
ฝีดาษลิงเกิดจากอะไร ฝีดาษลิงไม่ใช่โรคใหม่ แม้ยังไม่พบในประเทศไทยก็ควรเฝ้าระวังค่ะ เพราะถ้าเด็กเป็นแล้วมีความเสี่ยงสูง
ฝีดาษลิง เด็กเสี่ยงสูง แนะป้องกันตัวเองอย่างเข้มข้น
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน และติดจากคนสู่คนได้ โรคนี้พบมากในประเทศแถบแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ได้แก่ แคเมอรูน สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คองโก กาบอง ไลบีเรีย ไนจีเรีย และเซียร์ราลีโอน
โรคฝีดาษลิงไม่ใช่โรคใหม่ เคยระบาดมาแล้วมากกว่า 20 ปี เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดฝีดาษในคนหรือไข้ทรพิษ (variola virus) เชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า คนเองก็สามารถติดโรคได้
การรับเชื้อ
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana เรื่อง ช่องทางการแพร่เชื้อของไวรัสฝีดาษลิง โดยระบุว่าไวรัสฝีดาษลิง ไม่ได้แพร่ผ่านทางเพศสัมพันธ์ แต่การติดเชื้อสามารถเกิดได้หลายช่องทาง หลักๆคือ
- การสัมผัสโดยตรงกับตุ่มแผล หรือ สารคัดหลั่งที่มีไวรัสอยู่
- การรับเชื้อจากละอองฝอย จากการคุยกันกับผู้ป่วยที่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย หรือ จากกิจกรรมที่อยู่ใกล้ชิดกันมากๆ เช่น การกอดกัน จูบกัน หรือ ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
- ผ่านการสัมผัสสิ่งของ หรือ วัตถุ ที่มีการเจือปนของไวรัสที่ผู้ป่วยไปสัมผัสมา เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า หรือ โทรศัพท์มือถือ
- รับเชื้อผ่านจากแม่สู่ลูกในครรภ์ผ่านทางรก
- รับจากสัตว์ที่ติดเชื้อ
อาการ
• เชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน อาจนานถึง 21 วัน
• เริ่มแรกจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย
• ภายใน 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัว
• ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง
• ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา
• อาการป่วยจะประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กป่วยฝีดาษลิง
สำหรับเด็กที่ป่วยเป็นไข้ทรพิษ หรือฝีดาษลิงในเด็ก โดยเฉพาะเด็กต่ำกว่า 1 ขวบ มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน ปอดอักเสบ และอาจเสียชีวิตได้
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ป่า
2. หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ
3. หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์เมื่อสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ หรือเดินทางเข้าไปในป่า
4. ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการ คัดกรองโรค
5. กรณีมีการเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที และทำการแยกกักเพื่อมิให้ผู้ป่วยมีการแพร่กระจายเชื้อ
6. โรคฝีดาษติดต่อกันผ่านการหายใจ ไอ จาม เพราะฉะนั้นการใส่หน้ากากอนามัยสามารถช่วยป้องกันได้
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคฝีดาษลิงได้โดยตรง แพทย์จะให้การรักษาแบบประคับประคอง และรักษาตามอาการ ทั้งนี้การฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ สามารถควบคุมการระบาดได้ ซึ่งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ถึง 85%
ในประเทศไทย เด็กที่เกิดหลังปี 2523 จะไม่ได้รับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษมาก่อน จึงเป็นกลุ่มที่เสี่ยงโรคฝีดาษลิงมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานการพบผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย แนะนำเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และอย่าเพิ่งตื่นตระหนก
ที่มา :
https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=25415&deptcode=
https://www.pidst.or.th/userfiles/f26.pdf
https://web.facebook.com/anan.jongkaewwattana

เตือนพ่อแม่เฝ้าระวังฝีดาษลิงสายพันธุ์ใหม่ เด็กมีโอกาสเสียชีวิตสูง แม่ท้องถ่ายทอดเชื้อสู่ลูกได้
ฝีดาษลิงหรือ Mpox เริ่มไม่ใช่เรื่องไกลตัวแบบเดิมอีกต่อไปเมื่อเชื้อมีการกลายพันธุ์และสามารถแพร่ระบาดสู่ผู้อื่นได้ง่าย และเด็กที่ป่วยฝีดาษลิงมีโอกาสเสียชีวิตสูง
ฝีดาษลิงมีกี่สายพันธุ์
โรคฝีดาษลิง แบ่งเป็น 2 สายพันธุ์ คือ เคลด 1 (Clade 1) และเคลด 2 (Clade 2)
ฝีดาษลิง สายพันธุ์ เคลด 1 (Clade 1) เป็นสายพันธุ์ที่มีอาการรุนแรง อัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และปัจจุบันมีการกลายพันธุ์มาเป็นเคลด 1บี (Clade 1b) ซึ่งเคลท 1 บี ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และอันตรายกว่าสายพันธุ์เดิม
ฝีดาษลิง สายพันธุ์ เคลด 2 (Clade 2)อาการไม่รุนแรงนัก แม้มีการระบาดไปกว่า 100 ประเทศ แต่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำการระบาดส่วนมากกระจุกตัวในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ

การแพร่กระจายเชื้อฝีดาษลิง
ฝีดาษลิงทั้งสองสายพันธุ์สามารถติดต่อแพร่เชื้อได้หลายทาง
1. การสัมผัสผิวหนัง ผื่น รอยโรคของผู้ป่วย
2. สัมผัสบริเวณที่ผู้ติดเชื้ออยู่หรือสัมผัส เช่น ที่นอน เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ของใช้ส่วนตัวต่าง ๆ เป็นต้น
3. สารคัดหลั่งของผู้ป่วย เลือด น้ำมูก น้ำลาย ไอ จาม พูดคุย หรือแม้แต่การหายใจใกล้ชิดกัน
4. การติดต่อทางเพศสัมพันธ์
5. ติดต่อจากแม่ตั้งครรภ์สู่ลูกในท้อง
6. การสัมผัสสัตว์ที่มีเชื้อ ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ป่าที่ถูกนำมาเลี้ยงโดยไม่มีการคัดกรองโรค
นั่นหมายความว่าว่าการติดเชื้อสายพันธุ์นี้ง่ายขึ้น และคนที่อยู่บ้านเดียวกันมีโอกาสได้รับเชื้อผ่านการสัมผัสบริเวณผิวหนังหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยแล้วใช้มือจับใบหน้า จมูก หรือขยี้ตา รวมถึงการไอจามใส่กัน ก็สามารถติดเชื้อได้
อาการของฝีดาษลิง Clade 1 b
ฝีดาษลิงมีระยะฟักตัว 5-21 วัน ช่วง 5-13 วันหลังรับเชื้ออาจจะยังไม่แสดงอาการ ส่วนการแสดงอาการของโรคจะมี 2 ระยะคือ
ระยะที่ 1 ช่วง 1-5 วันแรกจะมีไข้ บางรายอาจมีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองบวม บางรายอาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน ไอ เจ็บคอ
ระยะที่ 2 เป็นระยะออกผื่น เป็นช่วงที่สามารถแพร่เชื้อได้ จะมีอาการหลังมีไข้ภายใน 1-3 วัน ลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส หรือตุ่มหนองบนผิวหนัง แล้วกลายเป็นแผลพุพองและตกสะเก็ต ต้องหายสนิทก่อนจึงจะไม่แพร่เชื้อได้อีกต่อไป ซึ่งการติดเชื้อจะคงอยู่ประมาณ 2-4 สัปดาห์

ลักษณะผื่นฝีดาษลิง ที่มา : Ruth Ann Crystal, MD
ฝีดาษลิงClade1bติดต่อง่าย เด็กมีอัตราเสียชีวิตสูง
หลังจากเกิดการระบาดในต่างประเทศและยังดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเด็กนั้น ล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ฝีดาษลิงในบางพื้นที่ของทวีปแอฟริกามีสถานะเป็น "ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ" หลังพบฝีดาษลิงสายพันธุ์ เคลด 1 บี (Clade 1b) แพร่กระจายได้ง่ายและเชื้อมีความรุนแรงกว่าเดิม และสิ่งที่น่ากังวลคือหากเด็กได้รับเชื้อจะมีโอกาสเสียชีวิตสูง ซึ่งจากรายงานข่าวพบว่าในจำนวนผู้ป่วยฝีดาษลิงนั้นเป็นผู้ป่วยเด็กสูงถึง 70% และยังเป็นการพบผู้ติดเชื้อนอกแอฟริกาเป็นครั้งแรกอีกด้วย
จากการติดตามข้อมูลในแอฟริกาพบว่า หากในครอบครัวมีคนป่วยและอยู่ในบ้านเดียวกันประมาณ 4 ชั่วโมงมีความเสี่ยงติดเชื้อได้
คนท้องให้ระวังการเดินทางไปประเทศเสี่ยง
เนื่องจากแม่ท้องที่ติดฝีดาษลิงสารมารถถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้ การป้องกันเบื้อต้นสำหรับแม่ท้องคือควรงดเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีการแพร่ระบาดของฝีดาษลิง โดยเฉพาะประเทศในแถบแอฟริกา
การป้องกันโรคฝีดาษลิง
- การฉีดวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษช่วยป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ประมาณ 85% ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ที่มีความจำเพาะต่อโรคฝีดาษลิงมากขึ้น สำหรับผู้ที่ควรฉีดคือกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงจะได้รับเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการและบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยฝีดาษลิง และผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยฝีดาษลิงเพื่อลดความรุนแรงของอาการป่วย
- ล้างมือด้วยสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรค
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องออกไปยังสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน
- หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ไม่ปรุงสุก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าหรือสารคัดหลั่งของสัตว์ที่อาจเป็นพาหะ เช่น สัตว์ฟันแทะ ลิง
การรักษาโรคฝีดาษลิง
- ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคฝีดาษลิงได้โดยตรง แพทย์จะให้การรักษาแบบประคับประคอง และรักษาตามอาการ ทั้งนี้การฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ สามารถควบคุมการระบาดได้ ซึ่งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษสามารถป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ถึง 85%
- ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงที่มีอาการไม่รุนแรงมักหายได้เองได้ภายใน 2-4 สัปดาห์
- ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอ ใช้ยาลดไข้รักษาตามอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการป้องกันผลข้างเคียงในระยะยาว ในบางประเทศอาจมีการใช้ยาต้านไวรัส เช่นยา tecovirimat และ cidofovir
- แยกตัวจากผู้อื่นป้องกันการแพร่เชื้อ สวมหน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อย ๆ
แม้ฝีดาษลิงเคลด 1บี จะมีความรุนแรงและคร่าชีวิตเด็กป็นจำนวนมาก แต่สายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศไทยยังเป็นสายพันธุ์ที่พบในผู้ใหญ่และอาการไม่ได้รุนแรง และไม่ได้ติดต่อง่ายเหมือนโควิด ทั้งยังมีการเฝ้าระวังจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มงวด เพราะฉะนั้นพ่อแม่ยังไม่ต้องตื่นตระหนกไปค่ะ เพียงดูแลสุขอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องไปยังสถานที่แออัด ก็ช่วงป้องกันการโรคติดต่อต่าง ๆ ได้ค่ะ
อ้างอิง :
Dr,Ruth Ann Crystal, MD Stanford Clinical Faculty
https://www.hfocus.org/content/2024/08/31395
https://www.thaipbs.or.th/news/content/343356
ฝีดาษลิง เด็กเสี่ยงสูง แนะป้องกันตัวเองอย่างเข้มข้น