facebook  youtube  line

6 วิธีกระตุ้นพัฒนาการสมองลูกทารกตั้งแต่แรกเกิด ได้สนุก ได้เรียนรู้

พัฒนาการสมองเด็กทารก, สมองเด็กทารก, กระตุ้นสมองเด็กทารก, วิธี กระตุ้นสมองเด็กทารก, กระตุ้นสมองทารกยังไง, ต้องกระตุ้นสมองเด็กไหม, กระตุ้นสมองทารกได้ไหม, เล่นอะไร กระตุ้นพัฒนาการสมองเด็ก

พัฒนาการสมองลูกทารกเริ่มต้นตั้งแต่ในท้องแล้วค่ะ และนี่คือ 6 กิจกรรมที่พ่อแม่ควรทำทันทีหลังคลอด เพื่อกระตุ้นพัฒนาการสมองลูกทารกอย่างต่อเนื่อง

6 วิธีกระตุ้นพัฒนาการสมองลูกทารกตั้งแต่แรกเกิด ได้สนุก ได้เรียนรู้

  1. กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกด้วยการคุยกับลูก
    ยิ่งคุยกับลูกน้อยมากเท่าไหร่ ลูกก็จะยิ่งพัฒนาและเรียนรู้เรื่องคำมากขึ้น ที่สำคัญขณะพูดคุยควรแสดงสิ่งของนั้นๆ ให้ลูกเห็นด้วย จะทำให้ลูกเข้าใจมากขึ้นและเร็วขึ้น

  2. กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกด้วยการอ่านหนังสือด้วยกัน
    การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง พร้อมกับดูภาพในหนังสือไปด้วย จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์และอามรมณ์ความรู้สึกของลูกให้มั่นคง ทั้งยังช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ไปด้วย ลูกจะเรียนรู้และรู้จักจับเรื่องราวที่คุณอ่านให้ฟังได้ โดยเฉพาะเรื่องของคำศัพท์ การออกเสียงคำ การอ่านจากซ้ายไปขวา เป็นต้น นอกจากนี้ภาพในหนังสือยังช่วยให้ลูกได้เห็นได้รู้จักกับสิ่งต่างๆ ที่ลูกไม่เคยเห็นนอกเหนือจากสิ่งที่อยู่รอบตัว

  3. กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกด้วยการใช้นิ้วมือทำให้เข้าใจดีขึ้น
    การใช้สัญลักษณ์เพื่อช่วยสื่อสารกับลูก ก่อนที่ลูกจะพูดโต้ตอบได้ เป็นสิ่งสำคัญค่ะ ซึ่งคุณสามารถใช้มือ นิ้วมือเป็นตัวช่วยได้ มีผลการวิจัยที่ชี้ชัดว่าสัญลักษณ์ทางภาษาส่งผลดีต่อไอคิวและพัฒนาการทางภาษาของเบบี้ โดยเขามีการศึกษาวิจัยในเด็กเบบี้จำนวนหนึ่งซึ่งเรียนเกี่ยวกับสัญลักษณ์มือ 20 สัญลักษณ์ พบว่าเด็กกลุ่มนี้สามารถพูดได้เร็วขึ้น และไอคิวก็สูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันที่ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับสัญลักษณ์

  4. กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกด้วยนมแม่ดีที่สุด
    มีผลการวิจัยบอกว่าเด็กในขวบแรกที่ได้รับนมแม่ตลอด จะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้รับนมแม่ อย่างไรก็ตามผลคะแนนที่ได้นี้สูงกว่ากันเพียงเล็กน้อย

  5. กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกในเวลาที่เหมาะสม
    แม้ลูกเล็กต้องการการตอบสนองอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง แต่กระนั้นก็ต้องการเวลาที่จะเรียนรู้หรือพัฒนาด้วยตัวเองด้วย เช่น ลูกต้องการเวลาที่จะเล่นของเล่นเอง ต้องการเวลาส่วนตัวที่จะคลานไปโน่นมานี่เอง เป็นต้น เพราะฉะนั้นเวลาตลอด 24 ชั่วโมงของลูก พ่อแม่ต้องจึงต้องสังเกตและรู้จักตอบสนองลูกให้ถูกจังหวะที่ลูกต้องการ และรู้จักปล่อยจังหวะให้ลูกได้มีเวลาของตนเอง เล่น หรือทำอะไรเองด้วย

  6. กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกด้วยการให้ความอุ่นใจ
    เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกน้อยรู้ว่าทุกความต้องการของเขาจะได้รับการตอบสนองด้วยความรักที่มั่นคงจากพ่อแม่เสมอ แรงขับเคลื่อนในการพัฒนาและเรียนรู้โลกกว้างของลูกก็จะเปี่ยมพลังมากขึ้น และวิธีที่จะทำให้ลูกรู้สึกดังกล่าวได้ คืออ้อมกอดอบอุ่นและสายตาของพ่อแม่ที่มองสบตาลูกทุกครั้ง 

ทั้ง 6 ข้อไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับพ่อแม่ ยิ่งคุณทำได้ดี พัฒนาการทางสมองสติปัญญา และการเรียนรู้ของลูกน้อยก็จะยิ่งมีคุณภาพ และเปี่ยมศักยภาพมากขึ้น


 

6 วิธีรับมือลูกทารกร้องไห้ไม่หยุด ลูกอารมณ์ดีง่ายๆ ด้วยมือมือแม่

ทารก ร้องไห้, ลูก ร้อง ไม่ หยุด, ทารก ร้อง ไม่ หยุด, ลูก ร้องไห้ ไม่มี สาเหตุ, วิธีทำให้ลูกหยุดร้องไห้, วิธีทำให้ทารกหยุดร้องไห้, ทำไม ทารกร้องไห้บ่อย, ทารก ร้องไห้งอแง, ทำยังไงให้ลูกทารกหยุดร้อง, ทำยังไงให้ลูกหยุดร้องไห้

ลูกทารกร้องไห้บ่อย ร้องไห้ไม่หยุด คุณแม่ไม่ต้องร้อนใจ ลองนำ 6 วิธีนี้ไปใช้กัน จะช่วยให้ลูกอารมณ์ดีขึ้นได้ง่าย ๆ ค่ะ 

6 วิธีรับมือลูกทารกร้องไห้ไม่หยุด ลูกอารมณ์ดีง่ายๆ ด้วยมือมือแม่

  1. กระดิ่งลม
    แขวนเจ้านี่ไว้ที่ประตูบ้าน ส่วนที่ลมพัดผ่านได้ เสียงดังกังวานและความเคลื่อนไหวของกระดิ่งช่วยเบนความสนใจและทำให้ลูกสงบขึ้นได้

  2. สัมผัสบรรยากาศนอกบ้าน
    พอเริ่มเตาะแตะแล้ว เด็ก ๆ มักจะชอบออกนอกบ้าน เพราะมีหลายสิ่งรอบตัวแปลกตา ดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี

  3. ห่อตัวทารก
    เด็กเล็กส่วนใหญ่ชอบการห่อตัวค่ะ เพราะทำให้ลูกรู้สึกเหมือนอยู่ในท้องแม่ที่คุ้นเคย

  4. นั่งหน้ากระจก
    จับลูกนั่งตักหน้ากระจกเงาบานใหญ่ เบี่ยงเบนความสนใจได้ดีเชียว เพราะเด็กๆ ชอบที่จะเห็นปฏิกิริยาของตัวเองอยู่แล้วฅ

  5. สถานที่ไร้สิ่งรบกวน
    พาลูกไปที่ที่สงบ ไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ เพราะบางครั้งลูกก็งอแงเพราะมีสิ่งกระตุ้นเร้าเกินไป

  6. เสียงของแม่
    อุ้มลูกไว้แนบอกแล้วคุยกับเขา เสียงนุ่มๆ ของแม่ลดอาการหงุดหงิดของลูกได้ค่ะ

 

Mom's Issue EP 20 : ของเล่น Unisex เล่นได้พัฒนาการดี

 

ป้าปอยและแม่ดอยชวนมาแชร์ไอเดียเลือกซื้อของขวัญให้เด็กๆ ไม่ว่าจะเด็กชายเด็กหญิง เลือกซื้อแบบไหนดี ไปฟังกันเลย

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP 26 (Rerun) : เนื้อหา บทเรียนที่ยากเกินไป ส่งผลอย่างไรต่อการเรียนรู้ของเด็กบ้าง

 

นอกจากประเด็นเรื่องความยากง่ายของการบ้าน มีสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ ระดับการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเด็ก

หากเด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินไป ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรบ้าง รวมไปถึงหลากหลายประเด็นที่คาใจพ่อแม่ ทั้งการเรียนที่ยากและการบ้านที่ต้องทำ

 

ฟังมุมมองนักวิชาการด้านศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า อาจารย์สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

Mom's Issue EP.12 : ชวนลูก Outdoor แก้ปัญหา Indoor Generation

 

แม่ดอยและป้าปอย แนะนำไอเดียพาลูกออกไปทำกิจกรรม Outdoor ที่ไม่ใช่การเดินห้าง ชวนออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ สัมผัส สายลมและแสงแดด ทุกที่ล้วนกระตุ้นพัฒนาการและแก้ปัญหา Indoor Generation มีที่ไหนไปได้บ้าง

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

ของเล่นเด็ก 5 ประเภท เลือกของเล่นให้ลูก เลือกให้ถูก เล่นได้นาน

 
ของเล่นเด็ก- ของเล่นเสริมพัฒนาการ-ของเล่นกระตุ้นพัฒนาการ- ของใช้เด็ก- ให้ลูกเล่นอะไรดี- ซื้อของเล่นอะไรให้ลูกดี- ลูกควรเล่นอะไร- ซื้อของเล่นที่ไหนดี- ของเล่นราคาถูก-ของเล่นดีๆ- ของเล่นที่ลูกเล่นได้นาน-ร้านของเล่น-ขายของเล่น-สินค้าเด็ก-ซื้อของเล่นให้ลูก-การเลือกของเล่นเด็ก-ของเล่นอันตราย- ของเล่น- ประโยชน์ของเล่น-การเลือกของเล่น- เด็กอนุบาล- สุขภาพเด็ก-พฤติกรรมเด็ก-กิจกรรมสำหรับเด็ก- กิจกรรมพัฒนาสมอง-ของเล่นเด็กมีอะไรบ้าง 

"ของเล่น" เป็นสื่อที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก ช่วยทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และช่วยเรื่งความสนุกสนานอีกด้วย แต่อย่าเพิ่งซื้อของเล่นเด็กให้ลูก

ของเล่นเด็ก 5 ประเภท เลือกของเล่นให้ลูก เลือกให้ถูก เล่นได้นาน

ถ้าพ่อแม่ยังไม่รู้ว่าของเล่นเด็กมีกี่แบบและแบบไหนเหมาะกับลูกเรา นี่คือ 5 ประเภทของเล่นเด็กเสริมพัฒนาการที่พ่อแม่ต้องรู้ เลือกได้ถูก เล่นได้นาน ไม่เปลืองเงินซื้อของเล่นบ่อยๆ

ประเภทของของเล่นเด็ก  

1. ของเล่นที่ให้เด็กได้ออกแรง (Active play)

ประเภทกีฬา เช่น ลูกบอล จักรยานสามล้อ อุปกรณ์ยิมนาสติก ประโยชน์คือ เสริมสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง อาจจะรวมถึงอุปกรณ์กีฬา เช่น ไม้แบตมินตันสำหรับเด็ก  

2. ของเล่นที่เด็กต้องสร้างขึ้นและควบคุมการเล่นเอง (Manipulative play)

เด็ก ๆ สามารถต่อ หรือประกอบให้เป็นรูปร่างได้ เช่น เลโก้ ไม้บล็อก จิ๊กซอว์ หรือโมเดลชุดหุ่นยนต์ ประโยชน์คือ ฝึกกล้ามเนื้อมือ และช่วยฝึกทักษะทางด้านคณิตศาสตร์ อย่างการก่อทรายหรือการต่อไม้บล็อก เด็กจะต้องคำนวณให้ฐานใหญ่เพื่อที่ยอดด้านบนจะไม่ล้ม  

3. ของเล่นที่เลียนแบบของจริง (Make-Belive play)

เช่น ชุดจำลองอุปกรณ์ทำครัว ชุดเครื่องมือหมอ และชุดแต่งตัวตุ๊กตาบาร์บี้ เป็นต้น ประโยชน์คือ ฝึกทักษะให้เด็กได้ใช้ของเหมือนจริงเพื่อเติมเต็มจินตนาการ เอื้อให้การเล่นบทบาทสมมติของเด็กสมบูรณ์แบบขึ้น  

4. ของเล่นส่งเสริมจินตนาการ (Creative play)

คือของเล่นประเภท สีน้ำ สีไม้ แป้งโด ดินน้ำมัน หรือเครื่องดนตรี ประโยชน์คือ ส่งเสริมจินตนาการของเด็กให้บรรเจิด  

5. ของเล่นเพื่อการเรียนรู้ (Learning play)

คือ ของเล่นเพื่อการพัฒนาทักษะ เช่น นิทาน หรือเกม ชุดทดลองวิทยาศาสตร์ ประโยชน์คือ ตอบสนองการเรียนรู้ที่ไม่หยุดยั้งของเด็กวัยคิดส์ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเล่นด้วยเพื่อให้ของเล่นนั้นสัมฤทธิ์ผลและไม่ควรเลือกของเล่นที่ยากเกินกว่าเขาจะเข้าใจนะคะ อาจจะเริ่มต้นด้วยเกมเศรษฐี หรือเกมบันไดงู

 

วิธีซื้อของเล่นเด็กให้คุ้มทั้งเงินและประโยชน์กับลูก

  • เหมาะกับวัยของลูก โดยดูจากสัญลักษณ์ที่ระบุไว้ข้างกล่อง  
  • มาตรฐานการันตี สังเกตเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม) เป็นเครื่องหมายที่ใช้ในประเทศไทย  
  • แข็งแรงทนทาน ไม่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนหรือวัสดุที่แตกง่าย ตัวกล่องบรรจุของเล่นต้องแข็งแรงและทนทาน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับของเล่น  
  • วัสดุที่นำมาประกอบต้องไม่เป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่หลุดออกง่าย
  • ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์ ต้องไม่เกิดความร้อนมากเกินไป ไม่เสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าดูด ไม่ใช้ไฟเกินกว่า 24 โวลต์
  • หลีกเลี่ยงของเล่นที่ต้องใช้ความรุนแรงหรือมีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลในการเล่น เช่น ปืน ลูกดอก หรือประทัดที่อันตรายและก่อเสียงดังทำลายหู
  • สีและพลาสติกที่ใช้ต้องไม่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว ปรอท โครเมียม สารหนู พลวง แบเรียม แคดเมียม หรือมีในปริมาณที่มอก.วางมาตรฐานไว้  
  • คำอธิบายชัดเจนบนกล่องของเล่น ระบุถึงส่วนประกอบและวัสดุที่ใช้ทำของเล่น รวมไปถึงโรงงานที่ผลิต ถ้าเป็นของเล่นนำเข้า ต้องมีบริษัทหรือโรงงานที่นำเข้าของเล่น และมีคำอธิบายการเล่นอย่างละเอียดด้วย เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและใช้งานผิดวัตถุประสงค์นั่นเอง   
  • ถ้าเป็นของเล่นที่เลียนแบบเครื่องป้องกันตัว เช่น หมวกกันน็อก หรือแว่นตาที่เลียนแบบนักวิทยาศาสตร์ จะต้องมีข้อความเตือนเหล่านี้ "ไม่สามารถใช้ป้องกันอันตรายได้เหมือนของจริง" "ไม่สามารถใช้ป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลตได้" "อย่าวางใกล้วัตถุไวไฟหรือใกล้ความร้อน" "อย่ายิงใกล้ตาหรือหู"

ของเล่นที่ไม่ควรให้ลูกเล่น

ลูกปัด ลูกแก้ว เมล็ดพืช และของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ด้วยสีสันและขนาด เด็กเล็กอาจจะเผลอไผลนำเข้าปากได้ง่าย

ลูกโป่ง เด็กเล็กอาจเจ็บตัวจากแรงแตกของลูกโป่ง

ของเล่นที่มีสายยาว เพราะถึงแม้กล้ามเนื้อมือกล้ามเนื้อแขนจะพัฒนาไปมากแล้ว แต่ถ้าเชือกพันคอหรือแขนเด็กไม่สามารถคลายปมเชือกได้เอง

ปืนอัดลม ปืนลูกดอก ธนู มีดปลอม ของเล่นที่ทำคล้ายอาวุธ ด้วยแรงอัดเมื่อโดนตาจะทำให้เลือดออกในช่องลูกตา ทำให้ตาบอดได้และอาจส่งผลถึงพฤติกรรมคือทำให้เขาซึมซับพฤติกรรมก้าวร้าวจากของเล่นที่ใช้ความรุนแรงด้วย

ลูกโป่งวิทยาศาสตร์ เพราะมีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสมองเด็ก

เบบี้คริสตัล เมื่อโดนน้ำจะพองตัวได้ถึง 400 เท่า ถ้าเด็กเผลิเอาเข้าปาก อาจทำให้ลำไส้อุดตัน และเสียชีวิตได้ 

นกหวีดเป่าลม มีโอกาสที่ไส้นกหวีดจะหลุดเข้าหลอดลมได้

ของเล่นสไลม์ อาจมีเชื้อโรคและสารตกค้าง 

ของเล่นที่มีแบตก้อนกลม ที่ไม่มีฝาปิดแน่นสนิท เพราะเด็กอาจแกะแบตเตอรี่เอามาเล่น เอาเข้าปาก หรือยัดจมูก 

คุย เล่นกับลูกในท้อง 10 วิธีกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คนท้องและว่าที่คุณพ่อทำได้


พัฒนาการทารกในครรภ์, กระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์, กระตุ้นพัฒนาการลูกในท้อง, การ ส่งเสริม พัฒนาการ ทารก แรก เกิด, วิธีเล่นกับลูกในท้อง, วิธีทำให้ลูกฉลาด ในท้อง, ,ส่องไฟเล่นกับลูกในท้อง, ให้ลูกในท้องฟังเพลง, ลูบท้องเล่นกับลูก, คนท้อง, แม่ตั้งครรภ์, สุขภาพทารกในครรภ์

คุย เล่นกับลูกในท้อง 10 วิธีกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คนท้องและว่าที่คุณพ่อทำได้

ลูกในท้องก็เล่นแล้วนะคุณแม่ เรามี 10 วิธีกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เอาไปลองเล่นกระตุ้นลูกกันค่ะ บอกเลยว่าแต่ละกิจกรรมง่าย แต่ก็เวิร์กสุดๆ ที่จะช่วยให้ลูกในท้องได้ขยับเคลื่อนไหว ได้ลองใช้พลัง และความความสนุกอารมณ์ดีตั้งแต่ในท้องแม่ค่ะ... พ่อก็ต้องช่วยนะ

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 1: การปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ

จะช่วยกระตุ้นลูกรักในครรภ์ การศึกษาทางการแพทย์พบว่า คุณแม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนดอร์ฟิน ออกมาผ่านไปทางสายสะดือไปยังลูก ทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) รวมถึงตอนคุณพ่ออารมณ์ดี ๆ เข้ามากอดท้องแม่ มาคุยกับลูก เสียงคุณพ่อก็สร้างความอบอุ่นและปลอดภัยมาก ๆ ค่ะ
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 2: ฟังเพลง

เสียงเพลงกระตุ้นจะทำให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น เมื่อลูกคลอดออกมา มีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี คุณพ่ออาจจะร้องเพลงให้ลูกฟังเอง หรือ หาเพลงให้คุณแม่และลูกฟัง โดยควรจะเปิดเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในครรภ์จะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 3: พูดคุยกับลูก

การพูดคุยกับลูกในครรภ์บ่อย ๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียม พร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำ ๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 4: นวด ลูบหน้าท้อง

การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น การลูบท้องควรลูบเป็นวงกลม จากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน บริเวณไหนก่อนก็ได้
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 5: ส่องไฟที่หน้าท้อง

ลูกในท้องสามารถกระพริบตาตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็น มีพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นภายหลังคลอด
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 6: ออกกำลังกาย

เวลาคุณแม่มีการออกกำลังกาย ลูกที่อยู่ในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ซึ่งจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 7: เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม

เนื้อสมองของลูกน้อยในครรภ์มีองค์ประกอบเป็นไขมัน โดยเฉพาะไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 60% กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ความสำคัญคือ DHA ซึ่งมีมากในอาหารปลาพวกปลาทะเลและสาหร่ายทะเล และ ARA ซึ่งมีมากในอาหารพวกน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเม็ดทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น คุณพ่อต้องหาอาหารประเภทนี้ให้คุณแม่กินบ่อย ๆ ลูกก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 8: เดินเล่นกระตุ้นทารกในครรภ์

การออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายถือเป็นการออกกำลังกายเบา ๆ ยิ่งช่วงเวลาเช้าหรือเย็นที่อากาศดี ไม่ร้อนเกินไปจะช่วยให้สดชื่นจากการรับออกซิเจนได้ด้วย คุณพ่อควรชวนและพาคุณแม่ไปเดินเล่นด้วยกันบ่อย ๆ ค่ะ
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 9: ให้ลูกเตะ

คุณพ่อคุณแม่อาจจะเล่นหรือกระตุ้นลูกด้วยการเอามือลูบ หรือกระตุ้นให้ลูกเตะมากขึ้น เมื่อลูกได้รับการกระตุ้นจากภายนอกก็จะขยับตัวมากขึ้น ช่วยให้ลูกได้ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายอยู่ในท้อง และยังทำให้ทราบว่าลูกยังเคลื่อนไหวเป็นปกติอยู่ค่ะ
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 10: อ่านหนังสือ อ่านนิทาน

การอ่านหนังสือคล้ายกับการพูดคุย หรือให้ลูกฟังเพลง เป็นการกระตุ้นการได้ยินของลูก การเล่านิทานหรืออ่านหนังสือให้ลูกฟังช่วยให้แม่ได้ผ่อนคลายและช่วยให้ลูกในท้องจดจำเสียงพ่อแม่ได้ตั้งแต่ในครรภ์

ขอบคุณข้อมูลจาก:
รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
 

จ๊ะเอ๋ เล่นจ๊ะเอ๋กับลูกทารกอย่างไรช่วยเสริมพัฒนาการตามวัยและได้ทักษะ EF

 
จ๊ะเอ๋, เล่นจ๊ะเอ๋ กับ ทารก, เล่น จ๊ะเอ๋ กับลูก, เล่นจ๊ะเอ๋ ประโยชน์, จ๊ะเอ๋ พัฒนาทักษะ EF, เล่น จ๊ะเอ๋ EQ อารมณ์ดี, ทำไม ต้องเล่น จ๊ะเอ๋, เล่นจ๊ะเอ๋ ทารก ได้ตอนไหน, เล่นจ๊ะเอ๋ ลูกได้อะไร, จ๊ะเอ๋ ลูกทารก ลูกเล็ก, พ่อแม่ เล่นจ๊ะเอ๋, ทารก เล่นจ๊ะเอ๋, ลูก เล่นจ๊ะเอ๋

การเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกอาจเป็นกิจกรรมที่ธรรมดา แต่จริง ๆ ผลของการเล่นจ๊ะเอ๋มีประโยชน์สำหรับลูกทารกมาก นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ให้คำแนะนำในการเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกไว้ค่ะ 

จ๊ะเอ๋ เล่นจ๊ะเอ๋กับลูกทารกอย่างไรช่วยเสริมพัฒนาการตามวัยและได้ทักษะ EF

  1. การเล่นจ๊ะเอ๋ ควรจะเริ่มเล่นได้เมื่อเด็กรู้ว่าวัตถุมีจริงแล้วคือ object permanence ของชิ้นหนึ่งหายไปแล้ว โผล่มาใหม่ได้ เอาผ้าไปคลุมของเล่นที่เขากำลังเล่น เขารู้จักพลิกผ้าหาของออกมาเล่นต่อ ความสามารถนี้อยู่ที่อายุ 8 เดือน
     
  2. แม่จะเป็นวัตถุแรกที่มีอยู่จริงตั้งแต่ประมาณ 6 เดือน เมื่อแม่หายไปจากสายตา เดี๋ยวก็จะกลับมา แม่เข้าห้องน้ำ เดี๋ยวก็จะออกมา แม่ไปทำผม เดี๋ยวก็จะกลับมา ดังนั้นจะเริ่มเล่นตอนทารก 6 เดือนก็น่าจะจ๊ะเอ๋ได้ แต่หากลูกทำมึนก็อย่าได้ตกใจไป หรือถ้าเขาร้องไห้จ้าก็อย่าเสียใจ ลูกแค่ยังไม่พร้อมจะเล่นจ๊ะเอ๋เฉยๆ
     
  3. นักวิทยาศาสตร์ไม่แน่ใจนักว่าทารกมี face recognition หรือการรับรู้ว่าว่าใบหน้าแบบนี้คือมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนจะรู้จักใบหน้าแม่ บ้างว่ารู้ทันทีหลังเกิด บ้างว่าประมาณ 1-3 เดือน อย่างไรก็ตามนี่คือรากฐานของการเล่นจ๊ะเอ๋
    ​​
    เพราะหากมีคนแปลกหน้ามาเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกเราแล้วทำเขาร้องไห้ ควรให้หยุดเล่น เพราะจ๊ะเอ๋เขาเอาไว้เล่นกับคนรัก เป็นแฟนเล่นจ๊ะเอ๋ถึงจะสนุก น่ารัก ปิดไฟมองไม่เห็นยังน่ารักเลย ไม่เป็นแฟนมาเล่นจ๊ะเอ๋ได้อย่างไร
     
  4. จ๊ะเอ๋เป็นการเล่นที่ตอกย้ำความมีแม่ ความเป็นแม่ ความมีอยู่จริงของแม่ และนั่นเท่ากับสร้างเสริมสายสัมพันธ์กับแม่ด้วย เดี๋ยวหายเดี๋ยวมี คราวนี้เลื่อนมาทางพ่อ กลับบ้านเดือนละครั้งก็ควรเล่นจ๊ะเอ๋แต่มิใช่ผลีผลามเข้าไปไม่รู้ตัว หากนานๆ มาครั้งหนึ่งก็ควรมีเวลาอุ่นเครื่องกันก่อน ยิ้ม อุ้ม กอด เล่นอย่างอื่นบนพื้นดินสักพัก แล้วค่อยเล่นจ๊ะเอ๋อีกที
     
  5. จ๊า ยาวๆ เอ๋ ยาวๆ ย่อมไม่สนุกเท่า จ๊ะเอ๋! องค์ประกอบสำคัญของจ๊ะเอ๋มิได้มีแค่เรื่องใบหน้าแต่มีเรื่องเสียงด้วย เสียงสูงที่เกิดขึ้นฉับพลันทันทีที่จ๊ะเอ๋เป็นปัจจัยที่ทำให้เรื่องนี้สนุก อีกทั้งเรื่องความถี่ จ๊ะเอ๋ จ๊ะเอ๋ จ๊ะเอ๋ 3 ครั้งซ้อนเด็กจะหัวเราะงอหายไป 3 ท่อนมิได้หายใจ นับเป็นการบริหารทั้งหูชั้นในและปอดไปพร้อมๆ กัน แต่ที่สำคัญมากคือเป็นช่วงขณะหนึ่งที่ทารกจะมองหน้าแม่ ลูกจะมองเห็นริมฝีปากของคุณแม่ แม่ทำปากแบบไหนจึงได้เสียงออกมาว่า “จ๊ะเอ๋” นี่มิใช่การฝึกพูด แต่เป็นเรื่องแรกๆ ที่ทารกจับสังเกตอย่างจริงจังว่าปากมนุษย์ขยับแล้วมีเสียงออกมา
     
  6. จ๊ะเอ๋เป็นการละเล่นที่ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเสมอ หากจ๊ะเอ๋แล้วไม่หัวเราะย่อมไม่ใช่จ๊ะเอ๋ มนุษย์เราหัวเราะด้วยกลไกที่ซับซ้อน
     
    จากงานของชาร์ล ดาร์วินในหนังสือ The Expression of the Emotions in Man and Animals ปี 1889 บอกว่าเวลามนุษย์หัวเราะกล้ามเนื้อขากรรไกรล่าง Zygoma จะดึงรั้งริมฝีปากและกระพุ้งแก้มออกไปทางด้านข้าง แต่ริมฝีปากบนนั้นจะถูกดึงรั้งขึ้นด้วยกล้ามเนื้อรอบลูกตา คือ Orbicularis oculi เป็นเวลาเดียวกับที่เราหายใจเข้าแล้วทางเดินหายใจถูกสกัดด้วยกล้ามเนื้อกะบังลม
     
    มีงานวิจัยอื่นๆ เกี่ยวกับทารก เวลาทารกเห็นแม่ ทารกจะยิ้มตาปิดลงเล็กน้อย เหตุที่ตาปิดเพราะกล้ามเนื้อรอบลูกตาหดรั้ง เราจะสังเกตเห็นว่าขอบตาล่างมีมัดกล้ามเนื้อชิ้นเล็กๆ ปูดขึ้นมา แต่ถ้าทารกเห็นคนอื่น แม้ว่ายิ้มก็ยิ้มเฉพาะกล้ามเนื้อขากรรไกร แต่ไม่ยิ้มด้วยกล้ามเนื้อรอบดวงตา
     
    ข้อสังเกตนี้ใช้สังเกตคนที่หัวเราะด้วยความสุขจริงๆ กับคนที่แค่นหัวเราะได้ด้วย
     
  7. กลไกสำคัญของการเล่นจ๊ะเอ๋ คือ surprise and expectation กล่าวคือจ๊ะเอ๋เป็นการรักษาสมดุลระหว่างความแปลกใจและความคาดหวัง เด็กคาดหวังว่าเดี๋ยวจะต้องมีใบหน้าพ่อหรือแม่โผล่ออกมาแน่ๆ ครั้นโผล่ออกมาจริงๆ ก็ประหลาดใจที่ตนเองคาดหวังถูกต้อง หัวเราะเอิ๊กๆ ถ้าคาดหวังแต่ไม่โผล่หน้าออกมาย่อมไม่สนุก ออกมาแต่ไม่เซอร์ไพรซ์ก็ไม่สนุก การเล่นจ๊ะเอ๋จึงเป็นทักษะฝ่ายพ่อแม่ด้วย
     
  8. จ๊ะเอ๋ทำให้หัวเราะ หัวเราะเป็นทักษะการสื่อสาร คือ communication skills อย่างแรกๆ เด็กหัวเราะเพื่อเปิดช่องทางสื่อสาร หัวเราะแล้วโลกเงียบจะเป็นโลกที่น่าเศร้ามาก หัวเราะแล้วใครๆ ก็จะมา ร้องไห้แล้วใครๆ ก็จะไป เด็กค่อยๆ เรียนรู้ได้ว่าหัวเราะจะได้อะไร นี่คือการสื่อสาร นักฝึกพูดบางท่านจึงเริ่มต้นที่การทำให้เด็กหัวเราะ
     
     
    สุดท้ายคุณหมอได้ทิ้งข้อที่ 9 ไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเป็นแง่คิดว่า
    “การเล่นจ๊ะเอ๋เป็นการเล่นที่ไม่เพียงพ่อแม่ต้องอยู่บ้าน แต่ต้องการใบหน้าของท่านอยู่บ้านด้วย ไม่มีใบหน้าเล่นจ๊ะเอ๋ไม่ได้ ใบหน้านั้นต้องเป็นที่รักมากพอที่กล้ามเนื้อรอบลูกตาจะหดรั้งได้ด้วย แน่นอนท่านจ้างคนอื่นเล่นแทนได้ แต่กล้ามเนื้อรอบลูกตาคงจะไม่หดรั้งเท่าใดนัก เศร้าเพียงใดหากลูกไม่มีคนเล่นจ๊ะเอ๋ด้วย Peekaboo!”
     

พ่อแม่คือของเล่นที่ดีที่สุด 4 วิธีเล่นกับลูกทารก สนุกได้พัฒนาการจนต้องเล่นทุกวัน

เล่นกันลูก, เล่นกับลูกทารก, วิธีเล่นกับลูกทารก, เล่นกับลูกทารกยังไง, ทารก เล่นอะไรได้บ้าง, พ่อแม่คือของเล่นที่ดีที่สุด, เล่นกับลูกแรกเกิด, เด็กทารก เล่นได้ไหม, ทารก เล่นเป็นไหม, ควรเล่นอะไรกับลูกทารก, เล่นกระตุ้นพัฒนาการ, การเล่นของเด็ก

ของเล่นลูกทารกไม่ต้องไปหาที่ไหน ตัวพ่อแม่นั่นแหละค่ะที่เป็นของเล่นที่ดีที่สุด นี่คือ 4 การเล่นที่สนุกได้พัฒนาการแน่นอน

พ่อแม่คือของเล่นที่ดีที่สุด 4 วิธีเล่นกับลูกทารก สนุกได้พัฒนาการจนต้องเล่นทุกวัน

ลูกวัยขวบปีแรก นอกจากจะโตวันโตคืนแล้ว ยังมี พัฒนาการเด็ก ด้านต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะสรรสร้าง เพียรพยายามหาของเล่นที่ได้รับการยอมรับว่าช่วยกระตุ้น พัฒนาการเด็ก ได้ แต่ต้องบอกว่า เสียง สีหน้า ท่าทางและร่างกายของคนเป็นพ่อแม่เนี่ยแหละค่ะ สุดยอดของเล่นของลูกเลยทีเดียว

มาทำตัวเป็นของเล่นกับ 4 เกมสนุกของลูกกันค่ะ

  1. รถยกโยกเยก
    พ่อหรือแม่สามารถทำตัวเป็นรถยกโยกเยกได้ไม่ยาก เพียงจับลูกวางบนขา ยกขาขึ้นเพื่อให้ลูกได้ลอยตัวสำรวจอากาศ เห็นสิ่งรอบตัวในมุมมองใหม่ๆ ที่ต่างไปจากเดิม แบบนี้กระตุ้นพัฒนาการการมองเห็นของลูกได้ดี และทำให้ลูกเคลื่อนไหวแขนขาได้อย่างอิสระ

  2. เสียงดนตรี
    เสียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดีดนิ้ว ผิวปาก ปรบมือ สร้างความตื่นตาให้ลูกไม่ใช่น้อย เมื่อพ่อแม่ทำเสียงเหล่านี้ เสริมด้วยใบหน้าที่แสดงความรู้สึกหลายๆ แบบ ให้ลูกใช้มือสัมผัสรูปหน้าที่แปลกตา พร้อมๆ กับเพลินไปกับการฟังเสียง ได้ทั้งเรื่องของการมองเห็น การได้ยินและการสัมผัสไปพร้อมกัน เสียงสูง ทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและสดใสร่าเริง ส่วนเสียงต่ำ ทำให้ลูกสงบเงียบและพึงพอใจ

  3. ภูเขาลูกใหญ่
    ร่างกายพ่อแม่ก็เหมือนภูเขาลูกโต ที่ให้ลูกได้ปีนป่าย นอกจากจะสนุกสนานแล้ว ยังได้กล้ามเนื้อแขนขาที่แข็งแรงขึ้นด้วย ใช้มือของคุณประคองเผื่อลูกเซหรือล้ม และโอบกอดเบาๆ เมื่อลูกทำสำเร็จเพื่อให้กำลังใจ

  4. ม้าหมุน
    ให้ลูกได้เห็นโลกแบบ 360 องศา ได้มองสิ่งรอบตัวในอีกมุมหนึ่ง นอกจากจ้องมองสิ่งต่างๆ แล้ว ลูกจะจ้องมองใบหน้าพ่อแม่ที่ช่วยสร้างความเพลิดเพลินนี้ด้วย เล่นเสร็จแล้วกอดลูกซักหน่อย เพื่อให้ลูกรู้สึกอุ่นใจ ขึ้นม้าหมุนรอบนี้ได้ฝึกทั้งสายตาและการทรงตัว

ผลพลอยได้จากการแปลงร่างเป็นเครื่องเล่นแสนสนุกของลูก เปิดโอกาสให้คุณได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย เข้ากับสโลแกนที่ว่า แค่ขยับ=ออกกำลังกาย ดังนั้นไม่ใช่แค่พัฒนาการเด็ก และความอบอุ่นมั่นใจเท่านั้นที่ลูกจะได้ พ่อแม่เองก็ได้ส่วนหนึ่งของสุขภาพกายใจที่ดีด้วยเช่นกันค่ะ

เคล็บลับการเล่นกับลูก
ของเล่นสำหรับลูกนั้นมีหลายรูปแบบ คุณพ่อคุณแม่สามารถครีเอทวิธีการเล่นตามแบบฉบับของตัวเองได้ ลองค้นหาวิธีการเล่นไปเรื่อยๆ แล้วคุณก็จะค้นพบวิธีการเล่นที่เหมาะสมกับลูกและตัวคุณเอง หรือจะนำ 4 วิธีที่นำมาฝากกันคราวนี้ไปประยุกต์ใช้ต่อก็ได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ค่ะ

พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกเล็กหยิบจับของได้อยู่มือ

กล้ามเนื้อมัดเล็ก, กล้ามเนื้อมือ, กล้ามเนื้อข้อมือ, กล้ามเนื้อนิ้ว, กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก, พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก, พัฒนาการมือ, ลูกหยิบของอยู่มือ, ลูกจับของอยู่มือ, กล้ามเนื้อมือลูก, พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก, สอนลูกหยิบจับ, สอนลูกใช้มือ

กล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือของลูกก็ต้องได้รับการฝึกฝนเป็นประจำเพื่อให้แข็งแรง หยิบจับอยู่มือ เรามีวิธีส่งเสริมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือลูกแรกเกิด - 6 ปี มาแนะนำค่ะ

พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกเล็กหยิบจับของได้อยู่มือ

กล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ ส่วนนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อมือ ฯลฯ ซึ่งจะต้องพัฒนาไปพร้อมกับสายตา แขน ขา และอวัยวะส่วนอื่นๆ หากกล้ามเนื้อมือพัฒนาล่าช้าก็อาจส่งผลให้พัฒนาการด้านอื่นๆ ช้าตามไปด้วย ดังนั้นมาดูกันสิคะ ว่าลูกมีพัฒนาการกล้ามเนื้อมือในแต่ละช่วงวัยเป็นอย่างไรกันบ้าง

วิธีพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก

  • กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 0 - 3 เดือน : นิ้วมือจะค่อยๆ ยืดและเหยียด ลูกจะเริ่มกำและกางนิ้วมือได้ และสามารถคว้าจับสิ่งของใกล้ตัวได้
    กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : หาของเล่นชิ้นใหญ่ๆ นุ่มๆ ให้ลูกได้ลองสัมผัส จับ กำ ขยำ หรือแม้แต่เวลาดื่มนมแม่ คุณแม่อาจให้ลูกกำนิ้วแม่ จับหน้าแม่

  • กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 3 - 6 เดือน : กล้ามเนื้อมือของลูกจะแข็งแรงมากขึ้น ลูกจะเริ่มคว้าจับสิ่งของใกล้ตัวด้วยมือทั้ง 2 ข้างได้ เช่น ของเล่นที่มีเสียง ฯลฯ
    กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : หาของเล่นมีเสียงมาเขย่าให้เขามืองตาม แล้วนำไปยื่นให้ใกล้ๆ เพื่อให้ลูกลองคว้าจับ โดยของเล่นควรมีชิ้นใหญ่ เพื่อให้ลูกได้ลองจับทั้งสองมือไปพร้อมๆ กัน และหากยังจับไม่อยู่มือ คุณแม่ก็ควรหยิบมาลองให้ลูกจับบ่อยๆ อย่าเพิ่งท้อ เพราะเขาเองก็อยากจับเล่นให้อยู่เหมือนกันคะ
  • กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 6 - 9 เดือน : ลูกเริ่มเคลื่อนไหวมือได้คล่องแคล่วขึ้น สามารถหยิบจับของชิ้นเล็กๆได้ เช่น เมล็ดถั่ว ลูกปัด ฯลฯ
    กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : เพิ่มของเล่นให้หลากหลายมากขึ้นทั้งขนาดและผิวสัมผัส เพราะลูกจะได้ลองขยับมือจับได้ตามขนาดของเล่น จดจำได้ว่าของเล่นชิ้นไหนควรจับอย่างไร มีสัมผัสอย่างไร เป็นการช่วยเรื่องความจำและการเรียนรู้ได้มากขึ้นด้วยค่ะ

  • กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 9 เดือน - 1 ปี : ลูกจะสามารถบังคับนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้หยิบของจากพื้น และปล่อยให้หลุดจากมือได้ตามต้องการ วัยนี้เรียกว่า "วัยทิ้งของ"
    กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : ช่วงนี้ลูกจะจับแล้วปล่อยของเล่นหลุดมือตลอดเวลา เขาไม่ได้กำลังแกล้งแม่นะคะ แต่กำลังสนุกกับร่างกายตัวเองที่สามารถหยิบของและปล่อยของได้ ดังนั้นคุณแม่อาจจะเหนื่อยหน่อยกับการเก็บของขึ้นๆ ลงๆ คุณแม่จึงควรเน้นของเล่นที่หล่นไม่แตกหัก น้ำหนักเบา และช่วงนี้ให้ลูกลองใช้มือยืดเกาะขอบโซฟานุ่มๆ หรือขอบเตียงให้มั่นเพื่อตั้งไข่ได้เลย จะช่วยเพิ่มกำลังที่มือและแขนขาด้วยค่ะ

  • กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 1 - 3 ปี : ลูกจะสามารถจับดินสอขีดเขียนหรือลากเส้นตรง เส้นโค้ง วงกลมตามรอยปะได้ และสามารถพับกระดาษให้เป็นชิ้นเล็กๆ ได้
    กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : หาดินสอสีให้ลูกลากเส้นเล่นได้เลยค่ะ หรือให้เขาของหยิบจับของใช้ในบ้านช่วยแม่ด้วยก็ได้ เช่น ขยำผ้ามาช่วยถูพื้น หยิบไม้กวาดเล็กๆ มาช่วยกวาดบ้านเลียนแบบแม่

  • กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกอายุ 3 - 6 ปี : สามารถควบคุมนิ้วมือ และมือได้มากขึ้น ลูกจะชอบเล่น หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้นิ้วมือ เช่น แกะชิ้นส่วนของเล่น วาดภาพระบายสี ฯลฯ
    กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : ลูกอนุบาลหยิบจับของได้อยู่มือแล้ว กล้ามเนื้อมัดเล้กแข็งแรงมากแล้วค่ะ นอกจากการหยิบจับดินสอเพื่อขีดเขียนหนังสือ หรือวาดรูปแล้ว คุณแม่อาจจะมอบหมายงานบางอย่างให้เขาลองทำ เช่น กรอกน้ำใส่ตู้เย็น ยกจานข้าวเบาๆ ก็ช่วยให้เขาพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือได้ดี รวมทั้งฝึกความรับผิดชอบได้ด้วยค่ะ


พัฒนาการของอวัยวะส่วนต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของลูก หากคุณแม่ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อมือของลูกแข็งแรง อวัยวะส่วนอื่นๆ ก็จะมีการพัฒนาที่ดีตามไปด้วยค่ะ

ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย โรคที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม!

 5048

ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย โรคที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม!

ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย คือ ภาวะที่เด็กมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไปสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควร

สัญญาณที่บ่งบอกว่าบุตรหลานของท่านอาจจะมีภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

  • เด็กหญิงที่มีหน้าอก กลิ่นตัว ขนหัวหน่าว มีการเพิ่มขึ้นของความสูงอย่างรวดเร็วก่อนอายุ 8 ปี หรือมีประจำเดือนก่อนอายุ 9 ปีครึ่ง

  • เด็กชายที่มีขนาดอัณฑะหรืออวัยวะเพศโตขึ้น มีกลิ่นตัว ขนหัวหน่าว เสียงแตก ก่อนอายุ 9 ปี

 

สาเหตุของภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

สาเหตุจากการที่ระบบควบคุมการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวทำงานก่อนวัย ซึ่งส่วนมากในเด็กหญิง เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแต่จะตรวจพบฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองมากกว่าปกติ ส่วนในเด็กชายสาเหตุที่พบบ่อยคือเนื้องอกในสมองที่ทำให้มีการผลิตฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองออกมาก่อนวัยอันควร ซึ่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้มีการสร้างฮอร์โมนเพศจากรังไข่ในเพศหญิงและอัณฑะในเพศชายจึงทำให้เด็กมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไปสู่วัยหนุ่มสาว

สาเหตุจากการที่มีฮอร์โมนเพศเกิน โดยอาจเกิดจากได้รับฮอร์โมนจากภายนอก เช่น จากยารับประทาน หรือยาทาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ หรือมีการสร้างฮอร์โมนเพศขึ้นมาเองในร่างกายนอกเหนือระบบควบคุมการเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เช่น เนื้องอกของรังไข่หรืออัณฑะ หรือภาวะที่มีความผิดปกติของต่อมหมวกไต เป็นต้น

หากสงสัยว่าบุตรหลานของท่านมีภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัยควรทำอย่างไร ควรพามาพบกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อเพื่อตรวจประเมิน โดยแพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจประเมินเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น เอกซเรย์อายุกระดูก ตรวจการสร้างฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองและฮอร์โมนเพศ อัลตร้าซาวน์มดลูกและรังไข่ รวมถึงตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองในรายที่มีข้อบ่งชี้ เป็นต้น

 

ผลกระทบจากภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

  • ผลกระทบทางร่างกาย ได้แก่ ผลต่อการเจริญเติบโตคือในระยะแรกจะสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่อาจจะมีภาวะตัวเตี้ยตามมาในวัยผู้ใหญ่เนื่องจากการที่มีฮอร์โมนเพศก่อนวัยจะทำให้มีการพัฒนาของอายุกระดูกเร็วกว่าวัยจึงทำให้ระยะเวลาในการเจริญเติบโตสั้นกว่าปกติ นอกจากนี้เด็กที่เริ่มเป็นสาวก่อนวัยจะมีแนวโน้มที่จะมีประจำเดือนเร็วจึงอาจส่งผลต่อการดูแลตนเองในวัยเด็ก

  • ผลกระทบทางจิตใจ ได้แก่ ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายไปสู่วัยหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติจะทำให้เด็กรู้สึกแตกต่างจากเพื่อนซึ่งอาจจะส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง และอาจเกิดปัญหาจากการถูกล้อเลียน รวมถึงการถูกล่อลวงต่าง ๆ เนื่องจากพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไม่สอดคล้องกัน

 

วัตถุประสงค์ของการรักษาภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

  • เพื่อป้องกันปัญหาทางร่างกายและจิตใจที่เกิดจากภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

  • เพื่อให้มีการเจริญเติบโตเต็มที่ตามศักยภาพของพันธุกรรม วิธีการรักษาภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

  • รักษาสาเหตุ เช่น การหยุดยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ การผ่าตัดเนื้องอกที่สร้างฮอร์โมนเพศ เป็นต้น

  • ฉีดยาชะลอการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวโดยฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อหรือไขมันทุก 1 หรือ 3 เดือน เพื่อยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ซึ่งจะทำให้เกิดการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชั่วคราว และชะลอการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวรวมถึงอายุกระดูกในขณะที่รักษา อย่างไรก็ตามเมื่อหยุดการรักษาผู้ป่วยจะสามารถเข้าสู่วัยหนุ่มสาวได้ตามปกติ

 

รักลูก Community of The Experts

พญ. นิภาพรรณ จรดล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ และเมตาบอลิก โรงพยาบาลพระรามเก้า

รักลูก The Expert Talk EP 90 : รู้อารมณ์ลูกก็รับมือได้ ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

รักลูก The Expert Talk Ep.90 : รู้อารมณ์ลูก ก็รับมือได้ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต ระบุว่า วัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี ประมาณ 1 ใน 7 คน และเด็กไทยอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน มีความผิดปกติทางจิตประสาทและอารมณ์ และจากผลการสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนทั่วโลกในประเทศไทยเมื่อปี 2564 พบว่า 17.6 %ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งการฆ่าตัวตายคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย

 

สาเหตุส่วนหนึ่งของการเป็นโรคซึมเศร้าจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายนั้นคือการมีปัญหาพัฒนาการด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่พ่อแม่สามารถรับมือได้ตั้งแต่เด็ก แต่ละเลยและไม่รู้วิธีการ

 

ฟังวิธีการรับมือกับอารมณ์ลูกจาก The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.120 : สมองลูกไว พร้อมสำหรับอนาคต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.120 : สมองลูกไว พร้อมสำหรับอนาคต

 

AI แย่งงานคน มหาวิทยาลัยยกเลิกการสอนวิชา… เพราะโลกเปลี่ยนทุกวัน เราไม่สามารถคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ การเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ

ฟัง The Expert อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกวิธีการเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตในทุกด้าน

พ่อแม่ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกสมองไวพร้อมได้ตั้งแต่วันนี้

 

รายการรักลูก The Expert Talk อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.126 : Cybercrime รับมือได้ พ่อแม่ต้องเท่าทัน

 

รักลูก The Expert Talk Ep.126 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 7 Cybercrime รับมือได้ พ่อแม่ต้องเท่าทัน

 

เมื่อลูกถูมิจฉาชีพหลอกลวง พ่อแม่จะช่วยลูกและรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

สร้างสารแห่งความสุข เพิ่มพัฒนาการสมองลูกขวบปีแรก

พัฒนาการสมองเด็ก, สารแห่งความสุข, เอนโดรฟิน, กระตุ้นสมองเด็ก, กระตุ้นสมอง ทารก, ทารกหัวเราะ, ทารก เล่น, เล่น กระตุ้นพัฒนาการสมอง, สารแห่งความสุขคืออะไร, เอนโดรฟีนสำคัญอย่างไร

ความสุขของพ่อแม่ทุกคนก็คือได้เห็นลูกน้อยมีความสุข การหลั่งสารแห่งความสุข (เอนดอร์ฟิน) ออกมา นอกจากจะทำให้ลูกมีใจที่เป็นสุขแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมองให้กับลูกได้อีกด้วย

สร้างสารแห่งความสุข เพิ่มพัฒนาการสมองลูกขวบปีแรก

ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าสารเอนดอร์ฟิน เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการเสริมพลังด้านบวก (Positive reinforcement) โดยปริมาณของสารเอนดอร์ฟินในพลาสมามีความสัมพันธ์กับความรู้สึกสบาย รู้สึกมีความสุข การมีอารมณ์ดี และการมีสุขภาพดี เป็นต้น

สาร Endorphins เอนดอร์ฟินสารแห่งความสุข คือสารที่มีคุณสมบัติคล้ายฝิ่นซึ่งพบอยู่ในร่างกายของเรา จัดเป็นสารประเภทเดียวกันกับมอร์ฟีนและเฮโรอีนที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นมาค่ะ

หน้าที่ของสาร Endorphins 

  1. ลดความเจ็บปวด
    เมื่อเกิดอาการบาดเจ็บจะช่วยทำให้รู้สึกชาและลดความเจ็บปวดได้ 

  2. ลดความเครียด
    เมื่อเราเครียดสารเอนดอร์ฟินจะถูกสร้างและหลั่งออกมาพร้อมๆ กันกับฮอร์โมนเครียดเพื่อช่วยให้เราผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลและความเครียด

นอกจากนี้ยังทำให้เรารู้สึกสบายและมีความสุข มีงานวิจัยพบว่าสารเอนดอร์ฟินจะหลั่งมากขึ้นเมื่อมีความรัก เมื่อได้หัวเราะ การลูบสัมผัสผิวกาย การนวด การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีรสหวาน เช่น ช็อคโกแลต เป็นต้

กิจกรรมเสริมสร้างความสุขให้ลูกน้อย กระตุ้นพัฒนาการสมองสำหรับลูกวัยแรกเกิดถึงขวบปีแรก 

  1. เวลาช่วงที่ให้นมลูก สบตา ยิ้ม พูดคุย ร้องเพลง และเล่านิทานให้ลูกฟัง

  2. สัมผัสไปตามเนื้อตัวของลูก
    เพราะการสัมผัสผิวกาย การกอดและการนวดตัวลูกเป็นอีกวิธีที่ทำให้ลูกรู้สึกสบาย อบอุ่นใจ มีความสุขและสร้างความผูกพันระหว่างคุณพ่อคุณแม่กับลูกน้อยด้วยค่ะ

  3. ขณะทำกิจกรรมกับลูกคุณแม่อาจเปิดเพลงบรรเลงเบา ๆ เพื่อให้ลูกรู้สึกสงบและผ่อนคลาย สำหรับลูกวัยนี้ ความรักของคุณพ่อคุณแม่ที่สื่อไปถึงลูกน้อยผ่านการเลี้ยงดู เป็นสิ่งสำคัญในการกระตุ้นสารแห่งความสุขให้หลั่งในสมองของลูก ทำให้ลูกมั่นใจว่าเขาเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัว


เด็กที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีความสุขจะมีความภาคภูมิใจในตนเอง พอใจในตนเอง ไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักความอบอุ่น เพราะครอบครัวเป็นภูมิคุ้มกันอย่างดีที่จะช่วยป้องกันลูกให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ 

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงมีบทบาทสำคัญในการเลี้ยงดูลูกอย่างใกล้ชิด ให้ความรัก ความอบอุ่น การทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวอย่างมีความสุข การจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ลูกได้ซึมซับความสุขสงบจากธรรมชาติรอบตัว เพียงเท่านี้ก็ทำให้ลูกได้ค้นพบความสุขจากภายในตัวเองจากสารเอนดอร์ฟินที่หลั่งออกมาแล้ว

เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ : ผศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล โครงการวิจัยชีววิทยาระบบประสาทและพฤติกรรม สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล

เทคนิคกระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมือลูกทารกให้แข็งแรง หยิบจับอยู่มือ

กล้าม เนื้อ มัด เล็ก, กล้าม เนื้อ มือ, กล้าม เนื้อ มัด เล็ก คือ, การ พัฒนา กล้าม เนื้อ มัด เล็ก, พัฒนา กล้าม เนื้อ มัด เล็ก, กล้าม เนื้อ มือ มัด เล็ก, พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กยังไง, กิจกรรม เสริมกล้ามเนื้อมัดเล็ก, เล่น กระตุ้น กล้ามเนื้อมัดเล็ก, กล้ามเนื้อมัดเล็ก ทารก, กล้ามเนื้อมือ ทารก, กระตุ้น พัฒนาการ กล้ามเนื้อมัดเล็ก ทารก

กล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ กล้ามเนื้อที่มือลูกค่ะ แม่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกทารกแต่ละเดือนได้ด้วยกิจกรรมต่อไปนี้ค่ะ 

เทคนิคกระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมือลูกทารกให้แข็งแรง หยิบจับอยู่มือ

พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้าเนื้อมือไม่สามารถดำเนินไปตามลำพังได้ จำเป็นต้องอาศัยทักษะการมองเห็นร่วมด้วย เพราะการทำงานของมือและตาจะประสานกัน คือมีการมองตามมือตัวเอง เช่น เวลาลูกจับนิ้วพ่อแม่ ตาก็จะมองนิ้วตามด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นที่พ่อกับแม่เห็นนิ้วน้อย ๆ เคลื่อนไหวหยิบจับของง่ายๆ นั้น เอาเข้าจริงแล้วต้องใช้การทำงานประสานกันของอวัยวะหลายส่วนเลยทีเดียว

การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกทารก

กล้ามเนื้อมักเล็กลูกทารกวัย 1-3 เดือน

หลังจากแรกเกิดเด็กทารกจะมีสัญชาตญาณการคว้าจับ ช่วง 3 เดือนนี้แรงคว้าจับเริ่มคลายตัวลงไป นิ้วมือจะค่อยๆ ยืดเหยียด ซึ่งเด็กทารกมักให้ความสนใจมือของตัวเอง บางครั้งก็จะกางมืออ้าตลอด ชอบยกมือขึ้นมาดูเล่น ถ้าพ่อแม่วางสิ่งของลงในมือ เจ้าตัวเล็กก็ถือไว้ได้ไม่นานนัก ต้องใช้เวลาอีกอีกสักนิด ช่วงนี้กำๆ กางๆ ยกมือขึ้นดูเล่นไปพลางๆ ก่อนค่ะ

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก : จ๊ะเอ๋มือจ๋า ลองใช้ของเล่นที่มีพื้นผิวต่างกันเขี่ยมือลูกเบาๆ เพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัส หรือวางสิ่งของลงในมือ ลูกจะรีบใช้อุ้งมือรัดของเล่นชิ้นนั้นไว้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไม่อยากใช้วัสดุอุปกรณ์ก็ลองใช้มือคุณแม่นี่ล่ะเล่นกับนิ้วมือน้อยๆ ขณะที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงสบายอยู่เพื่อให้ลูกมองเห็นด้วยค่ะ

----------------------------------------------------------


กล้ามเนื้อมักเล็กลูกทารกวัย 3-6 เดือน

กล้ามเนื้อมือเจ้าตัวเล็กเริ่มแข็งแรงขึ้นมาก เพราะเขาควบคุมมือได้มากขึ้น อย่างดึงเสื้อมาเล่นจ๊ะเอ๋กับพ่อแม่ได้ ช่วงนี้เขาจะชอบคว้าของด้วยสองมือ ชอบหยิบจับหรือขยำของเล่นที่มีเสียง แต่อาจจะยังถือของที่มีน้ำหนักไม่ค่อยได้ แต่ก็พยายามใช้ปลายนิ้วเกี่ยวหรือคว้าจับสิ่งของ และค่อยๆ ใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้คีบของมากกว่า รอกระทั่งเข้าเดือนที่ 6 ลูกจึงประคองขวดนมและสามารถย้ายของจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่งได้

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก : เอื้อมคว้าหยิบจับ ลองยื่นของเล่นไปให้เขาใกล้ๆ ลูกจะเอื้อมมือออกมาคว้า เป็นการเล่นร่วมกัน หากพ่อแม่อยากกระตุ้นนิ้วมือลูกให้รู้จักการจับและปล่อยด้วยการเล่นเกมรับส่งของเล่น หรือจะฝึกให้ใช้ช้อนกินอาหารเองก็ได้

----------------------------------------------------------


กล้ามเนื้อมักเล็กลูกทารกวัย 6-9 เดือน

มือไม่อยู่สุขแล้ว เด็กทารกมักจับของเล่นไว้ในมือนานๆ แม้จะหยิบของเล่นชิ้นใหม่ขึ้นมาก็ไม่ยอมทิ้งชิ้นเดิม และยังชอบทำให้เกิดเสียง เช่น ใช้ของเล่นเคาะโต๊ะ และเริ่มเคลื่อนไหวคล่องแคล่วมากขึ้น มีรายละเอียดในการเล่นมากขึ้น เช่น ใช้นิ้วแหย่ แคะ เกา แถมพยายามหยิบจับของเล็กจิ๋ว เช่น เม็ดถั่วจากพื้น หรือสร้อยคอเส้นเล็กจากคอของแม่ ฯลฯ

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก : นักหยิบจอมซน เป็นช่วงที่สนุกกับการใช้นิ้วหยิบของค่ะ เมื่อลูกพยายามนักหนากับการหยิบจับของชิ้นเล็ก ให้ลองหั่นอาหารหรือผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดที่เขาพอหยิบเข้าปากได้ให้ฝึกหยิบดูสิคะ เขาจะสนุกที่หยิบได้และยังอิ่มท้องด้วย

----------------------------------------------------------


กล้ามเนื้อมักเล็กลูกทารกวัย 9-12 เดือน

ลูกสามารถหยิบของด้วยนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ได้แล้ว มิหนำซ้ำยังหยิบสิ่งของจากพื้นและปล่อยสิ่งของให้หลุดมือได้ตามใจสั่ง คราวนี้เขาจะสนุกกับการหยิบโน่นขว้างนี่ และพยายามถือแท่งไม้ 2 อันด้วยมือข้างเดียวอีกด้วย

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก : หยิบโยนแสนสนุก จะชอบใช้มือเดียวถือของหลายชิ้น ให้พ่อแม่วางของเล่นลงในมือลูกหลายๆ ชิ้นให้เขาโยนทิ้ง เพราะการปล่อยของให้หลุดจากมือเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนที่สมองจะรับรู้และสั่งการ เด็กต้องฝึกอยู่นานค่ะ ส่วนการถือของ 2 ชิ้นในมือเดียวนั้น พ่อแม่คงต้องค่อยๆ ฝึกโดยวางแท่งไม้ทั้งสองลงไปในมือเขาพร้อมๆ กัน
 

เทคนิคช่วยลูกหัดเดิน ฝึกเดิน กระตุ้นกล้ามเนื้อขาให้ลูกหัดเดินได้อย่างมั่นคง

เด็ก หัด เดิน, ที่ หัด เดิน ทารก, รถ หัด เดิน ทารก, ฝึกลูกเดิน, เด็ก หัดเดินเมื่อไหร่, ลูกเดินตอนกี่เดือน, ฝึกเดิน ตอนกี่เดือน, ฝึกลูกเดินได้ตอนไหน, ฝึกลูกตั้งไข่, หัดเดิน กี่เดือน, หัดเดิน อายุเท่าไหร่, หัดเดิน ยังไง

เด็กเริ่มหัดเดินได้ตอนอายุประมาณ 8 เดือนค่ะ พ่อแม่ควรช่วยลูกหัดเดิน ฝึกเดินได้อย่างคล่องแคล่วด้วยเทคนิคต่อไปนี้ 

เทคนิคช่วยลูกหัดเดิน ฝึกเดิน กระตุ้นกล้ามเนื้อขาให้ลูกหัดเดินได้อย่างมั่นคง

ขาที่แข็งแรงมีส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้ของลูกไม่น้อยเลยค่ะ เพราะช่วยเปิดโอกาสให้ลูกได้ออกไปสัมผัสโลกภายนอก โดยปราศจากการคอยช่วยเหลือ (อุ้ม) ของพ่อแม่ ซึ่งสังคมภายนอกที่ลูกได้พบเจอจะช่วยสอนทักษะสังคม ทักษะการใช้ชีวิต และยังเป็นจุดแรกที่ช่วยสร้างความมั่นใจว่าลูกจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้

3 ประสาน กล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหว ช่วยลูกหัดเดิน

กว่าลูกจะยืนได้ด้วยตัวเองต้องอาศัยพัฒนาการกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในการทรงตัวและการเคลื่อนไหวให้ทำงานประสานกันดีเสียก่อน ซึ่งหากสังเกตจะพบว่าพัฒนาการทั้งสามนี้จะพัฒนาไปพร้อมๆ กันตั้งแต่แรกเกิดจนเดินได้ ไล่ไปตั้งแต่ศีรษะ คอ ไหล่ ลำตัว ก้น สะโพก จนกระทั่งเท้า เมื่อพัฒนาการการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อช่วงสะโพกและเท้าแข็งแรงขึ้น จากเบบี๋ที่คลานไปทั่วบ้านก็จะเริ่มทรงตัวในท่ายืนและเกาะเดินค่ะ

แรกฝึกเดินลูกอาจจะเดินขากางๆ ทิ้งน้ำหนักตัวจากด้านหนึ่งไปด้านหนึ่งไม่คล่องแคล่ว หรือบางทีก็สะดุดล้มได้ง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งตกใจนะคะ นั่นเป็นเพราะการทรงตัวในท่ายืนของลูกยังเป็นเรื่องใหม่และไม่สมดุลนัก แต่เชื่อเถอะว่าไม่นานนักเจ้าตัวเล็กจะเริ่มก้าวเดินเองได้ในที่สุด

เทคนิคช่วยลูกหัดเดิน ฝึกเดิน

  1. จัดสถานที่ให้เหมาะสม กว้างขวาง และปลอดภัย เพื่อให้ลูกมีที่พอตั้งไข่ เกาะเดินและหัดก้าวเดิน
  2. สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ด้วยการวางเส้นทางหัดเดิน เช่น ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มั่นคงและไม่เคลื่อนที่ง่ายๆ ให้ลูกใช้เป็นอุปกรณ์เกาะเดิน
  3. ปกปิดเหลี่ยมมุมตามขอบโต๊ะที่แหลมคม ด้วยฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ เพื่อป้องกันอันตรายหากลูกหกล้มไปโดน
  4. พ่อแม่ควรอยู่ใกล้ๆ คอยดูแล หรือช่วยเหลือยามที่ลูกต้องการ อีกทั้งยังเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกด้วย
  5. แรกเริ่มหัดยืนคุณแม่อาจช่วยจับที่ข้อศอก ข้อมือของลูก เพื่อเป็นหลักให้ลูกยืนอย่างอุ่นใจ แล้วอย่าลืมเพิ่มความมั่นใจให้ลูกด้วยรอยยิ้มหวานๆ ของคุณแม่ด้วย
  6. วางของเล่นที่ลูกชอบ หรือคุณแม่ควรยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วเรียกชื่อเพื่อล่อให้ลูกเดินเข้าไปหา แต่ห้ามขยับหนีเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ลูกเบื่อหน่ายและหงุดหงิดได้
  7. ถ้าลูกตั้งไข่ค่อนข้างคล่องแล้ว คุณแม่อาจจูงลูกเดินทั้งสองมือ ต่อมาลดลงเหลือจูงมือเดียว แล้วค่อยเหลือแค่เกาะชายเสื้อเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ลูกนิดหน่อย
  8. เปิดโอกาส ชักชวน ชักจูง หรือลงมือทำไปด้วยกันกับลูก

ลูกเริ่มตั้งไข่ ฝึกเดินได้ตอนอายุกี่เดือน

  • เดือนที่ 8 ลูกน้อยวัยคลานเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งไข่
  • เดือนที่ 9 ลูกจะต้องอาศัยความมั่นใจและการฝึกการทรงตัวอีกสักระยะ
  • เดือนที่ 10 ลูกคุณแม่จะยืนทรงตัวได้อย่างสมดุล
  • เดือนที่ 11 ลูกจะเกาะโต๊ะหรือเก้าอี้ ประคองตัวเองยืนได้เพียงระยะสั้นๆ ก็จะปล่อยตัวลงนั่ง
  • เดือนที่ 12 ลูกจะค่อยๆ ยืดตัวยืนได้ตามลำพัง และรู้จักก้าวขาออกไป

เป็นพัฒนาการของเด็กโดยทั่วไป ซึ่งบางคนอาจจะช้าหรือเร็วกว่านี้เดือนหรือสองเดือนก็ได้ค่ะ

การช่วยให้เจ้าตัวเล็กหัดเดินควรปล่อยไปตามธรรมชาติของพัฒนาการ ไม่รีบร้อนหรือเร่งรัดจนเกินไป และอย่าลืมว่าเด็กแต่ละคนเดินไม่พร้อมกัน ถึงลูกจะเดินช้าแต่ถ้าพัฒนาการด้านอื่นๆ ยังปกติดีอยู่ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรเป็นกังวลใจค่ะ

รถหัดเดิน ที่หัดเดิน ช่วยให้ลูกเดินได้เร็วขึ้นจริงไหม

กุมารแพทย์หลายคนยืนยันแล้วนะคะว่า รถหัดเดินไม่ได้ช่วยฝึกลูกเดินได้จริงนะคะ โดยเฉพาะรถทรงกลมมีล้อเลื่อนที่มีขายทั่วไป เพราะลูกจะนั่งในที่นั่งพยุงตัว ปลายเท้า หรือ ฝ่าเท้าแตะพื้น แต่เป็นการใช้เท้าไถเพื่อให้ล้อเคลื่อนตัวไป เราจึงเข้าใจไปเองว่าเป็นการฝึกเดิน 

รถหัดเดินอันตรายอย่างไร

  • เด็กอาจเลื่อนตัวรถไปชนสิ่งของ ของที่สูงหล่นใส่
  • เด็กอาจไถรถหัดเดินตกที่สูง เช่น พื้นต่างระดับ บันได้ เป็นต้น 
  • เด็กไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหว ตามหลักการของการหัดเดิน