
ทำความเข้าใจกับ "วัคซีนภูมิแพ้" อีก 1 ทางเลือกสำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ที่จะช่วยลดอาการทำให้ไม่ต้องกินยา และมีโอกาสที่จะหายขาดเป็นปกติ
“วัคซีนภูมิแพ้” ทางเลือกสำหรับคนเป็นภูมิแพ้…เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้แล้ว การมีวัคซีนภูมิแพ้ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะวัคซีนจะช่วยลดอาการที่เป็นลงได้ ทำให้ไม่ต้องกินยาไปตลอด และมีโอกาสที่จะหายขาดเป็นปกติได้อีกด้วย ใครที่สนใจวัคซีนตัวนี้แต่ยังลังเลสองจิตสองใจอยู่ ลองมาอ่านข้อมูลทำความเข้าใจกันก่อนจาก พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา โรงพยาบาลนวเวช
วัคซีนภูมิแพ้คืออะไร
วัคซีนภูมิแพ้ (Allergen Immunotherapy) คือการใช้สารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้มาให้กลับเข้าสู่ร่างกายเพิ่มขึ้นทีละน้อย ๆ เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาใหม่ต่อสิ่งที่แพ้ แต่วัคซีนภูมิแพ้นั้นไม่เหมือนกับวัคซีนที่เราฉีดในวัยเด็ก เพราะวัคซีนที่ฉีดในวัยเด็ก ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรค เช่น วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันบาดทะยัก ไอกรน คอตีบ ส่วนวัคซีนภูมิแพ้ไม่ได้ฉีดเพื่อป้องกันโรค แต่ฉีดเพื่อรักษาโรคภูมิแพ้
วัคซีนภูมิแพ้เหมาะกับใคร
วัคซีนภูมิแพ้เหมาะกับโรคโพรงจมูกและเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinoconjunctivitis) โรคหอบหืดจากภูมิแพ้ (Allergic asthma) โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) ที่ใช้ยารักษาอาการหลายชนิดแล้วไม่ดีขึ้น ไม่อยากกินยาหรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา

วัคซีนภูมิแพ้มีวิธีรักษากี่แบบ
การให้วัคซีนมี 2 รูปแบบ คือ ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) และอมใต้ลิ้น (Sublingual) โดยจะต้องทราบสาเหตุการแพ้อย่างเฉพาะเจาะจงในผู้ป่วยแต่ล่ะคนก่อน ด้วยการตรวจวิธี SPT หรือ Blood Test for Specific IgE เพื่อพิจารณาเลือกการรักษา ใช้สารสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ได้ตรงกับสาเหตุ หลังจากนั้นเลือกวิธีการ รูปแบบการรักษาที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วย โดยพิจารณาตามสาเหตุที่แพ้ ช่วงอายุ และความเหมาะสม เช่น ชนิดอมใต้ลิ้นใช้ได้ในผู้ป่วยแพ้ไรฝุ่นที่มีอายุ 12 ปี ขึ้นไป เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือค่อนข้างมาก
สำหรับวัคซีนชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังนั้น ในช่วงแรก (Induction Phase) ฉีด 1 ครั้ง/สัปดาห์ เป็นอย่างน้อยแล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณวัคซีนทีละน้อย จนกระทั่งได้ระดับสูงสุดที่ผู้ป่วยรับได้ อาจใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน แล้วแต่คน ช่วงถัดไป (Maintenance Phase) ฉีดให้ห่างขึ้นได้เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้สร้างภูมิใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง และใช้ต่อเนื่องนาน 3-5 ปี เพื่อประสิทธิภาพดีที่สุด
ประโยชน์ของวัคซีนภูมิแพ้
- เป็นการรักษาที่ตรงจุด แก้ที่กลไกของโรคโดยตรง
- ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อวัคซีนและฉีดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้น
- ลดการกินยา ใช้ยาได้
- อาจช่วยป้องกันผู้ป่วยจมูกอักเสบภูมิแพ้ ไม่ให้ดำเนินโรคต่อเป็นโรคหืด
- อาจป้องกันการแพ้สารใหม่เพิ่มเติมในอนาคต
วัคซีนฉีดเข้าใต้ผิวหนัง หลังจากหยุดฉีด อาการจะเป็นอย่างไร
มีข้อมูลว่าหากหยุดฉีดหลังจากที่ฉีดครบ 3-5 ปีแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการภูมิแพ้ยังดีต่อไปได้อีกหลายปี วัคซีนภูมิแพ้จึงนับว่าเป็นการรักษาเดียวในปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มจะทำให้ต้วโรคภูมิแพ้หายขาดหรือดีขึ้นจากเดิม
ข้อควรทราบเมื่อจะฉีดวัคซีนภูมิแพ้
การฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้เข้าไปทีละน้อย แม้จะเจือจางน้ำยาแล้ว บางรายที่มีความไวต่อสิ่งกระตุ้น อาจมีอาการแพ้วัคซีนได้ ดังนั้น ทุกครั้งที่ฉีด แพทย์จึงให้สังเกตอาการในโรงพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที งดการออกกำลังกายหลังฉีดในวันนั้น สำหรับผู้ป่วยโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้บางคนมีภาวะเยื่อบุโพรงจมูกไวร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีอาการคัดจมูกเวลาอากาศเปลี่ยน และอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่บ้างแม้ว่าจะได้รับวัคซีนภูมิแพ้แล้วก็ตาม

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์สุขภาพผู้หญิง ชั้น 2 โรงพยาบาลนวเวช
เบอร์โทรศัพท์: 0-2483-9999
เว็บไซต์: www.navavej.com

เมื่อ ฟันซี่แรก ของลูกขึ้น พ่อแม่ต้องพาลูกไปหาหมอฟัน แต่จะทำอย่างไรเมื่อต้องพาลูกเล็กไปพบทันตแพทย์เด็กครั้งแรก
สุขภาพช่องปากและฟันน้ำนมที่ดี จะช่วยให้การเคี้ยวอาหารละเอียด ช่วยการออกเสียง เป็นแนวสำหรับการขึ้นของฟันแท้ สร้างรอยยิ้มที่มั่นใจ ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมของเด็กได้ไม่น้อย นอกจากนี้การไม่มีฟันผุและโรคในช่องปากยังช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของพ่อแม่อีกด้วย
สมาคมทันตกรรมเด็ก ส่งเสริมให้มีการดูแล ทำความสะอาดช่องปากตั้งแต่เป็นทารก และควรหาโอกาสพาลูกไปพบทันตแพทย์เมื่อฟันซี่แรกขึ้นมาในช่องปากหรืออายุไม่เกิน 1 ขวบค่ะ แต่ก่อนที่จะพาลูกไปหาหมอฟันนั้น ต้องมีการเตรียมตัวของทั้งพ่อแม่และลูกน้อยวัยเริ่มต้นฟันน้ำนมด้วย
เตรียมตัว คุณพ่อ คุณแม่
-
ทัศนคติที่ดีต่อการดูแลช่องปาก เป็นด่านแรกที่พ่อแม่จะเปิดใจรับข้อมูลและนำไปปฏิบัติ เพื่อให้ลูกรู้จักวิธีการป้องกันฟันผุ ซึ่งการมีฟันแข็งแรง ไม่มีโรคในช่องปากจะส่งผลให้ลูกมีสุขภาพที่ดีตามมา แต่หากพ่อแม่ทัศนคติไม่ดี เช่น ถ้าคิดว่า “ช่างเถอะ ฟันน้ำนมผุได้เดี๋ยวก็หลุด” แต่ถ้าเด็กๆ ต้องปวดฟัน คราวนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ ค่ะ
-
ไม่ส่งผ่านความกังวลจากพ่อแม่สู่ลูก ประสบการณ์เดิมของพ่อแม่อาจจะไม่เหมือนกับประสบการณ์ใหม่ของลูก เด็กแต่ละคน ในแต่ละวัย จะตอบสนองต่อสถานการณ์เดียวกันในรูปแบบต่างๆ กันได้ เด็กเล็กๆ บางคนอ้าปากเองได้กว้าง ไม่งอแง ยอมให้คุณหมอตรวจง่ายๆ ในขณะที่บางคนอาจจะต่อต้านและร้องไห้มาก ไม่สามารถให้ความร่วมมือกับหมอฟันได้ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้
-
พ่อแม่ไม่ต้องกังวลหมอฟันจะพิจารณาเลือกวิธีการดูแลหรือวิธีช่วยปรับพฤติกรรมในการทำฟันให้เหมาะสมกับเด็กๆ แต่ละคนค่ะ เพื่อลดความกลัวของลูก พ่อแม่ต้องไม่เล่าประสบการณ์ไม่ดีในการทำฟันของตนเองมาขู่เด็กๆ หรือพูดถึงคุณหมอฟันในแง่ลบ เช่น ถ้าไม่แปรงฟันนะ จะพาไปให้หมอถอนฟันให้หมดเลย
-
เตรียมหาทันตแพทย์เฉพาะทางสำหรับเด็ก คุณหมอฟันด้านนี้จะได้รับการฝึกอบรมเรื่องการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนพัฒนาสู่ช่วงวัยรุ่น ให้การดูแลจัดการพฤติกรรมเด็กตามช่วงวัย เฉพาะบุคคลอย่างเหมาะสม
เตรียมตัวเด็กๆ
-
ใช้สื่อเป็นตัวช่วย ปัจจุบันมีสื่อมากมายที่ใช้ส่งเสริมเด็กๆ เรื่องการไปหาหมอฟัน จะเลือกเป็นหนังสือนิทานภาพที่มีเนื้อหาง่ายๆ หรือการ์ตูนเรื่องสั้น เพื่อให้เห็นตัวอย่างก่อนไป หรือเด็กที่ชอบเล่นบทบาทสมมติพ่อแม่สามารถเล่นเป็นหมอฟันสลับกันตรวจฟันกับลูก หรือลูกเล่นตรวจฟันให้กับตุ๊กตา ก็น่าสนุกนะคะ
-
เลือกช่วงเวลานัดหมาย เรื่องนี้สำคัญมากค่ะ ให้พยายามเลือกเวลาที่เด็กๆ ไม่ง่วง ไม่หิว ไม่หงุดหงิด และไม่เหนื่อย ลองสังเกตลูกของเราว่าช่วงไหนของวันที่เขาอารมณ์ดี อยากให้นัดทันตแพทย์ในช่วงเวลานั้นค่ะ
-
เอาของเล่นตุ๊กตาที่ชอบติดไปคลินิกได้ เพื่อช่วยให้ลูกผ่อนคลาย ไม่เครียด
เมื่อไปพบ ทันตแพทย์ ครั้งแรก !! เราจะเจอกับอะไรบ้าง
-
แน่นอนว่า จะเจอกับคุณหมอ ทันตแพทย์ เฉพาะทางสำหรับเด็ก ที่นัดหมายไว้
-
ควรไปก่อนเวลานัดเล็กน้อย เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่
-
พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคุณหมอเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากเด็ก เช่น สาเหตุการเกิดฟันผุในเด็กเล็ก มื้อการกินอาหารและนม การทำความสะอาดช่องปาก การขึ้นของฟัน และการเรียงฟัน
-
สถานที่และห้องตรวจ ส่วนมากเตียงตรวจจะเป็นเตียงทำฟันปกติที่ผู้ใหญ่ใช้กัน แต่คุณหมอจะปรับเปลี่ยนท่าทางการตรวจให้สมกับวัยและ สรีระของเด็ก
-
ตรวจช่องปากและฟัน สำหรับเด็กเล็กๆ ผู้ปกครองจะช่วยอุ้มเพื่อตรวจ ลูกอาจจะร้องไห้บ้างแต่ไม่ต้องกังวลนะคะคุณหมอจะใช้เวลาตรวจเพียงสั้นๆ และไม่เจ็บ หรืออาจจะมีงานง่ายๆ เช่น การทำความสะอาดฟัน
-
การชมเชยและให้รางวัลเด็กๆ บ้าง ก็จะช่วยส่งเสริมความมั่นใจในการหาหมอครั้งต่อๆ ไปได้ แต่อย่าให้รางวัลเป็นขนมหวานเลยค่ะ
-
การนัดหมายครั้งต่อไป จะบ่อยแค่ไหน ขึ้นกับความเสี่ยงที่จะเกิดฟันผุ หรือมีสิ่งที่คุณหมอต้องติดตามใกล้ชิดหรือไม่
-
โดยทั่วไปจะนัดติดตาม ทุก 6 เดือน
โรคฟันผุ เป็นโรคที่เราสร้างขึ้นเอง ดังนั้นเราจึงป้องกันมันได้ มาสร้างสุขภาพช่องปากที่ดีให้ลูกกันนะคะ
รักลูก Community of The Experts
ทพญ.ทยาวีร์ ลิ่มสุวรรณ์
ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมเด็ก

ไข้หวัดกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือที่เรามักเรียกกันว่า “แพ้อากาศ” มีอาการไม่ต่างกันนัก แต่แพ้อากาศนั้น บางครั้งอาจจะมีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งหากคุณแม่คุณพ่อมีความเข้าใจในโรคภูมิแพ้ ก็สามารถปกป้องและดูแลลูกในเบื้องต้นได้ค่ะ
น้ำมูกไหล สัญญาณหวัด?
ฮั้ดเช้ยยยยย!
ฝนมาหวัดก็มา คุณพ่อคุณแม่อาจไม่แน่ใจว่าน้ำมูกที่ไหลออกมาจากจมูกลูกนั้นใช่อาการหวัดจริงๆหรือไม่ แม้ว่าไข้หวัดกับโรคแพ้อากาศจะมีอาการคล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว คุณพ่อคุณแม่สามารถแยกความต่างของทั้ง 2 โรคนี้ได้ เพื่อจะได้รักษาลูกได้อย่างถูกวิธี ดังนี้
ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กหลายคนจะมีอาการหายใจเสียงดัง คัดจมูก น้ำมูกไหล บางครั้งก็จามติดกันบ่อย ๆ จนคุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าลูกป่วยเป็นไข้หวัด ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ เพราะโดยปกติไข้หวัดมักเกิดในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กจะมีอาการไอมีเสมหะ จาม เจ็บคอ เสียงแหบ รวมถึงมีไข้ต่ำๆ และปวดศีรษะร่วมด้วย ไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ มักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน ก็หายค่ะ
ทั้งนี้อาการน้ำมูกใส ๆ ไหล อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคแพ้อากาศ ก็ได้นะคะ โดยเฉพาะถ้าลูกมีอาการเหมือนเป็นหวัดเรื้อรัง โดยที่ไม่มีไข้
แล้ว ไข้หวัด กับ แพ้อากาศต่างกันอย่างไร? มาดูกันค่ะ
ความแตกต่างของ หวัด กับแพ้อากาศ

ไข้หวัดธรรมดา
-
มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ
-
มีอาการจาม คัดจมูก มีน้ำมูกไหล (น้ำมูกใส)
-
มีอาการไอ เจ็บคอ
-
อาการเป็นทั้งวัน และอาจมีอาการมากตอนกลางคืน
-
มีอาการไม่เกิน 1-2 สัปดาห์
แพ้อากาศ
-
คันจมูก จาม คัดจมูก มีน้ำมูกใสไหล เป็นๆหายๆ ช่วงเช้า หรือ กลางคืนนาน 4 สัปดาห์ขึ้นไป
-
ไอเรื้อรัง มีเสมหะในช่วงเช้า หรือกลางคืน
-
อาจมีอาการคันตา น้ำตาไหล ตาแดง ตาบวม คันในเพดานปาก หู และผื่นคันที่ผิวหนัง ร่วมด้วย
-
มีอาการคล้ายหวัดเรื้อรัง โดยไม่มีไข้
-
มีอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวแห้ง คัน เป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ
-
อ่อนเพลีย ง่วงซึม รู้สึกไม่สบายตัว หรือหงุดหงิดง่าย เพราะนอนไม่เพียงพอ
อาการไข้หวัดกับอาการแพ้อากาศค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการและดูแลลูกได้ในเบื้องต้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อลูกไม่สบายมาก ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อการวินิจฉัยโรคและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ
การดูแลเด็กที่มีอาการแพ้อากาศ
-
หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ อย่างเคร่งครัด
-
ให้ลูกรับประทานยาแก้แพ้หรือพ่นยาตามคำแนะนำของแพทย์
-
ใช้น้ำเกลือปราศจากเชื้อล้างจมูกเมื่อลูกมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล
-
หากหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ไม่ได้ หรือการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล โรคแพ้อากาศสามารถรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ได้ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาในการรักษาด้วยวิธีนี้ต่อไปค่ะ
วิธีลดความเสี่ยงการเกิดอาการแพ้อากาศ
อาการแพ้อากาศ คืออาการภูมิแพ้อย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเป็นแล้ว อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับอาการแพ้อื่น ๆ เช่น หอบหืด ที่อาจจะตามมาได้ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันได้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการดูแลสภาพแวดล้อมและการหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ดังนี้ค่ะ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ลูกแพ้
โดยเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตาขนที่อาจมีไรฝุ่น รวมถึงฝุ่นในบ้าน สัตว์เลี้ยง หรือสารกระตุ้นต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป น้ำหอม สเปรย์ ควรทำความสะอาดบ้านโดยเฉพาะห้องนอนของลูกเป็นประจำทุกวัน เปิดหน้าต่างให้แสงเข้าบ้าง ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกได้
2. เช็กสภาพอากาศก่อนพาลูกออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน
เพื่อหลีกเลี่ยงความชื้น มลภาวะ ฝุ่นละอองโดยเฉพาะฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ควันพิษ ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกเกิดอาการแพ้ และเมื่อพาลูกกลับจากทำกิจกรรมนอกบ้านแล้วควรให้รีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที
3. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในสัดส่วนที่สมดุล
หากลูกน้อยของคุณแม่ยังทานนมแม่อยู่ ก็ควรทานนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เพราะในนมแม่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ถูกทำให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กแล้ว จึงช่วยลดโอกาสการกระตุ้นให้เกิดการแพ้ อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อย่างเช่น บิฟิดัส บีแอล และแอลจีจี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายของลูกได้อีกด้วย
แต่ในบางกรณีจำเป็นที่ทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง คุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ในเรื่องของ โปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วนที่ทำจากเวย์ 100% หรือ H.A. (Hypoallergenic) ตามคำแนะนำจากแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้จากสมาคมโรคภูมิแพ้ และวิทยาคุ้มกันแห่งประเทศไทย
เมื่อถึงวัยเริ่มอาหารเสริมตามวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารจำพวกโปรตีน ผักและผลไม้ และอาหารที่มีการเติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อย่าง บิฟิดัส บีแอล จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายของลูกได้ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ แต่ให้ทานในสัดส่วนที่สมดุล ไม่มากเกินไป ก็จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับอาหารใหม่ ๆ ได้ค่ะ

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดี เพราะหากร่างกายลูกพักผ่อนไม่พอ อ่อนเพลียบ่อยๆ ภูมิต้านทานจะต่ำลง ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย เพราะฉะนั้นควรให้ลูกนอนหลับไม่ต่ำกว่าวันละ 8-10 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยประมาณวันละ 30 นาที นอกจากจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยแล้ว การออกกำลังกายร่วมกันยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัวอีกด้วยค่ะ
ในช่วงที่เข้าฤดูฝนเช่นนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยกระตุ้นอาการภูมิแพ้ของลูกมากมาย หากคุณแม่คุณพ่อดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวลูก ชวนลูกออกกำลังกายทุกวัน และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยปกป้องลูกจากอาการภูมิแพ้ได้ส่วนหนึ่งแล้ว เมื่อลูกมีสุขภาพแข็งแรง ไม่แพ้ เค้าก็พร้อมที่จะออกไปเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในทุก ๆ วันค่ะ แต่หากลูกมีอาการภูมิแพ้กำเริบเยอะ ก็ควรไปพบแพทย์นะคะ
อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check
#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ. พญ. รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า
พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์
โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่ภูมิในร่างกายมีปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้หรือสิ่งแวดล้อมบางอย่างไวกว่าคนปกติ เช่น เมื่อเจอฝุ่น ในคนปกติอาจไม่มีอาการอะไร แต่ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจจะมีอาการในทันทีได้ เช่น จาม น้ำมูกไหล น้ำตาไหล ไอ หอบ เป็นต้น อาการแสดงของโรคภูมิแพ้เกิดได้ดังนี้
โรคภูมิแพ้สามารถทำให้เกิดอาการได้ในหลายระบบของร่างกาย เช่น ระบบผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหาร โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการที่อาจเกิดขึ้นกับลูก เช่น
- ระบบผิวหนัง
ผื่นคัน ผิวหนังแห้ง โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและแก้ม ข้อศอก ข้อพับ เข่า ซอกคอ และตามลำตัว ผื่นลมพิษเป็นๆ หายๆ โดยสามารถเป็นได้ทั้งตัว
- ระบบทางเดินหายใจ
เป็นหวัดบ่อย หรือมีอาการเป็นบางเวลา เช่น จามน้ำมูกไหลในตอนเช้า แต่ไม่มีอาการในเวลาอื่น เป็นหวัดเรื้อรัง หรือเป็นไซนัสอักเสบ มีอาการไอโดยเฉพาะในบางเวลา เช่น วิ่งเล่นแล้วไอ อากาศเปลี่ยนแล้วไอ ไอเวลากลางคืน ไอหลังหายจากเป็นหวัดเป็นเวลานาน
- ระบบทางเดินอาหาร
ริมฝีปากบวม มีผื่นคันรอบปาก คลื่นไส้ อาเจียน แหวะนมบ่อยในเด็กทารก ท้องอืด ถ่ายเหลว มีมูกเลือดปนในอุจจาระ
ทั้งนี้ อาการแสดงของโรคภูมิแพ้ในเด็กอาจขึ้นกับอายุ เพราะเด็กแต่ละวัยมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งที่ก่อภูมิแพ้แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วเด็กเล็กที่เพิ่งเกิดหรือมีอายุไม่กี่เดือนมักมาหาหมอด้วยโรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง เช่น เป็นผื่นแพ้ โดยเกิดจากอาหารที่กิน ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือนมวัว หรือเกิดจากสิ่งที่เด็กสัมผัส เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก ในขณะที่เด็กที่โตขึ้นมา ในวัยที่เริ่มคลาน เริ่มเดิน จะมีโอกาสสัมผัสกับฝุ่นหรือสิ่งแวดล้อม เช่น บ้านที่มีสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
ปกป้องลูกรัก จาก'โรคภูมิแพ้' คุณพ่อคุณแม่ช่วยได้
แม้พันธุกรรมจะเป็นสิ่งที่ควบคุมและหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถควบคุมได้คือ สิ่งแวดล้อม โดยสามารถช่วยให้ลูกมีสิ่งแวดล้อมที่ดีตั้งแต่อยู่ในท้องคุณแม่

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์
- คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง
- กินอาหารที่มีประโยชน์
- ระมัดระวังอย่ากินอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่ายมากเกินไป เช่น อาหารทะเล ไข่ ถั่วลิสง นมวัว ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์จากนม แป้งสาลี
เมื่อลูกน้อยถือกำเนิดมา
- เมื่อลูกเกิดมาควรเน้นให้ลูกได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อยช่วง 6 เดือนแรก ควรพยายามหลีกเลี่ยงนมวัวให้นานที่สุด
- ควรให้ลูกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด มีฝุ่นและมลพิษให้น้อยที่สุด คุณพ่อคุณแม่รวมถึงคนใกล้ชิดต้องงดสูบบุหรี่ไม่ว่าจะนอกบ้านหรือในบ้านก็ตาม
หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกอาจเป็นโรคภูมิแพ้ ควรรีบพามาหาหมอ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง เนื่องจากโรคภูมิแพ้โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ หากได้รับการรักษาเนิ่นๆ ตั้งแต่ยังเป็นไม่มาก มีโอกาสหายขาดมาก แต่หากรอและมารับการรักษาช้าเกินไป โอกาสที่จะหายก็น้อยลง และอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : นพ.กัลย์ กาลวันตวานิช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจและโรคภูมิแพ้ ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์

ป้องกัน...ดีกว่ารักษา เพราะภูมิแพ้อันตรายกว่าที่แม่คิด
โรคภูมิแพ้ในเด็กเป็นโรคหนึ่งที่พบว่ามีเด็กไทยป่วยกันเยอะมาก พ่อแม่หลายคนเริ่มกังวล เพราะนอกจากอาการป่วยจะอันตรายแล้ว หากมีสารก่อภูมิแพ้มากระตุ้นก็ส่งผลให้อาการกำเริบได้อีกทุกเมื่อ
แม่รู้มั้ยเด็กไทยป่วยภูมิแพ้มากขึ้น
จากรายงานการวิจัยพบว่าเด็กไทยมากกว่า 50% มีความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้ และความเสี่ยงนี้อาจเพิ่มสูงถึง 80% หากพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าพบเด็กไทยมีอาการของโรคภูมิแพ้ทางจมูกประมาณ 40%
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เด็กป่วยเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น นอกจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว สิ่งแวดล้อมรอบตัวมีส่วนกระตุ้นให้ลูกเกิดอาการภูมิแพ้ง่ายขึ้น เช่น ฝุ่นในบ้าน ไรฝุ่น ละอองเกสรต่าง ๆ ฝุ่น PM 2.5 ควันธูป ควันบุหรี่ รวมถึงการใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเช่น น้ำหอม น้ำยาทำความสะอาดต่าง ๆ ก็เป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้กำเริบรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้การใช้ชีวิตวิถีชีวิตใหม่ในช่วงโควิด 19 ที่พ่อแม่ต้องระมัดระวังเรื่องเชื้อโรคต่าง ๆ ก็ทำให้ลูกมีโอกาสออกไปสัมผัสกับจุลินทรีย์ในธรรมชาติน้อยลง ส่งผลกระทบต่อการสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของเด็ก ๆ ทำให้เด็ก ๆ เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆได้ง่ายขึ้น รวมถึงมีโอกาสเสี่ยงเป็นภูมิแพ้มากขึ้นด้วยค่ะ

โรคภูมิแพ้ในเด็กและสัญญาณเกิด Allergic March
โรคภูมิแพ้ที่พบในเด็กได้บ่อยได้แก่
1. โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มักจะเกิดขึ้นในเด็กที่อายุมากกว่า 2 ปีมักจะมีอาการ คัดจมูก จาม มีน้ำมูกใส เป็นเรื้อรัง์ และอาจมีอาการอื่นร่วมเช่น คันตา คันในคอ หูอื้อ เป็นต้น
2. โรคหืด เป็นโรคระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เด็กที่ป่วยจะมีอาการหายใจเสียงดัง “วี้ด” หอบ แน่นหน้าอก อาจมีอาการไอเรื้อรังช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน
3. โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ อาการของโรคส่วนใหญ่มักมี ผื่น คัน ผิวหนังแดง ผิวแห้ง มีผื่นแดง เป็นขุย ในเด็กเล็กอาจมีอาการมากเมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น แพ้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก อากาศร้อนเหงื่อออกมาก แพ้อาหาร เป็นต้น
4. โรคแพ้อาหาร มักพบบ่อยในช่วงอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มักเกิดอาการได้หลายแบบ ได้แก่ ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายมีมูกปนเลือด มีผื่นขึ้น ลมพิษ หอบ หายใจติดขัด ส่วนอาหารที่พบว่าเป็นสาเหตุการแพ้ได้บ่อยคือ นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลีและอาหารทะเล เป็นต้น
ซึ่งหากพ่อแม่พบอาการแพ้ต่าง ๆ ของลูกอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าลูกกำลังเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็ก โดยเฉพาะภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ หรืออาการแพ้อาหารอาการเเหล่านี้ี่อาจนำไปสู่การเกิด Allergic March หรือ ลูกโซ่ภูมิแพ้ที่โรคภูมิแพ้มีการพัฒนาต่อเนื่องตั้งแต่วัยทารกจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
Allergic March คืออะไร
Allergic March หรือ Atopic march คือการดำเนินโรคตามธรรมชาติ (natural history) ของโรคภูมิแพ้ หรือเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็กที่ส่งผลต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะพัฒนาไปเรื่อย ๆ เด็กบางคนอาจมีอาการภูมิแพ้มากกว่า 1 ชนิดในช่วงเวลาหนึ่ง หรือเมื่อภูมิแพ้ชนิดหนึ่งเริ่มหายไป ก็อาจมีการภูมิแพ้อีกชนิดหนึ่งเข้ามาแทนที่

จากภาพจะเห็นพัฒนาการของโรคภูมิแพ้ คือลูกอาจมีอาการแพ้อาหารก่อน และโรคภูมิแพ้ผิวหนังที่อาจมีอาหารเป็นสารก่อภูมิแพ้ (Atopic dermatitis) จากนั้นเริ่มมีการแพ้ทางจมูกหรือเป็นโรคหอบหืด (Allergic asthma) และเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อาการแพ้อาหารอาจจะรุนแรงน้อยลง
ภูมิแพ้กระทบกับพัฒนาการลูกอย่างไร
เด็กที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ทำให้ส่งผลกระทบกับพัฒนาการและการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ต้องนอนให้เพียงพอ อาการแพ้มักจะรบกวนการนอน ทำให้เด็กนอนหลับไม่สนิท ส่งผลต่อโกรทฮอร์โมน ทำให้รบกวนการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมของเด็ก สมาธิและการจดจำอาจแย่ลง สำหรับเด็กโต อาการแพ้อาจกระทบการเรียนรู้ หากอาการแพ้กำเริบอาจต้องหยุดเรียนบ่อยทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน เป็นต้น
นมแม่ป้องกันโรคภูมิแพ้ได้
วิธีป้องกันภูมิแพ้ในทารกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เพราะในนมแม่นอกจากสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับลูกกว่า 200 ชนิด ยังมีสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกด้วย ได้แก่
- โอลิโกแซคคาไรด์ (Human Milk Oligosaccharides or HMOs) มีส่วนช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อต่างๆ ซึ่งโอลิโกแซคคาไรด์ในนมแม่ ประกอบด้วยใยอาหาร มีหลากหลายกว่า 200 ชนิด
- โพรไบโอติกส์ หรือ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ในนมแม่มีโพรไบโอติกหลายชนิด เช่น B. lactis (บีแล็กทิส) เป็นโพรไบโอติกหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการเกิดภูมิแพ้
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันภูมิแพ้สำหรับเด็ก
นอกจากนี้การจะให้ลูกแข็งแรงปลอดภัย ห่างไกลจากภูมิแพ้ต้องดูแลใส่ใจตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์ ปฏิบัติตามคำแนะนำของสูติแพทย์อย่างเคร่งครัด คุณแม่ควรพักผ่อนให้พอเพียง รับประทานอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ หลังคลอดแล้วให้ลูกดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เมื่อถึงเวลาเริ่มอาหารเสริมจึงค่อย ๆ ทดลองให้ลูกทานอาหารตามวัย หรือตามคำแนะนำของกุมารแพทย์ควบคู่กับการดูแลการจัดสิ่งแวดล้อมให้ลูกห่างไกลสารก่อภูมิแพ้ และมลภาวะต่าง ๆ
อ้างอิง :
1. เข้าใจโรคภูมิแพ้ - BNH HOSPITAL
2. โรคภูมิแพ้ รพ. สินแพทย์
3. ความสะอาดที่มากเกินไป ไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันในเด็กแย่ลง
4. โรคภูมิแพ้ในเด็ก เป็นอย่างไร?
5. เข้าใจโรคภูมิแพ้ | www.cimjournal.com
6. Asthma: The Hygiene Hypothesis
7. ภูมิแพ้ในเด็กที่พ่อแม่ต้องรู้
8. "การแพ้อาหารในเด็ก" เรื่องไม่เล็กที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมพร้อม

เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่มักไม่รู้เลยก็คือ ภูมิแพ้นั้นอยู่ใกล้ลูกมากกว่าที่คิด อย่างโรคจมูกอักเสบที่เด็ก ๆ มักเป็นกันบ่อย ๆ สาเหตุหลักก็มาจากภูมิแพ้เช่นกัน
อาการโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ บางครั้งดูเหมือนโรคหวัดธรรมดา เช่น มีน้ำมูกใส ๆ จาม คันจมูก คัดจมูก ไอกระแอม แต่ความจริงแล้ว จะมีอาการหนักเพิ่มขึ้นเมื่อในช่วงเวลาที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ อาจจะจามติด ๆ กันเป็นสิบ ๆ ครั้ง คัดจมูกมากจนนอนหลับไม่ได้ หรือมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้อีกมากมาย เช่น ไซนัสอักเสบ แก้วหูอักเสบ ต่อมอดีนอยด์โตจนนอนกรนดังมาก อาจถึงขั้นหยุดหายใจขณะนอนหลับได้
สารก่อภูมิแพ้ที่คนทั่วโลกรวมถึงเด็กไทยด้วย แพ้บ่อยที่สุด คือ “ไรฝุ่น” ซึ่งพบมากบริเวณที่มีฝุ่นปนเปื้อนอยู่ เช่น สิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้ตัวลูก ตุ๊กตา หมอน ที่นอน ผ้าห่ม เปรียบเสมือนภัยมืดที่อยู่ใกล้ตัวลูก ๆ ของเรา ดังนั้นหากลูก ๆ มีอาการคล้ายหวัด แต่เป็นเรื้อรัง เป็นมากขึ้น ๆ หรือมีภาวะแทรกซ้อนเมื่ออยู่ใกล้สิ่งของดังกล่าว ควรไปพบแพทย์โรคภูมิแพ้เพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรคที่ถูกต้องต่อไป
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
1. ตัวเด็กมียีนหรือพันธุกรรมที่แพ้สารก่อภูมิแพ้
2. สารก่อภูมิแพ้ต้องมาสัมผัสใกล้ชิดเด็ก
3. สภาวะที่เหมาะต่อการเกิดโรค เช่น มลภาวะ PM 2.5 ควันรถ/ บุหรี่ การดูแลสุขภาพที่ไม่ดี นอนดึก ไม่ออกกำลังกาย เครียด รับประทานอาหารไม่ครบถ้วน เมื่อมีครบทั้ง 3 ปัจจัย ก็จะเกิดโรคได้
วิธีการรักษา
หากรู้ว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ตัวใดและสามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็จะไม่มีอาการของโรคอีกเลย แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้และมีปัจจัยครบทั้ง 3 ข้อ จะเริ่มรักษา โดย การล้างจมูก ยาพ่นจมูก ยารับประทาน หรือในบางรายต้องได้รับวัคซีนภูมิแพ้ร่วมด้วยจึงจะควบคุมอาการได้
วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคภูมิแพ้

จากปัจจัยด้านพันธุกรรมมีผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะหากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคนี้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคนี้ 60 – 80 % ดังนั้นถ้าเลือกคู่ครองที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวได้ก็จะดีที่สุด แต่ถ้าเลือกไม่ได้แล้ว ควรจะต้องดูแลเด็กตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์ โดยไปฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มแรก ปฏิบัติตามที่สูติแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด พักผ่อนให้พอเพียงรับประทานอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ งดสูบบุหรี่และงดไปแหล่งที่มีมลภาวะสูง
เมื่อเด็กทารกคลอด ควรให้นมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก และให้ต่อไปจนอย่างน้อยอายุ 1 ปี หรือนานที่สุดเท่าที่จะให้ได้ อาหารเสริมควรเริ่มเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป ดูแลสิ่งแวดล้อมของเด็กให้ห่างจากมลภาวะและสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ
กรณีคุณแม่มีปัญหาสุขภาพหรือข้อจำกัดที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ คุณแม่อาจขอคำแนะนำจากแพทย์ในเรื่องของนมสูตรพิเศษ ที่เป็นสูตร Hypo-Allergenic (HA)ซึ่งมีโปรตีนผ่านการย่อยบางส่วน (partial hydrolysate formula) ร่วมกับ เติม Probiotics คือ เชื้อจุลลินทรีย์ชนิดดี เช่น Bifidus BL (B. lactis), LGG, L. reuteri เป็นต้น และอาจจะเติม Prebiotics คืออาหารของเชื้อจุลลินทรีย์ชนิดดี เช่น Lactose, GOS, IcFOS, 2’-FL เป็นต้น สุดท้ายแล้ว เมื่อเราดูแลลูกได้ดังที่กล่าวมาแล้ว คงทำให้เด็ก ๆ ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ลดลงได้บ้างไม่มากก็น้อย
อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check
#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

ขอบคุณข้อมูลจาก : นพ. วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ โรคหืด และ วิทยาภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลวิภาราม
พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

ภูมิแพ้ในเด็ก สาเหตุ อาการ วิธีรักษา โดยกุมารแพทย์เฉพาะทาง
ปัจจุบันปัญหาโรคภูมิแพ้ในเด็กพบมากขึ้นทุกวัน นำมาซึ่งความกังวลใจของคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก เพราะภูมิแพ้เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการที่ร่างกายมีความไวต่อสารกระตุ้นบางอย่างมากกว่าปกติ ซึ่งก็คือสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง ทำให้เกิดอาการผิดปกติในระบบต่างๆของร่างกาย
สาเหตุของโรคภูมิแพ้ในเด็กคืออะไร?
โรคภูมิแพ้ในเด็กเกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม ดังนี้ค่ะ
-
กรรมพันธุ์ เป็นปัจจัยสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด หากคุณพ่อหรือคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าเด็กปกติที่ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น หากคุณพ่อหรือคุณแม่เป็นโรคหืด ลูกก็จะมีโอกาสเป็นโรคนี้เช่นกันประมาณ 25% แต่หากทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นโรคหืด ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงถึง 50% หรือ หากพี่แพ้อาหารก็จะมีโอกาสสูงที่น้องจะแพ้อาหารเช่นเดียวกัน เป็นต้น
-
สิ่งแวดล้อม ได้แก่สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กซึ่งบางครั้งอาจสัมผัสตั้งแต่อยู่ในท้องคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ สุนัข แมว ละอองเกสร หรือสารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็นอาหาร เช่น นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลี อาหารทะเล หรือสารระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป มลภาวะต่างๆ นอกจากนี้การติดเชื้อในระบบทางดินหายใจของเด็กเอง เช่น RSV, rhinovirus ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งแวดล้อมอันจะเป็นสาเหตุร่วมกันในการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กได้
อาการของโรคภูมิแพ้ในเด็กเป็นอย่างไร?
อาการต่าง ๆ ของโรคภูมิแพ้ในเด็กที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ อาจแบ่งเป็นอาการผิดปกติของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งหากมีลูกมีอาการเหล่านี้หลายอาการพร้อม ๆ กัน ก็อาจมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้มากขึ้น ดังนี้ค่ะ ระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ อาการทางระบบทางเดินหายใจส่วนต้น เช่น คันจมูก จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือเช้ามืด หรือได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น หายใจหอบเหนื่อย ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน หลังจากวิ่งเล่น ออกกำลังกาย ระบบผิวหนัง ได้แก่ มีผื่นคันเรื้อรังเป็นๆหายๆโดยเฉพาะที่บริเวณแก้มใบหน้าและแขนขาด้านนอกในเด็กทารก หรือบริเวณข้อพับต่างๆในเด็กโต หรือมีผื่นลมพิษ ตาบวม ปากบวมเป็นๆหาย ๆ ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือดปน ท้องอืด อาเจียน ท้องเสียเรื้อรัง หรือมีอาการแหวะนมบ่อยในทารก ระบบหัวใจและหลอดเลือด มีความดันต่ำ ช็อก หมดสติ เป็นลมเฉียบพลันทันที ในภาวะแพ้อย่างรุนแรง

โรคภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในเด็กคืออะไร?
ตัวอย่างโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในเด็ก ได้แก่
-
โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้: เป็นโรคภูมิแพ้ที่มักจะเกิดขึ้นในเด็กอายุมากกว่า 2 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยจะมีอาการระบบทางเดินหายใจส่วนบน คือ จมูก ได้แก่ คันจมูก จาม คัดจมูก น้ำมูกไหลและอาจมีอาการร่วมของอวัยวะอื่นๆที่ไม่ใช่จมูกแต่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น คันตา คันในคอ หูอื้อ ร่วมด้วยได้
-
โรคหืด: เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบได้ตั้งแต่เด็กวัยทารก ผู้ป่วยจะมีปัญหาของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ หลอดลม โดยมีอาการหายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก ไอเรื้อรังช่วงกลางคืนมากกว่ากลางวัน เหนื่อยง่ายขณะออกกำลังกาย ซึ่งเกิดจากการที่มีหลอดลมตีบ
-
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ: ผู้ป่วยเด็กจะมีอาการผื่นคันเรื้อรัง เป็นๆหายๆ ผิวแห้ง ผื่นแดง มีขุย อาจมีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม มีการกระจายของผื่นที่จำเพาะในวัยต่าง ๆ คือ ทารก ผื่นมักเป็นบริเวณแก้ม คอ ใบหน้า ด้านนอกของแขนขา ส่วนเด็กโต ผื่นมักเป็นตามข้อพับแขนขา หลัง ข้อมือ ข้อเท้า
-
โรคแพ้อาหาร: เด็กที่แพ้อาหารมักมีอาการผิดปกติในระบบต่างๆ ตั้งแต่วัยทารกหรือเด็กเล็ก หลังจากเริ่มทานอาหารที่แพ้บ่อย เช่น นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลีและอาหารทะเล โดยอาจมีอาการผิดปกติในระบบใดระบบหนึ่งหรือหลายระบบร่วมกัน ได้แก่ อาการทางผิวหนัง เช่น ผื่นลมพิษ ผื่นแดงคันทั่วตัว ปากบวม ตาบวม อาการในระบบทางเดินหายใจ เช่น หายใจหอบเหนื่อย มีเสียงหายใจดังผิดปกติ มีน้ำมูกเหมือนเป็นหวัดเรื้อรัง อาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น ถ่ายอุจจาระมีมูกปนเลือด อาเจียนและท้องเสียเรื้อรัง เป็นต้น
หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคภูมิแพ้จะสามารถทำการทดสอบได้อย่างไร?
หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคภูมิแพ้ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกน้อยมารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมจากคุณหมอภูมิแพ้ เพื่อจะได้รับการซักประวัติอาการอย่างละเอียด ตรวจร่างกายและทำทดสอบภูมิแพ้ ซึ่งมีวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
-
การทดสอบหาสารก่อภูมิแพ้ โดยการสะกิดผิวหนัง (Skin prick test) คือการนำน้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ มาทำการทดสอบที่ผิวหนังของผู้ป่วย เพื่อให้ทราบว่าแพ้สารใด ซึ่งเป็นการทดสอบที่มีความไวและความจำเพาะสูง ทำง่าย และราคาไม่แพง สามารถทราบผลได้ทันที ผู้ป่วยสามารถเห็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นด้วยตาของตนเอง มีขั้นตอน คือ การหยดน้ำยาที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ลงบนผิวหนังของผู้ป่วย ใช้เครื่องมือทดสอบ สะกิดที่ผิวหนังของผู้ป่วย (ท้องแขน สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต หรือที่หลัง สำหรับเด็กเล็กที่ไม่ค่อยร่วมมือ) อ่านผลหลังทำ 15-20 นาทีหากผู้ป่วยแพ้สารใดก็จะเกิดปฎิกิริยาเป็นตุ่มนูนแดง คัน ในตำแหน่งที่ตรงกับทดสอบสารก่อภูมิแพ้นั้น
-
การทดสอบหาสารก่อภูมิแพ้ โดยการตรวจเลือด (Serum specific IgE) เป็นการทดสอบเพื่อตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ ด้วยการเจาะเลือดเพื่อหาปริมาณอิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละชนิด (Serum specific IgE) ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะกับการทำในผู้ป่วยที่ เป็นโรคผิวหนังหรือมีปฏิกริยาทางผิวหนังง่ายผิดปกติ ไม่ได้งดยาแก้แพ้มาก่อนตรวจ เด็กเล็ก และผู้มีโอกาสเกิดปฏิกริยารุนแรงจากสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งไม่สามารถทำการทดสอบด้วย skin prick test ได้ มีขั้นตอนเพียงการเจาะเลือดส่งตรวจ โดยเจาะเพียงครั้งเดียวก็สามารถตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ได้หลายชนิด แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทดสอบ skin prick test และต้องรอผลประมาณไม่เกิน 1 สัปดาห์
-
การทดสอบการแพ้อาหารด้วยการรับประทานอาหารทีละน้อย (Oral food challenge test) หากสงสัยว่าลูกแพ้อาหาร สามารถทำได้โดยทำการทดสอบภูมิแพ้ เช่น การทดสอบทางผิวหนัง หรือการตรวจเลือด เพื่อช่วยในการวินิจฉัย แต่หากทำทดสอบภูมิแพ้เหล่านี้แล้วได้ผลเป็นลบ คุณหมออาจพิจารณาทำทดสอบปฏิกิริยาการแพ้อาหาร โดยการทานอาหารนั้นทีละน้อย (Oral food challenge test) และค่อยๆ เพิ่มปริมาณอีกเท่าตัวทุก 15-30 นาที จนกระทั่งถึงปริมาณอาหารมาตรฐานสากลที่ไม่แพ้ ระหว่างการทดสอบ จะมีการบันทึกสัญญาณชีพเป็นระยะๆ รวมถึงสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากมีการแพ้รุนแรงเกิดขึ้น ก็จะได้รับการฉีดยารักษาเพื่อระงับการแพ้ทันที ซึ่งการทดสอบนี้จะเป็นการทดสอบขั้นสุดท้าย ที่พิจารณาทำในผู้ป่วยบางราย สำหรับผู้ป่วยเด็กเพื่อความปลอดภัยอาจใช้ในกรณีที่ทำทดสอบ skin test หรือตรวจเลือดแล้วได้ผลบวก แต่สงสัยว่าผู้ป่วยไม่ได้แพ้จริง หรือ ติดตามว่าหายจากการแพ้แน่นอนแล้วหรือยัง ซึ่งการทดสอบเหล่านี้สามารถทำได้อย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของคุณหมอภูมิแพ้ค่ะ

การรักษาโรคภูมิแพ้ในเด็กมีวิธีอย่างไรบ้าง?
หลักในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจมีอยู่ 3 ข้อใหญ่ ๆ ดังนี้
-
หลีกเลี่ยงหรือควบคุมสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เหลือน้อยที่สุดตามชนิดสารก่อภูมิแพ้
-
การดูแลสุขภาพทั่วไป คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
-
การใช้ยา เช่น
-
ยาต้านฮีสตามีน ยาลดอาการคัดจมูกทั้งชนิดรับประทานและชนิดพ่น ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก สำหรับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
-
ยาสูดขยายหลอดลม, ยาสูดสเตียรอยด์, ยาต้านสาร leukotriene สำหรับโรคหืด
-
ยาสเตียรอยด์ชนิดทา ยาทาต้านการอักเสบของผิวที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โลชั่นบำรุงผิวลดการอักเสบ สำหรับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ นอกจากนั้นยังมี การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ สำหรับผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ และโรคหืด ที่หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่แพ้ไม่ได้ หรือมีอาการรุนแรงและใช้ยาแล้วไม่ได้ผล ไม่สามารถหยุดยาได้ หรือไม่อยากใช้ยาแล้ว
คุณพ่อคุณแม่สามารถลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกได้อย่างไร? เนื่องจากโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดทั้งทางด้านพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลเพื่อป้องกันการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกโดยการจัดการกับสิ่งแวดล้อมต่างๆที่อยู่รอบตัวลูก ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่ก่อนลูกเกิด ดังนี้ค่ะ
-
ก่อนการคลอด : คุณแม่ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย ครบ 5 หมู่ โดยไม่ทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินกว่าปกติ เช่น ดื่มนมวัววันละเป็นลิตร หรือทานไข่วันละ 2-3 ฟองทั้งที่ปกติไม่ค่อยได้ทาน เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพ้อาหารชนิดนั้นกับลูกได้ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ในทางเดินหายใจได้บ่อย เช่น อยู่ในที่มีฝุ่นเยอะ หรืออยู่ในสถานที่ซึ่งมีผู้สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่ระหว่างการตั้งครรภ์
-
ระหว่างการคลอด : หากไม่มีข้อบ่งชี้ในการคลอดด้วยวิธีผ่าคลอดคุณแม่ควรเลือกวิธีการคลอดลูกโดยการคลอดแบบธรรมชาติเพราะช่องคลอดของคุณแม่มีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งเรียกว่า โพรไบโอติกอยู่ปริมาณมาก เมื่อทารกเคลื่อนตัวผ่านทางช่องคลอด ระหว่างการคลอดก็จะได้สัมผัสกับโพรไบโอติกนั้นเข้าไปในปากและผ่านลงไปในลำไส้ของทารก ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกได้
-
หลังการคลอด : ควรให้ลูกน้อยได้ทานนมแม่เพียงอย่างเดียว ในช่วงระยะเวลา 4-6 เดือนแรกของชีวิต เพื่อโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้และเมื่อลูกน้อยอายุครบ 6 เดือน คุณแม่และคุณพ่อควรให้ลูกได้ทานอาหารตามวัยอย่างเหมาะสม ไม่ควรเริ่มอาหารช้ากว่าวัยอันควร โดยเริ่มจากอาหารกลุ่มที่ไม่เสี่ยงต่อการแพ้ก่อน ส่วนอาหารที่เสี่ยงต่อการแพ้ เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของนมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลี และอาหารทะเล ก็ควรจะค่อย ๆ เริ่มทานในเวลาต่อมา และสังเกตว่ามีอาการแพ้หรือไม่
โรคภูมิแพ้ในเด็กมีทั้งโรคที่สามารถหายได้เอง เช่น แพ้อาหาร จำพวก นมวัว ไข่ ถั่วเหลืองและแป้งสาลี รวมถึงโรคที่อาจไม่สามารถหายสนิทในผู้ป่วยบางราย เช่น โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ แต่หากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมก็จะสามารถควบคุมอาการของโรคให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีและเป็นปกติสุขได้นะคะ
รักลูก Community of The Experts
รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี
กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า
เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวอากาศร้อน สักพักฝนตก เจ้าตัวเล็กอาจจะมีอาการของระบบทางเดินหายใจ
จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเริ่มเข้าใกล้โรคภูมิแพ้แล้ว
ฟังวิธีการสังเกต และวิธีการดูและเมื่อลูกเป็นโรคภูมิแพ้โดย The Expert รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชณรังษี
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

เป็นหวัดหรือภูมิแพ้กันแน่ แตกต่างกันตรงไหน ?
บางครั้งโรคจมูกอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส (viral rhinitis) หรือหวัด (common cold) กับโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (allergic rhinitis) อาจมีอาการคล้ายกัน
โรคจมูกอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส (viral rhinitis) หรือหวัด (common cold)
ทำให้ผู้ป่วยมีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหรือมึนศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล (ใส หรือขุ่น) สาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้ภูมิต้านทานน้อยลง และมีการติดเชื้อไวรัสตามมาได้แก่ เครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ โดนหรือสัมผัสอากาศที่เย็นมากๆ เช่น ขณะนอนเปิดแอร์ หรือพัดลมเป่าจ่อ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า หรือไม่ได้ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเพียงพอ การดื่มหรืออาบน้ำเย็น ตากฝน
หรือสัมผัสกับอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น จากร้อนเป็นเย็น เย็นเป็นร้อน หรือมีคนรอบข้างที่ไม่สบายคอยแพร่เชื้อให้เราทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคได้แก่ rhinovirus, influenza, parainfluenza, adenovirus ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักจะหายได้เองภายใน 7 – 10 วัน โดยไม่ต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ ถ้าผู้ป่วยปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง และเหมาะสม
โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (allergic rhinitis) หรือโรคแพ้อากาศ
ทำให้ผู้ป่วยมีอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหลออกมาทางจมูก หรือไหลลงคอ คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ นานมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป อาการดังกล่าว มักจะมีอาการ เป็นๆ (มีเหตุมากระตุ้น)
หายๆ (ไม่มีเหตุมากระตุ้น) เมื่อผู้ป่วยมีอาการ ต้องมีเหตุที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการนำมาก่อน เช่น
- ความเครียด, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, อารมณ์เศร้า, วิตก, กังวล, เสียใจ
- ของฉุน, ฝุ่น, ควัน, อากาศที่เปลี่ยนแปลง
และอาการดังกล่าวจะดีขึ้นเองหลังหมดเหตุดังกล่าว หรือดีขึ้นหลังได้รับประทานยาแก้แพ้ ผู้ป่วยอาจมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ [เช่น โรคเยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้, โรคหืด, โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ หรือที่เรียกว่ากลุ่มโรคอะโทปี (atopic diseases or atopy)] ในสมัยเด็ก หรือในปัจจุบัน เนื่องจากโรคภูมิแพ้ เป็นกลุ่มของโรคที่แสดงอาการได้กับหลายระบบของร่างกาย นอก จากนั้นผู้ป่วยอาจมีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆดัง กล่าว เนื่องจากโรคภูมิแพ้ดังกล่าวมีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้
ตารางแยก 2 โรคออกจากกันระหว่าง หวัด กับ ภูมิแพ้
|
โรคจมูกอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส (viral rhinitis) หรือหวัด (common cold)
|
โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (allergic rhinitis)
|
- น้ำมูกข้น (อาจจะใสก็ได้)
- ตัวร้อน มีไข้ได้
- ติดต่อได้
- เจ็บคอ หรือ แสบคอ
- เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
- •สัมผัสเชื้อโรคแล้วต้องใช้เวลาฟักตัวนานกว่าจะเกิดอาการ
|
- น้ำมูกใส
- ไม่ตัวร้อน ไม่มีไข้
- ไม่ติดต่อ (อาจติดต่อทางกรรมพันธุ์)
- คันคอ
- เป็น ๆ หาย ๆ
- สัมผัสสารก่อภูมิแพ้แล้วจะเกิดอาการในไม่ช้า
|
รศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน
ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ลูกเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกแพ้นมวัว หรือแม้แต่ลูกแพ้อาหาร สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ แต่รู้ไหมว่านมแม่ช่วยลดอาการภูมิแพ้ในเด็กของลูกเล็กได้นะ
คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะ ว่า โรคภูมิแพ้ ภูมิแพ้ในเด็ก หรือลูกที่เป็นภูมิแพ้ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้โดยไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ด้วยแล้วล่ะก็ ลูกเราอาจมีความเสี่ยงหรือมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้สูงถึง 80% เลยทีเดียว
ลูกเป็นโรคภูมิแพ้ ถ่ายทอดจากพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว แต่นมแม่ช่วยได้
อาการบางอย่างของโรคภูมิแพ้ คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตความผิดปกติเองได้ เช่น ไอจามยาวๆ คัดจมูกฟึดฟัด หายใจไม่ออก นอนกรน ฯลฯ ซึ่งเป็นสัญญาณของอาการโรคภูมิแพ้ของลูก แต่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้คือ สาเหตุหลักที่กระตุ้นให้ลูกแสดงอาการของโรคภูมิแพ้ออกมา ดังนั้นหากเรารู้สาเหตุหลักก็จะสามารถป้องกันและดูแลกันได้อย่างถูกต้องเพื่อลดและเลี่ยงความเสี่ยงของอาการภูมิแพ้ในเด็กค่ะ

แพ้อาหาร แพ้นมวัว ตัวการสำคัญที่กระตุ้นและทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ในเด็ก
โรคภูมิแพ้ในเด็กเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยสุดคือ การแพ้อาหาร โดยเฉพาะการแพ้โปรตีนนมวัว เนื่องจากโมเลกุลของโปรตีนนมวัวที่มีขนาดใหญ่ พอถูกดูดซึมจะเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของเด็กทารกที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม พยายามกำจัดออกจนเกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น เป็นผื่นแพ้ผิวหนัง ปวดท้อง เป็นหวัดบ่อย หายใจมีเสียงวี้ด บางรายถึงขั้นอาเจียน หอบเหนื่อย ถ่ายเป็นเลือด และอาจถึงภาวะช็อคได้
นอกจากนี้ การแพ้โปรตีนนมวัวยังมักเป็นอาการเริ่มแรกที่อาจลุกลามไปสู่อาการแพ้อื่นๆ ตามมาในอนาคต จนอาจเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการของลูกในระยะยาว คุณพ่อคุณแม่จึงยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันไม่ให้ลูกเกิดโรคภูมิแพ้ตั้งแต่ในขวบปีแรก

นมแม่ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ในเด็กได้
ศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะนำว่า การรักษาโรคแพ้นมวัวเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ใช้เวลานาน และส่งผลเสียต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
การให้นมแม่ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ได้ดีที่สุด แพทย์จึงแนะนำให้เด็กหลังคลอดดื่มนมแม่อย่างเดียวจนถึง 6 เดือนแรก เพื่อลดโอกาสการแพ้นมวัว เพราะธรรมชาติได้สร้างให้น้ำนมแม่มีโปรตีนรูปแบบเฉพาะที่ไม่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ และยังมีองค์ประกอบที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ลูกหลายชนิด เช่น พรีไบโอติก
ในบางกรณีที่คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่กับลูกได้ เช่น คุณแม่อยู่ในระหว่างรักษาโรคติดเชื้อในกระแสเลือด ทำคีโมรักษามะเร็ง เป็นอีสุกอีใส ฯลฯ การเลือกนมสำหรับเด็กเพื่อทดแทนนมแม่ในช่วงดังกล่าวมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคภูมิแพ้ หรือไฮโปแอลเลอเจนิค (H.A. Hypo-Allergenic) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลูกได้ค่ะ เพราะนมดังกล่าวจะได้รับการพัฒนาและผ่านกระบวนการย่อยสลายโปรตีนเวย์ให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลง* พร้อมเสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยพรีไบโอติกในสัดส่วนที่มีผลการวิจัยยืนยันว่า ช่วยลดการเกิดผื่นแพ้ผิวหนังได้ถึงกว่า 50% ปกป้องลูกน้อยยาวนานจนอายุ 5 ปี
มาทดสอบความเสี่ยงโรคภูมิแพ้ในเด็ก ลูกแพ้นมวัว ลูกแพ้อาหารกันเถอะ
ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนสงสัยว่า ลูกเรามีความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็ก แพ้นมวัว หรือแพ้อาหารหรือไม่ เราสามารถเช็คเบื้องต้นได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ เพื่อหาวิธีป้องกัน ลดความเสี่ยง รวมถึงรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยค่ะ
Remark: * ตามแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้ของประเทศไทย โดยสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย

(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

ปัจจุบันแม่เลือกผ่าคลอดลูกมากขึ้นด้วยเหตุผลต่างกัน การผ่าคลอดเสี่ยงทำให้ลูกเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นตามไปด้วยจริงไหม คุณหมอมีข้อเท็จจริงมาบอกค่ะ
หมอมาแนะเอง! แม่เลือกผ่าคลอด เพิ่มความเสี่ยงลูกเป็นภูมิแพ้
ปัจจุบันทารกที่คลอดด้วยการผ่าตัดนั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคภูมิแพ้ สูงกว่าทารกที่คลอดด้วยวิธีธรรมชาติ โดยเฉลี่ยเด็กมากกว่า 30-40 % จะป่วยเป็น โรคภูมิแพ้ และในอนาคตเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะภูมิแพ้ เช่น พันธุกรรม มลพิษที่มีอยู่ทั่วไป อายุที่เปลี่ยนแปลง และส่วนหนึ่งที่องค์การอนามัยโลกได้วิจัยมาแล้วว่า เกิดจากการคลอดทารกโดยวิธีผ่าตัดทางหน้าท้อง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เด็กจำนวนมากป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
ปกติแล้วเมื่อครบกำหนดก็จะคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ คือ ทารกจะเคลื่อนออกจากมดลูกผ่านลงมายังช่องคลอด และได้รับจุลชีพโพรไบโอติกที่เป็นประโยชน์ ซึ่งอยู่ในช่องคลอดและในลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง ใกล้ ๆ ทวารหนักของคุณแม่ รวมถึงที่ปนอยู่กับมูกเลือดในช่องคลอด ผ่านเข้าทางปากและจมูกของทารก โดยจุลชีพนี้จะไปกระตุ้นให้ร่างกายเริ่มพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สมบูรณ์
ต่างจากวิธีการผ่าตัดคลอดที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน ที่ทารกจะคลอดออกมาทางแผลผ่าตัดหน้าท้อง ทำให้หมดโอกาสที่จะได้รับจุลชีพโพรไบโอติกในช่องคลอดและลำไส้ใหญ่ส่วนล่าง นอกจากนี้ในการผ่าตัดคลอด คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อขณะผ่าตัด ทำให้เชื้อจุลชีพ ทั้งเชื้อก่อโรคและโพรไบโอติกถูกฆ่าทำลายไปด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้ทารกหมดโอกาสที่จะได้รับจุลชีพโพรไบโอติก และอาจได้รับเชื้อจุลชีพก่อโรคภายในโรงพยาบาล
ปัจจุบันมีทารกและเด็กเป็นภูมิแพ้มากขึ้นจนน่าเป็นห่วง เมื่อดูประวัติการคลอดพบว่า เด็กที่คลอดโดยการผ่าตัดคลอด มีอัตราการเจ็บป่วยมากกว่าเด็กที่คลอดด้วยวิธีปกติ 3-4 เท่า อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปสูติแพทย์จะแนะนำให้คุณแม่ทุกคนคลอดด้วยวิธีธรรมชาติตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ก่อน เพราะเสียเลือดน้อย ฟื้นตัวไว เจ็บแผลน้อยกว่า และมดลูกกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วกว่าการผ่าคลอด ซึ่งควรเป็นทางเลือกที่มีความจำเป็นสำหรับคุณแม่และทารก หรือ ตามข้อบ่งชี้ของมาตรฐานการดูแลสตรีมีครรภ์ขณะคลอดเท่านั้น
ผศ.นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ
ภาควิชาสูติศาสตร์ –นรีเวชวิทยา
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โรคภูมิแพ้ในเด็กเป็นหนึ่งในความกังวลของพ่อแม่ว่า ลูกเราเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ อาการคัน มีผื่นแดง หรือจามบ่อย ๆ เพราะลูกกำลังแพ้อาหาร แพ้อากาศ หรือ เป็นภูมิแพ้แล้วใช่ไหม เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ พญ. เพลินพิศ ลิขสิทธิพันธ์ กุมารแพทย์ด้านโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ จะมาแนะนำการตรวจภูมิแพ้ในเด็กค่ะ
ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยเด็กมีอาการทางภูมิแพ้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แพ้อาหาร ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ ภูมิแพ้จมูกอักเสบหรือหอบหืด การหาสาเหตุว่าผู้ป่วยแพ้อะไร หรือที่เรียกว่า “การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้” ในปัจจุบัน สามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่
การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้วิธีที่ 1: การทดสอบทางผิวหนัง (skin test)
การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ด้วยวิธีทดสอบทางผิวหนัง เป็นการทดสอบโดยหยดน้ำยาสารก่อภูมิแพ้ แล้วใช้ปลายเข็มสะกิดผิวหนัง ไม่มีเลือดออก ทำง่าย ใช้เวลารอผลเพียง 15 นาที โดยก่อนทำการทดสอบนี้จะต้องหยุดยาแก้แพ้ แก้หวัด แก้เมารถอย่างน้อย 7 วันก่อนการตรวจ แต่ยังสามารถใช้ยาพ่นทางจมูก ยาพ่นแก้หอบ หรือรับประทานยา singulair และ pseudoephridine ได้
การทำการทดสอบทางผิวหนังนั้น ทำได้ที่ท้องแขนหรือแผ่นหลัง ในกรณีเด็กเล็ก ปกติสามารถทำได้ตั้งแต่เด็ก อายุ 3 เดือน แต่ในเด็กเล็ก น้อยกว่า 1 ปี การตอบสนองทางผิวหนังอาจไม่ดีมากเท่าเด็กโต
ข้อดีของวิธีนี้ คือ ราคาไม่แพง ทำได้เร็ว รอผลได้เลย และมีความไวของการทดสอบกว่าการเจาะเลือด ส่วนความแม่นยำ ถ้าผู้ป่วยแพ้แบบรุนแรง สามารถ เห็นผลได้ชัดเจน
การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้วิธีที่ 2: การเจาะเลือด (specific IgE)
การตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด เป็นการเจาะหา IgE (แอนติบอดีชนิด E) ของร่างกายที่ตอบสนองต่อ สารก่อภูมิแพ้ การเจาะเลือดสามารถทำได้เลย ไม่ขึ้นกับการรับประทานยาใด ๆ หลังทำต้องรอผลประมาณ 1 สัปดาห์ มีราคาแพง แต่สามารถเจาะเลือดสารก่อภูมิแพ้ ได้ละเอียดมากหลายตัว เช่น การแพ้อาหาร สามารถบอกโมเลกุลของอาหารที่แพ้ว่า แพ้อาหาร ที่ผ่านความร้อนสูงได้หรือไม่ วิธีนี้มีความไว (sensitivity) น้อยกว่าการทำทดสอบทางผิวหนังแต่มีความจำเพาะ (specificity) มากกว่า
การทดสอบวิธีนี้เป็นการตรวจหา IgE ซึ่งบ่งบอกถึงอาการแพ้ฉับพลัน ได้แก่ ผื่นแพ้แบบลมพิษ การแพ้แบบรุนแรง (ผื่นลมพิษ ตาบวม หอบ) หรือภาวะภูมิแพ้จมูกอักเสบเรื้อรัง ต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ การแพ้อาหารแบบสะสม ที่ต้องใช้เวลาในการกินหลายวันถึงหลายสัปดาห์ ผู้ป่วยถึงจะมีอาการ เช่น ครืดคราด คัดจมูก ท้องเสีย น้ำหนักตัวน้อย หรือ ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง อาจตรวจไม่พบด้วยสองวิธีนี้
ส่วนการตรวจในต่างประเทศหรือบางห้องปฏิบัติการที่เป็นการตรวจแบบหา IgG (แอนติบอดีชนิด G) นั้น ปัจจุบันยังไม่เป็นที่น่าเชื่อถือต่อการค้นหาสารก่อภูมิแพ้ อีกทั้งยังมีราคาแพงมากกว่าสองวิธีที่กล่าวไป
ดังนั้นหากผู้ปกครองของเด็กภูมิแพ้ทั้งหลายสนใจ ต้องการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ สามารถปรึกษากุมารแพทย์ทั่วไป หรือ พบกุมารแพทย์เฉพาะทางด้านภูมิแพ้เพื่อปรึกษาก่อนได้รับการตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ ค่ะ
รักลูก Community of The Experts
พญ. เพลินพิศ ลิขสิทธิพันธ์
กุมารแพทย์ด้านโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

Covid-19 VS ภูมิแพ้อากาศ ต่างกันอย่างไร
โรค covid-19 ถึงจะมีอาการคล้ายโรคภูมิแพ้อากาศ แต่ก็มีข้อต่างกันอยู่ค่ะ วันนี้แม่แอดมินมีวิธีสังเกตอาการของ 2 โรคมาฝากค่ะ
โคโรนาไวรัส (Coronavirus) ชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า severe acute respiratory syndrome coronavirus 2 (SARS-CoV-2) ทำให้เกิด “Coronavirus disease 2019” หรือที่เรารู้จักดีในชื่อ “โควิด-19” (COVID-19) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ในเมืองอู่ฮั่น ในเดือนธันวาคม 2562
อาการ Covid-19
- มีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา
- น้ำมูกไหล จมูกได้กลิ่นน้อยลงหรือไม่ได้กลิ่น
- ไอแห้ง มีเสมหะ เจ็บคอ
- เหนื่อยหอบ หายใจถี่
- บางรายคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียร่วมด้วย
- ปวดเมื่อยตามตัว ทานอาหารไม่ค่อยได้
โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศเป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย และอุบัติการณ์ของโรค จมูกอักเสบภูมิแพ้ ในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
สารก่อภูมิแพ้ในประเทศไทยที่พบบ่อยที่สุดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการ คือ ไรฝุ่น และผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ มักจะแพ้สารก่อภูมิแพ้หลายชนิด โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้
อาการภูมิแพ้อากาศ
- ไม่มีไข้
- น้ำมูกไหล คัดจมูก คันตา ตาบวม น้ำตาไหล
- ไอแห้ง บางรายมีเสมหะ
- บางรายแน่นหน้าอก หายใจไม่คล่อง
- ไม่มีอาการท้องเสีย
- ไม่พบอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว
เทียบให้ชัด! แล้วหมั่นสังเกตเจ้าตัวน้อยและคนในครอบครัวด้วยนะคะ หากพบว่ามีไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ไปพื้นที่เสี่ยง ขอให้รีบพาไปตรวจโควิดโดยเร็วที่สุดค่ะ
ที่มา : กรมอนามัย , คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

ภูมิแพ้เรื่องไม่เล็ก ยิ่งลูกเล็กคือเรื่องใหญ่ คุณแม่รู้ไหมคะ ปัจจุบันนี้มีเด็กไทยกว่า 1 ใน 3 คนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ (จากผลสำรวจในปี 2012) ยิ่งเป็นเด็กเล็กยิ่งบอบบางกว่า เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาต่อสิ่งรอบตัวและเกิดอาการแพ้ได้ง่าย แม้สาเหตุหลักๆ ของการเกิดภูมิแพ้มักมาจากพันธุกรรมที่ส่งต่อมาจากคุณพ่อคุณแม่ แต่สิ่งแวดล้อมที่ใหม่สำหรับลูกและอาหารที่กินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถกระตุ้นภูมิแพ้ได้เช่นกัน
ยิ่งในปัจจุบัน ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการเกิดการแพ้ค่อนข้างมาก เพราะมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฝุ่นควันขนาดเล็กที่สร้างมลภาวะทางอากาศ หรือจากอาหารที่มีความหลากหลาย ซึ่งเมื่อร่างกายของเด็กได้รับสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เข้าไป จะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารนั้นๆ ทำให้เกิดอาการและโรคต่างๆ ได้แก่ โรคแพ้อากาศ โรคหอบหืด ผื่นแพ้ผิวหนัง อาการแพ้อาหาร เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดท้อง ถ่ายเหลว อาเจียน เป็นต้น ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคภูมิแพ้ จึงมีความสำคัญในการช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้เป็นอย่างยิ่ง
ปัจจัยกระตุ้นที่แม่ต้องระวัง

ฝุ่นตัวการก่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะเด็กเล็กหากได้รับและสัมผัสฝุ่นบ่อย ๆ อาจจะทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้ค่ะ โดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อสัมผัสและสูดเอาฝุ่นเข้าไปจะเกิดอาการระคายเคืองตา จมูก คอ หลอดลม และผิวหนังมีผื่นคัน ทำให้มีน้ำมูกไหล จามติด ๆ กัน หากมีการแพ้รุนแรงอาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ไอ เหนื่อยง่าย
สัตว์เลี้ยง ภูมิแพ้ในบ้าน แม้ว่าน้องหมาน้องแมวน้องกระต่ายจะถูกเลี้ยงดูอย่างสะอาดสะอ้านแล้วก็ตาม แต่บริเวณขนสัตว์ ผิวหนัง และน้ำลาย ก็มีสารก่อภูมิแพ้อยู่ นอกจากนี้ยังมีฝุ่น และไรฝุ่นที่เรามองเห็นเกาะอยู่บนตัวสัตว์เลี้ยงด้วยค่ะ
ควันบุหรี่ นอกจากยืนหนึ่งเรื่องเป็นสารก่อภูมิแพ้อันดับต้นๆ แล้ว ยังเป็นสารระคายเคืองที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคจมูกอักเสบ ภูมิแพ้และโรคหืด มีการศึกษาวิจัยพบว่า แม่ที่สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์ จะมีผลให้ลูกที่เกิดมามีความเสี่ยงที่จะแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ และมีโอกาสเป็นโรคหืดได้ง่ายกว่าปกติ
นมวัว โปรตีนในนมวัว มีโครงสร้างโปรตีนย่อยยากกว่านมแม่ เพราะมีโมเลกุลขนาดใหญ่ ไม่เหมือนนมแม่ที่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ก็ทำให้เด็กทารกหลายคนไม่สามารถย่อยโปรตีนในนมเหล่านี้ได้ก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน
ภูมิแพ้ส่งผลต่อพัฒนาการลูก

เมื่อเด็กป่วยจากโรคภูมิแพ้ สิ่งที่ต้องเผชิญนอกจากความเจ็บป่วยแล้ว ลูกยังได้รับผลกระทบอื่นๆ ตามมาอีก ได้แก่
ความเครียด เมื่อร่างกายเจ็บป่วย จิตใจก็ย่อมป่วยตามไปด้วย รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับโรค ก็ทำให้เด็กประสบภาวะความเครียดได้เช่นกัน
กระทบพัฒนาการและการเรียนรู้ เมื่อเจ็บป่วยบ่อยหรือมีอาการแพ้รุนแรงจนต้องหยุดเรียน ไปหาหมอ หรือนอนพักรักษาตัว ทำให้เด็ก ๆ ต้องขาดเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน อาจส่งผลกระทบต่อการนอนหลับพักผ่อน ทำให้ลูกพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางสมองได้เช่นกัน
กระทบการนอนหลับพักผ่อน บ่อยครั้งที่ผื่นแพ้ผิวหนังรบกวนการนอนหลับของลูก ทำให้เด็ก ๆ ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ
มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เสี่ยงติดเชื้อ ในกรณีที่ลูกมีผื่นแพ้ผิวหนังและผื่นแพ้สัมผัสที่ทำให้มีอาการคันมาก อาจทำให้ลูกเกาจนเกิดแผลถลอก ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
มีปัญหาเรื่องการกิน เด็กที่แพ้อาหารบางรายอาจมีการเบื่ออาหาร กินอาหารน้อยลง หรือปฏิเสธอาหาร
ป้องกันลูกห่างไกลจากภูมิแพ้
1. จัดการสิ่งแวดล้อม ลดตัวกระตุ้นภูมิแพ้
- ใส่เสื้อผ้าเด็กด้วยผ้าคอดตอน ไม่ใช้เสื้อผ้าทีทำจากใยสังเคราะห์
- ตัดเล็บเด็กให้สั้น เพื่อป้องกันการเกิดแผลจากการเกา ใส่ถุงมือตอนนอนเพื่อป้องกันไม่ให้เกาขณะหลับ
- อุณหภูมิร้อนทำให้อาการแย่ลง พยายามให้เด็กอยู่ในที่เย็นและไม่อาบน้ำร้อน
- ใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่อ่อนโยน ไม่แพ้ง่าย (hypoallergenic products) หลังอาบน้ำใช้ผ้าเช็ดตัวซับเบาๆ ไม่ถู แล้วใช้โลชั่นทาหลังอาบน้ำทันที
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอม
- ใช้น้ำเกลือหรือความเย็นประคบบริเวณที่มีผื่นคัน
- ผื่นแพ้ในทารกผิวหนังอาจเกิดจากได้รับการกระตุ้นจากอาหาร ความเครียด ดังนั้นควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นเหล่านี้ด้วย

2. ให้ลูกกินนมแม่
- ให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน และควรกินต่อเนื่องไปจนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น ควบคู่กับอาหารตามวัยที่เหมาะสม เพราะนมแม่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ที่ย่อยง่าย ดูดซึมได้ง่าย จึงไม่จับตัวเป็นก้อนและไม่ตกค้างอยู่ในลำไส้นาน อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่ดี ที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย
- พบว่าสามารถป้องกันโรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้และการเกิดหลอดลมตีบ หายใจมีเสียงวี๊ดจนลูกอายุ 2 ปีได้
3. ดูแลเรื่องอาหารเสริม
- ตามแนวทางปฏิบัติในการป้องกันภูมิแพ้ อาหารเสริมสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ 4-6 เดือน หรือเมื่อเด็กมีพัฒนาการที่พร้อมคือ นั่งโดยมีการพยุงและคอแข็ง โดยกุมารแพทย์มักแนะนำให้เริ่มทีละชนิด และสังเกตอาการอย่างน้อย 3-5 วัน ทั้งนี้ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ ก่อนเริ่มให้อาหารเสริมลูก
- จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าการเริ่มอาหารเสริมในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การเริ่มควรคำนึงถึงลักษณะของอาหาร เช่น เมล็ดถั่วอาจติดคอทารกได้
4. นมผงสูตรโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน
- หากมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว และมีความจำเป็นที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับคำแนะนำการใช้นมสูตรโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน เพราะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภูมิแพ้และป้องกันการเกิดผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้ของประเทศไทย
สิ่งสำคัญที่สุด คือการป้องกันไว้ก่อนที่ลูกจะแพ้ เพราะลูกจะได้มีร่างกายที่แข็งแรง พร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาไปได้อย่างเต็มศักยภาพนั่นเองค่ะ คุณแม่สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเองได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert
ขอบคุณข้อมูลจาก : ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และโรคระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

โรคเลซี่อายและโรคตาเหล่ ต่างกันจริงหรอ!
ตาเหล่เป็นภาวะหรือโรคที่พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก แต่ก็อาจพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยตาดำข้างใดข้างหนึ่งจะมีการเหล่เข้าด้านในทางหัวตาเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจพบได้บ้างที่ตาเหล่ออกด้านนอกทางหางตา ตาแหล่ขึ้นด้านบน หรือตาเหล่ลงด้านล่าง
สาเหตุของตาเหล่
- โรคตาเหล่เกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรม การถามประวัติของบุคคลในครอบครัวร่วมด้วยก็จะสามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคได้
- โรคตาเหล่เกิดจากความพิการของกล้ามเนื้อกลอกลูกตา
- โรคตาเหล่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เด็กที่มีพัฒนาการทางร่างกายช้า
- โรคตาเหล่เกิดจากการมีโรคในตาข้างใดข้างหนึ่งจนทำให้สายตาข้างนั้นมัวลงมากกว่าอีกข้าง เป็นผลทำให้กล้ามเนื้อตาไม่สมดุลและเกิดภาวะตาเหล่
- โรคตาเหล่เกิดจากมะเร็งจอตาในเด็ก เป็นผลทำให้ตาข้างที่เป็นโรคอาจมีระดับสายตาลดลงมากเนื่องมีจากมีก้อนมะเร็งขนาดใหญ่มาบดบังจุดภาพชัด ทำให้เกิดภาวะตาเหล่ตามมา และหากไม่รีบรับการรักษาก็อาจทำให้เด็กเสียชีวิตจากโรคมะเร็งได้
การรักษาตาเหล่ในเด็กเล็ก
หากพบว่าลูกตาแหล่ตั้งแต่เด็ก ๆ การผ่าในช่วงอายุน้อย จะมีผลที่ดีมากกว่าตอนโต ในส่วนของการผ่าตัดมักจะทำให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมลูกตาคลายตัวลง แต่ในบางรายผู้ปกครองอาจทำใจว่า เด็กอาจต้องได้รับการผ่าตัดหลายครั้งเพราะผลการผ่าตัดอาจออกมาได้ทั้งแก้ไขมากเกินไป หรือแก้ไขน้อยเกินไป ซึ่งเวลาที่เด็กโตขึ้น ก็อาจมีตาเหล่ออกนอกหรือเหล่เข้าในตามมาได้อีก
โรคเลซี่อายหรือว่าโรคตาขี้เกียจ
เกิดจากสายตาข้างหนึ่งแข็งแรงกว่าอีกข้างหนึ่งมาก ทำให้สมองใช้แต่สายตาข้างที่แข็งแรง ละเลยข้างที่อ่อนแอไป จนข้างที่อ่อนแอถึงขั้นตาบอด ผู้ที่เป็นโรคนี้เมื่อเลยวัยเด็กแล้วจะรักษาไม่หาย แต่ถ้าทราบทันท่วงทีก่อนถึงอายุ 9 ขวบ ก็มีทางรักษาได้ทัน ด้วยการนำแผ่นผ้าไปปิดดวงตาข้างที่แข็งแรง เพื่อให้ข้างที่อ่อนแอมีโอกาสใช้สายตา เป็นการกระตุ้นการทำงาน
สาเหตุของของโรคตาขี้เกียจ
โรคตาขี้เกียจนั้นเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากความผิดปกติอื่น ๆ ของดวงตา และจะไม่สามารถตรวจพบได้นอกจากผู้ป่วยจะเป็นคนบอกเล่าอาการ จะสามารถสรุปออกได้ 3 สาเหตุดังนี้
1.โรคตาเหล่
เป็นสาเหตุของตาขี้เกียจที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด เพราะดวงตาที่มีอาการเหล่นั้นจะมีการมองเห็นไม่ดีเท่ากับดวงตาที่ปกติ และทำให้ผู้ป่วยต้องเลือกมองด้วยตาเพียงข้างเดียวเพื่อไม่ให้เห็นภาพซ้อน และทำให้ตาอีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้ใช้งานเกิดการมองเห็นที่น้อยลงและมองไม่ชัดในที่สุด ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก
2.ภาวะสายตาทั้งสองข้างสั้น-ยาว หรือเอียงไม่เท่ากัน
ในกรณีที่สายตาทั้งสองข้างเกิดความผิดปกติอย่างเช่น สั้น-ยาว หรือเอียงไม่เท่ากันก็สามารถทำให้เป็นโรคตาขี้เกียจได้ โดยสาเหตุนี้เป็นสาเหตุของโรคตาขี้เกียจที่พบได้รองจากอาการตาเหล่ ยิ่งถ้าหากค่าสายตาทั้งสองข้างห่างกันมาก ก็จะยิ่งทำให้อาการตาขี้เกียจพัฒนาเพิ่มขึ้น อาการนี้หากรีบรักษาด้วยการสวมแว่นตั้งแต่เริ่มเกิดอาการ ก็จะช่วยให้อาการตาขี้เกียจไม่รุนแรงมากนัก
3.ความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกิดจากการมีสิ่งมาบดบังดวงตา
เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็มีความรุนแรงและอันตรายมากที่สุด เพราะสาเหตุนี้อาจเกิดจากภาวะต้อกระจก และภาวะหนังตาตกมาบดบังตาดำตั้งแต่กำเนิด ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยนั้นมีสภาพการมองเห็นที่ไม่ชัดเจน และมีทัศนวิสัยที่แย่ลง
วิธีรักษาอาการตาขี้เกียจ
-
สวมแว่น หรือใส่คอนแทคเลนส์ วิธีนี้เป็นวิธีช่วยให้ตาที่มีความผิดปกตินั้นได้รับการกระตุ้นการมองเห็น และยังช่วยให้ตาข้างที่มีอาการขี้เกียจนั้นถูกกระตุ้นให้ถูกใช้งานมากขึ้นอีกด้วย
-
ผ่าตัดในรายที่มีความผิดปกติเนื่องจากมีสิ่งมาบดบังตาดำนั้น เช่น ต้อกระจก หรือหนังตาตกนั้น การผ่าตัดถือเป็นวิธีที่รักษาได้ผลดีที่สุด เพราะจะช่วยให้ทัศนวิสัยชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ต้องมีการกระตุ้นการใช้ดวงตาข้างที่มีอาการตาขี้เกียจร่วมด้วย เพื่อให้สามารถใช้สายตาได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
-
กระตุ้นการใช้งานข้างที่มีอาการตาขี้เกียจด้วยตนเอง เป็นวิธีที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยวิธีการกระตุ้นการใช้งานดวงตานั้นก็มีตั้งแต่การปิดตาข้างที่ดี และใช้เพียงข้างที่มีอาการตาขี้เกียจ หรือในกลุ่มผู้ป่วยเด็กก็อาจจะใช้ยาหยอดตาที่ทำให้ตาข้างที่ดีมัวลงชั่วคราว จะทำให้เด็กใช้ตาข้างที่เป็นตาขี้เกียจมากขึ้น หรือหากโตขึ้นมาหน่อย ก็สามารถใช้วิธีการบริหารดวงตาด้วยการใช้มือปิดตาข้างหนึ่งแล้วมองด้วยตาอีกข้างเป็นประจำ ก็ช่วยได้เช่นกัน
สรุปคือสาเหตุของของโรคตาขี้เกียจหลักๆ ก็มาจากสายตาผิดปกติหรือตาเหล่นั้นเอง หลังจากอ่านบทความจบคุณแม่ๆ อย่าลืมสังเกตสายตาคู่น้อยๆ ของเจ้าตัวเล็กนะคะ เพราะยิ่งรู้เร็วเท่าไร ก็ช่วยลูกจากตาเหล่ได้เร็วเท่านั้น