
แท็กพ่อมาอ่าน! 10 อย่างที่ควรทำ เพราะพ่อคือต้นแบบการเลือกคบผู้ชายให้ลูกสาว
บ้านไหนมีลูกสาววัยกำลังน่ารัก ช่างพูดเลย แล้วเคยได้ยินใช่ไหมคะว่าคุณแม่เป็นต้นแบบให้ลูกสาวได้ ใช่ค่ะ แต่คุณพ่อก็สำคัญมากเช่นกัน เพราะสำหรับลูกสาวแล้ว พ่อคือฮีโร่ ความเป็นพ่อนี้จะทำให้ลูกสาวเลือกคบผู้ชายแบบพ่อได้ค่ะ มาดูกันว่าพ่อต้องทำอย่างไร ให้ลูกสาวมีทัศนคติต่อผู้ชายที่เลือกจะคบในอนาคต
1. พ่อให้เกียรติแม่เสมอ
ลูกสาวจะได้เห็นความเป็นสุภาพบุรุษของพ่อที่ทำกับแม่ ลูกจะคบผู้ชายที่ดูแลและเคารพเขา คนที่ให้เกียรติผู้หญิงทั้งต่อหน้าและลับหลัง
2. พ่อบอกแม่เสมอว่ารักในสิ่งที่แม่เป็น
พ่อที่ยอมแม่เสมอ บอกแม่ว่ารักในสิ่งที่แม่เป็นทั้ง รูปร่าง นิสัย พ่อไม่เคยเปลี่ยนไป เมื่อลูกได้เห็น สิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เขาคบผู้ชายที่ชอบในสิ่งที่เขาเป็น คนที่จะบอกให้เขาไม่ต้องเปลี่ยนแปลงความชอบตัวเองเพื่อใคร แบบที่พ่อทำ
3. พ่อที่เชื่อมั่นในตัวแม่
เมื่อพ่อเชื่อในตัวคุณแม่และลูกสาว คอยให้กำลังใจครอบครัว ลูกจะอยากคบผู้ชายที่มีความเชื่อมั่นในตัวของเขา มองหาคนที่คอยสนับสนุนและเป็นกำลังใจเขา
4. พ่อไว้ใจแม่เสมอ
พ่อที่ไว้ใจให้แม่ทำทุกอย่างโดยไม่เคยระแวง และไว้ใจลูกสาวมาก ลูกสาวจะอยากคบผู้ชายที่เขาไว้ใจได้ คนที่ทำให้เขาจิตใจสงบ เหมือนกับที่พ่อไว้ใจแม่
5. พ่อตลกหยอกล้อแม่เป็นประจำ
หากบ้านไหนมีพ่อที่คอยเอนเตอร์เทนทุกคนในบ้าน เล่นกับลูกบ่อยๆ ถือว่าโชคดีมาก ลูกสาวก็จะชอบคนตลก อารมณ์ดี ดูเป็นมิตร เล่นกับเด็กได้แบบพ่อเป็น
6. พ่อมีความเป็นผู้นำ
ตลกแล้ว แต่ก็หนักแน่นเป็น แน่นอนว่าพ่อทุกคนอยากให้ลูกสาวคบผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำ และพ่อเองต้องเป็นคนทำให้ลูกสาวเห็น พ่อต้องกล้าพูด กล้าที่จะยอมรับผิด และกล้าที่จะปกป้องครอบครัวไม่ว่าจะมีปัญหาใดๆ ก็ตาม
7. พ่อเป็นคนที่สุภาพกับแม่เสมอ
เมื่อก่อนอาจจะไม่พูดเพราะ ไม่ใจดีขนาดนี้ แต่พอมีลูกสาวก็ต้องเปลี่ยนความคิด คำพูด การกระทำเยอะเลย เพราะแน่นอนว่าลูกสาวคอยมองดูคุณพ่ออยู่ พ่อเท่านั้นที่ต้องเป็นคนทำให้ลูกสาวเห็นและเลือกคบคนแบบพ่อ
8. พ่อรักษาความสัมพันธ์กับทุกคน
พ่อเป็นคนที่ถนอมน้ำใจทุกคน มีน้ำใจกับคนรอบข้าง เรียกว่าเป็นฮีโร่ในดวงใจของลูกสาวเลย ลูกสาวจะคบผู้ชายที่เป็นผู้รับฟังที่ดีและช่วยกันแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้
9. พ่อที่ขยันทำงาน
ต้นแบบของผู้ชายที่ดูแลแม่และลูกสาวได้ ก็ต้องขยันทำงาน หาเงินเก่ง ใช้เงินเป็น และมีเวลาให้ครอบครัวเสมอ ผู้ชายขี้เกียจจะทำให้ลูกไม่ชอบอย่างแรง แน่นอนว่าเขาจะต้องได้เจอคนที่ขยัน ดูแลเขาได้ในอนาคต
10. รักครอบครัว
พ่อควรแสดงออกเสมอว่ารักครอบครัวของแม่ รักครอบครัวของพ่อ และรักลูกสาวมาก มีโอกาสจะไปเยี่ยมครอบครัวเสมอ จะทำให้ลูกมองเห็นความสำคัญของครอบครัว และคบผู้ชายที่มีจิตใจดีรักครอบครัว
มีลูกสาวไม่ใช่แค่ไว้หนวดอยากเดียวนะคะ แต่ต้องเป็นต้นแบบผู้ชายที่ดีให้ลูกคบคนดีๆ ด้วย ขอให้ดูแลภรรยาและลูกสาวให้ดี ลูกจะได้มีคนดูแลและรักในสิ่งที่ลูกเป็นอย่างดีที่สุดนะคะ

5 เหตุผล ที่พ่อแม่ควรให้ลูกดูรายากับมังกรตัวสุดท้าย (Raya and the Last Dragon)
เรื่องย่อ
เมื่อ 500 ปีก่อน อาณาจักรคูมันตรา ถูก ปีศาจร้าย ที่เรียกว่า ดรูน บุกรุกเข้ามา ขณะนั้นมีมังกร 5 พี่น้องได้เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องมนุษยชาติเอาไว้ ทำให้โลกที่น่ากลัวกลับมาสงบสุขดังเดิม ต่อมามีเหตุให้ ปีศาจดรูน ที่หลับใหลออกมาทำลายโลกมนุษย์อีกครั้ง รายา ที่สูญเสียพ่อไปด้วยฝีมือของ ปีศาจดรูน จึงได้ออกเดินทางตามหา มังกรตัวสุดท้าย เพื่อช่วยกันกอบกู้อาณาจักรคูมันตราและโลกมนุษย์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
ขมตัวอย่าง
5 เหตุผล ที่ควรพาลูกไปดู Raya and the Last Dragon
1. รายา เป็น เจ้าหญิงคนแรกของดิสนีย์ จาก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รายาเป็นตัวแทนของประชาชนชาวอาเซียนทั้ง 11 ประเทศ ไทย พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และติมอร์เลสเต โดยมีภารกิจสำคัญคือการรวบรวมทุกชนเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมกับการกอบกู้โลกที่สันติกลับมาด้วย
2. ลูกได้รู้จักวัฒนธรรมร่วมของ อาเซียน ในภูมิภาคอาเซียนมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่บางอย่างก็เป็นวัฒนธรรมร่วม เช่น ศิลปวัฒนธรรม การฟ้อนรำ ประเพณี ความเชื่อ อาหารการกิน การแต่งกาย ดนตรี ลูกจะได้เห็นการต่อสู้แบบปันจักสีลัต หมวกซาลากอต การปรุงอาหารที่ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นที่หลากหลาย ผลไม้ท้องถิ่นอย่าง เงาะ มังคุด ทุเรียน ฯลฯ
3. ความสามัคคีคือพลัง ถ้าคุณพ่อคุณแม่เคยฟังเพลงอาเซียนรวมใจตอนเด็กๆ แล้วไม่เข้าใจเนื้อเพลง รายาสามารถอธิบายให้เราเข้าใจได้ภายใน 2 ชั่วโมง เพราะนอกจากความสามัคคีจะพาเราสู่ความเป็นปึกแผ่นแล้ว การร่วมมือร่วมใจของทุกคนในคูมันตรายังใช้ต่อรองกับอำนาจมืดได้ด้วย
4. วัฒนธรรมอาหาร คือ เสน่ห์ของอาเซียน อะเดล ลิม ผู้ร่วมเขียนบทชาวมาเลเซียให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า "คุณทราบไหมว่า ในความเป็นชาวตะวันออกเฉียงใต้ การแสดงออกถึงความรักอย่างหนึ่งก็คือ การหุงหาอาหารให้กัน" ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย เวลาแขกไปใครมาเรามักจะหาน้ำหาขนมมาต้อนรับ เรามักใช้คำว่ากินข้าวกันกับเพื่อนสนิท คนรัก ครอบครัว ญาติมิตร หรือแม้แต่การรอกินข้าวพร้อมหน้าในครอบครัวก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของวัฒนธรรมอาเซียน
5. ความเชื่อใจ ไว้วางใจซึ่งกันและกัน จะ นำไปสู่ความสำเร็จ สิ่งที่ภาพพยนตร์นำเสนออย่างชัดเจนคือเรื่องความเชื่อใจ ตั้งแต่เปิดเรื่องที่รายาได้รับภารกิจจากพ่อก็คือความเชื่อใจ ต้นเหตุของการตามหามังกรก็เกิดจากความเชื่อใจ และสันติสุขกลับมาได้ก็เพราะความเชื่อใจเช่นกัน

Raya and the Last Dragon นับเป็น ภาพยนตร์การ์ตูน ที่ เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี แฝงความหมายและนัยยะหลายๆ อย่างให้เราชาวอาเซียนได้คิดมากมาย รวมถึงเดอะแก๊งของรายาอย่างเชฟบุญ น้องน้อยกับ 3 จ๋อ พี่ทอง และน้องตุ๊กตุ๊กที่ช่วยกันเติมสีสันให้เรื่องมีความสนุกสนานครบรส

7 วิธีเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารัก ไม่ทำตัวเป็นที่เดือดร้อนของผู้อื่น
เด็กนิสัยดี นิสัยน่ารักไปไหนใครก็ชื่นชม ไปโรงเรียนเพื่อนก็รัก ครูก็เอ็นดู อยากเลี้ยงลูกให้น่ารักไม่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น พ่อแม่สามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารัก โดย ปลูกฝังลูกเป็นผู้ให้ สอนลูกให้รู้จักช่วยเหลือแบ่งปัน และทำให้ลูกเห็นอยู่เสมอ ลูกจะซึมซับไม่จำเป็นต้องให้สิ่งของหรือเงินทอง เพียงแค่มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังและความสามารถของตนก็เป็นผู้ให้ได้
2. เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารัก โดย สอนลูกให้รู้จักเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า เด็กบางคนอาจเล็กเกินกว่าจะเข้าใจความรู้สึกสงสาร แต่การอธิบายให้ลูกฟัง เล่านิทาน หรือเปรียบเทียบให้ลูกฟังว่าหากไม่มีคนคอยช่วยเหลือ ลูกจะรู้สึกอย่างไร
3. เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารัก โดย สอนให้พูดขอบคุณและขอโทษบ่อยๆ กล่าวขอบคุณเมื่อมีผู้อื่นหยิบยื่นไมตรีให้ และขอโทษกับสิ่งที่ผิดพลาดไม่ใช่เรื่องน่าอาย พ่อแม่เองควรพูดขอบคุณที่ลูกเป็นเด็กน่ารัก ช่วยทำงานบ้าน ฯลฯ และควรกล่าวขอโทษเมื่อทำผิดต่อลูกเช่นกัน
4. เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารัก โดย สอนลูกให้รู้จักควบคุมอารมณ์ บอกลูกให้รู้เท่าทันอารมณ์โกรธของตนเอง เช่น ตอนนี้แม่ว่าลูกกำลังโกรธ ความโรธของลูกตอนนี้เท่าลูกอะไรคะ โกรธน้อยเท่าผลส้ม โกรธใหญ่ๆ เท่าลูกฟุตบอล ทำยังไงลูกจะหายโกรธนะ ทำยังไงลูกถึงจะหายโกรธนะ กอดแม่หายไหม หรือดื่มน้ำเย็นๆ ไหม หาวิธีระบายความโกรธ พูดถึงความรู้สึกลูกทุกครั้งที่ลูกโกรธ โมโห ก็ช่วยฝึกให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์ได้ค่ะ
5. เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารัก โดย สอนลูกให้รู้หน้าที่และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เมื่อเข้าสังคมลูกต้องเรียนรู้กติกาการอยู่ร่วมกัน อยู่ที่บ้านลูกเป็นสมาชิกของบ้าน ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน เชื่อฟังพ่อแม่ เมื่ออยู่โรงเรียนลูกต้องเล่นกับเพื่อน คอยช่วยเหลือเพื่อน ไม่แกล้งเพื่อน และเชื่อฟังคุณครู
6. เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารัก โดย สอนลูกให้รู้จักพึ่งพาตนเอง เป็นการปลูกฝังความรับผิดชอบไปในตัว เริ่มง่ายๆ จากการฝึกให้ลูกลูกอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว และเก็บของเล่นเองอย่างสม่ำเสมอ เมื่อลูกทำบ่อยๆ ก็จะติดเป็นนิสัย และทำได้ดียิ่งขึ้น
7. เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารัก โดย สอนให้ลูกเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น สิทธิที่ว่าคือสิทธิในร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในการแสดงความคิดเห็น เช่นลูกจะเล่นกับเพื่อนแรงๆ ไม่ได้นะ จะตีเพื่อนไม่ได้ ลูกจะถือวิสาสะกอด หอม เพื่อนโดยที่เขาไม่เต็มใจไม่ได้ ลูกจะหยิบฉวยของของคนอื่นมาก่อนได้รับอนุญาตไม่ได้ เป็นต้น
การเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กน่ารักไม่ใช่เรื่องยาก ที่สำคัญเมื่อลูกทำได้ อย่าลืมให้คำชมลูกด้วยนะคะ เพราะการชมเชยในสิ่งที่ลูกทำได้ดีจะช่วยให้ลูกมีกำลังใจ และเกิดแรงจูงใจที่อยากจะทำสิ่งดีๆ และบ่มเพาะลักษณะนิสัยที่น่ารักไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
5 วิธีสอนลูกเข้าสังคม และทำงานกับผู้อื่นแบบทีมเวิร์ค
5 วิธีสอนลูกให้เป็นเด็กน่ารัก เมื่อออกนอกบ้าน
5 วิธีสอนลูกให้โตไปเป็นคนดี ไม่เหวี่ยง ไม่วีนผู้อื่น ฉบับฮาร์วาร์ด

Carmen Sandiego การ์ตูนซีรีส์ที่พ่อแม่ควรเปิดให้ลูกดู
Carmen Sandiego การ์ตูนซีรีส์ที่ฉายใน Netflix เป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก (ที่ผู้ใหญ่ก็ดูได้) มีด้วยกันทั้งหมด 4 ซีซั่น แต่ละซีซันมีประมาณ 9-10 ตอน ยกเว้นซีซั่น 3 ที่มีเพียง 5 ตอนเท่านั้น
รีวิว Carmen Sandiego
เป็นเรื่องราวของจอมโจรสาวเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในโรงเรียนสอนอาชญากรรม แต่แทนที่คาร์เมน ซานดิเอโก้จะเป็นโจรขโมยสมบัติอันล้ำค่า คาร์เมนกลับเป็นโจรคุณธรรมที่ปล้นโจรด้วยกันเอง แล้วนำสมบัติที่ขโมยได้กลับไปคืนที่พิพิธภัณฑ์หรือเจ้าของเดิม

ทำไมพ่อแม่ต้องเปิด Carmen Sandiego ให้ลูกดู
- ถึงจะเป็นขโมยแต่ Carmen Sandiego ไม่ได้มีนิสัยขี้ขโมย แต่เธอเป็นคนที่มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ รักเพื่อน ฉลาดมีปฏิภาณไหวพริบ และใจสู้
- Carmen Sandiego มีการสอดแทรกความรู้รอบตัวเกี่ยวกับเมืองต่างๆ ที่ปรากฏในแต่ละตอน ตั้งแต่ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ละที่
- ลูกได้ฝึกภาษา เพราะ Carmen Sandiego เป็นการ์ตูนซี่รีส์ที่ผลิตจากสตูดิโอประเทศแคนาดา ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ หากเปิดฟังแบบออริจินัลลูกจะได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษไปในตัว (แต่ถ้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษละก็ Carmen Sandiego มีแบบพากย์ไทยด้วยนะคะ)
- แต่ละตอนความยาวไม่เกินครึ่งชั่วโมง เด็กๆ สามารถดูวันละ 1-2 ตอนได้ตามโควตาการใช้จอในแต่ละวัน และเรื่องก็จบในตอน ไม่ซับซ้อน
- ภาพสวย ทันสมัย เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี Carmen Sandiego เหมาะจะเป็นการ์ตูนซีรีส์ที่พ่อแม่ลูกจะมานั่งชมด้วยกันหลังกินข้าวก่อนเตรียมตัวเข้านอนได้เลยค่ะ

หมายเหตุ : Netflix จัดเรท Carmen Sandiego ไว้สำหรับเด็ก 7 ขวบขึ้นไป แต่จริงๆ เนื้อหาไม่ได้มีความรุนแรงหรือยากเกินเด็กวัย 5-6 ขวบจะดูไม่ได้ แต่ในบางฉากพ่อแม่อาจจะต้องนั่งดูและอธิบายให้ลูกเข้าใจเนื้อหาด้วยค่ะ

ข้อควรรู้และปฏิบัติเมื่อลูกหยิบของเพื่อนที่โรงเรียนติดกระเป๋ากลับบ้าน
ลูกอนุบาลเคยหยิบของเพื่อนใส่กระเป๋ากลับบ้านมาแบบไม่ตั้งใจบ้างไหมคะ?
เชื่อเลยว่าใครที่มีลูกอนุบาลต้องเจอประสบการณ์นี้กันมาแล้วเช่น ลูกหยิบดินสอ แก้วน้ำ ผ้ากันเปื้อน ตุ๊กตา หรือของชิ้นเล็กๆ ของเพื่อนติดใส่กระเป๋ากลับบ้านมาด้วย ถ้าใครเจอสถานการณ์แบบนี้ต้อง "ทำใจนให้เป็นกลาง" ลองทำตามคำแนะนำของเราค่ะ
ทำไมลูกหยิบของเพื่อนใส่กระเป๋ากลับบ้าน
1. เด็กๆ อาจใช้ของที่มีสี ลาย ขนาด คล้ายกัน จึงอาจสับสนเมื่อเก็บของใส่กระเป๋า
2. เด็กๆ อาจแลกกันเอง เช่น วันนี้ให้ยืมตุ๊กตาสลับกันเล่น เป็นต้น
3. ลูกอยากเล่นของเพื่อนเลยหยิบมาโดยไม่บอกเพื่อน
4. คุณครูกำลังสอนให้รู้จักรับผิดชอบของของตัวเอง แต่เด็กๆ ยังไม่คล่องจึงอาจสับสนในการแยกแยะของของตัวเอง
เมื่อลูกหยิบของเพื่อนสลับกับเพื่อนกลับบ้านมา คุณพ่อคุณแม่ต้องทำอย่างไง
1. ในกรณีลูกหยิบสลับกับเพื่อนเพราะสี ลาย ขนาดคล้ายกัน คุณพ่อคุณแม่อาจแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มลายที่เป็นเอกลักษณ์ลงบนของของลูก เช่น ไดโนเสาร์ตัวโปรด รูปพิมพ์หน้าลูก เป็นต้น
2. ในกรณีที่ลูกบอกว่าแลกกันกับเพื่อน คุณพ่อคุณแม่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องคุยกันว่า น้องแลกของเล่นกันจริงไหมเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน และกำหนดวันส่งคืน โดยวันส่งคืนพ่อแม่ควรไปด้วยและให้ลูกแลกคืนกัน ซึ่งจะช่วยสร้างนิสัยเรื่องความรับผิดชอบให้ลูกได้มากขึ้นค่ะ
3. ในกรณีที่ลูกหยิบมาเพราะอยากเล่นโดยไม่บอกเพื่อน คุณพ่อคุณแม่ควรอธิบายให้ลูกฟังง่ายๆ เช่น ถ้าหนูหยิบของเพื่อนมาแล้วไม่บอก เพื่อนจะเสียใจนะ เหมือนเวลาที่คุณแม่หยิบของเล่นลูกไปเก็บแล้วลูกหาไม่เจอ หนูจะเสียใจใช่ไหม ถ้าหนูอยากเล่น หนูขอเพื่อนเล่นนะคะ หรือเอาของเล่นของเราไปแลกกันเล่นกับเพื่อนนะคะ"
4. ในกรณีที่คุณครูกำลังฝึกในเด็กๆ รับผิดชอบของของตัวเอง คุณครูและผู้ปกครองต้องแจ้งกันเป็นระยะว่ากำลังให้เด็กเรียนรู้เรื่องอะไร และอาจจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง เพื่อให้ผู้ปกครองเตรียมตัวว่าจะต้องเจอกับอะไร และช่วยดูแลกันได้ถูกต้อง เช่น ลูกอาจจะหยิบของสลับกับเพื่อนแน่นอน จะได้เตรียมสอนให้ลูกนำของไปคืนเพื่อนแล้วแลกของตัวเองกลับมา เป็นต้น
สิ่งสำคัญของเรื่องนี้ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ "ใจกว้าง" เข้าไว้ค่ะ และไม่ควรพูดคำต้องห้าม "ลูกขโมยของเพื่อนมาหรอ" เพราะเด็กหลายคนยังไม่เข้าใจคำว่า "ขโมย" ในความหมายที่มากเท่าผู้ใหญ่ค่ะ ดังนั้นการหยิบของเพื่อนมาโดยไม่บอก อยากเล่นบ้างเลยหยิบมา จึงอาจไม่ใช่การขโมยในความเข้าใจของลูก ดังนั้น "ห้ามตีตราลูกเราหรือลูกคนอื่น" ว่าขี้ขโมย แต่ควรสอบถามให้ชัดเจนว่าที่ลูกหยิบกลับมาเพราะอะไร เพื่อช่วยกันดูแลได้ถูกต้องค่ะ
ลูกอนุบาลยังต้องการเวลาในการเรียนรู้ จดจำ และพัฒนาอีกมากนะคะ ดังนั้นพ่อแม่ทุกคนคือหน่วยสนับสนุนที่จะต้องช่วยกันคลี่คลายและสร้างความเข้าใจระหว่างกันเอง และระหว่างเด็กๆ ให้มากค่ะ

คุณสมบัติพี่เลี้ยงเด็กที่ดี ลูกอยู่ด้วยแล้วจะปลอดภัย ไว้ใจได้
พี่เลี้ยงเด็ก เลือกอย่างไรให้ลูกปลอดภัย เป็นข่าวรายสัปดาห์เลยนะคะ สำหรับพี่เลี้ยงเด็กทำร้ายเด็ก จนอาการสาหัส หรือพี่เลี้ยงเด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งพ่อแม่ที่ต้องไปทำงาน มีความจำเป็นต้องฝากเลี้ยงลูกไว้กับพี่เลี้ยง ก็หนักใจไม่น้อย กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกแบบในข่าวหรือไม่ เพราะแบบนี้เราเลยมีวิธีเลือกพี่เลี้ยงให้ปลอดภัยสำหรับลุกมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ
พี่เลี้ยงต้องไว้ใจได้
- อายุและการศึกษา ควรมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เพื่อให้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ และวิจารณญาณ
- สุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคติดต่อ เพราะงานดูแลเด็กเล็กไม่ใช่เรื่องเบาๆ
- มีประสบการณ์ในการดูแลเด็กมาก่อน พี่เลี้ยงจะต้องสามารถสื่อสารรับรู้อารมณ์ ความต้องการของเด็ก และตอบสนองได้ถูกต้อง
- บุคลิกลักษณะและนิสัยใจคออ่อนโยน เป็นคนรักความสะอาด ละเอียด รอบคอบ ใจเย็น ทนเสียงเด็กร้องได้ ชอบอยู่กับเด็ก ชอบพูดคุยและเล่นกับเด็ก
- ต้องไว้ใจได้ พ่อแม่ต้องวางใจได้ว่าลับหลังคุณแล้ว เขาจะไม่ได้ทอดทิ้ง หรือแม้แต่ทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ
หากได้พี่เลี้ยงมาเลี้ยงลูกแล้ว ทุกครั้งที่กลับบ้านให้สอบถามลูกเสมอว่าวันนี้เล่นอะไรกับพี่เลี้ยงบ้าง วันนี้กินอะไรบ้าง และลูกชอบพี่เลี้ยงหรือไม่ ชอบตรงไหน เป็นต้น
เลือกศูนย์รับเลี้ยงที่ปลอดภัย ไว้ใจได้
ขั้นแรกต้องดูว่าเป็นศูนย์หรือนายหน้า ศูนย์คือมีสถานประกอบการจริงจัง อาจเป็นตึกแถวเล็กๆ หรือบ้าน มีเด็กหมุนเวียนกันไป ใครจบเคสหรือรอเคสก็จะมีที่พักชั่วคราว ถ้ามีเวลาคุณแม่ควรไปดูศูนย์ด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจ โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมภายในศูนย์และการบริหารจัดการ
- ไหนๆ คุณแม่ไปถึงศูนย์แล้วให้ถือโอกาสนี้พูดคุยกับเด็กๆ ที่ศูนย์ซะเลย มองดูความเป็นอยู่ของเด็กๆ สภาพแวดล้อม ความสะอาด เป็นต้น
- คุณแม่ควรบอกความต้องการทั้งหมดตั้งแต่ครั้งแรก เช่น อยากได้คนมีประสบการณ์มาก หรือไม่มาก (ค่าจ้างถูกกว่า) อยากได้อายุเยอะหรือน้อย นิสัยใจเย็น พูดน้อย รึเปล่า น้องต้องดูแลเป็นพิเศษตรงจุดไหน เพื่อทางศูนย์หรือนายหน้าจะได้เลือกคนที่ตรงกับความต้องการของคุณแม่ จะได้ไม่เสียเวลาสัมภาษณ์กัน
- เมื่อถึงเวลาตกลงจ้างกัน ทางศูนย์ต้องมีสำเนาบัตรประชาชนของลูกจ้าง และต้องมีการเซ็นสัญญาจ้างกัน คุณแม่ต้องอ่านให้ครบและตั้งใจอ่าน อ่านให้ทุกบรรทัด ถ้าตรงไหนไม่ชัดเจนในสัญญา แนะนำให้เขียนเพิ่มลงไปให้หมด ไม่ต้องเกรงใจกัน ดีกว่ามามีเรื่องกันทีหลัง
ก่อนตัดสินใจเลือกพี่เลี้ยงของลูกนั้น จำเป็นต้องพูดคุยทัศนคติ คุณสมบัติต่างๆ ว่าเหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งการเลือกพี่เลี้ยงเด็กที่รู้จักหรือรู้ที่มาที่ไปจะดีกว่าค่ะ

จับสังเกต สัญญาณเตือนเมื่อลูกถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ทุกวันนี้มีข่าวเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศบ่อยๆ เราอาจจะคาดหวังว่าเรื่องแบบนี้อย่าได้เกิดกับคนที่เรารักเลย แต่ถ้าหากวันหนึ่งจะมีเหตุเกิดขึ้นกับลูกเรา การจับสังเกตสัญญาณจากลูกก็ช่วยให้พ่อแม่แก้ไข และปกป้องลูกได้ก่อนจะมีเหตุที่ร้ายแรงกว่าเดิมเกิดขึ้นค่ะ
9 สัญญาณจากลูก
- ลูกมีอาการซึมเศร้า ไม่พูดไม่จา ไม่ร่าเริง ไม่สุงสิงกับใคร
- วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย
- มีบาดแผลฟกช้ำตามร่างกายและอวัยวะเพศ
- กลัวคนบางประเภท
- กลัวการกลับบ้าน ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากไปเรียนพิเศษ
- ไม่อยากอยู่ลำพังกับผู้ใหญ่ หรือพี่คนโตกว่า
- ทำร้ายตัวเอง
- มีปัญหาด้านการเรียน
- ฝันร้าย นอนไม่หลับ
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ลูกตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศ
- ยังเล็กเกินไปไม่สามารถพูดจาสื่อสารได้
- เป็นเด็กมีพัฒนาการล่าช้าหรือบกพร่อง
- ป่วยเรื้อรังหรือมีความพิการทางร่างกาย
- อยู่บ้านตามลำพังกับพ่อหรือมีสมาชิกผู้ชายอาศัยอยู่ในบ้าน
- แม่หมดสมรรถภาพทางเพศ
ทำอย่างไรเมื่อลูกถูกล่วงละเมิดทางเพศ
- เด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศมักไม่กล้าบอก เพราะอาจจะกลัวจนไม่กล้าบอกใคร หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องหาทางรับมือให้ได้โดย
- ตั้งสติอย่าตกใจ อย่าโทษลูก
- อย่าคิดว่าลูกโกหก ฟังลูกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่าคาดคั้นและใส่อารมณ์ แต่ควรให้ลูกอธิบายรายละเอียด ลำดับเหตุการณ์ให้ได้มากที่สุด
- พาลูกไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ไม่ต้องอาบน้ำให้ลูกก่อนไป
- เก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ เช่น กางเกงใน เสื้อผ้าลูก
- พาลูกไปพบจิตแพทย์ และคอยอยู่เคียงข้างลูกตลอดเวลา
- แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ล่วงละเมิดทางเพศ

ป้องกันอย่างไร ไม่ให้ลูกถูกล่วงละเมิดทางเพศ
บ่อยครั้งเราจะพบว่าคนที่ล่วงละเมิดทางเพศเด็กมักเป็นบุคคลที่เด็กรู้จักหรือเป็นคนในครอบครัวที่สามารถเข้าถึงตัวเด็กได้ง่าย เป็นคนที่เด็กไว้วางใจ เช่น พ่อ พ่อเลี้ยง ญาติพี่น้อง ครู หรือแม้แต่คนข้างบ้าน เพราะฉะนั้น 5 ข้อต่อไปนี้อาจช่วยปกป้องลูกจากการถูกละเมิดได้ไม่มากก็น้อย
1. สอนให้เด็กเรียนรู้จักอวัยวะเพศของตนเองตั้งแต่ยังเล็ก โดยเริ่มสอนตั้งแต่ช่วงที่เด็กสามารถพูดเรียกชื่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ อาจจะสอนตอนที่ลูกอาบน้ำว่าอวัยวะเพศของลูกเรียกว่าอะไร ใช้ชื่อที่เข้าใจง่าย เช่น จู๋ เจี๊ยว จิ๋ม ปิ๊ แล้วบอกให้ลูกรู้ว่าอวัยวะเพศของหนูมีความสำคัญ จะให้ใครเห็นหรือมาจับไม่ได้
2. บอกลูกว่าส่วนไหนของร่างกายที่ที่ให้พ่อแม่คนใกล้ชิดดูได้ คนอื่นที่ไม่ได้รับอนุญาตลูกต้องใส่เสื้อผ้า ห้ามให้ใครเห็น
3. บอกลูกว่าห้ามให้คนอื่นมาจับสัมผัสบริเวณหน้าอก หน้าท้อง ก้น อวัยวะเพศ ห้ามให้ใครมาจับแก้ม หอมแก้ม จุ๊บปาก ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ และลูกสอนให้ปฏิเสธ หรือร้องเสียงดังโวยวายหรือวิ่งหนีออกมาทันทีหากมีคนมาจับต้อง หรือทำท่าทางจะจับ
4. สอนลูกว่าถ้ามีใครมาจับตามพ่อแม่ห้าม ลูกต้องบอกพ่อแม่ทันที
5. บ้านอาจไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย รวมถึงบ้านญาติ บ้านเพื่อน โรงเรียน โรงเรียนกวดวิชา เพราะฉะนั้นพูดคุยกับลูกบ่อยๆ ชวนลูกคุยถึงเพื่อนๆ และครูที่โรงเรียน หรือตอนที่ลูกอยู่บ้านโดยไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วยเพื่อเช็กความผิดปกติของลูก
เราต่างไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายกับคนที่รัก และพ่อแม่อาจไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลา การป้องกันอาจไม่ได้ช่วยให้ลูกปลอดภัยเสียทั้งหมด และเมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว อย่าเพิกเฉย อย่านิ่งนอนใจ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุร้ายแรงกว่าที่คิด
อ้างอิง : Drama-addict ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เข็นเด็กขึ้นภูเขา
ทำความรู้จัก อะมีบากินสมอง!โรคร้ายที่มากับน้ำ อันตรายถึงชีวิต
ว่ายน้ำ กิจกรรมหนึ่งที่เด็กๆ หลายคนชื่นชอบ เพราะสนุกสนานกับการได้เล่นน้ำให้ผ่อนคลาย สระว่ายน้ำ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ บางครั้งอาจมีอันตรายที่ซ่อนอยู่ในน้ำธรรมชาติได้นะคะ มาทำความรู้จักกับ อะมีบากินสมอง! โรคร้ายที่มากับน้ำ อันตรายถึงชีวิตลูกกันค่ะ
เชื้ออะมีบา คืออะไร?
เชื้ออะมีบา เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเป็นโปรโตซัวชนิดหนึ่ง พบได้ในน้ำจืด โดยปกติอยู่ในพืชผักที่เน่าเปื่อย จมอยู่ในลำน้ำ อะมีบาที่ก่อให้เกิดโรคในคนได้ เป็นอะมีบาที่อาศัยเป็นอิสระ ในธรรมชาติตามแหล่งน้ำ ดิน โคลนเลนค่ะ
เชื้ออะมีบากินสมอง คืออะไร?
เชื้ออะมีบากินสมอง คือ 'โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากอะมีบา' โดยมีสาเหตุมาจากเชื้ออะมีบาชนิดที่เป็นอันตรายต่อคนที่มีชื่อว่า ชนิดนีเกลอเรีย (Naegleria fowleri) เชื้ออะมีบาชนิดนี้จะอาศัยอยู่แหล่งน้ำจืดธรรมชาติที่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง หรือแหล่งน้ำขังในเขตอุตสาหกรรม และในดินในเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นเกือบทั่วโลก ดังนั้นจึงรวมถึงแหล่งน้ำจืดตามธรรมชาติในประเทศไทยด้วย
เชื้ออะมีบาเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?
เชื้ออะมีบาเข้าสู่ร่างกายผ่านการสำลักเข้าจมูก หรือปาก โดยเชื้อจะผ่านเข้าไปทางประสาทรับรู้กลิ่นภายในจมูก และเข้าสู่สมอง ทำให้เกิดเยื้อหุ้มสมองอักเสบเฉียบพลัน โดยผู้ป่วยอาจเสียชีวิตภายใน 10 วัน
อาการของ เชื้ออะมีบากินสมอง หรือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากอะมีบา
1. เริ่มแรกมีอาการเหมือนไข้หวัดธรรมดา คัดจมูก น้ำมูกไหล มีไข้ต่ำๆ และปวดศีรษะ โดยมีอาการเหล่านี้อยู่ 2-3 วัน
2. หลังจากนั้นจะมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง มีอาการซึม เพ้อ อาจอาเจียน และคอแห้งร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเป็นขึ้นมาเฉียบพลัน และหนักมากจนอาจหมดสติภายในเวลา 3 วัน เนื่องจากสมองบางส่วนติดเชื้อจนมีหนอง และเนื้อสมองตายบางส่วน
3. สุดท้ายอาจเสียชีวิตจากการหมดสติอย่างลึก ระบบหายใจ และระบบการทำงานของหัวใจล้มเหลว
วิธีรักษาเชื้ออะมีบากินสมอง หรือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากอะมีบา
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่าการรักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้ออะมีบาเหล่านี้มักไม่ได้ผล ผู้ป่วยเกือบทุกรายมักเสียชีวิต เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะถึงมือแพทย์เมื่อมีอาการหนักมาก และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แพทย์ทำได้เพียงวินิจฉัยผู้ป่วยหลังเสียชีวิตโดยการตรวจทางพยาธิวิทยา อย่างไรก็ตามอาจรักษาได้บ้างหากสามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
วิธีป้องกันเชื้ออะมีบากินสมอง หรือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากอะมีบา
1. ระมัดระวังในการลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด หรือต้องสงสัยว่าจะมีสิ่งแปลกปลอมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งน้ำอุ่นบริเวณรอบแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งปล่อยของเสียลงสู่แม่น้ำ
2. หันมาเล่นน้ำในสถานที่ที่มีการทำความสะอาด และใส่สารฆ่าเชื้อโรคอย่าง คลอรีน เป็นประจำ เช่น สระว่ายน้ำที่ได้มาตรฐาน
3. หากมีอาการคล้ายไข้หวัดหลังจากลงเล่นน้ำธรรมชาติ ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติควรรีบนำส่งแพทย์ทันที
ถึงแม้ว่าเชื้ออะมีบากินสมอง ยังไม่ค่อยพบในประเทศไทยมากนัก แต่อย่าชะล่าใจค่ะ เวลาที่ลูกไปเล่นน้ำ ตามแหล่งธรรมชาติ ควรเป็นแหล่งน้ำที่สะอาด และปลอดภัยจริงๆ ค่ะ
คุณสมบัติของสระว่ายน้ำที่เหมาะสมกับทารกและเด็กเล็กควรเป็น "สระน้ำเกลือ" เพราะจะไม่ทำอันตรายต่อเยื่อบุตา ฟันอ่อน และผิวของเด็ก "สระน้ำอุ่น" ที่มีการควบคุมอุณหภูมิระหว่าง 30-33 องศา ซึ่งได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดกับทารกและเด็กเล็กที่จะอยู่ในน้ำในระยะเวลาประมาณ 30-45 นาที และเป็น "สระน้ำในร่ม" เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดด มลภาวะ และสภาพอากาศนะคะ
โรงเรียนสอนว่ายน้ำ Swimming Kids, Manta kid, BABY POOL,Aqua ToTs Swim Schoolsตอบโจทย์ในเรื่องความปลอดภัย และมาตราฐานที่ดีของสระว่ายน้ำสำหรับเด็กค่ะ
บทความแนะนำ
ไวรัส RSV ภัยร้ายที่มากกว่าโรคหวัด
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกชัก
ทำความรู้จักกับ Sinovac และ AstraZeneca 2 วัคซีนโควิดนำเข้าล็อตแรก
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นวันที่วัคซีนโควิด-19 จะเดินทางมาถึงประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีแค่ Sinovac ยี่ห้อเดียวแต่ยังมี AstraZeneca อีกจำนวน 117,000 โดส
วัคซีน Sinovac 2 แสน โดสแรก
การฉีดวัคซีน Sinovac ต้องฉีดทั้งหมด 2 โดสห่างกัน 2 สัปดาห์ เพราะฉะนั้นวัคซีน Sinovac ล็อตแรกจึงมีความจำเป็นสำหรับฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 1 แสนคน ได้แก่ ผู้มีอายุมากกว่า 60 ปี และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงต่ออาการรุนแรงหรือเสียชีวิต และ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ทำงานเกี่ยวกับการป้องกัน รักษา และควบคุมโรคโควิด-19 โดยตรง
วัคซีน Sinovac เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย เดิมเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงค่อนข้างมีความปลอดภัยสูง วัคซีน Sinovac เป็นวัคซันที่ผลิตจากบริษัทยาในประเทศจีน เคยมีประสบการณ์ในการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไวรัสตับอักเสบ A และ B วัคซีนโรคอีสุกอีใส เป็นต้น Sinovac ขณะนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ อาเซอร์ไบจาน บราซิล ชิลี จีน โคลอมเบีย อินโดนีเซีย ลาว เม็กซิโก ตุรกี และอุรุกวัย

ผลการทดลองของวัคซีน Sinovac
ก่อนหน้านี้มีข่าวเรื่องผลการทดลองใน 3 ประเทศ ได้แก่ บราซิล อินโดนีเซีย และตุรกี พบว่า
- บราซิล (อาสาสมัคร 13,000 คน) แถลงประสิทธิภาพของวัคซีนครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2564 ว่าเท่ากับ 78% ในการป้องกันการป่วยมีอาการเล็กน้อยจนถึงรุนแรง แต่จากนั้น 1 สัปดาห์ได้มีการแถลงอีกครั้งว่ามีประสิทธิภาพ 50.4% โดยเป็นการวิเคราะห์รวมผู้ป่วยที่มีเล็กน้อยที่ไม่ต้องรับการรักษาด้วย แต่ยืนยันว่าวัคซีนสามารถป้องกันอาการรุนแรงได้ 100%
- อินโดนีเซีย (อาสาสมัคร 1,600 คน) แถลงผลการวิเคราะห์ครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2563 ว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพมากถึง 97% แต่ในเดือนมกราคม 2564 มีการแถลงใหม่ว่ามีประสิทธิภาพ 65.3%
- ตุรกี (อาสาสมัคร 7,000 คน) กล่าวว่าประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac เท่ากับ 91.25% แต่เป็นผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลอาสาสมัครเพียง 1,322 คน
ทั้งนี้ตัวเลขของประสิทธิภาพที่แตกต่างกันมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง เกณฑ์ผู้ป่วย ระยะเวลาที่ศึกษา และความชุกของโรคในพื้นที่แต่ละประเทศ อย่างไรก็ตามภาพรวมของวัคซีน Sinovac ก็ยังถือว่ามีความปลอดภัย

วัคซีน AstraZeneca 117,000 โดสแรก
วัคซีนโควิดแอสตราเซเนกา เป็นวัคซีนโควิดที่คิดค้นโดยบริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยใช้เชื้อไวรัสอดิโน่ (Adenovirus) มาดัดแปลงพันธุกรรมให้มีโปรตีนโคโรนาไวรัส ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมนุษย์สร้างภูมิคุ้มกันโคโรนาไวรัสได้ การวีคซีน AstraZeneca ต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 1-3 เดือน และใช้สำหรับผู้ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป
ผลการทดลองของวัคซีน AstraZeneca
บริษัท AstraZeneca และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เริ่มการทดลองทางคลินิกครั้งแรกในสหราชอาณาจักรและอีกหลายประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกา จากอาสาสมัคร 23,000 ราย พบว่าอาสาสมัครมีการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโคโรนา โดยมี 2,800 ราย ได้รับวัคซีนในเข็มแรกเพียงครึ่งเดียวกับที่การทดสอบกำหนด ซึ่งเกิดจากความบังเอิญ และในภายหลังจึงได้ฉีดอีกเข็มตามปกติ กลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกเพียงครึ่ีงเดียวมีผลป้องกันโควิด-19 ได้ถึง 90% ในขณะที่ผู้รับวัคซีนเต็มทั้ง 2 เข็มกลับมีผลป้องกันเพียง 62% นักวิจัยคาดว่าอาจเป็นเพราะผู้ที่รับเข็มแรกแบบครึ่งเดียว อาจมีความคล้ายกับการติดเชื้อธรรมชาติมากกว่า จึงกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม บริษัท AstraZeneca และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ทำการทดลองวัคซีนกับกลุ่มอาสาสมัครในอีกหลายครั้งในหลายกลุ่มตัวอย่าง ยืนยันวัคซีนโควิด-19 ของ AstraZeneca สามารถป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ 100% ลดการแพร่กระจายเชื้อได้ถึง 67% สามารถป้องกันโรคได้มากกว่า 70% ตั้งแต่ 22 วันนับจากฉีดวัคซีนโดสแรก และจะยิ่งมีประสิทธิผลสูงขึ้นเมื่อยืดระยะเวลาระหว่างการฉีดโดสแรกและโดสที่ 2 ให้นานขึ้น
ประชาชนทั่วไปจะได้ฉีดวัคซีนเมื่อไหร่
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเผยถึงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 จาก Sinovac และ AstraZeneca ในระยะแรกจะเป็นการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตามสถานการณ์ฉุกเฉินก่อน จากนั้นจะเปิดให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีนได้เอง ซึ่งวัคซีนโควิด-19 ที่มีการจัดหาเพิ่มเติมต้องนำมาขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก่อน
นายกรัฐมนตรียืนยัน รัฐบาลเตรียมแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตามกำหนดของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุขเปิดช่องทางให้ประชาชนที่สมัครใจ รับการฉีดวัคซีนสามารถยื่นรายชื่อแสดงความจำนงได้ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขคำนึงถึงความปลอดภัย และติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 จากประเทศต่าง ๆ
อ้างอิง :
https://thestandard.co/first-sinovac-covid-19-vaccine-in-thailand/
https://thestandard.co/us-health-coronavirus-astrazeneca-varian/
https://www.gov.uk/government/publications/regulatory-approval-of-covid-19-vaccine-astrazeneca/information-for-uk-recipients-on-covid-19-vaccine-astrazeneca

'ผู้ชายมีลูกติด' ไม่ใช่ปัญหา! นี่คือ 6 วิธีอยู่กับลูกเลี้ยงแบบปกติสุข
ผู้ชายมีลูกติด เราพร้อมไหมที่จะเป็นแม่เลี้ยงของเด็กสักคนหนึ่ง เป็นครอบครัวที่ปกติสุข เพราะหากลูกเลี้ยงต่อต้านเรา กลัวเราจะแทนที่แม่ของเขา เราจะทำอย่างไรดีเพื่อเอาชนะใจเด็ก และเป็นครอบครัวที่มีความสุข เราเลยมีคำแนะนำตามนี้เลยค่ะ
6 วิธีอยู่ร่วมกันและเอาชนะใจลูกเลี้ยง ควรทำดังนี้
1. คุยกับสามีเคลียร์เรื่องลูก
ควรตกลงกับสามีให้ชัดเจน สื่อสารกันให้มากๆ ว่าก่อนจะอยู่ร่วมกันนั้น เราเองสามารถอบรมสั่งสอนลูกเลี้ยงได้แค่ไหน ลูกนิสัยอย่างไร คิดกับเราอย่างไร จะได้หาทางเข้าหาถูก ที่สำคัญแม่เลี้ยงต้องเข้าหาเด็กก่อนนะคะ แต่ทั้งนี้ต้องตกลงกันว่าเด็กจะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของคุณพ่อเป็นหลัก ส่วนเราเข้าไปอบรมได้บางเรื่องเท่านั้น เด็กจะได้ไม่ต่อต้านเรามากไป ยกเว้นเรากับลูกเลี้ยงสนิทกัน
2. อย่าท้อกับการต่อต้านของเด็ก
ในเด็กบางรายอาจจะปรับตัวไม่เก่ง หัวดื้อบ้าง แถมบางครั้งไม่เคารพเรา ทำตัวไม่น่ารัก เราต้องเก็บอารมณ์เพราะเราคือผู้ใหญ่ เด็กอาจกลัวว่าพ่อจะไปรักผู้หญิงอื่นจนลืมแม่ของเขา หรืออาจไม่รักพวกเขาเท่าเก่าก็ได้ ทางที่ดีควรพูดคุยกันอย่างใจเย็น ใช้คำว่า "เรา" เพื่อให้ความรู้สึกร่วม ถามความเห็นของเด็ก และบอกเขาว่าความคิดเห็นของเขาสำคัญมาก ไม่ว่าเรื่องอะไร เราพร้อมรับฟังด้วยความเอ็นดู
3. เป็นแม่เลี้ยงที่ตรงไปตรงมา
รักเขาให้เหมือนรักลูกตัวเอง และแม่เลี้ยงจะต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแก่ลูกเลี้ยง แต่ไม่ใช่การตามใจ ทุกอย่างต้องมีเหตุผล ตรงไปตรงมา อะไรที่อยากให้ลูกเลี้ยงทำหรือไม่อยากให้ทำ เราก็ต้องพูดไปตรงๆ บอกด้วยเหตุผล อย่างใจเย็น เป็นมิตร จะได้อยู่อย่างเข้าใจ และมีใจต่อกันเหมือนครอบครัวเดียวกัน
4. ดูแล ปกป้องลูกเลี้ยงด้วยความจริงใจ
ดูแลสภาพความเป็นอยู่ให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลยค่ะ อย่ามองข้าม และเมื่อเห็นว่าลูกเลี้ยงมีปัญหา ควรเข้าไปร่วมแก้ไขกับพ่อเด็กด้วย เช่น เด็กทำการบ้านไม่ได้ต้องช่วยสอน เด็กทะเลาะกับเพื่อนต้องช่วยแก้ไข เด็กซนจนบาดเจ็บก็ต้องช่วยปฐมพยาบาล เพราะการมองข้ามหรือไม่ใส่ใจเขาแม้แต่ครั้งเดียว อาจทำให้เด็กจดจำไปจนโต ว่าเราไม่ปกป้องดูแล แม้ลูกเลี้ยงบางคนอาจยากจะรับมือ ก็ต้องพยายามที่จะเข้าใจถึงปัญหาและอารมณ์ของลูกเลี้ยงค่ะ
5. ชวนกันไปทำกิจกรรมนอกบ้าน
พากันออกไปเที่ยวแบบครอบครัวเปิดหูเปิดตา เช่น สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ สวนน้ำ ทะเล เป็นต้น มีโอกาสต้องพาไปเที่ยวเลยค่ะ ทำตัวเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่เดินด้วยกัน กินขนมด้วยกัน พูดคุยกัน จะทำให้ลูกเลี้ยงชอบเรามากขึ้น และมีความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวด้วยนะคะ
6. ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
หากเราไม่เคยเป็นแม่ อย่าอายที่จะขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าพ่อแม่ของเรา นักจิตวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัว หรือจิตแพทย์เด็ก เพราะเราก็มนุษย์คนหนึ่งที่มีอารมณ์รัก โกรธ หลง ควรหาทางออกให้ดีที่สุด เพื่อเราจะได้อยู่กับลูกเลี้ยงอย่างเป็นสุข หรือหากเป็นแม่มาแล้ว มีประสบการณ์ตรง ก็นำมาปรับใช้กับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญได้ เพราะลูกเลี้ยงเราไม่รู้ใจมาก อาจดูแลยากกว่าการเลี้ยงลูกของเราเอง
ที่สำคัญอย่าเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย กลั่นแกล้ง ทารุณลูกเลี้ยง ไม่สนใจใยดีเด็กนะคะ เพราะนั่นจะทำให้ชีวิตคู่ ชีวิตครอบครัวเราจบลงด้วยเช่นกัน รักพ่อเขาก็ต้องรักลูกของเขาด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนสร้างครอบครัวค่ะ

ในทุก ๆ วันทุกคนอาจจะเคยอุ่นอาหารในไมโครเวฟบ่อยครั้ง แต่ก็มีสิ่งของบางอย่างบางชนิดที่เราไม่ควรนำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายได้ สิ่งของต้องห้ามนั้นมีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
1. ถุงกระดาษคราฟท์ หรือกระดาษสีน้ำตาล
ภายนอกอาจจะเป็นแค่กระดาษธรรมดา แต่ถ้านำเข้าไมโครเวฟแล้วจะก่อให้เกิดสารพิษและไฟไหม้ได้

2. จานหรือแก้วเซรามิกรุ่นเก่า
จานแก้วเซรามิก ยังไม่คุ้นเคยกับไมโครเวฟถ้านำไปอุ่นในไมโครเวฟแล้วจะทำให้ก่อเกิดสารตะกั่วได้ และสารชนิดอื่น ๆ ได้

3. เนื้อแช่แข็ง
ด้วยความเย็นของเนื้อที่ถูกความเย็นปกคลุม ถ้านำไปอุ่นในไมโครเวฟแล้วจะทำให้สุกไม่ทั่วกันถึงแม้ภายนอกจะดูสุกแต่ข้างในยังดิบอยู่ อาจจะทำให้ไม่ดีต่อผู้ที่บริโภคด้วย

4. แก้วน้ำแบบพกพา
แก้วน้ำที่พกพาโดยเฉพาะแก้วที่เป็นสแตนเลส อาจจะทำให้ไมโครเวฟเกิดระเบิดได้ แก้วบางชนิดที่สามารถนำเข้าได้อาจจะมีเขียนบอกใต้แก้วหรือข้างแก้วคุณถึงจะเอาเข้าได้

5. ไข่
ไข่ ถ้ายังดิบอยู่ไม่สามารถนำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟให้สุกได้ เพราะอาจจะทำให้แรงดันของคลื่นและไข่ระเบิดออกมาได้

6. กล่องโฟมหรือกล่องพลาสติก
กล่องโฟมและพลาสติกถ้าโดนความร้อนมาก ๆ แล้วจะก่อให้เกิดสารมะเร็งได้

7. อลูมิเนียมฟอยล์
ไม่ควรนำอาหารที่มีฟอยล์ห่อหุ้มเข้าไมโครเวฟ เพราะในตัวฟอยล์นั้นถ้าโดนความร้อนมาก ๆ จะทำให้ฟอยล์ไหม้เพราะมีความร้อนสูง

8. ผลไม้ โดยเฉพาะองุ่น
การที่นำผลไม้เข้าไปในไมโครเวฟจะทำให้ผิวที่สัมผัสและรสชาติเปลี่ยนได้ โดยเฉพาะองุ่นถ้านำเข้าไปอาจจะทำให้ไมโครเวฟเกิดควันและไหม้ใน
ที่สุด

9. พลาสติกใสถนอมอาหาร
พลาสติกใสที่เรานำมาใช้ปิดอาหารกันนี่แหละคะ ถ้านำเอาเข้าไปทั้งพลาสติกจะทำให้ไอน้ำของอาหารนั้นลอยติดกับพลาสติกจะทำให้เกิดความร้อนและการละลายของสารเคมีได้

10. ฟองน้ำ
การที่นำฟองน้ำเข้าไปเพื่อทำความสะอาดแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องระวังมากเมื่อนำเข้าไมโครเวฟแล้วอุ่นจนร้อนจะทำให้ฟองน้ำไหม้ได้

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ๆ ที่รู้แล้วฝากเตือนเด็ก ๆ ด้วยนะคะ เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวค่ะ

พิสูจน์แล้วว่าจริง! 4 วิธีซักตากถุงเท้าลูกแห้งใน 1 ชั่วโมง เคล็ดลับคุณแม่ฉบับเร่งด่วน
มาจ้าาาาาาา คุณแม่ที่มีลูกอนุบาล ลูกวัยเรียนทั้งหลาย รักลูกมีเคล็ดลับเรื่องถุงเท้ามาฝากกัน ที่ต้องมาแนะนำกันก็เพราะ คุณแม่หลายคนทำงานทั้งนอก ในบ้านตัวเป็นเกลียว บางทีก็ลืมซักถุงเท้าให้ลูกไว้ใส่ได้ทันวันเรียน มารู้ตัวอีกทีก็ "ว้ายยยย ไม่มีถุงเท้าสะอาดให้ลูกใส่แล้ว ซักตอนนี้จะแห้งทันมั้ย" นี่ล่ะค่ะคือที่มาของเคล็ดลับคุณแม่ฉบับเร่งด่วน เพราะเราจะมาแนะนำวิธี "ตากถุงเท้าลูกให้เแห้งไว แห้งจริงใน 1 ชั่วโมงกันค่ะ"
4 วิธีซักตากถุงเท้าลูกแห้งใน 1 ชั่วโมง
- วางถุงเท้าบนผ้าขนหนูแห้ง จากนั้นก็บิดๆ ออกแรงสุดกำลัง บิดหลายๆ รอบแล้วนำไปแขวนผึ่งหน้าพัดลมหรือคอมเพรสเซอร์แอร์
- โยนใส่เครื่องปั่นผ้า ปั่นสะบัดน้ำให้แห้งหมาดที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วนำมาผึ่งหน้าพัดลมหรือคอมเพรสเซอร์แอร์
- ซักแล้วบิดน้ำให้หมาดที่สุด หนีบขอบถุงเท้ากับไม้แขวนเสื้อที่มีตัวหนีบแล้วนำไปแขวนผึ่งหน้าพัดลม หรือวางพาดไปบนคอมเพรสเซอร์แอร์
- ซักแล้วบิดน้ำให้หมาดที่สุด แขวนผึ่งหน้าพัดลม จากนั้นก็ใช้เตารีดรีดไปจนกว่าจะแห้ง
บอกก่อนนะคะ ว่านี่คือเคล็ดลับจากคุณแม่ตัวจริงใช้จริงที่แชร์กันมาให้ลองใช้กันในกรณีเร่งด่วน แต่บางวิธีก็มีข้อเสียตามมาก เช่น การวางถุงเท้าเปียกชื้นบนคอมเพรสเซอร์มีความเสี่ยงเครื่องทำงานหนักหรือน้ำหยดลงไปได้ การใช้เตารีดรีดถุงเท้าหมาดก็เสี่ยงที่เตารีดจะเสียไว และบางครั้งถุงเท่าก็ไม่แห้งจริง เพราะยังมีความชื้นสะสมหลังจากถุงเท้าหายร้อนจากเตารีดแล้วเช่นกัน
เอาเป็นว่าวิธีเร่งด่วนในการตากถุงเท้าลูกให้แห้งไวๆ เก็บไว้ใช้กรณีฉุกเฉินเท่านั้นนะคะ ลองฝึกให้ลูกซักถุงเท้าตัวเองแล้วตากให้เป็นกิจวัตร เป็นหน้าที่ประจำของเขาไปด้วย แบบนี้นอกจากจะมีถุงเท้าสะอาดใส่ ไม่ลืมซักแล้ว ยังฝึกวินัยให้ลูกด้วยนะคะ

*** รวบรวมเคล็ดลับคุณแม่จาก Fanpage: รักลูกคลับ

ลูกสูญเสียอะไรไปบ้าง จากการสอบ
สถานการณ์การสอบในบ้านเราเริ่มน่ากลัวขึ้นทุกที แม้บางโรงเรียนจะยกเลิกการสอบเข้า ป. 1 แล้ว แต่ในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษายังคงดุเดือดมากขึ้นทุกปี
พ่อแม่หลายคนอาจจะคิดว่าการเลือกโรงเรียนดีๆ มหาวิทยาลัยดีๆ คณะดีๆ คือสิ่งที่จะนำความสำเร็จมาสู่ลูก แต่ว่าการแข่งขันที่มากเกินไป การเร่งเรียนก่อนวัยอันควร และความกดดันจากพ่อแม่จากการสอบเข้าเรียนต่อของลูก ก็ทำให้ลูกพลาดโอกาสดีๆ หลายอย่างในชีวิตได้เช่นกัน
ลูกสูญเสียอะไรไปบ้าง จากการสอบ
การสอบทำให้ลูกสูญเสียโอกาสในการเล่น เด็กที่ทุ่มเทกับการสอบ ถูกเร่งให้เรียนมักไม่มีโอกาสได้เล่นอิสระ รวมถึงการเล่นต่างๆ ที่เพิ่มทักษะชีวิตให้ลูก
การสอบทำให้ลูกสูญเสียโอกาสในการค้นหาตัวเอง เมื่อต้องอ่านหนังสือตลอดเวลา วันหยุดยังต้องไปเรียนพิเศษ ทำให้ลูกขาดโอกาสในการทำกิจกรรมอื่นที่ชอบ ลูกกลับต้องไปติวหนังสือเพื่อสอบเข้าเรียนต่อ
การสอบทำให้ลูกสูญเสียเพื่อนสนิทไป ลูกอาจจะมีเพื่อนจากที่เรียนพิเศษ แต่ต่างคนต่างทำแบบฝึกหัด ไม่ได้เล่นสนุก แต่ในแง่ความสัมพันธ์ลูกอาจไม่ได้เพื่อนที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปพร้อมกับเขา และอาจทำให้ขาดทักษะในการเข้าสังคมด้วย
การสอบทำให้ลูกสูญเสียโอกาสในการพัฒนาตนเอง เด็กที่เคร่งเครียดกับการสอบ ต้องท่องหนังสือ เรียนพิเศษตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กที่ถูกบังคับให้แข่งขันตั้งแต่ยังเล็ก จะเกิดความเครียด ส่งผลให้เซลล์สมองถูกทำลายได้
การสอบทำให้ลูกเสี่ยงกับความเจ็บป่วย เพราะความเครียดจากการแข่งขัน ความกดดันจาครอบครัว สังคมรอบข้าง จากความความคาดหวังกับพ่อแม่ เหล่านี้อาจนำมาซึ่งโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล กลายเป็นปัญหาในเด็กและวัยรุ่นเรื้อรังต่อไป
สุดท้ายแล้วอยากบอกพ่อแม่ว่า การสอบไม่ใช่ที่สุดของชีวิต อย่าให้การสอบและการเร่งเรียนมาบั่นทอนจิตใจและทำลายตัวตนของลูกค่ะ คุณค่าของลูกไม่ได้อยู่ที่สอบติดโรงเรียนดัง หรือมหาวิทยาลัยรัฐ แต่คุณค่าของลูกเกิดจากการนับถือตัวเอง เคารพตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามแนวทางที่เขาเลือกค่ะ

วิจัยพบเด็กแฝดทั่วโลกเพิ่มขึ้น
วารสาร “ฮิวแมน รีโพรดักชัน” เผยแพร่มีงานวิจัยซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลอัตราการเกิดเด็กแฝดจาก 165 ประเทศทั่วโลก ระหว่างปี 2010 ถึงปี 2015 เทียบกับช่วงปี 1980 ถึงปี 1985 พบว่าแต่ละปี ทั่วโลกมีเด็กแฝดเกิด 1 ล้าน 6 แสนคน หรือเด็กเกิดใหม่ทุกๆ 42 คน จะเป็นแฝด 1 คน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการเกิดของเด็กแฝดมีมากขึ้นมาจากวิทยาการช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้วหรือไอวีเอฟ รวมถึงการที่ผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์ในขณะที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งทำให้อัตราการตั้งครรภ์แฝดเพิ่มสูงขึ้น
และอัตราการเกิดเด็กแฝดอาจถึงจุดสูงสุดแล้วเนื่องจากช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ทุกภูมิภาคต่างมีอัตราการเกิดเด็กแฝดเพิ่มสูงขึ้นมากแล้ว เช่น เอเชียเพิ่มขึ้น 32 เปอร์เซ็นต์ และอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 71 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่แอฟริกาเป็นทวีปที่มีอัตราการให้กำเนิดฝาแฝดสูงมาโดยตลอดและไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีความแตกต่างทางพันธุกรรมที่ไม่เหมือนกับพื้นที่อื่น
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยระบุว่าตัวเลขหลังจากนี้อาจจะลดลงเนื่องจากผู้คนเน้นมีลูกคนเดียวต่อการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพน้อยกว่า
อ้างอิง : สำนักข่าวไทย PPTVHD36

สามีภรรยาที่รับราชการพึงรู้ มีชู้ - จดทะเบียนซ้อน บทลงโทษร้ายแรงแค่ไหน
สามีภรรยาเมื่อแต่งงานกันแล้วควรรักเดียวใจเดียว หากหมดรักกันแล้วก็ควรเลิกราจดทะเบียนหย่าให้เป็นเรื่องถูกต้อง เพราะถ้าเผลอคบชู้หรือแต่งงานซ้อนก็อาจทำให้ผิดวินัยจนถูกไล่ออกจากราชการได้
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
มาตรา 82 ข้าราชการพลเรือนต้องกระทำการอันเป็นข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้ (10) ต้องรักษาชื่อเสียงของตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย
มาตรา 84 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติตามมาตรา 82 ผู้นั้นเป็นผู้กระทำผิดวินัย
มาตรา 85 การกระทำผิดวินัยในลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (4) กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
มาตรา 88 วรรคสอง โทษทางวินัยมี 5 สถานดังต่อไปนี้
- ภาคทัณฑ์
- ตัดเงินเดือน
- ลดเงินเดือน
- ปลดออก
- ไล่ออก
กรณีที่มีตำรวจกระทำผิดวินัย แต่งงานซ้อน จะถูกลงโทษทางวินัย ซึ่งมีการกำหนดบทลงโทษ ดังนี้
- ข้าราชการตำรวจเกี่ยวข้องกับหญิงอื่น หรือชายอื่น โดยที่ตนเองมีภรรยาหรือสามีอยู่แล้ว และเกิดเรื่องเสื่อมเสีย ลงโทษกักขัง 30 วัน
- ได้หญิงหรือชาย เป็นภรรยาหรือสามี แล้วไม่เลี้ยงดู และเกิดเรื่องเสื่อมเสียหรือเสียหาย ลงโทษกักขัง 30 วัน
- จดทะเบียนสมรสซ้อน ลงโทษกักขัง 30 วัน
- ไม่เลี้ยงดูคู่สมรสและบุตร และไม่ยกย่องฐานานุรูป ลงโทษกักขัง 30 วัน
กรณีไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในใบสำคัญการหย่าเกี่ยวกับการอุปการะบุตร ดังนี้
- ความผิดครั้งแรก ลงโทษภาคทัณฑ์
- ความผิดครั้งที่สอง ไม่ว่า เป็นการหย่ารายเดียวกัน หรือไม่ก็ตาม ลงโทษ กักยาม 3 วัน
- ความผิดครั้งที่สามและ ครั้งต่อไป ลงโทษ กักยาม 3 วัน และพิจารณาตั้งกรรมการ สอบสวนตาม ม.101 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547

ร้องเรียนเอาผิดทางวินัยกรณีที่สามีหรือภรรยาที่เป็นราชการ มีชู้หรือมีเมียน้อย
- ไม่ต้องใช้ทนายความหรือนักกฎหมาย สามารถร้องเรียนได้ด้วยตัวเอง
- การร้องเรียนต้องมีหลักฐาน ให้รวบรวมหลักฐานที่มีทั้งหมด พอที่จะทำให้คณะกรรมการเชื่อได้ว่า มีพฤติกรรมนอกใจจริงๆ เช่น รูปถ่าย คลิป พยานบุคคลที่เห็นว่าพักอาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นต้น
- ทำเป็นหนังสือ (เหมือนเขียนจดหมายธรรมดา) ส่งถึงผู้บังคับบัญชา ไม่ว่าจะเป็นผู้อำนวยการ หรืออธิบดี ผู้ว่าการ แล้วแต่กรณี ทำได้ทั้งนั้น แล้วแนบหลักฐานไปด้วย
- ในหนังสือ ต้องระบุให้ชัดเจน ใครทำอะไรที่ไหนยังไง มีพฤติกรรมมีชู้มีเมียน้อยยังไง
- รอติดตามผล อาจต้องใช้เวลา เนื่องจากต้นสังกัดของสามีหรือภรรยาจะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเสียก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือนขึ้นไป
ส่วนบทลงโทษจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่ที่การพิจารณาของหน่วยงาน
อ้างอิง ThaiPBS ทนายรัชพล ศิริสาคร เพจสายตรงกฎหมาย ยึดมั่นความยุติธรรม

เซิร์ฟสเก็ต กีฬาสุดฮิต ต้องสนุกและปลอดภัย
เทรนด์การเล่นยุคใหม่ที่หันไปทางไหนก็มีคนไถกระดานติดล้อที่เรียกว่าเซิร์ฟสเก็ตเต็มไปหมด มาทำความรู้จักเจ้ากีฬาบอร์ดติดล้อนี้กันหน่อยค่ะแม่ๆ
เซิร์ฟสเก็ต เป็นกีฬาบนบอร์ดประเภทหนึ่งที่ผสมผสานระหว่างสเก็ตบอร์ดแบบดั้งเดิมกับกีฬาเซิร์ฟเข้าด้วยกัน จริงๆ ในต่างประเทศเป็นที่นิยมมานานแล้ว พัฒนามาจากกลุ่มนักเล่นเซิร์ฟหรือกระดานโต้คลื่นที่อยากจะเล่นเซิร์ฟบนบกบ้าง
เซิร์ฟสเก็ตต่างจากสเก็ตบอร์ดตรงที่ เซิร์ฟสเก็ตจะมีล้อหน้าที่หมุนซ้ายขวาได้ (บางยี่ห้ออาจจะหมุนได้ถึง 360 องศา) เพื่อใช้ในการบังคับทิศทาง เพราะเวลาเล่นจะต้องอาศัยแรงเหวี่ยงของสะโพกในการเคลื่อนไหว ส่วนสเก็ตบอร์ดจะใช้เท้าในการไถให้เคลื่อนที่เป็นหลัก
ก่อนเล่นต้องเตรียมตัวให้พร้อม
คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาวิธีการเล่นที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญก่อนเล่น อาจจะเปิดคลิปวิดีโอจากยูทูปที่มีสอนโดยทั่วไป หรือขอคำแนะนำจากผู้ที่เล่นมาก่อนหน้านี้ หรือถ้าจริงจังกับกีฬาเซิร์ฟสเก็ตจนอยากเล่นเป็นประจำจะผู้เชี่ยวชาญสอนก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีค่ะ
ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ
อุปกรณ์ป้องกันต้องพร้อม สำหรับเด็กเซิร์ฟมือใหม่ (มืออาชีพด้วย) อุปกรณ์ป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ คุณแม่ควรเตรียมหมวกกันน็อคที่พอดีกับศีรษะลูก สนับเข่า สนับศอก ถุงมือ ไว้ให้พร้อม
รองเท้าที่ได้มาตรฐาน ควรเป็นรองเท้าผ้าใบหุ้มส้นที่ใส่แล้วช่วยให้ยืนอยู่บนบอร์ดได้อย่างสมดุลย์ ไม่คับหรือหลวมเกินไป
สถานที่ต้องปลอดภัย เป็นลานกว้างที่ไม่มีรถราวิ่งไปมา ไม่ใช่พื้นที่ที่มีน้ำขังหรือมีความชื้น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุลื่นล้ม ซึ่งปัจจุบันมีสวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า สนามเด็กเล่น และพื้นที่ส่วนเอกชนมากมายเปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้ออกกำลังกายและเล่นเซิร์ฟสเก็ตได้แล้วค่ะ

เลือกเซิร์ฟสเก็ตให้เหมาะสมกับวัย
เด็กๆ สามารถเล่นเซิร์ฟสเก็ตของผู้ใหญ่ได้ แต่ผู้ใหญ่จะเล่นเซิร์ฟสเก็ตแผ่นขนาดเล็กๆ ของเด็กไม่ได้ค่ะ เพราะเด็กมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าผู้ใหญ่ เวลาเล่นจึงต้องปรับตั้งค่าความไวของล้อหน้า ทำให้มีกำลังโยกตัวถ่ายน้ำหนักให้สเก็ตเลี้ยวไปมาได้ หากผู้ใหญ่เล่นเซิร์ฟสเก็ตของเด็กน่าจะไวเกินไปอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์น้ำหนักและส่วนสูงที่จะนำมาคำนวณกับขนาดของเซิร์ฟสเก็ตด้วย เพราะฉะนั้นก่อนซื้อควรสอบถามรายละเอียดและขอคำแนะนำกับทางร้านที่จำหน่ายด้วย
ราคาเครื่องเล่นและอุปกรณ์
สำหรับนักเล่นเซิร์ฟสเก็ตมือใหม่ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 2,500 – 5,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพและความสวยงามของลวดลาย
ข้อดีของการเล่นเซิร์ฟสเก็ต

เป็นการออกกำลังกาย ได้เผาผลาญแคลอรี โดยเฉลี่ยการเล่นเซิร์ฟสเก็ต 1 ชั่วโมง จะเผาผลาญไปได้ 680 กิโลแคลอรี
ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เพราะต้องใช้หลายส่วนของร่างกายในการบังคับ เคลื่อนที่และหยุด
ช่วยให้เกิดสมาธิ จดจ่อ ใส่ใจ และควบคุมการทรงตัวของตนเอง
แม้ว่าเซิร์ฟสเก็ตจะเป็นกีฬาที่นิยมเล่นเพราะเป็นกระแสที่มาแรง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นกีฬาเทรนด์ใหม่ที่ให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และมีประโยชน์กับร่างกายไม่น้อยค่ะ
อ้างอิง
https://www.matichon.co.th/sport-slide/news_2594787
https://thestandard.co/surfskate-101/

เพราะความฝันเป็นของลูก พ่อแม่จึงต้องทำหน้าที่สนับสนุน
เด็กทุกคนมีความฝัน แต่ฝันของเขาจะเป็นจริงหรือไม่ มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง หนึ่งในนั้นคือการสนับสนุนจากพ่อแม่ แต่การที่เด็กคนหนึ่งบอกได้ว่าชอบอะไรอยากทำอะไร อาจไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูดได้ในวัย 2-3 ขวบ แต่คุณเพี่อคุณแม่อาจสังเกตและสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่ลูกชอบ เพื่อให้เขาค้นหาตัวเองได้ไวและมุ่งมั่นไปในทิศทางนั้น เพื่อให้เขาถึงเป้าหมายตามที่ต้องการค่ะ
7 วิธีช่วยลูกตามหาฝัน
1. สังเกตว่าลูกชอบอะไร ยิ่งเด็กที่ได้อ่าน ได้ดู ได้เห็น มีประสบการณ์เที่ยว เล่น ฝึกทักษะต่างๆ ยิ่งมีการแสดงออกที่ชัดเจนค่ะว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบอะไร พ่อแม่สามารถใช้ช่วงเวลาที่ทำกิจกรรมกับลูก สังเกตหรือถามลูกไปตรงๆ เลยก็ได้ว่าลูกชอบอะไร อยากให้พ่อแม่สนับสนุน พามาเล่น มาทำกิจกรรมอีกหรือไม่
2. เปิดโอกาสให้ลูกได้ลอง เรียนรู้ และฝึกฝนทักษะ แน่นอนว่าการพาลูกออกไปทำกิจกรรมเสริมที่นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียนมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี กีฬา ศิลปะ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกจะไม่ทิ้งไปกลางทางหากไม่ชอบ อาจหาคอร์สสั้นๆ ให้ลูกเรียน หากเรียนจบแล้วลูกชอบ ก็ลุยต่อได้เลยค่ะ
3. ให้ลูกมีส่วนรับผิดชอบความฝันของตนเอง ในทุกความฝันมีอุปสรรคเสมอค่ะ เพื่อป้องกันการล้มเลิกกลางคัน พ่อแม่ควรตกลงกับลูกก่อนว่าถ้าหากเขาล้มเลิกกลางคันเขาจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เสียไป เช่น หักค่าขนม 20% หรือช่วยทำงานบ้านเพิ่ม ฯลฯ
4. ให้ลูกมีส่วนตัดสินใจทำในสิ่งที่ชอบ วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกดีที่พ่อแม่รับฟังและเปิดโอกาสให้เขาได้ร่วมตัดสินใจ จะทำให้เขากล้าริเริ่มทำในสิ่งที่ชอบและสนุกกับสิ่งที่เขาได้เลือกทำ
5. ส่งเสริมและชื่นชม เช่น รู้ว่าลูกอยากเล่นเปียโน ก็ส่งเสริมให้เขาได้เรียนและเมื่อเขาทำได้ดีก็ชื่นชมให้กำลังใจ ซึ่งจะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เขาสนุกที่จะทำต่อ
6. ไว้วางใจในในตัวลูก เมื่อให้โอกาสลูกได้ตามหาความฝันแล้ว ความไว้วางใจ เชื่อใจ เชื่อมั่น คือสิ่งที่จะเปิดโอกาสให้ลูกได้ออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเอง รู้จักพยายามและกล้าคิดกล้าตัดสินใจ โดยมีพ่อแม่เป็นผู้ให้กำลังใจอยู่เบื้องหลัง
ยกตัวอย่าง ลิซ่า แบล็กพิงค์ นักร้อง K-POP สัญชาติไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก ลิซ่าไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่ประเทศเกาหลีใต้ตอนอายุ 14 ปี ทั้งที่เป็นเด็กผู้หญิงไม่มีพื้นฐานภาษาเกาหลีเลย แต่เพราะความฝันอยากเป็นศิลปิน รวมทั้งความพยายามในการฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งกว่าจะได้เป็นศิลปินเกิร์ลกรุปที่มีชื่อเสียง เป็นพี่ลิซ่าขวัญใจเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ของลิซ่าต้องให้ความเชื่อใจ ไว้วางใจ และมั่นใจแก่ตัวลูกสาวเช่นกันค่ะ
7. อย่าคาดหวังและกดดัน เด็กบางคนอาจมีความชอบและทำได้ดีในบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดนตรี กีฬา ศิลปะฯ แต่ความชอบในวัยนี้ยังไม่ใช่ตัวกำหนดอนาคตว่าลูกจะทำอาชีพในด้านนั้นๆ ดังนั้นอย่าคาดหวังและกดดันลูก เพราะบางทีกว่าที่ลูกจะรู้ว่าตัวเองอยากทำอาชีพอะไร ก็อาจเป็นช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่นตอนปลายถึงผู้ใหญ่ตอนต้นแล้ว
เด็กที่มีทักษะและมีจุดเด่นในหลายด้าน จะมีความมั่นใจ ภูมิใจในตัวเอง โดยในหลายๆ รายจะพบว่าทักษะเหล่านี้อาจพัฒนาไปเป็นอาชีพที่เขาชอบ ซึ่งจะทำให้เด็กเอาตัวรอดในอนาคตได้
มีเด็กหลายคนที่พลาดโอกาสเดินทางตามความฝัน หากทุนทรัพย์ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ความรัก ความหวงแหน ความห่วงใยลูกที่มีมากเกินไปก็เป็นอุปสรรคที่ทำให้ลูกไม่ได้ก้าวออกไปตามหาความฝันและเส้นทางชีวิตของตนเอง เพราะฉะนั้นพ่อแม่ควรคิดอยู่เสมอค่ะว่าเราไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไป ความฝัน ความสำเร็จ และความล้มเหลวเป็นของลูก ถ้าลูกทำสำเร็จก็เป็นสิ่งที่ดีต่อตัวลูก แต่หากวันหนึ่งที่ลูกล้มเหลว พ่อแม่มีหน้าที่เพียงประคับประคองเขาเท่านั้นค่ะ

เรื่องน่ารู้ ก่อนเจาะหูให้ลูกสาว!
การเจาะหูให้ลูกสาวตัวน้อยใช่ว่าเจาะเสร็จแล้วจะจบนะคะ เพราะคุณแม่ต้องรู้จักวิธีการดูแลและรักษาความสะอาดให้ถูกวิธีด้วย
ก่อนเจาะหูให้ลูกสาวต้องทำอย่างไร
ดูความพร้อม เด็กส่วนมากจะเริ่มเจาะหูกันตอนที่รู้ความแล้ว หรือประมาณอายุ 5 ขวบ ซึ่งลูกจะสนใจเรื่องความสวยความงามของตัวเองมากแล้ว
เลือกวิธีการเจาะ คุณแม่บางคนก็สามารถทำการเจาะหูให้ลูกได้เลย หรือ บางคนเลือกเข้าร้านที่ทำการเจาะหูให้ลูกโดยเฉพาะ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้แตกต่างกัน เพราะถ้าเจาะที่ร้าน โดยส่วนมากร้านจะมีอุปกรณ์มากมายเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดให้ลูก แต่ถ้าคุณแม่เป็นคนเจาะ ลูกอาจจะเจ็บมากแต่ก็จะมีความมั่นใจและไม่กลัวเพราะเป็นคุณแม่เจาะให้นั่นเอง
การดูแลรักษา 6 สัปดาห์หลังการเจาะหูเป็นช่วงเวลาที่ควรใส่ใจดูแลเรื่องการทำความสะอาดให้มาก คุณแม่บางคนอาจต้องทำความสะอาดใบหูของลูกด้วยแอลกอฮอล์ทุกวันเพื่อความสะอาด แต่ถ้าลูกมีอาการปวด ติ่งหูบวมแดง หรือ มีหนองอักเสบควรรีบให้แพทย์ดูแลอีกที
ติดเชื้อหรือเปล่าถ้าหลังจากเจาะแล้วมีอาการ บวมแดง เป็นหนองหรือรู้สึกปวดมากกว่าปกติ ให้คิดไว้ก่อนว่าอาจติดเชื้อ ควรไปให้คุณหมอตรวจให้แน่ใจ ถ้าติดเชื้อจริง อาจต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ หรือ ยาปฏิชีวนะในการรักษาจนกว่าอาการจะดีขึ้น
เคล็ดลับการเจาะหูของลูกสาวครั้งแรก
เตรียมขนมหรือของเล่นที่ลูกสาวของคุณเห็นแล้วจะต้องเซอร์ไพรส์เอาไว้
แล้วหยิบให้เธอตอนที่กำลังจะเจาะหู ความตื่นเต้นที่ได้ขนมหรือของเล่นจะช่วยเบนความเจ็บหรือความกลัวของลูกได้ แต่ถ้าลูกสาวยังเป็นเด็กเล็กมากๆ ควรหาผ้าห่มนุ่มๆ ตุ๊กตานิ่มๆ ก็สามารถใช้ในการเบี่ยงเบนความสนใจได้ดีเช่นกันค่ะ
สำรวจสถานที่ที่รับเจาะหู ร้านที่รับเจาะหูบางที่อาจอยู่ในห้างสรรพสินค้ที่มีคนพลุกพล่าน
หากลูกสาวของคุณชอบที่ที่มีคนเยอะ สถานที่นี้ก็อาจจะเหมาะกับสาวน้อย แต่ถ้าดูแล้วลูกออกจะประหม่าถ้าเจอคนมากๆ ก็ควรเลือกร้านที่มีห้องเจาะเล็กๆ กั้นเป็นส่วนตัวดีกว่า ไม่งั้นถ้าพาสาวน้อยออกไปเจอคนมากๆ อาจพาลงอแงจนไม่อยากเจาะหูแล้วก็ได้
เตรียมรางวัลให้ลูกสาวหลังจากเจาะหูเสร็จ หรืออาจใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนจูงใจ
ว่าถ้าลูกเจาะหูเดี๋ยวแม่จะพาไปกินไอศกรีมอร่อยๆ หรือซื้อหนังสือเล่มที่ชอบให้เป็นรางวัล เอาไว้ใช้เป็นข้อเสนอแลกเปลี่ยนที่ดีมากเชียวค่ะ โดยเฉพาะในกรณีที่สาวน้อยเกิดใจฝ่อขึ้นมา และเปลี่ยนใจไม่อยากจะเจาะหูแล้วในนาทีสุดท้าย
หากลูกสาวสนิทกับใครเป็นพิเศษ
เช่น เพื่อน พ่อ พี่ชาย หรืออาจเป็นคุณปู่ย่าตายาย ก็ลองชวนคนพิเศษของลูกสาวไปด้วยพร้อมๆ กัน จะได้เป็นกำลังใจพิเศษให้ลูกน้อยด้วยค่ะ
ก่อนที่จะทำการเจาะหูให้ลูกสาวตัวน้อยควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนนะคะ ว่าลูกของเรานั้นไม่มีอาการแพ้พวกโลหะ เงิน ทองหรือสารต่างๆ ก่อนนำมาประดับที่หูค่ะ

แนะนำ 12 เพจ จิตแพทย์และนักจิตวิทยาเด็ก ที่ให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงเด็กอย่างเข้าถึงจิตใจลูก
เดี๋ยวนี้เลี้ยงลูกด้วยความรักอย่างเดียวไม่พอแล้วนะคะ เราต้องเข้าใจและเข้าถึงหัวจิตหัวใจของลูกด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่พ่อแม่จะต้องมีที่พึ่งเป็นคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาคอยให้คำแนะนำ และนี่คือ 12 เพจ จิตแพทย์และนักจิตวิทยาเด็กที่รักลูกรวบรวมมาฝากค่ะ
เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ
เพจให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์ในการเลี้ยงลูก โดยคุณหมอตั้ม นพ.อัศวิน และ หมอก้อย พญ.พรพิมล นาคพงศ์พันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
นำเสนอบทความแนะนำการเลี้ยงลูกที่จะทำให้พ่อแม่เลี้ยงลูกในแบบที่ลูกเป็น เติบโตขึ้นมามีความสุข สุขภาพจิตปกติในแบบของตัวเอง
-------------------------------------------------------------------
เข็นเด็กขึ้นภูเขา
เพจคุณหมอมิน บานเย็น ที่อยากเห็นเด็กเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข โดยผ่านการเลี้ยงดูด้วยความรักความเข้าใจจากพ่อแม่ เป็นเพจที่อ่านง่าย ทันกระแส และมีเคสตัวอย่างมาเล่าให้พ่อแม่ฟังเสมอ
คลิกติดตามเพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา
-------------------------------------------------------------------
นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

คุณหมอประเสริฐ จิตแพทย์ขวัญใจพ่อแม่ยุคใหม่ ที่จะคอยไขข้อสงสัยเรื่องการเลี้ยงลูกอย่างเข้าใจพัฒนาการและธรรมชาติของเด็ก ทั้งยังแนะแนวทางการเลี้ยงลูกฉบับ EF ที่พ่อแม่ไม่ควรพลาด
คลิกติดตามเพจ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
-------------------------------------------------------------------
ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย
เพจที่ให้ความรู้ทางจิตวิทยาโดยตรง โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเลี้ยงลูก และปรับพฤติกรรมเด็กอย่างเหมาะสมตามวัย รวมไปถึงให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเด็กและการรักษาโรคด้วย
คลิกติดตามเพจ ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย
-------------------------------------------------------------------
จิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นโดยนักจิตวิทยา
เพจจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นโดยนักจิตวิทยาเป็นเพจที่ให้ความรู้ จากนักจิตวิทยาคลินิค จัดทำมาเพื่อแชร์ความรู้ในเรื่องการเลี้ยงดูลูกน้อย การสร้างเสริมพัฒนาการ การพัฒนาสมอง และสติปัญญาเด็ก รวมไปถึงให้คำแนะนำในการป้องกันและปรับพฤติกรรมปัญหาต่างๆในเด็ก โดยผ่านการย่อย กลั่นกรอง รวบรวมมาทั้งจากความรู้และประสบการณ์ในการดูแลและบำบัดผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ของอ.เกลล์ อลิสา รัญเสวะ นักจิตวิทยาคลินิก
คลิกติดตามเพจ จิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นโดยนักจิตวิทยา
-------------------------------------------------------------------
คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎา
เพจคุณหมอเจษฎาที่มักจะนำเสนอบทความที่ทันกับข่าวและสถานการณ์ต่างๆ ทั่วไป ซึ่งคุณหมอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังอย่างเข้าใจง่ายมาก
คลิกติดตามเพจ คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎา
-------------------------------------------------------------------
หมอจริง เข้าใจวัยรุ่น Dr Jing
คุณหมอจริง พ.ญ. ชญานิน ฟุ้งสถาพร ที่มีผลงานหนังสือ “โหด มัน ฮา ตามประสาเด็ก AFS” กับ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าวัยรุ่น” เป็นคุณหมอที่จะช่วยคุณพ่อคุณแม่เข้าใจลูกวัยรุ่น รวมถึงช่วยให้ลูกวัยรุ่นเข้าใจตนเอง เข้าใจพ่อแม่ ผ่านประสบการณ์และคำบอกเล่าของคุณหมอผ่านภาษาเขียนที่เข้าใจง่ายมาก ถึงมากที่สุด
คลิกติดตามเพจ หมอจริง เข้าใจวัยรุ่น Dr Jing
-------------------------------------------------------------------
ตามใจนักจิตวิทยา
เป็นอีกเพจที่น่าติดตามมากๆ ค่ะ เพราะครูเมเจ้าของเพจเป็นนักจิตวิทยา ที่มักจะถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ อย่างเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ซึ่งไม่ได้เน้นเฉพาะการทำความเข้าเด็กอย่างเดียว แต่ยังพร้อมที่จะพาพ่อแม่เรียนรู้ไปกับเด็กๆ ด้วย
คลิกติดตามเพจ ตามใจนักจิตวิทยา
-------------------------------------------------------------------
โลกสมาธิสั้น
เพจคุณหมอปัง จิตเวชเด็กและวัยรุ่น ที่อยากให้ทุกคนเข้าใจโลกของเด็กและคนสมาธิสั้น แม้ว่าจะชื่อเพจ โลกสมาธิิสั้น แต่เนื้อหาไม่ได้กล่าวถึงแค่เฉพาะคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นเท่านั้น คุณหมอยังบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับการดูแลลูก ดูแลสุขภาพจิตทั้งของลูก และของพ่อแม่ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
คลิกติดตามเพจ โลกสมาธิสั้น
-------------------------------------------------------------------
เลี้ยงลูกนอกบ้าน
เพจที่พ่อแม่หลายคนยกให้เป็นคู่มือเลี้ยงลูกไปแล้ว โดยคุณหมอโอ๋ พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ที่เข้าใจสมองและพัฒนาการของเด็ก ซึ่งคุณหมอมักจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นการมองเห็นปัญหาของเด็กอย่างแท้จริง และหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมกับวัย และคุณหมอยังตอบคำถามทุกคนที่เข้ามาถามอีกด้วย
คลิกติดตามเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
-------------------------------------------------------------------
Taksa Chivit - ทักษะชีวิต จิตวิทยาเด็ก วัยรุ่น และ ครอบครัว
ครูพีช อรณิชชา ที่คอนเท้นส่วนใหญ่มาเป็นคลิปชวนคุยเรื่องต่างๆ ที่ฟังแล้วสนุก เข้าใจง่าย แถมเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวด้วยค่ะ
คลิกติดตามเพจ Taksa Chivit - ทักษะชีวิต จิตวิทยาเด็ก วัยรุ่น และ ครอบครัว
-------------------------------------------------------------------
บันทึกไม่ลับนักจิตวิทยาเด็ก

แบ่งปันเทคนิคการปรับพฤติกรรมลูก และเรื่องการเลี้ยงลูกเชิงบวก โดย ครูกานต์ นักจิตวิทยาเด็ก วัยรุ่นและครอบครัวที่มีความชำนาญในการอบรมพ่อแม่เรื่องการเลี้ยงลูกเชิงบวก และกิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการเด็ก
ติดตามเพจ บันทึกไม่ลับนักจิตวิทยาเด็ก

แพทย์เตือน กินอาหารหมักดองเสี่ยงเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก
ของหมัก ของดอง ได้กินแล้วมันชื่นใจ แต่รู้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้แหละคือตัวกระตุ้น ให้เกิดโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก และพบได้บ่อยในชาวเอเชีย
โรคมะเร็งหลังโพรงจมูกชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูกันนัก แต่เชื่อหรือไม่ว่า โรคมะเร็งหลังโพรงจมูกสามารถพบได้ตั้งแต่ช่วงคนที่อายุน้อย กลุ่มวัยรุ่น แต่ก็เกิดคำถามอีกมากมาย และยังคงสงสัยกันอยู่ว่า อายุยังน้อยเกิดขึ้นได้ยังไง เกิดจากอะไร มันร้ายแรงมากไหม เรามาหาคำตอบกันค่ะ
พญ. พจนา จิตตวัฒนรัตน์ แพทย์อายุรกรรมมะเร็ง รพ.วัฒโนสถ กล่าวว่า มะเร็งหลังโพรงจมูก คือ มะเร็งที่เกิดในบริเวณด้านหลังโพรงจมูก มะเร็งชนิดนี้พบบ่อยในแถบเอเชีย เช่น ประเทศไทย จีน เกาหลี เป็นต้น แต่พบไม่บ่อยในประเทศแถบยุโรปและ อเมริกา ซึ่งมะเร็งหลังโพรงจมูกที่เกิดในแถบเอเชียนี้มักจะพบได้ในกลุ่มคนที่อายุน้อย กลุ่มวัยรุ่น และพบได้ในเพศชาย ส่วนแถบยุโรปและ อเมริกา นั้นมักจะพบในคนอายุมาก
ในชาวเอเชียพบมะเร็งหลังโพรงจมูกเยอะ สาเหตุเกิดจาก มีการติดเชื้อไวรัส EBV ( Ebstein Barr virus) และเชื่อกันว่ามีปัจจัยอื่นๆ หรือพฤติกรรมด้านอาหาร ร่วมด้วย เช่น อาหารหมักเกลือ อาหารหมักดอง สมุนไพรจีนบางชนิด การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้ไวรัสชนิดนี้ทำงานจนมีการอักเสบเรื้อรัง (viral reactivation) แต่ในแถบโซนยุโรปและ อเมริกา นั้นส่วนใหญ่จะเป็นในเรื่องของการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นก็พบได้เช่นกันคือ มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็ง หากท่านมีอาการที่น่าสงสัยว่าอาจเข้าข่ายเป็นมะเร็งชนิดนี้ คือ มีเลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ หูอื้อข้างเดียว ติดเชื้อในหูชั้นกลางซ้ำ ๆ มีก้อนบริเวณคอ ปวดศีรษะเรื้อรัง ตาพร่า ใบหน้าชา หากเป็นมาก อาจมีอาการมะเร็งกระจายไปอวัยวะอื่น เช่น ปวดหลัง ไอ ทานไม่ได้ น้ำหนักลด ควรที่จะมาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป
การรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก ก็จะรักษาโดยใช้การฉายแสง (radiation) ร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด (chemotherapy)
การดำเนินโรคของโรคนี้หากเป็นระยะแรกจะค่อนข้างดี โอกาสหายขาดสูงมาก เช่น ในระยะที่ 1และ 2 หากรักษาถูกต้องตามขั้นตอน โอกาสหายสูงถึง 80-90 % หากเป็นระยะที่ 3 หรือ 4 โอกาสหายลดลงเหลือ 50-60%
สรุปว่า มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal cancer) พบได้บ่อยในชาวเอเชีย ปัจจัยเสี่ยงคือการติดเชื้อ EBV ที่ทำให้มีการอักเสบเรื้อรัง มะเร็งหลังโพรงจมูกนี้มักพบในเพศชาย อายุน้อย หากเจอในระยะแรก รักษาถูกต้อง โอกาสหายก็จะสูงมาก ดังนั้นหากมีอาการที่สงสัยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ