facebook  youtube  line

(คลิป) คลอดลูกเองที่บ้าน แม่ท้องสุดสตรองและกำลังใจจากคนทั้งบ้าน

 คลอดลูกที่บ้าน ได้ไหม, คลอดลูกที่บ้าน อันตรายไหม, คลอดลูกเอง ต้องทำยังไง, เมืองนอก คลอดลูกที่บ้าน, คลอดลูกที่บ้าน คลอดลูกในน้ำ, คลอดลูกที่บ้าน ของใช้เตรียมคลอด, พยาบาลพยุงครรภ์ ที่บ้าน, home deliver, home labor, home give birth

คลอดลูกเองที่บ้าน เป็นการคลอดลูกที่นิยมในต่างประเทศโดยมีพยาบาลพดุงครรภ์มาช่วยที่บ้าน เทรนด์นี้แม่ท้องและครอบครัวจะต้องทำอะไร มาดูกันที่คลิปนี้ค่ะ

(คลิป) คลอดลูกเองที่บ้าน แม่ท้องสุดสตรองและกำลังใจจากครอบครัวต้อนรับสมาชิกใหม่

ที่มาคลิปคลอดลูกที่บ้าน

https://www.ellenfisher.com

https://www.instagram.com/ellenfisher

 

5 ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ ที่หมอสูติฯ อยากบอกว่าเจ๋งจริง เบ่งคลอดกันเถอะ

ข้อดี คลอดธรรมชาติ, คลอดธรรมชาติ, คลอดลูกแบบธรรมชาติ, เบ่งคลอดลูก, ทำไมต้องคลอดธรรมชาติ, ข้อดี คลอดลูกเอง, คลอดลูกเอง ดียังไง, คลอดธรรมชาติ ให้นมลูกไว

ข้อดีของการคลอดธรรมชาตินอกจากจะทำให้คุณแม่ฟื้นตัวไวแล้ว ยังกระตุ้นการสร้างนมแม่ ให้นมลูกได้ไว และอีก 5 ข้อดีที่หมอสูติฯ อยากให้แม่คลอดลูกแบบธรรมชาติ

5 ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ ที่หมอสูติฯ อยากบอกว่าเจ๋งจริง เบ่งคลอดกันเถอะ

  1. การคลอดลูกธรรมชาติ ลูกสามารถเติบโตจนเต็มที่ครบ 40 สัปดาห์

    อวัยวะทุกระบบสมบูรณ์จะเต็มที่จึงค่อยคลอดออกมา ในขณะที่การผ่าคลอดจะต้องนัดผ่าตัดก่อนครบกำหนดประมาณ 1-2 สัปดาห์ บ่อยครั้งที่อายุครรภ์คลาดเคลื่อนทำให้คลอดเร็วเกินไป จนลูกต้องอยู่ในตู้อบหรือบางรายต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

  2. การคลอดลูกธรรมชาติ ลูกมีเวลาปรับตัว

    การผ่าคลอด ลูกจะถูกล้วงออกมาจากมดลูกอย่างกะทันหันจนลูกอาจจะตกใจ และปรับตัวไม่ทันกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เช่น อุณหภูมิและแสงสว่าง เป็นต้น ส่วนการคลอดเองลูกจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวช้า ๆ ผ่านช่องคลอดที่มีความยืดหยุ่น แนบกระชับไปตลอดลำตัวของลูกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อส่วนศีรษะคลอดออกมา ลำตัวของลูกจะยังอยู่ในช่องคลอด ช่วยป้องกันไม่ให้ลูกหายใจเร็วไป เพื่อจะได้มีเวลาดูดเมือกและน้ำคร่ำออกจากปากและจมูกให้หมดก่อน

    ในขณะที่การผ่าคลอด จะต้องให้ลูกคลอดจากมดลูกจนหมดทั้งตัวก่อน จึงค่อยนำมาดูดเมือกในปากและจมูก ทำให้ลูกมีโอกาสจะหายใจสำลักเอาเมือกในจมูกเข้าไปอุดในหลอดลมได้มากกว่า

  3. การคลอดลูกธรรมชาติ ลูกกินนมแม่ได้ไวกว่า

    ในขณะที่ลูกอยู่ในโพรงมดลูก จะแช่อยู่ในถุงน้ำคร่ำและหายใจเอาน้ำคร่ำเข้าไปอยู่ในช่องปอดจำนวนหนึ่ง รวมทั้งกลืนกินน้ำคร่ำเข้าไปจนเต็มกระเพาะอาหาร แต่ในขณะที่ลำตัวของลูกค่อยๆ คลอดผ่านช่องคลอด ผนังช่องคลอดจะช่วยรีดน้ำคร่ำในปอดและน้ำคร่ำที่อยู่ในกระเพาะอาหารให้ไหลย้อนออกมาทางปากจนหมด ทำให้ปอดสามารถขยายตัวได้เต็มที่ ลูกจะหายใจรับออกซิเจนเข้าปอดได้เต็มความจุของปอด

    รวมทั้งกระเพาะอาหารที่ว่างเนื่องจากน้ำคร่ำถูกรีดออกไปแล้ว ทำให้ลูกหิวเร็วและช่วยให้ดูดนมได้เร็วและมากขึ้น สามารถดูดนมได้ทันทีที่คลอด ส่วนลูกที่คลอดโดยการผ่าคลอด จะมีน้ำคร่ำค้างอยู่ในปอดและกระเพาะอาหาร เนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการคลอดตามธรรมชาติ อาจทำให้หายใจไม่เต็มที่ หายใจเร็วเพื่อให้ได้ออกซิเจนให้เพียงพอ และส่วนใหญ่มักจะดูดนมได้ช้ากว่า เนื่องจากยังรู้สึกอิ่มอยู่เพราะยังมีน้ำคร่ำค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร

  4. การคลอดลูกธรรมชาติ ลูกมักจะไม่ท้องอืด

    ปกติลำไส้ของทารกขณะอยู่ในครรภ์จะไม่มีแบคทีเรียเลย เพราะฉะนั้นเมื่อถูกผ่าคลอดผ่านทางหน้าท้องแม่ที่ทำความสะอาดไว้แล้ว จึงทำให้ไม่มีแบคทีเรียต่อไป ต้องค่อยๆ มารับแบคทีเรียจากภายนอกในภายหลัง มีโอกาสที่จะท้องอืด ท้องเสีย ได้วิตามินไม่ครบในช่วงแรกของชีวิตได้

    ในขณะที่ทารกที่คลอดผ่านทางช่องคลอด จะได้รับแบคทีเรียที่จำเป็นต่อการย่อยอาหารและการดำรงชีวิตจากช่องคลอดของแม่ ผ่านทางปากเข้าไปเรียบร้อยตั้งแต่แรกคลอด ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร

  5. การคลอดลูกธรรมชาติไม่เจ็บอย่างที่คิด

    การคลอดในปัจจุบันนี้ มียาระงับปวดช่วยฉีดให้คุณแม่ทุเลาปวดหรือหลับไปในระหว่างรอคลอดได้ บางแห่งมีบริการฉีดยาเข้าไขสันหลังทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยตลอดการคลอด

 
น.พ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ สูตินรีแพทย์ รพ.กลาง

7 เหตุผลที่แม่ท้องหลายคนตัดสินใจเลือกผ่าคลอด C-Section

ผ่าตัดคลอดลูก, ผ่าคลอด, ทำไม ผ่าคลอด, สาเหตุ ผ่าคลอด, เหตุผล ผ่าคลอด, c-section, ทำไมต้องผ่าคลอด, ครรภ์เสี่ยง ผ่าคลอด, กลัวเจ็บ คลอดวิธีธรรมชาติ, ผ่าคลอดตามฤกษ์คลอด, ผ่าคลอด เจ็บไหม

การผ่าคลอด หรือ Cesarean Section (C-Section) เป็นการผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อนำทารกในครรภ์ออกมา แม่ท้องหลายคนเลือกผ่าตัดคลอดเพราะอะไรบ้าง มาหาคำตอบกันค่ะ

7 เหตุผลที่แม่ท้องหลายคนตัดสินใจเลือกผ่าคลอด C-Section

การผ่าคลอดลูกกลายเป็นวิธีคลอดลูกที่คุณแม่ตั้งครรภ์ในปัจจุบันเลือกมากที่สุดด้วยหลายเหตุผลค่ะ การผ่าคลอดลูก หรือ Cesarean Section (C-Section) เป็นการผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อนำทารกในครรภ์ออกมาทางแผลผ่าตัดด้านหน้า มดลูก ที่มีการทำกันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในช่วง 20 ปีมานี้ ในบางพื้นที่มีอัตราการทำสูงถึง 60-70% ของการคลอดทั้งหมด โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชน สาเหตุที่ทำให้มีอัตราการผ่าตัดคลอดสูงขึ้น อาจจะด้วยสาเหตุดังนี้

  1. ผ่าตัดคลอดเพราะอยากลดความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนในช่วงตั้งครรภ์ เช่น กรณีแม่ตั้งครรภ์มีภาวะเบาหวาน โลหิตจาง ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น

  2. ผ่าตัดคลอดเพราะแม่อายุมาก จึงมีความกังวลว่าจะไม่สามารถคลอดด้วยวิธีธรรมชาติได้ ไม่มีแรงเบ่ง 

  3. ผ่าตัดคลอดเพราะผสมเทียม ความก้าวหน้าในการผสมเทียม ซึ่งในแม่ ๆ กลุ่มนี้สูติแพทย์มักเลือกที่จะทำการผ่าตัดคลอด cesarean section มากกว่าให้คลอดเอง

  4. ผ่าคลอดเพราะทารกในครรภ์อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตราย เช่น ไม่กลับหัวแต่เอาท่าก้นลง สายรกพันคอ ครรภ์ลูกแฝด ทารกมีขนาดตัวใหญ่ผิดปกติ เป็นต้น
  5. ผ่าตัดคลอดเพราะเชื่อถือเรื่องฤกษ์งามยามดี ต้องการคลอดลูกในวันและเวลาอที่ดูฤกษ์มงคลมาแล้วว่าจะดีกับอนาคตของลูก 

  6. ผ่าตัดคลอดเพราะกลัวช่องคลอดไม่กระชับเหมือนเดิม

  7. ผ่าคลอดเพราะกลัวความเจ็บขณะเบ่งคลอด กลัวเลือด 

จริง ๆ แล้วการผ่าคลอด C-Section เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่เป็นทางเลือกสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าอยู่ในภาวะเสี่ยง และไม่สามารถคลอดได้ด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และทารกแรกเกิดค่ะ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีความเสี่ยงใด ๆ การคลอดวิธีธรรมชาติก็ยังเป็นแนวทางที่เราแนะนำนะคะ เพราะลูกจะได้รับจุลินทรีย์คุณภาพหรือพรีไบโอติกบริเวณช่องคลอดของแม่เข้าสู่ร่างกาย และนั่นจะเป็นหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันแรกให้ลูกแรกเกิดได้ด้วยค่ะ 

คนท้องนั่งท่าผีเสื้อ ท่านั่งมณีเวชเร่งปากมดลูกเปิด ลดอาการปวดท้องคลอด

ท่านั่งผีเสื้อ คนท้อง, คนท้องนั่งท่าผีเสื้อ, ท่าผีเสื้อคืออะไร, ท่านั่งผีเเสื้อ ทำยังไง, ท่านั่งมณีเวช คนท้อง, ท่านั่งผีเสื้อ คนท้อง เร่งปากมดลูกเปิดเร็ว, ท่านั่งผีเสื้อ ลดอาการปวดท้องคลอด, ก่อนคลอด ต้องนั่งผีเสื้อไหม, ท่านั่งผีเสื้อมีประโยชน์ยังไง ดียังไง, บรรเทาอาการปวดท้องคลอด, ท่าช่วยคลอด, ท่าช่วยคลอดลูกง่าย, วิธีทำให้คลอดลูกง่าย, โยคะช่วยคลอด

ท่าผีเสื้อคนท้อง เป็นท่าที่ถูกออกมาเพื่อเตรียมตัวก่อนคลอด ลดอาการปวดท้องคลอดและช่วยให้ปากมดลูกเปิดเร็วขึ้น ซึ่งแม่ท้องสามารถทำได้ง่าย ๆ บนเตียงนอนเลยค่ะ

คนท้องนั่งท่าผีเสื้อ ท่านั่งมณีเวชเร่งปากมดลูกเปิด ลดอาการปวดท้องคลอด

ท่านั่งผีเสื้อคนท้องคืออะไร

ท่านั่งผีเสื้อคนท้อง เป็นท่านั่งหนึ่งในศาสตร์ที่ชื่อว่า มณีเวช ศาสตร์ของการปรับสมดุลโครงสร้างร่างกาย ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยอาจารย์ประสิทธิ์ มณีจิระประการ โดยผสมผสานวิชาแพทย์แผนไทย จีนและอินเดีย ประยุกต์ต่อยอด เน้นการปรับโครงสร้างร่างกายให้อยู่ในสมดุล เพื่อใช้ในการบำบัดรักษาตั้งแต่อาการเจ็บปวด กล้ามเนื้อจนถึงโรคต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของโครงสร้างร่างกาย ในปัจจุบันได้มีนำมาใช้ในการ ปรับสมดุลร่างกายให้กับหญิงตั้งครรภ์และในขณะคลอด

ท่านั่งผีเสื้อช่วยเร่งปากมดลูกเปิดเร็ว เร่งคลอดได้จริงไหม

จากการศึกษาและทดลองของคุณวนิดา วงศ์มุณีวรณ์ พยายาลชำนาญการ โรงพยาบาลหาดใหญ่ ในกลุ่มคนท้อง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองใช้ท่าผีเสื้อ และ กลุ่มรอคลอดปกติ พบว่าการใช้ท่านั่งมณีเวชช่วยให้ปากมดลูกมีการเปิดขยาย 1 ซม.ใช้เวลา 19.6 นาที ขณะที่กลุ่มนอนรอคลอดปกติ ใช้เวลานานกว่า 29.4 นาที (1) และการศึกษาของอาลี แซ่เจียว พบว่าระยะเวลาคลอด ตั้งแต่ระยะปากมดลูกเปิด (active phase) จนถึงระยะทารกคลอดออกมา second stage พบว่ากลุ่มทดลองและกลุ่มรอคลอดปกติมีระยะเวลาคลอดเฉลี่ย 227.17 และ 292.73 นาที ตามลำดับ (2)

จึงอาจสรุปได้ว่า ท่านั่งผีเสื้อมีส่วนช่วยเร่งให้ปากมดลูกเปิดเร็ว และช่วยเร่งคลอด ทำให้แม่ท้องที่คลอดธรรมชาติใช้เวลาคลอดไวขึ้น

ท่านั่งผีเสื้อช่วยลดอาการปวดท้องคลอดได้จริงไหม

จากการวิจัยกึ่งทดลองของคุณศิริลักษณ์ นิธิธารากูล โรงพยาบาลสุโขทัย พบว่า ผู้คลอดมีค่าเฉลี่ยระยะเวลาการคลอดจากการเจ็บครรภ์คลอด ของกลุ่มทดลอง น้อย กว่ากลุ่มควบคุม โดยพบว่า ระยะเวลาในระยะที่ 1 ของการคลอด กลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ย5.56 ชั่วโมง กลุ่ม 9 ควบคุม มีค่าเฉลี่ย 6.42 ชั่วโมง และค่าเฉลี่ยในระยะการคลอดทั้งหมด น้อยกว่ากลุ่มควบคุม 46 นาที แต่ทั้งนี้ความเจ็บปวดในระยะคลอดของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดครรภ์ การบีบตัวของมดลูก ความเครียด ความกังวล เป็นต้น (3)

คนท้องนั่งท่าผีเสื้ออย่างไร ถ้าอยากช่วยเร่งปากมดลูกเปิดและลดอาการปวดท้องคลอด

  1. แม่ท้องนั่งบนเตียง หรือ บนพื้นที่ได้ปกติ
  2. งอขาสองข้างเข้าหาตัว โดยให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างประกบกัน
  3. ดันส้นเท้าเข้าหาตัวให้มากที่สุด อาจใช้มือทั้งสองข้างกดเข้าทั้งสองข้างไว้ หรือ อาจใช้หมอนรองไว้ช่วงหน้าตัก แล้วกดตัวไปข้างหน้าทำมุม 15 – 30 องศา
  4. หายใจเข้าออกลึก ๆ ช้า ๆ นับ 1-20 แล้วค่อย ๆ ยกตัวขึ้นหลังตรงปกติ นับเป็น 1 ชุด
  5. ทำซ้ำอีกครั้งละ 1 ชุด ทุก ๆ 20 นาที (1 ชั่วโมงจะทำ 3 ชุด)

ข้อมูลอ้างอิง

  1. วนิดา วงศ์มุณีวรณ์.(2558) .การนั่งท่าผีเสื้อต่อการเปิดปากมดลูกในขณะรอคลอด.วารสารวิชาการเขต
  2. พยุงศรี อุทัยรัตน์ และอารี แซ่เจียว (2561).ผลของการใช้ท่ามณีเวชต่อการเผชิญความเจ็บปวดและระยะเวลา คลอดในหญิงครรภ์แรก โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี.วารสารวิชาการแพทย์ เขต 11 ปีที่ 32
  3. http://203.157.71.172/academic/web/files/2564/research/MA2564-002-01-0000000630-0000000600.pdf

 

บล็อกหลังคลอดลูก มีแบบไหนบ้าง ควรบล็อกหลังไหม แม่ท้องต้องรู้

บล็อกหลัง, คลอด บล็อกหลัง, ผ่าคลอด บล็อกหลังไหม, คลอดธรรมชาติ บล็อกหลังไหม, ไม่บล็อกหลังได้ไหม, ต้องบล็อกหลังไหม, บล็อกหลัง มีกี่แบบ กี่วิธี, ข้อดี ข้อเสีย บล็อกหลัง, Epidural, Spinal Block, คลอดลูก ปวดหลัง, ขั้นตอน วิธี บล็อกหลัง

การบล็อกหลังเป็นวิธีที่จะช่วยคลายความเจ็บป่วยในช่วงคลอดลูกได้ บล็อกหลังมีกี่แบบ มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร เรามีคำแนะนำก่อนแม่ท้องตัดสินใจเลือกวิธีบล็อกหลังค่ะ

บล็อกหลังคลอดลูก มีแบบไหนบ้าง ควรบล็อกหลังไหม แม่ท้องต้องรู้

อาการเจ็บท้องคลอด ใครไม่เคยมีประสบการณ์ย่อมไม่รู้ถึงความรู้สึกนี้ ความไม่รู้นี่เองทำให้คุณแม่วิตกกังวล ขอให้สบายใจว่า การเตรียมร่างกายให้แข็งแรง การฝึกลมหายใจ บล็อกหลังหรือการฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง และการฉีดยาระงับปวดทางเส้นเลือดดำ ล้วนเป็นเทคนิควิธีทางการแพทย์ที่จะช่วยลดอาการเจ็บครรภ์ให้คุณแม่ได้

 

บล็อกหลัง, คลอด บล็อกหลัง, ผ่าคลอด บล็อกหลังไหม, คลอดธรรมชาติ บล็อกหลังไหม, ไม่บล็อกหลังได้ไหม, ต้องบล็อกหลังไหม, บล็อกหลัง มีกี่แบบ กี่วิธี, ข้อดี ข้อเสีย บล็อกหลัง, Epidural, Spinal Block, คลอดลูก ปวดหลัง, ขั้นตอน วิธี บล็อกหลัง

1. การบล็อกหลังแบบ Epidural

วิธีการบล็อกหลังแบบ Epidural

วิสัญญีแพทย์จะแทงเข็มซึ่งภายในมีหลอดนำยาขนาดเล็กเข้าไปในกระดูกสันหลังของคุณแม่ หลอดนำยาจะค้างอยู่ข้างในและค่อยๆ ปล่อยยาชาอย่างต่อเนื่องออกไปควบคุมชั้นผิวหนังของไขสันหลังที่เรียกว่า Dura ให้หมดความรู้สึก คุณแม่จะบอกให้แพทย์ใช้วิธีนี้ในช่วงใดของการรอคลอดก็ได้

ข้อดีการบล็อกหลังแบบ Epidural

  1. หลังจากที่แพทย์แทงเข็มบริเวณกระดูกสันหลังแล้ว คุณแม่ส่วนมากจะหมดความรู้สึกตั้งแต่ช่วงเอวลงไปภายใน 5 นาที แต่ในบ้างครั้งอาจใช้เวลานานกว่านี้ แล้วแต่ปริมาณของตัวยาที่ใช้
  2. วิธีบล็อกหลังแบบ Epidural จะช่วยให้คุณแม่ไม่เจ็บปวดจากการบีบรัดตัวของมดลูก และยังสามารถขยับตัวเคลื่อนไหวร่างกายได้ คุณแม่สามารถพักผ่อนหรืองีบหลับเพื่อรอเวลาเบ่งคลอดได้

ข้อควรระวังการบล็อกหลังแบบ Epidural

  1. ผลข้างเคียงจาการบล็อกหลังแบบ Epidural ที่พบมากที่สุดคืออาการปวดศีรษะ เฉลี่ยประมาณ 1 ต่อ 200 ซึ่งเป็นผลจากการใช้เข็มเจาะและปล่อยยาเข้าไปในแนวไขสันหลัง

  2. คลื่นไส้ อาเจียนคัน และสั่นตามร่างกาย ส่วนใหญ่จะหายไปเองเมื่อหมดฤทธิ์ยา แต่ถ้ายาหมดฤทธิ์แล้วอาการเหล่านี้ยังไม่หายไป คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ในทันที

  3. นอกจากนี้การบล็อกหลังแบบ Epidural อาจทำให้ความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อกระดูกเชิงกรานลดลง ซึ่งจะส่งผลให้การคลอดในระยะที่สองต้องใช้เวลาเนิ่นนานออกไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง และยังมีโอกาสสูงที่จะต้องใช้คีมช่วยคลอด

โดยปกติการบล็อกหลังแบบ Epidural เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศได้พยายามคิดค้นวิธีที่จะลดปริมาณการใช้ยา รวมทั้งการผสมชนิดของยาเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อคุณแม่น้อยที่สุด และทำให้คุณแม่รอคลอดสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้มากที่สุด จึงมีผู้เรียกวิธีบล็อกหลังแบบ Epidural ว่า “ชนิดเดิน” เพราะคุณแม่ยังสามารถลุกเดินไปไหนได้



บล็อกหลัง, คลอด บล็อกหลัง, ผ่าคลอด บล็อกหลังไหม, คลอดธรรมชาติ บล็อกหลังไหม, ไม่บล็อกหลังได้ไหม, ต้องบล็อกหลังไหม, บล็อกหลัง มีกี่แบบ กี่วิธี, ข้อดี ข้อเสีย บล็อกหลัง, Epidural, Spinal Block, คลอดลูก ปวดหลัง, ขั้นตอน วิธี บล็อกหลัง

2. การบล็อกหลังแบบ Spinal Block

วิธีการบล็อกหลังแบบ Spinal Block

แพทย์จะแทงเข็มเข้าไปที่บริเวณหลังส่วนล่างของคุณแม่ ซึ่งเข็มจะเจาะผ่านกระดูกไขสันหลังชั้น Dura ตรงเข้าไปยังแนวไขสันหลังทันที คุณแม่ส่วนมากจะรู้สึกชาตั้งแต่ช่วงเอวลงไป ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในการเบ่งคลอดลดลงด้วย การบล็อกหลังแบบ Spinal มักจะใช้ช่วงทารกใกล้คลอด เนื่องจากยามีฤทธิ์อยู่ได้ในช่วงสั้นเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น

ข้อดีการบล็อกหลังแบบ Spinal Block

เป็นวิธีที่จะช่วยระงับความเจ็บปวดได้ในทันทีภายใน 1–2 นาทีก็เห็นผล และปริมาณยาที่ใช้ก็น้อยกว่าการบล็อกหลังแบบ Epidural

ข้อควรระวังการบล็อกหลังแบบ Spinal Block

เนื่องจากมีฤทธิ์ค่อนข้างสั้น ยาที่ฉีดไปอาจหมดฤทธิ์ก่อนที่ทารกจะคลอดมา และแพทย์จะไม่ฉีดยาให้ซ้ำเป็นครั้งที่สอง เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดประโยชน์น้อยมาก เพราะยังไม่มีใครสามารถคำนวณเวลาในการคลอดได้ และอาจทำให้คุณแม่ปวดศีรษะซึ่งเป็นผลจากการแทงเข็มไปในแนวไขสันหลังระดับลึก ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ ตัวสั่น อาการคัน และรู้สึกคลื่นไส้

 

3. การบล็อกหลังแบบผสมระหว่าง Epidural กับ Spinal

วิธีการบล็อกหลังแบบผสม

วิธีการบล็อกหลังแบบผสมมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เทคนิคแบบสองเข็ม” คือการใช้เข็มเป็นเซ็ต โดยวิสัญญีแพทย์จะแทงเข็มขนาดใหญ่ซึ่งข้างในจะมีเข็มขนาดเล็กอยู่อีกอันหนึ่งเข้าไปที่กระดูกไขสันหลัง เข็มเล็กข้างในจะแทงลึกตรงเข้าไปที่แนวไขสันหลังคือ Spinal เพื่อให้ยาออกฤทธิ์แบบเฉียบพลัน

หากการคลอดยังไม่เกิดขึ้นภายในช่วงที่ยาบล็อก Spinal ออกฤทธิ์ แพทย์ก็จะให้ยาชาบล็อกหลังอีกครั้งในระดับ Epidural ซึ่งออกฤทธิ์ช้าและอยู่ได้นานกว่าทางเข็มใหญ่ โดยไม่ต้องแทงเข็มซ้ำ

ข้อดีการบล็อกหลังแบบผสม

เป็นการรวมข้อดีของการบล็อกหลังทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน และคุณแม่ยังเคลื่อนไหวร่างกายได้

ข้อควรระวังการบล็อกหลังแบบผสม

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขั้นกับคุณแม่ก็คือ ปวดศีรษะ ตัวสั่น อาการคัน และคลื่นไส้

 

รักลูก The Expert Talk EP.128 : โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกอย่างไรเหมาะกับเด็ก

 

รักลูก The Expert Talk Ep.128 : โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกอย่างไรเหมาะกับเด็ก


โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกแบบไหนเหมาะสำหรับเด็ก สายพันธุ์ไหนดี กินปริมาณเท่าไหร่เพียงพอ

ฟัง The Expert พญ. สีวลี สีดาฟอง

แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก โรงพยาบาลวิมุต 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

แม่ท้องต้องรู้ ผ่าคลอดทำลูกขาดภูมิต้านทานตามธรรมชาติ

การผ่าคลอด, คลอดธรรมชาติ, ภูมิต้านทานตามธรรมชาติ, เด็กผ่าคลอด ไม่มีภูมิคุ้มกันจริงไหม, เด็กผ่าคลอด ป่วยง่ายจริงไหม, เด็กผ่าคลอด ภูมิคุ้มกันต่ำ, เด็กผ่าคลอด เสริมภูมิคุ้มกันยังไง, เด็กผ่าคลอด ไม่มีภูมิต้านทาน, นมสำหรับเด็กผ่าคลอด, เด็กผ่าคลอด กินนมอะไร, นมแม่, นมแม่มี พรีไบโอติก, พรีไบโอติก, Prebiotics, จุลินทรีย์โพรไบโอติก, โพรไบโอติก, Hi-Q, ซินไบโอติก, Synbiotics

แม่ผ่าคลอดหลายคนอาจกังวลว่าลูกจะไม่แข็งแรงเพราะไม่ได้รับภูมิต้านทานจากโพรไบโอติกในขณะคลอด แต่ถึงแม้จะผ่าคลอดแล้ว คุณแม่ก็ยังสามารถสร้างภูมิต้านทานตามธรรมชาติให้ลูกได้ค่ะ

แม่ท้องต้องรู้ ผ่าคลอดทำลูกขาดภูมิต้านทานตามธรรมชาติ 

ปัจจุบันมีคุณแม่ท้องหลายคนอาจต้องเลือกวิธีผ่าคลอดมากกว่าการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติผ่านช่องคลอด เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆเช่น ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ พัฒนาการของทารกในครรภ์ที่ไม่ยอมกลับหัว หรือทารกตัวใหญ่จนไม่สามารถคลอดเองได้ เรื่องความสะดวก หรือการถือฤกษ์ยามของที่บ้าน อย่างไรก็ตาม คุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการผ่าคลอดนั้นอาจส่งผลต่อภูมิต้านทานตั้งต้นของลูกผ่าคลอดเมื่อเทียบกับการคลอดธรรมชาติ

คลอดธรรมชาติ ต่างจากผ่าคลอดอย่างไร

มีการศึกษามากมายว่าการคลอดธรรมชาติจะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เรียกว่า โพรไบโอติก (Probiotics) ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของระบบภูมิต้านทานตั้งต้นของลูกน้อย

เนื่องจากการคลอดธรรมชาติ เด็กจะต้องเคลื่อนตัวผ่านช่องคลอด เด็กจึงมีการกลืนโพรไบโอติกเข้าไป ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานตั้งต้น ช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ลดโอกาสเกิดภูมิแพ้และโรคต่างๆ ในขณะที่เด็กผ่าคลอดจะไม่ได้รับจุลินทรีย์สุขภาพโพรไบโอติก ซึ่งอาจส่งผลให้มีพัฒนาการของระบบภูมิต้านทานตั้งต้นช้ากว่าเด็กคลอดธรรมชาติได้

คุณแม่เบาใจ แม้ผ่าคลอดก็ยังเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ลูกได้

การผ่าคลอด, คลอดธรรมชาติ, ภูมิต้านทานตามธรรมชาติ, เด็กผ่าคลอด ไม่มีภูมิคุ้มกันจริงไหม, เด็กผ่าคลอด ป่วยง่ายจริงไหม, เด็กผ่าคลอด ภูมิคุ้มกันต่ำ, เด็กผ่าคลอด เสริมภูมิคุ้มกันยังไง, เด็กผ่าคลอด ไม่มีภูมิต้านทาน, นมสำหรับเด็กผ่าคลอด, เด็กผ่าคลอด กินนมอะไร, นมแม่, นมแม่มี พรีไบโอติก, พรีไบโอติก, Prebiotics, จุลินทรีย์โพรไบโอติก, โพรไบโอติก, Hi-Q, ซินไบโอติก, Synbiotics

มีการศึกษาว่าในช่วง 3 วันแรกหลังผ่าคลอด ถ้าลูกได้ดื่มนมแม่ จะสามารถเร่งคืนภูมิต้านทานให้ลูกได้เช่นกัน

เนื่องจากน้ำนมแม่ในระยะนี้เป็นหัวน้ำนมหรือโคลอสตรุ้ม (Colostrum) ที่เป็นน้ำนมที่ดีที่สุด และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลูกน้อยได้ดีที่สุด

โคลอสตรุ้มมีสารสร้างภูมิต้านทานที่ดีให้กับลูก เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว โปรตีนต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลูกตั้งแต่แรกเกิด ป้องกันการติดเชื้อ และกระตุ้นการทำงานของลำไส้เพื่อช่วยขับถ่ายขี้เทาออก เป็นการป้องกันแก้ไขอาการตัวเหลืองของลูกวัยทารกด้วย

นอกจากนี้ในนมแม่ยังมีซินไบโอติก (Synbiotic) ที่มีโพรไบโอติก (Probiotics) ปริมาณมาก และพรีไบโอติก (Prebiotics) ที่เป็นอาหารสำคัญสำหรับโพรไบโอติก

การผ่าคลอด, คลอดธรรมชาติ, ภูมิต้านทานตามธรรมชาติ, เด็กผ่าคลอด ไม่มีภูมิคุ้มกันจริงไหม, เด็กผ่าคลอด ป่วยง่ายจริงไหม, เด็กผ่าคลอด ภูมิคุ้มกันต่ำ, เด็กผ่าคลอด เสริมภูมิคุ้มกันยังไง, เด็กผ่าคลอด ไม่มีภูมิต้านทาน, นมสำหรับเด็กผ่าคลอด, เด็กผ่าคลอด กินนมอะไร, นมแม่, นมแม่มี พรีไบโอติก, พรีไบโอติก, Prebiotics, จุลินทรีย์โพรไบโอติก, โพรไบโอติก, Hi-Q, ซินไบโอติก, Synbiotics

ดังนั้นเมื่อให้ลูกผ่าคลอดดื่มนมแม่เป็นประจำร่างกายก็จะมีโพรไบโอติกสูงที่ช่วยเร่งคืนภูมิต้านทานที่ขาดหายไปในเด็กผ่าคลอด ช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์ก่อโรค ป้องกันการติดเชื้อ และพัฒนาระบบประสาทและสมอง เพื่อให้ลูกผ่าคลอดพร้อมยิ่งกว่าค่ะ

แต่หากคุณแม่มีความจำเป็นไม่สามารถให้นมลูกได้ หรือน้ำนมยังไม่มา มีปัญหาสุขภาพร่างกาย ควรปรึกษาคุณหมอหรือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำถึงการใช้นมผสมสูตรที่มีโพรไบโอติกและสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของลูก

อ้างอิง

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/24674981/

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK148970/

https://www.si.mahidol.ac.th/th

https://pharmacy.mahidol.ac.th

สนับสนุนโดย Hi-Family Club สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเตรียมให้ลูกผ่าคลอดพร้อมยิ่งกว่าได้ที่

https://www.hifamilyclub.com/c-section.html

 

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จุลินทรีย์มีประโยชน์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ

แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จุลินทรีย์มีประโยชน์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ-จุลินทรีย์มีประโยชน์-จุลินทรีย์มีประโยชน์ คืออะไร-ประโยชน์ของจุลินทรีย์-จุลินทรีย์โพรไบโอติก-การเสริมโพรไบโอติกให้ลูก-แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938

แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จุลินทรีย์มีประโยชน์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ

 

ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้ตอนนี้ลูก ๆ คงพลาดโอกาส ไม่สามารถออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายได้ อาหารการกินที่มักพบว่ามีการปนเปื้อนสารเคมีต่าง ๆ การที่เด็ก ๆ รับประทานผักผลไม้ไม่เพียงพอ เหล่านี้ทำให้ส่งผลให้การสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายนั้นไม่เต็มที่

 
ยิ่งลูกเกิดเจ็บป่วยทีก็ลำบากน่าดูเลยค่ะ เพราะถ้าลูก ๆ ต้องเข้าโรงพยาบาลเราก็คงต้องกังวลมาก ๆ ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรเร่งเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อลดโอกาสที่ลูก ๆ จะป่วยและต้องไปโรงพยาบาล และทางเลือกหนึ่งที่ดีคือการเสริมโพรไบโอติกให้ลูก เพื่อจะได้สร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ปกป้องลูกจากการเจ็บป่วย ซึ่งเด็กแต่ละวัยควรได้รับโพรไบโอติกในปริมาณที่เหมาะสมด้วยค่ะ

 

โพรไบโอติก คืออะไร

โพรไบโอติก เป็นจุลินทรีย์มีชีวิต หรือบางครั้งเราก็เรียกว่าจุลินทรีย์มีประโยชน์ เมื่อเราได้รับในปริมาณที่เหมาะสม จะส่งผลดีต่อสุขภาพ หรือเป็นประโยชน์ในการการแพทย์1 แต่โพรไบโอติกก็มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ไม่ได้ออกฤทธิ์เหมือนกัน โดยเฉพาะฤทธิ์ในการเสริมภูมิคุ้มกันนั้น มีเฉพาะบางสายพันธุ์เท่านั้นที่ทำได้2

อย่างเช่นโพรไบโอติกสายพันธุ์เฉพาะ แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938 (Lactobacillus reuteri DSM 17938) เป็นโพรไบโอติกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเด็ก ๆ อีกทั้งยังมีมีงานวิจัยทางการแพทย์ออกมามากมายยืนยันเกี่ยวกับประสิทธิภาพของจุลินทรีย์สายพันธุ์นี้3 เช่น มีคุณสมบัติในด้านการป้องกันการติดเชื้อ4

 แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จุลินทรีย์มีประโยชน์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ-จุลินทรีย์มีประโยชน์-จุลินทรีย์มีประโยชน์ คืออะไร-ประโยชน์ของจุลินทรีย์-จุลินทรีย์โพรไบโอติก-การเสริมโพรไบโอติกให้ลูก-แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938

แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938 เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อในเด็ก

ต้องบอกก่อนว่าโพรไบโอติกแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี นี้เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่มีต้นกำเนิดมากจากน้ำนมแม่ ค้นพบโดย เจอร์ฮาร์ด รูเทอร์ นักจุลชีววิทยาชาวเยอรมัน โดยสายพันธุ์เฉพาะ แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี ดีเอสเอ็ม 17938 เป็นสายพันธุ์ที่มีการศึกษาทางการแพทย์จำนวนมากว่ามีประสิทธิภาพสูง และปลอดภัยสำหรับเด็ก3

หนึ่งในการศึกษาจาก Pedro Gutierrez-Castrellon และคณะ (ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics 2014) แสดงผลว่า การรับประทานโพรไบโอติกสายพันธุ์เฉพาะ แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรีDSM 17938 จะช่วยลดการเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ลดการเกิดท้องเสีย (จากการติดเชื้อ) ลดจำนวนวันที่ขาดเรียนเพราะลาป่วย และลดความจำเป็นที่จะต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เมื่อเทียบกับเด็กที่รับประทานยาหลอก จากการศึกษายังพบอีกว่าการการรับประทานแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938 เป็นเวลา 3 เดือนไม่พบผลข้างเคียงที่แตกต่างจากการรับประทานยาหลอก4

โดยโพรไบโอติก แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จะช่วยกระตุ้นการสร้าง CD4-T helper cell ในเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ซึ่งจะช่วยประสานกับระบบภูมิคุ้มกันอื่นในการต่อสู้ ยับยั้งเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและป้องกันโรคติดเชื้อได้5

ที่สำคัญยังมีคำแนะนำจากสมาคมแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารนานาชาติ (WGO- World Gastroenterology Organisation) แนะนำให้เสริมโพรไบโอติกสายพันธุ์เฉพาะแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938 เป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับเด็ก โดยเฉพาะที่ต้องเข้าโรงเรียนหรือต้องไปสถานรับเลี้ยง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ1

แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จุลินทรีย์มีประโยชน์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ-จุลินทรีย์มีประโยชน์-จุลินทรีย์มีประโยชน์ คืออะไร-ประโยชน์ของจุลินทรีย์-จุลินทรีย์โพรไบโอติก-การเสริมโพรไบโอติกให้ลูก-แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938

ช่วงนี้เด็ก ๆ อยู่บ้านเรียนออนไลน์ แม้ไม่ได้ไปโรงเรียนก็ยังวางใจไม่ได้ ยิ่งถ้าไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นออกกำลังกายเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือกินอาหารที่ไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้มีปัญหาภูมิคุ้มกันต่ำและทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย

การเสริมโพรไบโอติกให้ลูกถือเป็นตัวช่วยหนึ่งที่สามารถเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเด็กได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรต้องเลือกโพรไบโอติกสายพันธุ์ที่เหมาะสม และมีการศึกษาและคำแนะนำทางการแพทย์รองรับด้วยค่ะ

เอกสารอ้างอิง

  1. World Gastroenterology Organisation. World gastroenterology organisation global guidelines: probiotics and prebiotics. February 2017: 1-35.
  2. Sanders ME, Merenstein D, Merrifield CA, Hutkins R. Probiotics for human use. Nutrition Bulletin. 2018; 43: 212–225.
  3. Srinivasan R, Kesavelu D, Veligandla KC, Muni SK, Mehta SC. Lactobacillus reuteri DSM 17938: Review of Evidence in Functional Gastrointestinal Disorders. Pediatr Ther. 2018; 8(3): 1-8.
  4. Gutierrez-Castrellon P, Lopez-Velazquez G, Diaz-Garcia L, et al. Diarrhea in preschool children and Lactobacillus reuteri: a randomized controlled trial. Pediatrics. 2014;133(4):e904-e909.
  5. Valeur N, Engel P, Carbajal N, Connolly E, Ladefoged K. Colonization and immunomodulation by Lactobacillus reuteri ATCC 55730 in the human gastrointestinal tract. Appl Environ Microbiol. 2004;70(2):1176-1181.

THL2203319-2

 5387 4

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

ไขข้อข้องใจ! ลูกกลับหัวเร็วอาจทำให้คลอดลูกก่อนกำหนดจริงไหม

ลูกกลับหัวเตรียมคลอด, ลูกกลับหัวไว, ทารกในครรภ์กลับหัวท่าเตรียมคลอด, ทารก กลับหัวกี่เดือน, ทารก กลับตัวเตรียมคลอดตอนไหน, กลับหัวไว คลอดก่อนกำหนด, สาเหตุคลอดก่อนกำหนด, ทำไมทารกกลับหัวไว, ทารกกลัวหัวก่อนกำหนด, คลอดลูกก่อนกำหนด

ปกติแล้วทารกในท้องจะกลับหัวเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน แต่หากกลับหัวไวกว่านั้นแปลว่าอาจทำให้แม่คลอดก่อนกำหนดจริงไหม มาเช็กกันตรงนี้ค่ะ

ไขข้อข้องใจ! ลูกกลับหัวเร็วอาจทำให้คลอดลูกก่อนกำหนดจริงไหม

คุณแม่ตั้งครรภ์บางคนเริ่มกังวลว่า ลูกในท้องกลับตัว เอาหัวลงเหมือนเตรียมคลอด แบบนี้จะทำผลทำให้คลอดก่อนกำหนดหรือเปล่า ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า ทารกมีส่วนนำเป็นศีรษะในไตรมาสที่ 3 คือ ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ค่ะ โดยช่วงเวลา 27-28 สัปดาห์เป็นเวลาปกติที่ส่วนใหญ่เด็กจะกลับหัวลง และอยู่ในท่านี้ไปจนถึงวันคลอด ซึ่งไม่ถือว่าเป็นสาเหตุของการคลอดก่อนกำหนดแต่อย่างใดค่ะ

ในบางกรณีทารกในครรภ์แค่บางรายเท่านั้นที่มีการกลับตัวอีกรอบเป็นท่าเอาก้นลงไปใหม่ หรือบางคนก็กลับตัวนอนในท่าขวางครรภ์ จริง ๆ แล้วการที่ทารกไม่กลับหัวลงอาจจะน่ากังวลมากกว่าค่ะ เพราะอาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้ 

ทารกในครรภ์ไม่กลับหัวเพราะความผิดปกติอะไร

  1. มีรกเกาะต่ำหรือมีเนื้องอกมดลูกอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูก          
  2. การคลอดก่อนกำหนด โดยทารกยังไม่ถึงช่วงสัปดาห์ที่ต้องกลับหัว
  3. ปริมาณน้ำคร่ำ มากหรือน้อยผิดปกติ
  4. หน้าท้องยืดขยายมาก อาจเกิดมาจากการตั้งครรภ์หลายครั้ง และกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง

ส่วนนำของเด็กเป็นปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับการคลอด หากเด็กมีส่วนนำเป็นหัวโอกาสคลอดเองตามธรรมชาติจะสูงกว่า เนื่องจากหัวเป็นส่วนอยู่ต่ำที่สุดในช่องเชิงกราน จะคลอดออกมาทางช่องคลอดก่อนส่วนอื่นของร่างกาย ซึ่งเป็นท่าที่เหมาะสมสำหรับการคลอดทางช่องคลอดมากที่สุด คลอดได้ง่ายที่สุด เพราะหัวเด็กจะเป็นตัวขยายปากมดลูกได้ดีค่ะ แต่เด็กที่มีส่วนนำเป็นหัว ไม่ได้หมายความว่าจะคลอดทางช่องคลอดได้เสมอไป เพราะต้องดูความเหมาะสมของขนาดเด็กกับอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ อาจจะต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ในการช่วยคลอด รวมไปถึงแรงเบ่งของคุณแม่ มีผลต่อการคลอดอีกด้วยค่ะ

ท่าของทารกในครรภ์มีผลอย่างมากต่อการคลอด เพราะหากเด็กไม่ได้กลับหัวลงสู่ช่องเชิงกราน การคลอดธรรมชาติอาจเป็นไปได้ยาก ทำให้คลอดติดไหล่ คลอดยาก ตกเลือกได้ หากเด็กอยู่ในท่าขวาง หรือมีขาเป็นส่วนนำ แพทย์จะพิจารณาผ่าคลอดให้กับคุณแม่ค่ะ  

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

พญ.กันดาภา ฐานบัญชา
สูติแพทย์ โรงพยาบาลบี.แคร์ เมดิคอล เซ็นเตอร์