facebook  youtube  line

Mom's Issue EP 25 (Rerun) : เปิดเทอมใหม่ทำอย่างไรไม่ให้หัวใจว้าวุ่น

 

เทคนิคการเตรียมตัวรับมือเปิดเทอมโดยครูก้า กรองทอง บุญประคอง ครูผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก และผู้ก่อตั้งและผู้บริหารโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

 

เทคนิคดีๆ เตรียมลูกให้พร้อม เตรียมใจแม่ให้หนักแน่นกับความอ่อนไหวในช่วงแรกของการเปิดเทอม

ฟังตอนนี้ยังไม่สาย เพราะสำหรับน้องอนุบาล1 ทุกๆ เช้าจะยังเป็นเหมือนเปิดเทอมวันแรกนะคะ ^^

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

Mom's Issue EP.08 (Rerun) “เนื้อหา บทเรียนที่ยากเกินไป ส่งผลอย่างไรต่อการเรียนรู้ของเด็กบ้าง”

 

นอกจากประเด็นเรื่องความยากง่ายของการบ้าน มีสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ ระดับการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเด็ก หากเด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินไปส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรบ้าง รวมไปถึงหลากหลายประเด็นที่คาใจพ่อแม่ ทั้งการเรียนที่ยากและการบ้านที่ต้องทำ

 

ฟังมุมมองนักวิชาการด้านศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า อาจารย์สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

Mom's Issue EP.09 : นิทานก่อนนอน ช่วยหนูอ่านออก

 

“นิทาน” คือฮีโร่ในสถานการณ์ที่ต้อง Learn from home อย่างแท้จริง ปรากฎการณ์ Learning Loss ที่เกิดขึ้น ทักษะด้านภาษาเป็นอีกหนึ่งทักษะที่ขาดหายไป โดยเฉพาะในเรื่องการอ่านที่สร้างความกังวลใจให้กับพ่อแม่เป็นอย่างมาก

 

ฟังเทคนิคจากแม่ดอยและป้าปอย ที่จะทำให้นิทานช่วยให้เจ้าหนูอ่านออก

✅ Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

✅ Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

✅ YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP.10 (Rerun) : เทคนิคป้องกันลูกจากสื่อร้ายในโลกโซเชียล

 

กลับมาเรียนออนไลน์กันแบบลักปิดลักเปิด แม่ก็ยังวางใจจากโลกออนไลน์ไม่ได้

ชวนฟังวิธีการป้องกันลูกจากสื่อร้ายในโลกโซเชียล แม่ดอยและป้าปอยมาบอกวิธีให้พ่อแม่

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP.11 (Rerun) : เปิดเทอมยุคโควิด พ่อแม่ต้องพร้อมแค่ไหน ลูกได้หรือเสีย?

 

ตัวเลขและจำนวนผู้ติดเชื้อยังสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าเจ้าโควิดมีสายพันธุ์ใหม่มาให้รับมือตลอด มาย้ำวิธีการดูแลตัวเองในสถานการณ์นี้กันอีกสักครั้งค่ะ โดยคำแนะนำจาก รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP.12 : ชวนลูก Outdoor แก้ปัญหา Indoor Generation

 

แม่ดอยและป้าปอย แนะนำไอเดียพาลูกออกไปทำกิจกรรม Outdoor ที่ไม่ใช่การเดินห้าง ชวนออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ สัมผัส สายลมและแสงแดด ทุกที่ล้วนกระตุ้นพัฒนาการและแก้ปัญหา Indoor Generation มีที่ไหนไปได้บ้าง

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP.13 : การ์ตูนเด็กไม่ใช่ผู้ร้าย! แค่ต้องเลือก

 

การ์ตูนไม่ใช่ผู้ร้าย แต่ต้องเลือกให้เป็น เลือกอย่างมีหลักการ และกำหนดกติกาในการดู มีวิธีอะไรบ้าง

ชวนฟังประสบการณ์จากแม่ดอยและป้าปอย tq88 casino

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP.14 : เรียนพิเศษ!! แก้ปัญหาหรือเพิ่มปัญหา

 

ความหวาดกลัวของผลกระทบของ Learning Loss ทำให้พ่อแม่ต้องการเสริม เติม เพิ่ม และอุดรอยโหว่ของพัฒนาการที่หายไป

ป้าปอยและแม่ดอยชวนคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกัน และการทำแบบนี้เป็นการแก้ปัญหาหรือเพิ่มปัญหากันแน่ ฟังแนวคิดจากนักวิชาการด้านการศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า รองคณบดี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

 

การท่องเที่ยวทางการแพทย์ในประเทศไทยกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการรับการรักษาทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในประเทศไทย โดยที่ไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากลว่าเป็นประเทศที่มีระบบการแพทย์ที่เชื่อถือได้และคุณภาพสูง นอกจากนี้ การท่องเที่ยวทางการแพทย์ในประเทศไทยยังมีความเป็นไปได้ที่จะรับบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลที่ทันสมัยและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย การผสมผสานระหว่างการรักษาทางการแพทย์และการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของประเทศไทย ทำให้มีความน่าสนใจและเป็นประสบการณ์ที่หลากหลายสำหรับผู้ที่เดินทางมาที่นี่ เจ้าของคาสิโนระดับโลก เช่น The Venetian Macao, Lockdown168, Cosmolot เป็นต้น ก็มีส่วนร่วมในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเช่นกัน เนื่องจากเป็นเรื่องปกติทั่วโลกและสำหรับประชากรทุกกลุ่ม

Mom’s Issue EP 03. ตอน นิทานเพื่อนหนู รู้อารมณ์

 

จากหนูน้อยอารมณ์ดี...แปลงร่างเป็นหนูขี้วีน ขี้โมโห หนูไม่ไหวแล้วนะ

สภาวะเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทั้งจากช่วงวัย ความเครียด ความกังวล ที่เกิดขึ้น ยิ่งช่วงเวลาที่จำกัดพื้นที่ ออกไปไหนไม่ได้ เลยเกิดสงครามย่อมๆ ในบ้าน

 

Mom’s Issues ชวนรับมือและจัดการกับอารมณ์ขี้โมโหของเด็ก บก.แม่ดอยและป้าปอย มีเทคนิคและนิทานดีๆ มาช่วยให้เรื่องโมโห จัดการได้ง่ายขึ้น Simplify your crypto transactions with Trezor Suite Seamless Exchanges, making trading effortless.

 

พบกับ รายการ Mom's Issue ทุกวันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

Apple podcast: Rakluke Podcast

Spotify: Rakluke Podcast

YouTube Channel: : Rakluke Club

Mom’s Issue EP 04. ตอนแชร์ประสบการณ์... รับมือเมื่อติดโควิด

 

ดูแลตัวเองดีขั้นเทพก็ยังหนีไม่พ้นเจ้าโควิด... ป้าปอยขอมาเล่าประสบการณ์ตรงจากการติดโควิด หนนี้ติดกันทั้งบ้าน เชื้อลงปอดไปแล้ว อาการเป็นยังไง รับมือแบบไหนไปฟังกันเลยค่ะ

 

ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่

Apple podcast : Rakluke Podcast

Spotify : Rakluke Podcast

YouTube Channel : Rakluke Club

Referring to this resource https://www.accessanimalhospitals.com/cialis-without-a-doctor-prescription i can say that compared to other representatives of this class, tadalafil has a longer duration of action in the body.

Mom’s Issue EP 05. ตอน “เนื้อหา บทเรียนที่ยากเกินไป ส่งผลอย่างไรต่อการเรียนรู้ของเด็กบ้าง”

 

นอกจากประเด็นเรื่องความยากง่ายของการบ้านมีสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ ระดับการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเด็ก หากเด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินไปส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรบ้าง

รวมไปถึงหลากหลายประเด็นที่คาใจพ่อแม่ ทั้งการเรียนที่ยากและการบ้านที่ต้องทำ

 

ฟังมุมมองนักวิชาการด้านศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า

อาจารย์สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่

Apple podcast : Rakluke Podcast

Spotify : Rakluke Podcast

YouTube Channel : Rakluke Club

Mom’s Issue EP 06. ตอน "เปิดเทอมยุคโควิด พ่อแม่ต้องพร้อมแค่ไหน ลูกได้หรือเสีย"

 

ไขข้อข้องใจ ช่วยคลี่คลายความกังวลให้กับพ่อแม่ หลากหลายคำถามจะฉีดวัคซีนดีไหมนะ ปลอดภัยแล้วหรือยัง? เปิดเทอมแล้วจะพาลูกไปโรงเรียนดีไหม?

แม่ดอยและป้าปอยมาชวนคิด ชวนคุย แบ่งปันมุมมอง และนำข้อมูลจากคุณหมอมาช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจได้อย่างรอบด้าน และสังเกตอาการ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านอื่นๆ

 

ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่

Apple podcast : Rakluke Podcast

Spotify : Rakluke Podcast

YouTube Channel : Rakluke Club 

Mom’s Issue EP 07. ตอน เทคนิคป้องกันลูกจากสื่อร้ายในโลกโซเชียล

 

ลูกเรียนออนไลน์ไม่ได้เปิดแค่โปรแกรมเรียนเท่านั้น เพราะหลายครั้งจะต้องใช้เว็บไซต์ค้นหาความรู้ไปด้วย จะให้ลูกท่องเว็บยังไงให้ไกลจากบรรดาเว็บไม่เหมาะสม ทั้งเว็บโป๊ เว็บพนัน เว็บขายของหลอกลวง พร้อมการป้องกันที่ดีที่สุดคือการให้ลูกมี Digital Literacy จะสอนและทำได้อย่างไร แม่ดอยและป้าปอยมีวิธีการบอก

 

ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่

Apple podcast : Rakluke Podcast

Spotify : Rakluke Podcast

YouTube Channel : Rakluke Club

รหัสโปรโมชั่น Roobet "CSGOBETTINGS" รับสิทธิพิเศษ ไม่มีเงินฝาก และฟรีสปิน

ใRoobet Promo Code "CSGOBETTINGS" รับสิทธิพิเศษ ไม่มีเงินฝาก และฟรีสปิน

Roobet เป็นคาสิโนออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการการพนันออนไลน์ มีความโดดเด่นในเรื่องของเกมที่หลากหลาย ระบบการเล่นที่ทันสมัย และโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ หนึ่งในข้อเสนอที่ดีที่สุดของ Roobet คือการใช้ Roobet รหัสโปรโมชั่น "CSGOBETTINGS" เพื่อรับสิทธิพิเศษที่ไม่ควรพลาด เช่น โบนัสไม่มีเงินฝาก ฟรีสปิน และเงินคืน 20% ภายใน 7 วันแรกของการสมัครสมาชิกใหม่

ในบทความนี้ เราจะสำรวจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Roobet promo code วิธีการใช้โบนัสอย่างมีประสิทธิภาพ และข้อดีของการเข้าร่วมโปรแกรม RooWards ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะของคุณ

รีวิวโค้ดโปรโมชั่นและโบนัส Roobet

Roobet มีชื่อเสียงในฐานะคาสิโนออนไลน์ที่ให้ประสบการณ์การเล่นที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นที่คุ้มค่ามากมายให้กับผู้เล่นทั่วโลก โดยเฉพาะ รหัสโปรโมชั่น Roobet "CSGOBETTINGS" ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้รับโบนัสที่ไม่ต้องมีการฝากเงินก่อน (No Deposit Bonus) ฟรีสปิน และเงินคืน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นใหม่

โบนัสไม่มีเงินฝาก (No Deposit Bonus)

โบนัสไม่มีเงินฝากเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่น่าสนใจที่สุดของ Roobet เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่สามารถเริ่มเล่นเกมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการฝากเงินก่อน ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถสำรวจและสนุกกับเกมต่าง ๆ ที่ Roobet นำเสนอได้โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เพื่อรับโบนัสนี้จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองเล่นคาสิโนออนไลน์โดยไม่ต้องใช้เงินของตนเอง

ฟรีสปิน (Free Spins)

อีกหนึ่งข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมจากการใช้ Roobet promo code คือการได้รับฟรีสปิน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้เล่นเกมสล็อต ฟรีสปินช่วยให้คุณสามารถเล่นเกมสล็อตที่คุณชื่นชอบได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินทุนของคุณเอง ฟรีสปินที่ได้รับจากโปรโมชั่นนี้สามารถนำไปใช้ในเกมสล็อตยอดนิยม เช่น Sweet Bonanza, Book of Dead, และเกมอื่น ๆ ที่มีโอกาสชนะรางวัลใหญ่ การใช้ฟรีสปินในเกมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการชนะเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสนุกสนานในการเล่นอีกด้วย

ข้อเสนอโบนัสจาก Roobet

Roobet มีการนำเสนอโบนัสที่หลากหลายและคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นโบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงินครั้งแรก หรือโบนัสเงินคืน ซึ่งแต่ละโบนัสมีจุดเด่นและเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงข้อเสนอเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

โบนัส 20% Cashback ภายใน 7 วันแรก

หนึ่งในโบนัสที่น่าสนใจที่สุดคือโบนัสเงินคืน 20% ภายใน 7 วันแรกหลังจากที่คุณทำการฝากเงินครั้งแรก โบนัสนี้มีความสำคัญมากสำหรับผู้เล่นใหม่ เนื่องจากมันช่วยลดความเสี่ยงในการเล่นเกม หากคุณสูญเสียเงินในช่วงเวลานี้ Roobet จะคืนเงินให้คุณถึง 20% ของยอดที่สูญเสีย ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเงินทุนในการเล่นต่อได้ทันที ทำให้คุณมีโอกาสในการชนะและเพิ่มกำไรได้มากขึ้น

RooWards และสิทธิพิเศษต่าง ๆ

Roobet ยังมีโปรแกรมสะสมคะแนนที่เรียกว่า RooWards ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เล่นที่มีการเล่นเกมอย่างต่อเนื่องและสะสมคะแนนได้มาก ผู้เล่นที่ใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะได้รับ RooWards ทันทีในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นทันที เช่น การได้รับโบนัสเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นประจำ หรือการเข้าถึงกิจกรรมพิเศษที่ให้รางวัลมากมาย การใช้ RooWards ทำให้การเล่นที่ Roobet ยิ่งน่าสนใจและคุ้มค่ามากขึ้น

โปรโมชั่นล่าสุดจาก Roobet

Roobet มักจะมีการอัปเดตโปรโมชั่นอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้เล่นได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเล่นเกมออนไลน์ การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงโปรโมชั่นล่าสุดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

โบนัสฝากเงินครั้งแรกและโปรโมชั่นพิเศษ

Roobet มีโบนัสฝากเงินครั้งแรกที่น่าประทับใจ โดยเมื่อผู้เล่นใหม่ทำการฝากเงินครั้งแรกจะได้รับโบนัสที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือได้รับฟรีสปินเพิ่มเติมในเกมสล็อตที่กำหนด โบนัสนี้ทำให้ผู้เล่นมีเงินทุนเพิ่มขึ้นสำหรับการเริ่มต้นเล่นเกม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการสำรวจและทดลองเล่นเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Roobet

นอกจากนี้ Roobet ยังมีโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น โปรโมชั่นในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสนุกสนานในการเล่นเกม การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นเหล่านี้ เช่น การได้รับโบนัสเพิ่มเติมในช่วงเทศกาล หรือการเข้าถึงกิจกรรมพิเศษที่ให้รางวัลมากมาย

วิธีการใช้รหัสโปรโมชั่น Roobet (ขั้นตอนการใช้)

การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เป็นกระบวนการที่ง่ายและสะดวก แต่เพื่อให้ผู้เล่นทุกคนมั่นใจในการใช้รหัสนี้ เรามีขั้นตอนการใช้รหัสที่ชัดเจนดังนี้:

  1. สมัครสมาชิกหรือเข้าสู่ระบบ: ถ้าคุณยังไม่มีบัญชีที่ Roobet คุณต้องสมัครสมาชิกก่อน โดยการกรอกข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้ใช้ อีเมล และรหัสผ่าน หลังจากนั้นยืนยันอีเมลของคุณเพื่อเริ่มต้น
  2. ไปที่หน้าโปรโมชั่นหรือการฝากเงิน: เมื่อคุณเข้าสู่ระบบแล้ว ให้ไปที่หน้าฝากเงินหรือหน้าโปรโมชั่น ซึ่งจะมีช่องให้คุณกรอก Roobet promo code
  3. กรอกรหัสโปรโมชั่น "CSGOBETTINGS": ในขั้นตอนการฝากเงิน ให้คุณกรอกรหัส "CSGOBETTINGS" ลงในช่องที่กำหนด จากนั้นกดยืนยัน
  4. ตรวจสอบโบนัสที่ได้รับ: หลังจากกรอกรหัสและยืนยัน ระบบจะแสดงโบนัสที่คุณจะได้รับ คุณสามารถตรวจสอบโบนัสในบัญชีของคุณได้ทันที
  5. เริ่มเล่นและใช้โบนัส: เมื่อโบนัสถูกเพิ่มเข้าสู่บัญชีของคุณ คุณสามารถเริ่มเล่นเกมต่าง ๆ ที่ Roobet เสนอได้ทันที โดยใช้โบนัสที่ได้รับในการวางเดิมพัน

การใช้ Roobet promo code ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณได้รับโบนัสเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โปรโมชั่นพิเศษอื่น ๆ ที่ Roobet มีให้ ทำให้การเล่นคาสิโนออนไลน์ของคุณมีความสนุกสนานและตื่นเต้นมากขึ้น

ข้อดีของการใช้รหัสโปรโมชั่น Roobet

การใช้ Roobet promo code มีข้อดีมากมายที่ผู้เล่นทุกคนควรรู้:

  • เพิ่มโอกาสในการชนะ: ด้วยโบนัสฟรีสปินและเงินคืน คุณจะมีโอกาสเล่นเกมได้นานขึ้นและเพิ่มโอกาสในการชนะ
  • ประหยัดเงินทุน: การใช้ Roobet promo code ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในการเล่นเกม เนื่องจากโบนัสที่ได้รับสามารถใช้เป็นเงินทุนในการเล่นได้
  • เข้าถึงโปรโมชั่นพิเศษ: บางโปรโมชั่นอาจจำกัดให้เฉพาะผู้ที่ใช้รหัสโปรโมชั่นเท่านั้น ดังนั้น การใช้รหัสโปรโมชั่นจะทำให้คุณสามารถเข้าถึงข้อเสนอพิเศษที่คนอื่นไม่ได้รับ
  • เพิ่มประสบการณ์ในการเล่น: ด้วยการใช้รหัสโปรโมชั่น คุณจะได้รับโบนัสต่าง ๆ ที่ทำให้การเล่นเกมของคุณสนุกสนานและน่าสนใจยิ่งขึ้น
  • ความปลอดภัยในการใช้รหัส: การใช้รหัสโปรโมชั่นที่ Roobet นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการยอมรับและมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุดในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและการทำธุรกรรมทางการเงิน

ความปลอดภัยในการใช้ Roobet promo code

Roobet เป็นคาสิโนออนไลน์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงการ การใช้ Roobet promo code นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน การทำธุรกรรมทางการเงินและข้อมูลส่วนตัวของคุณได้รับการปกป้องด้วยระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้คุณสามารถใช้รหัสโปรโมชั่นและเล่นเกมได้อย่างสบายใจ

Roobet ยังใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลขั้นสูงเพื่อปกป้องข้อมูลของผู้เล่นทุกคน ซึ่งหมายความว่าข้อมูลการทำธุรกรรมและข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยหรือใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ Roobet ยังได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มั่นใจว่าเกมที่พวกเขานำเสนอเป็นธรรมและมีความโปร่งใส

การถอนโบนัส

เมื่อคุณได้รับโบนัสจากการใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" แล้ว คุณอาจต้องการถอนเงินโบนัสนั้นออกมาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน การถอนโบนัสที่ Roobet นั้นไม่ยุ่งยาก แต่คุณจำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขการเล่นที่กำหนดไว้ก่อน เช่น การเล่นให้ครบตามจำนวนครั้งที่กำหนดหรือการใช้โบนัสในเกมที่ระบุไว้เท่านั้น

Roobet มีวิธีการถอนเงินที่หลากหลายให้คุณเลือก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การถอนผ่านสกุลเงินดิจิตอล เช่น Bitcoin และ Ethereum การทำธุรกรรมการถอนเงินมักจะเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่นาน ทำให้คุณได้รับเงินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย

การทำธุรกรรมที่ Roobet ได้รับการปกป้องด้วยมาตรการความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้ผู้เล่นสามารถมั่นใจได้ว่าเงินของพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างดี นอกจากนี้ Roobet ยังมีฝ่ายบริการลูกค้าที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ หากคุณมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการถอนเงิน คุณสามารถติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โปรโมชั่นหลักจาก Roobet

Roobet มีโปรโมชั่นหลักที่น่าสนใจมากมายให้กับผู้เล่นใหม่และผู้เล่นปัจจุบัน ซึ่งโปรโมชั่นเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสนุกในการเล่นเกม แต่ยังเพิ่มโอกาสในการชนะอีกด้วย

โบนัสต้อนรับ (Welcome Bonus)

โบนัสต้อนรับที่ Roobet เสนอให้กับผู้เล่นใหม่เป็นหนึ่งในโปรโมชั่นที่คุ้มค่าที่สุด โดยผู้เล่นสามารถรับโบนัสเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือรับฟรีสปินเพิ่มเติมในเกมสล็อตที่กำหนด โบนัสนี้เป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นการเล่นที่ Roobet ด้วยเงินทุนที่มากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการชนะและสำรวจเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Roobet

โปรโมชั่นฝากเงินประจำ (Regular Deposit Bonuses)

Roobet ยังมีโปรโมชั่นสำหรับการฝากเงินประจำ ซึ่งผู้เล่นสามารถรับโบนัสเพิ่มเติมจากการฝากเงินครั้งที่สอง สาม หรือสี่ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษที่ให้ฟรีสปินหรือโบนัสเพิ่มขึ้นเมื่อทำการฝากเงินในช่วงเวลาที่กำหนด โปรโมชั่นเหล่านี้ช่วยให้ผู้เล่นมีโอกาสเพิ่มเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการชนะในระยะยาว

Roobet มักจะมีโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมพิเศษ เช่น โปรโมชั่นในช่วงปีใหม่ ฮาโลวีน หรือวันหยุดอื่น ๆ ผู้เล่นสามารถรับโบนัสพิเศษ ฟรีสปิน หรือรางวัลพิเศษที่ไม่มีในช่วงเวลาอื่น ๆ การใช้ Roobet promo code จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นเหล่านี้

สรุป

การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มโอกาสในการชนะและรับสิทธิพิเศษมากมายจาก Roobet ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นใหม่หรือผู้เล่นที่มีประสบการณ์ การใช้ Roobet promo code จะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการเล่นคาสิโนออนไลน์อย่างแน่นอน อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชั่นล่าสุดและติดตามข่าวสารจาก Roobet เพื่อไม่พลาดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากข้อเสนอที่ดีที่สุด

การใช้โปรโมชั่นและโบนัสที่ Roobet ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะ แต่ยังทำให้การเล่นเกมสนุกสนานและน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น Roobet มอบประสบการณ์การเล่นเกมที่มีคุณภาพสูงพร้อมด้วยโปรโมชั่นที่คุ้มค่า ทำให้เป็นหนึ่งในคาสิโนออนไลน์ที่ผู้เล่นทั่วโลกเลือกใช้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ's)

Roobet promo code คืออะไร? 

Roobet promo code คือรหัสที่คุณสามารถใช้เพื่อรับสิทธิพิเศษ เช่น โบนัสไม่มีเงินฝากและฟรีสปิน รหัสนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะและทำให้การเล่นเกมสนุกสนานยิ่งขึ้น

ฉันจะใช้ Roobet promo code ได้อย่างไร? 

การใช้ Roobet promo code ง่ายมาก เพียงแค่กรอกรหัสในขั้นตอนการฝากเงินหรือสมัครสมาชิกที่ Roobet แล้วคุณจะได้รับโบนัสทันทีเพื่อใช้ในการเล่นเกม

โบนัสที่ได้จาก Roobet promo code สามารถถอนเงินได้หรือไม่? 

ได้ โบนัสที่คุณได้รับจาก Roobet promo code สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด คุณควรตรวจสอบเงื่อนไขการเล่นก่อนทำการถอนเงิน

Roobet มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง? 

Roobet มีโปรโมชั่นมากมาย เช่น โบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงิน และโปรโมชั่นฟรีสปินที่มีให้เลือกตามความต้องการของผู้เล่น

Roobet ปลอดภัยหรือไม่? 

ใช่, Roobet เป็นเว็บไซต์ที่ปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือในการเล่นคาสิโนออนไลน์ ข้อมูลส่วนตัวและการทำธุรกรรมทางการเงินของคุณจะได้รับการปกป้องด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง

รักลูก The Expert Talk EP 01: เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว ตอน เด็กคือผ้าหลากสี

รักลูก The Expert Talk EP 01: เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว ตอน เด็กคือผ้าหลากสี

“เด็กผ้าหลากสี” เด็กไม่ใช่ “ผ้าขาว” พ่อแม่อย่าเข้าใจผิด ลูกมีสีพื้นเฉพาะตัว มีพื้นฐานอารมณ์เฉพาะตัว บางคนอาจจะมีสีโทนเย็น บางคนโทนร้อน ลักษณะพื้นฐานทางอารมณ์นี้เองที่บ่งบอกเด็กมีความหลากหลาย พ่อแม่ต้องมีศิลปะในการเลี้ยงดู เพื่อลดแรงกระแทกในครอบครัว เพราะถ้าไม่เข้าใจ เขาจะทำตรงกันข้ามกลายเป็นความขัดแย้งในครอบครัว โดย รศ. นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

  • ทำไมเด็กถึงเป็นผ้าหลากสี ไม่ใช่ผ้าขาวอย่างที่พ่อแม่เคยเข้าใจ
  • เด็กผ้าหลากสีมีกี่ประเภท
    • เด็กเลี้ยงง่าย
    • เด็กเลี้ยงยาก
    • เด็กอ่อนไหว
    • เด็กบ้าพลัง
    • เด็ก Mixing 
  • เด็กแต่ละประเภท แต่ละลักษณะ พ่อแม่จะเลี้ยงดู เข้าถึง และส่งเสริมอย่างไรให้ถูกทาง

ทำไมเด็กจึงไม่ใช่ผ้าสีขาว

ที่เขาใช้คำว่า เด็กคือผ้าขาว เป็นการเปรียบเปรย ว่าผ้าสีขาว บ่งบอกถึงความใสบริสุทธิ์ เด็กทุกคนที่เกิดมาเหมือนจิตประภัสสร มีความใสบริสุทธิ์ ยังไม่มีมารยา ยังไม่เข้าใจอะไรโลกสักเท่าไหร่ มันเป็นเชิงสัญลักษณ์ แล้วผู้ใหญ่ในยุคเดิมๆ ก็จะบอกว่าลวดลายต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนผ้าเหล่านี้ เกิดจากการเลี้ยงดู เกิดจากสภาพแวดล้อม เช่น เลี้ยงดูใช้ความรุนแรง ก็อาจจะเทสีใส่เข้าไปเป็นโทนร้อน แล้วเกิดลวดลายเป็นระเบียบ ลวดลายเละเทะเลย แต่ละอย่างไม่เหมือนกัน

แต่สิ่งที่หมอส่งสัญญาณเพิ่มคือ เวลาที่เด็กเกิดมา ตั้งแต่เกิดมาเลย พื้นฐานอารมณ์แต่ละคนไม่เหมือนกัน มีมาตั้งแต่เกิด เด็กบางคนร้องแป๊บเดียว เด็กบางคนร้องยาว คุณพ่อคุณแม่คงเคยสังเกตเห็นในทางการแพทย์เรามีการวินิจฉัยว่าร้อง โคลิค คือ พอคลอดออกมาได้สัก 3 สัปดาห์ขึ้นไป ก็สามารถที่จะร้องยาวไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง เริ่มประมาณสามทุ่มไปจนถึงเที่ยงคืน แล้วไม่พอท่าอุ้มของพ่อแม่ที่ลูกจะหลับ บรรยากาศในห้องแสงไฟสลัวๆ แสงไม่วูบวาบ อุณหภูมิ ต้องไม่กระตุก เสียงต้องไม่กระตุก ถ้าทุกอย่างกระตุกขึ้นมาปุ๊ป ต้องกลับไปนับ 1 ใหม่ กว่าจะหายจากสภาวะโคลิคก็ประมาณ 3 เดือน

จะเห็นเลยว่าพื้นฐานอารมณ์เด็กไม่เหมือนกัน แม้แต่คู่แฝดก็ไม่เหมือนกัน เปรียบให้ชัดมากขึ้นอีก หมอเชื่อว่าเวลาที่คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปฉีดวัคซีน เด็กบางคนมาถึงที่คลินิกหรือโรงพยาบาลก็จะยิ้ม ร่าเริง สดใส พอหมอหรือพยาบาลฉีดยาให้ก็จะร้อง แต่ร้องแป๊บเดียว พอได้ของเล่นก็หยุด เล่นหัวเราะ เหมือนเจ็บแป๊บนึง แต่บางคนแค่แม่หยิบเล่มชมพูที่บ้านยังไม่ทันมาที่คลินิกหรือโรงพยาบาลเลย แค่หยิบเล่มชมพูลูกเกิดการเรียนรู้ว่าอีกไม่นานฉันจะเจ็บตัว เกิดการร้องตั้งแต่ที่บ้าน มือเกาะเป็นตีนตุ๊กแก เกาะแบบต้องแงะทีละนิ้ว ทั้งหมดนี้ยังมาไม่ถึงโรงพยาบาลนะยังอยู่ที่บ้าน

สภาวะการแบบนี้ พื้นฐานอารมณ์แบบนี้ จึงทำให้แบ่งเด็กออกมามีความหลากหลาย นี่คือเชิงสัญลักษณ์อันนึงที่หมอส่งสัญญาณให้คุณพ่อคุณแม่ ว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด หมอไม่ได้ปฏิเสธว่าเด็กทุกคนเกิดมาใสบริสุทธิ์ หมอก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าลวดลายที่เกิดขึ้น บนผ้าผืนนั้นมันเกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อม แต่หมอส่งสัญญาณเพิ่มให้พ่อแม่ว่า ลูกของคุณแม่มีพื้นฐานอารมณ์หรือผ้าสีของเขา สีพื้นทั้งผืนของเขาอาจจะเป็นสีเหลือง บางคนอาจจะเป็นสีโทนเย็น สบายๆ สมาธิเยอะ บางคนสมาธิสั้น อันนี้เป็นลักษณะพื้นฐานทางอารมณ์ที่แบ่งเด็ก
สำหรับพ่อแม่ต้องรู้ว่าลูกของตัวเองเป็นแบบไหน

คุณพ่อคุณแม่เวลาเลี้ยงลูกไปก็จะเรียนรู้ไปกับลูก หมอใช้คำว่าศิลปะการเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ พูดง่ายๆ คือถ้าเอาแบบของคนพี่มาใช้กับคนน้องต้องมีการปรับประยุกต์ คือถ้ามาแบบจัดเต็มเหมือนกัน วิธีเดียวกันเลยมันอาจจะไม่ได้ผล บางคนอาจจะได้ผลในทิศทางหนึ่ง แล้วเราก็จะเริ่มเปรียบเทียบ ทำไมแกไม่เหมือนพี่เลย สัญญาณนี้คือที่หมอบอกว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด เพราะหมอต้องการให้คุณพ่อคุณแม่เรียนรู้อย่างน้อย 2 เรื่อง

1.อย่าเปรียบเทียบลูก

เพราะลูกทุกคนที่เกิดมานั้นเขาใสบริสุทธิ์แต่เขาอยู่บนผ้าสีพื้นที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะมาเปรียบเทียบไม่ได้ ว่าทำไมไม่ฉลาดเหมือนน้อง ทำไมไม่ฉลาดเหมือนพี่ หรือไปเปรียบเทียบบ้านนู้นอีก อันนี้ยิ่งแย่ หยุดการเปรียบเทียบ ถ้าจะเปรียบเทียบกรุณาเปรียบเทียบกับตัวเขาตอนทำไม่ได้กลายเป็นทำได้ กลายเป็นทำเก่ง ทำเรียบร้อย เปรียบเทียบกับตัวเอง พัฒนาการที่เพิ่มขึ้น และลูกก็จะมีกำลังใจที่สำคัญ เป็นการชมเชยในเชิงบวก ในเชิงจิตวิทยาด้วย

2. พื้นฐานอารมณ์ต่างกัน

อีกอันที่สัญญาณว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาว หมอต้องการบอกว่าเมื่อพื้นฐานอารมณ์ต่างกันแบ่งแบบหยาบนะ จริงๆ มีทั้งนพลักษณ์เก้า สีสัน แล้วยังมาผสมสีกันได้ ตัวอย่าง คนนี้โทนผ้าสีเหลือง อีกคนโทนผ้าสีแดง แบบสมาธิสั้น เวลา Reaction เรียกว่าออกปฏิกิริยาก็ออกจัดเต็มเหมือนละครก็เป็นนางร้ายทำนองนั้น บางคนเหลืองมาบวกแดงกลายเป็นส้ม บางคนน้ำเงินมาเจอกับแดงกลายเป็นม่วง คือสีแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงแบ่งเด็กออกมาแบบหยาบๆ แบบ ที่พ่อแม่เข้าใจง่ายๆ เลย

ที่หมอเขียนไว้ในลักษณะเด็กไม่ใช่ผ้าขาวโปรดอย่าเข้าใจผิด คือพื้นฐานอารมณ์แบ่งออกมาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย โชคดีของโลกใบนี้ที่ส่วนใหญ่เด็กจะเลี้ยงง่าย แต่เลี้ยงมาเลี้ยงไปกลายเป็นกบอันนี้ไม่รู้เรื่องนะ อันนั้นค่อยว่ากัน

จุดสตาร์ทครึ่งหนึ่งเป็นเด็กเลี้ยงง่าย แล้วเมื่อมีเด็กเลี้ยงง่าย ลักษณะของเด็กเลี้ยงง่ายสังเกตไหมว่าเป็นอย่างไร สั่งให้ซ้ายก็หันซ้าย สั่งให้ขวาก็หันขวา สั่งให้นั่งให้เรียบร้อยก็นั่งเรียบร้อย ปรับตัวง่ายเวลาไปบริบาลไปโรงเรียนปลอบใจนิดหน่อยก็สามารถเดินเข้าโรงเรียนได้แล้วสามารถ เล่นกับเพื่อนได้ สุขภาพดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เข้ากับคนง่าย แบบนี้พ่อแม่ชอบไหม ชอบ หมอไม่คิดว่ามีพ่อแม่คนไหนไม่ชอบ แต่โลกใบนี้ไม่ได้มีแต่เด็กเลี้ยงง่าย

เมื่อมีเลี้ยงง่ายก็ต้องมีเด็กเลี้ยงยาก สั่งให้ซ้ายหันขวา สั่งให้ขวาหันซ้าย สั่งให้นั่งให้เรียบร้อยไม่มีทาง สั่งให้กินไม่กิน บอกอย่ากินเลยลูกวิ่งไปกิน แบบนี้คือสภาพลักษณะของเด็กที่เลี้ยงอยาก กลุ่มในลักษณะของเลี้ยงยากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโคลิค ลักษณะอาการที่พ่อแม่สังเกตเห็นได้เลย เช่น มีน้องโคลิคแบบนี้เลี้ยงยากมาก จะดูว่าเด็กเลี้ยงยากหรือง่าย สามารถดูได้ตั้งแต่ 3 สัปดาห์แรกก็เริ่มสังเกตเห็นแล้ว

ถ้าตอนนี้มีคุณแม่ที่เพิ่งคลอดลูกฟังอยู่ มันจะเป็นเส้นบางๆ ได้นิดนึงว่าลูกเราอยู่ในเกณฑ์เลี้ยงยากหรือเลี้ยงง่าย ก็จะเริ่มเห็นบ้างเวลาที่เขาไม่ได้ดั่งใจ เขาร้องนาน ยาวนานขนาดไหนเราจะเริ่มสังเกตเห็น เช่น เวลาเราฝึกการกิน วิถีชีวิตของเด็กเล็กๆ ก็จะมีแค่กินกับนอน ไม่ได้กินดั่งใจ หรืออาจจะมีเรื่องอึฉี่เสร็จจะให้เปลี่ยนผ้าอ้อมร้องยาว เสียงเข้มมาก ดังมาก 3 บ้าน 4 บ้านได้ยินหมด เราจะสังเกตเห็นอากัปกิริยาเหล่านี้

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จรูป ต้องติดตามต่อๆ ไปเรื่อยๆ เช่น พอพัฒนามาเป็นเด็ก 4-5 เดือน เริ่มมีอัตตาของตัวเอง เด็กหลัง 6 เดือนขึ้นไป มีตัวตนของเขาที่สามารถแยกได้ว่านี่คือฉันนั่นคือแม่ ตอนนี้แหละจะเริ่มมีอัตตาเป็นตัวของตัวเองสูง ก็จะลองภูมิพ่อแม่มากขึ้น เพราะฉะนั้นกลุ่มเด็กเลี้ยงยากก็วัดใจพ่อแม่กันพอสมควร

พ่อแม่อยากได้เด็กเลี้ยงง่าย

ถ้าเลือกได้ใครๆ ก็อยากได้เด็กเลี้ยงง่าย เพียงแต่เราเลือกไม่ได้ เพราะออกมาก็ต้องรับมือหมดแล้ว พ่อแม่รักลูกทุกคน เพียงแต่ว่าเวลาเจอเด็กเลี้ยงอยาก ความอึดอดทน การให้อภัย การเสียสุข มาเต็มสำหรับพ่อแม่ อึดมาก ทุ่มเท การทุ่มเทต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นต้องมีศิลปะด้วย เพราะถ้าไม่มีศิลปะแรงกระแทกมันเยอะ เพราะเขาทำตรงกันข้าม

แต่คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกที่มีพื้นฐานไปทางโทนร้อน แล้วเลี้ยงยาก ฟังหมอเดวแล้วท่านสบายใจอยู่อย่างหนึ่ง แม้ว่าอาจจะต้องใช้พลังเยอะมาก อึดอดทน ในการดูแล แต่บอกอยู่อย่าง ความคิดนอกกรอบ ความคิดแบบสร้างสรรค์ น้อยที่จะเกิดในกลุ่มเด็กเลี้ยงง่าย แต่ในกลุ่มเด็กเลี้ยงยากจะแหกกฎ แหกกรอบ หลายคนที่มีชื่อเสียงระดับโลกถ้าไปดูปูมชีวิตของเขาไม่ได้มาจากเด็กเลี้ยงง่ายเลย แม้กระทั่งที่เราเล่น Podcast / Youtube อยู่ วิวัฒนาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเด็กเลี้ยงง่าย เกิดขึ้นจากเด็กเลี้ยงยาก

Start up ส่วนใหญ่มาจากพวกที่ไม่อยู่ในกรอบ เพราะพวกนี้ก็สร้าง High Value Added คุณจะเป็นไทยแลนด์ 4.5 / 5.0 ไม่ได้ฝีมือด้วยเด็กเลี้ยงง่าย แต่มันฝีมือเด็กเลี้ยงยาก อันนี้พ่อแม่ภูมิใจไว้นะคือท่านกำลังได้โจทย์ที่ท้าทาย เพียงแต่เลี้ยงไปเลี้ยงมาอย่าบาดเจ็บแล้วกัน

เด็กกลุ่มที่ 3 เด็กที่อ่อนไหวง่าย จัดเต็มทุกเม็ดอีกแบบหนึ่ง น้ำตานองหน้าตลอดเวลา คือเวลาจะขึ้นเวทีก็ต้องอยู่ข้างๆ เวที ต้องการให้ใครมาโอบกอด แล้วน้ำตาไหลมีความรู้สึกว่า Sensitive มาก อ่อนไหวง่าย ใครพูดผิดหูไปนิด คำเดียว กลับไปนั่งคิดอีกเป็นชั่วโมง

ลูกอยู่ในกลุ่มนี้ค่ะ เขาอ่อนไหวง่าย เก็บทุกเม็ด วันนั้นแม่บอกหนูแบบนี้ แต่วันนี้แม่ไม่ทำ ดราม่าจัดเต็ม เป็นสายดราม่า อันนี้อารมณ์ศิลปิน

สำหรับสายศิลปินหน้าที่เราคือวอร์มอัพ ให้เขารู้จักการจัดการกับอารมณ์ เปิดพื้นที่การระบายอารมณ์ได้ในขณะเดียวกันเปิดพื้นที่การจัดการอารมณ์ได้ ถ้าเราสามารถทำให้เกิดความมั่นใจ และสามารถสะท้อนอารมณ์ของเขาได้ แล้วเขาได้รับความไว้วางใจ มั่นใจ นึกตอนที่เด็กที่เขาต้องการกำลังใจ หันมองไปมองมา เด็กเหล่านี้บางทีสิวเม็ดเดียวคิดเป็นวรรคเป็นเวร ยาวเป็นชั่วโมง บางทีเป็นวัน เขาคิดมาก

แต่ถ้าเราสามารถสร้างความมั่นใจบน Self Esteem อะไรก็ตามที่เขาสามารถทำได้และภาคภูมิใจ และเราก็มี Reflection วิธีสะท้อนคิดสะท้อนอารมณ์ทีดี ในที่สุดเขาจะเกิดความมั่นใจ แล้ววันที่เขาเกิดความมั่นใจอารมณ์ศิลปินของเขาก็จะรังสรรค์สิ่งที่ดีงามออกมาในเชิงสร้างสรรค์ที่ไม่ได้ไปหมกมุ่นกับตัวเอง กับความ Sensitive กับดราม่าตรงนั้น เพราะพลังพวกนี้อารมณ์แบบพลังศิลปินเยอะ ซึงแต่ละอันจะมีมูลค่าทั้งสิ้น

เด็กประเภทบ้าพลัง สามารถวิ่งได้ทั้งตึกแค่นี้กิ๊กก๊อก พลังเยอะไม่รู้ไปเอาพลังมาจากไหนวิ่งอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกบ้าพลัง หรือกลุ่มที่อ่อนไหวง่าย กลุ่มเลี้ยงยากทำตรงกันข้ามที่พ่อแม่บอก กลุ่มเหล่านี้หมอเข้าใจและเห็นใจพ่อแม่ว่าเหนื่อย มันไม่เหมือนเด็กเลี้ยงง่าย 3 กลุ่มนี้เหนื่อยทุกกลุ่ม พ่อแม่ก็ต้องใส่แรง

จริงๆ ยังมีประเภทที่ 5 อีกอันนึง คือ Mixing ผสมสานทุกแบบ ประเภทบางสัปดาห์เลี้ยงง่าย บางสัปดาห์เลี้ยงยาก บางสัปดาห์อ่อนไหวง่าย มาแบบ Mixing เพราะฉะนั้นอันนี้แหละที่หมอถึงได้บอกว่าเด็กไม่ใช่ผ้าขาวโปรดอย่าเข้าใจผิด แล้วอย่าเปรียบเทียบ เพราะนึกสภาพดูนะ สมมุติ แม่คนนึง คนพี่เลี้ยงง่ายตอนที่เลี้ยงด้วยประสบการณ์ตัวเองมีลูกคนแรก เลี้ยงไป คนนี้ปรับตัวได้ แค่ 2 ขวบ ไปศูนย์ปฐมวัย เนอร์สเซอรี่ได้แล้ว ไม่งอแง แต่พอมาคนน้องมีอารมณ์เป็นศิลปินเลย 2 ขวบร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ไปไม่ได้ แม่เริ่มเปรียบเทียบ

ถ้าแม่ไม่เข้าใจ Concept แบบนี้ แม่จะเริ่มเปรียบเทียบทำไมแกไม่เหมือนพี่เลย อารมณ์เริ่มมา พออารมณ์เริ่มมาเริ่มหลุด แล้วก็ไปเปรียบเทียบ พอเปรียบเทียบขึ้นมา นึกถึงอารมณ์เจ้าเด็กที่อ่อนไหวง่าย เก็บมาคิดไหม ขนาดพูดผิดไปประโยคเดียวยังเก็บมาคิดกันเป็นสัปดาห์เลย พอสั่งสมนานๆ เข้า ความเป็นไม้เบื่อไม้เมา บาดแผลใจ นี่เป็นจุดนึงที่เราใช้คำว่า Sibling Rivalry ความหมายคือความอิจฉาริษยาระหว่างพี่น้อง

ที่นี้เราจะเห็นเลยว่าพ่อแม่หลายคนก็มีความหนักอกหนักใจที่ลูกบอกออกมาได้อย่างไรว่า รักพี่มากกว่า แม่ไม่ได้รักหนูหรอก เขาสังเกตอากัปกิริยา ว่าถูกตอบสนองในลักษณะไหนบ้าง มันเป็นเรื่องของศิลปะในการเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเราสามารถใช้ Concept ได้ เราใช้หลักการได้

คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านที่ฟังเราอยู่ จงมองอยู่อย่างหนึ่งเลยว่าลูกทุกคนมีคุณค่าอันนี้คือ Concept แรก ถ้าเราเข้าใจว่าลูกทุกคนมีคุณค่า แต่เป็นคุณค่าในแบบฉบับของเขาเอง คนพี่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับคนน้อง แต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่มีคุณค่าในตัวเอง ถ้าเราวางคงใน Concept ของเราไว้ในลักษณะนี้เราจะไม่เสียศูนย์

ข้อที่สองที่เราจะต้องคิดไว้เลยว่า เมื่อลูกทุกคนมีคุณค่าการปรับวิธีการ กระบวนต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่คงไว้ซึ่งหลักการเหมือนกัน พูดง่ายๆ คือเราจะไม่ใช้ความรุนแรง แต่เราต้องมีวินัย มันเป็นไปไม่ได้ว่าบ้านนี้ไม่ต้องมีวินัย ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ต้องฝึกฝน หรือเป็นเด็กเลี้ยงง่ายไม่ต้องมีวินัย ไม่ใช่ หลักการคือต้องชัด พ่อแม่หลักการต้องชัดก่อน

ต้องสามารถ Modify ได้ เรียกว่ายืดหยุ่นและมีการปรับเข้าปรับออกเพื่อทำให้เห็นเลยว่าแต่ละคนก็มีแบบฉบับของตัวเองถ้าเราทำในลักษณะคล้ายๆ แบบนี้ได้ หมอเชื่อว่าเราก็จะมีความสุขในการเลี้ยงลูกได้ แม้ว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ความน่าสนใจอีกอันคือ ยิ่งมีลักษณะที่แตกต่างกัน เวลาบ้านไหนก็ตามที่มีครอบครัวความเป็นหัวใจประชาธิปไตย ที่ใช้สุนทรียสนทนาในบ้าน ลองนึกสภาพ

หมอเปรียบเทียบ พ่อแม่คนหนึ่ง มีลูก 4 คน ลูกคนแรกเลี้ยงง่าย ลูกคนที่ 2 เลี้ยงยาก ลูกคนที่ 3 อ่อนไหวง่าย ลูกคนที่ 4 บ้าพลัง เมื่อเข้าสู่สมัชชาครอบครัวความคิดเห็นต่างจะเป็นสุดยอด แต่ละคนก็จะมีมุมมองของแต่ละคน

 

ติดตาม รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

รักลูก The Expert Talk EP 02: เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว ตอน มหัศจรรย์แห่งการฟัง

 

รักลูก The Expert Talk EP 02: เลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว ตอน มหัศจรรย์แห่งการฟัง

บางบ้านหาคนฟังไม่เจอ ต่างฝ่ายต่างพูด ปากเปียกปากแฉะลูกก็ยังเป็นเหมือนเดิม ลองใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง แค่เริ่มต้น “ฟัง” แล้วทุกอย่างจะเปลี่ยน โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

 

ชวนคุณพ่อคุณแม่ มาสร้างมหัศจรรย์แห่งการฟัง เพราะทุกวันนี้ที่เกิดปัญหา จริงๆ แล้วเกิดจากการที่เราไม่ฟังในปัญหาต่างๆ การสื่อสารสร้างสายสัมพันธ์ในบ้าน

การฟังเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารซึ่งกันและกัน การสื่อสารมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ 1.ภาษาที่เราพูดออกไป 2.การฟัง และอีกอันคือ 3.อวัจนภาษา คือ ไม่พูดออกมาแต่ดูจากท่าทางก็รู้ว่าเป็นมิตรหรือไม่เป็นมิตร สื่อสารออกมาด้วยท่าทาง ฉะนั้นการฟังถือเป็นเรื่องของการสื่อสาร การสื่อสารพลังบวกถือว่ามีความหมายมาก

การสื่อสารที่ดีต่อกันก็จะช่วยให้มิตรภาพหรือสัมพันธภาพยิ่งดี แต่ถ้าการสื่อสารไม่ดีก็จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้ด้วย แม้กระทั่งการฟังเองก็มี 3 แบบ

ระดับแรก คือฟังอย่างเดียว แต่ทุกวันนี้คือพูดอย่างเดียว ยิ่งคนเป็นแม่ บ่นมากกว่าฟัง บางบ้านหาคนฟังไม่เจอ มีแต่ต่างฝ่ายต่างพูดกันเต็มไปหมด ปากเปียกปากแฉะ เป็นประโยคที่พ่อแม่ใช้ประจำเลยว่า พูดปากเปียกปากแฉะก็ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม


ระดับที่สอง คือฟังแล้วสะท้อนความรู้สึกที่ทำให้คนเล่าอยากเล่าต่อ

ระดับที่สาม คือฟังแล้วเหลาความคิด ฟังสองระดับแรกไม่ต้องฝึก ถ้าตั้งใจจริงๆ ทำได้ ไม่ต้องไปเข้าค่ายฝึกการฟัง เพราะฟังอยากเดียวถ้าเราตั้งใจฟังก็ทำได้ แต่หลายบ้านหาคนฟังไม่เจอ คนฟังกลายเป็นเด็กไป หมอจะเปรียบเทียบให้คนที่ฟังเราอยู่ตอนนี้

เคยไหมเวลาเช้าตื่นมา เราจะเปิดทีวีเป็นเพื่อนขณะที่เราทำกิจวัตรของเราไป แล้วเราก็ไม่ได้ฟังว่าทีวีพูดอะไร แล้วเราก็ทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ ต่อเมื่อมีข่าวที่กระชากอารมณ์ขึ้นมา เราก็จะหันไปมองทีวีสักทีนึงว่าข่าวอะไร เป็นมั้ย เวลาพ่อแม่พูดมาก พูดเยอะแยะไปหมด แม้แต่ลูกเค้าก็จะทำคล้ายๆ เหมือนที่เราฟังทีวี คือเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พ่อแม่พูดไปเถอะเข้าซ้ายออกขวา จนแม่ถามว่าแกไม่ฟังฉันบ้างเลยหรอ ลูกก็ถามแม่พูดอะไรหรอขออีกที สังเกตเลยว่าหัวใจแห่งการรับฟังมีความหมายมาก

หมอเคยมีเคสนึง นักจิตวิทยาป่วยเป็นภาวะซึมเศร้า เราให้ยาภาวะซึมเศร้า แต่พอผ่านไปประมาณเดือนเศษ เราติดตามผลพบว่าเขามีอาการดีขึ้น หมอก็ถามว่าคุณใช้วิธีการอะไร นักจิตวิทยาเล่าว่า เขามีหน้าที่ไปเยี่ยมบ้าน เพื่อไปให้กำลังใจ แล้วมีอยู่บ้านหนึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย นอนเตียง หายใจรวยริน ไม่มีเรี่ยวแรง นักจิตวิทยาก็ทำทุกทางลูบแขน กายสัมผัส แล้วก็พยายามคุย เนื่องจากผู้ป่วยเองก็ไม่มีแรงจะโต้ตอบอะไรทั้งสิ้น

นักจิตวิทยาก็เล่าทุกอย่างจนไม่รู้จะเล่าอะไรแล้ว ก็เลยเริ่มเล่าเรื่องส่วนตัวให้กับผู้ป่วยมะเร็งฟัง แล้วสบายใจในการเล่า เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะผู้ป่วยไม่มีแรงโต้ตอบ ฟังอย่างเดียวจริงๆ นักจิตวิทยาสบายใจอีกขั้น คือเค้ามั่นใจว่าผู้ป่วยจะไม่ไปซุบซิบนินทา และจะไม่เอาความลับเค้าไปเปิดเผย ก็เลยเล่า นักจิตวิทยาของผมดีวันดีคืนครับ จนในที่สุดหายป่วยแต่คนไข้ตาย รู้มั้ยใครเป็นคนรักษา ไม่ใช่ยานะครับ มหัศจรรย์แห่งการฟัง เห็นไหมว่าการฟังอย่างเดียวเยี่ยวยานักจิตวิทยาให้หายป่วยจากภาวะซึมเศร้าได้

ฟังให้เป็น

วันนี้กลับไปถามคุณพ่อคุณแม่ที่ฟังเราอยู่ตกลงวันๆ เราฟังเสียงหัวใจลูกไหม และเสียงของเด็กมีความหมายมาก ฟังลูก แค่เปิดใจรับฟังอย่างไม่ต้องติเตียน ฟังอย่างเดียว ฟังอย่างมีสติ ไม่ใช่แม่ทำกับข้าวไป ลูกมาสะกิด หนูทำผลงาน.......เออรู้แล้วแม่ทำกับข้าวอยู่ อย่างนี้ไม่เรียกว่าฟังในระดับแรกอย่างที่คุณหมอบอก เพราะการฟังในระดับแรกคือการฟังอย่างมีสติ ถ้าไม่พร้อมก็บอกลูกเลยว่าแม่กำลังทำกับข้าวอยู่ เดี๋ยวแม่เสร็จแล้วจะไปนั่งฟังลูกเลย ถ้าส่งสัญญาณแบบนี้ปุ๊ป แสดงว่าเรากำลังใช้ประเด็นแรก คือการฟังอย่างมีสติ แล้วฟังในระดับนี้ไม่ต้องพูดเลย ฟังอย่างเดียว

ผมยังมีคนไข้อีกหนึ่งนะ เด็กคนนี้อยู่ชั้น ม.1 แล้วสอบเข้าติดโรงเรียน ด้วยความที่เป็นเด็กผู้ชายอยากเล่นฟุตบอลมาก แล้วเขาก็ไปเตะฟุตบอล แต่เนื่องจากเพื่อนของเขาหายไปไหนไม่รู้ สรุปคือเพื่อนๆ ไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำ แต่เด็กคนนี้ไม่ได้สูบนะ แค่อยากรู้ว่าไปไหนกัน

แต่คงเป็นคราวเคราะห์ที่ครูฝ่ายปกครองมาเจอแล้วก็รวบทั้งหมดเรียกผู้ปกครองพบรวมทั้งผู้ปกครองของเด็กคนนี้ด้วย เด็กคนนี้ก็พยายามสะท้อนว่าไม่ได้ยุ่งอะไรกับพวกนี้เลย แต่ผู้ปกครองถูกทำทัณฑ์บน แล้วครูก็ย้ำกับผู้ปกครองว่าทุกครั้งที่เจอลูก ใ้ห้ถามว่ายังคบกับเพื่อนกลุ่มเดิมอยู่ไหม ยังสูบบุหรี่อยู่หรือเปล่าทำนองนี้

ซึ่งคุณพ่อท่านนี้ทำหน้าที่ได้อย่างซื่อสัตย์มาก ก็ถามแบบนี้ทุกครั้งที่เจอหน้า ปรากฏว่าทำไปทำมาเด็กเริ่มจิตตกแล้วก็เป็นเหตุให้มาพบหมอ วันที่มาพบหมอ หมอก็ถามคุณพ่อ ว่าคุณพ่อมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ ในครอบครัวเป็นยังไงบ้างสัมพันธภาพระหว่างภรรยาเป็นยังไงบ้างพ่อก็ตอบว่า ดีไม่มีปัญหาเลย ทุกอย่างดีหมด มีเรื่องเดียวผมกลัวลูกจะติดยา แล้วหมอก็ถามว่าพ่อใช้เทคนิคอะไรถึงไม่มีปัญหาอะไรกับภรรยาเลย เขาตอบว่าผมก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังอย่างเดียว หมอเลยถามว่าฟังยังไง

เขาก็เล่าเวลาภรรยาผมกลับจากที่ทำงานมีเรื่องราวเยอะแยะมากมายเขาก็จะมานั่งข้างๆ ผมก็โอบไหล่ นั่งฟังอย่างเดียว มีบ้างที่บางครั้งผมโอบไหล่และตบไปเบาๆ แล้วบอกเอาน่า เดี๋ยวเวลาผ่านไปมันจะดีเอง แล้วหมอก็ถามต่อว่าผลลัพธ์เป็นยังไง ภรรยาก็เล่าเรื่องต่างๆ เสร็จเรียบร้อย ก็เดินผิวปากสบายใจ แล้วแกก็ไปทำงานต่อ

เห็นอะไรไหมครับ หมอเลยถามคุณพ่อว่า คุณพ่อครับแล้วแบบนี้เคยทำกับลูกบ้างมั้ย คุณพ่อนิ่งเงียบเลย ไม่เคยเลย ในการที่จะนั่งลงแล้วถามว่าลูกมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ หรือมีเรื่องอะไรดีๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้าง และทำหน้าที่ในการฟังอย่างเดียว แถมถ้าโอบไหล่เบาๆ แล้วอาจจะบอกลูก เอาน่า เดี๋ยวเวลาผ่านไป มันจะดีขึ้นเอง

การฟัง 3ระดับ

เพราะฉะนั้น ฟังในระดับที่หนึ่งคือฟังอย่างมีสติ ฟังอย่างเดียวเลย ไม่ต้องสะท้อนความรู้สึก ฟังอย่างเดียวจริงๆ ถ้าท่านทำอะไรไม่ได้ ฟังอย่างเดียวเยียวยาไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าอยากจะเติมเพิ่มสะท้อนความรู้สึกที่ดี ที่คนเล่าอยากเล่าต่อ หมอยกตัวอย่าง เช่น ตั้ม สมัยแม่เป็นวัยรุ่นคิดเหมือนตั้มเลย ไหนลองเล่าต่อสิเกิดอะไรขึ้น อันนี้ตั้มอยากเล่ามั้ย? เอาใหม่เปลี่ยนใหม่แทนที่จะสะท้อนความรู้สึกที่ดี สมองมีแค่นี้หรอ คิดได้แค่นี้หรอ หมอไม่คิดว่าคนๆ นั้นจะเล่าต่อ

ฟังในระดับที่สองสะท้อนความรู้สึกจริงๆ พ่อแม่ทุกคนก็ทำได้ แต่โจทย์อยากคือมันสะกดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ คือเราก็จะรู้สึกว่าทำไมลูกไม่ดีดั่งใจอาจจะมีความรู้สึกแบบนั้น เลยทำให้มันปนเปกับความรู้สึกแล้วก็สะท้อนออกความรู้สึก แทนที่จะสะท้อนแบบดีออกมา ดีที่ลูกเล่า ก็กลายเป็นออกมากระบุงโกรธ

แต่ฟังในระดับสามอันนี้ต้องฝึกจริงๆ คือการใช้คำถามปลายเปิด ลูกรู้สึกยังไง ลูกคิดเห็นยังไง ถ้าเป็นลูกจะแก้ปัญหายังไง พวกนี้ต้องฝึก ซึ่งอันนี้เป็นมหัศจรรย์แห่งการฟัง สิ่งที่หมออยากฝากพ่อเลยคือว่า เราจะได้หัวใจของลูกกลับคืนมาทันทีที่เราใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง ฟังอย่างเดียว

วันนี้คุณพ่อคุณแม่ลองเปลี่ยนบุคลิกเลย เปลี่ยนจากวิธีการที่พูดปากเปียกปากแฉะ พูดแบบที่ท่านบอกปากจะฉีกถึงรูหู เปลี่ยนใหม่เป็นวันนี้ฟัง ลองดูถ้าเปลี่ยนทันทีคนแรกที่รู้สึกทันทีเลยคือลูก วันนี้แม่เปลี่ยนไป แม่ไม่เหมือนเดิม แล้วยิ่งถ้าเขาเล่าอะไรออกมา อย่าเพิ่งไปวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าอยากจะพูอะไรออกไปก็ใช้เทคนิคเหมือนคุณพ่อคนนี้ที่เค้าโอบไหล่เบาๆ เอาน่าเดี๋ยวเวลาผ่านไปจะดีขึ้นเอง

แต่หากต้องการเหลาความคิด คำถามปลายเปิดแบบที่หมอฝากไว้ ก็คือความรู้สึก เช่น ลูกรู้สึกอย่างไร เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมดตอนนี้ แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แม่รู้ว่าลูกโกรธ อันนี้เป็นการสะท้อนความรู้สึกเพื่อให้เค้าจับอารมณ์เค้าได้ว่าเรื่องราวที่เล่ามาแบบนี้ แม่จับความได้แล้วละว่าลูกคงรู้สึกโกรธมากใช่มั้ย พอจะบอกได้มั้ยว่าอารมณ์โกรธเกิดจากอะไร แล้วถ้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะจัดการอย่างไร อันนี้คือวิธีการในการเหลาความคิด

ซึ่งถ้าเราเชฟแบบนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปเค้าจะเป็นเจ้าของความคิด เจ้าของวิธีการจัดการโดยที่พ่อแม่เองจะทำหน้าที่รังสรรค์ค่อยๆ เหลาเค้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเค้าสามารถไปในทิศทางที่บวกได้

ประสบการณ์สไตล์หมอเดว

เทคนิคในลักษณะแบบนี้หมอเคยใช้บ่อย โดยเฉพาะตัวหมอเองตอนที่ประพฤติปฏิบัติตลอดก็คือ ครั้งหนึ่งที่ลูกสาวเคยเล่าให้ฟัง ตอนเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายคุณครูถามวิธีการจัดการความเครียดของนักเรียนแต่ละคน แต่ละคนก็จะตอบ ไปร้องเพลง ไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยว แต่ลูกสาวตอบว่า หนูเดินเล่นกับพ่อหายเครียด ทำไมกลายเป็นอย่างนั้นละ ก็เมื่อไหร่ก็ตามที่พ่อนั่งอยู่ริมสระเป็นเวลาที่เรียกว่าเรามอบให้แล้วว่าจะเป็นผู้ฟัง แล้วก็ไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์เราก็นั่งฟัง

วิธีการก็คือเหลาความคิด ลูกเราจะแก้ปัญหายังไงดี แล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะทำยังไง การโยนคำถามให้ เวลาเราโยนคำถามให้แล้วเห็นความคิดของเค้าออกมา

หมอจะยกตัวอย่างหนึ่ง คือตอนซีรส์ เรื่องฮอร์โมนวัยว้าวุ่นกลายเป็นประเด็น หมอไม่ดูเรื่องเหล่านี้นะ ก็ถามลูกสาวได้ดูไหม เขาก็บอกว่าดูทุกตอน หมอเลยให้เขาช่วยวิเคราะห์ให้พ่อหน่อยว่าดูแต่ละตอนแล้วรู้สึกอย่างไร เค้าก็สะท้อนเลยว่า เจ้าวินเป็นยังไง สไปรท์เป็นยังไง แล้วคนดูจะได้อะไร

เวลาเราฟังลูกของเราเองวิเคราะห์หนังในลักษณะนี้มันทำให้เรารู้ทันนี้ว่าลูกดูหนังอย่างคิดเป็น และเขาสามารถวิเคราะห์ได้ และบทวิเคราะห์ของเค้าก็เป็นส่วนหนึ่งตอนที่หมอเข้าไปดูจริงๆ ปรากฏก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วตอนที่มีคนมาขอข้อวิพากษ์วิจารณ์ของหมอในเรื่องนี้ ส่วนที่หมอวิพากษ์วิจารณ์ไป ต้องบอกเลยว่าเคารพความคิดเห็นของลูก ที่หมอเอามาใช้

เราสบายใจอย่างหนึ่งว่าเวลาเขาบริโภคสื่อในลักษณะนี้จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่ หรือจะเป็นช่วงวัยของความเป็นวัยรุ่นแล้วมีบางเรื่องที่เขาอยากรู้ หรือพอดูแล้วมันมีเนื้อหาบางเรื่องมันดูแล้วอาจจะไม่เหมาะ แต่ถ้าถูกฝึกให้เหลาความคิดไปด้วย นสื่อที่ไม่เหมาะมันจะกลายเป็นสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเขาเองได้ เป็นจุดหนึ่งที่สบายใจได้มากขึ้น

หมอจึงอยากฝากพ่อแม่ว่าหัวใจสำคัญที่สุดเราต้องรู้จักในการที่จะเป็นผู้ฟัง ช่วยลองเปลี่ยนแปลงตัวเองสักหน่อย เปลี่ยนจากที่เราพูดมาทุกวัน อย่าให้ลูกปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นทีวีเครื่องหนึ่งที่กำลังพูดอะไรออกมาเยอะแยะ พอถึงเวลากลายเป็นว่าลูกเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พอถึงเวลาเราถาม แกไม่ได้ยินฉันหรอ แม่พูดอะไรนะขออีกที อย่าให้เป็นลักษณะนั้นเลย

จงใช้มหัศจรรย์แห่งการฟัง มาเป็นตัวเปลี่ยนแล้วมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อะไรก็ตามที่เราคิดว่าทำยาก เริ่มต้น แล้วเราเริ่มต้นจากการเป็นผู้ฟังก่อน ฟังอย่างเดียว หมอเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะเอาให้เก่งขึ้นไปอีก ฟังแล้วสะท้อนความรู้สึกที่ดี ถ้าให้สุดยอดเลยคือฟังแล้วเหลาความคิดไปด้วย

 

ติดตาม รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

รักลูก The Expert Talk EP 03: Opened Mindset or Fixed Mindset


 

รักลูก The Expert Talk EP 03: Opened Mindset or Fixed Mindset

ติดกรอบหรือเปิดกว้าง...คุณเป็นพ่อแม่แบบไหน ลูกจะสามารถอยู่รอดได้ในสังคมอย่างเป็นคนปกติ หรือเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะต่ำ อยู่ที่ทัศนคติของพ่อแม่ ชวนมาเปิดหัวใจ กับ 5 วิธีสู่การเป็นพ่อแม่ที่มี Open Mindset เพื่อให้การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

 

Mindset  ถ้าแปลเป็นไทยง่ายๆ  ก็คือทัศนคติ คือถ้ามีทัศนคติหรือจิตใจที่เรียกว่าไม่เปิดกว้าง  จิตใจที่ไม่เปิดกว้างกับจิตใจที่เปิดแล้ว สังคมในยุคปัจจุบัน ที่กลายเป็นสังคมที่ไร้พรมแดน เป็นโลกยุคดิจิทัลจะเห็นเลยว่าเด็กๆ  ยุคปัจจุบันนี้เขาสามารถที่จะบริโภคสื่อผ่านระบบโชเชียลมีเดียแม้กระทั่งที่เรากำลังทำ Podcast  มันเป็นวิธีการใหม่หมดเลย พอมันเป็นวิถีชีวิตในลักษณะแบบนี้

เด็กเจนเนอเรชั่นใหม่เขาสามารถเข้าถึงเรื่องพวกนี้ได้หมดเลย สถานภาพของครอบครัวจึงมีอาคันตุกะใหม่เพิ่ม  ถ้าทัศนคติของเราเปิดเราสามารถเรียนรู้ข้ามวัยกัน  เรียนรู้บนความหลากหลายทางเพศ อันนี้จะเป็นลักษณะของ  Open Mindset 

แต่ถ้า  Fix Mindset  เลยเหมือนอุตสาหกรรม เช่น  ระบบการศึกษาปัจจุบันนี้ ที่เข้าสู่สายพาน อันนี้หมอไม่ได้โทษใครแต่โทษทั้งระบบ เช่น  เราต้องมีระบบแพ้คัดออก  เวลาเข้าสู่อนุบาลก็ต้องเข้าไปเรียนประมาณนี้  คิดนอกกรอบไม่ได้ แล้วเวลาขึ้นสู่อนุบาล  1 2 3 เสร็จแล้วก็ต้องสอบเข้า แล้วก็ต้องเข้าโรงเรียนดังๆ  เข้าไปเสร็จก็ต้องเรียนเยอะๆ การบ้านเยอะๆ

 ตื่นตีห้าล้อหมุน  6 โมงเช้า กินข้าวเช้าบนรถ มาถึงโรงเรียนก็มีการบ้านเช้า ครูเขียนไว้บนกระดาน พอถึงเวลาปุ๊บ ถ้ามาสายเกิน  7 โมงครึ่ง ลบกระดานออก หมอก็ถามว่าแล้วคนที่มาสายกว่าทำอย่างไร ลอกเพื่อนเอาตัวรอด ตามมาด้วยวิชาที่เรียน แล้ววิชาที่เรียนก็กลายเป็น  Fix หมด ลักษณะที่  Fix หมดทั้งหลายที่ไม่สามารถเปิดทางเลือกใดๆ ได้เลย 

 การบ้านที่คุณครูก็ให้นึกว่าเรียนวิชาแกวิชาเดียวเทกระจาดเข้าไป จนตกเย็นไปกวดวิชา ดินเนอร์บนรถ รถติดไปถึงบ้าน ทำการบ้านเสร็จกว่าจะเรียบร้อย เข้านอนเกือบเที่ยงคืน  ตื่นตี 5 ล้อหมุน 6 โมงเช้า เหมือนเดิมเป็นแบบนี้จันทร์ถึงจันทร์

หมอมีคนไข้เด็ก ม.4 โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง  เดินเข้ามาอย่างกับซอมบี้ ผีดิบ เขาเรียนจันทร์ถึงจันทร์ เขาภูมิใจมากเลยเรียนจันทร์ถึงจันทร์ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนการเรียนรู้แบบ  Fix Mindset  ไม่ใช่  Open Mindset  

ความปรารถนาดีความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูกเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรา Open Mindset  สักนิดนึงแล้วเราถอยออกมาแล้วเราอยู่ในสถานะที่ เราใช้คำว่า  Scaffolding (นั่งร้าน) คือครูหรือพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน จะต้องทำเป็นนักอำนวยการเรียนรู้ ไม่ใช่ไปครอบงำ เพราะโลกมันเปิดหมดแล้ว  สิ่งที่เราเรียนในตำราเรียนแบบเดิม แต่ถ้าไปเรียนรู้ต่างวัฒนธรรมมันอาจจะไม่ใช่ 

 แต่ในขณะที่เขาสามารถไปสัมผัสสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เลย แล้วถ้าเรารังสรรค์สิ่งเหล่านี้ให้เกิดในบ้าน  เรียกว่าครอบครัวหัวใจประชาธิปไตยมันเกิดขึ้นในบ้านเลยไม่ได้เหรอ แล้วเกิดขึ้นในโรงเรียนไม่ได้หรอ คือถ้ามันเกิดขึ้นในลักษณะนี้หมอเชื่อแน่ว่าผู้ใหญ่สิ่งที่จะต้องปรับเลยคือ  Open Mindset  ทัศนคติต้องเปิด  ใจต้องเปิด ถ้าใจไม่เปิดสมองไม่เกิดการเรียนรู้ อันนี้เป็นหลักการ คือถ้าใจไม่เปิดแล้วใจเราปิด เราคิดเลยว่าสิ่งที่ลูกคิดอยู่นี้พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ดีที่มันไม่ลวก

 อาบน้ำร้อนมาก่อน ต้องเชื่อพ่อแม่

อย่าลืมว่าพ่อแม่เติบโตในยุคนู้น แล้วถ้ายิ่งเป็นปู่ย่า ตายาย อีกยิ่งในยุคนู้นไปอีก อันนี้มันยุคนี้  ทีนี้จะอยู่อย่างไรให้มันกลายเป็นการ  Open Mindset  ที่เรียกว่าทัศนคติเราเปิดแล้ว ทัศนคติที่เปิดแล้วระบบการศึกษาก็จะไม่ได้เป็นลูฟแบบนี้ พ่อแม่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  ลูกเรียนเข้าไว้ ต้องเรียนสูงๆ เข้าไว้ จบด็อกเตอร์พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่ในลักษณะนั้น

เราเป็นพ่อแม่ต้องถอยกลับมานั่งมองเลยว่า ลูกจะอยู่ร่วมกับสังคมอย่างไร เวลาลูกเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียนลูกจะต้องมีวิชาชีวิต ลูกก็ต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น  ในขณะเดียวกันเองเวลาที่มาที่บ้าน 

 หมอเคยพูดไว้หลายครั้งเลยว่า เช็ด ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน เป็นเบสิกขั้นพื้นฐานมากเลย ถ้าเราเปิดใจในลักษณะนี้ วันนี้ลูกหลานเราจะไม่เป็นหุ่นยนต์เดินได้ เพราะเรากำลัง Fix Mindset  เข้าสู่สายพานเข้าอนุบาล  1 2 3 จะต้องกวดวิชาแค่ไหน แล้วจะต้องไปสอบเข้า พอสอบเข้าเสร็จปุ๊บ ต้องเข้าโรงเรียนดัง ต้องสายอินเตอร์ เป็นไบลิงกัวร  อันนี้เป็นประชานิยมนิดนึง มีการบลั๊ฟกันระหว่างพ่อแม่อีก ว่าลูกเธอเรียนที่ไหนเนี่

 สมมติมีลูก 2 คน คนหนึ่งเรียนโรงเรียนสาธิต อีกคนเรียนโรงเรียนวัด คนที่เรียนโรงเรียนวัดหงอยไปเลยนะ อันนี้คือลักษณะของ Fix Mindset  ทั้งสิ้น ถ้าใจเปิดเราจะรังสรรค์ให้เกิดการเรียนรู้ได้ รูปแบบต่างๆ การสุนทรียสนทนาในบ้านจะเกิดขึ้น 

 5 หัวใจที่มันจะกลายเป็น Open Mindset 

เป็นกระบวนการที่ทำให้พ่อแม่ทุก Generation จะไม่มีปัญหากับลูกทุก Generation  

 1. รักอบอุ่น  และไว้วางใจ 

 นัยยะของหมอคือรักร่วมทุกข์ ร่วมสุข วันนี้กลับไปถามใจตัวเองก่อน จริงหรือป่าวว่ารักร่วมทุกข์ร่วมสุข แม้แต่เช็ด ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน  ทุกวันนี้บางคนกางเกงในตัวเองยังไม่ซักเลย ถุงเท้าตัวเองก็ไม่ซัก ถ้ารักต้องรักร่วมทุกข์ร่วมสุข คุณแม่ตอนที่เกิดมาตั้งท้อง แม่ไม่ได้สบายกายนะ ทุกข์กายแต่ใจพองโต 

 แล้วความทุกข์ทางกายสุดยอดตอนที่คลอดลูก เจ็บปวดที่แม่ได้รับ แสดงว่ารักนี้เกิดขึ้นบนความเจ็บปวด แต่เป็นความเจ็บปวดที่หัวใจพองโต ได้ยินเสียงลูกร้อง เอาลูกมาซบอกดูดนมแม่ กลายเป็น  Tender loving care รักนี้จึงกลายเป็นรักที่สมบูรณ์แบบที่ต่อให้ลูกจะเป็นอะไรก็ตามก็รักหมดใจไม่มีเงื่อนไข ทำไมเราไม่ใช้กระบวนการนี้ในการฝึกลูกเราบ้าง 

 เมื่อเขาเติบโตขึ้นไปเขาต้องรักเป็น  รักเป็นไม่ใช่สำลักความรัก แต่ต้องบนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน เบสิกพื้นฐานเลย วันนี้คุณพ่อคุณแม่กลับไปถามใจตัวเองเลยว่าลูกเช็ด  ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจานบ้างไหม แล้วลองฝึกหัดเขาบนเรื่องนี้เลยแล้วคุณธรรมจะเกิด  รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ใช่รักอบอุ่นและไว้วางใจ เทไปเลยลูกอยากได้อะไร เดี๋ยวแม่จะให้คนใช้ไปใส่ถุงเท้าบนห้องนอน อันนี้เยอะไปแล้วคุณพ่อคุณแม่

2. การสื่อสารพลังบวก 

การใช้วิธีการสื่อสารซึ่งกันละกันที่ดีๆ ก็จะทำให้เกิดสุนทรียสนทนา เราอาจจะกำหนดกติกาก็ได้ว่าความคิดเห็นแต่ละคนมันหลากหลาย ลูกคนโตกับลูกคนเล็ก ลูกผู้ชายกับลูกผู้หญิง อาจจะไม่เหมือนกัน พ่อแม่ก็อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน 

 เวลาเราจะสุนทรียสนทนาในบ้านซึ่งกันและกันเราอาจจะกำหนดกติการ่วม ถ้าเมื่อไหร่ที่อินไปกับอารมณ์แล้วเราอาจจะขอพักเบรก กติกาง่ายๆ ในลักษณะแบบนี้จะทำให้เกิดการเปิดใจ  เป็น  Open Mindset  อันนี้คือการสื่อสารที่ดี ที่หมอใช้คำว่าสุนทรียสนทนา 

3. บ้านต้องมีวินัย

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีวินัย แต่เป็นวินัยเชิงบวกที่หมอใช้คำว่า  Kindly but Firmness คือ มีหลักการ มีเหตุผล แต่ยืดหยุ่นได้ หมายถึงว่าไม่ใช่กฎกติกาที่ออกโดยใครคนใดคนนึง แต่มาจากการมีส่วนร่วม แม้แต่เสียงเด็กเล็กๆ เชื่อไหมว่าแม้แต่อนุบาลเรายังสามารถคุยกับลูกของเราเพื่อกำหนดกติกาได้เลย

 โดยใช้คำพูดง่ายๆ ว่า แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แม่รู้ว่าลูกร้องไห้ บอกแม่สิเกิดอะไรขึ้น และถ้าคราวหน้าไม่ไห้เกิดแบบนี้ลูกจะทำยังไง คราวหน้าไม่เกิดแบบนี้จะทำยังไง  มันจะกลายเป็นกติกา  โอเคนะ ลูกสัญญาแล้วนะ ว่าคราวหน้าลูกทำแบบนี้แล้วจะไม่เกิดแบบนี้เกิดขึ้น เป็นกติกาง่ายๆ และลูกเป็นเจ้าของความคิดด้วย เราไม่ได้ไปครอบงำความคิดเขา

เพราะฉะนั้นการใช้หลักการแบบนี้ บ้านต้องมีวินัยด้วย ความหมายคือวินัยอย่างมีส่วนร่วม คือ ทุกคนฟังเสียงซึ่งกันและกัน สามารถเติมเต็ม และเกิดข้อตกลงร่วม แม้แต่ลูกวัยอนุบาลก็ทำได้ 

  วินัยเชิงบวกต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่หมายถึงหันซ้ายหันขวา ไม่ใช่การลงโทษ สมัยก่อนต้องใช้วิธีการลงโทษ อันนี้เป็น  Fix Mindset  คิดแบบเดิม  แต่ถ้าเป็น Open Mindset ยืดหยุ่นได้ อยู่บนเมตตาธรรม 

ถ้าเราน็อตหลุด ไม่ทำตามวินัย กติกาคุยกันไว้แล้วทำไมแกไม่ทำ เราโกรธ เราอาจจะบอกได้ว่าตอนนี้พ่อโกรธ พ่อคุมอารมณ์ไม่ได้ ขอพักออกไปก่อน เรามาคุยกันดีๆ แล้วก็กลับมาเหลาความคิดใหม่

 ถ้าไม่ให้เกิดแบบนี้ลูกจะทำยังไง คือลักษณะการคุยกันจะทำให้เกิดการทบทวนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง  แล้วครั้งหน้าลูกไม่ทำแล้วทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก จะให้พ่อทำยังไง เขาเรียกว่าบ้านต้องมีวินัย

4. รู้จักควบคุมอารมณ์ ซึ่งกันและกัน 

อันนี้คือ Mindset ทัศนคติ ที่จะทำให้เปิดได้ เราต้องรู้จักการจัดการอารมณ์ได้  ไม่งั้นไม่สามารถที่จะ  Open Mindset  ได้  คุณลักษณะในลักษณะนี้ของผู้ใหญ่จะกลายเป็นหัวใจเปิด มีสุนทรียสนทนา มีวินัยในการจัดการซึ่งกันและกัน สามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง 

 5.มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี

แม้แต่เจ้าตัวเล็กๆ  ก็มีศักดิ์ศรี เขามีตัวตนคือถ้าเราเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรี ในสถานะของเขา เราจะไม่เหยียดหยาม เราจะไม่ดูถูกซึ่งกันและกัน เราจะไม่บอกว่าอันนี้คือความหลากหลายทางเพศ อันนี้คือคิดมาได้อย่างไร แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน  ประโยคแบบนี้จะไม่หลุดออกมาเลย 

เพราะเรารู้อยู่ว่ามนุษย์ทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา เมื่อเป็นอย่างนั้นการฟังซึ่งกันและกัน ก็จะเกิดขึ้นได้  นี่คือคุณลักษณะที่จะนำไปสู่เรื่องของ  Open Mindset  ใจจะเปิดขึ้นทันที หัวใจสำคัญอันนี้จะกลายเป็นเรื่องของหัวใจแห่งประชาธิปไตย

 วันนี้เราไม่ต้องไปวุ่นวายตรงไหนเลย เรากลับมาเลี้ยงลูกด้วยหัวใจประชาธิปไตย แต่ครอบครัวในปัจจุบันนี้ที่เราเคยสำรวจกัน การเลี้ยงลูกที่เป็นแบบ Fix Mindset  บางจังหวะก็อาจจะโอเคนะ  เช่น ถ้าเรามีวิธีการ กระบวนการ การจัดการทัศนคติ ของเราเองในลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว  ในบางเหตุการณ์มันอาจจะจำเป็น เช่น ในตอนที่ลูกเราเล็กๆ  แล้วเราจำเป็นต้องควบคุมเพื่อไม่ให้ลูกเกิดอันตราย ปกป้องคุมครอง ใช้อำนาจในการเลี้ยง อันนั้นอาจจะเหมาะสมในสถานการณ์นั้น แต่เมื่อเขาโตขึ้นลักษณะพวกนี้เราต้องค่อยๆ ถอยลงไป เพราะ  Fix Mindset  ของเราอาจจะทำให้ลูกอ่อนแอในเรื่องวุฒิภาวะ 

ถ้าเรา Open Mindset  วุฒิภาวะเขาจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะอยู่กับเขาไปตลอด อย่างตอนที่ลูกเราเล็กๆ เราคิดแทนเขาตัดสินใจแทน ว่าอยากได้อะไร  Mindset  ของเราเป็นแบบไหน เราก็ว่าแบบนั้น เราเลือกเรียนโรงเรียนไหน ให้เข้าอะไรยังไง ลูกก็ทำไปตามนั้น แต่เมื่อโตขึ้นมาเรื่อยๆ  เปิดพื้นที่ให้เขามากขึ้น เขาเริ่มแสดงทัศนคติตัวเอง เริ่มแสดงความคิดเห็น ตรงนี้พ่อแม่ต้องภูมิใจว่าลูกเริ่มมีความคิด และทัศนคติของตนเองแล้ว 

เราจะเริ่มเปลี่ยนจาก Fix ให้กลายเป็น Open  คือเปิดพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เปิดพื้นที่มากถึงขนาดที่ตอนลูกเข้าวัยรุ่นอำนาจของเราจะเหลืออยู่แค่ 30%  อีก 70% จะกลายเป็น  Open Mindset  แล้วอะไรๆ  ก็จะสามารถมารังสรรค์ซึ่งกันและกันได้ สามารถที่จะออกแบบ สามารถที่จะอยู่ร่วม เกิดพื้นที่ส่วนตัวของเขา การเรียนรู้อยู่ร่วมกันบนวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป ยิ่งถ้าเป็นเยาวชน ขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็น  10%  ยิ่งถ้าโตขึ้นไปก็จะลดน้อยลง ทั้งหมดนี้ถ้ามันเกิดขึ้นได้ก็จะสามารถทำให้เกิด Open Mindset  ได้

ลูกช่วยฝึก Open Mindset พ่อแม่

“ลูกคือแบบฝึกหัดชีวิต พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบเปิดใจ รับฟังลูกได้บนความคิดที่แตกต่างกัน พ่อแม่จะเก่งขึ้น มีทักษะเพิ่มขึ้นและจะเลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น” “พ่อแม่ที่มี Open Mindset เปิดใจ ”จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องอดทน  ต้องเปิดใจ แม้แต่ทัศนคติเราต้องรับฟังลูกเราได้บนความคิดที่ต่าง วิธีการที่แตกต่างกัน  ใจของเราเปิดขึ้น เราเก่งขึ้น  อันนี้คนเป็นพ่อแม่เก่งขึ้นนะ  เก่งขึ้นตามลูกไปด้วย 

ตอนลูกอยู่ปฐมวัยเราก็ปรับตัวอีกแบบ  พอขึ้นวัยเรียนเราก็ต้องปรับตัวตามเขาเรื่อยๆ  ยิ่งบางบ้านมีลูกคนเดียว บางบ้านมีลูกสองสามคน พื้นฐานอารมณ์ไม่เหมือนกันอีก  พ่อแม่ที่ใจเปิดจะเลี้ยงลูกสองแบบที่แตกต่างได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวล 

แม้แต่ครูเองถ้าใจเปิดไม้เรียวไม่ต้องมี  Classroom Management  แต่เราจะใช้คำว่า Flipped Classroom เป็นห้องเรียนกลับทาง เกิดขึ้นได้หมดเลย แต่ทุกวันนี้เป็น  Fix Mindset  พอเป็น  Fix Mindset  ก็สอนแบบเดิม ๆ อัดเนื้อหาวิชาเข้าไป เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เด็กไม่สามารถตั้งคำถามได้  ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ อันนี้จะกลายเป็นปัญหาทันที  

แล้วจงภาคภูมิใจเอาไว้ถ้าเมื่อไหร่ที่เราฝึกฝนตนเองให้กลายเป็นคนที่  Open Mindset  ทัศนคติเปิดท่านจะอยู่ในที่ทำงานได้อย่างมีความสุข  อยู่ที่บ้านก็อยู่อย่างมีความสุข อยู่ในสังคมก็กลายเป็นสังคมที่เปิด เราเชิญชวนกันอยากให้เป็น open  Mindset

 

ติดตาม รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามรายการรักลูก podcastได้ที่

รักลูก The Expert Talk EP 08: ตอน ปั้นน้ำเชื้อเป็นตัว โดย โรงพยาบาลวิภาวดี

มีลูกยาก...การบ้านก็ทำแล้วนะ...พึ่งทุกทางแล้วเนี่ยะ...เจ้าตัวเล็กก็ยังไม่มาซักที

ชวนคนอยากมีลูก มีลูกยากมาปั้นน้ำเชื้อให้เป็นตัว โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พญ.อัญชุลี พฤฒิวรนันทน์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์รักษา ผู้มีบุตรยากและผ่าตัด ผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลวิภาวดี

 

จำนวนคนไข้ที่มีบุตรยากมีเพิ่มขึ้น จริงๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกปี อาจจะด้วยว่ามันคงสะสมมาระยะหนึ่ง ด้วยเทรนด์ที่คนกว่าจะตั้งตัวได้ กว่าจะเรียนจบ ด้วยอายุถือเป็นปัจจัยหนึ่ง เพราะกว่าจะเรียนจบ ก็ยังต้องทำงานก่อน จะมามีลูกก็ยังไม่มีเงินเลี้ยงลูก พออยากจะมีลูกอายุก็มากขึ้น

ซึ่งจริงๆ โดยทฤษฏี พออายุมากเกิน 35 ปี ก็จะเข้าข่ายมีบุตรยากแล้ว มีแนวโน้มไม่ใช่ว่ามีไม่ได้ ถ้าสมมติว่าอายุเกิน 35 ปี ก็ไม่ควรปล่อยนาน บางคนแต่งงาน 35 36 ละไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็มี ไม่ได้นะคะเพราะว่าเป็นปัจจัยแล้ว ต้องมีการบ้านแล้วละต้องตอบโจทย์ตัวเองแล้วว่าอยากมีลูกตอนไหน อยากมีลูกอายุเท่าไหร่ ก็จะต้องวางแผนละ ถ้าเราอยากมีเร็วก็ไม่ควรปล่อยเลยตามเลย ต้องจริงจัง โดยทฤษฎีถ้าปล่อยมีลูกนานเกินกว่า 12 เดือน หรือ 1 ปี ก็ยังไม่มีก็ควรจะต้องพบแพทย์แล้ว แต่ถ้าอายุเกิน 35 ปี ก็ไม่ควรรอนานถึง 12 เดือน ควรจะเป็น 6 เดือน ถ้าจริงจังแล้วยังไม่มีควรมาพบแพทย์ได้แล้ว

นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้มีลูก

มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับปัจจัยในแต่ละคู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องตรวจร่างกายก่อนทั้งผู้หญิงและผู้ชายเพื่อหาสาเหตุ และแก้ไขไปตามสาเหตุนั้นๆ บางคนอาจจะต้องมีผ่าตัดก่อนแก้ไข ถ้าเจอโรคเช่น เนื้องอกมดลูก หรือว่ากลุ่มซีสต์รังไข่ ก็จะต้องไปผ่าตัดก่อนการวางแผนมีบุตร พอแก้ไขเสร็จเรียบร้อยก็เข้าสู่กระบวนการรักษาเรื่องการมีบุตร

ถ้าง่ายที่สุดคือถ้ารังไข่ไม่ค่อยดีแล้วตกไข่ไม่ค่อยดีก็อาจใช้ยากระตุ้นไข่ เป็นวิธีแรก อันนี้ในกรณีที่คุณพ่อแข็งแรงดี ทุกคนแข็งแรงดี แต่ไข่อาจมีขี้เกียจบ้าง คุณภาพไม่ค่อยดี เพื่อที่จะได้ไข่ที่สมบูรณ์รู้วันตกไข่ที่ชัดเจนหลังจากนั้นก็กระตุ้นไข่ด้วยวิธีรับประทานธรรมดาไม่ต้องฉีดอะไร ถ้าปัจจัยไม่เยอะจะลองวิธีนี้ก่อน

ซึ่งถ้าเรารู้วันตกไข่ที่แน่นอนโอกาสของการทำการบ้านอยู่แค่ 24-48 ชั่วโมง ปกติเรารักษาแต่ละคู่เราก็จะบอกเลยว่ามันจะประมาณการวันตกไข่ได้ ถ้าอยู่คนละจังหวัด อยู่คนละที่ก็ต้องวางแผนกลับมาเจอกัน

IUI (Intra – Uterine Insemination)

สำหรับวิธีต่อไปถ้ากระตุ้นไข่แล้วยังไม่สำเร็จ โดยทั่วไป 3-6 เดือนควรต้องเริ่มขยับวิธีอื่น ซึ่งวิธีต่อไปก็จะเป็นเรื่องของการฉีดเชื้อ ก็คือนำน้ำเชื้อหรืออสุจิของฝ่ายชายหลั่งออกมาและบางที่อาจจะมีทั้งตัวที่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ วิ่งได้บ้าง จอดนิ่งบ้าง ก็เอามาล้างเอามาคัดเชื้อเอาเฉพาะตัวที่สมบูรณ์ เสร็จแล้วก็ฉีดกลับเข้าไปในโพรงมดลูก หมอชอบอธิบายคุณไข้ง่ายๆ ว่านึกถึงสภาพรถติด บนถนนมีทั้งรถติด รถแข่ง รถจอดตาย มันก็มีตัวดีๆ นะ มีรถแข่ง มันวิ่งไปไม่ได้รถมันติดก็ต้องมาล้างมาคัดเชื้อเอาเฉพาะรถแข่งแล้วนอกจากนั้นส่งขึ้นทางด่วนด้วย เพื่อไปให้ถึงผิวไข่เพื่อไปปฏิสนธิให้ได้ วิธีนี้เรียกว่า IUI

ถ้าเทียบกับวิธีแรกคือการกระตุ้นไข่อย่างเดียวเทียบเป็นระดับเท่าคือมีมากกว่าประมาณ 2-3 เท่า แต่ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ต้องนับจากธรรมชาติก่อนโดยที่ไม่ทำอะไรเลยโอกาสท้อง 1-2 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน หมายความว่า 100 คู่ มีโอกาสสำเร็จ 1-2 คู่ต่อเดือน แต่ถ้าเป็นสเต็ปแรกที่เล่าให้ฟังไปเป็นการกระตุ้นไข่อย่างเดียวก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวก็จะเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ก็ขยับมาเป็น 20 คู่ท้อง 1 คู่ แล้วพอมาเป็น IUI ก็เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 10 เปอร์เซ็นต์

วิธีนี้นิยมมากที่สุด ถ้าเทียบกับฐานคนไข้ทั้งหมด เพราะราคาไม่แพง แล้วก็ยังเป็นหัตถการที่ไม่ค่อยเจ็บตัว ไม่โดนฉีดยาอะไรมากมาย ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ นัดวันมากระตุ้นไข่ นัดวันมาฉีดเชื้อ

เด็กหลอดแก้ว

วิธีต่อไปจะขยับมาเป็นเด็กหลอดแก้ว ซึ่งเด็กหลอดแก้วจริงๆ ก็จะมี 2 แบบ ก็คือ IVF กับ อิ๊กซี่ ก็คือICSI แต่เราก็จะเรียกเป็นอิ๊กซี่ ซึ่งจริงๆ ทั้ง IVF และ อิ๊กซี่ คือเด็กหลอดแก้วทั้งหมด หมายความว่าเก็บไข่ออกมาข้างนอก เก็บสเปิร์มออกมาปฏิสนธิเสร็จเรียบร้อย พอทำให้เป็นตัวอ่อนแล้วที่ห้องแลป

พอได้ตัวอ่อนมาแล้วย้ายกลับเข้าโพรงมดลูกนี่คือเป็นเด็กหลอดแก้ว แต่ว่าต่างกันอย่างไร IVF คือการเอาสเปิร์ม ล้าง คัด หยอดลงไปที่ผิวหน้าไข่โดยเฉพาะ สเปิร์มยังต้องเจาะไข่เองเพื่อที่จะเข้าไปปฏิสนธิ แต่ถ้าเป็นอิ๊กซี่ก็คือ 1ไข่ ต่อ 1 สเปิร์ม คือฉีดสเปิร์มเข้าไปในใจกลางไข่เลย เพื่อที่จะทำให้เขาปฏิสนธิได้สมบูรณ์ที่สุด ปอกเปลือกไข่ก่อนด้วยแล้วก็ยิงสเปิร์มเข้าไปด้วยแล้วก็เฝ้าดูด้วยว่าเขาจะเจริญเติบโตแบ่งเซลล์หรือเปล่า ซึ่งมีโอกาสสูงมากตั้งแต่ 50 เปอร์เซ็นต์ ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยในแต่ละคู่

วิธีการนี้เจ็บตัวในช่วงที่ต้องกระตุ้นไข่ เพราะว่ายากระตุ้นไข่จะต้องเป็นยาฉีด จะต้องฉีดยาทุกวัน ฉีดประมาณ 8-10 วัน ฉีดแล้วต้องมามอนิเตอร์ก็คือต้องมีการอัลตราซาวนด์บ่อยมากขึ้นเพื่อที่จะเห็นไข่เติบโตตามระยะ มีการปรับยากระตุ้นไข่ และเจ็บตัวอีกทีตอนเก็บไข่

แต่จริงๆ แล้วเวลาเก็บไข่จะเจ็บตอนฉีดยาเพราะนอนเสร็จหมอก็จะฉีดยานอนหลับให้ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่คุณหมอ ที่เหลือหลับสบาย คนไข้บอกว่าจะกลัววันเก็บไข่ที่สุดแต่ปรากฎว่าไม่เจ็บเลยเพราะนอนหลับไป ตื่นมาก็เสร็จแล้ว

ผสมเทียมกับการได้เด็กฝาแฝด

ทางการแพทย์ไม่ต้องการเลย หมอทุกคนที่รักษาในกลุ่มมีบุตรยากไม่อยากให้เกิดแฝดเลย เพราะเวลาที่เราทำให้คนไข้ท้องคนหนึ่งเรามองไปถึงจุดที่ต้องคลอดแล้ว เพราะฉะนั้นเรามองไปถึงระยะยาวเลยว่ามีความเสี่ยงระหว่างตั้งครรภ์ การแท้ง คลอดก่อนกำหนดไหม เด็กจะออกมาสมบูรณ์ไหม

เพราะฉะนัั้นเมื่อไหร่เป็นแฝดจะมีความเสี่ยงมากขึ้นอยู่แล้วไม่ว่าแท้งคูณเป็นสองเท่า ถ้าเป็นแฝดสองก็คูณสองเท่าระหว่างทางก็มีโอกาสที่จะกระตุ้นครรภ์เป็นพิษ เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ความดันสูง คลอดก่อนกำหนด ซึ่งพอคลอดก่อนกำหนดก็ขึ้นอยู่กับว่าเด็กคลอดก่อนกำหนดมากน้อยแค่ไหน ถ้าก่อนกำหนดมากก็ต้องอยู่ตู้อบ ซึ่งเสียเงินแล้วค่าใช้จ่ายในการมอนิเตอร์ก็เยอะ ซึ่งเป็นความเจ็บของแม่ที่เห็นลูกนอนอยู่ในตู้

หมอไม่อยากได้แฝดแต่ว่าเทคโนโลยีในการกระตุ้นไข่มีโอกาสได้ไข่มากกว่าธรรมชาติ ก็คือถ้าเป็น IUI มีโอกาสได้ไข่ตั้งแต่ หนึ่งใบสองใบสามใบแล้วเราคอนโทรลให้มีการปฏิสนธิไม่ได้ เนื่องจากว่าเราปล่อยเชื้อเข้าไปปฏิสนธิในช่องท้อง เพราะเราฉีดสเปิร์มเข้าไปในมดลูกเลย

เพราะฉะนั้นสมมติมาบังเอิญติดทั้งหนึ่งไข่สองไข่สามไข่ ก็มีสิทธิ์เป็นแฝดสองแฝดสามได้ เพราะฉะนั้นการ IUI ก็มีข้อกำหนดว่าเมื่อไหร่มีไข่เกินสามใบห้าม IUI ทันที จะต้องยกเลิก อันนี้เป็นข้อบางชี้ทางการแพทย์ เพราะถ้ามีโอกาสที่ได้มากกว่าสามก็เป็นแฝดสี่แฝดห้า ซึ่งความเสี่ยงก็จะเยอะมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็น IUI โอกาสที่จะคอนโทรลเรื่องของแฝดก็จะอยากกว่าที่เป็นเด็กหลอดแก้ว

แต่ถ้าเป็นเด็กหลอดแก้วก็คือไม่ว่าจะเป็น IVF หรืออิ๊กซี่ ซึ่งจริงในปัจจุบัน IVF ไม่ค่อยมีใครทำแล้วนะคะ เนื่องจากอิ๊กซี่ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้สูงกว่าเนื่องจากเราบังคับปฏิสนธิเลย จริงๆ ถ้าความเข้าใจของหมอ 98-99 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์

ในประเทศไทยตอนนี้ทำเป็นอิ๊กซี่หมดทุกเซ็นเตอร์เพราะโอกาสการตั้งครรภ์สูงกว่า ยกเว้นว่าเซ็นเตอร์ไหนนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถคอนโทรลเรื่องของการทำอิ๊กซี่ได้เขาก็อาจจะมั่นใจในการทำ IVF มากกว่าก็คือแล้วแต่เซ็นเตอร์นั้นๆ แต่ถ้าอย่างเซ็นเตอร์โรงพยาบาลวิภาวดีคือทำอิ๊กซี่ 100 เปอร์เซ็นต์มา 15 ปีแล้วไม่มี IVF เลย

ย้อนกลับไปเรื่องแฝด ถ้าเป็นเด็กหลอดแก้วมันก็มีโอกาสเก็บไข่ออกมาได้มากอยู่แล้ว มีตั้งแต่สามใบในคนอายุเยอะจนกระทั้งถึง 20-25 ใบในคนอายุน้อยลง เพราะฉะนั้นถ้า 20-25 ใบก็มีโอกาสเป็นตัวอ่อนประมาณเป็น 10 ตัว พอเป็น 10 ตัวเราเลือกย้ายตัวอ่อนที่ดีที่สุด เวลาย้ายตัวอ่อนก็จะย้ายได้ 1 หรือ 2 ตัว

ปัจจุบันทางราชวิทยาลัยหรือสมาคมเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์แนะนำว่าไม่ควรย้ายตัวอ่อนเกิน 2 ตัว ซึ่งจริงๆ แนะนำให้ย้ายตัวอ่อนทีละตัวเท่านั้นเพราะว่าเราไม่ต้องการแฝดอย่างที่บอก และโดยเฉพาะคนที่มีลูกยากอายุเยอะความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนต่างๆ ก็ยิ่งมากขึ้นไปอีกเพราะฉะนั้นแฝดจะเรียกเป็นเหมือนภาวะแทรกซ้อนที่เราไม่อยากได้ก็ได้จริงแล้วดูเหมือนคุ้มแต่หมอจะพยายามบอกคนไข้ทุกคนว่าความคุ้มมันต้องมองไปถึงจุดสุดท้าย

ถ้าให้อธิบายเรื่องของพัฒนาการจริงๆ เลี้ยงลูกทีละคนดีกว่าเรามอบความรัก แล้วดูแลเอาใจใส่เขาได้มากที่สุดทีละคนรวมถึงพัฒนาการที่พี่กระตุ้นน้องตามลำดับไปด้วย

คุณแม่ดูแลสุขภาพ

การทำด้วยเทคโนโลยีมีงานวิจัยออกมาเป็นหมื่นๆ งานวิจัยเลย และได้ข้อสรุปมาเป็น 10 ปีแล้วว่าไม่มีผลใดๆ ทุกอย่างเทียบเท่ากับธรรมชาติ แต่ถ้าในส่วนของเรื่องภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ให้อธิบายในแง่ของพื้นฐานของคนที่มีลูกยากมักมีปัจจัยอยู่แล้วไม่ว่าจะอายุเยอะหรือว่าอาจจะโรคที่เป็นมาอยู่เดิม เนื้องอกมดลูก พังผืด ซีสต์รังไข่

ทั้งหมดทั้งมวลคือการทำให้เกิดในเรื่องโอกาสการคลอดก่อนกำหนด อาจมีภาวะรกเสื่อม น้ำคล่ำน้อย เพราะฉะนั้นในช่วงท้ายๆ ก็ต้องมีการพักผ่อนมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้ลูกไปถึงการคลอดครบกำหนดให้ได้ จริงๆ ไม่เฉพาะไตรมาสสามตั้งแต่ไตรมาสแรก แล้วก็พูดถึงความพยายามความจริงจังในแต่ละคู่สมรสกว่าจะได้มาก็เหมือนแบบ Golden Child / Platinum Child ไม่รู้จะตั้งระดับไหน ก็เหมือนเป็นเด็กที่เราต้องประคบประหงมเขาหน่อยกว่าจะได้เขามา เสียเงินก็มาก เสียเวลาไปเสียทุกสิ่งอย่าง

สำหรับการดูแลก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ถ้าเป็นแค่ปัจจัยน้อยๆ กระตุ้นไข่น้อยๆ จริงๆ ก็เหมือนกับการตั้งครรภ์ปกติ ก็คือใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ถ้าเกิดว่าต้องใช้เทคโนโลยีมากขึ้นก็อาจจะต้องเฝ้าระวัง คืออาจจะเกิดเหตุก็ได้ เกิดเหตุที่จะมีภาวะแทรกซ้อน หรือคลอดก่อนกำหนด

ทั้งนี้ทั้งนั้นหมอที่ดูแลเวลาที่เราฝากครรภ์ก็จะประเมินอยู่แล้วว่าเราเป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนไหม เพราะฉะนั้นอย่างแรกเลยคือเชื่อฟังหมอไปฝากครรภ์สม่ำเสมอตามกำหนด ถ้ามีความเสี่ยงอะไรพอหมอแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมพอเราตรวจแล้วถ้ามีภาวะแทรกซ้อน ก็จะต้องปฏิบัติตัวมีวินัยตามระยะของการตั้งครรภ์

แนะนำหากอยากมีลูก

อย่างแรกต้องทำการบ้านก่อนคุยกันว่าพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมเลยก็ไม่ต้องกลัวที่จะมาตรวจ จริงๆ แล้วตรวจเบื้องต้นพอเราจอสาเหตุก็จะได้รักษาไปตามสาเหตุนั้นๆ ตรวจเบื้องต้นควรจะมาตรวจทั้งคู่ ตรวจทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย แล้วก็ระหว่างทางที่รักษาไปก็ควรดูแลสุขภาพ ตั้งใจเต็มที่ แล้วก็เรื่องการดูแลสุขภาพตัวเอง การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดีช่วยทำให้มีบุตรง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วก็วิตามินที่เตรียมการตั้งครรภ์ก็ควรจะเริ่มกินได้ จริงๆ มีแค่โฟลิกเม็ดเล็กๆ วันละเม็ดก็ทานไปเลยทานได้นานเลย

บางคนถามว่าอยากมีลูกปีหน้าทานได้เลยไหม จริงๆ คือทานไว้ได้เลยค่ะ โฟลิกก็คือดูแลในเรื่องเซลล์พื้นฐานตั้งแต่หัวจรดเท้า คือเป้าหมายหลักเราต้องการให้เซลล์ไข่คุณภาพดีป้องกันความพิการของทารกได้ด้วย แต่จริงๆ โฟลิกเป็นสารตั้งต้นที่ดูแลผิวดูแลผมได้ด้วย

นวัตกรรมผู้มีบุตรยาก

ที่โรงพยาบาลวิภาวดีเราทำเป็นเทคนิคอิ๊กซี่มากที่สุด ทำมาเป็น 15 ปีแล้ว ก็คือในอัตราการตั้งครรภ์ของเราค่อนข้างสูงคือ 50-80 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่บอกมีโอกาสได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์เลยถ้าปัจจัยไม่ได้เยอะมาก รวมถึงเรามีห้องแล็ปของเราเองไม่ได้จำเป็นต้องส่งไข่หรือตัวอ่อนออกไปที่อื่น แล้วยังสามารถตรวจโครโมโซมตัวอ่อนได้ด้วยในคนที่มีข้อบ่งชี้ สามารถบ่งชี้ได้เลยว่าตัวอ่อนมีโครโมโซมที่ปกติไหม มีโครโมโซมผิดปกติมากน้อยแค่ไหน โรงพยาบาลเรามีหมอเฉพาะทางหลายท่านสามารถที่จะให้บริการได้ทุกวันทั้ง 7 วัน เข้ามาได้ตามวันที่สะดวกค่ะ

 

พบกับ รายการ รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast:  https://apple.co/3m15ytB

Spotify:  https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:  https://bit.ly/3cxn31u

www.rakluke.com/community-of-the-experts.html

รักลูก The Expert Talk EP 85 (Rerun) : เลี้ยงลูกเชิงบวก พ่อแม่มีอยู่จริง สร้างฐานที่มั่นทางใจของลูก

 

รักลูก The Expert Talk Ep.85 (Rerun) : เลี้ยงลูกเชิงบวก "พ่อแม่มีอยู่จริง สร้างฐานที่มั่นทางใจลูก"

 

คลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์ในบ้าน ด้วยการสร้าง Family Attachment

เพราะฐานที่มั่นทางใจที่แข็งแรง จะสามารถสู้อุปสรรค ให้ล้มแล้วลุกได้

 

กับ The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP 86 : เรียนรู้อยู่ร่วมกับความต่าง นิทานในสวนกับ ย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

รักลูก The Expert Talk Ep.86 : เรียนรู้อยู่ร่วมกันกับความต่าง นิทานในสวนกับ ย่าติ่ง สุภาวดี หาญเมธี

 

นิทานที่เป็นได้มากกว่านิทาน เป็นการเรียนรู้โลกเบื้องต้นของเด็ก เพื่อเตรียมตัวให้รู้จักกับชีวิตที่จะเดินไปข้างหน้า ได้รู้จักผู้คน รู้จักสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว และรู้หลักคิดว่าจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร

พ่อแม่สามารถใช้นิทานสร้าง Eco System ให้กับเด็กได้ เป็นตัวกระตุ้นการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากยิ่งขึ้น

 

ฟังแนวคิดและหลักคิดที่จะได้จาก นิทานชุดไปสวนกับย่า “ไม่เหมือนกันแต่ก็เหมือนกัน” และ “เหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน” จากย่าติ่ง คุณสุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันรักลูกเลิร์นนิ่ง กรุ๊ป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues