
คลอดลูกเองที่บ้าน เป็นการคลอดลูกที่นิยมในต่างประเทศโดยมีพยาบาลพดุงครรภ์มาช่วยที่บ้าน เทรนด์นี้แม่ท้องและครอบครัวจะต้องทำอะไร มาดูกันที่คลิปนี้ค่ะ
(คลิป) คลอดลูกเองที่บ้าน แม่ท้องสุดสตรองและกำลังใจจากครอบครัวต้อนรับสมาชิกใหม่
ที่มาคลิปคลอดลูกที่บ้าน
https://www.ellenfisher.com
https://www.instagram.com/ellenfisher

ข้อดีของการคลอดธรรมชาตินอกจากจะทำให้คุณแม่ฟื้นตัวไวแล้ว ยังกระตุ้นการสร้างนมแม่ ให้นมลูกได้ไว และอีก 5 ข้อดีที่หมอสูติฯ อยากให้แม่คลอดลูกแบบธรรมชาติ
5 ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ ที่หมอสูติฯ อยากบอกว่าเจ๋งจริง เบ่งคลอดกันเถอะ
-
การคลอดลูกธรรมชาติ ลูกสามารถเติบโตจนเต็มที่ครบ 40 สัปดาห์
อวัยวะทุกระบบสมบูรณ์จะเต็มที่จึงค่อยคลอดออกมา ในขณะที่การผ่าคลอดจะต้องนัดผ่าตัดก่อนครบกำหนดประมาณ 1-2 สัปดาห์ บ่อยครั้งที่อายุครรภ์คลาดเคลื่อนทำให้คลอดเร็วเกินไป จนลูกต้องอยู่ในตู้อบหรือบางรายต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
-
การคลอดลูกธรรมชาติ ลูกมีเวลาปรับตัว
การผ่าคลอด ลูกจะถูกล้วงออกมาจากมดลูกอย่างกะทันหันจนลูกอาจจะตกใจ และปรับตัวไม่ทันกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เช่น อุณหภูมิและแสงสว่าง เป็นต้น ส่วนการคลอดเองลูกจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวช้า ๆ ผ่านช่องคลอดที่มีความยืดหยุ่น แนบกระชับไปตลอดลำตัวของลูกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อส่วนศีรษะคลอดออกมา ลำตัวของลูกจะยังอยู่ในช่องคลอด ช่วยป้องกันไม่ให้ลูกหายใจเร็วไป เพื่อจะได้มีเวลาดูดเมือกและน้ำคร่ำออกจากปากและจมูกให้หมดก่อน
ในขณะที่การผ่าคลอด จะต้องให้ลูกคลอดจากมดลูกจนหมดทั้งตัวก่อน จึงค่อยนำมาดูดเมือกในปากและจมูก ทำให้ลูกมีโอกาสจะหายใจสำลักเอาเมือกในจมูกเข้าไปอุดในหลอดลมได้มากกว่า
-
การคลอดลูกธรรมชาติ ลูกกินนมแม่ได้ไวกว่า
ในขณะที่ลูกอยู่ในโพรงมดลูก จะแช่อยู่ในถุงน้ำคร่ำและหายใจเอาน้ำคร่ำเข้าไปอยู่ในช่องปอดจำนวนหนึ่ง รวมทั้งกลืนกินน้ำคร่ำเข้าไปจนเต็มกระเพาะอาหาร แต่ในขณะที่ลำตัวของลูกค่อยๆ คลอดผ่านช่องคลอด ผนังช่องคลอดจะช่วยรีดน้ำคร่ำในปอดและน้ำคร่ำที่อยู่ในกระเพาะอาหารให้ไหลย้อนออกมาทางปากจนหมด ทำให้ปอดสามารถขยายตัวได้เต็มที่ ลูกจะหายใจรับออกซิเจนเข้าปอดได้เต็มความจุของปอด
รวมทั้งกระเพาะอาหารที่ว่างเนื่องจากน้ำคร่ำถูกรีดออกไปแล้ว ทำให้ลูกหิวเร็วและช่วยให้ดูดนมได้เร็วและมากขึ้น สามารถดูดนมได้ทันทีที่คลอด ส่วนลูกที่คลอดโดยการผ่าคลอด จะมีน้ำคร่ำค้างอยู่ในปอดและกระเพาะอาหาร เนื่องจากไม่ผ่านกระบวนการคลอดตามธรรมชาติ อาจทำให้หายใจไม่เต็มที่ หายใจเร็วเพื่อให้ได้ออกซิเจนให้เพียงพอ และส่วนใหญ่มักจะดูดนมได้ช้ากว่า เนื่องจากยังรู้สึกอิ่มอยู่เพราะยังมีน้ำคร่ำค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร
-
การคลอดลูกธรรมชาติ ลูกมักจะไม่ท้องอืด
ปกติลำไส้ของทารกขณะอยู่ในครรภ์จะไม่มีแบคทีเรียเลย เพราะฉะนั้นเมื่อถูกผ่าคลอดผ่านทางหน้าท้องแม่ที่ทำความสะอาดไว้แล้ว จึงทำให้ไม่มีแบคทีเรียต่อไป ต้องค่อยๆ มารับแบคทีเรียจากภายนอกในภายหลัง มีโอกาสที่จะท้องอืด ท้องเสีย ได้วิตามินไม่ครบในช่วงแรกของชีวิตได้
ในขณะที่ทารกที่คลอดผ่านทางช่องคลอด จะได้รับแบคทีเรียที่จำเป็นต่อการย่อยอาหารและการดำรงชีวิตจากช่องคลอดของแม่ ผ่านทางปากเข้าไปเรียบร้อยตั้งแต่แรกคลอด ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีปัญหาของระบบทางเดินอาหาร
-
การคลอดลูกธรรมชาติไม่เจ็บอย่างที่คิด
การคลอดในปัจจุบันนี้ มียาระงับปวดช่วยฉีดให้คุณแม่ทุเลาปวดหรือหลับไปในระหว่างรอคลอดได้ บางแห่งมีบริการฉีดยาเข้าไขสันหลังทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยตลอดการคลอด
น.พ.วิชัย ชวาลไพบูลย์ สูตินรีแพทย์ รพ.กลาง

การผ่าคลอด หรือ Cesarean Section (C-Section) เป็นการผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อนำทารกในครรภ์ออกมา แม่ท้องหลายคนเลือกผ่าตัดคลอดเพราะอะไรบ้าง มาหาคำตอบกันค่ะ
7 เหตุผลที่แม่ท้องหลายคนตัดสินใจเลือกผ่าคลอด C-Section
การผ่าคลอดลูกกลายเป็นวิธีคลอดลูกที่คุณแม่ตั้งครรภ์ในปัจจุบันเลือกมากที่สุดด้วยหลายเหตุผลค่ะ การผ่าคลอดลูก หรือ Cesarean Section (C-Section) เป็นการผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อนำทารกในครรภ์ออกมาทางแผลผ่าตัดด้านหน้า มดลูก ที่มีการทำกันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในช่วง 20 ปีมานี้ ในบางพื้นที่มีอัตราการทำสูงถึง 60-70% ของการคลอดทั้งหมด โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชน สาเหตุที่ทำให้มีอัตราการผ่าตัดคลอดสูงขึ้น อาจจะด้วยสาเหตุดังนี้
-
ผ่าตัดคลอดเพราะอยากลดความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนในช่วงตั้งครรภ์ เช่น กรณีแม่ตั้งครรภ์มีภาวะเบาหวาน โลหิตจาง ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น
-
ผ่าตัดคลอดเพราะแม่อายุมาก จึงมีความกังวลว่าจะไม่สามารถคลอดด้วยวิธีธรรมชาติได้ ไม่มีแรงเบ่ง
-
ผ่าตัดคลอดเพราะผสมเทียม ความก้าวหน้าในการผสมเทียม ซึ่งในแม่ ๆ กลุ่มนี้สูติแพทย์มักเลือกที่จะทำการผ่าตัดคลอด cesarean section มากกว่าให้คลอดเอง
- ผ่าคลอดเพราะทารกในครรภ์อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตราย เช่น ไม่กลับหัวแต่เอาท่าก้นลง สายรกพันคอ ครรภ์ลูกแฝด ทารกมีขนาดตัวใหญ่ผิดปกติ เป็นต้น
-
ผ่าตัดคลอดเพราะเชื่อถือเรื่องฤกษ์งามยามดี ต้องการคลอดลูกในวันและเวลาอที่ดูฤกษ์มงคลมาแล้วว่าจะดีกับอนาคตของลูก
-
ผ่าตัดคลอดเพราะกลัวช่องคลอดไม่กระชับเหมือนเดิม
- ผ่าคลอดเพราะกลัวความเจ็บขณะเบ่งคลอด กลัวเลือด
จริง ๆ แล้วการผ่าคลอด C-Section เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่เป็นทางเลือกสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าอยู่ในภาวะเสี่ยง และไม่สามารถคลอดได้ด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และทารกแรกเกิดค่ะ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่มีความเสี่ยงใด ๆ การคลอดวิธีธรรมชาติก็ยังเป็นแนวทางที่เราแนะนำนะคะ เพราะลูกจะได้รับจุลินทรีย์คุณภาพหรือพรีไบโอติกบริเวณช่องคลอดของแม่เข้าสู่ร่างกาย และนั่นจะเป็นหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันแรกให้ลูกแรกเกิดได้ด้วยค่ะ

ท่าผีเสื้อคนท้อง เป็นท่าที่ถูกออกมาเพื่อเตรียมตัวก่อนคลอด ลดอาการปวดท้องคลอดและช่วยให้ปากมดลูกเปิดเร็วขึ้น ซึ่งแม่ท้องสามารถทำได้ง่าย ๆ บนเตียงนอนเลยค่ะ
คนท้องนั่งท่าผีเสื้อ ท่านั่งมณีเวชเร่งปากมดลูกเปิด ลดอาการปวดท้องคลอด
ท่านั่งผีเสื้อคนท้องคืออะไร
ท่านั่งผีเสื้อคนท้อง เป็นท่านั่งหนึ่งในศาสตร์ที่ชื่อว่า มณีเวช ศาสตร์ของการปรับสมดุลโครงสร้างร่างกาย ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยอาจารย์ประสิทธิ์ มณีจิระประการ โดยผสมผสานวิชาแพทย์แผนไทย จีนและอินเดีย ประยุกต์ต่อยอด เน้นการปรับโครงสร้างร่างกายให้อยู่ในสมดุล เพื่อใช้ในการบำบัดรักษาตั้งแต่อาการเจ็บปวด กล้ามเนื้อจนถึงโรคต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของโครงสร้างร่างกาย ในปัจจุบันได้มีนำมาใช้ในการ ปรับสมดุลร่างกายให้กับหญิงตั้งครรภ์และในขณะคลอด
ท่านั่งผีเสื้อช่วยเร่งปากมดลูกเปิดเร็ว เร่งคลอดได้จริงไหม
จากการศึกษาและทดลองของคุณวนิดา วงศ์มุณีวรณ์ พยายาลชำนาญการ โรงพยาบาลหาดใหญ่ ในกลุ่มคนท้อง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลองใช้ท่าผีเสื้อ และ กลุ่มรอคลอดปกติ พบว่าการใช้ท่านั่งมณีเวชช่วยให้ปากมดลูกมีการเปิดขยาย 1 ซม.ใช้เวลา 19.6 นาที ขณะที่กลุ่มนอนรอคลอดปกติ ใช้เวลานานกว่า 29.4 นาที (1) และการศึกษาของอาลี แซ่เจียว พบว่าระยะเวลาคลอด ตั้งแต่ระยะปากมดลูกเปิด (active phase) จนถึงระยะทารกคลอดออกมา second stage พบว่ากลุ่มทดลองและกลุ่มรอคลอดปกติมีระยะเวลาคลอดเฉลี่ย 227.17 และ 292.73 นาที ตามลำดับ (2)
จึงอาจสรุปได้ว่า ท่านั่งผีเสื้อมีส่วนช่วยเร่งให้ปากมดลูกเปิดเร็ว และช่วยเร่งคลอด ทำให้แม่ท้องที่คลอดธรรมชาติใช้เวลาคลอดไวขึ้น
ท่านั่งผีเสื้อช่วยลดอาการปวดท้องคลอดได้จริงไหม
จากการวิจัยกึ่งทดลองของคุณศิริลักษณ์ นิธิธารากูล โรงพยาบาลสุโขทัย พบว่า ผู้คลอดมีค่าเฉลี่ยระยะเวลาการคลอดจากการเจ็บครรภ์คลอด ของกลุ่มทดลอง น้อย กว่ากลุ่มควบคุม โดยพบว่า ระยะเวลาในระยะที่ 1 ของการคลอด กลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ย5.56 ชั่วโมง กลุ่ม 9 ควบคุม มีค่าเฉลี่ย 6.42 ชั่วโมง และค่าเฉลี่ยในระยะการคลอดทั้งหมด น้อยกว่ากลุ่มควบคุม 46 นาที แต่ทั้งนี้ความเจ็บปวดในระยะคลอดของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาดครรภ์ การบีบตัวของมดลูก ความเครียด ความกังวล เป็นต้น (3)
คนท้องนั่งท่าผีเสื้ออย่างไร ถ้าอยากช่วยเร่งปากมดลูกเปิดและลดอาการปวดท้องคลอด
- แม่ท้องนั่งบนเตียง หรือ บนพื้นที่ได้ปกติ
- งอขาสองข้างเข้าหาตัว โดยให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างประกบกัน
- ดันส้นเท้าเข้าหาตัวให้มากที่สุด อาจใช้มือทั้งสองข้างกดเข้าทั้งสองข้างไว้ หรือ อาจใช้หมอนรองไว้ช่วงหน้าตัก แล้วกดตัวไปข้างหน้าทำมุม 15 – 30 องศา
- หายใจเข้าออกลึก ๆ ช้า ๆ นับ 1-20 แล้วค่อย ๆ ยกตัวขึ้นหลังตรงปกติ นับเป็น 1 ชุด
- ทำซ้ำอีกครั้งละ 1 ชุด ทุก ๆ 20 นาที (1 ชั่วโมงจะทำ 3 ชุด)
ข้อมูลอ้างอิง
- วนิดา วงศ์มุณีวรณ์.(2558) .การนั่งท่าผีเสื้อต่อการเปิดปากมดลูกในขณะรอคลอด.วารสารวิชาการเขต
- พยุงศรี อุทัยรัตน์ และอารี แซ่เจียว (2561).ผลของการใช้ท่ามณีเวชต่อการเผชิญความเจ็บปวดและระยะเวลา คลอดในหญิงครรภ์แรก โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี.วารสารวิชาการแพทย์ เขต 11 ปีที่ 32
- http://203.157.71.172/academic/web/files/2564/research/MA2564-002-01-0000000630-0000000600.pdf

การบล็อกหลังเป็นวิธีที่จะช่วยคลายความเจ็บป่วยในช่วงคลอดลูกได้ บล็อกหลังมีกี่แบบ มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร เรามีคำแนะนำก่อนแม่ท้องตัดสินใจเลือกวิธีบล็อกหลังค่ะ
บล็อกหลังคลอดลูก มีแบบไหนบ้าง ควรบล็อกหลังไหม แม่ท้องต้องรู้
อาการเจ็บท้องคลอด ใครไม่เคยมีประสบการณ์ย่อมไม่รู้ถึงความรู้สึกนี้ ความไม่รู้นี่เองทำให้คุณแม่วิตกกังวล ขอให้สบายใจว่า การเตรียมร่างกายให้แข็งแรง การฝึกลมหายใจ บล็อกหลังหรือการฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง และการฉีดยาระงับปวดทางเส้นเลือดดำ ล้วนเป็นเทคนิควิธีทางการแพทย์ที่จะช่วยลดอาการเจ็บครรภ์ให้คุณแม่ได้

1. การบล็อกหลังแบบ Epidural
วิธีการบล็อกหลังแบบ Epidural
วิสัญญีแพทย์จะแทงเข็มซึ่งภายในมีหลอดนำยาขนาดเล็กเข้าไปในกระดูกสันหลังของคุณแม่ หลอดนำยาจะค้างอยู่ข้างในและค่อยๆ ปล่อยยาชาอย่างต่อเนื่องออกไปควบคุมชั้นผิวหนังของไขสันหลังที่เรียกว่า Dura ให้หมดความรู้สึก คุณแม่จะบอกให้แพทย์ใช้วิธีนี้ในช่วงใดของการรอคลอดก็ได้
ข้อดีการบล็อกหลังแบบ Epidural
- หลังจากที่แพทย์แทงเข็มบริเวณกระดูกสันหลังแล้ว คุณแม่ส่วนมากจะหมดความรู้สึกตั้งแต่ช่วงเอวลงไปภายใน 5 นาที แต่ในบ้างครั้งอาจใช้เวลานานกว่านี้ แล้วแต่ปริมาณของตัวยาที่ใช้
- วิธีบล็อกหลังแบบ Epidural จะช่วยให้คุณแม่ไม่เจ็บปวดจากการบีบรัดตัวของมดลูก และยังสามารถขยับตัวเคลื่อนไหวร่างกายได้ คุณแม่สามารถพักผ่อนหรืองีบหลับเพื่อรอเวลาเบ่งคลอดได้
ข้อควรระวังการบล็อกหลังแบบ Epidural
- ผลข้างเคียงจาการบล็อกหลังแบบ Epidural ที่พบมากที่สุดคืออาการปวดศีรษะ เฉลี่ยประมาณ 1 ต่อ 200 ซึ่งเป็นผลจากการใช้เข็มเจาะและปล่อยยาเข้าไปในแนวไขสันหลัง
- คลื่นไส้ อาเจียนคัน และสั่นตามร่างกาย ส่วนใหญ่จะหายไปเองเมื่อหมดฤทธิ์ยา แต่ถ้ายาหมดฤทธิ์แล้วอาการเหล่านี้ยังไม่หายไป คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ในทันที
- นอกจากนี้การบล็อกหลังแบบ Epidural อาจทำให้ความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อกระดูกเชิงกรานลดลง ซึ่งจะส่งผลให้การคลอดในระยะที่สองต้องใช้เวลาเนิ่นนานออกไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง และยังมีโอกาสสูงที่จะต้องใช้คีมช่วยคลอด
โดยปกติการบล็อกหลังแบบ Epidural เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศได้พยายามคิดค้นวิธีที่จะลดปริมาณการใช้ยา รวมทั้งการผสมชนิดของยาเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อคุณแม่น้อยที่สุด และทำให้คุณแม่รอคลอดสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้มากที่สุด จึงมีผู้เรียกวิธีบล็อกหลังแบบ Epidural ว่า “ชนิดเดิน” เพราะคุณแม่ยังสามารถลุกเดินไปไหนได้

2. การบล็อกหลังแบบ Spinal Block
วิธีการบล็อกหลังแบบ Spinal Block
แพทย์จะแทงเข็มเข้าไปที่บริเวณหลังส่วนล่างของคุณแม่ ซึ่งเข็มจะเจาะผ่านกระดูกไขสันหลังชั้น Dura ตรงเข้าไปยังแนวไขสันหลังทันที คุณแม่ส่วนมากจะรู้สึกชาตั้งแต่ช่วงเอวลงไป ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในการเบ่งคลอดลดลงด้วย การบล็อกหลังแบบ Spinal มักจะใช้ช่วงทารกใกล้คลอด เนื่องจากยามีฤทธิ์อยู่ได้ในช่วงสั้นเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น
ข้อดีการบล็อกหลังแบบ Spinal Block
เป็นวิธีที่จะช่วยระงับความเจ็บปวดได้ในทันทีภายใน 1–2 นาทีก็เห็นผล และปริมาณยาที่ใช้ก็น้อยกว่าการบล็อกหลังแบบ Epidural
ข้อควรระวังการบล็อกหลังแบบ Spinal Block
เนื่องจากมีฤทธิ์ค่อนข้างสั้น ยาที่ฉีดไปอาจหมดฤทธิ์ก่อนที่ทารกจะคลอดมา และแพทย์จะไม่ฉีดยาให้ซ้ำเป็นครั้งที่สอง เป็นวิธีที่ก่อให้เกิดประโยชน์น้อยมาก เพราะยังไม่มีใครสามารถคำนวณเวลาในการคลอดได้ และอาจทำให้คุณแม่ปวดศีรษะซึ่งเป็นผลจากการแทงเข็มไปในแนวไขสันหลังระดับลึก ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ ตัวสั่น อาการคัน และรู้สึกคลื่นไส้
3. การบล็อกหลังแบบผสมระหว่าง Epidural กับ Spinal
วิธีการบล็อกหลังแบบผสม
วิธีการบล็อกหลังแบบผสมมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เทคนิคแบบสองเข็ม” คือการใช้เข็มเป็นเซ็ต โดยวิสัญญีแพทย์จะแทงเข็มขนาดใหญ่ซึ่งข้างในจะมีเข็มขนาดเล็กอยู่อีกอันหนึ่งเข้าไปที่กระดูกไขสันหลัง เข็มเล็กข้างในจะแทงลึกตรงเข้าไปที่แนวไขสันหลังคือ Spinal เพื่อให้ยาออกฤทธิ์แบบเฉียบพลัน
หากการคลอดยังไม่เกิดขึ้นภายในช่วงที่ยาบล็อก Spinal ออกฤทธิ์ แพทย์ก็จะให้ยาชาบล็อกหลังอีกครั้งในระดับ Epidural ซึ่งออกฤทธิ์ช้าและอยู่ได้นานกว่าทางเข็มใหญ่ โดยไม่ต้องแทงเข็มซ้ำ
ข้อดีการบล็อกหลังแบบผสม
เป็นการรวมข้อดีของการบล็อกหลังทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน และคุณแม่ยังเคลื่อนไหวร่างกายได้
ข้อควรระวังการบล็อกหลังแบบผสม
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขั้นกับคุณแม่ก็คือ ปวดศีรษะ ตัวสั่น อาการคัน และคลื่นไส้
โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกแบบไหนเหมาะสำหรับเด็ก สายพันธุ์ไหนดี กินปริมาณเท่าไหร่เพียงพอ
ฟัง The Expert พญ. สีวลี สีดาฟอง
แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก โรงพยาบาลวิมุต
ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke

แม่ผ่าคลอดหลายคนอาจกังวลว่าลูกจะไม่แข็งแรงเพราะไม่ได้รับภูมิต้านทานจากโพรไบโอติกในขณะคลอด แต่ถึงแม้จะผ่าคลอดแล้ว คุณแม่ก็ยังสามารถสร้างภูมิต้านทานตามธรรมชาติให้ลูกได้ค่ะ
แม่ท้องต้องรู้ ผ่าคลอดทำลูกขาดภูมิต้านทานตามธรรมชาติ
ปัจจุบันมีคุณแม่ท้องหลายคนอาจต้องเลือกวิธีผ่าคลอดมากกว่าการคลอดด้วยวิธีธรรมชาติผ่านช่องคลอด เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆเช่น ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ พัฒนาการของทารกในครรภ์ที่ไม่ยอมกลับหัว หรือทารกตัวใหญ่จนไม่สามารถคลอดเองได้ เรื่องความสะดวก หรือการถือฤกษ์ยามของที่บ้าน อย่างไรก็ตาม คุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการผ่าคลอดนั้นอาจส่งผลต่อภูมิต้านทานตั้งต้นของลูกผ่าคลอดเมื่อเทียบกับการคลอดธรรมชาติ
คลอดธรรมชาติ ต่างจากผ่าคลอดอย่างไร
มีการศึกษามากมายว่าการคลอดธรรมชาติจะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เรียกว่า โพรไบโอติก (Probiotics) ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของระบบภูมิต้านทานตั้งต้นของลูกน้อย
เนื่องจากการคลอดธรรมชาติ เด็กจะต้องเคลื่อนตัวผ่านช่องคลอด เด็กจึงมีการกลืนโพรไบโอติกเข้าไป ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานตั้งต้น ช่วยสร้างสมดุลให้กับร่างกาย ลดโอกาสเกิดภูมิแพ้และโรคต่างๆ ในขณะที่เด็กผ่าคลอดจะไม่ได้รับจุลินทรีย์สุขภาพโพรไบโอติก ซึ่งอาจส่งผลให้มีพัฒนาการของระบบภูมิต้านทานตั้งต้นช้ากว่าเด็กคลอดธรรมชาติได้
คุณแม่เบาใจ แม้ผ่าคลอดก็ยังเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ลูกได้

มีการศึกษาว่าในช่วง 3 วันแรกหลังผ่าคลอด ถ้าลูกได้ดื่มนมแม่ จะสามารถเร่งคืนภูมิต้านทานให้ลูกได้เช่นกัน
เนื่องจากน้ำนมแม่ในระยะนี้เป็นหัวน้ำนมหรือโคลอสตรุ้ม (Colostrum) ที่เป็นน้ำนมที่ดีที่สุด และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลูกน้อยได้ดีที่สุด
โคลอสตรุ้มมีสารสร้างภูมิต้านทานที่ดีให้กับลูก เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว โปรตีนต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลูกตั้งแต่แรกเกิด ป้องกันการติดเชื้อ และกระตุ้นการทำงานของลำไส้เพื่อช่วยขับถ่ายขี้เทาออก เป็นการป้องกันแก้ไขอาการตัวเหลืองของลูกวัยทารกด้วย
นอกจากนี้ในนมแม่ยังมีซินไบโอติก (Synbiotic) ที่มีโพรไบโอติก (Probiotics) ปริมาณมาก และพรีไบโอติก (Prebiotics) ที่เป็นอาหารสำคัญสำหรับโพรไบโอติก

ดังนั้นเมื่อให้ลูกผ่าคลอดดื่มนมแม่เป็นประจำร่างกายก็จะมีโพรไบโอติกสูงที่ช่วยเร่งคืนภูมิต้านทานที่ขาดหายไปในเด็กผ่าคลอด ช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์ก่อโรค ป้องกันการติดเชื้อ และพัฒนาระบบประสาทและสมอง เพื่อให้ลูกผ่าคลอดพร้อมยิ่งกว่าค่ะ
แต่หากคุณแม่มีความจำเป็นไม่สามารถให้นมลูกได้ หรือน้ำนมยังไม่มา มีปัญหาสุขภาพร่างกาย ควรปรึกษาคุณหมอหรือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อขอคำแนะนำถึงการใช้นมผสมสูตรที่มีโพรไบโอติกและสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของลูก
อ้างอิง
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/24674981/
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK148970/
https://www.si.mahidol.ac.th/th
https://pharmacy.mahidol.ac.th
สนับสนุนโดย Hi-Family Club สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเตรียมให้ลูกผ่าคลอดพร้อมยิ่งกว่าได้ที่
https://www.hifamilyclub.com/c-section.html
พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จุลินทรีย์มีประโยชน์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ
ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทำให้ตอนนี้ลูก ๆ คงพลาดโอกาส ไม่สามารถออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายได้ อาหารการกินที่มักพบว่ามีการปนเปื้อนสารเคมีต่าง ๆ การที่เด็ก ๆ รับประทานผักผลไม้ไม่เพียงพอ เหล่านี้ทำให้ส่งผลให้การสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายนั้นไม่เต็มที่
ยิ่งลูกเกิดเจ็บป่วยทีก็ลำบากน่าดูเลยค่ะ เพราะถ้าลูก ๆ ต้องเข้าโรงพยาบาลเราก็คงต้องกังวลมาก ๆ ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรเร่งเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อลดโอกาสที่ลูก ๆ จะป่วยและต้องไปโรงพยาบาล และทางเลือกหนึ่งที่ดีคือการเสริมโพรไบโอติกให้ลูก เพื่อจะได้สร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ปกป้องลูกจากการเจ็บป่วย ซึ่งเด็กแต่ละวัยควรได้รับโพรไบโอติกในปริมาณที่เหมาะสมด้วยค่ะ
โพรไบโอติก คืออะไร
โพรไบโอติก เป็นจุลินทรีย์มีชีวิต หรือบางครั้งเราก็เรียกว่าจุลินทรีย์มีประโยชน์ เมื่อเราได้รับในปริมาณที่เหมาะสม จะส่งผลดีต่อสุขภาพ หรือเป็นประโยชน์ในการการแพทย์1 แต่โพรไบโอติกก็มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ไม่ได้ออกฤทธิ์เหมือนกัน โดยเฉพาะฤทธิ์ในการเสริมภูมิคุ้มกันนั้น มีเฉพาะบางสายพันธุ์เท่านั้นที่ทำได้2
อย่างเช่นโพรไบโอติกสายพันธุ์เฉพาะ แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938 (Lactobacillus reuteri DSM 17938) เป็นโพรไบโอติกสายพันธุ์หนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเด็ก ๆ อีกทั้งยังมีมีงานวิจัยทางการแพทย์ออกมามากมายยืนยันเกี่ยวกับประสิทธิภาพของจุลินทรีย์สายพันธุ์นี้3 เช่น มีคุณสมบัติในด้านการป้องกันการติดเชื้อ4

แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938 เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อในเด็ก
ต้องบอกก่อนว่าโพรไบโอติกแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี นี้เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่มีต้นกำเนิดมากจากน้ำนมแม่ ค้นพบโดย เจอร์ฮาร์ด รูเทอร์ นักจุลชีววิทยาชาวเยอรมัน โดยสายพันธุ์เฉพาะ แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี ดีเอสเอ็ม 17938 เป็นสายพันธุ์ที่มีการศึกษาทางการแพทย์จำนวนมากว่ามีประสิทธิภาพสูง และปลอดภัยสำหรับเด็ก3
หนึ่งในการศึกษาจาก Pedro Gutierrez-Castrellon และคณะ (ตีพิมพ์ในวารสาร Pediatrics 2014) แสดงผลว่า การรับประทานโพรไบโอติกสายพันธุ์เฉพาะ แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรีDSM 17938 จะช่วยลดการเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ลดการเกิดท้องเสีย (จากการติดเชื้อ) ลดจำนวนวันที่ขาดเรียนเพราะลาป่วย และลดความจำเป็นที่จะต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เมื่อเทียบกับเด็กที่รับประทานยาหลอก จากการศึกษายังพบอีกว่าการการรับประทานแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938 เป็นเวลา 3 เดือนไม่พบผลข้างเคียงที่แตกต่างจากการรับประทานยาหลอก4
โดยโพรไบโอติก แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จะช่วยกระตุ้นการสร้าง CD4-T helper cell ในเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ซึ่งจะช่วยประสานกับระบบภูมิคุ้มกันอื่นในการต่อสู้ ยับยั้งเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงและป้องกันโรคติดเชื้อได้5
ที่สำคัญยังมีคำแนะนำจากสมาคมแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารนานาชาติ (WGO- World Gastroenterology Organisation) แนะนำให้เสริมโพรไบโอติกสายพันธุ์เฉพาะแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี DSM 17938 เป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับเด็ก โดยเฉพาะที่ต้องเข้าโรงเรียนหรือต้องไปสถานรับเลี้ยง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ1

ช่วงนี้เด็ก ๆ อยู่บ้านเรียนออนไลน์ แม้ไม่ได้ไปโรงเรียนก็ยังวางใจไม่ได้ ยิ่งถ้าไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นออกกำลังกายเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หรือกินอาหารที่ไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้มีปัญหาภูมิคุ้มกันต่ำและทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย
การเสริมโพรไบโอติกให้ลูกถือเป็นตัวช่วยหนึ่งที่สามารถเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเด็กได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรต้องเลือกโพรไบโอติกสายพันธุ์ที่เหมาะสม และมีการศึกษาและคำแนะนำทางการแพทย์รองรับด้วยค่ะ
เอกสารอ้างอิง
- World Gastroenterology Organisation. World gastroenterology organisation global guidelines: probiotics and prebiotics. February 2017: 1-35.
- Sanders ME, Merenstein D, Merrifield CA, Hutkins R. Probiotics for human use. Nutrition Bulletin. 2018; 43: 212–225.
- Srinivasan R, Kesavelu D, Veligandla KC, Muni SK, Mehta SC. Lactobacillus reuteri DSM 17938: Review of Evidence in Functional Gastrointestinal Disorders. Pediatr Ther. 2018; 8(3): 1-8.
- Gutierrez-Castrellon P, Lopez-Velazquez G, Diaz-Garcia L, et al. Diarrhea in preschool children and Lactobacillus reuteri: a randomized controlled trial. Pediatrics. 2014;133(4):e904-e909.
- Valeur N, Engel P, Carbajal N, Connolly E, Ladefoged K. Colonization and immunomodulation by Lactobacillus reuteri ATCC 55730 in the human gastrointestinal tract. Appl Environ Microbiol. 2004;70(2):1176-1181.
THL2203319-2

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

ปกติแล้วทารกในท้องจะกลับหัวเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน แต่หากกลับหัวไวกว่านั้นแปลว่าอาจทำให้แม่คลอดก่อนกำหนดจริงไหม มาเช็กกันตรงนี้ค่ะ
ไขข้อข้องใจ! ลูกกลับหัวเร็วอาจทำให้คลอดลูกก่อนกำหนดจริงไหม
คุณแม่ตั้งครรภ์บางคนเริ่มกังวลว่า ลูกในท้องกลับตัว เอาหัวลงเหมือนเตรียมคลอด แบบนี้จะทำผลทำให้คลอดก่อนกำหนดหรือเปล่า ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า ทารกมีส่วนนำเป็นศีรษะในไตรมาสที่ 3 คือ ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ค่ะ โดยช่วงเวลา 27-28 สัปดาห์เป็นเวลาปกติที่ส่วนใหญ่เด็กจะกลับหัวลง และอยู่ในท่านี้ไปจนถึงวันคลอด ซึ่งไม่ถือว่าเป็นสาเหตุของการคลอดก่อนกำหนดแต่อย่างใดค่ะ
ในบางกรณีทารกในครรภ์แค่บางรายเท่านั้นที่มีการกลับตัวอีกรอบเป็นท่าเอาก้นลงไปใหม่ หรือบางคนก็กลับตัวนอนในท่าขวางครรภ์ จริง ๆ แล้วการที่ทารกไม่กลับหัวลงอาจจะน่ากังวลมากกว่าค่ะ เพราะอาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้
ทารกในครรภ์ไม่กลับหัวเพราะความผิดปกติอะไร
- มีรกเกาะต่ำหรือมีเนื้องอกมดลูกอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูก
- การคลอดก่อนกำหนด โดยทารกยังไม่ถึงช่วงสัปดาห์ที่ต้องกลับหัว
- ปริมาณน้ำคร่ำ มากหรือน้อยผิดปกติ
- หน้าท้องยืดขยายมาก อาจเกิดมาจากการตั้งครรภ์หลายครั้ง และกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง
ส่วนนำของเด็กเป็นปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับการคลอด หากเด็กมีส่วนนำเป็นหัวโอกาสคลอดเองตามธรรมชาติจะสูงกว่า เนื่องจากหัวเป็นส่วนอยู่ต่ำที่สุดในช่องเชิงกราน จะคลอดออกมาทางช่องคลอดก่อนส่วนอื่นของร่างกาย ซึ่งเป็นท่าที่เหมาะสมสำหรับการคลอดทางช่องคลอดมากที่สุด คลอดได้ง่ายที่สุด เพราะหัวเด็กจะเป็นตัวขยายปากมดลูกได้ดีค่ะ แต่เด็กที่มีส่วนนำเป็นหัว ไม่ได้หมายความว่าจะคลอดทางช่องคลอดได้เสมอไป เพราะต้องดูความเหมาะสมของขนาดเด็กกับอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ อาจจะต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ในการช่วยคลอด รวมไปถึงแรงเบ่งของคุณแม่ มีผลต่อการคลอดอีกด้วยค่ะ
ท่าของทารกในครรภ์มีผลอย่างมากต่อการคลอด เพราะหากเด็กไม่ได้กลับหัวลงสู่ช่องเชิงกราน การคลอดธรรมชาติอาจเป็นไปได้ยาก ทำให้คลอดติดไหล่ คลอดยาก ตกเลือกได้ หากเด็กอยู่ในท่าขวาง หรือมีขาเป็นส่วนนำ แพทย์จะพิจารณาผ่าคลอดให้กับคุณแม่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
พญ.กันดาภา ฐานบัญชา
สูติแพทย์ โรงพยาบาลบี.แคร์ เมดิคอล เซ็นเตอร์