ
นอกจากสาร โอลิโกฟรุคโตส และ ธาตุเหล็กแล้ว ยังมีวิตามินอีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินดี แคลเซียม แมกนีเซียม และกรดอะมิโนด้วย

หมดห่วงเรื่องฟันผุ สูตรนี้ไม่มีน้ำตาล แต่ยังหวานกินง่าย
Nutroplex Oligo Plus เป็นสูตรไม่มีน้ำตาลค่ะคุณแม่ หมดห่วงเรื่องฟันผุ แต่ที่เห็นว่าทำไมยังหวานอยู่ ก็เพราะใช้ซอร์บิทอลให้สารให้ความหวานแทน ดังนั้นถึงแม้จะให้ลูกกินทุกวันก็ไม่ต้องห่วงว่าจะกินน้ำตาลมากไปหรือเปล่า

กิน Nutroplex Oligo Plus อย่างไร
สำหรับวิตามินเสริม ถ้าจะให้ลูก ๆ กิน สามารถให้กินได้ตอนอายุ 1 ขวบขึ้นไปค่ะ ซึ่งปริมาณการกิน อาจจะแบ่งได้ตามช่วงวัยค่ะ ปริมาณที่แนะนำข้างกล่องคือ รับประทานวันละ 1-2 ช้อนชา หรือ 5-10 มล. ต่อวัน
ซึ่งหากแบ่งเป็นช่วงวัยที่เหมาะสม ก็ได้คร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ
- ช่วง 1-3 ปี รับประทาน ½ ช้อนชา วันละ 1 ครั้ง
- ช่วง 3-6 ปี รับประทาน 1 ช้อนชา วันละ 1 ครั้ง
- ช่วง 6 ปีขึ้นไป รับประทาน 2 ช้อนชา วันละ 1 ครั้ง

หลังจากให้ลูก ๆ กินเข้าไปแล้ว อาจจะพบว่าตอนขับถ่ายลูกอาจจะมีอึสีดำ ไม่ต้องตกใจไปค่ะ เพราะบางครั้งธาตุเหล็กที่ถูกดูดซึมไม่หมด ก็จะถูกขับถ่ายมาพร้อมกับอึของลูก ๆ ค่ะ เลยอาจจะเห็นเป็นสีเข้ม ๆ หรือสีดำ ถือว่าปกติค่า
สำหรับ Nutroplex Oligo Plus เป็นเพียงวิตามินเสริม ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ ก็อย่างชื่อนะคะว่าแค่เสริมเท่านั้น ซึ่งไม่ได้มีผลให้ลูก ๆ อยากอาหาร หรือกินอาหารได้มากขึ้น เพียงแต่จะช่วยเสริมวิตามินบางชนิดให้กับร่างกายลูกในช่วงที่ลูกกินอาหารไม่ได้เต็มที่ หรือไม่มั่นใจว่าลูกได้รับสารอาหารเพียงพอมั๊ย หากใครอยากปรับระบบร่างกาย ระบบขับถ่ายของลูกให้สมดุลขึ้นก็ลองดูได้ค่ะ แต่ที่สำคัญคุณแม่ควรพยายามให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ในทุก ๆ มื้อ ควบคู่กับการฝึกระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของเขาทำงานในระยะยาวได้อย่างสมบูรณ์ค่ะ
สอบถามและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่...
Facebook: https://www.facebook.com/nutroplexclub/

เด็กท้องผูก แก้ได้ไม่ยาก มารู้วิธีป้องกันและแก้ไขกันเลย
เมื่อลูกถึงวัยที่ต้องดื่มนมเสริม ก็มักจะมีปัญหาท้องผูก อึแข็ง ถ่ายยากตามมาด้วย นอกจากการกินผัก ผลไม้ ดื่มน้ำ เพื่อช่วยเรื่องระบบขับถ่ายแล้ว การเลือกดื่มนมแพะที่มีพรีไบโอติก (Prebiotics) หรือใยอาหารชนิดน้ำ Oligosaccharide ก็เป็นตัวช่วยที่ดีมาก เพราะสารอาหารเหล่านี้จำเป็นต่อการย่อยและระบบขับถ่ายในร่างกายมนุษย์ ช่วยลดและป้องกันอาการท้องผูก ส่งผลให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยค่ะ
2 ใยอาหาร ที่ช่วยป้องกันท้องผูก
อินนูลิน (Inulin)
คือ คาร์โบไฮเดรต จัดเป็นใยอาหารประเภทที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารและไม่ให้พลังงาน แต่ถูกย่อยได้ด้วยแบคทีเรียที่อยู่ในส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ มีสมบัติเป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ คือเป็นอาหารของแบคทีเรียในกลุ่มโปรไบโอติก (Probiotic) ซึ่งอยู่ในลำใส้ใหญ่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ บิฟิดิโอแบคทีเรีย (bifidobacteria)
เมื่อมีจุลินทรีย์สุขภาพในปริมาณมากก็ดีกับระบบทางเดินอาหาร ช่วยป้องกันการติดเชื้อ การอักเสบในทางเดินอาหาร รวมถึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและลดปัญหาท้องผูกอีกด้วย อินนูลินยังมีผลช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ในเลือด และลดระดับคอเรสเตอรอลจึงดีกับสุขภาพไม่ทำให้อ้วน
โอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose)
เป็นโอลิโกแซ็กคาไรด์ (Oligosaccharide) ซึ่งเป็นใยอาหาร หรืออาหารของจุลันทรีย์ชนิดดีในส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ ที่จะช่วยดูแลระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ปกติ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ อินนูลินและโอลิโกฟรุคโตส เป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ของลูกเรา
เมื่อลูกดื่มนมแพะที่มีใยอาหาร 2 ชนิดนี้ จุลินทรีย์ก็มีอาหาร จึงเพิ่มจำนวนขึ้นเยอะ และเมื่อจุลินทรีย์มีจำนวนมากก็จะช่วยกันทำงานให้ลำไส้ใหญ่และระบบขับถ่ายดี ขับถ่ายเป็นเวลา ลดการสะสมของของเสีย ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่ กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อได้นั่นเอง และนี่คือเหตุว่าทำไมเด็กที่ดื่มนมแพะถึงไม่ท้องผูก เพราะในนมแพะมีใยอาหารสุดเจ๋งนั่นเองค่ะ
จริงๆ แล้วลูกของเราได้รับอินนูลินและโอลิโกฟรุคโตสตั้งแต่วันแรกที่เกิดแล้ว เพราะเด็กๆ ทุกคนที่ดื่มนมแม่จะได้รับสารอาหารครบถ้วนกว่า 200 ชนิด อินนูลินและโอลิโกฟรุคโตสก็เป็นหนึ่งในสารอาหารที่ลูกได้รับจากนมแม่เช่นกัน สังเกตง่ายๆ ว่าเด็กนมแม่ทุกคนจะขับถ่ายดี อึนุ่ม อึไม่แข็ง และไม่ท้องผูก เมื่อลูกถึงวัยเริ่มอาหารเสริม คุณแม่จึงควรให้ลูกกินอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มนมที่เหมาะกับวัยเพื่อสุขภาพที่ดีต่อยอดไปถึงพัฒนาการในอนาคตค่ะ

รู้ไหมคะว่า อาการคนท้องที่แม่ตั้งครรภ์ต้องเจอตลอดการอุ้มท้อง 9 เดือน "มันเหนื่อยมาก" ใครที่ไม่เคยท้องไม่มีทางรู้แน่นอนว่าแม่ต้องรับมือกับอะไรบ้าง นี่คือ 8 อาการที่คนท้องต้องเจอแน่นอน พร้อมวิธีดูแลรับมืออย่างถูกต้องเพื่อลดอาการกวนใจเหล่านั้นค่ะ
- แม่ท้องเป็นฝ้า และผิวหนังสีคล้ำ ฝ้า กระ ผิวหนังบริเวณรักแร้ ขาพับ และขาหนีบมีสีคล้ำ ในช่วงตั้งครรภ์เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจน ปริมาณเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวหนังคล้ำขึ้น
วิธีป้องกันและรักษา
-
- ทาครีมบำรุงให้ผิวชุมชื่น
- ต้องเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ
- หากคุณแม่เป็นเยอะ ควรใช้ยารักษา โดยการปรึกษาแพทย์
2. แม่ท้องหน้าท้องลาย ช่วงตั้งครรภ์ผิวหนังของคุณแม่จะขยายอย่างรวดเร็ว บวกกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่หน้าท้อง สะโพก ต้นขา และก้น ทำให้เกิดการแตกลาย
วิธีป้องกันและรักษา
-
- ทาโลชั่นบำรุงผิว หรือออยล์ เป็นประจำ
- นวดน้ำมันจะช่วยให้ผิวเกิดความยืดหยุ่น
- เลี่ยงการอาบน้ำอุ่นที่ร้อนจัด
- ไม่เกาผิวเมื่อคัน
- ดื่มน้ำมากๆ สร้างความชุ่มชื่นให้ผิว
3. แม่ท้องเป็นตะคริว การหมุนเวียนของเลือดที่ลดประสิทธิภาพลง เดินมาก ยืนนานๆ ทำให้เลือดมาคั่งบริเวณน่องทำให้เกิดตะคริว และร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น เช่น แคลเซียม วิตามินบีรวม เป็นต้น
วิธีป้องกันและรักษา
-
- นวดขาเบาๆ ให้เลือดไหลเวียน
- นำหมอน 2 ใบ มารองเท้าเวลานอน
- ดื่มนมให้มากขึ้น เพิ่มแคลเซียม
- รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ
4. แม่ท้องท้องผูก สาเหตุมาจากมดลูกเข้าไปกดลำไส้ และขาดการออกกำลังกาย ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวน้อย
วิธีป้องกันและรักษา
-
- ออกกำลังกายเบาๆ
- ดื่มน้ำวันละหลายๆ แก้ว
- กินอาหารพวกผัก และผลไม้ที่มีกากใยมากๆ

5. แม่ท้องปวดหลัง เมื่อท้องขยายใหญ่ขึ้น ข้อต่างๆ ของกระดูกเชิงกรานหลวม และน้ำหนักของมดลูกกับเด็กเพิ่มมากขึ้น ทำให้แม่ท้องปวดหลัง
วิธีป้องกันและรักษา
-
- ออกกำลังกาย ยืน เดิน
- ใส่รองเท้าสบายๆ ไม่ใส่ส้นสูง
- ให้สามีช่วยนวดหลัง จะช่วยผ่อนคลายอาการมาก
6. แม่ท้องเป็นกรดไหลย้อน อายุครรภ์มากขึ้น มดลูกมีขนาดใหญ่ จะทำให้กดเบียดลำไส้และกระเพาะอาหารมีความจุลดลง ระบบการย่อยอาหารจะช้าลง กรดที่ออกมาย่อยอาหารก็จะค้างในกระเพาะอาหารเช่นกัน
วิธีป้องกันและรักษา
-
- พยายามหลีกเลี่ยงอาหารมัน รสจัด ย่อยยาก
- ควรรับประทานอาหารทีละน้อยๆ แต่ให้บ่อยมื้อขึ้น
- ไม่ควรนอนหลังรับประทานอาหารทันที
- หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ
7.แม่ท้องปัสสาวะบ่อย คุณแม่จะเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น ช่วง3เดือนแรก และ3เดือนสุดท้าย อาการปัสสาวะบ่อยขึ้นนั้นเกิดจากมดลูกที่โต และทารกที่อยู่ภายในเริ่มมีแรงกดต่อกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดอาการดังกล่าว
วิธีป้องกันและรักษา
-
- ห้ามกลั้นปัสสาวะ
- บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานตลอด
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนจะออกเดินทางสัก 1 ชั่วโมง เมื่อไปถึงที่หมายดื่มน้ำชดเชย
8. นอนไม่หลับ นอนไม่ค่อยหลับเพราะท้องใหญ่ไม่สบายตัว รวมทั้งลูกอาจจะตื่นมาถีบท้องแม่ตอนกลางคืนทำให้ไม่ค่อยได้นอน
วิธีป้องกันและรักษา
-
- ใช้หมอนแม่ท้องช่วยประคองหลัง ประคองท้อง
- นอนในท่าเอนหลังแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน
- ใช้วิธีงีบหลับระหว่างวันช่วยได้
คุณแม่ควรศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นกับตนเองและทารกในครรภ์ รวมถึงเรียนรู้อาการที่เป็นสัญญาณผิดปกติ หากคุณแม่พบอาการเล็กน้อยอื่น ๆ ก็ไม่ควรละเลยสัญญาณเหล่านั้น ควรปรึกษาแพทย์หากมีข้อสงสัยหรือพบอาการผิดปกติ เพื่อสุขภาพครรภ์ที่แข็งแรงและพร้อมให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยอย่างปลอดภัย