facebook  youtube  line

อาบน้ำลูกทารกในหน้าหนาว ต้องอาบบ่อยแค่ไหน

ทารก อาบน้ำหน้าหนาว, อาบน้ำทารกหร้าหนาว, เด็ก อาบน้ำหน้าหนาว, ทารกอาบน้ำวันละกี่ครั้ง, เด็กอาบน้ำวันละกี่ครั้ง, อาบน้ำลูก หน้าหนาว ยังไง, หน้าหนาว ต้องอาบน้ำลูกทารกมั้ย, ลูกทารก อาบน้ำอุ่น หน้าหนาว

ช่วงอากาศเย็นขึ้นจนหนาว จะต้องอาบน้ำลูกทารกช่วงหน้าหนาวยังไงให้เขายังอบอุ่น ไม่ป่วยเพราะอากาศเย็น ต้องอาบบ่อยแค่ไหน เรามีคำแนะนำค่ะ

อาบน้ำลูกทารกในหน้าหนาว ต้องอาบบ่อยแค่ไหน

เทคนิคอาบน้ำให้ลูกช่วงหน้าหนาว อาบน้ำหน้าหนาว

  • ควรสระผมและเช็ดศีรษะลูกน้อยให้แห้งก่อนอาบน้ำทุกครั้งเพื่อให้เจ้าตัวเล็กไม่หนาวสั่น และในขณะสระผมไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าลูกออก เพื่อร่างกายของลูกจะได้อบอุ่นอยู่เสมอ

  • หลังสระผมเสร็จคุณแม่สามารถเช็ดทำความสะอาดบริเวณหน้าได้เลย จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าเจ้าตัวเล็กเพื่ออาบน้ำเพราะหากจัดการทำความสะอาดส่วนบนเรียบร้อยแล้วการอาบน้ำจะเร็วขึ้น ลูกน้อยไม่ต้องหนาวมาก

  • อาบน้ำอุ่นวันละ 1 ครั้งก็พอ เพราะการควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายของลูกยังทำงานไม่เต็มที่ อาจผสมเบบี้ออยล์ลงไปในน้ำที่ใช้อาบเล็กน้อย หรือใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก และพยายามเช็ด ถู ทำความสะอาดผิวของลูกขณะอาบน้ำอย่างเบามือที่สุด

  • หลังอาบน้ำให้รีบเช็ดและห่อตัวลูกด้วยผ้าขนหนู จากนั้นใช้โลชั่นหรือครีมบํารุงผิวเด็กทาผิวลูกทันที โดยบีบใส่มือแล้วลูบให้เนื้อครีมกระจาย ทาให้ทั่วแขน ขา และลำตัวของลูก เพื่อให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิว รูขุมขนก็จะถูกเคลือบปิดทำให้ผิวคงความชุ่มชื่นได้ดี

  • เลือกเวลาอาบเป็นช่วงกลางวันที่อากาศไม่หนาวเย็นมากจนเกินไป

แต่ถ้าวันไหนที่อากาศเย็นเกินไป คุณพ่อคุณแม่จะเช็ดตัวให้ลูกแทนการอาบน้ำก็ได้นะคะ 


อุ้มเข้าเอวบ่อย ๆ นาน ๆ ลูกจะขาโก่งจริงไหม

อุ้มเข้าเอว ขาโก่งไหม, ห้ามอุ้มลูกเข้าเอวจริงไหม, อุ้มเข้าเอว ขาโก่งจริงไหม, ทำไมลูกขาโก่ง, ทำไม ทารก ขาโก่ง, สาเหตุ ทารกขาโก่ง, ดัดขา ทารก ขาโก่ง, ทารก ขาโก่งในท้อง, รักษา ขาโก่ง 

คุณแม่หลายคนไม่กล้าอุ้มลูกแบบเข้าเอว เพราะกลัวลูกขาโก่ง เรื่องนี้เป็นเพียงความเชื่อหรือเรื่องจริง เรามีคำตอบค่ะ

อุ้มเข้าเอวบ่อย ๆ นาน ๆ ลูกจะขาโก่งจริงไหม

คุณพ่อคุณแม่เคยไหมคะ? อุ้ม ๆ ลูกอยู่แล้วมีคนมาทักว่าถ้าอุ้มเข้าเอวแล้วลูกจะขาโก่ง เสียเซลฟ์ไหมคะแม่ ๆ บอกเลยว่าเราต้องสตรองค่ะ อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ ที่เขาว่ามา เพราะบางอย่างก็ไม่จริงเสียทั้งหมดค่ะ

เพราะปกติเด็กเล็กก่อน 1 ขวบ ขาจะดูค่อนข้างโก่งอยู่แล้ว เนื่องจากตอนอยู่ในท้องขาจะทับกัน และโค้งไปตามมดลูก เมื่อคลอดออกมาขาด้านล่างจึงโค้งเล็กน้อย แต่เมื่อร่างกายมีการเจริญเติบโตตามวัย ลำตัวและขายาวขึ้น กระดูกก็จะค่อย ๆ ยาวและยืดออกด้วยเช่นกัน ทำให้ขาตรงขึ้นได้เองตามธรรมชาติ

ส่วนการอุ้มลูกเข้าเอวนั้น ถ้าไม่ได้ทำเป็นประจำก็คงไม่มีผลกระทบที่จะทำให้ลูกขาโก่งได้ และเด็กวัย 6-12 เดือนกำลังจะยืน จึงชอบให้พ่อแม่ช่วยประคองเดิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสามารถทำได้ ไม่ส่งผลให้ขาโก่ง นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ตามอายุจะทำให้ลูกมีความสุขมากขึ้นด้วยค่ะ

แต่หากสงสัยเรื่องลูกขาโก่งจริง ๆ พาลูกไปให้คุณหมอตรวจได้ค่ะ ซึ่งจะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ องค์ประกอบ ทั้งท่ายืน ท่านอน เพื่อดูลักษณะขาว่ามีความโค้งอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ หรือมีปัญหาเรื่องกระดูกและข้อมีความโก่งหรือพลิกกว่าธรรมดาหรือเปล่า ซึ่งกุมารแพทย์ทั่วไปสามารถให้คำแนะนำได้ค่ะ

เช็กพัฒนาการเด็ก ลูกวัย 0-1 ปี ได้ง่าย ๆ ทุกวันด้วยตัวพ่อแม่เอง

พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน 5 เดือน 6 เดือน 7 เดือน 8 เดือน 9 เดือน 10 เดือน 11 เดือน 12 เดือน, พัฒนาการทารกแต่ละเดือน, พัฒนาการทารกแรกเกิดเป็นยังไง, เช็กพัฒนาการทารก, เช็กพัฒนาการเด็ก
 
อยากรู้ว่าพัฒนาการเด็กแต่ละเดือนเป็นอย่างไร ต้องทำอะไรได้ เรามีวิธีสังเกตพัฒนาการทารกวัย 0-1 ปี มาแนะนำให้พ่อแม่เช็กกันได้ตรงนี้ค่ะ 

 

เช็กพัฒนาการเด็ก ลูกวัย 0-1 ปี ได้ง่าย ๆ ทุกวันด้วยตัวพ่อแม่เอง

พัฒนาการทารกแรกเกิด - 1 เดือน

  • กล้ามเนื้อมัดใหญ่
    • งอแขนขาทั้งในท่านอนคว่ำและนอนหงาย
    • ชันคอได้ชั่วขณะในท่านอนคว่ำ
  • กล้ามเนื้อตาและมือ
    • มองเหม่อ อาจจ้องมองในระยะ 8-12 นิ้ว
    • กำมือเมื่อถูกกระตุ้นที่ฝ่ามือ
  • การรับรู้ภาษา
    • สะดุ้งหรือ เปิดตากว้างเมื่อได้ยินเสียง
  • การสื่อภาษา
    • ส่งเสียงร้อง
  • สติปัญญา
    • ไม่สนใจเมื่อสิ่งที่มองเห็นหายไป
  • อารมณ์และสังคม
    • มองหน้าคนช่วงสั้นๆ

พัฒนาการทารก 2-3 เดือน

  • กล้ามเนื้อมัดใหญ่ชันคอได้เองเมื่ออยู่ในท่านอนคว่ำ
  • กล้ามเนื้อตาและมือ - มือกำหลวม ๆ และ มองตามสิ่งของได้ข้ามกึ่งกลางลำตัว
  • การรับรู้ภาษา - หยุดเคลื่อนไหว หรือกะพริบตาตอบสนองต่อเสียง
  • การสื่อภาษา - ส่งเสียงอ้อแอ้
  • สติปัญญา - จ้องมองในจุดที่เห็นสิ่งของหายไปชั่วขณะ
  • อารมณ์และสังคม - สบตาและยิ้มโต้ตอบเวลามีคนเล่นด้วย

พัฒนาการทารก 3-6 เดือน

  • กล้ามเนื้อมัดใหญ่
    • คว่ำหรือหงายได้เอง
    • นั่งได้เองชั่วครู่
  • กล้ามเนื้อตาและมือ
    • เอื้อมมือคว้าของ
    • ประคองขวดนม
  • การรับรู้ภาษา
    • หันหาเสียง
  • การสื่อภาษา
    • เลียนเสียงพยัญชนะหรือสระเช่น “อา” “บอ”
  • สติปัญญา
    • จ้องมองมือของพ่อแม่ที่ถือของเล่นไว้แล้วปล่อยให้ตกไปชั่วครู่
  • อารมณ์และสังคม
    • ดีใจเวลาเห็นผู้เลี้ยงดูที่คุ้นเคย

พัฒนาการทารก 6-9 เดือน

  • กล้ามเนื้อมัดใหญ่ - นั่งบนพื้นเองได้นานขึ้น
  • กล้ามเนื้อตาและมือ - หยิบของด้วยมือทั้งมือ และประคองขวดนม
  • การรับรู้ภาษา - รู้จักชื่อตัวเอง
  • การสื่อภาษา - เล่นเสียงพยัญชนะหรือสระติดต่อกันเช่น “ปาปา มามา”
  • สติปัญญา - มองตามของที่ตก
  • อารมณ์และสังคม - แยกแยะคนแปลกหน้าและคนใกล้ชิดได้ และร้องตามแม่


พัฒนาการทารก 9-12 เดือน

  • กล้ามเนื้อมัดใหญ่ - เกาะยืน
  • กล้ามเนื้อตาและมือ - หยิบของโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้
  • การรับรู้ภาษา - ทำตามคำสั่งง่ายๆได้เช่น “บ๊ายบาย” “ขอ” เข้าใจคำสั่งเช่น “หยุด” “อย่า”
  • ารสื่อภาษา - สื่อสารภาษากาย เช่น ชี้ แบมือขอของ อวดของเล่น ฯลฯ
  • สติปัญญา - เปิดหาของที่ซ่อนไว้
  • อารมณ์และสังคม - เลียนแบบท่าทาง เช่น โบกมือ สาธุ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม พัฒนาการตามวัยที่ระบุในที่นี้เป็นพัฒนาการขั้นต่ำที่เด็กในแต่ละวัยสามารถทำได้ครับ หากลูกยังไม่สามารถทำได้และคุณแม่มีข้อสงสัยควรปรึกษากุมารแพทย์ แต่ขณะเดียวกันเด็กบางคนอาจพัฒนาได้เร็วกว่าเกณฑ์นี้ได้เช่นกันค่ะ 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

รศ.นพ. พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม 
คณะแพทยศา
สตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

เด็กขาโก่ง ลูกขาโก่ง ต้องดัดขาไหม ลูกขาโก่งต้องรักษาแก้ไขอย่างไร

เด็กขาโก่ง, ลูกขาโก่ง, แก้ไขขาโก่ง, ดัดขา ขาโก่ง, ลูกขาไม่ตรง, ขาโก่ง ต้องดัดขาไหม, ขาโก่ง ดัดขา ขาตรงไหม, ขาโก่ง ดัดขา ขาหัก, ขาโก่ง ดัดขาได้ไหม, ขาโก่ง ดัดขา อันตรายไหม, วิธีดัดขาเด็ก, ขาโก่ง รักษา, ขาโก่ง แก้ไขยังไง, เด็กขาโก่ง สาเหตุ, ทรรก ขาโก่ง เกิดจาก
 
จะสังเกตยังไงว่าลูกขาโก่ง เด็กขาโก่ง แล้วควรดัดขาลูกไหมให้ขาตรง ก่อนทำให้ลูกได้รับอันตรายจากการดัดขา มาอ่านเรื่องจริงเกี่ยวกับลูกขาโก่งที่บทความนี้ก่อนค่ะ

เด็กขาโก่ง ลูกขาโก่ง ต้องดัดขาไหม ลูกขาโก่งต้องรักษาแก้ไขอย่างไร

หนึ่งเรื่องที่คุณแม่ หรือ คุณปู่คุณย่า ญาติๆ ผู้ใหญ่จะคอยแนะนำคือทำอย่างไรไม่ให้ลูกขาโก่ง เมื่อเห็นขาลูกไม่ตรงแนบชิดติดกัน มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องขาโก่งอะไรบ้างที่บอกเล่าเชื่อต่อ ๆ กันมาคุณหมอจะมาไขข้อข้องใจค่ะ

ความเชื่อเรื่องเด็กทารกขาโก่ง ลูกขางโก่ง

  • ความเชื่อ : ขาโก่งเพราะใส่ผ้าอ้อม ไม่จริง เพราะจริงๆ แล้วการใช้ผ้าอ้อมอาจจะช่วยป้องกันสะโพกหลุดในเด็กได้ดีทีเดียว

  • ความเชื่อ : ขาโก่งเพราะอุ้มลูกเข้าเอว ไม่จริง การอุ้มลูกเข้าเอวอาจจะช่วยกันสะโพกหลุดได้ด้วย

  • ความเชื่อ : ดัดขาแก้ขาโก่งได้ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนในเรื่องนี้ แต่มีงานวิจัยส่วนใหญ่ว่าถึงจะไม่ดัดก็ทำให้ขาเด็กสามารถพัฒนาการตรงได้เอง

ความเชื่อ : ดัดขาลูกหลังอาบน้ำ ดัดบ่อย ๆ จะหายขาโก่ง ในเด็กเล็กเอ็นต่าง ๆ ในร่างกายจะนิ่ม ดังนั้นการดัดเข่าจะทำให้ดูเหมือนเข่าตรงเล็กน้อย ตอนดัด สิ่งที่ดัดคือเอ็นยึดข้อเข่า โดยกระดูกไม่ได้รับการดัดแต่อย่างไร กระดูกขาโก่งจะหายได้เองอยู่แล้วเมื่อถึงเวลา ดังนั้นจึงทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะมือดัด ส่วนในรายขาโก่งเป็นโรค ดัดอย่างไร ก็ไม่หาย และจะยิ่งเป็นมากขึ้นด้วย ดังนั้นการดัดด้วยมือจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้ขาหายโก่งแต่อย่างใด - (ที่มา : เขาทักว่า...ลูกดิฉันเดินขาโก่ง)

ลูกทารกขาโก่ง เด็กขาโก่ง ทำอย่างไรดี ต้องแก้ไขไหม 

ภาวะขาโก่ง เป็นภาวะที่คุณพ่อคุณแม่กังวล และนำลูกๆ มาพบคุณหมอกันมาก โดยเมื่อทารกคลอดออกมาแล้วขาไม่ตรงชิดกันก็จะกังวลว่าลูกมีกระดูก มีโครงสร้างผิดปกติ ซึ่งคุณหมอได้ให้คำแนะนำว่า ภาวะขาโก่งนั้นมักจะเป็นกับเด็กทารกแรกเกิดเกือบทุกคนเพราะในขณะที่อยู่ในครรภ์ ในมดลูกที่มีพื้นที่อันน้อยนิดของแม่ช่วงสุดท้ายก่อนคลอดต้องอยู่ในท่างอตัว งอเข่า งอสะโพก ขา เท้าไว้เป็นเวลานาน เมื่อคลอดออกมาก็ทำให้เห็นว่าขาโก่งซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า Physiologic Bow Legs โดยเมื่อเวลาผ่านไปร่างกายจะเริ่มพัฒนาและขาก็จะเริ่มตรงได้เอง

ผ่านไปประมาณ 2-3 ปี ขาจะเริ่มตรงเอง และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 1-2 ปีเด็กจะเริ่มยืนหรือเดินแบบเข่าชิด หรือที่เรียกว่า ขาเป็ด หรือ ขาฉิ่ง (Physiologic Knock Knee) โดยจะสังเกตเห็นชัดเมื่ออายุ 3-4 ปี หลังจากนั้นขาและเข่าของเด็กจะกลับมาตรงเหมือนเดิม

เด็กขาโก่ง, ลูกขาโก่ง, แก้ไขขาโก่ง, ดัดขา ขาโก่ง, ลูกขาไม่ตรง, ขาโก่ง ต้องดัดขาไหม, ขาโก่ง ดัดขา ขาตรงไหม, ขาโก่ง ดัดขา ขาหัก, ขาโก่ง ดัดขาได้ไหม, ขาโก่ง ดัดขา อันตรายไหม, วิธีดัดขาเด็ก, ขาโก่ง รักษา, ขาโก่ง แก้ไขยังไง, เด็กขาโก่ง สาเหตุ, ทรรก ขาโก่ง เกิดจาก

สังเกตขาอย่างไรว่าโก่งหรือไม่โก่ง

ขาของลูกที่เห็นว่าโก่งนั้น อาจเป็นโก่งจริงหรือโก่งหลอก หมายถึงกระดูกขาโก่งจริงๆ หรือกระดูกขาไม่ได้โก่งจริงแต่เนื่องจากท่ายืนไม่ตรง จึงทำให้ดูภายนอกเหมือนขาโก่ง ลองสังเกตดูเมื่อเรายืนปลายเท้าชี้ออกด้านนอก งอเข่าเล็กน้อย จะดูเหมือนขาโก่งโค้งออกด้านนอก ถ้ายืนหันปลายเท้าเข้าด้านใน งอเข่าเล็กน้อยก็เหมือนขาโก่งเข้าด้านใน เพราะในเด็กช่วงวัย 1-2 ปี ซึ่งเป็นช่วงหัดเดิน การทรงตัวยังไม่มั่นคง เด็กจะเดินขาถ่างๆ หน่อย เข่างอเล็กน้อย และกางแขนเป็นบางครั้ง เพื่อช่วยในการทรงตัว อันนี้ เป็นท่าเดินมาตรฐานของเด็กวัยนี้ ดังนั้นเวลาดูว่ากระดูกขาโก่งหรือไม่แบบง่ายๆ ต้องเหยียดเข่าให้ตรงสุด หันลูกสะบ้าตรงมาด้านหน้า หรือหันเข้ามาด้านหน้า นำข้อเท้ามาชิดกัน ถ้ามีช่องว่างระหว่างขอบในของเข่าห่างเกิน 2 นิ้วของคุณพ่อคุณแม่ ให้ลองนำลูกมาให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญตรวจต่อ หรือถ้าเมื่อนำข้อเท้ามาชิดกัน แล้วเข่าลูกซ้อนกันหรือเกยกัน ให้ลองนำลูกมาตรวจเช่นกัน - (ที่มา : เขาทักว่า...ลูกดิฉันเดินขาโก่ง)

ขาโก่งแบบนี้ต้องรักษา

แต่อย่างไรก็ตามจะมีภาวะขาโก่งที่เป็นโรคและต้องได้รับการรักษาจริงๆ เรียกว่า โรคบราวซ์ (Blount’s Disease) ปัจจัยที่มีส่วนทำให้เกิดโรคได้แก่ เด็กยืนหรือเดินเร็วก่อนวัย หรือพบในเด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก เชื้อชาติ หรือขาโก่งที่เกิดจากโรคที่เรียกว่า Ricket คือ โรคที่เกิดจากกระดูกขาดแคลเซียม เป็นต้น ซึ่งบางครั้งอาจจำเป็นต้องใส่อุปกรณ์กั้นขาโก่งหรือทำการผ่าตัดรักษาได้ เมื่ออายุ 3-4 ปี และหลังจากผ่าตัดจะต้องใส่เฝือกนาน 6-8 สัปดาห์

ขอบคุณข้อมูล

  • รศ.นพ.จตุพร โชติกวณิชย์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ไขข้อสงสัย เรื่องขาโก่ง

  • นพ.วีระศักดิ์ ธรรมคุณานนท์ แพทย์เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์และออร์โธปิดิกส์ในเด็ก เขาทักว่า...ลูกดิฉันเดินขาโก่ง

เทคนิคช่วยลูกหัดเดิน ฝึกเดิน กระตุ้นกล้ามเนื้อขาให้ลูกหัดเดินได้อย่างมั่นคง

เด็ก หัด เดิน, ที่ หัด เดิน ทารก, รถ หัด เดิน ทารก, ฝึกลูกเดิน, เด็ก หัดเดินเมื่อไหร่, ลูกเดินตอนกี่เดือน, ฝึกเดิน ตอนกี่เดือน, ฝึกลูกเดินได้ตอนไหน, ฝึกลูกตั้งไข่, หัดเดิน กี่เดือน, หัดเดิน อายุเท่าไหร่, หัดเดิน ยังไง

เด็กเริ่มหัดเดินได้ตอนอายุประมาณ 8 เดือนค่ะ พ่อแม่ควรช่วยลูกหัดเดิน ฝึกเดินได้อย่างคล่องแคล่วด้วยเทคนิคต่อไปนี้ 

เทคนิคช่วยลูกหัดเดิน ฝึกเดิน กระตุ้นกล้ามเนื้อขาให้ลูกหัดเดินได้อย่างมั่นคง

ขาที่แข็งแรงมีส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้ของลูกไม่น้อยเลยค่ะ เพราะช่วยเปิดโอกาสให้ลูกได้ออกไปสัมผัสโลกภายนอก โดยปราศจากการคอยช่วยเหลือ (อุ้ม) ของพ่อแม่ ซึ่งสังคมภายนอกที่ลูกได้พบเจอจะช่วยสอนทักษะสังคม ทักษะการใช้ชีวิต และยังเป็นจุดแรกที่ช่วยสร้างความมั่นใจว่าลูกจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้

3 ประสาน กล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหว ช่วยลูกหัดเดิน

กว่าลูกจะยืนได้ด้วยตัวเองต้องอาศัยพัฒนาการกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในการทรงตัวและการเคลื่อนไหวให้ทำงานประสานกันดีเสียก่อน ซึ่งหากสังเกตจะพบว่าพัฒนาการทั้งสามนี้จะพัฒนาไปพร้อมๆ กันตั้งแต่แรกเกิดจนเดินได้ ไล่ไปตั้งแต่ศีรษะ คอ ไหล่ ลำตัว ก้น สะโพก จนกระทั่งเท้า เมื่อพัฒนาการการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อช่วงสะโพกและเท้าแข็งแรงขึ้น จากเบบี๋ที่คลานไปทั่วบ้านก็จะเริ่มทรงตัวในท่ายืนและเกาะเดินค่ะ

แรกฝึกเดินลูกอาจจะเดินขากางๆ ทิ้งน้ำหนักตัวจากด้านหนึ่งไปด้านหนึ่งไม่คล่องแคล่ว หรือบางทีก็สะดุดล้มได้ง่ายๆ คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งตกใจนะคะ นั่นเป็นเพราะการทรงตัวในท่ายืนของลูกยังเป็นเรื่องใหม่และไม่สมดุลนัก แต่เชื่อเถอะว่าไม่นานนักเจ้าตัวเล็กจะเริ่มก้าวเดินเองได้ในที่สุด

เทคนิคช่วยลูกหัดเดิน ฝึกเดิน

  1. จัดสถานที่ให้เหมาะสม กว้างขวาง และปลอดภัย เพื่อให้ลูกมีที่พอตั้งไข่ เกาะเดินและหัดก้าวเดิน
  2. สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ด้วยการวางเส้นทางหัดเดิน เช่น ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มั่นคงและไม่เคลื่อนที่ง่ายๆ ให้ลูกใช้เป็นอุปกรณ์เกาะเดิน
  3. ปกปิดเหลี่ยมมุมตามขอบโต๊ะที่แหลมคม ด้วยฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ เพื่อป้องกันอันตรายหากลูกหกล้มไปโดน
  4. พ่อแม่ควรอยู่ใกล้ๆ คอยดูแล หรือช่วยเหลือยามที่ลูกต้องการ อีกทั้งยังเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกด้วย
  5. แรกเริ่มหัดยืนคุณแม่อาจช่วยจับที่ข้อศอก ข้อมือของลูก เพื่อเป็นหลักให้ลูกยืนอย่างอุ่นใจ แล้วอย่าลืมเพิ่มความมั่นใจให้ลูกด้วยรอยยิ้มหวานๆ ของคุณแม่ด้วย
  6. วางของเล่นที่ลูกชอบ หรือคุณแม่ควรยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วเรียกชื่อเพื่อล่อให้ลูกเดินเข้าไปหา แต่ห้ามขยับหนีเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ลูกเบื่อหน่ายและหงุดหงิดได้
  7. ถ้าลูกตั้งไข่ค่อนข้างคล่องแล้ว คุณแม่อาจจูงลูกเดินทั้งสองมือ ต่อมาลดลงเหลือจูงมือเดียว แล้วค่อยเหลือแค่เกาะชายเสื้อเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ลูกนิดหน่อย
  8. เปิดโอกาส ชักชวน ชักจูง หรือลงมือทำไปด้วยกันกับลูก

ลูกเริ่มตั้งไข่ ฝึกเดินได้ตอนอายุกี่เดือน

  • เดือนที่ 8 ลูกน้อยวัยคลานเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งไข่
  • เดือนที่ 9 ลูกจะต้องอาศัยความมั่นใจและการฝึกการทรงตัวอีกสักระยะ
  • เดือนที่ 10 ลูกคุณแม่จะยืนทรงตัวได้อย่างสมดุล
  • เดือนที่ 11 ลูกจะเกาะโต๊ะหรือเก้าอี้ ประคองตัวเองยืนได้เพียงระยะสั้นๆ ก็จะปล่อยตัวลงนั่ง
  • เดือนที่ 12 ลูกจะค่อยๆ ยืดตัวยืนได้ตามลำพัง และรู้จักก้าวขาออกไป

เป็นพัฒนาการของเด็กโดยทั่วไป ซึ่งบางคนอาจจะช้าหรือเร็วกว่านี้เดือนหรือสองเดือนก็ได้ค่ะ

การช่วยให้เจ้าตัวเล็กหัดเดินควรปล่อยไปตามธรรมชาติของพัฒนาการ ไม่รีบร้อนหรือเร่งรัดจนเกินไป และอย่าลืมว่าเด็กแต่ละคนเดินไม่พร้อมกัน ถึงลูกจะเดินช้าแต่ถ้าพัฒนาการด้านอื่นๆ ยังปกติดีอยู่ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรเป็นกังวลใจค่ะ

รถหัดเดิน ที่หัดเดิน ช่วยให้ลูกเดินได้เร็วขึ้นจริงไหม

กุมารแพทย์หลายคนยืนยันแล้วนะคะว่า รถหัดเดินไม่ได้ช่วยฝึกลูกเดินได้จริงนะคะ โดยเฉพาะรถทรงกลมมีล้อเลื่อนที่มีขายทั่วไป เพราะลูกจะนั่งในที่นั่งพยุงตัว ปลายเท้า หรือ ฝ่าเท้าแตะพื้น แต่เป็นการใช้เท้าไถเพื่อให้ล้อเคลื่อนตัวไป เราจึงเข้าใจไปเองว่าเป็นการฝึกเดิน 

รถหัดเดินอันตรายอย่างไร

  • เด็กอาจเลื่อนตัวรถไปชนสิ่งของ ของที่สูงหล่นใส่
  • เด็กอาจไถรถหัดเดินตกที่สูง เช่น พื้นต่างระดับ บันได้ เป็นต้น 
  • เด็กไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหว ตามหลักการของการหัดเดิน

 

โกนผมไฟ เด็กแรกเกิดจำเป็นต้องโกนผมไฟตามความเชื่อโบราณหรือไม่

โกนผมไฟ, พิธีโกนผมไฟ, ประเพณีโกนผมไฟ, โกนผมไฟเด็กแรกเกิด, โกนผมไฟเด็กทารก, โกนผมไฟลูกอายุ 3 เดือน, ทำไมต้องโกนผมไฟ, ไม่โกนผมไฟได้ไหม, ต้องโกนผมไฟไหม, รับขวัญเด็กแรกเกิด, วิธีโกนผมไฟ, วิธี โกน ผม ไฟ เอง, ตัดผม ไฟ, โกน ผม ไฟ คือ, โกนผมไฟ ผมขึ้นดก หนา, โกนผมไฟ เลี้ยงง่าย

โกนผมไฟเด็ดแรกเกิด เป็นหนึ่งในความเชื่อโบราณที่จะทำให้เด็กเลี้ยงง่าย แต่จริง ๆ เราต้องโกนผมไฟลูกแรกเกิดไหม มาหาคำตอบกันค่ะ

โกนผมไฟ เด็กแรกเกิดจำเป็นต้องโกนผมไฟตามความเชื่อโบราณหรือไม่

ความเชื่อเรื่องการโกนผมไฟ การโกนผมไฟคืออะไร

การโกนผมไฟเด็กทารกเป็นความเชื่อโบราณที่สืบทอดมายาวนาน โดยมีความเชื่อว่า เส้นผม เล็บมือ เล็บเท้า ที่ติดตัวมาตั้งแต่ในครรภ์เป็นของไม่สะอาด ดังนั้นเมื่อเด็กทารกอายุครบ 1 เดือน จะเข้าสู่พิธีกรรมการโกนผมไฟ ซึ่งเหมือนเป็นพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านเป็น “ลูกคน” โดยสมบูรณ์ หรืออาจจะมีนัยว่าแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว เพราะในอดีต เด็กแรกเกิดอาจจะมีอัตราการเสียชีวิตได้ง่ายเพราะยังอ่อนแอ ไม่มีเทคโนโลยีการแพทย์ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน

เมื่อเด็กเล็กที่คลอดออกมามีอายุครบ 1 เดือนก็จะให้โกนผม โกนคิ้ว ตัดเล็บมือ เล็บเท้าออก โดยอาจจะมีการดูฤกษ์ นิมนต์พระสงฆ์ เชิญญาติพี่น้อง พิธีใหญ่โตแค่ไหนแล้วแต่ฐานะทางครอบครัว ซึ่งหลังจากพิธีโกนผมไฟแล้วเชื่อว่า เด็กจะเลี้ยงง่าย ไม่ดื้อ ไม่ซน และเส้นผมขึ้นดกดำดี 

ในปัจจุบัน พิธีกรรม ความเชื่อ เรื่องการโกนผมไฟอาจจะลดน้อยลงไปมาก บางครอบครัวก็ลดทอนขั้นตอนลงเพียงแค่ให้ญาติผู้ใหญ่มาโกนผม อวยพรให้กับเด็กเท่านั้น หรือเด็กบางคนก็ไม่ได้โกนผมไฟเลยก็มีเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับพิธีกรรมอื่นๆ ที่มีโอกาสเลือนหายไปตามกาลเวลา และความเชื่อของผู้คนในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป 

จำเป็นต้องให้ลูกโกนผมไฟไหม

การโกนผมไฟนั้นจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของครอบครัว เพราะไม่มีอะไรเสียหาย หากทำแล้วสบายใจ ครอบครัวมีความสุขทุกฝ่ายก็สามารถทำได้ แต่ถ้าจะจัดพิธีโกนผมไฟ นอกจากจะดูฤกษ์ยามแล้ว อาจจะต้องดูแลเรื่องความสะอาด สุขอนามัย และดูว่าลูกแข็งแรงดีพอหรือยังด้วยนะคะ เพราะถ้าต้องเจอคนจำนวนมาก และลูกไม่ค่อยแข็งแรงอาจจะทำให้ป่วยได้ค่ะ

ความเชื่อเรื่องการเลี้ยงดูหลังจากโกนผมไฟ

เด็กจะเลี้ยงง่าย ไม่ดื้อ ไม่ซน จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงดูในการอบรมขัดเกลา ปลูกฝัง รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่เด็กเติบโตขึ้นมามากกว่าแค่การผ่านพิธีกรรมการโกนผมไฟ

ความเชื่อเรื่องโกนผมไฟแล้วผมจะได้ดกดำ

จริง ๆ แล้ว ผมดกหรือไม่ดก ก็จะอยู่ตรงพันธุกรรมด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเด็กโกนผมไฟ แต่พันธุกรรมผมไม่ดก ผมที่ขึ้นใหม่ก็ไม่ได้ดกขึ้นจะปริมาณเท่าเดิม เพียงแต่ผมที่ขึ้นใหม่จะดูแข็งกว่าผมอ่อนที่ติดมาตั้งแต่แรกเกิด ทำให้ดูเหมือนมันหนาดกขึ้น แต่โดนปกติถึงไม่โกน แต่ผมที่ติดมาตั้งแต่แรกเกิดก็จะผลัดหลุดออกไปเอง และสร้างขึ้นใหม่อยู่แล้ว ซึ่งจะหลุดประมาณ 2-3 เดือนก็จะผลัดทีหนึ่ง อย่างที่โบราณเขาพูดว่า ช่วงไหนที่ลูกผมร่วงก็แสดงว่าลูกจำหน้าแม่ได้

 

  • 1
  • 2