
เรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วยของลูก นับเป็นความกังวลที่สุดของคนเป็นพ่อแม่ค่ะ เพราะระบบภูมิคุ้มกันของลูกยังไม่แข็งแรง เสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคที่อยู่รอบตัวได้ง่าย โดยเฉพาะโรคต่อไปนี้ ที่ต้องระวังเป็นพิเศษค่ะ
- โรคมือเท้าปาก
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัส (Enterovirus 71, Coxsackie) พบได้ตลอดทั้งปี ซึ่งหาเป็นแล้วอาการมักหายได้เองภายใน 3-10 วัน
การติดต่อของโรค: ทางการไอ จาม น้ำลาย หรืออุจจาระ มีระยะฟักตัวของโรค 3 - 6 วัน
อายุกลุ่มเสี่ยง: เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
อาการ: มีไข้ ผื่น ตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีแผลในปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก บางรายอาจมีผื่นที่ขา และก้นร่วมด้วย ซึ่งต้องระวังอย่าให้ลูกมีไข้สูง เพราะเสี่ยงภาวะชัก รวมถึงอาการแทรกซ้อนอื่นๆ
อาการต้องรีบพบแพทย์
: ซึม ไม่เล่น ไม่อยากอาหารหรือนม
: ปวดศีรษะมาก
: ปวดต้นคอ
: อาเจียน
: ตัวสั่น แขนหรือมือสั่นบ้าง
: พูดเพ้อไม่รู้เรื่อง สลับกับการซึมลง
- โรคติดเชื้อไวรัส RSV
สาเหตุ: เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ สามารถพบเชื้อได้ตลอดทั้งปี
การติดต่อของโรค: ทางน้ำมูก น้ำลาย การไอ และละอองเสมหะของเด็กที่ป่วย
อายุกลุ่มเสี่ยง: เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
อาการ
: มีอาการหอบเหนื่อย และหายใจลำบาก
: หายใจเร็ว และมีเสียงครืดคราด ๆ จนสังเกตได้จากการยุบบุ๋มลงไป และโป่งพองขึ้นมา
: ไอหนักมาก
: มีเสียงหวีดในปอด จากการที่เยื่อบุทางเดินหายใจบวมอักเสบและหลอดลมหดตัว
: มีเสมหะมาก
: มีไข้
- โรคไข้หวัดใหญ่
สาเหตุ:ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เป็นโรคที่สามารถพบได้ตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวและฤดูฝนเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมากขึ้น
การติดต่อของโรค: ผ่านน้ำมูก หรือเสมหะของผู้ป่วย หรือการสัมผัสสิ่งปนเปื้อนเชื้อโรคจากผ้าเช็ดหน้า ช้อน หรือแก้วน้ำที่ใช้ร่วมกัน
อายุกลุ่มเสี่ยง: เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี
อาการ
: อาการเบื้องต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา ซึ่งส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจในส่วนของจมูก ลำคอ และปอด แต่มีความรุนแรงมากกว่าและพัฒนาทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ คุณแม่สามารถสังเกตอาการที่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดา ได้ดังนี้
: มีไข้สูง ซึ่งมักเกิดอาการอย่างเฉียบพลัน และมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัด
: ปวดเมื่อย ตามกล้ามเนื้อ และรู้สึกอ่อนเพลียมาก
: ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อาจเกิดขึ้นได้ หากพบว่ามีอาการเข้าข่ายไข้หวัดใหญ่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์
- โรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า

สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า
การติดต่อของโรค: ผ่านการหยิบอาหาร หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าปาก ซึ่งเกิดการแพร่ระบาดได้ง่าย
อายุกลุ่มเสี่ยง: เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี
อาการ
: ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำและถ่ายบ่อยกว่าปกติ หรืออาเจียนร่วมด้วย
: เด็กเล็กอาจมีไข้
: ซึม มือเท้าเย็น
: ปัสสาวะออกน้อยลง
: ขาดน้ำ อาจเกิดภาวะช๊อกได้
: หากท้องร่วงไม่รุนแรงจะหายได้เองใน 3-7 วัน
การรักษา
: อุจจะระออกไปให้หมดเพื่อไล่เชื้อ
: ดื่มเกลือแร่หรือให้น้ำเกลือ

10 วิธีเพิ่มภูมิคุ้มกัน & ป้องกันลูกจาก 4 โรคร้าย
1. ฉีดวัคซีน ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า
2. ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ และกินอาหารที่ถูกต้องตามโภชนาการ
-
นอนหลับอย่างเพียงพอ ควรจัดห้องนอนให้มีบรรยากาศปลอดโปร่ง มืดสนิท มีเสียงรบกวน เพื่อให้ลูกน้อยนอนหลับสนิทตลอดคืน เพื่อการเจริญเติบโตที่สมวัยและมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น ออกไปวิ่ง ว่ายน้ำ เล่นกีฬา ทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ปอดและหัวใจแข็งแรง
-
ดื่มนมที่มีประโยชน์สูง เช่น นมแพะ เพราะมีกระบวนการสร้างน้ำนมแบบอะโพไครน์ ซึ่งพบในนมแม่และนมแพะเท่านั้น ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์น้ำนมหลุดออกมากับน้ำนมในปริมาณสูง จึงมีสารอาหารธรรมชาติสูง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ย่อยง่าย ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก ไม่ป่วยง่าย
-
เสี่ยงไปสถานที่แออัด หรือสถานที่ที่เสี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค
-
ล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยล้างด้วยสบู่หรือน้ำยาล้างมือให้นานเพียงพอ
-
ทำความสะอาดของใช้เด็กอยู่เสมอ หมั่นเช็ดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดของเล่นที่ลูกหยิบเข้าปากได้ หรือของใช้ของลูกให้สะอาดปลอดเชื้ออยู่เสมอ
-
แยกเด็กป่วยจากเด็กปกติ เมื่อสังเกตว่าลูกมีอาการผิดปกติ ให้รีบแยกลูกออกจากเด็กๆ ที่ปกติดี เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
-
พบแพทย์ เมื่อลูกมีอาการผิดปกติ ให้รีบแยกลูกออกจากเด็กๆ ที่ปกติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ และพาไปพบแพทย์ค่ะ

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์น่าเป็นห่วง โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสสูงขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความวิตกกังวลให้กับทุกคนในประเทศ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ถึงแม้จะเคยได้ยินมาว่า เด็กเล็กไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงหลัก และมีอันตรายน้อยกว่าผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ แต่คงไม่มีผู้ปกครองคนใดที่วางใจกับความเสี่ยงนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรเฝ้าระวังป้องกันโรคทั้งตนเองและสมาชิกภายในครอบครัวอย่างรัดกุมที่สุด
พญ.วราลี ผดุงพรรค กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลนครธน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการติดโรค COVID-19 สำหรับเด็กว่าจากข้อมูลตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงปัจจุบัน พบว่าผู้ใหญ่มีโอกาสป่วยเป็นโรค COVID-19 ได้มากกว่าเด็ก อาจเนื่องจากผู้ใหญ่มีการดำเนินชีวิตด้วยการออกไปข้างนอกบ้าน ต้องพบปะผู้คนเป็นจำนวนมาก ในขณะที่เด็ก ๆ จะใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ำกว่าผู้ใหญ่ และยังพบว่าเด็กที่ป่วยเป็น COVID-19 มักมีผู้ใหญ่ภายในบ้านเป็นผู้รับเชื้อไวรัสมาแพร่สู่เด็กในครอบครัว
ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค COVID-19 ในเด็กเป็นอย่างดี ซึ่ง 5 ข้อนี้จะช่วยให้เด็กเล็กในครอบครัวปลอดภัยจากโรค COVID-19 ได้
5 ข้อต้องรู้เพื่อดูแลเด็กเล็กให้ห่างไกล COVID-19
- ความอันตรายของโรค COVID-19 ในเด็ก
เป็นความโชคดีที่ความรุนแรงของโรค COVID-19 ในเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่ โดยพบว่าในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีมีอัตราการเสียชีวิตไม่ถึง 1% ของผู้ป่วย และผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมักจะเป็นผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคปอด โรคมะเร็งเป็นต้น แต่ยังวางใจ 100% ไม่ได้ เพราะ กลุ่มเด็กที่ยังเล็กมาก ๆ เช่น ทารก ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยรุนแรง ซึ่งความอันตรายของโรคคืออาการที่ทำให้ปอดบวมรุนแรง ขาดออกซิเจนหายใจลำบาก จนต้องเข้า ICU และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือมีภาวะแทรกซ้อนต่อระบบอื่นของร่างกาย เช่น ช็อก ตับอักเสบ ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
- อาการของการติดเชื้อ COVID-19 ในเด็ก
โดยทั่วๆ ไป ไข้หวัดธรรมดา เชื้อไวรัสมักจะติดอยู่แค่ทางเดินหายส่วนบน ทำให้มีไข้ เจ็บคอ มีน้ำมูก ไอ จาม คัดจมูก แต่เชื้อไวรัสโคโรนาของโรค COVID-19 ค่อนข้างใกล้เคียงกับไวรัส RSV ในเด็กเล็ก คือ เชื้อไวรัสมักจะเดินทางลงไปที่ทางเดินหายใจส่วนล่างส่งผลทำให้หลอดลมอักเสบ ปอดบวม
ดังนั้นเด็ก ๆ ก็จะมีไข้ตัวร้อนเจ็บคอ อาจจะมีหรือไม่มีน้ำมูก คัดจมูก แต่จะมีอาการไอแห้ง ๆ ไอเยอะ ไอรุนแรง ซึ่งแสดงถึงพยาธิภาพที่หลอดลมและปอด อาจเกิดปอดบวม และหายใจล้มเหลวได้เช่นกัน ซึ่งข้อมูลในปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่เด็กจะมีอาการเหมือนไข้หวัดธรรมดา อาจมีบางรายที่มีปอดบวมอักเสบ แต่มักไม่รุนแรงและสามารถรักษาหายได้โดยเร็ว แตกต่างกับผู้ใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอาการปอดบวมขั้นรุนแรง มักจะรักษาหายได้ช้า และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้มากกว่า
- การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนาในเด็ก
การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนาจะเหมือนไข้หวัด โดยเชื้อโรคจะอยู่ในน้ำมูกหรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ (droplet) เช่น น้ำลาย เสมหะ เป็นต้น ซึ่งจะสามารถแพร่เชื้อได้เมื่อมีอาการไอ จาม หรือพูดคุยอยู่ในระยะที่ใกล้เคียงกัน แล้วมีน้ำลายกระเด็นใส่หรือเป็นละอองฝอยลอยอยู่ในอากาศ รวมถึงการใช้ภาชนะร่วมกัน รับประทานอาหารร่วมกันโดยไม่มีช้อนส่วนตัวซึ่งเป็นช้อนสำหรับตักอาหาร
ซึ่งเชื้อไวรัสนั้นสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายของเด็ก ๆ ได้ 3 ช่องทาง คือ
- ตา ซึ่งเด็ก ๆ อาจไปจับสิ่งของใดที่ติดเชื้อแล้วนำมาขยี้ตา
- จมูก โดยพฤติกรรมเด็กส่วนใหญ่จะชอบแคะ จับ ขยี้จมูก
- ปาก โดยเด็กเล็ก ๆ จะชอบนำมือเอาไปในปาก หรืออมของเล่นต่าง ๆ ที่วางไว้ในบ้าน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส หรือแม้แต่การใช้ภาชนะร่วมกันกับผู้ใหญ่ก็มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดโรค COVID-19 ให้เด็กได้ ในบางสภาวะ เช่น การพ่นยาในรพ. การไอที่แรงมาก ๆ พบว่าเชื้อสามารถฟุ้งลอยอยู่ในอากาศ (airborne) ในระยะ 1-2 เมตรได้ ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
- รักษาได้อย่างไรบ้าง
เป็นการรักษาตามอาการ เช่น รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวเพื่อลดไข้ ระวังไม่ให้ไข้สูงและชัก หรือการกินยาแก้ไอละลายเสมหะ เป็นต้น ซึ่งพบว่าเด็กที่เป็นโรค COVID-19 จะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดาที่ไม่รุนแรง แต่ในกรณีของคนที่มีอาการรุนแรง จะใช้ออกซิเจนในการช่วยเหลือ และพ่นยาเมื่อจำเป็น
นอกจากนี้หากเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ขวบ เด็กที่มีโรคประจำตัว หรือรายที่มีอาการปอดบวมอักเสบ และเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงที่จะมีความรุนแรงข้อใดข้อหนึ่ง แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาจำเพาะ ซึ่งจะใช้ยาต้านไวรัสร่วมกับยาฆ่าเชื้อ ตามแนวทางการปฏิบัติของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็ก
- ดูแลเด็กอย่างไรให้ห่างไกลโรค COVID-19
ดูแลสุขอนามัยของทุกคนในครอบครัว ซึ่งต้องเริ่มจากผู้ใหญ่ภายในบ้านก่อน ลดความเสี่ยงต่อการติดโรค ด้วยการงดออกไปในสถานที่ชุมชน หากจำเป็นต้องออกไป ควรใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง และมี Social Distancing กับผู้คน โดยเว้นระยะห่าง 1-2 เมตรเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมูก น้ำลายกระเด็นใส่ ควรงดการใช้ภาชนะร่วมกันภายในบ้าน ผู้ใหญ่ควรสอนให้เด็กรู้จักดูแลตัวเอง โดยสอนให้เด็ก ๆ มีความเข้าใจว่า ทุกครั้งที่จะสัมผัส ตา จมูก ปาก จะต้องล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลก่อน

ปัจจุบันโรงพยาบาลนครธน มีมาตรการในการรองรับผู้ป่วย ทั้งผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยโรคเฉพาะทาง และผู้ป่วยโรค COVID-19 โดยมีจุดคัดกรองคนไข้ทุกคนที่จะเข้ามาในโรงพยาบาล ซึ่งต้องผ่านการวัดไข้ ล้างมือ การสอบถามประวัติความเสี่ยงที่อาจจะเป็นโรค COVID-19 เพื่อแยกไปในสู่จุดตรวจที่ได้คัดแยกเอาไว้ และเพื่อไม่ให้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มาใช้บริการปกติหรือผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี สำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่สบาย ไม่ได้ติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือเดินทางมาฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาล ก็จะมีจุดตรวจแยกที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ปกครองสบายใจและรู้สึกปลอดภัยในการเข้ารับบริการ
ที่มา : โรงพยาบาลนครธน

เด็ก ๆ ที่ติดอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน อาจเผชิญภาวะที่เรียกว่า “Cabin fever” หรือสภาวะกดดันทางจิตใจที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน เป็นความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้านลบและความทุกข์ที่เกิดจากการถูกจำกัดพื้นที่ ตลอดจนความหงุดหงิดใจ เบื่อหน่าย สิ้นหวัง หรือแม้กระทั่งมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ กระสับกระส่ายและไม่มีสมาธิ
สิ่งที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ผ่อนคลายภาวะ Cabin fever ได้คือ 5 วิธีรีบมือเมื่อลูกเกิดสภาวะ Cabin fever ช่วงโควิด-19 มาฝากสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อการดูแลลูกหลานในช่วงอยู่บ้านยาว ๆ ดังนี้
1.หมั่นพูดคุย อธิบายเหตุการณ์ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถช่วยให้ลูกหลานเข้าใจถึงสถานการณ์ด้วยการอธิบายข้อมูลที่แท้จริงด้วยภาษาที่เรียบง่ายและเหมาะสมกับวัยของเขา สิ่งนี้จะช่วยลดความสับสน ความโกรธ ความเศร้าและความกลัวที่อาจเกิดจากการรับข่าวสารที่ถาโถมบนโลกออนไลน์ได้
2.ออกแบบกิจกรรมเพื่อการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ
ลูกหลานที่กักตัวอยู่ในบ้านส่วนใหญ่มักใช้เวลาไปกับสื่อออนไลน์เพื่อความบันเทิง ขณะเดียวกัน พ่อแม่ผู้ปกครองก็สามารถช่วยทำให้เวลาเหล่านั้นเป็นเวลาที่มีคุณภาพขึ้นได้ เช่นหรือ ช่วยเด็ก ๆ แบ่งเวลาทำกิจกรรมให้สมดุลกัน สำหรับกิจกรรมเพื่อความบันเทิงอย่างเกมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียกับกิจกรรมอื่น ๆ ที่สามารถทำร่วมกับการวิดีโอคอลกับเพื่อน ๆ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี
3.ตรวจสอบข่าว-อย่าเชื่อข้อมูลอะไรง่าย ๆ
เพราะข้อมูลต่าง ๆ หลั่งไหลผ่านสื่อออนไลน์มาถึงเราอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงของข่าวลือและข้อความที่ไม่เป็นความจริง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองในการย้ำเตือนลูกหลานต่อการแยกแยะก่อนที่จะเชื่อข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งบนโลกออนไลน์ โดยแหล่งข้อมูลควรมาจากพ่อแม้ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ และหน่วยงานที่เชื่อถือได้
4.หมั่นสังเกตพฤติกรรมลูกหลาน
ในช่วงที่เด็ก ๆ ใช้เวลาบนโลกออนไลน์เป็นเวลานาน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดต่อกับบุคคลแปลกหน้าหรือผู้ไม่ประสงค์ดีมากขึ้น เพราะหลายครั้งการปล่อยเด็กไว้กับโลกออนไลน์โดยที่ไม่มีการควบคุมหรือตรวจสอบ อาจทำให้พวกเขารู้สึกเคว้งคว้างได้ ดังนั้น การให้เวลากับเด็ก ๆ จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำผ่านการพูดคุยและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และควรแนะนำเด็ก ๆ ว่าหากพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจหรือหวาดกลัว ควรปรึกษาพ่อและหรือผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ทันที
สำหรับเด็กบางคน อาจจะไม่แสดงพฤติกรรมที่ผิดแปลกไปจากการใช้สื่ออนไลน์ ดังนั้น การเข้าไปพูดคุยและใช้เวลากับเด็กๆ มากขึ้น จะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองสังเกตพฤติกรรมที่ผิดแปลกได้อย่างทันท่วงที
5.สร้างวินัยในการชีวิตในแต่ละวัน
สิ่งที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ผ่อนคลายจากภาวะ Cabin fever ได้ก็คือ การนอนและการออกกำลังอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองมีบทบาทอย่างมากในการออกแบบกิจวัตรประจำวันที่ทำให้เด็ก ๆ มีวินัยในการใช้ชีวิตในแต่ละวันมากขึ้น ซึ่งอาจหมายรวมตั้งแต่เวลาในการรับประทานอาหารจนถึงเล่นเกม โดยควรเลือกกิจกรรมที่ทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและไม่เครียดจนเกินไป
ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้ดูนะคะ ในช่วงเวลาว่าง คุณพ่อคุณแม่หากิจกรรมมาทำร่วมกันกับเด็ก ๆ เพื่อให้เค้ารู้สึกสนุกสนาน และไม่คิดว่าการอยู่บ้านเป็นสิ่งที่น่าเบื่อค่ะ #โควิดคือโอกาส โอกาสที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิด และสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นมากขึ้นนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกบ้าน เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันค่ะ

ล่าสุดมีคุณแม่ข้อความมาหาในเพจ รักลูกคลับ ของเราค่ะ ว่า ลูกกลัวโควิดมากเลยค่ะ ทำไงดี? วันนี้เรามีวิธีการพูดกับลูก เพื่อช่วยให้สภาพจิตใจของลูกดีขึ้น ไม่กลัวโรคนี้จนเกินไป และรับมือกับสถานการณ์ของโควิดในปัจจุบันได้ค่ะ
- คุยกับลูกว่าได้ยินอะไรมาบ้าง ที่สำคัญตั้งใจฟังเพื่อรู้ให้ชัดว่าลูกรู้อะไรผิดมาหรือไม่ หรือที่ได้ยินคือข่าวลือเท่านั้น ฟังแล้วค่อยๆ อธิบายความจริง เพราะสถานการณ์อย่างนี้ข่าวลือเยอะ ความจริงที่ต้องบอก เช่น เป็นเชื้อโรคที่ติดต่อกันง่าย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ตาย เป็นต้น
- ต้องย้ำกับเด็ก ๆ ว่าเขาจะโตขึ้นอย่างปลอดภัย ผู้ใหญ่จะพยายามดูแล ป้องกันไม่ให้เจ้าเชื้อโรคร้ายระบาดหนักกว่านี้
ถ้าเจอคำถามของเด็กแล้วตอบไม่ได้ คำตอบที่ควรตอบคือ เป็นคำถามที่ดีมากลูก แต่พ่อแม่เองยังไม่มีข้อมูลตอนนี้ แต่จะหาคำตอบมาบอกให้นะ จำไว้ว่าตอบเมื่อมีข้อมูลจริงและถูกต้อง คือสิ่งที่ดีที่สุด
- ปิดทีวีไปเลย โดยเฉพาะสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบ เพราะข่าวสารต่างๆ อาจทำให้เด็กกลัวมากเกินไป
- สอนเรื่องการทำความสะอาด ล้างมือ และอย่าใช้มือแตะ จับ ใบหน้า ซึ่งเป็นกิริยาที่เคยชินยากที่จะเลิกได้ สิ่งที่ต้องคือต้องช่วยกันเตือน ให้คำแนะนำ ส่งกำลังใจให้ละเลิกให้ได้
- เติมพลังเด็ก ๆ มีผลวิจัยพบว่าถ้าเรารู้สึกเศร้า หรือรู้สึกอยากช่วยให้เรื่องต่างๆ ดีขึ้น จะทำให้เราอยากลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น กรณีนี้เราอาจชวนเด็กๆ บริจาคของเล่น เงินให้การกุศลก็ได้
- เด็กมีความกังวลว่าคุณอาจติดเชื้อโรคและตายได้ เรื่องนี้บอกย้ำไปเลยว่า พ่อแม่อยากให้ลูกรู้ว่า พ่อแม่ดูแลตัวเองอย่างดี และจะอยู่กับลูกจนแก่ เป็นปู่ย่าตายาย เพราะลูกจะเติบโต แต่งงาน และมีลูกหลานในอนาคตแน่นอน
ความกังวลของเด็กจะแสดงออก เช่น คิดแง่ลบ ทางแก้คือ หาเรื่องขำๆ สนุกๆ ทำด้วยกัน เพราะการหัวเราะ ทำให้เคมีในร่างกายดีขึ้น ลดฮอร์โมนความเครียด และนี่คือหนทางทำให้ความกลัวของเด็กคลี่คลายลงได้
- ข้อสำคัญข้อนี้คือ ขจัดความกลัวออกจากความรู้สึกของคุณก่อนที่จะคุยกับลูก ซึ่งความกลัวจะหายไป ถ้าคุณเองมีข้อมูลที่ถูกต้อง ดังนั้นเลือกอ่านข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือไว้ก่อนดีที่สุด
- ใช้เวลาด้วยกันอย่างมีความสุข หลายโรงเรียนต้องปิดชั่วคราว เพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่ ป้องกันโรคแพร่ระบาด และนี่คือโอกาสอยู่ใกล้ชิดกันในครอบครัว หากิจกรรมสนุก และที่ชอบทำด้วยกัน แค่นี้ก็ทำให้ครอบครัวอบอุ่น มีความสุข เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดในช่วงนี้
ที่มา : World Economic Forum

สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ลูกคือแก้วตาดวงใจ เมื่อลูกมีอาการไม่สบายแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้กังวลใจ คิดไปต่างๆ นานา แต่ถ้าเราทำความรู้จักและเข้าใจโรคให้มากขึ้น รู้อาการ รู้แนวทางป้องกันรักษา ก็น่าจะทำให้คลายความกังวลลงได้
“RSV” ไวรัสตัวร้าย ป้องกันได้ถ้าไม่อยากให้ลูกป่วย
บทความตอนนี้ พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา โรงพยาบาลนวเวช จึงได้นำความรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ ที่มักเกิดกับเด็กเล็กมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้จัก ซึ่งหลายคนก็อาจสับสนระหว่าง RSV ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดธรรมดา คุณหมอก็เลยมีข้อมูลมาให้เปรียบเทียบด้วยว่าแต่ละโรคมีความแตกต่างกันอย่างไร
RSV (Respiratory Syncytial Virus) เชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจในเด็ก เชื้อไวรัส RSV สามารถติดต่อกันผ่านสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย ผ่านการไอ จาม และสัมผัสกันโดยตรง
อาการ
• อาการเริ่มแรกเหมือนไข้หวัดทั่วไป คือ มีไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล ซึ่งในรายที่มีอาการเล็กน้อย ของทางเดินหายใจส่วนต้น สามารถหายได้เองภายใน 5-7 วัน
• เด็กบางคนมีอาการมากกว่าไข้หวัด คือ อาการไปถึงทางเดินหายใจส่วนล่าง จะมีอาการไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย ไอมากจนอาเจียน อาจมีหายใจเร็ว แรง หายใจลำบาก หรือหายใจแบบมีเสียงวี๊ด (wheezing) ได้ในรายที่มีอาการหนัก การรักษา • การรักษาอาการทั่วไป ให้สารน้ำทางเส้นเลือดดำ ให้ออกซิเจน ล้างจมูก ไปจนถึงช่วยดูดระบายเสมหะในกรณีที่น้ำมูกหรือเสมหะอุดตันมาก
• การรักษาแบบเฉพาะที่ พ่นยาขยายหลอดลม พ่นน้ำเกลือเข้มข้นชนิดพิเศษ เพื่อลดภาวะหลอดลมเกร็ง หายใจมีเสียงวี๊ด
• การใช้ยา Montelukast มีส่วนช่วยในการลดความรุนแรงในช่วงแรกของการหายใจหอบเหนื่อยแบบมีเสียงวี๊ด และให้ใช้ยาต่อเนื่องเพื่อลดการกลับเป็นซ้ำของโรค
การป้องกัน
- ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค ดังนั้นจึงเน้นการป้องกันโดยการเพิ่มภูมิต้านทานธรรมชาติ โดยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด
- ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง และล้างมือบ่อย ๆ
ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ต่างกับไข้หวัดธรรมดาอย่างไร?
อาการระยะเริ่มคล้ายกันมาก แต่ไข้หวัดใหญ่นั้นอาการรุนแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยมีไข้สูง(39-40 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ ไอมาก อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตามร่างกาย ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุ ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ ไข้หวัดใหญ่ยังติดต่อกันได้ง่ายมาก จากการหายใจเอาเชื้อที่กระจายอยู่ในละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการอยู่ใกล้ชิด สัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนกับผู้ป่วย และนำเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สำคัญอย่างไร
- ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและการเสียชีวิต สำหรับบุคคลกลุ่มเสี่ยง
- ลดอัตราการลาป่วยและการเข้ารับรักษาตัวในโรงพยาบาล
- ลดอัตราการขาดงาน ขาดโรงเรียน หรือรบกวนแผนการเดินทาง
- ลดการเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคไข้หวัดใหญ่ต่อสมาชิกในครอบครัว เพื่อน หรือผู้ร่วมงานต่าง ๆ
โรคระบบทางเดินหายใจที่มีอาการใกล้เคียงกัน
โรคระบบทางเดินหายใจ |
อาการ |
ระยะเวลาหาย |
เชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจในเด็ก
(RSV)
|
- มีไข้ไอจามน้ำมูกไหล
- ไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย
- ไอมากจนอาเจียน
- อาจมีหายใจเร็ว แรง หายใจลำบาก
- หายใจแบบมีเสียงวี๊ด (wheezing)ในรายที่มีอาการหนัก
|
- มักหายได้เองภายใน 5-7วัน
- ในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปีที่มีการติดเชื้อเข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนล่างอาจมีเสมหะได้ถึง 2 สัปดาห์
|
ไข้หวัดธรรมดา
(Common cold)
|
|
- มักหายได้เองภายใน 3-5 วัน
|
ไข้หวัดใหญ่
(Influenza)
|
- มีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส
- มีไข้ไอจามน้ำมูกไหล
- ปวดศีรษะ ไอมาก อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ปวดเมื่อยตามร่างกาย
|
- มักหายได้เองภายใน 5-7 วัน
- จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัสในกลุ่มที่มีความเสี่ยง
|
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรค RSV หรือมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ เกี่ยวกับเด็ก สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช โทร. 0 2483 9999 www.navavej.com

พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา
โรงพยาบาลนวเวช
สวัสดีค่ะคุณแม่รักลูกทุกท่าน กลับมาพบกันอีกเช่นเคยกับสาระความรู้ดีๆ วันนี้เราจะพามารู้จักกับโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ Systemic Lupus Erythematosus เรียกสั้นๆ กันว่า SLE ค่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นโรคที่ไกลตัวนะคะ เพราะเด็กข้างบ้านของแม่แอดมินจากเด็กสดใสร่าเริง ดูสุขภาพแข็งแรง จู่ๆ ก็มาล้มป่วยเป็นโรคนี้ได้เหมือนกันค่ะ
โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ SLE คืออะไร?
เป็นโรคที่มีความบกพร่องของภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่ง โดยตัวภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า แอนติบอดี้ ซึ่งมักจะอยู่ในเม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่คอยกำจัดสิ่งแปลกปลอม และต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย แต่ว่าร่างกายของคนนั้น มีภูมิคุ้มกันตัวนี้ทำงานหนักเกินไป จึงทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แถมยังมีการสร้างแบบอัตโนมัติ แบบควบคุมการทำงานไม่ได้ จึงทำลายระบบอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายไปด้วย และถ้าไปเผลอทำลายโดยอวัยวะที่สำคัญเข้า ก็ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
ขอเปรียบเทียบบให้เห็นภาพชัดๆ ของความแตกต่างระหว่างโรค SLE ในเด็กและในผู้ใหญ่กันดีกว่าค่ะ
จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วย SLE ที่เป็นเด็กมีอยู่ร้อยละ 15-20 จะมีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ ซึ่งจะมีอาการของโรคได้ตั้งแต่หลังคลอดจนถึงวัยผู้ใหญ่ ส่วนมากพบในช่วงอายุ 10-14 ปี รองลงมาคือ อายุ 15-19 ปี และ 5-9 ปี ตามลำดับ
โดยทั่วไปอาการของโรคตามระบบจะพบว่า อาการทางข้อ ผิวหนัง ไต และอาการทางประสาท จะพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งโรค SLE ในเด็กพบว่ามีอาการรุนแรงมากกว่า และอาการจะกำเริบเร็วกว่าผู้ใหญ่ ทำให้ช่วงระยะเวลาในการรักษาจะต้องเร็วกว่าผู้ใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงผลร้ายในระยะยาว
ปัจจัยเสี่ยงของ“โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง SLE หรือโรคพุ่มพวง”
1.พันธุกรรม หากทางฝั่งพ่อหรือแม่ มีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้แล้วละก็ ลูกก็จะมีความเสี่ยงได้ค่ะ โดยเฉพาะในฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกัน จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าแฝดไข่คนละใบ
2.การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เชื้อ Ebstein-Barr Virus (EBV) ซึ่งเป็นไวรัสที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Auto immune ได้ นอกจากนี้ยังมีไวรัสตัวอื่น เช่น Cytomegalovirus หรือแม้แต่เชื้อเริม ก็อาจกระตุ้นได้เช่นกัน
3.เพศหญิง ฮอร์โมนเพศหญิง เอสโตรเจน หรือโครโมโซม X ที่มีมากกว่าเพศชาย แต่ถ้าหากเป็นโรค Klinefelter’s syndrome ที่มีโครโมโซมผิดปกติเป็น XXY ก็มีโอกาสที่จะเป็น SLE ได้เช่นกันค่ะ
4.แสงแดด รังสีอัลตร้าไวโอเลต ทำให้มีผลต่อผิวหนังตรงบริเวณที่โดนแดด
5.ยาบางชนิด ยาคุมกำเนิด(เฉพาะที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน) ยาปฏิชีวนะ เช่น กลุ่ม Penicillins, Tetracycline, Isoniacid, Quinidine, Griseofulvin ยากันชัก Phenetoin Carbamazipine ยาไทรอยด์ ยาลดไขมันกลุ่ม Statins เป็นต้น
6.สารเคมีบางชนิด สารเคมีที่พบได้ในสิ่งแวดล้อม เช่น สีย้อมผม ยาฆ่าแมลง ควันบุหรี่ เป็นต้น
5 สัญญาณอันตราย “โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง SLE หรือโรคพุ่มพวง”
1.มีไข้เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ และอ่อนเพลียมากผิดปกติเป็นเวลานาน
2.ลูกมีอาการเบื่ออาหาร สังเกตน้ำหนักลูกบ่อยๆ ว่าน้ำหนักลดลงหรือไม่ หรือใช้วิธีสังเกตจากสัดส่วน เสื้อผ้าของลูก
3.มีผื่นขึ้นโดยเฉพาะที่หน้า และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งไม่ได้เกิดจากอาการแพ้ต่างๆ
4.มีอาการปวด บวมตามข้อ ตามตัว โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน
5.ผมลูกร่วงมากผิดปกติ
ส่วนการรักษานั้น การใช้ยาจะมีความแตกต่างจากในผู้ใหญ่ เพราะต้องคำนึงถึงผลระยะยาวที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของเด็ก โดยเฉพาะผลทางด้านการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ตลอดจนผลข้างเคียงที่แก้ไขไม่ได้หากเกิดขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยเด็กจะมีการตอบสนองต่อการรักษาและผลข้างเคียงของยากดภูมิคุ้มกันแตกต่างจากผู้ใหญ่ การตอบสนองต่อยาบางชนิดดีกว่าถ้าได้รับการบำบัดในระยะแรก ๆ ของโรค ก็จะสามารถลดผลข้างเคียงของโรคและยาได้ดีกว่า
ไม่ต้องเป็นซูเปอร์ฮีโร่ คุณแม่ก็ปกป้องลูกได้ค่ะ.. คุณแม่เพียงแค่หมั่นสังเกตลูกบ่อยๆ นะคะ หากมีอาการดังข้างต้นแล้ว ให้รีบพาลูกไปหาคุณหมอเพื่อให้ได้รับการวินิจฉัย และรักษาได้อย่างถูกต้องตามอาการค่ะ หากพบว่าเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง คุณหมอจะให้ยาเพื่อกดภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม กับระดับความรุนแรงของโรค เนื่องจากยาที่รักษาโรคนี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงสูง และควรได้รับการติดตามผลการรักษาโดยแพทย์ จึงไม่ควรซื้อยาเพื่อรับประทานเองนะคะ
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข, พญ.ศิริสุชา โศภนคณาภรณ์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
สถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีนโยบายอยู่บ้านเพื่อชาติ เพื่อป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง ทางโรงเรียนได้ปิดก่อนกำหนด และพ่อแม่ได้ทำงานที่บ้าน เพื่อป้องกันเชื้อโรคดังกล่าว การอยู่บ้านเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เด็กเกิดภาวะความเครียดได้
ดังนั้น พ่อแม่อย่างเราต้องมาเตรียมรับมือกับความเครียดของลูกกันค่ะ กับ Top 5 วิธีการลดความเครียดในเด็ก พ่อแม่ดูแลได้แบบเอาอยู่
วิธีการลดความเครียดของเด็ก
- การทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว
เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ ให้เด็กได้ช่วยงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดี มีความสุข ทำให้เด็กลืมเรื่องเครียด อีกทั้งยังทำให้เกิดความอบอุ่นในครอบครัวด้วย
- การพูดอย่างสร้างสรรค์ และแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม
พูดในทางบวก พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับการพูดจากับเด็กให้มาก คือการพูดในทางบวก การชมเชยลูก การให้กำลังใจ ในการสอนลูก ควรใช้คำพูดที่สุภาพ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี และช่วยให้ความสัมพันธ์ของคุณและเด็กมีคุณภาพขึ้น
- การให้เด็กได้พบกับประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ นอกจากการเรียน
เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้เด็ก ควรให้เด็กรู้จักความผิดพลาดบ้าง เพื่อทำให้เด็กเกิดความเรียนรู้ รู้จักปรับตัวและรู้จักแก้ไขปัญหา

-
การยอมรับในความสามารถของเด็ก และไม่ควรบังคับเด็กให้ทำในสิ่งที่ยังไม่พร้อม
ไม่เร่งเด็กในด้านวิชาการมากจนเกินไป และควรให้เวลากับเด็กในการเรียนรู้ปรับตัวด้านสังคมด้วย พ่อแม่ส่วนใหญ่มักมองข้ามและเร่งเด็กให้เรียนกวดวิชาเพิ่ม ทำให้ไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาทำกิจกรรมอื่นหรือเล่นกับเพื่อน “ทำให้เด็กขาดทักษะการเข้าสังคม” เข้ากับเพื่อนไม่ได้ และไม่รู้ว่าการเข้ากับเพื่อนต้องทำอย่างไรบ้างเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น
- รับฟังความคิดเห็นเด็ก
เมื่อเด็กทำผิดสิ่งที่ควรทำคือรับฟังความคิดเห็น และถามถึงเหตุผลที่เด็กกระทำสิ่งนั้นว่าคืออะไร? ทำไมจึงทำ? เมื่อทราบสาเหตุจะทำให้เข้าใจถึงการกระทำของเด็ก ส่งผลให้เราสามารถพูดคุยและสอนเด็กได้อย่างถูกต้อง และส่งเสริมให้เด็กได้แก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้น “ความเครียดในเด็ก” ถือเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องเข้าใจและดูแล อย่าปล่อยปละละเลย หากพบว่าเด็กมีอาการซึมเศร้า ผิดปกติ พ่อแม่ได้พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมภายในครอบครัวแล้วแต่ยังไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นก็ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาโดยเร็ว
แพทย์หญิงเบญจพร อนุสนธิ์พรเพิ่ม จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

ต่อมทอนซิล เป็นอวัยวะที่อยู่ภายในลำคอ เป็นต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายคล้ายกองทหารด่านหน้า แต่บ่อยครั้งที่เราจะสังเกตว่าสมาชิกตัวน้อยในบ้านบ่นเจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบพบบ่อยในเด็ก ซึ่งสาเหตุต่อมทอนซิลอักเสบ โรคแทรกซ้อนของต่อมทอนซิลอักเสบมีอะไร ไปดูกันค่ะ
ต่อมทอนซิล เกิดจากอะไร
- เชื้อไวรัสเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่การรักษาทำได้ไม่ยาก เพียงรับประทานยา รักษาตามอาการ พักผ่อนให้เพียงพอ เจ้าหนูน้อยก็จะฟื้นตัวหายดีภายในระยะเวลาอันสั้น
- เชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะที่เกิดจากเชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ ผู้ป่วยจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะหากได้รับการรักษาไม่ถูกวิธี รับประทานยาไม่ครบขนาด หรือใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อชนิดนี้ได้แม้อาการจะทุเลาลงแต่ก็มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงได้
อาการต่อมทอนซิลอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
-
ไข้สูง ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ บางรายอาจมีไข้สูงจนชักได้
-
อ่อนเพลีย หรืออาจโยเย ร้องกวนไม่ยอมนอน
-
เบื่ออาหาร
-
คอหรือต่อมทอลซิลแดง บางรายอาจมีหนองร่วมด้วย
-
อาจกลืนอาหารและน้ำลำบาก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
-
อาจอาเจียน ปวดท้อง หรือมีอาการท้องเดินร่วมด้วย

โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ ของต่อมทอนซิลอักเสบ
เชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อหัวใจของเด็ก โดยที่เชื้อนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่าง ๆ และมักมีอาการอักเสบของหัวใจร่วมด้วย เราเรียกว่า "ไข้รูมาติก" โดยทั่วไปจะพบภายหลังคออักเสบหรือต่อมทอนซิลอักเสบแล้วไม่ได้รับการรักษาภายใน 1 - 4 สัปดาห์ ทั้งนี้เนื่องจาก หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือปล่อยให้อาการกำเริบซ้ำ ๆ จะทำให้หัวใจอักเสบเรื้อรัง และในที่สุดหัวใจก็จะตีบและรั่ว หรือที่เรียกว่า "โรคหัวใจรูมาติก" บางรายอาจต้องได้รับการการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ทำให้สิ้นเปลืองเงินทองและเวลาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เชื้อกลุ่มนี้ยังทำให้เกิดอาการไตอักเสบได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
ข้อแนะนำในการรักษาคออักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
-
หลังจากแพทย์วินิจฉัยอาการ และสั่งยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ เช่น เพนิซิลิน อีริโทรมัยซิน คลาริโทรไมซิน ให้แล้ว ข้อสำคัญ คือ ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาต่อเนื่อง 7 - 10 วันจนครบ แม้อาการจะทุเลาแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไข้รูมาติก หรือไตอักเสบแทรกซ้อน
-
เช็ดตัว ร่วมกับการให้ยาลดไข้เมื่อมีไข้สูง
-
พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ
-
รับประทานอาหารรสอ่อน ๆ และดื่มน้ำหวานบ่อย ๆ เนื่องจากเด็กจะเจ็บคอมากทำให้รับประทานได้น้อย
-
กลั้วคอทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ วันละ 2 - 3 ครั้ง
ข้อระวังคออักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบ
หากท่านหรือบุตรหลานมีไข้ เจ็บคอมาก ควรนึกถึงโรคคออักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบไว้ด้วยเสมอ และควรรีบมาพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมทั้งควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำในการใช้ยาอย่างเคร่งครัดนะคะ
แม้ว่าอาการคออักเสบ และต่อมทอนซิลอักเสบ จะเป็นความผิดปรกติที่ไม่รุนแรงต่อสุขภาพมากนัก แต่หากทิ้งไว้ก็อาจเป็นสาเหตุเริ่มต้นของ "ไข้รูมาติก" และ "โรคหัวใจรูมาติก" ดังนั้น หากบุตรหลานท่านได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี และปฏิบัติตนตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โอกาสที่จะเกิดความผิดปรกติทั้งสองอาการที่กล่าวมาก็จะเป็นไปได้ยาก ที่สำคัญต้องฝากถึงคุณพ่อ คุณแม่และผู้ปกครองของคุณหนู ๆ หากบุตรหลานท่านมีอาการคออักเสบ หรือทอนซิลอักเสบ ควรรีบนำมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย อย่าซื้อยารับประทานเองโดยเด็ดขาด เพราะอันตรายที่ท่านคาดไม่ถึงอาจมาเยือนคนที่ท่านรักได้ค่ะ"
ศ.พญ.นวลอนงค์ วิศิษฏสุนทร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

หลาย ๆ บ้าน อาจกำลังเจอคำถามจากลูกแล้วนะคะ ว่าทำไมเราถึงต้องอยู่บ้านตลอดเวลา ไม่ออกไปเที่ยวไหน ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เด็กบางคนอธิบายแล้วก็เข้าใจและทำตามคุณแม่ได้ค่ะ
แต่สำหรับเด็กบางคน อาจเกิดภาวะ Cabin fever ได้ค่ะ ร้องไห้ งอแง อยากออกไปเที่ยวซะแล้ว เรามาทำความรู้จักกับภาวะ ‘Cabin fever’ หรือ ‘อาการเบื่อบ้าน’ กันดีกว่า
ภาวะว่า Cabin fever คืออะไร
คือสภาวะกดดันทางจิตใจที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้านลบและความทุกข์ที่เกิดจากการถูกจำกัดพื้นที่ ตลอดจนความหงุดหงิดใจ เบื่อหน่าย สิ้นหวัง หรือแม้กระทั่งมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ กระสับกระส่ายและไม่มีสมาธิ เดิมทีภาวะดังกล่าวเป็นการพูดถึงคนที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวในพื้นที่ห่างไกล แต่ในช่วงที่ต้องอยู่เเต่บ้านเป็นเวลานานเเบบนี้ ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดเช่นกัน
ภาวะดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่แบบเรา ๆ ก็เกิดขึ้นได้ค่ะ ทาง Vaile Wright นักจิตวิทยาและผู้อำนวยการศูนย์วิจัย American Psychological Association กล่าวว่า อาการดังกล่าวไม่ใช่อาการป่วยทางจิตแต่อย่างใด โดยผู้ที่หางานอดิเรกใหม่ ๆ ทำ หรือใช้เวลาใดการจัดการบ้าน มีโอกาสที่จะทำให้เกิดภาวะ Cabin Fever ช้ากว่าคนอื่นค่ะ

โรคซึมเศร้าในเด็ก สังเกตอย่างไร ก่อนจะสายไป
โรคซึมเศร้า สุดอันตรายนี้ ถ้าใครคิดว่าเด็กเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้ ขอบอกว่าเป็นได้นะคะ แต่ถ้ารู้ทัน สังเกตดี ๆ จะมองง่ายมากกว่าผู้ใหญ่ด้วย เพราะเด็กจะเก็บอาการไม่อยู่ แสดงออกตามสิ่งที่รู้สึก และหากพ่อแม่กังวลว่าลูกเราเข้าข่ายหรือไม่ ลองเช็กตามนี้เลยค่ะ เพื่อเป็นการรับมือให้ทันกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของลูก
โรคซึมเศร้า (depression) เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง ที่อารมณ์ซึมเศร้าจะมีมากกว่าปกติ เศร้าติดต่อกันเกือบทั้งวัน ติดต่อกันทุกวันนานเกิน 2 สัปดาห์
สาเหตุของโรคซึมเศร้าในเด็ก
เกิดจากพันธุกรรม ถ้ามีประวัติโรคซึมเศร้าในครอบครัว ก็จะทำให้เด็กมีโอกาสป่วยด้วยโรคซึมเศร้า มากกว่าเด็กทั่วไป ยาบางชนิดสามารถทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้
ประกอบไปด้วย ความเครียดหรือรู้สึกไม่ชอบ กลัว กังวล กับบุคคลรอบข้าง หรือ เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง กลัวการแข่งขัน

ลูกเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ สังเกตได้ดังนี้
- ลูกจะมีอารมณ์ที่ซึมเศร้าลง เบื่อหน่ายมากขึ้น หรืออาจมีอารมณ์หงุดหงิดบ่อยทั้งวัน
- ชอบแอบร้องไห้
- ลูกไม่มีความสุข ความเพลิดเพลินเมื่อทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น เคยชอบวาดรูป แต่กลับเกลียดการวาดรูป
- ลูกไม่อยากอาหาร น้ำหนักลดลง หรือในขณะที่เด็กบางรายก็ทานอาหารมากเกินไป
- ลูกจะนอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือตื่นเร็วกว่าปกติ หรือนอนทั้งวัน
- ลูกทำอะไรก็เฉื่อยชาไปหมด
- เริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูดเหมือนก่อน
- ลูกไม่มีสมาธิในการเรียน ความจำแย่ลง
- ชอบรู้สึกผิด โทษตัวเอง รู้สึกไร้ค่า สุดท้ายพูดเรื่องการตาย อยากฆ่าตัวตาย
วิธีรับมือ เมื่อลูกเป็นโรคซึมเศร้า
- พ่อแม่ควรหมั่นพูดคุยกับลูก สังเกตพฤติกรรม สอบถามอาการสารทุกข์สุกดิบ ถามถึงความสุขของลูก เพื่อช่วยแก้ปัญหาในเบื้องต้น ก่อนที่ลูกจะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
- การทำกิจกรรมร่วมกับลูก ไปทำกิจกรรมใหม่ ๆ บรรยากาศใหม่ ๆ เพื่อให้เด็กมีความสุขเพิ่มขึ้น แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ไม่ทำให้แย่ลงไปกว่าเดิม พูดคุยกับลูกโดยเหตุและผล
- ไม่ใช้อารมณ์ ให้ความเอาใจใส่และความอบอุ่นแก่ลูกอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่าปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เร่งรัด ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด คอยสำรวจพฤติกรรมหรือขอความช่วยเหลือจากคุณครู ให้ช่วยสอดส่องพฤติกรรมของลูก และเปิดเผยพูดคุยกับคุณครูเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาของลูกที่พบที่บ้านและโรงเรียน เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
พ่อแม่ 5 ประเภท ที่ผลักลูกเผชิญโรคซึมเศร้าตั้งแต่เด็ก
ขอบคุณข้อมูลจาก : พญ. กมลวิสาข์ เตชะพูลผล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์ สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพญาไท 2

เคยสังเกตไหมคะ ว่าลูกวัยกำลังซนของเรานั้น ฟกช้ำ เลือดออกง่ายมาก ไม่ว่าจะ หกล้ม มีดบาด เลือดกำเดาไหลบ่อย เลือดจะหยุดไหลยากอีก
ทำให้พ่อแม่อดห่วงไม่ได้ว่าลูกอาการเข้าข่ายโรคอะไรหรือไม่ วันนี้เรามีโรคมาให้ทำความรู้จักกันชื่อโรคว่า โรควอนวิลลิแบรนด์ (von Willebrand disease) ที่เด็ก ๆ เลือดออกง่ายอาจเป็นโรคนี้ได้ค่ะ
โรควอนวิลลิแบรนด์ หรือ โรคเลือดออกง่าย คือโรคอะไร
โรควอนวิลลิแบรนด์ คือโรคทางกรรมพันธุ์ชนิดหนึ่งที่มีลักษณะทางคลินิกคือ การมีเลือดออกผิดปกติ โดยเกิดจากความผิดปกติของการเกาะยึดและก่อตัวรวมกันของเกล็ดเลือด ผู้ป่วยโรคนี้จึงมีภาวะการมีเลือดออกง่าย ในบริเวณของผิวหนังหรือเยื่อบุผิวต่าง ๆ หลังจากเกิดการบาดเจ็บของหลอดเลือด เช่น จากอุบัติเหตุ หรือการผ่าตัด
โรควอนวิลลิแบรนด์ วินิจฉัยโรคได้จากประวัติการมีเลือดออกผิดปกติของผู้ป่วย และคนในครอบครัว ร่วมกับการตรวจวัดระดับหรือการทำงานของ vWF และสามารถให้การรักษาได้ด้วยยา desmopressin หรือการให้ vWF ในเลือดบริจาค เป็นต้น

โรคเลือดออกง่าย แบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
ชนิดที่ 1 เป็นชนิดที่พบมากที่สุดโดยจะพบผู้ป่วย 70-80% ของผู้ป่วยทั้งหมด และถ่ายทอดทางพันธุกรรม อาการของภาวะเลือดออกง่ายในผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีตั้งแต่รุนแรงน้อย ไปจนถึงอาการรุนแรงปานกลาง
ชนิดที่ 2 พบประมาณ 5% ของผู้ป่วยทั้งหมด มีอาการเกล็ดเลือดต่ำ โดยหากมีภาวะที่ก่อให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เช่น ตั้งครรภ์ หรือผ่าตัด ก็จะแสดงอาการเลือดออกง่าย ภาวะเลือดออกง่ายชนิดนี้มีความรุนแรงแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก
ชนิดที่ 3 พบได้น้อยมาก โดยจะพบผู้ป่วยชนิดนี้ 1 ราย ในประชากร 250,000 ราย จากการศึกษาผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ในประเทศอิหร่านชนิดนี้ จำนวน 385 คน พบว่ามีเลือดออกในข้อ กล้ามเนื้อ ช่อง ปาก และเลือดกำเดาไหล คิดเป็นร้อยละ 37, 52, 70 และ 77 ตามลำดับ
วิธีสังเกตว่าลูกเป็น “โรคเลือดออกง่าย” หรือไม่
พ่อแม่สามารถสังเกตอาการผิดปกติได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ ได้ดังนี้
- มีรอยจ้ำฟกช้ำเกิดขึ้นเอง
- มีเลือดกำเดาไหลบ่อย
- ในขณะที่เลือดกำเดาไหล เลือดจะไหลนาน และมีปริมาณมาก
- หากเป็นผู้หญิงจะมีประจำเดือนมามากและนาน
- มีปัญหาเลือดออกง่ายจากเยื่อบุต่าง ๆ และเกิดเป็นซ้ำบ่อย ๆ
หากพบว่าลูกน้อยมีอาการเลือดออกง่าย ตามข้างต้นแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ เพื่อวินิจฉัยและรักษาต่อไปค่ะ
ข้อมูลจาก :
อ.นพ.สันติ สิลัยรัตน์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
รศ.พญ.ดารินทร์ ซอโสตถิกุล ภาควชิากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิยาลัย

เข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการ แต่อากาศบ้านเราก็ยังคงแดดจ้า อากาศร้อน ฝนตก อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย จนอาจทำให้เจ้าตัวน้อยไม่สบายได้ค่ะ เพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับมือกับโรคหน้าฝนและป้องกันไม่ให้ลูกป่วยได้
มาทำความรู้จักกับ 5 โรคหน้าฝนจะมีโรคอะไรที่เป็นโรคยอดฮิตและพ่อแม่ต้องระวังบ้าง ไปทำความรู้จักกันเลยค่ะ
5 โรค ที่เด็กเสี่ยงเป็นมากที่สุดในหน้าฝน!
- โรคไข้หวัดใหญ่
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) อาการที่รุนแรงมากกว่าไข้หวัดธรรมดา โดยสังเกตได้จากอาการที่สำคัญคือ มีไข้สูงติดกันหลายวันโดยเฉพาะในเด็กจะมีไข้สูงลอยเกินกว่า 39-40 องศาเซลเซียสติดต่อกัน 3-4 วัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียอย่างมาก และเบื่ออาหาร
วิธีป้องกัน ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดประมาณ 1-2 เดือนก่อนฤดูกาลระบาดของโลกในทุก ๆ ปี และสามารถฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
- โรคมือเท้าปาก
เกิดจากเชื้อไวรัส (Enterovirus 71, Coxsackie) พบมากในฤดูฝน อาการของโรค เด็กจะมีไข้ ผื่น ตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผลในปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก บางรายอาจมีผื่นที่ขา และก้นร่วมด้วย พบมากในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 3 ปี (อนุบาลถึงประถม) อาการมักหายได้เองภายใน 3-10 วัน
เมื่อเป็นโรคมือเท้าปากแล้ว เด็กบางคนจะทานอาหาร และน้ำไม่ค่อยได้ เพราะเจ็บปากมาก ซึ่งแม้แต่น้ำลายก็ไม่ยอมกลืน ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้นอย่าให้เด็กมีไข้สูงเกินไป เพราะอาจจะชักได้ บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตอาการ เมื่อผิดปกติต้องรีบพาพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกัน ผู้ปกครองควรดูแลลูกในเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และถ้าไม่จำเป็นไม่ควรให้ลูกไปอยู่ในสถานที่แออัด และควรมีกระติกน้ำ หรือแก้วน้ำส่วนตัวให้ลูกไปใช้กินที่โรงเรียนด้วย รวมถึงปลูกฝัง และฝึกให้ลูกใช้ช้อนกลางขณะรับประทานอาหารทุกครั้งไม่ว่าจะที่โรงเรียน หรือที่บ้านก็ตาม
- โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคที่มี “ยุงลาย” เป็นพาหะนำโรค มีโอกาสเป็นได้ทั้งเด็ก ถ้าได้รับเชื้อแล้ว จะมีไข้สูงเกิน 3 วันขึ้นไป ตา และหน้าจะเริ่มแดง มีความรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดท้อง กินยาลดไข้เท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล ปวดเมื้อยตามตัว
วิธีป้องกันอย่าให้ยุงกัดและอย่าให้ยุงเกิด ด้วยการจำกัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้หมดสิ้น และอย่ารอให้เกิดอาการที่รุนแรงก่อนแล้วจึงมาพบแพทย์ เช่น เป็นไข้สูงเกินไป ช็อก หรือมีปัญหาเลือดออกง่าย ต้องรีบพาลูกมาพบแพทย์ทันที
- โรคอีสุกอีใส
อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีไข้ เป็นผื่นแดง และมีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นตามตัว โดยเริ่มจากบริเวณท้อง ลามไปตามต้นแขน ขา และใบหน้า หลังจากนั้นจะเกิดเป็นสะเก็ด และแผลเป็นขึ้นได้ มักหายได้เองประมาณ 2-3 สัปดาห์
วิธีป้องกัน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งมีประสิทธิภาพค่อนข้างดี เริ่มฉีดในเด็กตั้งแต่ 1 ขวบเป็นต้นไป และจะกระตุ้นอีกครั้งในตอน 4 ขวบ ซึ่งเป็นวัคซีนเสริม ยังไม่กำหนดเป็นมาตรฐานที่เด็กทุกคนจะต้องฉีด
- โรคไอพีดี (IPD) และปอดบวม
คือโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ “นิวโมคอคคัส” ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดและที่เยื้อหุ้มสมอง ซึ่งมีความรุนแรง และอาจทำให้เด็กพิการ หรือเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
ถ้าติดเชื้อที่ระบบประสาท เช่น เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาจเจียน คอแข็ง เด็กเล็กจะมีอาการงอแง ซึม และชักได้ ส่วนการติดเชื้อในกระแสเลือด เด็กจะมีไข้สูง งอแง ถ้ารุนแรงอาจทำให้ช็อก และเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ดีถ้ามีอาการดังกล่าวควรรีบพามาพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกัน ปัจจุบันมีวัคซีนฉีดให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เด็กทารกควรเริ่มฉีดเมื่ออายุได้ 2 เดือนขึ้นไป และฉีดเข็มต่อไปเมื่ออายุได้ 4, 6 และ 12-15 เดือน โดยเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่มีโรคประจำตัว หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีความเสี่ยงสูง วัคซีนจึงสำคัญ
ช่วงหน้าฝนนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลป้องกันโรคต่าง ๆ จากลูกได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายเป็นประจำและล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอนะคะ
หากลูกมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง กินอาการได้น้อย อาเจียน อ่อนเพลียง่าย มีภาวะขาดน้ำ หรือมีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอบ่อย หายใจเร็ว และกินอาหารได้น้อย ควรรีบพามาพบแพทย์ทันที เพราะถ้าวินิจฉัยโรคเร็ว ความรุนแรงของโรค และโอกาสที่รักษาให้หายจะมีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นค่ะ

ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย โรคที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม!
ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย คือ ภาวะที่เด็กมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไปสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควร
สัญญาณที่บ่งบอกว่าบุตรหลานของท่านอาจจะมีภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย
-
เด็กหญิงที่มีหน้าอก กลิ่นตัว ขนหัวหน่าว มีการเพิ่มขึ้นของความสูงอย่างรวดเร็วก่อนอายุ 8 ปี หรือมีประจำเดือนก่อนอายุ 9 ปีครึ่ง
-
เด็กชายที่มีขนาดอัณฑะหรืออวัยวะเพศโตขึ้น มีกลิ่นตัว ขนหัวหน่าว เสียงแตก ก่อนอายุ 9 ปี
สาเหตุของภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย
สาเหตุจากการที่ระบบควบคุมการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวทำงานก่อนวัย ซึ่งส่วนมากในเด็กหญิง เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแต่จะตรวจพบฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองมากกว่าปกติ ส่วนในเด็กชายสาเหตุที่พบบ่อยคือเนื้องอกในสมองที่ทำให้มีการผลิตฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองออกมาก่อนวัยอันควร ซึ่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้มีการสร้างฮอร์โมนเพศจากรังไข่ในเพศหญิงและอัณฑะในเพศชายจึงทำให้เด็กมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไปสู่วัยหนุ่มสาว
สาเหตุจากการที่มีฮอร์โมนเพศเกิน โดยอาจเกิดจากได้รับฮอร์โมนจากภายนอก เช่น จากยารับประทาน หรือยาทาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ หรือมีการสร้างฮอร์โมนเพศขึ้นมาเองในร่างกายนอกเหนือระบบควบคุมการเข้าสู่วัยหนุ่มสาว เช่น เนื้องอกของรังไข่หรืออัณฑะ หรือภาวะที่มีความผิดปกติของต่อมหมวกไต เป็นต้น
หากสงสัยว่าบุตรหลานของท่านมีภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัยควรทำอย่างไร ควรพามาพบกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อเพื่อตรวจประเมิน โดยแพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย รวมถึงการตรวจประเมินเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น เอกซเรย์อายุกระดูก ตรวจการสร้างฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองและฮอร์โมนเพศ อัลตร้าซาวน์มดลูกและรังไข่ รวมถึงตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองในรายที่มีข้อบ่งชี้ เป็นต้น
ผลกระทบจากภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย
-
ผลกระทบทางร่างกาย ได้แก่ ผลต่อการเจริญเติบโตคือในระยะแรกจะสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่อาจจะมีภาวะตัวเตี้ยตามมาในวัยผู้ใหญ่เนื่องจากการที่มีฮอร์โมนเพศก่อนวัยจะทำให้มีการพัฒนาของอายุกระดูกเร็วกว่าวัยจึงทำให้ระยะเวลาในการเจริญเติบโตสั้นกว่าปกติ นอกจากนี้เด็กที่เริ่มเป็นสาวก่อนวัยจะมีแนวโน้มที่จะมีประจำเดือนเร็วจึงอาจส่งผลต่อการดูแลตนเองในวัยเด็ก
-
ผลกระทบทางจิตใจ ได้แก่ ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายไปสู่วัยหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติจะทำให้เด็กรู้สึกแตกต่างจากเพื่อนซึ่งอาจจะส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง และอาจเกิดปัญหาจากการถูกล้อเลียน รวมถึงการถูกล่อลวงต่าง ๆ เนื่องจากพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไม่สอดคล้องกัน
วัตถุประสงค์ของการรักษาภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย
-
เพื่อป้องกันปัญหาทางร่างกายและจิตใจที่เกิดจากภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย
-
เพื่อให้มีการเจริญเติบโตเต็มที่ตามศักยภาพของพันธุกรรม วิธีการรักษาภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย
-
รักษาสาเหตุ เช่น การหยุดยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ การผ่าตัดเนื้องอกที่สร้างฮอร์โมนเพศ เป็นต้น
-
ฉีดยาชะลอการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวโดยฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อหรือไขมันทุก 1 หรือ 3 เดือน เพื่อยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง ซึ่งจะทำให้เกิดการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชั่วคราว และชะลอการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวรวมถึงอายุกระดูกในขณะที่รักษา อย่างไรก็ตามเมื่อหยุดการรักษาผู้ป่วยจะสามารถเข้าสู่วัยหนุ่มสาวได้ตามปกติ
รักลูก Community of The Experts
พญ. นิภาพรรณ จรดล
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ และเมตาบอลิก โรงพยาบาลพระรามเก้า

เข้าหน้าฝนทีไร ต้องเฝ้าระวังกันหลายอย่างเลยเชียว ไม่ว่าจะเป็นงู เงี้ยว เขี้ยวขอ สัตว์มีพิษต่างๆ ที่จะแอบเข้าบ้าน หรือการป่วยไข้จากไข้หวัดต่างๆ รวมไปถึงอุบัติเหตุที่เกิดจากฝนตกน้ำท่วมด้วย ยังมีไข้เลือดออกอีกที่เราต้องระวัง
ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยสถานการณ์โรคไข้เลือดออกว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปีนี้ โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในวัยเรียน สาเหตุที่ทำให้มีผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงฤดูฝน ทำให้เกิดน้ำขังตามภาชนะต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลาย จึงขอความร่วมมือทุกคนช่วยกันทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านและโรงเรียน เพื่อป้องกันบุตรหลานจากโรคไข้เลือดออก
วิธีสังเกตอาการของตนเองและผู้ใกล้ชิด
โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่ยังไม่สามารถบอกอาการของตนเองได้ชัดเจน หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน แนะนำให้ไปโรงพยาบาล ซึ่งอาการไข้เลือดออกมีระดับความรุนแรงต่างกันออกไป ตั้งแต่อาการน้อยไปถึงรุนแรงมากแต่ส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง ซึ่งแพทย์จะตรวจประเมินอาการผู้ป่วย หากพบว่าอาการไม่รุนแรงอยู่ในระยะไข้ ยังรับประทานอาหาร ดื่มน้ำได้ แพทย์จะแนะนำการดูแลที่บ้านให้ญาติทราบ
วิธีสังเกตอาการที่ควรรีบมาพบแพทย์
โดยเฉพาะช่วงไข้ลด มีอาการซึมลง รับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ อ่อนเพลีย ปวดท้องมาก คลื่นไส้อาเจียน กระวนกระวาย หากลูกหรือคนใกล้ตัวมีอาการดังกล่าว อาจเข้าสู่ระยะช็อคควรรีบพาไปหมอทันทีค่ะ
อาการผู้ป่วยไข้เลือดออก
หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 5 - 8 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงลอย อุณหภูมิ 38.5 – 40.0 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2 - 7 วัน อาการทั่วไปคล้ายเป็นหวัด แต่ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก หน้าแดง ปวดศีรษะ บางรายอาจมีปวดท้อง อาเจียนมีจุดแดงเล็กตามแขน ขา ลําตัว หากมีอาการไข้สูง 2 วันไข้ไม่ลดขอให้รีบไปพบแพทย์
สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่แพทย์ให้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน
- ควรดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ
- เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำธรรมดา
- รับประทานอาหารอ่อน
- กินยาตามแพทย์สั่ง
- ห้ามกินยาแอสไพรินหรือไอบูโปรเฟน เพราะจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 2-3 วันหลังจากไข้ลด หากผู้ป่วยมีเลือดกําเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดและอุจจาระเป็นสีดํา หมดสติ ให้รีบนําส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อลดการเสียชีวิต สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
เคยสังเกตหรือไม่ว่า เวลาปิดเทอม เจ้าตัวเล็กจะร่าเริงเป็นพิเศษ แถมไม่ค่อยป่วยซะด้วย แต่เปิดเทอมทีไร จะเป็นหวัดหรือไม่ค่อยสบายอยู่บ่อยๆ นั่นเป็นเพราะในห้องเรียนของลูกอาจจะมีเชื้อโรคแฝงตัวอยู่ อาจทำให้ลูกเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาได้ง่ายๆ ค่ะ โดยเฉพาะ 5 เชื้อโรคยอดฮิต ต่อไปนี้
โรคนี้คุณพ่อคุณแม่หลายคนเป็นกันมาแล้ว เพราะติดกันง่ายมาก แค่ภายใน 2-3 วัน เพียงเด็กๆ ไป แตะโดนตัวเพื่อนที่กำลังเป็นอีสุกอีใส หรือเผลอไอใส่หน้ากันเท่านั้นก็เรียบร้อยค่ะ
อาการเริ่มแรก ลูกจะปวดหัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว กินข้าวไม่ค่อยลง และเริ่มมีตุ่มแดงขึ้นตามตัว แขนขา และขึ้นที่หน้า หลังจากนั้น ตุ่มแดงจะกลายเป็นตุ่มใสขอบแดง และเมื่อใกล้หาย จะเปลี่ยนเป็นตุ่มขาวๆ แล้วตกสะเก็ดและค่อยๆ หลุดออกไป เหลือไว้แค่รอยแผลเป็นดำๆ ซึ่งโรคนี้เป็นเอง ก็หายได้เอง
แต่เด็กบางคนเป็นมากกว่านั้น เพราะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดแผลเป็นหนอง และเด็กเล็กที่มีภูมิต้านทานไม่ดี อาจรุนแรงจนทำให้มีอาการปอดบวม สมองอักเสบ เยื่อสมองอักเสบ ถึงขั้นเสียชีวิตได้
- อันดับ 4 โรคท้องร่วงจากไวรัส
โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสเข้าปากลูกโดยตรง ซึ่งมีทั้ง “โรต้าไวรัส” เด็กเล็กอายุไม่เกิน 5 ปีจะเป็นกันบ่อย “อดีโนไวรัส , แอสโตรไวรัส”และ“โนโรไวรัส ก็สามารถมาจู่โจมเด็กๆ รวมทั้งผู้ใหญ่ได้ คุณพ่อคุณแม่สังเกตอาการของลูกได้จากลูกท้องเสียเป็นน้ำ ไม่มีมูกเสียปน คลื่นไส้ อาเจียน บางครั้งปวดท้อง ปวดหัว มีไข้ หรือมีน้ำมูกและไอด้วย นี่คืออาการที่เป็นน้อย
เด็กบางคนเมื่อท้องเสียหลายวัน อาจทำให้ลูกท้องอืด ก้นแดง เพราะผิวของลำไส้ถูกทำลาย การดูดซึมอาหารไม่ดีเหมือนเดิม รวมทั้งอาจถ่ายเหลว เพราะเอนไซม์แลกเตสที่ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสทำงานไม่เต็มที่
หากรุนแรงจนกระทั่งถ่ายเหลวมากๆ ร่างกายของลูกจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ บวกกับลูกกินข้าวไม่ได้เลย ทำให้ช็อกได้ และถ้ารักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกไปโรงพยาบาลถ้าลูกถ่ายเหลวมากๆ
เรียกว่า ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองเลยล่ะกับโรคมือเท้าปาก ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี 5 คน จะเป็นโรคนี้ถึง 4 คนทีเดียว โดยจะมีอาการไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย หลังจากนั้น 2-3 วันจะเจ็บปาก ไม่ยอมกินข้าว เพราะในปากมีตุ่มแดงทั้งที่ลิ้น เพดานปากและกระพุ้งแก้ม แล้วกลายเป็นตุ่มพองใส มีการอักเสบและแดงบริเวณรอบๆ ตุ่ม เมื่อตุ่มแตกออกจะเป็นแผลหลุมตื้นๆ นอกจากนี้ยังพบตุ่มหรือผื่นขึ้นที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และก้น แต่จะไม่คัน โรคนี้ไม่มีความรุนแรง โดยที่อาการไข้ขึ้นนั้นจะลงภายใน 3 วัน อาการของเด็กก็จะค่อยๆ ดีขึ้น และหายเป็นปกติภายใน 7-10 วันค่ะ
โรคนี้มีทั้งสายพันธุ์ A และ B จะติดต่อกันได้ง่าย โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กันเยอะๆ ซึ่งติดต่อผ่านทางลมหายใจ ไอ จาม และไข้หวัดใหญ่ ยังสามารถติดต่อได้ทางละอองฝอยของน้ำมูกและน้ำลาย รวมทั้งจากมือของเด็กที่มีเชื้อโรค แล้วนำมือเข้าปากหรือป้ายจมูก เชื้อโรคก็วิ่งเข้าสู่ร่างกายของเด็กๆ แล้วค่ะ
คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการที่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาได้คือ ลูกจะมีไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดหัว เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว อ่อนเพลียมาก อาจคัดจมูก และเจ็บคอ แต่หากเป็นอยู่นานลูกอาจไอได้ เพราะหลอดลมอักเสบ มักหายภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคปอดอักเสบระหว่างการเป็นไข้หวัดใหญ่ อาจทำให้เสียชีวิตได้
เด็กเล็กๆ สามารถเป็นไข้หวัดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะฤดูฝน หรือฤดูหนาว เฉลี่ยแล้วเด็กๆ จะเป็นไข้หวัดกัน 3-8 ครั้งต่อปี ที่เป็นบ่อยๆ เพราะโรคไข้หวัดมีเชื้อไวรัสหลายสายพันธุ์ เวลาเป็นไข้หวัด จะเกิดจากเชื้อโรคเพียงชนิดเดียว เมื่อเขาหายแล้ว ร่างกายก็จะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อที่เคยป่วย แต่ก็เป็นได้อีกค่ะ
อาการของไข้หวัด จะคัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ จามบ่อย คอแห้ง หรือเจ็บคอเล็กน้อย เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอโตขึ้น ไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะเล็กน้อยและเป็นสีขาว แต่มีน้ำมูกหรือเสมหะเกิน 4 วัน อาจจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว เพราะอาจมีเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ แทรกอยู่ได้ เด็กบางคนอาจเกิด ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หลอดลมอักสบ หรือ ปอดอักเสบได้ ในเด็กเล็กอาจชักเพราะพิษไข้ได้ด้วย
จริงๆ แล้วเชื้อโรคมีอยู่ทุกที่ แต่สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องดูลูกน้อยให้มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อจะไม่ป่วยง่ายหรือถ้าป่วยแล้วมีอาการน้อยที่สุด ซึ่งการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงนั้นยังส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนที่ดีของลูกอีกด้วย
จากการสัมภาษณ์ : พญ.รังสิมา โล่ห์เลขา กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลลาดพร้าว

ช่วงหน้าฝนแบบนี้ เด็ก ๆ ที่ถูกฝนแล้วไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที อาจจะทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยไม่สบายได้ง่าย ซึ่งพบว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยที่พบบ่อยที่สุดมีทั้งหมด 6 โรค มีดังนี้
6 โรคฮิตของเด็กในช่วงหน้าฝน
- โรคไข้หวัดใหญ่
พบมากในช่วงหน้าฝน ซึ่งบางปีอาจจะพบจากการระบาด ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน อาการหลัก ๆ คือ เด็กจะมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ ไอ หรือเจ็บคอ ซึ่งเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ จะมีโอกาสเสี่ยงและมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น
สำหรับการป้องกัน การป้องกันที่ดีที่สุด คือ คนป่วยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่คนอื่น รวมถึงใส่หน้ากาก ล้างมือ และรับประทานอาหารให้ถูกสุขอนามัย จะเป็นการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
- โรคมือเท้าปาก
เกิดจากเชื้อไวรัส พบได้ฃตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในช่วงหน้าฝน สำหรับกลุ่มอาการของโรค เด็กจะมีไข้ ผื่น ตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า แผลในปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก บางรายอาจมีผื่นที่ขาและก้นร่วมด้วย พบมากในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี (อนุบาลถึงประถม) อาการมักหายได้เองภายใน 3-10 วัน ติดต่อทางการไอ จาม น้ำลาย หรืออุจจาระ มีระยะฟักตัว 3-6 วัน พบเชื้อทางน้ำลาย 2-3 วันก่อนมีอาการ จนถึง 1-2 สัปดาห์หลังมีอาการ
สำหรับการป้องกัน ผู้ปกครองควรดูแลลูกในเรื่องอาหาร น้ำดื่ม และถ้าไม่จำเป็นไม่ควรให้ลูกเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด และควรมีกระติกน้ำหรือแก้วน้ำส่วนตัวให้ลูกไปใช้ที่โรงเรียน รวมถึงปลูกฝังและฝึกให้ลูกใช้ช้อนกลางขณะรับประทานอาหารทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนหรือที่บ้านก็ตาม
- โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคที่มี “ยุงลาย” เป็นพาหะนำโรค มีโอกาสเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าได้รับเชื้อแล้วจะมีไข้สูงเกิน 3 วันขึ้นไป ตาและหน้าจะเริ่มแดง มีความรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดท้อง โรคนี้ระบาดได้ทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าฝน เพราะโอกาสที่น้ำจะขังมีได้มาก เพราะฉะนั้นอาการที่ให้สงสัยว่าลูกของคุณอาจจะเป็นไข้เลือดออก คือ มีไข้สูงมาก กินยาลดไข้เท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล ปวดหัว ปวดกระบอกตา หรือปวดเมื่อยตามตัว มีอาการตาแดง หน้าแดง และปากแดง เป็นต้น
สำหรับการป้องกันคือ พยายามอย่าให้ยุงกัดและอย่าให้ยุงเกิด ด้วยการจำกัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และอย่ารอให้เกิดอาการที่รุนแรงแล้วจึงมาพบแพทย์ เช่น มีไข้สูง ช็อค หรือมีปัญหาเลือดออกง่าย ต้องรีบพาลูกมาพบแพทย์ทันที
- โรคอีสุกอีใส
เป็นโรคที่เกิดขึ้นบ่อยและเป็นกันบ่อย มักจะเป็นในบางช่วง เมื่อเป็นแล้วมักจะติดกันเป็นทอดๆ โดยเฉพาะการติดต่อจากเพื่อนที่โรงเรียน กลุ่มอาการของโรค ได้แก่ ผู้ป่วยจะมีไข้ เป็นผื่นแดง และมีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้นตามตัว โดยเริ่มจากบริเวณท้องแล้วลามไปตามต้นแขน ขา และใบหน้า หลังจากนั้นจะเกิดเป็นสะเก็ดและแผลเป็นขึ้นได้ มักหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ คุณแม่จึงควรพยายามดูแลรักษาร่างกายของคุณลูกให้แข็งแรงอยู่
สำหรับการป้องกัน ทำได้โดยพยายามอย่าให้ลูกเข้าใกล้กับผู้ป่วย หรือล้างมือบ่อยๆ เป็นต้น
- โรคท้องเสียหรืออุจจาระร่วง
เกิดขึ้นเพราะลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อโรต้าไวรัส ซึ่งมาจากของเล่น อาหาร หรือของใช้ใกล้ตัวเด็กที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะเด็กเล็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่เข้าใจเรื่องของสุขอนามัย จึงมักนำของเล่นหรือของใช้ที่มีเชื้อนี้เข้าปากโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจะถูกขับออกทางอุจจาระของผู้ป่วย อาการส่วนใหญ่จะพบว่ามีอาการท้องเสีย อาเจียน บางรายอาจจะมีไข้สูง กินอาหารได้น้อยลง งอแง ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ
สำหรับการป้องกัน ควรให้เด็กทารกกินนมแม่จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง และดูแลสุขลักษณะการกิน การเล่นให้เหมาะสม ขณะเดียวกันไม่ควรพาเด็กเข้าเนอสเซอรี่เร็วเกินไป เพราะเด็กที่อยู่ด้วยกันเยอะๆ การแพร่กระจายของเชื้อจะมีได้ง่าย
- โรคไอพีดี (IPD) และปอดบวม
โรคไอพีดี หรือที่เรียกว่า Invasive Pneumococcal Disease คือโรคติดเชื้อชนิดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ “นิวโมคอคคัส” ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดและที่เยื้อหุ้มสมอง ซึ่งมีความรุนแรง และอาจทำให้เด็กพิการ หรือเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ถ้าติดเชื้อที่ระบบประสาท เช่น เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาจเจียน คอแข็ง เด็กเล็กจะมีอาการงอแง ซึม และชักได้
นอกจากนี้เจ้าเชื้อ “นิวโมคอคคัส” ยังเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งจากข้อมูลการประเมินขององค์กรอนามัยโลก และยูนิเซฟพบว่า ปอดบวมเป็นโรคที่คร่าชีวิตเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยมีเด็กที่เสียชีวิตจากโรคนี้สูงถึง 2 ล้านคนต่อปี ซึ่งมากกว่าโรคเอดส์ มาลาเรีย และหัดรวมกัน
สำหรับการป้องกัน คือ พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่คนอื่น รวมถึงใส่หน้ากาก ล้างมือ และรับประทานอาหารให้ถูกสุขอนามัย จะเป็นการป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้สุขภาพที่ดีของลูกก็ต้องมาจากสุขภาพที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ด้วยเช่นกัน ยิ่งช่วงหน้าฝนแบบนี้ละก็ ยิ่งต้องอยู่ดูแลใกล้ชิดลูกให้มากๆนะคะ
วัณโรคระบาด มีผู้ป่วยถึง 108,000 ราย ต่อปี ต้องสังเกตและรักษาให้ทัน คนไทยตื่นตัวเรื่องวัณโรคมากขึ้น เพราะล่าสุดประเทศไทยถูกจัดให้เป็น 1 ใน 14 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรคสูงมาก ทั้งวัณโรค (TB) วัณโรคที่มีการติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย (TB/HVI) และ วัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB)
องค์การอนามัยโลกได้ประมาณการในปี 2560 ว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยวัณโรครายใหม่และกลับมาเป็นซ้ำถึง 108,000 ราย ต่อปี นอกจากนี้ คนไทย 20 ล้าน หรือ 1 ใน 3 ของคนไทย มีเชื้อวัณโรคแฝงที่ไม่แพร่กระจาย เรียกว่าตัวเลขพุ่งสูง น่าตกใจมาก ทุกครอบครัวควรไปตรวจสุขภาพประจำปีนะคะ
แพทย์หญิงผลิน กมลวัทน์ ผู้อำนวยการกองวัณโรค กรมควบคุมโรค บอกว่า “วัณโรคเป็นโรคที่ติดเชื้อทางอากาศ จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อสูงมาก ส่วนผู้ที่ติดเชื้อ แต่ไม่แพร่กระจาย สามารถรับยาป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นวัณโรคได้ในอนาคต”
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ อรรถ นานา นายกกรรมการบริหาร สมาคมปราบวัณโรคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ บอกว่า “ผู้ติดเชื้อวัณโรคคือคนที่ได้รับเชื้อในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ส่วนใหญ่ไม่ออกอาการ แต่เมื่อภูมิต้านทานลดลงจะกลายเป็นโรควัณโรคได้”

แพทย์หญิงอลิศรา ทัตตากร ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยวัณโรค 13,000 รายต่อปี ค้นพบได้ประมาณ 12,000 ราย และต้องค้นหาเพื่อนำมารักษาเพิ่มอีก 1,000 ราย การรักษาสำเร็จเพียง 77% มีผู้ป่วยขาดการรักษาต่อเนื่อง อาจจะแพร่เชื้อหรือถึงขั้นเชื้อดื้อยาด้วย ประมาณ 2,500 รายต่อปี รวมเป็นผู้ป่วยทั้งหมด 3,500 คน ”
“สิ่งที่ทำให้วัณโรคต่างจากโรคอื่น ๆ คือไม่สามารถรักษาคนไข้ให้หายขาดได้ เนื่องจากในอดีตต้องทานยาวันละสิบ ๆ เม็ด คนไข้ทานไม่ครบหรือหยุดกินยาทำให้เป็นวัณโรคดื้อยา คิดเป็น 10% ของวัณโรคทั่วไป ต้องกินยาสองปีควบคู่ไปกับฉีดยา 6-8 เดือน และต้องระมัดระวังอย่างมากในการฉีดยาให้ถูกวิธี และถูกต้องกับน้ำหนักตัว เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น หูดับ ไตวาย บางคนเลยมีแนวโน้มที่จะรักษาไม่ครบเพราะการรักษาค่อนข้างยากและใช้ระยะเวลานาน
แต่ในปัจจุบันมียารุ่นใหม่ที่ช่วยลดความยากลำบากของคนไข้และภาระค่ารักษาจากเดิมต้องทานยา 2 ปี หรือฉีดยา 6-8 เดือน ใช้ระยะเวลาสั้นลงเหลือ 9-10 เดือน เพื่อค้นพบโรคให้เร็วขึ้น กรมควบคุมโรคได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ใช้เทคโนโลยี AI ในการอ่านผลเอกซเรย์ทำให้ค้นพบคนไข้และรับการรักษาได้เร็วขึ้น กิจกรรมและการรณรงค์ต่างๆ เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยในประเทศไทย ซึ่งในขณะนี้สามารถลดจำนวนผู้ป่วยวัณโรคไปได้ 10% จาก 172 ต่อแสนคน เหลือ 156 ต่อแสนคน”
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.posttoday.com
โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ไม่ใช่แค่ผื่นคันแต่กระทบพัฒนาการของลูกระยะยาวหงุดหงิดง่าย ไม่สบายตัว และเมื่อคันบ่อย ๆ ก็จะเกิดเป็นแผลถลอก เป็น ๆ หาย ๆ ยิ่งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยก็กระตุ้นทำให้เกิดอาการได้ง่าย
ฟังวิธีการรับมือเมื่อเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง โดย The Expert
ผศ.พิเศษ.พญ.นุชนาฏ รุจิเมธาภาส
กุมารเวชศาสตร์ตจวิทยา โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke
รักลูก The Expert Talk Ep.55 : “ไข้หวัดใหญ่” โรคต้องระวัง เป็นแล้วกระทบสุขภาพระยะยาว
หนึ่งในสี่ของโรคที่เด็กมักเป็นบ่อยโดยเฉพาะช่วงวัยอนุบาล คือโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำอีก นั้นเพราะตัวเชื้อไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงตลอด การรู้ธรรมชาติของโรค และการดูแลสุขอนามัยเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะช่วยป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้
ฟังวิธีการรับโรคไข้หวัดใหญ่ โดย The Expert รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์
รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
ไวรัสไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่ก็เป็นการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มีอยู่สามชนิดด้วยกันที่พบบ่อยๆ คือ ไข้หวัดใหญ่ชนิดA ชนิดB และชนิดC ซึ่งชนิดC พบได้น้อยแล้วไม่ค่อยรุนแรง เพราะฉะนั้นคนก็จะไม่ค่อยให้ความสําคัญ ส่วนชนิดA และB จะเจอกันได้บ่อยกว่า และชนิดA จะมีความรุนแรงมากกว่า
ซึ่งเชื้อไข้หวัดใหญ่จะมีการพัฒนาการตัวเองตลอดเวลา เราจะเห็นว่าเคยเป็นแล้วก็เป็นได้อีกหรือแม้กระทั่งรับวัคซีนไปแล้วปีหน้าก็ต้องรับวัคซีนอีกเพราะว่าตัวเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะฉะนั้นภูมิคุ้มกันที่เรามีครั้งหน้าก็อาจจะไม่สามารถป้องกันเชื้อตัวนี้ได้อีกแล้ว จึงทําให้เป็นแล้วเป็นอีก
โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อผ่านระบบทางเดินหายใจ เช่น การไอ จามอยู่ในพื้นที่ปิดก็มีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย ส่วนใหญ่ที่ติดกันง่ายๆ ก็จะเป็นสายพันธุ์ทั้งAและB สำหรับการจะดูว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดทั่วไป คือ -ไข้หวัดใหญ่จะมีไข้สูงประมาณ 38.5-39ขึ้นไป -ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตัว ซึ่งถ้าเด็กเล็กเป็นจะบอกยากเพราะเวลาที่ไม่สบายก็จะร้องไห้ งอแงก็อาจจะไม่รู้ว่าอาการที่เป็นนั้นคืออะไรบ้าง แต่เด็กโตหรือผู้ใหญ่ก็จะบอกอาการได้
ปัจจุบันนี้วิทยาการทางการแพทย์ก็มีความก้าวหน้า มีการตรวจภูมิคุ้มกันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วจะตรวจหรือไม่ตรวจถ้าหากว่าอาการชัดเจนและไม่รุนแรง จะรักษาเหมือนไข้หวัดทั่วไป ซึ่งสำหรับเด็กเล็กๆ หากมีอาการป่วยไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ และมีไข้สูงกินยาลดไข้ และเช็ดตัวไข้ไม่ลง สิ่งหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นคือมักจะเกิดจากภาวะการขาดน้ำ การให้สารน้ําทดแทน เช่น ดื่มน้ําให้มากขึ้นก็จะทําให้อาการของโรครุนแรงน้อยลง อาการไข้ลดลง เด็กจะสบายตัวมากขึ้น แต่เวลาที่เด็กๆป่วยจะดื่มน้ําได้น้อย กินน้อย ซึ่งเมื่อไปโรงพยาบาลจะให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดก็จะทำให้ไข้ลดลง ซึ่งหากอยู่บ้านแล้วอาการไม่ดีขึ้น การนอนโรงพยาบาลจะช่วยทําให้เด็กๆสบายขึ้น
สำหรับเด็กเล็กๆ หากไข้สูงมากก็มีโอกาสชักจากไข้สูง ดังนั้นการที่ดูแลที่บ้านก็อาจจะทําให้เกิดมีผลแทรกซ้อนที่เราไม่ต้องการตามมาด้วย ซึ่งไข้หวัดใหญ่อาจจะต่าง จากไข้หวัดทั่วๆไปคือจะมีอาการของระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้อาเจียนอาจจะมีท้องเสียที่เราเรียกว่าไวรัสลมกระเพาะ
ภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่
ส่วนภาวะแทรกซ้อนทั่วๆไปของไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดทั่วไปก็จะคล้ายๆกัน ถ้าหากว่าตัวเชื้อลามขึ้นข้างบนก็จะมีอาการ เช่น หูชั้นกลางอักเสบไปจนถึงเป็นไซนัส หรือถ้ารุนแรงก็อาจจะขึ้นไปถึงทําให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ส่วนถ้าลงมาข้างล่างก็อาจจะลงไปที่ปอด หลอดลม หัวใจ คือสามารถมีอาการแทรกซ้อนขึ้นทั้งส่วนบนและส่วนล่างได้
จริงๆ แล้วหากเด็กป่วยนาน ป่วยรุนแรงก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ การเรียนรู้ชะงัก และบางครั้งเด็กมีพฤติกรรมถดถอยบางคนนอนโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ จากที่เคยพูดเก่ง กลับมาถึงบ้านพูดพูดน้อยลง เคยเดินได้คล่องกลับมาถึงบ้านก็อาจจะเดินได้น้อยลง
สำหรับการฉีดวัคซีนทุกชนิดที่เราใช้กันตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคใดๆ ก็ตาม ไม่ได้ป้องกันโรคได้ 100% แล้วทำไมถึงป้องกันได้ไม่100% อาจจะเป็นเพราะว่าเวลาที่เราฉีดวัคซีนไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของคนแต่ละคน มันอาจจะขึ้นมาอยู่ในระดับที่สามารถจะป้องกันโรคได้แตกต่างกัน
ดูแลสุขภาพให้ห่างไข้หวัดใหญ่
1.หลีกเลี่ยงจากคนที่เจ็บป่วย ไม่อยู่ในพื้นที่แออัดและพื้นที่ปิดโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2.ดูแลสุขอนามัยตัวเอง โดยเฉพาะโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจที่ติดต่อผ่านสารคัดหลั่ง เช่น น้ํามูก น้ําลาย น้ําตา สอนให้ลูกล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ 3.กินอาหารให้ครบ 5หมู่และอาหารตามวัย เช่น อายุน้อยกว่า 1ปีอาหารหลักจะเป็นนมแล้วก็มีอาหารเสริม 4.ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ 5.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ไม่ให้ลูกเล่นเกมทั้งคืนและไม่ให้เล่นเกมมากไป
รับมือก่อนไข้หวัดใหญ่รุนแรง
ความเจ็บป่วยที่จะรุนแรงมันขึ้นกับหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ หนึ่ง เชื้อที่ได้รับจำนวนมาก รับเชื้อที่รุนแรง และสอง ความแข็งแรงของร่างกาย หากร่างกายแข็งแรงก็อาจจะไม่รุนแรง เท่ากับคนที่ร่างกายอ่อนแอ และสาม ภาวะแทรกซ้อน เช่น มีโรคประจำตัว อย่างโรคหัวใจ โรคเรื้อรังต่างๆ โรคปอด โรคตับ โรคของเม็ดเลือดก็มีโอกาสที่จะทําให้เกิดความรุนแรง ได้มากขึ้น นอกจากนี้ในเรื่องของกระบวนการดูแลรักษาเมื่อตอนที่เริ่มเป็น หากดูแลเป็นอย่างดีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงก็จะลดลง
สำหรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยทั่วไปถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนจะไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็จะดีขึ้น ซึ่งการรักษาจะเรียกว่าการรักษาแบบประคับประคอง คือรักษาตามอาการ และไข้หวัดใหญ่มีวิธีรักษาที่มียาเฉพาะทั้งยากินและยาพ่นจมูกซึ่งหมอจะเลือกใช้ตามความจําเป็น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าไปถึงเร็วและได้รับยาก็อาจจะทําให้อาการรุนแรงน้อยลงและทําให้อาการหายเร็วขึ้น
Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB
Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube:https://bit.ly/3cxn31u
#รักลูกPodcast
#รักลูกTheExpertTalk
#Moms_Issues