
โรคติดเชื้อไอพีดี (IPD) ในวัย 2 ขวบแรกของชีวิตลูกนั้น อยากให้คุณพ่อคุณแม่ระวังโรคติดเชื้อไอพีดี (IPD) เป็นพิเศษค่ะ เพราะมีอันตรายกับเด็กวัยนี้เหลือเกิน โรคร้ายที่อาจทำลายชีวิตลูกน้อยได้ใน 2 วัน ป้องกันดีกว่าเป็นแล้วมารักษา เพราะเชื้อมักดื้อยา และต้องรักษาอย่างทันท่วงที
โรคไอพีดี หรือที่เรียกว่า Invasive Pneumococcal Disease (IPD)
คือโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ “นิวโมคอคคัส” ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดและที่เยื่อหุ้มสมอง ซึ่งมีความรุนแรงและอาจทำให้เด็กพิการหรือเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี นอกจากนี้เจ้าเชื้อ “นิวโมคอคคัส” ยังเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งจากข้อมูลการประเมินขององค์กรอนามัยโลก และยูนิเซฟพบว่า ปอดบวมเป็นโรคที่คร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีเด็กที่เสียชีวิตจากโรคนี้สูงถึง 2 ล้านคนต่อปี ซึ่งมากกว่าโรคเอดส์ มาลาเรีย และหัดรวมกัน
วิธีสังเกตอาการของโรคไอพีดี
- ติดเชื้อที่ระบบประสาท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง เด็กเล็กจะมีอาการงอแง ซึม และชักได้
- การติดเชื้อในกระแสเลือด เด็กจะมีไข้สูง งอแง ถ้ารุนแรงอาจทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ดีถ้ามีอาการดังกล่าวควรรีบพามาพบแพทย์ทันที
อาการสำคัญที่พบได้
- ติดเชื้อหูน้ำหนวกที่ลุกลามเข้าสู่สมอง
- ปอดบวมหรือปอดอักเสบ
- ติดเชื้อในกระแสเลือด เกิดโลหิตเป็นพิษหรือเชื้ออาจกระจายไปสู่อวัยวะอื่น ๆ
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาจเสียชีวิตหรือพิการทางสมอง
วิธีป้องกันโรคไอพีดี
- ปัจจุบันมีวัคซีนฉีดให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง ส่วนในเด็กทารกควรเริ่มฉีดเมื่ออายุได้ 2 เดือนขึ้นไป และฉีดเข็มต่อไปเมื่ออายุได้ 4-6 และ 12-15 เดือน
- เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง วัคซีนจึงมีส่วนสำคัญ สำหรับการป้องกันควรพาลูกไปรับวัคซีนที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
Q & A
- เด็กกลุ่มไหนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อ ไอ พี ดี?
กลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงสูงคือ เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน เด็กที่เคยได้รับยาปฏิชีวนะมาก่อน เด็กที่เคยมีประวัติติดเชื้อในหู เด็กที่ไม่มีม้ามหรือ ม้ามบกพร่อง และเด็กที่มีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ
- จะทราบได้อย่างไรว่าลูกติดเชื้อ ไอ พี ดี?
คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการของเด็ก ซึ่งอาการมักเกิดตามอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง คอแข็ง งอแง ซึม ไม่กินนมและชักได้ การติดเชื้อในกระแสเลือด เด็กจะมีไข้สูง ร้องกวน งอแง อาจช็อค และถ้าเป็นปอดบวม เด็กจะมีอาการไข้ ไอ หอบ หายใจเร็ว ถ้าเด็กมีอาการผิดปกติดังกล่าว ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย
- สามารถรักษาโรคติดเชื้อ ไอ พี ดี ได้อย่างไร?
แพทย์สามารถรักษาโรคติดเชื้อไอ พี ดี ได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งมักได้ผลดีถ้าเชื้อไม่ดื้อยาและมารับรักษาในช่วงแรก ๆ แต่ในปัจจุบันเชื้อนิวโมคอคคัสดื้อยามากขึ้น ทำให้รักษาได้ยาก ต้องให้ยาขนาดสูงเป็นเวลานาน และถ้าได้รับการรักษาช้า อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนถึงเสียชีวิตหรือพิการทางสมองได้ ดังนั้น การป้องกันโรคจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
- วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ ไอ พี ดี มีผลข้างเคียงหรือไม่?
การฉีดวัคซีนก็เหมือนกับการใช้ยา ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงบ้าง โดยอาจมีการระคายเคือง ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีด หรือมีอาการไข้ เบื่ออาหารอาการเหล่านี้ไม่รุนแรงและมักหายในเวลารวดเร็ว
จากการศึกษาทางระบาดวิทยา อุบัติการณ์การเกิดโรคติดเชื้อ ไอ พี ดี ในประเทศไทย พบได้ไม่บ่อยเท่าในต่างประเทศ แต่เมื่อเกิดขึ้น มักจะรุนแรง ดังนั้น การพิจารณารับวัคซีน ควรคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น ความเสี่ยงของเด็ก หรือค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีน เนื่องจากวัคซีนมีราคาค่อนข้างสูง เพราะครอบคลุมเชื้อนิวโมคอคคัสที่สำคัญหลายสายพันธุ์ ทำให้การผลิตทำได้ยาก
คุณพ่อคุณแม่ เวลาเจ้าตัวเล็กไม่สบาย อย่าคิดว่าปวดหัวปกตินะคะ ควรพาน้องไปพบคุณหมอ เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยโรค หากชะล่าใจปล่อยไว้อาจมีความรุนแรงและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตลูกได้นะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก :
1.ศูนย์ลูกน้อยห่างไกลโรค ไอ พี ดี ด้วยความปรารถนาดีจากมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ
2.นพ.พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์สาขาโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ
คุณแม่เคยได้ยินโรคเบาจืดไหมคะ? อาการของโรคอาจดูไม่ร้ายแรง แต่ความจริงอันตรายมากกว่าที่คิด หากลูกเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้ ที่แย่กว่านั้นคือลูกต้องกินยาไปตลอดชีวิตค่ะ เรามาดูวิธีสังเกตอาการของโรคเบาจืดกัน
โรคเบาจืด คืออะไร
เบาจืด (Diabetes Insipidus) คือโรคที่ร่างกายสูญเสียความสมดุลของน้ำ โดยมีผลมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone) ซึ่งก่อให้เกิดอาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากผิดปกติ และปัสสาวะออกมามาก ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจถึงขั้นปัสสาวะมากถึงวันละ 20 ลิตรได้ ซึ่งคนปกติจะปัสสาวะเพียงวันละประมาณ 1-2 ลิตรเท่านั้น โดยปัสสาวะที่ออกมาจะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และมีรสจืด จึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคเบาจืด" สาเหตุมาจากการดื่มน้ำในปริมาณมากจนส่งผลให้สารต่าง ๆ ที่ก่อสีและกลิ่นในปัสสาวะเจือจางลงมากจนปัสสาวะเกือบมีลักษณะเหมือนน้ำแท้ ๆ
โรคเบาจืด ทำให้เกิดอาการอย่างไร
- ผู้ป่วยจะกระหายน้ำบ่อย
- ปัสสาวะบ่อย และครั้งละมาก ๆ ปัสสาวะมักไม่มีสี หรือกลิ่น
- เด็กมีภาวะการเจริญเติบโตช้า น้ำหนักขึ้นไม่ดี
- อาจมีการปวดบริเวณเอว ท้องน้อย เนื่องจากการคั่งของปัสสาวะ
สาเหตุ
- ร่างกายขาดฮอร์โมนเก็บน้ำจากโรคต่อมใต้สมอง
- ไตไม่ตอบสนองกับฮอร์โมนเก็บน้ำ มักเป็นความผิดปกติ แต่กำเนิดหรือถ่ายทอดทางพันธุกรรม
รักษาโรคเบาจืดอย่างไร
- ใช้ยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และตรงเวลาสม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาหรืองดยาไปเอง ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ดื่นน้ำให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม
โรคเบาจืด ต่างจากโรคเบาหวานอย่างไร
โรคเบาจืด (Diabetes insipidus) เป็นคนละโรคกับโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) เพียงแต่มีชื่อคล้าย ๆ กัน และมีความผิดปกติทางด้านปัสสาวะเหมือนกันทั่งคู่ การแยกโรคทั้ง 2 นี้ ในเบื้องต้นสามารถกระทำได้โดยการตรวจปัสสาวะ ซึ่งจะพบลักษณะจำเพาะ ของโรคแต่ละโรค ถ้าเป็นเบาจืดจะตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และไม่ได้มีเกลือแร่ ส่วนผู้ที่เป็นเบาหวานนั้นจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะค่ะ
วิธีป้องกัน
- การระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางสมองหรือที่ศีรษะ
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง
- ร่วมไปกับการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและรักษาสุขภาพจิตให้ดี
คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าน้องปวดปัสสาวะธรรมดา กระหายน้ำปกติ แต่ถ้าไม่สังเกตอาการให้ดีและปล่อยไว้นานอาจจะกลายเป็นโรคร้ายที่อันตรายต่อเด็กๆ ได้ค่ะ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาจืดแล้ว จะไม่มีทางรักษาให้หาย และที่สำคัญต้องกินยาตลอดชีวิตค่ะ
ไวรัส RSV เป็นไวรัสซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่กลัวมาก เนื่องจากไวรัส RSVยังไม่มีทั้งยารักษาและวัคซีนป้องกัน และไวรัส RSVมักแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝน เราเลยขอนำเรื่องไวรัส RSV ไวรัสร้ายตัวนี้มาบอกกล่าวกันอีกครั้งค่ะ
ไวรัส RSV คืออะไร
Respiratory Syncytial virus หรือ RSV เป็นเชื้อไวรัสที่รู้จักกันมานานในวงการแพทย์ ซึ่ง RSV เป็นสาเหตุของอาการหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก
ร่างกายได้รับไวรัส RSV ได้อย่างไร
ไวรัส RSV จะพบมากและเจริญเติบโตได้ดีในช่วงที่มีอากาศชื้นโดยเฉพาะหน้าฝน แถมยังติดต่อกันได้ง่ายเพียงการสัมผัสใกล้ชิด หรือสัมผัสสารคัดหลั่งทางตาหรือจมูก และทางลมหายใจ
ไวรัส RSV ทำให้เกิดอาการอย่างไร RSV ก่อโรคในทางเดินหายใจ แบ่งอาการเป็น 3 กลุ่มคือ
- ทางเดินหายใจส่วนต้นอักเสบ ทำให้มีอาการคล้ายหวัด มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล คออักเสบ
- ทางเดินหายใจส่วนล่างอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ ซึ่งมักเป็นในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
- ในบางรายมีอาการรุนแรง ไข้สูง หอบเหนื่อย ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ไวรัส RSV ตั้งแต่ 40 –90 % รวมไปถึงปอดบวม
ไวรัส RSV ต่างจากหวัดธรรมดาอย่างไร
หวัดธรรมดาจะมีอาการไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล กินน้ำ กินนมได้ ซึ่งจะหายได้ใน 5-7 วัน แต่อาการที่เกิดจากไวรัส RSV มีอาการหอบ เหนื่อย บางคนหอบมากจนเป็นโรคปอดบวม หรือหายใจมีเสียงวี้ดแบบหลอดลมฝอยอักเสบ บางรายไอมากจนอาเจียน ซึมลง ตัวเขียว กินข้าว กินน้ำ กินนมไม่ได้
รักษา ไวรัส RSV อย่างไร
ระวังเรื่องการขาดนน้ำ เพราะจะยิ่งทำให้เสมหะเหนียวข้นและเชื้อลงปอด อาจต้องใช้ยาพ่นร่วมกับ oxygen เพื่อช่วยขยายหลอดลม รับประทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4 – 6 ชั่วโมงพร้อมกับเช็ดตัวลดไข้ นอนพักผ่อนเยอะๆ ร่างกายก็จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 7 – 14 วัน จึงจะหาย
วิธีป้องกัน ไวรัส RSV
- การล้างมือให้เด็กเล็กบ่อยๆ และพี่เลี้ยงเด็กก็ต้องล้างมือบ่อยๆ เช่นกัน หลีกเลี่ยงการสัมผัสเด็กที่สงสัยว่าเป็นหวัด และใส่หน้ากากอนามัยป้องกันเอาไว้
- เมื่อมีเด็กป่วย หากเป็นไปได้ให้ผู้ปกครองรับกลับบ้าน แต่หากไม่สามารถรับกลับบ้านได้ ให้แยกเด็กและแยกเครื่องใช้ของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค
- หลีกเลี่ยงการจูบและหอมเด็ก เพราะอาจเป็นการแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว ไม่พาบุตรหลานไปที่ชุมชมสถานที่ที่มีคนเยอะ
ถ้ามองเผิน ๆ คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าน้องเป็นหวัดธรรมดา แต่ถ้าไม่สังเกตอาการให้ดีและปล่อยไว้นานอาจจะกลายเป็นโรคร้ายที่อันตรายต่อชีวิตเด็ก ๆ ได้ค่ะ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ มีโอกาสที่จะเกิดซ้ำอีกได้ถ้าน้อง ๆ ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งจะกระตุ้นอาการหอบจนทำให้เป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังในที่สุดค่ะ