facebook  youtube  line

10 วิธีช่วยลูกทารกนอนหลับสนิท ทารกหลับยาวตลอดคืนจนแม่สบายใจ

ทารกหลับไม่สนิท, ทารก นอน หลับ ไม่ สนิท, ลูก 1 เดือน หลับ ไม่ สนิท, ลูก 2 ขวบ นอน หลับ ไม่ สนิท ตอน กลางคืน, ทำไมทารกหลับไม่สนิท, ทำไมทารก หลับ ๆ ตื่น ๆ, ทำไมทารกไม่หลับยาวทั้งคืน, วิธีทำให้ลูกทารกหลับสนิท, วิธีทำให้ลูกทารกหลับยาวตลอดคืน, วิธี ทารก หลับง่าย

ลูกทารกมักหลับไม่สนิททำให้แม่กังวลว่าลูกจะนอนไม่พอ แม่เองก็เพลียใช่ไหมคะ นี่คือ 10 วิธีทำให้ลูกทารกหลับสนิทตลอดคืนที่ใช้ได้ผลแน่นอน

10 วิธีช่วยลูกนอนทารกหลับสนิท ทารกหลับยาวตลอดคืนจนแม่สบายใจ

  1. อาบน้ำ ทาแป้งหอม พาเบบี้อาบน้ำอุ่นๆ ใส่เสื้อผ้าที่มีเนื้อนุ่ม ไม่หนาหรือบางจนเกินไป จะช่วยให้สบายตัว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เมื่อรู้สึกสบายตัว อารมณ์ดีก็ช่วยให้ลูกนอนหลับได้ง่ายขึ้น
  1. นวดตัวลูกเบาๆ หรือนวดไปพร้อมๆ กับการทาโลชั่นบริเวณแขนและขา จะช่วยสร้างความผ่อนคลายทำให้ลูกหลับง่ายขึ้น
  1. ดูดนมก่อนนอน เด็กแรกเกิด – 6 เดือน โดยธรรมชาติจะมีวงจรการนอนหลับ (Sleep cycle) 10 รอบ/คืน โดยทุกๆ 1-2 ชั่วโมงจะตื่น บางคนตื่นมาไม่เจอใครก็จะร้องไห้งอแง การดูดนม จึงเหมือนเป็นการปลอบ ทำให้รู้สึกสบาย หลับต่อได้อย่างมีความสุข แต่ไม่ควรทำบ่อยเพราะมีผลทำให้เลิกดูดนมยากค่ะ
  1. ไกวเปลลูกนอนหลับง่ายขึ้น เมื่อเห็นว่าลูกมีทีท่าจะง่วงนอนแล้ว ให้พาไปนอนในเปล และแกว่งไปมาเบาๆ พร้อมกับร้องเพลงกล่อมตามไปด้วย ลูกจะเคลิบเคลิ้มหลับง่ายมาก
  1. จับ ถือ ลูบ เพลินๆ หาสิ่งของที่ลูกติด เช่น ตุ๊กตา หมอนนุ่ม ผ้าห่ม เพื่อให้จับ ถือหรือลูบก่อนนอน จะทำให้มีอารมณ์เพลิดเพลิน ช่วยให้ลูกนอนหลับได้ง่ายขึ้น
  1. ตบก้น ลูบหลัง ขณะที่ลูกกำลังจะหลับ คุณพ่อคุณแม่อาจตบก้นเบาๆ หรือ ลูบหลัง ซึ่งการสัมผัสเบาๆ จะทำให้ลูกรู้สึกอุ่นใจที่พ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ไม่รู้สึกกลัว นอนหลับอย่างสบายใจ
  1. เปิดเพลงบรรเลง เบาๆ ฟังสบายๆ ช่วยให้มีอารมณ์ดี ลูกนอนหลับได้ง่าย และยังเป็นการช่วยพัฒนาสมอง จัดระบบการเรียนรู้และความจำที่ดีอีกด้วย
  1. อุณหภูมิห้องพอเหมาะ ถ้าอากาศภายในห้องนอนมีความร้อนหรืออับชื้น จะทำให้ลูกอึดอัด ไม่สบายตัว อารมณ์หงุดหงิดง่าย จึงควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป และใช้ผ้าห่มนุ่มๆ ห่มทับบริเวณหน้าอก เพื่อให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น
  2. อย่าส่งเสียงดัง ห้องนอน หรือสิ่งแวดล้อมรอบๆ ควรมีความเงียบสงบ ไม่มีเสียงดังอึกทึกจนเกินไป เช่น ไม่ควรมีเสียงโทรทัศน์ หรือพ่อแม่คุยกันเสียงดัง เพราะอาจกระตุ้นให้ลูกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับได้
  1. แสงไฟสลัวภายในห้องนอน เพราะลักษณะแสงไฟแบบนี้จะช่วยให้ลูกสบายตา และยังสามารถเห็นคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ๆ ทำให้ลูกนอนหลับอย่างอุ่นใจมากขึ้น

แต่ถ้าเด็กทารกคนไหนที่ทำยังไง ก็ยังไม่หลับ พ่อแม่ไม่ต้องกังวลจนเกินเหตุ เพราะธรรมชาติของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ลองปรับสภาพแวดล้อมและการดูแล กำจัดสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้นอนไม่หลับก็จะช่วยได้ แต่ถ้าไม่สบายใจจริงๆ กลัวว่าจะมีสิ่งผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อความสบายใจนะคะ

สาเหตุที่ทำให้ลูกนอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท

ลูกทารกนอนหลับไม่สนิท นอนไม่พอจะส่งผลต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเขา ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุดังนี้

  • เกิดจากสิ่งแวดล้อมมีเสียงดัง หรือพลุกพล่าน กระตุ้นให้มีความตื่นเต้น จนไม่ยอมนอน

  • ปัจจุบันพ่อแม่ทำงานกลับบ้านดึก ส่งผลให้ลูกรอหรือพอกลับมาก็มาเล่นกับลูกอีกจนเลยเวลานอนไปแล้ว จึงทำให้ลูกนอนดึกและกลายเป็นเด็กหลับยากได้

  • เกิดจากความกลัว เพราะวัย 6 เดือนขึ้นไป เริ่มมีการจำและติดพ่อแม่ กลัวต้องแยกจากพ่อแม่ ทำให้นอนยาก และตื่นบ่อย

  • เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ เช่น เป็นหวัด ท้องอืด ทำให้ไม่สบายตัว ดังนั้น ต้องสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ มีน้ำมูก หรือท้องอืดหรือไม่ ยิ่งในเด็กแรกเกิด เวลาดูดนมอาจดูดไม่ถูกวิธี ทำให้เกิดลมในท้อง ถ้าไม่มีการเรออย่างถูกวิธีลมจะตีขึ้น รู้สึกปวดท้อง ร้องไห้งอแงไม่ยอมนอนได้

พ่อแม่ต้องรีบจัดการปัญหาเหล่านี้ออกไป แล้วลูกจะหลับง่ายขึ้น อย่าลืมว่าการนอนหลับที่เพียงพอจะช่วยให้ทารกมีพัฒนาการและความจำที่ดีค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

พญ.อัมพร สันติงามกุล
กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์

3 กิจกรรมเล่นกับลูกทารก แค่ขยับแขน ซ้าย-ขวา ก็พัฒนาสมองทารกแล้ว

สมอง ทารก, พัฒนา สมองทารก, พัฒนาการทางสมองทารก, กระตุ้น สมองทารก, เล่น พัฒนาสมองทารก, เล่น กระตุ้นสมองทารก, เล่นกับทารกยังไง, เล่นอะไรกับลูกทารก, ทารก เล่นอะไร ดีกับสมอง, สมองทารก พัฒนาอย่างไร, พัฒนาสมองซีกซ้ายทารก, พัฒนา สมองซีกขวา ทารก 

สมองควบคุมการทำงานของร่างกายค่ะ สำหรับลูกทารก  เราสามารถให้เขาเล่นขยับแขนซ้าย แขนขวาได้ง่าย ๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองไปพร้อมกันค่ะ

3 กิจกรรมเล่นกับลูกทารก แค่ขยับแขน ซ้าย-ขวา ก็พัฒนาสมองทารกแล้ว

โดยปกติสมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านขวา และสมองซีกขวาควบคุมการทำงานของร่างกายด้านซ้าย แต่เมื่อสมองข้างหนึ่งทำงานก็มักจะเชื่อมต่อให้สมองอีกข้างหนึ่งทำงานไปด้วย ไม่ใช่ว่าสมองทำงานข้างเดียวก็พัฒนาแค่ข้างเดียวนะคะ  

การบริหารร่างกายลูกให้ทำงานทั้ง 2 ข้างอย่างสมดุล เช่น ให้ลูกได้บริหารแขนทั้ง 2 ข้าง ก็จะทำให้สมองได้ใช้งานทั้ง 2 ซีกพร้อม ๆ กันอย่างเต็มศักยภาพ เกิดการเชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายใยประสาทมากขึ้น ส่งผลให้พัฒนาการด้านการสังเกต ควบคุม เคลื่อนไหวดี ทักษะ (Skill) หรือความชำนาญในการใช้มือและแขนทั้ง 2 ข้างก็ดีด้วย         

ทำไมแค่ได้ขยับแขนทั้งสองข้าง สมองถึงพัฒนา เพราะสมองมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย แต่ขณะเดียวกันเมื่อร่างกายมีการทำงาน หรือร่างกายได้มีการขยับ เคลื่อนไหว ก็จะไปกระตุ้นให้สมองมีการพัฒนามากขึ้นด้วย การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว แขน มือได้บริหารและมีการขยับทั้ง 2 ข้าง จึงช่วยส่งเสริมให้สมองเกิดการพัฒนานั่นเอง               

3 กิจกรรมชวนลูกน้อยขยับแขนและมือ

  1. ฝึกรับของด้วยมือทั้ง 2 ข้าง 
    ให้ทารกได้คว้าจับของเอง หรือพ่อแม่ยื่นให้รับ โดยให้เปลี่ยนมือรับของทั้งสองข้างสลับไปมา จะทำให้ลูกถนัดใช้มือทั้ง 2 ข้างได้ดีพอๆ กัน และเมื่อแขนและมือทำงานได้ดีทั้ง 2 ข้างก็จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง อันฐานรากช่วยให้พัฒนาการด้านอื่นๆ ดีตามไปด้วย 

  2. ฝึกผ่านกิจวัตรประจำวัน 
    วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้แขนและมือ 2 ข้างมีการทำงานอย่างสมดุล คือฝึกผ่านการทำกิจวัตรประจำวันของลูก โดยเริ่มตั้งแต่ลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป อาทิ ฝึกให้คว้าจับหรือหยิบของใช้ส่วนตัวเอง ถือช้อนกินข้าว หยิบของเล่นต่างๆ ด้วย 2 มือ โดตขึ้นมาหน่อยก็ต้องฝึกแปรงฟันเอง ติดกระดุมเสื้อ ผู้เชือกรองเท้าเอง เป็นต้น   

  3. ฝึกผ่านการเล่น
    การเล่นคืองานของเด็ก เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กพัฒนา โดยของเล่นชิ้นสำคัญคือพ่อแม่ที่เล่นกับลูกน้อยได้ทุกที่ ทุกเวลา เช่น ใช้นิ้วมือพ่อแม่ให้ลูกจับ กำ เล่นปูไต่ เอามือนวดแขนลูกเบาๆ เป็นต้น การใช้ร่างกายเล่นกับลูก นอกจากจะช่วยพัฒนาสมองได้ดีแล้ว ลูกน้อยยังได้เรียนรู้เรื่องการสัมผัสด้วยความรัก ความอบอุ่น เพิ่มความสัมพันธ์กับพ่อแม่ ทำให้มีความมั่นคงทางอารมณ์  

ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน สิ่งสำคัญคือระหว่างพ่อแม่เล่นกับลูก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ นั้น ควรพูดคุย สบตา ยิ้ม กอด เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี สมองลูกน้อยก็จะมีพัฒนาดีอย่างรอบด้านไปด้วยค่ะ

6 ความเชื่อโบราณกับการเลี้ยงทารก เลี้ยงลูกผิด ชีวิตลูกเปลี่ยนและอันตราย

ความเชื่อในการดูแลทารก, ความเชื่อโบราณกับการเลี้ยงทารก, เลี้ยงลูกตามความเชื่อ, ความเชื่อ เด็ก, เลี้ยงลูกผิด, ขาโก่งต้องดัดขา, ดึงดั้งโด่ง, โกนผมไฟ ผมจะดก, ใช้ฉี่เช็ดลิ้น, ทารกกินน้ำ, อันตรายที่เกิดกับทารก

ความเชื่อโบราณในการเลี้ยงลูก หลายความเชื่อไม่จริงและแม่ก็อาจเผลอทำตามจนลูกได้รับอันตราย ความเชื่อการเลี้ยงทารกเรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง เช็กกันเลยค่ะ

6 ความเชื่อโบราณกับการเลี้ยงทารก เลี้ยงลูกผิด ชีวิตลูกเปลี่ยนและอันตราย

สำหรับคุณแม่หลายคน การเลี้ยงลูกเป็นความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากทั้งผู้มีประสบการณ์หรือประสบมาด้วยตัวเอง ความเชื่อความเข้าใจในการดูแลทารกหลายอย่างที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้น ก็มีทั้งเป็นเรื่องที่ดี และเข้าใจผิดกันได้

ความเชื่อการเลี้ยงทารก 1 : ทารกตัวเหลืองเพราะไม่ได้กินน้ำ 

ความจริง : เด็กแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลืองไม่ต้องดื่มน้ำเปล่า ภาวะตัวเหลืองเป็นภาวะปกติที่พบได้ในทารกแรกเกิด 2-3 วันหลังคลอดค่ะ โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนด และมักหายไปได้เองภายใน 2 สัปดาห์ โดยไม่มีอันตราย

สาเหตุที่ทำให้ทารกตัวเหลือง เป็นเพราะมีสารสีเหลืองที่เรียกว่า “บิลิรูบิน” ในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งจะถูกกำจัดออกจากร่างกายทางตับ แต่ตับของทารกแรกเกิดยังทำงานไม่เต็มที่ ทำให้ต้องใช้วิธีขับสารเหลืองออกจากร่างกายผ่านการอุจจาระ (อ่านเรื่องภาวะตัวเหลืองเพิ่มเติม > ภาวะทารกตาและตัวเหลือง อันตรายที่พ่อแม่ควรรู้)

นอกจากนี้ การป้อนน้ำให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดอันตรายได้เช่นกัน

ความเชื่อการเลี้ยงทารก 2 : ดัดขาตั้งแต่เล็กจะได้ขาไม่โก่ง

ความจริง : สำหรับลักษณะขาเด็กตอนแรกเกิดจะดูโก่ง ๆ โค้ง ๆ อยู่แล้ว ซึ่งพัฒนาการตามวัยนั้น พอช่วง 2 ปี ขาโก่ง ๆ ที่เห็นก็จะตรงเอง ถึงไม่ดัดและก็ตรงเอง และพอเลย 2 -7 ปีไป ตรงหัวเข่าก็จะเอนและแบะออกข้างนอกเล็กน้อย และ 7 ปีถึงจะกลับเข้าที่เดิมคือดูตรงเหมือนเดิม

ดังนั้น ถึงเราไม่ดัดหรือทำอะไร ขาก็จะกลับมาตรงสวยอยู่แล้ว ถ้าไปดัดขาให้ลูก ก็อาจจะส่งผลได้ เช่น ถ้าถึงวัยที่มันจะตรง มันอาจจะไม่ตรงอย่างที่ควรจะตรง ทำแรงไปจนฝืนสรีระที่ปกติของเด็ก อาจเกิดกระดูกหัก หรือข้อเคลื่อนหลุดได้ แต่ถ้าขาลูกผิดปกติ หรือเป็นโรคบางอย่างที่ทำให้ขาโก่งผิดปกติ หรือกระดูกมันแบะออกผิดปกติก็จะสังเกตเห็นได้

พ่อแม่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ อย่างเช่นถ้าถึงวัยที่ควรจะตรงแล้วมันไม่ตรง หรือถึงวัยที่จะแบะออกแต่ยังโก่งอยู่ หรือว่าถ้าความโก่งหรือความแบะมันไม่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง อาจจะขวามากกว่าซ้ายอันนี้ก็อาจจะผิดปกติ หรือลูกเดินลงน้ำหนักข้างซ้ายและขวาไม่เท่ากัน อาจลงน้ำหนักข้างซ้ายเยอะแต่ข้างขวาไม่ค่อยลง หรือหลังอายุ 3 ปี ไปแล้ว ขาลูกยังมีลักษณะโก่ง มีอาการเท้าปุก แนะนำให้พ่อแม่พาลูกไปพบกุมารแพทย์เพื่อหาสาเหตุ (อ่านเรื่องลูกขาโก่งเพิ่มเติม > ลูกขาโก่ง ทำอย่างไรดี ต้องแก้ไขไหม?)

ความเชื่อการเลี้ยงทารก 3 : ให้นอนคว่ำ หัวสวย นอนได้นาน

ความจริง :การนอนคว่ำตามหลักวิชาการไม่แนะนำเลย ก็อาจทำให้หัวสวยจริง แต่จะพบเคสเด็กที่นอนคว่ำ แล้วมีหยุดหายใจและเสียชีวิตได้ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุที่จะเป็นได้ เช่น พอกินเสร็จก็ไปจับนอนคว่ำ มีสำลักนมออกมา คุณแม่ก็จะไม่เห็นหน้าลูก ก็อาจได้ยินเสียงแอะๆ แล้วเงียบไปโดยเราไม่ทันสังเกต คิดว่าลูกนอนหลับ ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาได้

เพราะการนอนคว่ำมีผลการศึกษาพบว่า การนอนคว่ำในเด็กอายุ 1-4 เดือน มีโอกาสเกิดภาวะ “SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) หรือ ไหลตาย โดยสันนิษฐานว่า การนอนคว่ำทำให้เกิดการกดทับบริเวณหน้าอกของเด็ก เด็กจะหายใจลำบากขึ้น โดยเฉพาะเด็กทารกที่นอนบนเตียงนิ่ม ๆ หรือมีเครื่องนอน เช่น ตุ๊กตา หรือหมอนอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้า หรือบางครั้งเมื่อลูกดูดนมเสร็จ แม่ไปจับนอนคว่ำ อาจทำให้สำลักนมออกมา โดยเราไม่ทันสังเกตก็เกิดอันตรายกับเด็กได้

ดังนั้นการนอนที่ปลอดภัยในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน-1 ปี ควรเป็นการนอนตะแคงหรือนอนหงาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่จับลูกนอนคว่ำไม่ได้นะคะ ในเวลากลางวัน เราสามารถให้ลูกนอนคว่ำเล่นได้ แต่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อฝึกพัฒนากล้ามเนื้อคอและหลังของเด็ก ซึ่ง ควรทำหลังจากลูกกินนมไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการอาเจียนหรือสำลักค่ะ และควรเลือกเบาะสำหรับที่มีความแข็งกำลังดี ฟูกหรือหมอน ต้องไม่หนานุ่มหรือมีขนาดใหญ่เกินไป

 ความเชื่อในการดูแลทารก, ความเชื่อโบราณกับการเลี้ยงทารก, เลี้ยงลูกตามความเชื่อ, ความเชื่อ เด็ก, เลี้ยงลูกผิด, ขาโก่งต้องดัดขา, ดึงดั้งโด่ง, โกนผมไฟ ผมจะดก, ใช้ฉี่เช็ดลิ้น, ทารกกินน้ำ, อันตรายที่เกิดกับทารก 

ความเชื่อการเลี้ยงทารก 4 : เอาผ้าอ้อมเปียกฉี่กวาดลิ้น จะได้ไม่เป็นฝ้าขาว

ความจริง :ฉี่คือของเสียของร่างกาย ที่ขับสารบางอย่างที่ร่างกายไม่ต้องการออกมา เช่น ยูเรีย ซึ่งคงไม่เหมาะสมที่จะเอามากวาดลิ้นเด็ก การเช็ดทำความสะอาดลิ้นลูกนั้น คุณแม่ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนที่จะเช็ดลิ้นให้ลูก ใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว พอหมาด ๆ เช็ดเบา ๆ ให้ทั่วทั้งปากตั้งแต่โคนลิ้นไปจนถึงปลายลิ้น ทั้งด้านบนและด้านล่าง รวมไปถึงกระพุ้งแก้ม และเพดานปาก

ส่วนลิ้นของเด็กที่จะเห็นเป็นฝ้า ส่วนใหญ่เกิดจากคราบนมที่กิน ที่จะมีคราบตกอยู่เหมือนคราบอาหารติดตามลิ้น ก็จะเจอได้บ่อย ซึ่งการทำความสะอาดแค่น้ำเปล่าธรรมดาก็จะออกไปแล้ว ส่วนฝ้าจากเชื้อราจะเห็นเป็นฝ้าขาวๆ ลูกจะเจ็บ งอแง เวลาที่กินนมและเช็ดธรรมความสะอาดก็อาจจะเจ็บ แล้วมีร้องกวน

เด็กทารกแรกเกิดกินนมเป็นหลักจึงทำให้มีฝ้าขาวที่ลิ้นเป็นปกติค่ะ ถ้าคุณแม่ไม่เช็ดออกอาจจะจับตัวหนาขึ้นได้ และถ้าฝ้าหนามากจนทำให้เด็กไม่ดูดนม เจ็บลิ้น ต้องระวังว่าอาจเป็น “เชื้อรา” ซึ่งหากมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์

ความเชื่อการเลี้ยงทารก 5 : บีบจมูกเวลาอาบน้ำจะได้จมูกโด่ง

ความจริง : กระดูกตรงจมูกของเราเป็นกระดูกอ่อน เพราะฉะนั้น กระดูกอ่อนจะเติบโตของมันเอง การไปบีบๆ ดึงๆ ไม่ได้ช่วยให้ใหญ่หรือโตขึ้น แต่การที่ไปบีบๆ ดึงอาจทำให้ดูนูนขึ้น เพราะพวกเนื้อเยื่ออ่อนๆ ตรงจมูกนูนขึ้นมาชั่วคราว แต่แล้วก็จะย่นลงไปตามแนวกระดูกออกเดิมที่มันมี


ความเชื่อการเลี้ยงทารก 6 : โกนผมไฟ ผมจะได้ดกดำ

ความจริง :ผมดกหรือไม่ดก ก็จะอยู่ตรงพันธุกรรมด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเด็กโกนผมไฟ แต่พันธุกรรมผมไม่ดก ผมที่ขึ้นใหม่ก็ไม่ได้ดกขึ้นจะปริมาณเท่าเดิม เพียงแต่ผมที่ขึ้นใหม่จะดูแข็งกว่าผมอ่อนที่ติดมาตั้งแต่แรกเกิด ทำให้ดูเหมือนมันหนาดกขึ้น แต่โดนปกติถึงไม่โกน แต่ผมที่ติดมาตั้งแต่แรกเกิดก็จะผลัดหลุดออกไปเอง และสร้างขึ้นใหม่อยู่แล้ว ซึ่งจะหลุดประมาณ 2-3 เดือนก็จะผลัดทีหนึ่ง อย่างที่โบราณเขาพูดว่า ช่วงไหนที่ลูกผมร่วงก็แสดงว่าลูกจำหน้าแม่ได้

แม้ว่าความเข้าใจผิดที่หยิบยกมานั้นอาจไม่ได้ส่งผลอันตรายต่อลูกมากมายนัก แต่การได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องก็ดีต่อลูกน้อยที่สุดค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

  1. พญ.ดุษฎี เงินหลั่งทวี กุมารแพทย์ ภาควิชาวิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 
  2. พญ.สินดี จำเริญนุสิต กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลเวชธานี

6 วิธีฝึกทักษะทางภาษาให้ทารก ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา

ภาษา ทารก, ทารก รู้ภาษาไหม, ทารก ฟังรู้เรื่องไหม, พัฒนาการทางภาษา ทารก, พัฒนาการทางภาษา เด็กเล็ก, ส่งเสริม พัฒนาการทางภาษา, อ่านนิทาน ทักษะภาษา, นิทาน เสริมทักษะ ภาษา, ทารก อ่านนิทานไหม, พัฒนาการ ด้าน ภาษา ของ เด็ก, กระตุ้น พัฒนาการทางภาษา เด็ก


ลูกทารกก็เริ่มเรียนรู้ภาษาได้นะคะ พ่อแม่เสริมพัฒนาการตามวัยทารก โดยเฉพาะพัฒนาการทางภาษาได้ด้วย 6 วิธีง่าย ๆ ค่ะ 

6 วิธีฝึกทักษะทางภาษาให้ทารก ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา

  1. หมั่นพูดให้ลูกฟังเป็นตัวอย่าง เพราะลูกจะเรียนรู้และจดจำจากการพูด การออกเสียงของพ่อแม่      

  2. อย่าบังคับ ถ้าอยากฟังลูกพูดคำแรก อย่าปฏิเสธที่จะให้ของที่เขาต้องการ ถึงจะยังไม่สามารถบอกชื่อของสิ่งนั้นได้ก็ตาม

  3. พูดคุยกับลูก เพราะธรรมชาติในการเรียนรู้ที่จะพูด ต้องเริ่มมาจากการฟังก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงเกิดการเลียนแบบออกเสียงตาม

  4. อ่านหนังสือให้ลูกฟังเพื่อเป็นการกระตุ้น ลูกจะมองหน้าพ่อแม่เวลาที่อ่านพร้อมทั้งฟังไปด้วย เป็นกลยุทธ์ให้เขาสนใจที่จะพูดได้บ้าง

  5. แสดงความสนใจเมื่อลูกเริ่มอ้อแอ้ๆ เพราะเขามีความต้องการในการสื่อสารและอยากให้เราฟังเขาพูดบ้างเหมือนกัน พยายามแสดงออกว่าคุณตั้งใจอยากฟังที่เขาพูดด้วย

  6. หมั่นร้องเพลงและพูดคำที่มีจังหวะคล้องจอง อย่างเพลงหรือกลอน จะช่วยให้ลูกรู้สึกสนุกที่จะฟัง ทำให้จดจำ และอยากพูดได้บ้าง

6 อาการของทารกที่พ่อแม่มือใหม่มักเข้าใจผิดว่าลูกทารกป่วย ผิดปกติ

ลูกวัยแรกคลอดมักจะมีอาการหลายๆ อย่างที่บางครั้งพ่อแม่มักคิดว่าเป็นอาการผิดปกติ แต่จริงๆ แล้วเป็นอาการปกติที่เกิดจากการปรับตัวต่างๆ ของร่างกายเบบี๋ รู้ไว้จะได้ไม่กังวลมากค่ะ

6 อาการของทารกที่พ่อแม่มือใหม่มักเข้าใจผิดว่าลูกทารกป่วย ผิดปกติ

1. ทารกผิวเป็นรอยแดง ถ้าเป็นลักษณะแดงเส้นพันคล้ายโครงตาข่ายร่างแหเรียกว่า Cutis Meorata ซึ่งเกิดได้เองพบในทารกปกติทั่วไปเป็นได้ทั้งบริเวณใบหน้าและทั่วร่างกาย โดยสาเหตุเกิดจาก

  1. ทารกอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิเย็นจะทำให้เส้นเลือดบวมแล้วเกิดเป็นรอยแดงที่ผิวขึ้นมา ถ้ารักษาอุณหภูมิร่างกายของเบบี๋ให้อุ่นขึ้น รอยแดงเป็นตาข่ายจะหายไปเอง

  2. ผิวเด็กทารกแรกเกิดช่วงสองสามวันแรกกำลังผลัดผิว อาจมีขุยขาวๆ ลอกได้ทั่วตัวเป็นเรื่องปกติ และอาจทำให้ผิวเป็นรอยแดงตาข่ายได้ ควรดูแลทำความสะอาดแต่ไม่จำเป็นต้องขัดถู ผิวจะค่อยๆ ลอกหลุดออกเอง

เรื่องที่ต้องระวังเมื่อทารกผิวเป็นรอยแดง ผื่นแดง 

รอยแดงไม่ปกติจะมีลักษณะเป็นจ้ำแดงๆ เป็นปื้นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการเป็นโรคได้ ควรต้องพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด

----------------------------------------------

2. หลังคลอดทารกศีรษะบิดเบี้ยวไม่สวยงาม หัวไม่ทุย ไม่ได้รูปทรง ซึ่งลักษณะของศีรษะทารกแรกเกิดขึ้นกับปัจจัยดังนี้

  • จากพันธุกรรมจากพ่อแม่ว่าทรงและขนาดศีรษะเป็นอย่างไร
  • ท่าของทารกขณะอยู่ในครรภ์ ซึ่งอาจถูกกดหรือเบียดทำให้บิดเบี้ยว
  • ท่าขณะคลอดหากคลอดผ่านทางช่องคลอดแล้วเกิดมีปัญหาคลอดติด คลอดยาก ถูกกระดูกเชิงกรานกดศีรษะมาก อาจทำให้ศีรษะบิดเบี้ยวหรือเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะจนบวมนูนอยู่ 2 – 3 วันทำให้ศีรษะดูเบี้ยว หรือเกิดจากโรคบางอย่างที่อาจทำให้ศีรษะผิดรูปได้
  • การนอนของทารก ก็อาจมีผลต่อรูปทรงของศีรษะได้หากนอนซ้ำท่าเดิมนานๆ เช่น นอนหงายท่าเดียวตลอด หรือนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งนาน


เรื่องที่ต้องระวังเมื่อทรกศีรษะบิดเบี้ยว

การจัดท่านอนของทารกควรเปลี่ยนท่านอนทุก 3 ชั่วโมง และเวลานอนคว่ำต้องระวังทางเดินหายใจของทารกอย่าให้ถูกกดทับ

----------------------------------------------

3. ทารกสะดือเปียกเบบี๋หลังคลอดที่ตัดสายสะดือแล้ว จะมีการดูแลสะดือทารกทันทีหลังคลอด โดยจะมีการสอนจากพยาบาลด้วยการใช้แอลกอฮอล์เช็ดเช้า-เย็นหลังอาบน้ำ และดูแลรักษาอย่าให้อับชื้นหลังตัดสะดือ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่ถ้าสะดือยังเปียกอยู่อาจเกิดจาก

  • หลังตัดสะดือทันทีหลังคลอดจะมีน้ำ เลือด ทำให้สะดือเปียก หากดูแลไม่ดีอาจนำมาซึ่งการติดเชื้อที่สะดือของทารกได้

เรื่องที่ต้องระวังเมื่อทารกสะดือเปียก

สะดือทารกแรกเกิดจะค่อยๆแห้งและหลุดออกเองได้ตั้งแต่สองสามวันแรกหลังคลอดหรืออาจหลุดช้าได้จนถึงอายุหลังคลอด6สัปดาห์ แต่ถ้าสะดือหลุดช้าควรพบแพทย์ เพราะอาจจมีการติดเชื้อหรืออาจพบโรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทานผิดปกติได้(Leukocyte Adhesive Disorder)แต่เป็นโรคที่พบน้อยมากที่สำคัญควรระวังอย่าให้สะดือเปียก อับชื้น มีกลิ่น แดงบริเวณผิวรอบสะดือ หรือมีน้ำไหลจากสะดือ รวมทั้งงดแคะสะดือ

----------------------------------------------

4. ทารกปัสสาวะเป็นสีชมพูเหมือนเป็นคราบเลือดบนผ้าอ้อมหรือที่นอนต้องดูว่าใช่เลือดหรือไม่และเลือดออกจากบริเวณไหน บางครั้งเลือดออกมาจากบริเวณเยื่อบุผิวอ่อนๆ เช่นบริเวณอวัยวะเพศ อย่าเพิ่งตกใจเพราะอาจเกิดจาก

ผิวทารกที่บอบบางอาจเกิดการฉีกขาดได้ง่าย หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงหลังคลอดใหม่ๆ ที่ระดับฮอร์โมนเพศหญิงที่เคยได้รับจากมารดาขณะอยู่ในครรภ์ลดลงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลังคลอดจึงทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอดคล้ายประจำเดือนในทารกแรกเกิดได้

เรื่องที่ต้องระวังเมื่อทารกปัสสาวะเป็นสีชมพู

ต้องสังเกตสีปัสสาวะของเบบี๋ หากปัสสาวะมีสีแดงปนหรือเป็นสีชมพูต้องนำปัสสาวะไปตรวจว่าใช่เลือดหรือไม่ และดูว่ามีการอักเสบติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือมีการฉีกขาดของเนื้อเยื่อหรือไม่ และที่สำคัญต้องดูด้วยว่ามีเลือดออกบริเวณอื่นๆ ภายในร่างกายด้วยหรือไม่ เนื่องจากอาจมีปัญหาจากระบบการแข็งตัวของเลือด

----------------------------------------------

5. ทารกขาโก่ง ทารกแรกเกิดจนอายุถึงสองปีอาจมีอาการขาโก่งได้สาเหตุเกิดจาก

  • สภาพปกติของร่างกายตามการเจริญเติบโตตั้งแต่ในครรภ์ที่มีการขดงอของขามานาน 9 เดือนแต่จะค่อยๆลดความโก่งลงได้เอง
  • เกิดจากภาวะขาดวิตามินดีและแคลเซียม ที่อาจมาจากได้รับสารอาหารไม่พียงพอขณะที่แม่ตั้งครรภ์ หรือเกิดจากโรคที่ทำให้วิตามินดีและแคลเซียมไม่เพียงพอทำให้พบอาการขาโก่งที่ผิดปกติได้

เรื่องที่ต้องระวังเมื่อทารกขาโก่ง

พอแม่ที่กังวลกลัวลูกขาโก่งอาจใช้วิธีการดัดขาลูก ซึ่งการดัดขาก่อนหรือหลังอาบน้ำหรือทุกเช้าไม่ได้ช่วยรักษาอาการขาโก่ง แต่สามารถทำได้เพื่อเป็นการสัมผัสกระตุ้นพัฒนาการหรือนวดผ่อนคลาย หลังอายุ 12 ปี ขาจะหายโก่งไปเอง แต่ถ้าไม่หายควรปรึกษาแพทย์

----------------------------------------------

6. ทารกแหวะนม อาเจียน หลังเบบี๋กินนมแล้วอาจเกิดอาการแหวะนมได้ สาเหตุเกิดจาก

  • กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณกระเพาะอาหารและหลอดอาหารยังไม่แข็งแรง ทำให้นมไหลย้อนออกมาได้
  • การนอนดูดนมนาน อาจส่งผลให้นมไหลย้อนออกได้ง่าย
  • กินนมมากเกินไป หรือดูดเร็วเกินไป อาจทำให้แหวะหรืออาเจียนออกมาได้

เรื่องที่ต้องระวังทารกแหวะนม อาเจียน

ควรให้นมเบบี๋ในปริมาณที่เหมาะสม ทั้งเวลา ความถี่และท่าให้นม ในทารกแรกเกิดควรให้นมทุก 1 – 3 ชั่วโมง อยู่ในท่าที่ศีรษะสูง 35 องศา และหลังป้อนนมจับพาดบ่าหรือจัดให้ศีรษะสูงต่ออีกครึ่งชั่วโมง เมื่อลูกร้องไม่จำเป็นต้องป้อนนมทุกครั้งแต่ต้องสังเกตว่าร้องเพราะเหตุใด เพราะถ้าอาเจียนบวกกับมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตัวร้อน ร้องไห้ไม่หยุด อาจเกิดจากการเจ็บป่วยอื่นๆ ได้ ควรรีบไปพบแพทย์

ข้อมูลโดย พญ.สิริขวัญ โกศลเจริญพันธุ์ กุมารแพทย์ โรงพยาบาลปิยะเวท

7 วิธีพ่อลูกอ่อนช่วยเลี้ยงลูกอย่างไร สร้างสายสัมพันธ์พ่อลูก

พ่อลูกอ่อน, พ่อ เลี้ยงลูก, พ่อ เลี้ยง ลูกทารก, พ่อช่วยแม่เลี้ยงลูกยังไง, พ่อมือใหม่, หน้าที่ของพ่อ, สายสัมพันธ์พ่อลูก, พ่อเล่นกับลูก, พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง, พ่ออุ้มลูก, พ่อร้องเพลงให้ลูกฟัง

พ่อลูกอ่อน หรือ ว่าที่คุณพ่อต้องรีบอ่านเลย นี่คือ 7 วิธีช่วยคุณแม่เลี้ยงลูก และคุณพ่อลูกอ่อนสร้างสายสัมพันธ์กับลูกเล็กจนลูกติดหนึบเลยล่ะค่ะ

7 วิธีพ่อลูกอ่อนช่วยเลี้ยงลูกอย่างไร สร้างสายสัมพันธ์พ่อลูก

  1. อ่านนิทานให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง
    นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่จะทำให้ลูกจำเสียงของพ่อได้ เสียงของพ่อจะทำให้ลูกเคยชินหากได้ยินบ่อยๆ เมื่อไหร่ที่เขาคลอดออกมาเสียงพ่อคือเสียงที่จะทำให้เขาสงบลงได้เวลาร้องไห้อยู่

  2. เรียนรู้วิธีดูแลลูกเพื่อจะได้ทำให้ลูก
    ก่อนจะออกมาเจอกัน คุณพ่อต้องหาเวลาไปฝึกการอุ้มลูก จับเรอ ล้างก้น เปลี่ยนผ้าอ้อม จากคุณพยาบาล เพื่อที่จะได้แบ่งเบาภาระจากคุณแม่และได้ใจลูกอีกด้วย

  3. สัมผัสลูกบ่อย ๆ ช่วงเวลา 2-3 สัปดาห์แรก
    การสัมผัสลูกบ่อยๆ จะช่วยให้คุณและลูกใกล้ชิดกันมากขึ้น อุ้มลูกให้บ่อยที่สุด ลูบหลังลูกเบาๆ โยกตัวไปมาอย่างแผ่วเบาเพื่อกล่อมลูก ยิ่งคุณสัมผัสลูกมากเท่าไร ความผูกพันจะเกิดมากขึ้นเท่านั้น

  4. จงหัวเราะกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
    เป็นพ่อคนไม่ใช่เรื่องง่ายต้องดูแลทั้งแม่และลูก ดังนั้น อย่ากลัวความบอบบางของลูก หากทำอะไรไม่ถูกต้องตามที่หมอบอกก็หัวเราะซะและแก้ไขให้ดีขึ้น อย่าไปเครียดเดี๋ยวลูกจะสัมผัสได้ว่าพ่อเครียดอยู่

  5. ใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากที่สุด
    พ่อกับแม่ต้องทำงานเป็นทีม ให้กำลังใจกันและกัน คุณพ่อต้องเป็นผู้นำที่ช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด และทำทุกช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันกับลูกให้มีความสุข

  6. ใช้คุณสมบัติพิเศษของพ่อซะ
    ไม่มีนมให้ลูกกินไม่เป็นไร เพราะพ่อมีมือที่ใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่าจึงมีความสามารถในการห่อตัวลูกด้วยผ้าได้อย่างกระชับ อุ้มลูกได้นานกว่า รู้สึกเหนื่อยยากกว่า มือพ่อทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยกว่าแม่อีกนะ

  7. หากิจกรรมสร้างความสัมพันธ์กับลูก
    เช่น อาสาพาลูกเข้านอนทุกวัน หรือหลังจากที่ลูกดูดนมแม่เสร็จ ก็อาสาพาลูกอาบน้ำ เปลี่ยนชุดนอน เล่านิทานก่อนนอน ร้องเพลงกล่อมนอน ซึ่งจะกลายเป็นช่วงเวลาพิเศษที่จะทำให้พ่อลูกผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น

 

7 เทคนิคบริหารสมองทารก ส่งเสริมพัฒนาการทารกตามวัย


สมองเด็กทารก, พัฒนาการสมองทารก, ส่งเสริมพัฒนาการสมองทารก, กระตุ้นสมองทารก, เล่นอะไร กระตุ้นสมองทารก, สมองทารก พัฒนายังไง, เล่นพัฒนาสมองทารก, บริหารสมองทารก, ส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
มากระตุ้นพัฒนาการสมองลูกทารกกันเถอะค่ะ เพราะสมองลูกกำลังมีการพัฒนาอย่างสูงและต้องการการส่งเสริมพัฒนาการตามวัยอย่างถูกต้อง

7 เทคนิคบริหารสมองทารก ส่งเสริมพัฒนาการทารกตามวัย

  1. สบตา...ใสปิ๊ง
    ช่วงเวลาให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม ทำความสะอาดจุ๊ดจู๋หรือจุ๋มจิ๋มของหนู หรืออาจเป็นช่วงป้อนข้าวป้อนน้ำ ก็อย่าลืมสบตาประสานใจกับหนูหน่อย เชื่อมั้ยว่าสายตาของแม่ (พ่อ) ทำให้หนูสัมผัสได้ถึงความรัก ความอบอุ่นอย่างท่วมท้น
  2. คุยกับหนู...บ้างถึง
    แม้ว่าหนูยังนอนแบเบาะ ได้แต่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก หรือไม่ก็ยิ้มเห็นเหงือกแดงแจ๋ ไม่ยอมโต้ตอบด้วยคำพูดกับแม่ (พ่อ) แต่หนูก็รับรู้ในสิ่งที่พ่อกับแม่พูดแล้วนะ แม้ว่ายังไม่เข้าใจความหมายก็ตามเหอะ แต่อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีใช่มั้ยล่ะที่หนูจะได้เก็บเกี่ยวท่วงทำนองภาษา จังหวะ และน้ำเสียงการพูดของพ่อกับแม่ไว้ในส่วนหนึ่งของสมองน้อยๆ ที่สำคัญหนูยังได้เรียนรู้การสื่อสารและสังคมรอบๆไปในตัวอีกด้วย

  3. สัมผัสเนื้อตัว...หน่อยนะ
    ชอบที่สุดเลยเวลาพ่อกับแม่ลูบไล้สัมผัสเนื้อสัมผัสตัวของหนู แหม! มันกระตุ้นการรับรู้น่าดู ถ้ามีเวลาเมื่อไหร่หาเกมสนุกๆ ใช้อุปกรณ์คือนิ้วมือของพ่อกับแม่นั่นแหละจิ้มวนไปวนมารอบๆพุงกะทิของหนู หรือบีบๆนวดๆตามผิวเนียนนุ่มก็ไม่ว่ากันค่ะ เพราะหนูมีความสุขที่สุดเลยที่สำคัญขอสารภาพว่าอยากให้ทำแบบนี้บ่อยๆ จัง

  4. หนูก็มีดนตรี...ในหัวใจ
    เวลาที่แม่ (พ่อ) เปิดเพลงคลาสสิกแสนหวานหรือเพลงสนุกๆที่หนูชอบ อยากให้แม่ (พ่อ) ฮัมเพลงตามไปด้วยนะ หรือจะแถมด้วยลีลาท่าทางสนุกๆให้หนูได้เห็นก็ยิ่งดีใหญ่ นี่ล่ะเคล็ดลับให้หนูหัวเราะ

  5. พาหนู...ไปด้วยซิ
    ถ้าหนูหลับอยู่ละก็อย่าอึกทึกครึกโครมเชียว แต่เมื่อไหร่ที่หนูลืมตาตื่นอย่าปล่อยให้หนูนอนจ้องเพดานหรือโมบายล์ (กิจกรรมนี้สำหรับแค่ช่วง 3เดือนแรกของชีวิตก็เกินพอแล้วจ้ะ) หรือนั่งเล่นอยู่กับของเล่นเพียงอย่างเดียว กระเตงหนูเข้าสะเอวไปไหนต่อไหน (ในบ้าน) ด้วยนะ เช่น ถ้าแม่ซักผ้าอยู่ ก็จับหนูให้นั่งอยู่ไม่ไกลนัก (แต่อย่าใกล้เกินไป) หรือถ้าแม่พับผ้ารีดผ้า หนูก็ขอเอี่ยวเล่นของเล่นอยู่ใกล้ๆละกัน เพราะการได้เห็นแม่ทำงานบ้านหรือทำกิจกรรมที่แตกต่าง เป็นวิธีหนึ่งที่หนูจะเรียนว่าโลกเรานี้หนอมีอะไรอีกมากมายมากกว่าเพดานขาวๆ หรือหีบเพลงที่หัวเตียง

  6. นั่งรถ...ชมวิว
    ต้องมีสักวันละน่าที่พ่อกับแม่พาหนูติดรถไปไหนต่อไหนด้วย ก็อย่าลืมอาศัยช่วงเวลาที่อยู่ในรถเพิ่มพูนประสบการณ์การเรียนรู้ให้หนู เช่น พูดคุยกับหนู ชี้ชวนชมนกชมไม้ ร้องเพลงให้หนูฟังเพลินๆควบคู่ไปกับช่วงเวลาที่สายตาหนูสอดส่ายไปตลอดทาง อ๋อ!อย่าลืมเคารพกฎกติกา ห้ามจับหนูมานั่งเบาะหน้าเด็ดขาด เพราะถึงแม้จะนั่งเบาะหลังแต่หนูก็เรียนรู้ได้เท่าเทียมแถมปลอดภัยกว่ากันเยอะเลย

  7. โมบายล์...รอบบ้าน
    เนรมิตบ้านน้อยให้เป็นสวรรค์แห่งการเรียนรู้ของหนูด้วยการแขวนโมบายล์แบบและเสียงต่างๆไว้รอบๆบ้าน ในห้องนอน หรือเตียงของหนู และอย่าลืมของเล่นเพื่อเสริมพัฒนาการให้หนูด้วย ของเล่นที่ว่านี้ก็ประเภทของเล่นมีเสียง ของเล่นไม้ ของเล่นประเภทตี ฯลฯ แต่สำหรับลูกวัย 0-12 เดือนนี้ควรเน้นของเล่นมีเสียงเป็นหลักเพื่อดึงดูดความสนใจให้เจ้าตัวเล็กค่ะ

 

กวาดยาทารก กวาดคอ เมื่อลูกทารกไม่สบายกวาดยาได้ไหม อันตรายไหม

กวาด ยา, กวาด ยา ทารก, กวาด คอ, กวาดยา กวาด คอ คืออะไร, กวายา กวาด คือ ทำไม, กวาดยา ทารก ได้ไหม, กวาดยา เด็ก อันตรายไหม, ทำไม ต้องกวาดยา, ความเชื่อเรื่องการกวาดยา, วิธีกวาดยา, กวาดยา กวาด คอ อันตราย, ห้าม กวาดยา, ห้าม กวาดคอ, ยา กวาดคอ

อาการแบบนี้พาเด็กไปกวาดยาสิ! เคยได้ยินปู่ยาตายาย พูดกันไหมคะ แล้วการกวาดยาคืออะไร การกวาดยาอันตรายไหม เช็กกันเลยค่ะ

กวาดยาทารก กวาดคอ เมื่อลูกทารกไม่สบายกวาดยาได้ไหม อันตรายไหม

การกวาดยา คืออะไร

คือการเอายาป้ายในลำคอเด็กโดยใช้นิ้วมือ เป็นการรักษาแบบแผนโบราณ การกวาดยานี้จะใช้สมุนไพรในการรักษาอาการต่างๆ ให้กับเด็ก ไม่ว่าลูกจะเป็นหวัดธรรมดา มีอาการไอ เจ็บคอ ลิ้นเป็นฝ้า เป็นไข้ เบื่ออาหาร ร้อนใน ก็มักจะใช้วิธีกวาดยาให้ลูกกันเสมอมา จะมี 2 วิธี คือ ยากวาดคอเด็ก และกวาดคอด้วยเปลือกหอยเผาไฟ

ควรใช้การกวาดยา รักษาสุขภาพลูกหรือไม่

ในปัจจุบัน ทั้ง 2 วิธีการกวาดยา คุณหมอไม่แนะนำให้ทำแล้วค่ะ เพราะเป็นอันตรายมาก ล้วนเสี่ยงเกิดบาดแผลและติดเชื้อได้ หากลูกมีอาการต่างๆ แบบที่กล่าวมา แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ปรึกษากับแพทย์แผนปัจจุบันก่อนดีกว่าค่ะ คำพูดที่ว่า “โบราณเค้าทำกัน” อาจใช้ไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบัน เพราะในปัจจุบันนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์พัฒนาไปมากแล้ว และยังมีทางเลือกอีกหลายทางที่จะทำให้ลูกหายป่วยได้โดยที่ลูกไม่ต้องเจ็บไปมากกว่าเดิมค่ะ

 

ของเล่นลูกทารกวัย 0-12 เดือน ของเล่นเสริมพัฒนาการเด็กที่พ่อแม่ต้องรู้

ของเล่น เสริม พัฒนาการ, ของเล่น เสริม พัฒนาการ 1 ขวบ, ของเล่น ทารก, ของเล่น เสริม พัฒนาการ 6 เดือน, ของเล่น เสริม พัฒนาการ 3 เดือน, ของเล่น เสริม พัฒนาการ 4 เดือน, ของเล่น พัฒนา สมอง, ของเล่น เสริม พัฒนาการ แรก เกิด, ของเล่น ฝึก พัฒนาการ, ทารกเล่นของเล่นได้ไหม, ทารกต้องเล่นอะไร

ลูกทารกเล่นของเล่นได้นะคะ ของเล่นเสริมพัฒนาการเด็กลูกทารกแต่ละเดือนมีอะไรบ้าง เรามีคำแนะนำค่ะ

ของเล่นลูกทารกวัย 0-12 เดือน ของเล่นเสริมพัฒนาการเด็กที่พ่อแม่ต้องรู้

ลูกทารกแต่ละเดือนมีพัฒนาการมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นที่มาว่า ลูกทารกเล่นของเล่นได้ และของเล่นก็เสริมพัฒนาการทารกได้ดีด้วยเช่นกัน แต่ลูกทารกเล่นอะไรได้บ้าง พ่อแม่ควรหาของเล่นอะไรมาเล่นกับลูก ลองเช็กตามนี้เลยค่ะ 

  1. ของเล่นทารกแรกเกิด - 3 เดือน ของเล่นที่สามารถติดบริเวณเตียงหรือเปลได้ เช่น โมบายล์ ตุ๊กตาของเล่นแขวนที่ขอบเปลนิ่ม ๆ เป็นต้น ประโยชน์ : ลูกนอนมองโมบายล์อย่างสบายอารมณ์และเพลิดเพลิน แถมยังเอามือไขว่เอื้อมคว้าด้วย
    1. ของเล่นควรสีสลับให้เห็นอย่างเด่นชัด เช่น สีขาว-ดำ แดง-ขาว เขียว-น้ำเงิน บางชนิดทันสมัยมีกระจกเงาเล็กสะท้อนแสงแวบ ๆ ด้วย ประโยชน์ : เนื่องจากช่วง 3 เดือนแรกนี้ สายตาเด็กจะมองเห็นสิ่งของที่มีสีสันตัดกันได้ชัดกว่าสีเรียบ ๆ ลูกจะรู้จักมองตามของเล่น แม้ในตอนนี้จะมองได้ไม่ชัดเท่าผู้ใหญ่ อีกทั้งภาพและแสงสะท้อนในกระจกก็เรียกความสนใจได้ดีเช่นกัน

    2. มีเสียงดนตรีหรือเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ในของเล่น ประโยชน์ : เด็กจะพยายามหาต้นกำเนิดของเสียง เพิ่มความสนใจของเล่นที่แขวนอยู่ในเปลได้อีกด้วย
  1. ของเล่นทารกวัย 4 เดือน - 6 เดือน วัยนี้สามารถเคลื่อนไหวตัวได้มากขึ้น และมีพัฒนาการหลายอย่างมากขึ้นด้วย เช่น การคว้าจับถนัดขึ้น ฟันเริ่มขึ้น มองเห็นชัดขึ้น ฉะนั้นของเล่นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ากับพัฒนาการลูกได้ด้วย
    1. ยางกัดนิ่ม ๆ ควรเลือกที่ได้คุณภาพเป็นพลาสติกหรือยางที่มีความคงทนแข็งแรง เมื่อบีบดูแล้วไม่มีของเหลวข้างในไหลออกมา เลือกสีสันให้สดใสหรือมีลูกเล่นข้างในยางกัดด้วยก็ได้ ประโยชน์ : วัยนี้ฟันกำลังขึ้น ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ลูกจะชอบหยิบจับของเข้าปาก จึงควรเตรียมยางกัดเอาไว้เป็นของเล่นแก้คันเหงือกดีกว่าคว้าของอย่างอื่นมากัดเล่น

    2. กรุ๊งกริ๊งหรือตุ๊กตานิ่มที่มีเสียงกระดิ่งดังข้างใน แต่ต้องสังเกตด้วยว่ากระดิ่งและสีไม่หลุดลอกง่าย พลาสติกต้องไม่มีขอบคม แตกหักยาก สีสดใสเหมาะมือ ประโยชน์ : ลูกเริ่มใช้มือในการคว้าจับ และถ้ามีเสียงด้วย ก็จะยิ่งอยากจับและเขย่า ช่วยให้ลูกใช้มือและกล้ามเนื้อแขนได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
  1. ของเล่นทารกวัย 7 เดือน - 9 เดือน บางคนก็เริ่มคลานคล่องแล้ว ของเล่นก็ต้องเพิ่มลูกเล่นไปตามศักยภาพของลูก ให้สมกับวัยนักสำรวจตัวน้อย
    1. เลือกเครื่องเล่นที่ต้องใช้ทักษะหลาย ๆ ด้าน เช่น กดแล้วมีเสียงต่าง ๆ ต้องใช้การหมุน บิด ตี ดึง เป็นต้น

    2. บล๊อกอันเล็ก ๆ ทรงสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม หรือตัวต่อทักษะง่าย ๆ ทำจากไม้หรือผ้า ประโยชน์ : ได้ใช้ความคิดหยิบจับไปวางตรงนู้นตรงนี้ ตาเริ่มสัมพันธ์กับมือไปเรื่อย ๆ

    3. หนังสือก็เป็นของเล่นได้เหมือนกัน แต่ควรเป็นหนังสือที่มีภาพสวยงามสดใส เหมือนจริง เล่มใหญ่ และตัวหนังสือน้อย หรือเป็นหนังสือผ้าที่แต่ละหน้ามีพื้นผิวต่าง ๆ ให้ลูกจับสัมผัส ประโยชน์ : เป็นการปลูกนิสัยรักการอ่าน เด็กจะรู้สึกว่าหนังสือคือสิ่งที่สามารถจับต้องได้เคยชิน และได้เรียนรู้ จดจำภาพแต่ละภาพที่มีอยู่ในหนังสือด้วย
  1. ของเล่นทารกวัย 10 เดือน - 1 ขวบ เริ่มซนจนจับไม่อยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันของเล่นก็ยังมีความจำเป็นต่อการพัฒนาเด็กมากอยู่ดี เพราะระหว่างที่เขาได้เล่นจะเกิดความสุขใจ เกิดประสบการณ์จากการเล่น พัฒนาทั้งสติปัญญาและร่างกายอีกด้วย
    1. ของเล่นมีลักษณะต่าง ๆ สี่เหลี่ยม กากบาท รูปดาว เป็นต้น ใส่ช่องตามรูปร่าง หรือหยิบใส่ เทออกจากกล่องบรรจุ

    2. ของเล่นที่มีล้อ เช่น รถชนิดแล่นไปแล้วชนกำแพงตีลังกากลับมาได้เอง รถดึงลาก มีเสียง ประโยชน์ : ล่อตาล่อใจให้ลูกเคลื่อนตัวไปจับไปเข็น ซึ่งเมื่อเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง แขนขาก็จะแข็งแรงขึ้นไม่ล้มง่าย

ของเล่น เสริม พัฒนาการ, ของเล่น เสริม พัฒนาการ 1 ขวบ, ของเล่น ทารก, ของเล่น เสริม พัฒนาการ 6 เดือน, ของเล่น เสริม พัฒนาการ 3 เดือน, ของเล่น เสริม พัฒนาการ 4 เดือน , ของเล่น พัฒนา สมอง, ของเล่น เสริม พัฒนาการ แรก เกิด,ของเล่น ฝึก พัฒนาการ, ทารกเล่นของเล่นได้ไหม, ทารกต้องเล่นอะไร

แล้วของเล่นนั้นช่วยให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือการมองเห็น การได้ยิน การใช้ปาก จมูก และการสัมผัส หากเราเสริมเติมเต็มสิ่งเหล่านี้ได้ก็จะดีมาก เด็กจะได้เริ่มเรียนรู้หลักพื้นฐานของเหตุผลและผลจากการเล่นด้วยนั่นเอง

จ๊ะเอ๋ เล่นจ๊ะเอ๋กับลูกทารกอย่างไรช่วยเสริมพัฒนาการตามวัยและได้ทักษะ EF

 
จ๊ะเอ๋, เล่นจ๊ะเอ๋ กับ ทารก, เล่น จ๊ะเอ๋ กับลูก, เล่นจ๊ะเอ๋ ประโยชน์, จ๊ะเอ๋ พัฒนาทักษะ EF, เล่น จ๊ะเอ๋ EQ อารมณ์ดี, ทำไม ต้องเล่น จ๊ะเอ๋, เล่นจ๊ะเอ๋ ทารก ได้ตอนไหน, เล่นจ๊ะเอ๋ ลูกได้อะไร, จ๊ะเอ๋ ลูกทารก ลูกเล็ก, พ่อแม่ เล่นจ๊ะเอ๋, ทารก เล่นจ๊ะเอ๋, ลูก เล่นจ๊ะเอ๋

การเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกอาจเป็นกิจกรรมที่ธรรมดา แต่จริง ๆ ผลของการเล่นจ๊ะเอ๋มีประโยชน์สำหรับลูกทารกมาก นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ให้คำแนะนำในการเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกไว้ค่ะ 

จ๊ะเอ๋ เล่นจ๊ะเอ๋กับลูกทารกอย่างไรช่วยเสริมพัฒนาการตามวัยและได้ทักษะ EF

  1. การเล่นจ๊ะเอ๋ ควรจะเริ่มเล่นได้เมื่อเด็กรู้ว่าวัตถุมีจริงแล้วคือ object permanence ของชิ้นหนึ่งหายไปแล้ว โผล่มาใหม่ได้ เอาผ้าไปคลุมของเล่นที่เขากำลังเล่น เขารู้จักพลิกผ้าหาของออกมาเล่นต่อ ความสามารถนี้อยู่ที่อายุ 8 เดือน
     
  2. แม่จะเป็นวัตถุแรกที่มีอยู่จริงตั้งแต่ประมาณ 6 เดือน เมื่อแม่หายไปจากสายตา เดี๋ยวก็จะกลับมา แม่เข้าห้องน้ำ เดี๋ยวก็จะออกมา แม่ไปทำผม เดี๋ยวก็จะกลับมา ดังนั้นจะเริ่มเล่นตอนทารก 6 เดือนก็น่าจะจ๊ะเอ๋ได้ แต่หากลูกทำมึนก็อย่าได้ตกใจไป หรือถ้าเขาร้องไห้จ้าก็อย่าเสียใจ ลูกแค่ยังไม่พร้อมจะเล่นจ๊ะเอ๋เฉยๆ
     
  3. นักวิทยาศาสตร์ไม่แน่ใจนักว่าทารกมี face recognition หรือการรับรู้ว่าว่าใบหน้าแบบนี้คือมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนจะรู้จักใบหน้าแม่ บ้างว่ารู้ทันทีหลังเกิด บ้างว่าประมาณ 1-3 เดือน อย่างไรก็ตามนี่คือรากฐานของการเล่นจ๊ะเอ๋
    ​​
    เพราะหากมีคนแปลกหน้ามาเล่นจ๊ะเอ๋กับลูกเราแล้วทำเขาร้องไห้ ควรให้หยุดเล่น เพราะจ๊ะเอ๋เขาเอาไว้เล่นกับคนรัก เป็นแฟนเล่นจ๊ะเอ๋ถึงจะสนุก น่ารัก ปิดไฟมองไม่เห็นยังน่ารักเลย ไม่เป็นแฟนมาเล่นจ๊ะเอ๋ได้อย่างไร
     
  4. จ๊ะเอ๋เป็นการเล่นที่ตอกย้ำความมีแม่ ความเป็นแม่ ความมีอยู่จริงของแม่ และนั่นเท่ากับสร้างเสริมสายสัมพันธ์กับแม่ด้วย เดี๋ยวหายเดี๋ยวมี คราวนี้เลื่อนมาทางพ่อ กลับบ้านเดือนละครั้งก็ควรเล่นจ๊ะเอ๋แต่มิใช่ผลีผลามเข้าไปไม่รู้ตัว หากนานๆ มาครั้งหนึ่งก็ควรมีเวลาอุ่นเครื่องกันก่อน ยิ้ม อุ้ม กอด เล่นอย่างอื่นบนพื้นดินสักพัก แล้วค่อยเล่นจ๊ะเอ๋อีกที
     
  5. จ๊า ยาวๆ เอ๋ ยาวๆ ย่อมไม่สนุกเท่า จ๊ะเอ๋! องค์ประกอบสำคัญของจ๊ะเอ๋มิได้มีแค่เรื่องใบหน้าแต่มีเรื่องเสียงด้วย เสียงสูงที่เกิดขึ้นฉับพลันทันทีที่จ๊ะเอ๋เป็นปัจจัยที่ทำให้เรื่องนี้สนุก อีกทั้งเรื่องความถี่ จ๊ะเอ๋ จ๊ะเอ๋ จ๊ะเอ๋ 3 ครั้งซ้อนเด็กจะหัวเราะงอหายไป 3 ท่อนมิได้หายใจ นับเป็นการบริหารทั้งหูชั้นในและปอดไปพร้อมๆ กัน แต่ที่สำคัญมากคือเป็นช่วงขณะหนึ่งที่ทารกจะมองหน้าแม่ ลูกจะมองเห็นริมฝีปากของคุณแม่ แม่ทำปากแบบไหนจึงได้เสียงออกมาว่า “จ๊ะเอ๋” นี่มิใช่การฝึกพูด แต่เป็นเรื่องแรกๆ ที่ทารกจับสังเกตอย่างจริงจังว่าปากมนุษย์ขยับแล้วมีเสียงออกมา
     
  6. จ๊ะเอ๋เป็นการละเล่นที่ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเสมอ หากจ๊ะเอ๋แล้วไม่หัวเราะย่อมไม่ใช่จ๊ะเอ๋ มนุษย์เราหัวเราะด้วยกลไกที่ซับซ้อน
     
    จากงานของชาร์ล ดาร์วินในหนังสือ The Expression of the Emotions in Man and Animals ปี 1889 บอกว่าเวลามนุษย์หัวเราะกล้ามเนื้อขากรรไกรล่าง Zygoma จะดึงรั้งริมฝีปากและกระพุ้งแก้มออกไปทางด้านข้าง แต่ริมฝีปากบนนั้นจะถูกดึงรั้งขึ้นด้วยกล้ามเนื้อรอบลูกตา คือ Orbicularis oculi เป็นเวลาเดียวกับที่เราหายใจเข้าแล้วทางเดินหายใจถูกสกัดด้วยกล้ามเนื้อกะบังลม
     
    มีงานวิจัยอื่นๆ เกี่ยวกับทารก เวลาทารกเห็นแม่ ทารกจะยิ้มตาปิดลงเล็กน้อย เหตุที่ตาปิดเพราะกล้ามเนื้อรอบลูกตาหดรั้ง เราจะสังเกตเห็นว่าขอบตาล่างมีมัดกล้ามเนื้อชิ้นเล็กๆ ปูดขึ้นมา แต่ถ้าทารกเห็นคนอื่น แม้ว่ายิ้มก็ยิ้มเฉพาะกล้ามเนื้อขากรรไกร แต่ไม่ยิ้มด้วยกล้ามเนื้อรอบดวงตา
     
    ข้อสังเกตนี้ใช้สังเกตคนที่หัวเราะด้วยความสุขจริงๆ กับคนที่แค่นหัวเราะได้ด้วย
     
  7. กลไกสำคัญของการเล่นจ๊ะเอ๋ คือ surprise and expectation กล่าวคือจ๊ะเอ๋เป็นการรักษาสมดุลระหว่างความแปลกใจและความคาดหวัง เด็กคาดหวังว่าเดี๋ยวจะต้องมีใบหน้าพ่อหรือแม่โผล่ออกมาแน่ๆ ครั้นโผล่ออกมาจริงๆ ก็ประหลาดใจที่ตนเองคาดหวังถูกต้อง หัวเราะเอิ๊กๆ ถ้าคาดหวังแต่ไม่โผล่หน้าออกมาย่อมไม่สนุก ออกมาแต่ไม่เซอร์ไพรซ์ก็ไม่สนุก การเล่นจ๊ะเอ๋จึงเป็นทักษะฝ่ายพ่อแม่ด้วย
     
  8. จ๊ะเอ๋ทำให้หัวเราะ หัวเราะเป็นทักษะการสื่อสาร คือ communication skills อย่างแรกๆ เด็กหัวเราะเพื่อเปิดช่องทางสื่อสาร หัวเราะแล้วโลกเงียบจะเป็นโลกที่น่าเศร้ามาก หัวเราะแล้วใครๆ ก็จะมา ร้องไห้แล้วใครๆ ก็จะไป เด็กค่อยๆ เรียนรู้ได้ว่าหัวเราะจะได้อะไร นี่คือการสื่อสาร นักฝึกพูดบางท่านจึงเริ่มต้นที่การทำให้เด็กหัวเราะ
     
     
    สุดท้ายคุณหมอได้ทิ้งข้อที่ 9 ไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเป็นแง่คิดว่า
    “การเล่นจ๊ะเอ๋เป็นการเล่นที่ไม่เพียงพ่อแม่ต้องอยู่บ้าน แต่ต้องการใบหน้าของท่านอยู่บ้านด้วย ไม่มีใบหน้าเล่นจ๊ะเอ๋ไม่ได้ ใบหน้านั้นต้องเป็นที่รักมากพอที่กล้ามเนื้อรอบลูกตาจะหดรั้งได้ด้วย แน่นอนท่านจ้างคนอื่นเล่นแทนได้ แต่กล้ามเนื้อรอบลูกตาคงจะไม่หดรั้งเท่าใดนัก เศร้าเพียงใดหากลูกไม่มีคนเล่นจ๊ะเอ๋ด้วย Peekaboo!”
     

ทารกกินน้ำได้ไหม ทำไมห้ามป้อนน้ำเด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน


ทารก กินน้ำ, เด็ก ทารก กินน้ำ ได้ ไหม, ทารก กินน้ำ ได้ ไหม, ห้ามป้อนน้ำทารก, ห้ามป้อนน้ำเด็กแรกเกิด, อันตรายของการป้อนน้ำเด็กทารก, ห้ามป้อนน้ำเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน, ทำไมเด็กอ่อนห้ามดื่มน้ำ, กินนมแม่แล้วต้องกินน้ำไหม, เด็กทารกห้ามกินน้ำ, ทารกดื่มน้ำลำไส้ติดเชื้อ, ทารกลำไส้ติดเชื้อ, รักลูก Community of The Experts

ทารกห้ามดื่มน้ำเพราะอาจเสี่ยงการติดเชื้อในลำไส้และส่งผลต่อพัฒนาการ หรือชีวิตได้ค่ะ 

ทารกกินน้ำได้ไหม ทำไมห้ามป้อนน้ำเด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน

เด็กทารกอายุไม่เกิน 6 เดือน ต้องดื่มน้ำ หรือ ไม่ดื่ม เรื่องนี้คาใจคุณแม่ชาวโซเชียลกันมานาน และหลายคนก็ทำผิดจนเด็กบางคนได้รับอันตรายเข้าโรงพยาบาลกันมาเยอะแล้วค่ะ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีข้อเท็จจริงและคำแนะนำเรื่องการดื่มน้ำของเด็กเล็กมาแนะนำพ่อแม่มือใหม่ค่ะ 

นมแม่หรือนมผสมเป็นอาหารหลักของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งในนมแม่หรือนมผสมจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 80%  เด็กจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเพิ่มเลยค่ะ เนื่องจากการให้เด็กกินน้ำจะทำให้อิ่มเร็ว และกินนมได้น้อยลง ส่งผลให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์

ป้อนน้ำให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือนอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพ

  1. ขาดสารอาหารที่จำเป็น เมื่อป้อนน้ำให้เด็กเล็กในปริมาณมาก มักจะทำให้เด็กกินนมแม่หรือนมผสมได้น้อยลง และทำให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากการกินนม ลดลงถึงขั้นขาดสารอาหารได้ อีกทั้งยังทำให้คุณแม่มีโอกาสที่น้ำนมจะลดลงจากการที่ลูกดูดนมได้น้อยลงด้วย

  2. มีโอกาสติดเชื้อทางเดินอาหารจากความสะอาดของภาชนะ และจากน้ำที่สะอาดไม่เพียงพอค่ะ เด็กอายุต่ำกว่า 6-12 เดือน ไม่ควรกินน้ำกรอง หรือน้ำขวดโดยไม่ได้ผ่านการต้มน้ำก่อน เพราะภูมิต้านทานของเด็กยังน้อยมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางอาหาร

  3. ภาวะน้ำเป็นพิษ ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นได้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน การป้อนน้ำให้เด็กมากเกินไปจะทำให้ไตของเด็กซึ่งยังทำงานไม่เต็มที่ ไม่สามารถกรองของเหลวได้ทัน อีกทั้งอาจจะไปเจือจางความเข้มข้นของโซเดียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญของร่างกายที่ช่วยรักษาสมดุลน้ำระหว่างภายในและภายนอกเซลล์ เด็กที่ได้รับน้ำมากเกินกว่าร่างกายจะปรับสมดุลได้ อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อสมอง เกิดสมองบวม และเสียชีวิตได้ 

สรุปว่า น้ำดื่มไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน  เพราะเด็กวัยนี้ได้รับ “น้ำ” จากนมก็เพียงพอแล้ว

คำแนะนำเมื่อแม่ไม่อยากให้ลูกขาดน้ำ และ การเริ่มน้ำดื่มในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป

  • แม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในแถบอากาศร้อนก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องป้อนน้ำลูกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือนค่ะ แต่ให้ลูกดื่มนมแม่มากขึ้นได้

  • สำหรับเด็กอายุ 6-12 เดือน ที่เริ่มได้รับอาหารเสริมนอกจากนม อาจจะเริ่มให้ดูดน้ำจากแก้วหัดดื่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 1-2 ออนซ์ต่อวัน และควรให้หลังจากการกินอาหารเสริมไม่ควรให้ทดแทนนมแม่หรือนมผสม น้ำดื่มที่ป้อนให้เด็กควรเป็นน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว

  • เด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ไม่ควรกินน้ำกรองหรือน้ำขวดโดยไม่ได้ผ่านการต้ม เพราะภูมิต้านทานของเด็กยังน้อย และที่สำคัญควรทำความสะอาดภาชนะแก้วหรือขวดน้ำของเด็กเป็นประจำ เพราะเชื้อโรคจากภาชนะอาจทำให้เด็กท้องเสียได้ หลังอายุ 1 ปี เด็กต้องกินอาหารหลัก 3 มื้อ และนมกลายเป็นอาหารเสริม ถึงเวลานั้นพ่อแม่สามารถให้ลูกดื่มน้ำได้ตามความต้องการของเด็ก

ถ้าลูกเล็กสะอึกจะแก้อาการอย่างไร

  1. ถ้าลูกสะอึกบ่อยจริง ๆ อาจจะต้องจับเรอให้บ่อยขึ้น เช่น ถ้ากินนมแม่ อาจจับเรอช่วงที่จะสลับเต้า หรือ ถ้ากินนมผสม หากกินไป 2-3 ออนซ์ ยังไม่อิ่ม ลองจับเรอสักครู่ก่อนกินต่อ เป็นต้น

  2. วิธีอุ้มเรอที่พ่อแม่ใช้บ่อย มี 2 ท่า
  • ท่าแรก คือ อุ้มพาดบ่า จับลูกพาดขึ้นบ่า มือข้างหนึ่งประคองตัวลูก มืออีกข้างลูบหลังเบาๆ จนกว่าจะเรอ การเดินไปมาจะช่วยให้ลมออกง่ายยิ่งขึ้น
  • ท่าที่สอง คือ ให้ลูกนั่งตัวตรงบนตัก แล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับประคองคางลูกไว้ โดยให้ตัวลูกเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วใช้มือลูบขึ้นเบาๆ ช้าๆ ลูบจากเอวด้านหลังขึ้นมาจนถึงต้นคอ เพื่อไล่ลม 

ถ้าเมื่อไหร่ที่ลองหมดแล้วทุกวิธีก็ไม่หาย คุณพ่อคุณแม่ยังกังวลก็ปรึกษาคุณหมอได้ค่ะ

 

รักลูก Community of The Experts
พญ.สินดี จำเริญนุสิต
กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม
 

ทารกตัวลาย ทารกผิวลาย Cutis Marmorata อันตรายหรือไม่

1958ทารก ตัวลาย, ทาก ผิวลาย, ทากร ตัวลาย สีแดง, ทารก ผิวเป็นเม็ดสีแดง, ทารก ผิวเป็นจ้ำ, ทารก ผิวแดง เป็นเม็ด, ทารก ผิวแดงทั้งตัว, ทารก ผิวแดง ทั่วตัว, ทารก ตัวลาย อันตรายไหม, ทารก ตัวลาย เกิดจาก, mottled skin, cutis marmorata, ทารกแรกเกิดผิวลาย
ลูกทารกแรกเกิดตัวลาย ผิวลายเป็นสีแดง ๆ เต็มตัว อาการแบบนี้ผิดปกติหรือไม่ เกิดจากอะไร เรามีคำตอบค่ะ

ทารกตัวลาย ทารกผิวลาย Cutis Marmorata อันตรายหรือไม่

ทารกแรกเกิดตัวลาย เกิดจากอะไร

ทารกแรกเกิดบางคน เมื่อคลอดออกมาผิวลาย เป็นสีแดงทั่วทั้งตัว บ้างก็ว่าลักษณะคล้ายจ้ำแดงเล็ก ๆ ทั่วตัว ภาวะทารกตัวลาย เรียกว่า Mottled skin หรือ Cutis Marmorata เป็นภาวะที่มักเจอในเด็กเล็กนะคะ ส่วนมากพบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สาเหตุมาจากการที่หลอดเลือด หดตัว และขยายตัวพร้อมๆ กัน ทำให้เห็นเป็นบางบริเวณซีด บางบริเวณเข้ม ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากอากาศเย็นเป็นลักษณะลายคล้ายตาข่าย สีแดงน้ำเงิน บริเวณผิวลูกค่ะ 

ทารกแรกเกิดตัวลายแดง อันตรายไหม

คุณแม่ไม่ต้องตกใจนะคะ ไม่ใช่ความผิดปกติหรือเป็นโรค อาการผิวลายจะหายไปเองค่ะ โดยไม่ต้องรักษา เพียงแค่ให้ความอบอุ่นกับผิวลูกน้อย นอกจากนี้ยิ่งอายุลูกมากขึ้นตัวจะขยายภาวะผิวลายก็จะหายไปเองเลยค่ะ 

 Photo Credit : 

https://www.clinicaladvisor.com/slideshow/clinical-quiz/derm-dx-an-infant-with-mottled-skin/

ทารกนอนบนอกแม่อันตรายไหม ทำไมลูกทารกถึงชอบนอนทับอกพ่อแม่

ลูกทารก นอน บน อก, ลูกชอบนอนทับอก, ทารก นอน บ นอก แม่ อันตราย ไหม, ลูก นอน บ นอก อันตราย ไหม, ทารก นอน บ นอก แม่, ทำไม ทารก นอน บนอก แม่, ให้ ลูก นอน บนอก, ลูก ชอบ นอน บนอก แม่

ลูกทารกชอบนอนบนอกพ่อแม่เพราะติดกลิ่น รู้สึกอบอุ่น หรือเพราะอะไรกันแน่ เรามีคำตอบพร้อมวิธีกล่อมลูกทารกนอนหลับยาวมาฝากค่ะ

ทารกนอนบนอกแม่อันตรายไหม ทำไมลูกทารกถึงชอบนอนทับอกพ่อแม่

ลูกร้องไห้โยเยเพราะอยากนอนทับอกใช่ไหม

การที่ลูกทารกร้องไห้โยเยไม่ได้หมายความว่าลูกต้องการนอนแต่บนอกของคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นนะคะ บางครั้งลูกอาจรู้สึกไม่สบายตัว ไม่เรอหลังกินนม ผ้าอ้อมเปียกชื้นมากเกินไป หิวนม หรือปวดท้องโคลิก สิ่งเหล่านี้บ่งบอกอาการร้องไห้โยเยของลูกได้เช่นกัน

ทำไมลูกทารกชอบนอนบนอกพ่อแม่

  • ต้องการความอบอุ่น ต้องการไออุ่น
  • รู้สึกปลอดภัยเหมือนตอนที่อยู่ในท้องของคุณแม่
  • ได้ยินเสียงหัวใจแม่เต้น ทำให้หลับง่ายเหมือนตอนอยู่ในท้องแม่
  • ได้กลิ่นพ่อแม่แล้วรู้สึกสบายใจ คุ้นเคย หลับง่าย

ทารกนอนบนอกแม่ อันตรายไหม

ลูกทารกชอบนอนบนอกพ่อแม่ ไม่อันตรายค่ะ สามารถให้ลูกทารกนอนหลับได้สบาย ๆ แต่ควรให้ลูกนอนบนอกตอนร้องงอแงมากเพื่อทำให้รู้สึกปลอดภัยหลับสบาย แต่หากลูกหลับบนที่นอนได้เอง ไม่ร้องไห้งอแงก็ไม่ควรกล่อมลูกนอนหลับบนอกพ่อแม่ทุกครั้งค่ะ เพราะเขาจะติดจนรู้สึกว่าการนอนบนที่นอนไม่ปลอดภัย นอนไม่หลับ หลับยาก 

วิธีกล่อมลูกทารกให้หลับง่าย หลับยาว

  1. ใช้ผ้าห่มผืนน้อยช่วยให้ลูกหลับได้ เด็กทารกจะรู้สึกปลอดภัยที่สุดเมื่อได้รับความอบอุ่นอยู่เสมอ การที่ลูกน้อยออกมาสู่โลกกว้างอาจทำให้ไม่คุ้นชินได้ เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเอาผ้าห่มมาปิดที่บริเวณหน้าอกของลูกน้อยก็สามารถช่วยให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยได้ค่ะ

  2. จัดห้องนอน ที่นอนให้อยู่ในมุมที่แสงไม่กวน เสียงไม่ดัง แสงและเสียงจะไม่รบกวนให้ลูกตื่น ลูกทารกจะนอนหลับได้ง่ายและนอนยาวขึ้น

  3. เปิดเพลงกล่อมเด็กเบา ๆ หรือ เพลงกล่อมเด็กนอนประเภท White Noise ช่วยให้ลูกทารกรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ หลับง่าย

  4. ถ้าลูกทารกติดกลิ่นพ่อแม่ ลองวางเสื้อคุณพ่อคุณแม่ไว้ใกล้ ๆ ลูกหน่อยก็ได้ค่ะ เพื่อให้เขายังได้กลิ่นที่คุ้นเคย

เชื่อว่าเมื่อลูกมานอนใกล้ ๆ หรืออ้อนขอนอนบนอก คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ต้องชอบทั้งนั้น แต่การให้ลูกนอนแบบนี้ไปจนโตอาจทำให้เกิดผลเสียได้ ทั้งสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่เอง และอาจทำให้ลูกมีสภาวะนอนหลับไม่สนิทซึ่งมีผลกับพัฒนาการของลูกได้ ดังนั้นค่อยๆ ปรับให้ลูกนอนที่นอนของตนเองเมื่อถึงวัยอันควรค่ะ

 

นาฬิกาชีวิตของทารกเดือนแรก ทารกอายุ 1 เดือน ช่วยพ่อแม่ใช้ชีวิตง่ายขึ้น

ทารก 1 เดือน, ทารก 1 เดือนทำอะไรบ้าง, กิจวัตร ทารก 1 เดือน, เลี้ยง ทารก 1 เดือน, ตารางกินนม ทารก 1 เดือน, ตารางขับถ่าย ทารก 1 เดือน, การของทารก 1 เดือน, นาฬิกาชีวิตของเด็กทารก, ตารางชีวิตเด็กทารก,พ่อแม่มือใหม่
 
ลูกทารกอายุ 1 เดือน ตื่นตอนไหน กินนมตอนไหน เล่นตอนไหน ถ้ารู้ตารางชีวิตลูกทารกแบบนี้ พ่อแม่มือใหม่เลี้ยงวลูกง่ายแน่ ๆ ค่ะ ลองมาเช็กนาฬิกาชีวิตลูกทารก 1 เดือนกันค่ะ

นาฬิกาชีวิตของทารกเดือนแรก ทารกอายุ 1 เดือน ช่วยพ่อแม่ใช้ชีวิตง่ายขึ้น

หากคุณพ่อคุณแม่รู้จักนาฬิกาชีวิตของลูกน้อย จะทำให้เข้าใจจังหวะชีวิตของลูกมากขึ้น โดยนาฬิกาชีวิตของทารกหมุนเวียนทุก 3 ชั่วโมง แบ่งเป็นป้อนนม 30 นาที เล่น 30 นาที และนอน 2 ชั่วโมง เมื่อรู้นาฬิกาชีวิตของลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะได้ปรับนาฬิกาชีวิตของตัวเองให้ดูแลลูกน้อยได้ดีขึ้นไงคะ

 
7.00 น.  : เปลี่ยนผ้าอ้อม, ให้นม
7.30 น.   : เล่น
8.00 น.   : นอน
10.00 น. : เปลี่ยนผ้าอ้อม, ให้นม
10.30 น. : เล่น
11.00 น. : นอน
13.00 น. : เปลี่ยนผ้าอ้อม, ให้นม
13.30 น. : เล่น
14.00 น. : นอน
16.00 น. : เปลี่ยนผ้าอ้อม, ให้นม
16.30 น. : เล่น
17.00 น. : นอน
19.00 น. : เปลี่ยนผ้าอ้อม, ให้นม
19.30 น. : เล่นนานเป็นพิเศษ
21.30 น. : เริ่มนอน, ให้นม
22.00 น. : นอน


ทารก 1 เดือน, ทารก 1 เดือนทำอะไรบ้าง, กิจวัตร ทารก 1 เดือน, เลี้ยง ทารก 1 เดือน, ตารางกินนม ทารก 1 เดือน, ตารางขับถ่าย ทารก 1 เดือน, การของทารก 1 เดือน, นาฬิกาชีวิตของเด็กทารก, ตารางชีวิตเด็กทารก,พ่อแม่มือใหม่


ตารางนี้เป็นแค่ตัวอย่างเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้ค้นพบแนวทางการเลี้ยงลูก เพราะนาฬิกาชีวิตของทารกแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน หากลูกมีสัญญาณว่าหิวหรือง่วง ก็ปรับตารางเวลาให้เข้ากับลูกได้ ควรสังเกตและบันทึกนาฬิกาชีวิตของลูกไว้เสมอ เพื่อดูข้อมูลย้อนหลัง ในการเฝ้าติดตามพฤติกรรม การพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สัญญาณเจ็บป่วย หากลูกผ่านช่วงเดือนแรกไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่คงพอจับทางได้ ว่าลูกทำกิจกรรมอะไรใช้เวลาเท่าไหร่บ้าง หรือควรสลับตารางอย่างไรลูกถึงจะงอแงน้อยลง นอนยาวขึ้น และเข้ากับวิถีชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ที่สุดค่ะ

ที่มา : incredibleinfant.com
 

ผมทารก ทำไมยิ่งโตยิ่งเปลี่ยน เปลี่ยนทั้งสีและลักษณะเส้นผม

 

ลูกทารกผมบาง โตขึ้นผมหนาเฉยเลย ทารกบางคนผมดำสนิท แต่พอโตสีผมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล บางคนตอนเด็กผมตรงแต่โตแล้วผมหยักศก เรื่องนี้เรามีคำตอบค่ะ

ผมทารก ทำไมยิ่งโตยิ่งเปลี่ยน เปลี่ยนทั้งสีและลักษณะเส้นผม

เรื่องผมในวัยเด็กอาจสังเกตได้ว่าหลายๆ คนที่ตอนเด็กผมดูสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลแดง หรือดูหยักศก แต่ทำไมโตขึ้นผมเปลี่ยนเป็นสีดำเข้มหรือเหยียดตรง แม้แต่ในเด็กฝรั่งบางคนตอนเด็กมีผมสีเหลืองทอง โตขึ้นกลับมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำได้ บางคนที่เส้นผมเคยบางแทบไม่มี แต่เมื่อโตขึ้นกลับมีผมดกดำได้  มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ผมของเจ้าตัวเล็กมีความเปลี่ยนแปลง

ทำไมเส้นผมเด็กจึงแตกต่างกัน

ลักษณะของเส้นผม เช่น หยิก หยักศก หรือเหยียดตรง เกิดจากเส้นผมซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "Keratin" ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันทั้งเส้นผมและเล็บ เส้นผมนั้นงอกจากรากผมที่อยู่ตรงท่อยาวๆ ใต้ผิวหนัง ซึ่งท่อยาวๆ ดังกล่าวเรียกว่า "Follicle" โดยทำหน้าที่กำหนดว่าผมของเราจะมีลักษณะหยิก หยักศก หรือเหยียดตรงตามพันธุกรรมที่ได้รับจากพ่อแม่ รวมทั้งการที่เราจะมีเส้นผมดกหนาหรือบางเบาด้วยค่ะ

Follicle นั้นเกือบทั้งหมดติดอยู่กับต่อมไขมัน หรือ Sebaceous Gland ซึ่งมีหน้าที่ผลิตไขมันออกมาทำให้เส้นผมเป็นมันเงางาม แต่หากมากไป เช่น ในวัยรุ่น หรือเวลาออกกำลังกาย ก็ทำให้เส้นผมมันเกินไปและดูสกปรกได้

ทำไมผมลูกเปลี่ยนไปได้

  1. ถ่ายทอดทางพันธุกรรม หากพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายมีสีผมและลักษณะของเส้นผมเป็นแบบไหน ลูกก็มักมีเส้นผมแบบเดียวกัน เช่น ผมหยักศก ผมตรง รวมถึงการมีผมหงอกก่อนวัยด้วยค่ะ

  2. เกิดจากเม็ดสี (Melanin) โดยทั่วไปสีผม สีผิวและสีตามักมีความสัมพันธ์กัน คือหากมีเม็ดสีที่ผิวหนังมาก เม็ดสีที่ผมและที่ตาก็จะมีมากเช่นกัน จึงพบเห็นได้บ่อยว่าผู้ที่มีผมสีดำมักมีผิวสีเข้ม และตาสีเข้ม เช่น สีดำ หรือสีน้ำตาล

ทั้งสองเป็นปัจจัยที่ทำให้ผมลูกเปลี่ยนแปลงได้เมื่ออายุมากขึ้น เพราะตอนเด็กเม็ดสีผลิตได้น้อย ผมลูกจึงมีสีอ่อน เมื่อโตขึ้นมีการผลิตเม็ดสีมากขึ้น ผมอาจมีสีที่เข้มดกดำกว่าตอนเด็ก และในผู้สูงอายุเม็ดสีเหล่านี้ก็จะลดจำนวนลงตามธรรมชาติ จึงเห็นเป็นผมสีเทาหรือ ผมหงอก

4 วิธีดูแลผมและหนังศีรษะลูก

ปกติเส้นผมมีประมาณ 100,000 เส้น และหลุดร่วงประมาณวันละ 50-100 เส้น เส้นผม 1 เส้นมีอายุประมาณ 2-6 ปี หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ก็จะหลุดเองตามธรรมชาติหรือจากกการหวี การดูแลเส้นผมที่สำคัญที่สุดคือการรักษาความสะอาดค่ะ

  1. สระผม ควรสระผมตามสภาพเส้นผมของลูก เลือกใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน และควรสระด้วยน้ำอุ่น

  2. ดูแลไม่ให้ติดเชื้อรา การติดเชื้อโดยเฉพาะเชื้อรา เกิดจากความอับชื้น หิดเหาจากการดูแลสุขอนามัยที่ไม่ดี ความเป็นอยู่ที่แออัด ครอบครัวและโรงเรียนควรให้ความร่วมมือ ดูแลและรักษาหากมีเด็กเป็น

  3. กินอาหารบำรุงเส้นผม เด็กบางคนอาจมีปัญหาผมร่วงหรือผมน้อยจากการขาดสารอาหารสำคัญทั้งโปรตีนและวิตามินบีรวม รวมถึง Biotin วิตามินเอ และ Zinc ซึ่งมีความสำคัญในการสร้างเส้นผมให้แข็งแรง ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้มีมากใน ไข่ ตับ นม และผักใบเขียว

  4. เพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ อีกปัญหาที่อาจพบได้บ่อยคือผิวหนังอักเสบหรือที่เรียกว่าชันตุ ซึ่งหากมีการดูแลเพิ่มเติมนอกจากทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ควรให้ความชุ่มชื้นกับหนังศีรษะ เช่น ทาน้ำมันมะกอกในทารกแรกเกิด ส่วนการนำดอกอัญชัน หรืออื่นๆ มาทาเพื่อให้ผมและคิ้วดกดำ ก็อาจมีโอกาสทำให้ผิวหนังอักเสบและอาจไม่ได้ผลตามต้องการได้

 

 

พัฒนาการทารกแรกเกิด 1 สัปดาห์แรก ทารกแรกเกิดมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง

ทารกแรกเกิด 1 สัปดาห์ก็มีพัฒนาทารกให้พ่อแม่เช็กได้แล้วนะคะ ลองมาเช็กพัฒนาการทารกแรกเกิด 1 สัปดาห์กันในบทความนี้ค่ะ 

พัฒนาการทารกแรกเกิด 1 สัปดาห์แรก ทารกแรกเกิดมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง

ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์

ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์หรือเรียกอีกอย่างว่าปฏิกิริยาสะท้อนกลับ เป็นพัฒนาการสำคัญของทารกแรกเกิดที่จะตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าโดยอัติโนมัติ ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นบ่อยในช่วงเดือนแรกของทารก และหลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ หายไป

ปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่คุณพ่อคุณแม่สามารถตรวจสอบได้เองมีดังนี้

  1. หากคุณอุ้มลูกในท่ายืน และปล่อยให้เท้าสัมผัสพื้นเล็กน้อย ลูกจะชักขาขึ้นละม้ายคล้ายการเดินบนอากาศ
  2. เมื่อถูกอุ้มอย่างรุนแรง เสียงดัง หรือแสงจ้าบาดตา ลูกจะสะดุ้งตกใจพร้อมกับแอ่นหลังขึ้นมา ศีรษะห้อยไปด้านหลัง แขนขากางกว้างออก และกลับมาอยู่ในท่าห่อตัวอย่างรวดเร็ว
  3. ทารกมักร้องไห้จ้าเพราะตกใจเสียงร้องไห้ของตนเอง ลูกจะสงบได้ด้วยการวางมืออุ่น ๆ ไว้ที่ร่างกายลูก หรืออุ้มพาดบ่าไว้
  4. หากแตะฝ่ามือหรือฝ่าเท้าลูก ลูกจะจับนิ้วของคุณไว้แน่น และสามารถดึงตัวเองขึ้นจากที่นอนได้
  5. หากแตะหลังมือหรือหลังเท้าด้านนอก นิ้วมือและนิ้วเท้าของลูกจะกางออก เรียกว่า Babinski Reflex
  6. เมื่อแตะที่มุมปากลูก ปากก็จะเผยอตามและหันมาหานิ้วมือที่แตะ ทำท่าทางพร้อมจะดูดนม เมื่อแตะสันจมูกหรือเปิดไฟใส่หน้า ลูกจะหลับตาปี๋
  7. จิ้มที่ฝ่าเท้าเบา ๆ เข่าและเท้าจะงอ
  8. เมื่ออุ้มเอาส่วนอกจุ่มน้ำ ลูกจะทำท่าว่ายน้ำ
  9. ดึงลูกขณะที่นอนอยู่ให้ขึ้นมาสู่ท่านั่ง ลูกจะพยายามตั้งหัวให้ตรง ตาเบิกกว้าง ไหล่ตึง เรียกว่าปฏิกิริยาตุ๊กตาจีน

ผิวทารกแรกเกิด

ทารกแรกเกิดจะมีเลือดของแม่และไขมันเคลือบอยู่ตามผิวที่เรียกว่า เวอร์นิกซ์ (Vernix) ทำหน้าที่ช่วยหล่อลื่นให้ทารกไหลลื่นออก มาจากช่องคลอดได้สะดวกยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อคุณพ่อคุณแม่ได้เห็นลูกในครั้งแรกก็จะพบว่าลูกมีผิวหนังเหี่ยวย่นจากการคุดคู้อยู่ในครรภ์มารดา และมีเมือกเลือดต่างๆ ที่ติดอยู่ตามตัว หลังจากคลอดเสร็จพยาบาลจะเป็นผู้ทำความสะอาดให้

เมื่อไขมันเริ่มหลุดไปก็มักทำให้ผิวชั้นนอกของทารกแห้งและลอก แต่เพียงแค่ 1-2 สัปดาห์เท่านั้นผิวหนังเก่าก็จะค่อยๆ หลุดหายไป และกลายเป็นผิวหนังที่แสนสดใสอมชมพูขึ้นมาแทน ในช่วงนี้คุณแม่อย่าแกะ เกา ขัดผิวของลูกเป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้ผิวลูกถลอก เป็นแผล และติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นด้วย ทารกแรกเกิดหลายคนก็มักมีปานต่างๆ แต้มตามผิวมาด้วย

  • ปานดำแต่กำเนิด (Congenital Melanocytic Nevus) ทารกแรกเกิดอาจเห็นเป็นสีค่อนข้างแดง ต่อมาภายในเวลาไม่กี่เดือนจะมีสีน้ำตาลดำเข้มขึ้น ปานดำส่วนใหญ่จะมีขนาดโตกว่าไฝธรรมดา ผิวอาจเรียบนูน หรือขรุขระเล็กน้อย และอาจมีขนปนอยู่ด้วย ปานชนิดนี้มักไม่มีอันตราย นอกจากความสวยงาม แต่ถ้ามีขนาดใหญ่อาจมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งได้
  • ปานมองโกเลียน (Mongolian spot) จะมีลักษณะเป็นปื้นสีเทาหรือสีน้ำเงินอ่อนขนาดใหญ่ ขนาดตั้งแต่ 0.5 – 11 ซม. มักจะพบบริเวณก้น หลัง อาจพบที่ไหล่หรือศีรษะได้บ้าง ปานชนิดนี้ไม่มีอันตรายใดๆ และมักจะจางหายไปได้เองใน 1 ขวบปีแรก
  • ปานแดงสตรอเบอรี่ (Strawberry Nevus) มักพบบริเวณใบหน้าและลำคอ ลักษณะเป็นตุ่มหรือก้อนนูนสีแดงเข้ม พบในช่วง 1-4 สัปดาห์หลังคลอด ระยะแรกจะขยายเร็วจนถึงอายุประมาณ 1 ขวบ จากนั้นสีจะม่วงคล้ำขึ้น โดย 85% จะหายไปได้เองภายในอายุประมาณ 7 ขวบ
  • ปานแดงจากผนังเส้นเลือดผิดปกติ (Capillary Hemangioma) ลักษณะเป็นตุ่มนูนหรือปื้นสีแดงขนาดใหญ่ที่บริเวณใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย ซึ่งอาจพบความผิดปกติของตาร่วมด้วย เช่น ถ้าพบปานชนิดนี้บริเวณเปลือกตาหรือขมับ อาจมีขนาดใหญ่ขึ้นเบียดตาหรือเกิดต้อหินทำให้ตาบอดได้ การรักษาปานชนิดนี้มักใช้แสงเลเซอร์ (Vascular laser) ซึ่งผลของการรักษาขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของปานแดง
  • ปานโอตะ (Nevus of Ota)อาจพบในทารกแรกเกิด หรือบางรายพบในตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลักษณะจะคล้ายปานมองโกเลียนที่มีสีเทาหรือน้ำเงิน แต่มักพบบริเวณโหนกแก้ม หรือขมับ ปานลักษณะนี้จะไม่จางหายไปเหมือนปานมองโกเลียน และจะไม่กลายเป็นมะเร็ง จึงไม่มีอันตรายใดๆ นอกจากไม่สวยงามเท่านั้น เมื่อเด็กโตขึ้นสามารถใช้เลเซอร์รักษาได้

รูปร่างทารกแรกเกิด

โดยเฉลี่ยแล้วเด็กผู้ชายจะมีน้ำหนักประมาณ 3.3 กก. สูง 50.5 ซม. ส่วนเด็กผู้หญิงจะมีน้ำหนักประมาณ 3.2 กก. สูง 49.9 ซม.

ร่างกายของทารกในช่วงแรกคลอดนี้จะดูแล้วไม่น่ารัก เพราะว่าศีรษะจะโตมากกว่าลำตัว อีกทั้งมีใบหน้าอูม คอสั้น แขนขาก็สั้นไม่เข้าที่ เมื่อจับศีรษะก็จะพบว่าค่อนข้างนุ่ม เนื่องจากกระโหลกยังประสานไม่สนิทเท่าไรนัก โดยเฉพาะกระหม่อมหน้า ส่วนมือเท้าจะค่อนข้างเย็นเพราะระบบหมุนเวียนเลือดยังทำงานไม่ประสานกันเท่าไหร่

  • ส่วนอวัยวะเพศชาย จะมีไข่อยู่ในถุงอัณฑะเรียบร้อยแล้ว แต่ทารกบางคนก็มีไข่เพียงข้างเดียว ซึ่งอีกข้างจะตามมาในภายหลังในเวลาไม่นานนัก ปลายองคชาติ จะปิดแต่สามารถปัสสาวะได้และจะเปิดภายหลังเช่นกัน
  • ส่วนอวัยวะเพศหญิง จะมีสีคล้ำเล็กน้อย ส่วนอวัยวะเพศเด็กหญิงบางคนมีมูกคล้ายตกขาวหรือเลือดออกมาจากช่องคลอด เพราะเกิดจากฮอร์โมนของแม่ที่ผ่านมาทางสายรก และจะหายไปในเวลา 1-2 สัปดาห์

การมองเห็นของทารกแรกเกิด

การมองเห็นเป็นพัฒนาการที่ทารกเพิ่งได้เรียนรู้เมื่อออกมาจากครรภ์มารดา ดังนั้นคุณแม่จะเห็นว่าลูกจะหน้านิ่วคิ้วขมวดและเพ่งไปยังจุดที่เขาสนใจในระยะประมาณ 8-12 นิ้ว ทั้งนี้ ทารกจะสามรถมองเห็นได้อย่างเลือนลางและมองในลักษณะเลื่อนลอยบ้างในบางครั้ง ที่สำคัญดวงตาของทารกจะมีความไวต่อแสงมาก ดังนั้นอย่าพาลูกเดินไปในห้องที่มีแสงจ้า หรือออกกลางแดดแบบฉับพลัน เพราะเขาจะหลับตาปี่ เพื่อปกป้องดวงตาของตัวเองทันที

ทารกจะชอบมองสิ่งที่เป็นเหลี่ยมมุมมากกว่าสิ่งของที่เป็นทรงกลม และชอบลวดลายที่มีสีสันตัดกันมากกว่าสีพื้นเรียบๆ อีกสิ่งหนึ่งที่ทารกชอบมอง คือ ใบหน้าของคน เพราะมีลักษณะสีหน้าที่แสดงอารมณ์ และมีจุดโฟกัสที่ดวงตา ลูกจะเรียนรู้ได้ว่าเขาควรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร อย่างเช่น คุณแม่ยิ้มให้ ลูกก็จะเรียนรู้ที่จะยิ้มตาม

การได้ยินของทารกแรกเกิด

ทารกจะมีพัฒนาการด้านการได้ยินขึ้นทันทีตั้งแต่ออกจากท้องแม่ โดยทารกจะมีปฏิกิริยาเมื่อมีเสียงแปลกๆ เข้ามากระทบ อย่างเช่น สะดุ้งตกใจ กะพริบตาถี่ๆ หรือกลับกันถ้าเป็นเสียงเห่กล่อม ลูกจะนอนง่ายขึ้น ร้องไห้โยเยน้อยลง อย่างไรก็ตามทารกชอบได้ยินเสียงที่ทอดยาวประมาณ 10 วินาที และไม่ชอบเสียงสั้นๆ แบบหยุดๆ หายๆ ราว 1 – 2 วินาที และชอบเสียงสูงมากกว่าเสียงต่ำ อีกทั้งสามารถแยกแยะเสียงของคุณแม่จากเสียงอื่นๆ ได้แล้วด้วย

การสัมผัสของทารกแรกเกิด

ทารกแรกเกิดมีความไวต่อประสาทสัมผัสทางกาย โดยเฉพาะอ้อมกอดและการสัมผัสของแม่ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ทารกรับรู้ประสาทสัมผัสต่างๆ มากขึ้น นอกจากนั้นทารกยังรับรู้ได้อีกว่าคุณแม่กำลังอยู่ในอารมณ์ใด แต่หากทารกน้อยยังต้องอยู่ในตู้อบ ทางการแพทย์ก็แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ลูบเนื้อตัวลูกผ่านถุงมือ เพราะว่าลูกจะรู้สึกถึงการสัมผัสได้เช่นกัน

การได้กลิ่นของทารกแรกเกิด

 ประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นเป็นพัฒนาการสำคัญ ที่จะช่วยให้ทารกน้อยปรับตัวกับโลกภายนอก หลังจากอุดอู้ในครรภ์คุณแม่มานาน ทารกแรกเกิดจะสามารถแยกความแตกต่างของกลิ่นสองกลิ่นได้ และสามารถแสดงออกว่าไม่ชอบกลิ่นเหม็นๆ ได้เช่นกัน ซึ่งหากไม่ชอบก็จะหันหัวหนี สะดุ้ง และดิ้นรนจนร้องไห้ออกมาในที่สุด ส่วนกลิ่นที่ชอบที่สุดจะเป็นกลิ่นของแม่ เพราะรู้สึกปลอดภัยและรับรู้ถึงความอบอุ่น ดังนั้นเมื่อลูกร้องไห้โยเยและคุณแม่เข้ามาอุ้ม ลูกก็จะรู้สึกอุ่นใจและสงบลงได้

ทารกแรกเกิดขาโก่ง

คุณพ่อคุณแม่บางคนกังวลว่าทารกแรกเกิดที่คลอดออกมาแล้วขาโก่งจะผิดปกติหรือไม่ จริงๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมชาติที่ขาของลูกน้อยจะโก่งเล็กน้อยโดย เฉพาะขาด้านล่าง แต่ไม่ต้องกังวลเพราะขาของลูกจะค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นเรื่อยๆ สามารถยืดยาวตรงได้ในภายหลัง

การกินของทารกแรกเกิด

 นมแม่เป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทารกแรกเกิด ซึ่งนมแม่หลังคลอดจะมีลักษณะเป็นน้ำนมเหลืองที่เรียกว่า โคลอสตรัม (Colostrum) ที่ถือเป็นหัวอาหารชั้นยอดของทารก ซึ่งน้ำนมเหลืองจะให้ทั้งพลังงาน โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ พร้อมทั้งภูมิคุ้มกันธรรมชาติแก่ทารกด้วย ที่สำคัญคุณแม่ควรให้ลูกดูดนมข้างละประมาณ 15 นาที เพื่อกระตุ้นน้ำนมด้วย

ช่วงแรกลูกจะร้องกินนมไม่ค่อยเป็นเวลา เป็นหน้าที่ของคุณแม่ที่จะต้องค่อยๆ จัดตารางเวลาให้ลูกกินนมในช่วงกลางวัน เพราะนอกจากจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้พักผ่อน ลูกก็จะมีระบบการย่อยที่ดีและท้องไม่อืด

การขับถ่ายของทารกแรกเกิด

 หากลูกกินนมแม่จะถ่ายอุจจาระบ่อย บางคนถ่ายทุกครั้งหลังดูดนม ซึ่งในทารกแรกเกิดจะมีอุจจาระที่ดำๆ เขียวๆ ที่เรียกว่า “ขี้เทา” มีลักษณะนุ่มเหนียว ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ของทารกจากเมื่อตอนที่ยังอยู่ในท้แงแม่ และจะถูกขับออกมาตามกระบวนการขับถ่าย และต่อไปอุจจาระของลูกก็จะกลายเป็นสีเหลืองเอง ทั้งนี้ หากสังเกตว่าลูกยังไม่อุจจาระภายใน 24 ชั่วโมงแล้ว ให้รีบปรึกษาแพทย์เพราะลูกอาจจะเกิดลำไส้อุดตันได้

พัฒนาการทารกแรกเกิด, พัฒนาการ ทารก 7 วัน, พัฒนาการทารก 1 สัปดาห์, พัฒนาการ ทารก แรก เกิด 1 เดือน, พัฒนาการ ทารก 2 สัปดาห์, พัฒนาการ ทารก 10 วัน, พัฒนาการ ทารก 15 วัน, พัฒนาการเด็กแรกคลอด, เช็กพัฒนาการทารกแรกเกิด, พัฒนาการ เด็กแรกเกิด เป็นอย่างไร, ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์, ทารกแรกเกิดมองเห็นรึยัง, ทารกแรกเกิด ได้ยินเสียงรึยัง, เช็กสุขภาพ ทารกแรกเกิด

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี และวิธีเสริมพัฒนาการตามวัยที่พ่อแม่ต้องรู้

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี ในแต่ละเดือน ลูกน้อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง พร้อมวิธีส่งเสริมพัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงวัย ที่พ่อแม่ควรรู้

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี และวิธีเสริมพัฒนาการตามวัยที่พ่อแม่ต้องรู้

เมื่อลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลก สิ่งที่พ่อแม่อย่างเรา ๆ  อยากรู้คงไม่พ้น แต่ละเดือนลูกมีพัฒนาการอย่างไร ลูกเราพัฒนาการช้ากว่าลูกบ้านอื่นไหม อยากให้ลูกมีพัฒนาการเด็กที่ดี ควรดูแลส่งเสริมพัฒนาการกันอย่างไร วันนี้เรานำข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทารกช่วงแรกเกิดจนถึง 1 ปี มาฝากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

 


พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์

พัฒนาด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์ ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 2.7 - 3.3 กก. ส่วนสูงประมาณ 46 - 50.5 ซม.
  • บริเวณไขมันบนผิวของลูกเริ่มหลุด
  • ลูกจะตอบสนองต่อสิ่งเร้าอัตโนมัติ และสามารถขยับแขน ขยับขาได้

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กอายุ 1 สัปดาห์

  • ควรให้ลูกกินแต่นมแม่เท่านั้น เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อลูกครบถ้วน
  • ลูกควรได้รับวัคซีน BCG และ ไวรัสตับอักเสบ บี (ครั้งที่ 1)
  • ควรปรับอุณหภูมิบ้านให้เหมาะสมกับทารก ถ้าอากาศเย็นให้ห่อตัว ถ้าอากาศร้อนให้ใส่เสื้อผ้าบาง ๆ

ของใช้เด็กสำหรับเด็กวัย 1 สัปดาห์

  • ผ้าห่อตัว ผ้าอ้อม สำลีเช็ดก้น ถุงเท้า ถุงมือของเด็กอ่อน เป็นต้น

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

 

พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือนลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 3 - 5กก. ส่วนสูงประมาณ 49 - 57 ซม.
  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 15 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 3 - 4 ครั้ง
  • ลูกสามารถพลิกตัวให้เข้ากับการอุ้มของพ่อแม่

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็ก 1 เดือน

  • ให้ทารก 1 เดือนกินนมแม่วันละ 10 – 12 ครั้ง/วัน ทุก 2 -3 ชม.
  • ทารก 1 เดือนควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบ บี (ครั้งที่ 2)
  • ไม่ควรพาออกนอกบ้านไปตากอากาศ เพราะยังไม่มีภูมิคุ้มกันเหมือนผู้ใหญ่

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 1 เดือน

  • กรรไกรตัดเล็บ เพราะเด็กแรกเกิดเล็บยาวเร็วมาก


พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน


พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 4 - 6 กก. ส่วนสูงประมาณ 51 - 60 ซม.

  • ลูกจะฉี่วันละ 10 – 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 ครั้งหลังมื้อนม

  • ลูกชอบเอามือเข้าปาก ชอบมองไปรอบ ๆ และคว้าจับสิ่งของ แต่จับไม่ได้นาน

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็ก 3 เดือน

  • ให้กินนมแม่อย่างเดียว วันละ 8 - 10 ครั้ง ทุก 2 - 3 ชม.

  • ลูกควรได้รับวัคซีน DPT1-HB คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (ครั้งที่ 1), OPV1 วัคซีนโปลิโอ (ครั้งที่ 1) และ Hib 1 วัคซีนเสริม

  • ไม่ควรพาออกนอกบ้านเพราะเสี่ยงเชื้อโรค

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 3 เดือน

  • โมบายล์สีสวย ช่วยกระตุ้นการมองเห็น

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน


พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 4.2 - 6.5 กก. ส่วนสูงประมาณ 43 - 63 ซม.

  • ลูกจะฉี่วันละ 10 – 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 3 ครั้ง

  • ลูกนอนคว่ำได้แล้ว สามารถตอบโต้เสียงพ่อแม่ได้ รวมถึงแยกเสียงพูดกับเสียงอื่น ๆ ได้ด้วย

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 3 เดือน

  • ให้กินนมแม่อย่างเดียว วันละ 7 – 8 ครั้ง ทุก ๆ 3 – 4 ชม.

  • เพราะทารก 3 เดือนเริ่มคว้าจับ ต้องระวังเรื่องอมของเล่นเป็นพิเศษ

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 3 เดือน

  • ของเล่นสีสันสดใส ช่วยกระตุ้นพัฒนาการ


พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

 

ช่วง 3 เดือนแรก เป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เริ่มปรับตัวและรับมือกับลูกน้อยกันได้บ้างแล้ว จะเห็นได้ว่าพัฒนาการเด็กในแต่ละเดือน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบัน จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามช่วงวัย คุณแม่สามารถเข้าไปบันทึกพัฒนาการและติดตามการเติบโตของลูกน้อยได้ที่ “ฟีเจอร์บันทึกของฉัน” ได้ด้วยนะ

นอกจากนี้คุณแม่คนไหนที่กำลังดูแลลูกน้อยอยู่ที่บ้าน และต้องการอ่านข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงเจ้าตัวเล็ก สามารถเข้าไปอ่านบทความเกี่ยวกับลูกน้อย ได้ที่แอปพลิเคชัน ALive Powered by AIA แอปผู้ช่วยส่วนตัว สำหรับคุณแม่มือใหม่ ที่มี “ฟีเจอร์บทความน่ารู้” จากแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ” ที่หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ ให้แม่ ๆ ทุกคนได้เข้าไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กในช่วงวัยอื่น ๆ หรือวิธีดูแลลูกน้อย เพื่อเป็นแนวทางในการเลี้ยงเจ้าตัวเล็กได้เช่นกัน


พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 4.5 - 7 กก. ส่วนสูงประมาณ 55 - 66 ซม.

  • ลูกจะฉี่วันละ 8 – 10 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 3 ครั้ง

  • ลูกเริ่มจำหน้าคนในครอบครัวได้ อยากจะนอนคว่ำ และอยากพูด

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 4 เดือน

  • ให้กินนมแม่อย่างเดียว วันละ 6 – 8 ครั้ง ทุกๆ 3 – 4 ชม.
  • ลูกควรได้รับวัคซีน DPT2-HB คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (ครั้งที่ 2), OPV2 วัคซีนโปลิโอ (ครั้งที่ 2) และ Hib 2 วัคซีนเสริม
  • ระวังที่นอน หมอน ตุ๊กตานุ่ม ๆ ทำให้ลูกหายใจไม่ออก

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 4 เดือน

  • แปรงซิลิโคนนวดปากลูก

 

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน


พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 5 - 8.5 กก. ส่วนสูงประมาณ 58 - 68 ซม.
  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 5 ครั้ง
  • ลูกจะชอบเล่นเขย่าของ พลิกคว่ำพลิกหงายได้แล้ว

การดูแลพัฒนาการตามวัยเเด็กวัย 5 เดือน

  • ให้กินนมแม่อย่างเดียว วันละ 6 - 8 ครั้ง ทุกๆ 3 -4 ชม.

  • ระวังของเล่นที่เป็นเหลี่ยม มีคม

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็ก 5 เดือน

  • เบาะรองคลาน และของเล่นมีเสียง


พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน


พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 5.5 - 9 กก. ส่วนสูงประมาณ 59 - 71 ซม.
  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 5 ครั้ง
  • ลูกจะพลิกคว่ำคล่องขึ้น รู้ชื่อตัวเอง และนั่งได้นาน

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 6 เดือน

  • ให้อาหารเสริมปั่นละเอียด 1 มื้อ วันละช้อน เช่น ซุปฟักทอง ผลไม้บดรวม เป็นต้น และให้นม 5 – 6 ครั้งต่อวัน

  • ลูกควรได้รับวัคซีน HBV3 ไวรัสตับอักเสบ บี (ครั้งที่ 3), DPT3 คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก (ครั้งที่ 3), OPV3 วัคซีนโปลิโอ (ครั้งที่ 3) และ Hib 3 วัคซีนเสริม

  • ระวังเรื่องการแพ้อาหาร ต้องสังเกตลูกให้ดี

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 6 เดือน

  • อุปกรณ์เริ่มอาหาร ผ้ากันเปื้อน

 

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 6 - 10 กก. ส่วนสูงประมาณ 61 - 73 ซม.

  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 5 ครั้ง

  • ลูกเริ่มคลานได้แล้ว ชอบของเล่นสุด ๆ และพยายามเลียนแบบเสียงพ่อแม่

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 7 เดือน

  • ให้อาหารเสริมปั่นละเอียด 1 มื้อ วันละช้อน เช่น ข้าวต้มตำลึง ซุปบรอกโคลี และให้นม 5 – 6 ครั้งต่อวัน

  • ให้กินผลไม้สุกได้ แต่ต้องระวังเมล็ดติดขอ

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 7 เดือน

  • ฟันเริ่มงอกแล้ว เตรียมแปรงฟันเด็กไว้เลย



พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน


พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็ก 8 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 6.5 - 10.5 กก. ส่วนสูงประมาณ 63 - 75 ซม.
  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 5 ครั้ง
  • ลูกเริ่มอยากยืน ชอบพูดแต่ไม่เป็นคำ

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 8 เดือน

  • ให้อาหารเสริมปั่นหยาบ 2 มื้อ เช่น ซุปปลา ซุปมันฝรั่ง และให้นม 5 – 6 ครั้งต่อวัน

  • ระวังอาหารติดคอลูก

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 8 เดือน

  • ของเล่นกระตุ้นสัมผัส นิทานผ้า หนังสือลอยน้ำ



พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน


พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 7 - 11 กก. ส่วนสูงประมาณ 64 - 76 ซม.
  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 5 ครั้ง
  • ลูกจะชอบเดินเกาะไปเรื่อย ๆ ช่วงตั้งไข่ล้ม ต้มไข่กิน

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 9 เดือน

  • ให้อาหารเสริมปั่นหยาบ 2 มื้อ เช่น ไข่ตุ๋น และให้นม 5 – 6 ครั้งต่อวัน

  • ระวังลูกเอานิ้วแหย่ปลั๊ก และรูต่าง ๆ

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 9 เดือน

  • ของเล่นตัวต่อ บล็อก แป้งโดว์

พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน


พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 7 - 11 กก. ส่วนสูงประมาณ 65 - 78 ซม.
  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 5 ครั้ง
  • ลูกสามารถนั่งเองได้จากท่ายืน รู้จักคำประกอบท่าทาง

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 10 เดือน

  • ให้อาหารเสริมปั่นหยาบ 2 มื้อ เช่น ต้มจืดตำลึง และให้นม 5 – 6 ครั้งต่อวัน

  • ระวังลูกปีนป่าย โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 10 เดือน

  • แฟลชการ์ดฝึกภาษา


พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 8 – 11.5 กก. ส่วนสูงประมาณ 65 - 79 ซม.
  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 5 ครั้ง
  • ลูกเริ่มพูดเป็นคำแต่ไม่ชัด ชอบทดสอบว่าแม่จะห้ามทำอะไรไหม

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 11 เดือน

  • ให้อาหารเสริมปั่นหยาบ 3 มื้อ เช่น ข้าวผัดผักรวม ไข่น้ำ และให้นม 4 – 6 ครั้งต่อวัน

  • ระวังของเล่น และของใช้มีคม

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 11 เดือน

  • ที่กันกระแทกขอบโต๊ะ ประตู


พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

พัฒนาการด้านร่างกาย และการเรียนรู้

  • พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 8.2 – 11.5 กก. ส่วนสูงประมาณ 67 - 81 ซม.
  • ลูกจะฉี่วันละ 10 - 12 ครั้ง และขับถ่ายวันละ 2 – 5 ครั้ง
  • ยืน นั่งเองได้ ความจำดี พูดได้มากขึ้น

การดูแลพัฒนาการตามวัยเด็กวัย 12 เดือน

  • ให้อาหารเสริมปั่นหยาบ 3 มื้อ เช่น ข้าวอบไก่ผักรวม ไก่ตุ๋นมะเขือเทศ และให้นม 4 – 6 ครั้งต่อวัน

  • ลูกควรได้รับวัคซีน JE1 JE2 ไข้สมองอักเสบ (ครั้งที่ 1 และ 2 ห่างกัน 4 สัปดาห์)

  • ลูกจะพยายามฝึกเดินทั้งวัน ระวังวิ่งแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย

ของใช้จำเป็นสำหรับเด็กวัย 12 เดือน

  • เป้สายจูง



พัฒนาการเด็กแรกเกิด - 1 ปี, ทารก 1 เดือน, ทารกแรกเกิด, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารก, พัฒนาการทารก 3 เดือน, พัฒนาการทารก 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, วัยทารก, เด็กแรกเกิด, พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี, พัฒนาการเด็กทารก, พัฒนาการเด็กวัย 1 สัปดาห์, พัฒนาการเด็กวัย 1 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 3 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 4 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 5 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 7 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 8 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 9 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 10 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 11 เดือน, พัฒนาการเด็กวัย 12 เดือน

จะเห็นได้ว่า พัฒนาการแต่ละเดือนของลูกน้อยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คุณพ่อแม่ควรเฝ้าดูการเติบโตของลูกอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้รู้ว่าลูกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในแต่ละเดือน ทั้งนี้พัฒนาการของเด็กแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน พ่อแม่ควรสร้างพัฒนาการที่เหมาะสมตามช่วงวัยให้กับลูก เพื่อพัฒนาการที่ดี ให้ลูกเติบโตได้อย่างสมวัย

นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ที่อยากได้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการดูแลลูกน้อย สามารถเข้าไปอ่านบทความเกี่ยวกับ พัฒนาการของลูกน้อยในช่วงวัยอื่น ๆ ได้ที่ “ฟีเจอร์บทความให้ความรู้ จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งแพทย์พยาบาลเฉพาะทาง” ภายในแอป ALive Powered by AIA ได้อีกด้วยนะ รับรองว่าได้ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการเด็กและเทคนิคอื่น ๆ ในการเลี้ยงลูกตามช่วงวัยต่าง ๆ อีกเพียบ!

ALive Powered by AIA แอปพลิเคชันสำหรับคุณแม่มือใหม่ ที่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญในการเตรียมตั้งครรภ์ วิธีดูแลลูก การเจริญเติบโต ไปจนถึงสุขภาพของคนในครอบครัวได้แบบง่าย ๆ

อีกทั้งยังเป็นคอมมูนิตี้สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ให้เข้ามาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การเลี้ยงลูกกันได้ พร้อมกับ Feature ภายในแอปที่น่าสนใจและมีประโยชน์อีกมากมาย เหมาะสำหรับคนที่แพลนจะมีลูก คุณแม่ตั้งครรภ์ แม่ใกล้คลอด และคุณแม่ที่ลูกอยู่ในวัยกำลังโต ไม่โหลดไม่ได้แล้ว!

นอกจากนี้ ทางแอปพลิเคชัน ALive Powered by AIA ยังมีสิทธิพิเศษที่คอยมอบให้กับผู้ใช้งานอยู่เรื่อย ๆ อีกด้วยนะ ที่เคยแจกมาก็มีทั้ง Shopee voucher และแผนประกันคุ้มครองการเสียชีวิตกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เมื่อดาวน์โหลดและลงทะเบียนเริ่มต้นใช้งาน

*เงื่อนไขในการรับสิทธิพิเศษหรือรับบริการเป็นไปตามที่บริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด กำหนด

ดาวน์โหลดแอป ALive Powered by AIA ได้ที่ >> App Store & Google Play Store

 

รับมืออาการแพ้วัคซีน อาการข้างเคียงหลังพาลูกทารกไปฉีดวัคซีน

 
หลังพาลูกทารกไปฉีดวัคซีนอาจมีผลข้างเคียง และอาการแพ้วัคซีนที่เกิดขึ้น ผลข้างเคียงของวัคซีนทารกมีอะไรบ้าง และพ่อแม่ต้องดูแลลูกทารหลังฉีดวัคซีนอย่างไร เรามีคำแนะนำค่ะ

รับมืออาการแพ้วัคซีน อาการข้างเคียงหลังพาลูกทารกไปฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนพื้นฐานหรือวัคซีนทางเลือก ซึ่งเป็นเกราะป้องกันต่อสู้กับเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย สร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูก แต่การฉีดวัคซีนนั้น อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับลูกบ้าง หากรู้จุดสังเกตอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น คุณแม่ก็จะรับมือกับอาการเหล่านั้นได้ดีขึ้นค่ะ

สาเหตุของผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเด็กทารก

เด็กที่มีอาการข้างเคียงเมื่อได้รับวัคซีน อาจไม่ได้มีอาการจากตัววัคซีนโดยตรง เนื่องจากในวัคซีนป้องกันโรค นอกจากจะประกอบด้วยสารที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรคแล้ว ยังมีสารอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของวัคซีนด้วย เช่น

  • อลูมินัมพบในวัคซีนป้องกันเยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิบ, ไวรัสตับอักเสบเอและบี
  • ยีสต์พบในวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  • ไข่พบในวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
  • เจลาตินพบในวัคซีนป้องกันสุกใส, หัด หัดเยอรมันและคางทูม
  • ยาปฏิชีวนะนีโอมัยซินพบในวัคซีนป้องกันสุกใส, หัด หัดเยอรมันและคางทูม

ดังนั้นถ้าเด็กที่มีอาการข้างเคียงจากสารที่เป็นส่วนประกอบในวัคซีน ก็จะมีอาการข้างเคียงเมื่อได้รับวัคซีนได้ค่ะ

อาการและวิธีรับมือผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

อาการข้างเคียงของวัคซีนแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันไป วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อตาย เช่น วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ไอกรนและบาดทะยัก อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ภายในวันที่ฉีดวัคซีน และมักมีอาการไม่เกิน 2-3 วัน ส่วนวัคซีนที่ผลิตจากเชื้อเป็น เช่น วัคซีนป้องกันโรคสุกใสหรือหัด หัดเยอรมันและคางทูม อาจมีอาการข้างเคียง เช่น ไข้และผื่น ภายหลังฉีด 5-7 วัน นอกจากนี้วัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมันและคางทูม ยังอาจทำให้มีอาการปวดข้อภายหลังฉีด 2-4 สัปดาห์ แต่มักพบในผู้ใหญ่

อาการข้างเคียงของวัคซีนทารกแบ่งเป็น

  1. อาการข้างเคียงเฉพาะที่ เช่น ปวดบวมแดงบริเวณรอยฉีดยา
    วิธีดูแล: หากลูกมีอาการปวดบวมแดงบริเวณรอยฉีดยา อาจให้กินยาพาราเซตามอนแก้ปวดและใช้ผ้าเย็นประคบเบา ๆ ไม่ต้องนวดคลึงและไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ

  2. อาการข้างเคียงทั่วไปที่ไม่รุนแรงเช่น ไข้ ร้องกวน กินอาหารน้อยลง คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ มีผื่น ปวดข้อ
    วิธีดูแล : หากมีไข้ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลดไข้ อาจให้กินยาพาราเซตามอนแก้ไข้และให้เด็กดื่มน้ำบ่อย ๆ แต่ถ้าคลื่นไส้อาเจียนก็ไม่จำเป็นต้องให้กินยาแก้อาเจียน เพียงให้เด็กค่อย ๆ ดื่มน้ำและกินอาหารอ่อนครั้งละน้อย ๆ ส่วนใหญ่อาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรงอย่าง มีไข้ ปวดบวมแดงบริเวณรอยฉีดยา ร้องกวน มักหายภายใน 2-3 วัน

  3. อาการข้างเคียงทั่วไปที่ค่อนข้างรุนแรง พบได้น้อยมาก อาการเหล่านั้นได้แก่ มีผื่นลมพิษ, หน้า ปาก มือและเท้าบวม, หายใจหอบ, ความดันโลหิตต่ำและช็อก อาจเกิดขึ้นได้ภายหลังฉีดวัคซีนไม่กี่นาทีจนถึง 2-3 วัน
    วิธีดูแล : ต้องนำเด็กไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วนและควรได้รับการรักษาในโรงพยาบาล

วัคซีนเด็กทารกตัวไหนต้องระวัง

ทั้งวัคซีนพื้นฐานและวัคซีนทางเลือก ต่างก็ทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ทั้งนั้น ในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรง ยังสามารถให้วัคซีนนั้น ๆ ซ้ำได้ แต่ถ้าลูกมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงมาก ไม่ควรให้วัคซีนนั้น ๆ อีก หากลูกที่มีไข้สูง หรือชักหลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดสเต็มเซลล์ ควรให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไม่มีเซลล์ซึ่งมีราคาสูงกว่า

โดยทั่วไปคุณแม่ไม่จำเป็นต้องให้ยาลดไข้กับลูกก่อนฉีดวัคซีน แต่ถ้าลูกเคยชักมาก่อน อาจให้ยาลดไข้ก่อนให้วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรนและบาดทะยัก ประมาณ 30 นาที รวมทั้งหลังได้วัคซีนแล้ว ก็อาจให้ยาลดไข้ต่อทุก 4-6 ชั่วโมง เป็นเวลา 24 ชั่วโมงค่ะ

ถึงแม้การฉีดวัคซีนในเด็กอาจทำให้มีอาการข้างเคียงบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรง ลูกของคุณแม่ยังคงได้รับประโยชน์จากการรับวัคซีนมากกว่า ดีกว่าปล่อยให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้นะคะ

ที่มา : รศ.พญ. วรนุช จงศรีสวัสดิ์
 

ลืมพาลูกไปฉีดวัคซีน พาไปฉีดวัคซีนช้าเป็นอันตรายไหม แม่ต้องทำอย่างไร

ลูกรับวัคซีนช้าจะเป็นอย่างไร, ลูกไม่ฉีดวัคซีนตามนัด เป็นไรไหม, เลื่อนฉีด วัคซีนเด็กได้ไหม, เลื่อนฉีดวัคซีนเด็ก อันตรายไหน, ลืมพาลูกไปฉีดวัคซีน ต้องทำยังไง, ฉีดวัคซีนเด็กช้า เป็นอะไรไหม, ฉีดวัคซีนเด็กช้า อันตรายไหม, ฉีดวัคซีนช้า ภูมิคุ้มกันจะดีไหม, ฉีดวัคซีนช้า ต้องทำยังไง, ลูกไม่ฉีดวัคซีน จะเป็นไรไหม, ลูกฉีดวัคซีน ไม่ตรงตามนัดได้ไหม

ช่วงโควิด19 ระบาด พ่อแม่หลายคนไม่พาลูกเล็กออกจากบ้าน แต่เมื่อถึงวันนัดฉีดวัคซีนจะต้องทำอย่างไร เลื่อนฉีดวัคซีนได้ไหม เรามีคำแนะนำค่ะ  

ลืมพาลูกไปฉีดวัคซีน พาไปฉีดวัคซีนช้าเป็นอันตรายไหม แม่ต้องทำอย่างไร

การฉีดวัคซีน คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย เพื่อป้องกันการติดต่อของโรคติดต่อร้ายแรง แต่ช่วงนี้ก็มีโรคระบาดโควิด19 ด้วย คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กจึงเป็นกังวลที่จะพาลูกออกจากบ้านไปโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคและเชื้อไวรัสต่าง ๆ จึงอยากเลื่อนการฉีดวัคซีนลูกไปก่อน แต่ก็สงสัยว่าจะเป็นอะไรหรือไม่ อันตรายกับลูกไหม เราจะพามาไขข้อสงสัยกันค่ะ

ทำไมเด็ก ๆ จึงต้องฉีดวัคซีน

การฉีดวัคซีนก็เพื่อป้องกันเด็กจากโรคร้าย อย่างน้อย 7 โรค เช่น วัณโรค ตับอักเสบบี คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ หัด และโรคไข้สมองอักเสบเจอี การได้รับวัคซีนมีส่วนช่วยให้เด็กมีภูมิต้านทานต่อหวัดหรือปอดอักเสบอีกด้วย ทั้งนี้เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน มักจะป่วยพิการและตายได้ง่ายกว่าเด็กที่ได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วน

การลืมพาลูกวัย 6 เดือน ไปฉีดวัคซีนซ้ำ จะมีปัญหาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันของลูกหรือไม่?

การวัคซีนพื้นฐานของลูกวัย 6 เดือน คือเข็มกระตุ้นป้องกันโรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ และไวรัสตับอักเสบบี หรือบางคนอาจเลือกรับวัคซีนชนิดรวม 6 โรคโดยเพิ่มอีก 1 โรคในเข็มเดียวกัน คือป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อฮิบ นอกจากนี้ยังมีวัคซีนทางเลือกอีก 2 ชนิดคือ โรต้าไวรัส และไอพีดี หากลืมพาลูกไปฉีดซ้ำ ก็ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ให้นับครั้งต่อไปได้เลย โดยให้พาลูกไปทันที่ที่สะดวก
 
ลูกรับวัคซีนช้าจะเป็นอย่างไร, ลูกไม่ฉีดวัคซีนตามนัด เป็นไรไหม, เลื่อนฉีด วัคซีนเด็กได้ไหม, เลื่อนฉีดวัคซีนเด็ก อันตรายไหน, ลืมพาลูกไปฉีดวัคซีน ต้องทำยังไง, ฉีดวัคซีนเด็กช้า เป็นอะไรไหม, ฉีดวัคซีนเด็กช้า อันตรายไหม, ฉีดวัคซีนช้า ภูมิคุ้มกันจะดีไหม, ฉีดวัคซีนช้า ต้องทำยังไง, ลูกไม่ฉีดวัคซีน จะเป็นไรไหม, ลูกฉีดวัคซีน ไม่ตรงตามนัดได้ไหม

การลืมพาลูกไปฉีดวัคซีน จะทำให้ลูกภูมิคุ้มกันขึ้นไม่ดีหรือไม่

ภูมิคุ้มกันยังขึ้นดีเหมือนเดิม แต่ต้องฉีดให้ครบตามจำนวนที่กำหนดในทันที   แม่ลืมแล้วพาลูกไปฉีดวัคซีนช้า จะมีอันตรายหรือไม่

มีแค่วัคซีนโรต้า ที่ไม่ควรจะนานจนลูกมีอายุเกิน 32 สัปดาห์ หรือประมาณ 8 เดือน เพราะเนื่องจากวัคซีนตัวนี้ยังไม่มีข้อมูลการรับรองความปลอดภัยหรือประสิทธิภาพของวัคซีนในเด็กที่อายุเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ต้องรอผลการศึกษาวิจัยต่อไป ส่วนวัคซีนตัวอื่น ๆ ไม่มีปัญหาการเลื่อนฉีดวัคซีน

หมายเหตุ : กระทรวงสาธารณะสุข ระบุการเลื่อนฉีดวัคซีนไว้ดังนี้...

  1. วัคซีนทุกชนิดถ้าไม่สามารถเริ่มให้ตามกำหนดได้ ก็เริ่มให้ทันทีที่สะดวก
  2. สำหรับวัคซีนที่ต้องให้มากกว่า 1 ครั้ง หากเด็กมารับวัคซีนครั้งต่อไปล่าช้า สามารถให้วัคซีนครั้งต่อไปได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่
  3. กรณีการให้วัคซีนแก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบถ้วนหรือล่าช้า เด็กจะได้รับวัคซีนตามกำหนดครบภายในระยะเวลา 1 ปี จากนั้นต้องให้วัคซีนต่อเนื่องตามที่หนดในกำหนดการให้วัคซีนปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก : แพทย์หญิงสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ



ลูกทารกขึ้นเครื่องบินได้ไหม แม่ต้องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อพาลูกทารกขึ้นเครื่องบิน

เด็กทารกขึ้นเครื่องบิน, เด็กขึ้นเครื่องบินได้ อายุเท่าไหร่, ทารกขึ้นเครื่องบินได้ อายุเท่าไหร่, ทารกขึ้นเครื่องบิน อันตรายไหม, ทารกขึ้นเครื่องบิน ต้องทำยังไง, วิธีพาทารกขึ้นเครื่องบิน, ทารกขึ้นเครื่องบินได้ตอนไหน, ทารก ขึ้นเครื่องบินได้นานกี่ชั่วโมง

ลูกทารกขึ้นเครื่องบินได้ค่ะ แต่ก็มีหลักการและข้อปฏิบัติที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อให้การพาลูกทารกขึ้นเครื่องบินราบรื่นจนถึงปลายทาง

ลูกทารกขึ้นเครื่องบินได้ไหม แม่ต้องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อพาลูกทารกขึ้นเครื่องบิน

ลูกทารกขึ้นเครื่องบินได้ตอนอายุกี่เดือน

แนะนำว่าควรพาลูกทารกขึ้นเครื่องตอนอายุประมาณ 3-4 เดือนขึ้นไปแล้ว รวมถึงขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ของแต่ละสายการบินด้วย เช่น บางสายการบินเด็กทารกต้องอายุไม่น้อยกว่า 7 วัน บางสายการบิน 14 วัน สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บนเครื่อง หรือระหว่างการเดินทางก็สามารถศึกษาได้จากข้อบังคับของแต่ละสายการบินค่ะ

เหตุผลที่ควรพาลูกทารกอายุ 3-4 เดือนขึ้นไปแล้วขึ้นเครื่องบินก็มีประโยชน์อยู่นะคะ

  • พ่อแม่รู้กิจวัตรของลูกแล้วว่าจะตื่นตอนไหน หลับตอนไหน เพื่อเลือกเวลาบินที่ค่อนข้างตรงกับเวลาลูกหลับ
  • พ่อแม่รู้วิธีอุ้มกล่อมลูกได้ดีแล้ว เอาไว้รับมือเมื่อลูกตื่นมาระหว่างการบิน
  • ลูกพอจะรู้เรื่อง คุ้นชินกับเสียงกล่อมของพ่อแม่ และสามารถสงบได้

วิธีเลือกที่นั่งเมื่อพาลูกทารกขึ้นเครื่องบิน

  • ถ้าลูกทารกเป็นเด็กเลี้ยงง่าย หลับง่าย ตื่นก็ไม่งอแง เลือกที่นั่งตรงไหนก็ได้ค่ะ แต่ถ้าอยากได้ความสงบหน่อยก็ริมหน้าต่างได้เลย ไม่ว่าลูกจะหลับหรือตื่นก็ไม่รบกวนใครแน่นอน
  • ถ้าลูกทารกหลับ ๆ ตื่น ๆ บ่อย และอาจจะงอแงเวลาตื่น งอแงเวลาผิดที่ผิดทาง ได้ยินเสียงเล็กน้อยก็สะดุ้งตื่น

    • ที่นั่งริมหน้าตา จะช่วยให้ลูกสงบได้ง่ายขึ้น ได้ดูวิว อยู่ในมุมเงียบ ๆ 
    • ที่นั่งที่ลุกออกง่าย จะช่วยให้พ่อแม่อุ้มลูกพาเดินสงบอารมณ์ได้ 
  • ที่นั่งที่ควรเลี่ยงหากต้องเดินทางกับลูกทารก คือ ที่นั่งคิดทางเดิน เพราะจะมีผู้โดยสารและพนักงงานต้อนรับบนเครื่องบินเดินอยู่ตลอดเวลา อาจรบกวนเวลาลูกหลับได้ค่ะ 

การดูแลเด็กทารกเมื่อขึ้นเครื่องบิน

  • พาลูกตรวจสุขภาพ หรือปรึกษาคุณหมอก่อนพาลูกเดินทาง เพื่อมั่นใจว่าลูกแข็งแรงพอที่จะเดินทางไกลได้

  • อาจมีปัญหาเกี่ยวกับความกดอากาศ และแรงดันทำให้เด็กปวดหูได้ แก้ไขโดยช่วงเวลาเครื่องบินขึ้นลง หรือปรับระดับการบินควรให้ลูกดูดนม หรือน้ำเพื่อจะเป็นการบังคับให้เด็กกลืนน้ำลาย

  • เรื่องการขับถ่าย ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง แต่บางสายการบินก็จะมีที่สำหรับเปลี่ยนผ้าอ้อมในห้องน้ำให้

  • บางสายการบินต้องอุ้มเด็กไว้ บางสายการบินก็มีที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กต่ำกว่า 6 เดือนไว้บริการ บางสายการบินมีที่นอนเด็กแบบพับกางไว้ให้บริการ คุณพ่อคุณแม่เลือกได้เลยตามการดูแลลูกค่ะ

  • ถ้าเดินทางคนเดียวกับทารก ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ หรือขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่หากจำเป็น
  • 1
  • 2