ลูกตัวสูงและตัวใหญ่กว่าเพื่อน พ่อแม่ต้องคอยสังเกตเพราะอาจจะมีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย หากละเลยลูกอาจจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวเตี้ย และมีปัญหาพัฒนาการทางอารมณ์
ฟัง The Expert พญ. ปิยธิดา วิจารณ์
กุมารแพทย์ผู้ชำนาญการ ด้านโรคต่อมไร้ท่อในเด็กและวัยรุ่น
ศูนย์สุขภาพและโรคเฉพาะทางเด็ก โรงพยาบาลเมดพาร์ค
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รู้จัก PTSD โรคทางใจในเด็ก หลังเจอเหตุการณ์รุนแรงในชีวิต
ปัจจุบันมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น เมื่อเราต้องเจอเหตุการณ์เหล่านี้จนทำให้ฝังใจ ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็กและผู้ใหญ่ อาจทำให้เกิดโรค PTSD ได้
โรค PTSD (Post-traumatic Stress Disorder) คือโรคอะไร?
คือภาวะความผิดปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นภายหลังเจอเหตุการณ์ความรุนแรง เช่น ภัยพิบัติ อุทกภัย แผ่นดินไหว การก่อการจราจล การฆาตกรรม สงคราม การปล้นฆ่า ข่มขืน เป็นต้น
สามารถเกิดขึ้นกับผู้ที่ประสบเหตุร้ายด้วยตัวเอง เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ หรือเป็นญาติใกล้ชิดกับผู้ประสบเหตุที่ได้รู้ข้อมูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนทำให้เกิดความเครียดและมีพฤติกรรมบางอย่างที่กระทบต่อการดำเนินชีวิตตามมา ซึ่งผู้ที่ได้รับบาดแผลทางจิตใจจำเป็นต้องได้รับการรักษา
ความแตกต่างของ 'โรค PTSD' ในเด็กและผู้ใหญ่
คือปัญหาเรื่องการสื่อสารและการแสดงออก เมื่ออาการนี้เกิดขึ้นในผู้ใหญ่จะมีการแสดงอาการที่ตรงไปตรงมา สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมอย่างชัดเจน และยังสามารถอธิบายอาการได้ว่าเขามีความคิดอย่างไร เห็นภาพอะไร หรือกำลังรู้สึกอะไรอยู่แต่เมื่อ 'โรค PTSD' เกิดขึ้นในเด็ก แม้จะมีการแสดงออกทางกายที่เหมือนกับผู้ใหญ่ แต่การสื่อสารและการอธิบายอาการที่เป็นอยู่จะค่อนข้างยาก
สำหรับเด็ก เนื่องจากเด็กยังไม่มีความเข้าใจต่อโรค ไม่เข้าใจสภาวะของตัวเอง และไม่รู้จะสื่อสารอาการของตัวเองออกไปอย่างไร ดังนั้นผู้ปกครองอาจวินิจฉัยโรคได้จากการสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งมักพบว่าเด็กจะเสียทักษะทางพัฒนาการบางอย่างที่เคยทำได้และมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง

สาเหตุของ 'โรค PTSD'
1. เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่กระทบต่อจิตใจ
2. ถูกทำร้ายร่างกาย หรือล่วงละเมิดทางเพศ
3. อยู่ในเหตุการณ์ ที่เห็นบุคคลใกล้ชิดบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
4. ปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือโรควิตกกังวล เป็นต้น
อาการที่อาจพบใน 'โรค PTSD'
1.อาการทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว เป็นต้น
2.เห็นภาพเหตุการณ์ซ้ำ หรือฝันร้ายถึงเหตุการณ์นั้น
3.สภาวะทางอารมณ์เปลี่ยนไปมีความรู้สึกผิด แปลกแยกจากสังคม
4.หลีกเลี่ยงสถานที่หรือสิ่งทีทำให้นึกถึงเหตุการณ์นั้นๆ
การป้องกัน 'โรค PTSD'
1. หลังประสบเหตุการณ์ร้ายแรง ต้องรีบเข้ารับการรักษาจากแพทย์
2. เปิดใจกับคนสนิท ที่พร้อมจะรับฟังปัญหา
3. ฝึกทำสมาธิ ด้วยการนั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือนวดเพื่อให้รู้จักผ่อนคลาย
สำหรับเด็ก
1.การบำบัดทางจิตใจ
เด็กที่ป่วยมักจะมีอาการหลีกเลี่ยงเพื่อปกป้องตนเองจากความรู้สึกเจ็บ ปวดและไม่สบายใจที่มีผลต่อการดำเนินชีวิต ทำให้ดูเหมือนเด็กไม่มีอาการจึงไม่มารับการบำบัด การรักษาทำได้ด้วยการให้ความรู้สุขภาพจิต การผ่อนคลายร่างกายและอารมณ์ ให้เด็กได้เผชิญกับสิ่งที่กลัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยที่เด็กได้รับการฝึกวิธีสร้างความมั่นคงทางจิตใจด้วย แล้วปรับเปลี่ยนความคิดที่ทำให้เกิดความกังวล และฝึกการจัดการกับอารมณ์ ซึ่งในผู้ป่วยเด็กอาจจะใช้วิธีวาดภาพระบายสี หรือใช้งานศิลปะเป็นสื่อใช้แสดงความรู้สึกต่างๆ ออกมา และเด็กสามารถเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ให้ฟังได้หากเด็กต้องการเล่าเอง โดยไม่พยายามกระตุ้นให้เด็กเล่าเรื่องซ้ำๆ หากเด็กยังไม่รู้สึกปลอดภัยเพียงพอ
2.การรักษาด้วยยา
นอกเหนือจากการรักษาด้วยการบำบัดทางจิตใจแล้ว จิตแพทย์อาจให้ยาในกลุ่มยาแก้ซึมเศร้าร่วมด้วย โดยยากลุ่มนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์จึงจะเริ่มออกฤทธิ์ และต้องรับประทานยาต่อเนื่องควบคู่กับการทำจิตบำบัดไปด้วย
สรุปแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เด็กหายจากอาการ PTSD หากพ่อแม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเหล่านี้ก็จะช่วยเด็กในเรื่อง การปรับตัว ทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ลดตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดความเครียด และเป็นที่ปรึกษาในสถานการณ์ที่เด็กอาจกังวลและต้องการความช่วยเหลือ
แพทย์หญิง ชนม์นิภา แก้วพูลศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์ สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 2
ลูกฉี่รดที่นอนไม่ใช่เรื่องปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคต่าง ๆ ได้
ปกติเด็กวัยอนุบาล 3-6 ปี จะสามารถควบคุมการขับถ่ายได้แล้ว แม้จะมีบางครั้งที่เผลอปัสสาวะรดที่นอนบ้าง หากไม่ได้บ่อยเกินไปก็ถือว่าไม่ผิดปกติ แต่ถ้าลูกวัย 5 ปีขึ้นไป ปัสสาวะรดที่นอนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ติดต่อกันนาน 3 เดือน อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกสภาวะการเจ็บป่วยของลูกได้
นพ.ภาสกร ชัยวานิชศิริ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ยังไม่พบสาเหตุเฉพาะของการปัสสาวะรดที่นอน แม้ภาวะปัสสาวะรดที่นอนส่วนมากจะหายได้เองเมื่อเด็กโตขึ้น แต่ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเด็กและครอบครัว ทั้งในด้านจิตใจและความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ปกครอง นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดโรคที่มาจากอาการปัสสาวะรดที่นอนได้ เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ความผิดปกติของโครงสร้างของระบบการขับถ่ายปัสสาวะ โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวาน เบาจืด เป็นต้น ฉะนั้นเด็กที่มีปัญหาเหล่านี้จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ
นพ.สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กล่าวว่า การปัสสาวะรดที่นอนเป็นภาวะที่พบบ่อยในเด็ก แต่น่าจะเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ พันธุกรรม ความผิดปกติในการหลั่งฮอร์โมน ADH ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมปริมาณปัสสาวะการทำงานของกระเพาะปัสสาวะโดยเด็กจะรู้สึกปวดปัสสาวะถึงแม้มีปริมาณปัสสาวะไม่มาก การนอนหลับซึ่งเกิดขึ้นได้ในทุกระยะของวงจรการนอนหลับ ความล่าช้าของพัฒนาการในการควบคุมการปัสสาวะ ท้องผูกเกิดจากก้อนอุจจาระกดทับกระเพาะปัสสาวะทำให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลง นอกจากนี้ ความเครียดอาจเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการปัสสาวะรดเป็นมากขึ้นหรือทำให้อาการกลับมาเป็นใหม่ในเด็กที่เคยควบคุมการปัสสาวะได้แล้ว
เคล็ดลับช่วยลูกไม่ให้ฉี่รดที่นอน
-
ไม่ควรลงโทษ หรือตำหนิ แต่ควรแสดงความเข้าใจ และเป็นกำลังใจ รวมถึงการปรับพฤติกรรมโดยใช้แรงจูงใจทางบวก เช่น ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกจะได้รับเมื่อไม่ปัสสาวะรดที่นอน รวมทั้งสิ่งที่ลูกจะต้องปฏิบัติถ้าปัสสาวะรดที่นอน โดยให้สอดคล้องกับความสามารถของเด็ก หรือจะเลือกใช้เครื่องปลุกเตือนปัสสาวะรด เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในปัจจุบัน แต่ในประเทศไทยเครื่องมือดังกล่าวยังใช้ไม่แพร่หลาย อีกทั้งมีราคาค่อนข้างสูง
-
ฝึกกระเพาะปัสสาวะ โดยให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ ในช่วงกลางวันและเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะให้เด็กฝึกกลั้นไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่วมกับปรับอาหารและเครื่องดื่ม โดยปรับให้เด็กดื่มน้ำมากขึ้นในช่วงเช้าถึงบ่ายและลดการดื่มน้ำในช่วงเย็นโดยเฉพาะช่วง 2 ชม. ก่อนเข้านอนควรมีการจำกัดปริมาณน้ำ
เบื้องต้นพ่อแม่ควรพาลูกไปหาหมอ เพื่อให้คุณหมอสอบถามประวัติเพิ่มเติม รวมทั้งตรวจร่างกายและส่งตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น เพื่อที่จะได้หาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป
ที่มา : กรมการแพทย์

ลูกเป็นต่อมทอลซิลอักเสบ อย่าปล่อยให้เรื้อรัง เพราะอาจลามไปโรคหัวใจได้
ต่อมทอนซิล เป็นอวัยวะที่อยู่ภายในลำคอ เป็นต่อมน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกาย คล้ายกองทหารด่านหน้า ซึ่งมักพบบ่อยในเด็กวัยเรียน ส่วนความรุนแรงของโรคนั้น อาการทั่วไปก็รักษาได้ไม่ยาก แต่ถ้าติดเชื้อเข้าก็มีอาการรุนแรงได้เช่นกัน
ต่อมทอนซิลเกิดจากอะไร
-
เชื้อไวรัสเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่กินยาและรักษาตามอาการ พักผ่อนให้เพียงพอ ลูกก็จะฟื้นตัวหายดีภายในระยะเวลาอันสั้น
-
เชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะที่เกิดจากเชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ เด็กที่ป่วยจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกวิธี กินยาไม่ครบขนาด หรือใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอที่จะกำจัดเชื้อชนิดนี้ได้ แม้อาการจะทุเลาลงแต่ก็มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรงได้เช่นกัน

อาการเมื่อลูกเป็นทอนซิลอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
- ไข้สูง ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ บางรายอาจมีไข้สูงจนชักได้
- อ่อนเพลีย หรืออาจโยเย ร้องกวนไม่ยอมนอน
- เบื่ออาหาร
- คอหรือต่อมทอลซิลแดง บางรายอาจมีหนองร่วมด้วย
- อาจกลืนอาหารและน้ำลำบาก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
- อาจอาเจียน ปวดท้อง หรือมีอาการท้องเดินร่วมด้วย
โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ
เชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อหัวใจของเด็ก โดยที่เชื้อนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่างๆ และมักมีอาการอักเสบของหัวใจร่วมด้วย เรียกว่า "ไข้รูมาติก"
โดยทั่วไปจะพบภายหลังคออักเสบหรือต่อมทอนซิลอักเสบแล้วไม่ได้รับการรักษาภายใน 1 - 4 สัปดาห์ ทั้งนี้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือปล่อยให้อาการกำเริบซ้ำๆ จะทำให้หัวใจอักเสบเรื้อรัง และในที่สุดหัวใจก็จะตีบและรั่ว หรือที่เรียกว่า "โรคหัวใจรูมาติก" บางรายอาจต้องได้รับการการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ (ซึ่งค่ารักษาแพงมาก) นอกจากนี้เชื้อกลุ่มนี้ยังทำให้เกิดอาการไตอักเสบได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
ข้อแนะนำในการรักษาคออักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
-
หลังจากแพทย์วินิจฉัยอาการ และสั่งยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อเบตา สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ เช่น เพนิซิลิน อีริโทรมัยซิน คลาริโทรไมซิน ให้แล้ว ข้อสำคัญ คือ เด็กป่วยจะต้องกินยาต่อเนื่อง 7 - 10 วันจนครบ แม้อาการจะทุเลาแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไข้รูมาติก หรือไตอักเสบแทรกซ้อน
-
เช็ดตัว ร่วมกับการให้ยาลดไข้เมื่อมีไข้สูง
-
พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ
-
กินอาหารรสอ่อน ๆ และดื่มน้ำหวานบ่อยๆ เนื่องจากเด็กจะเจ็บคอมากทำให้กินได้น้อย
-
กลั้วคอทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือ วันละ 2 - 3 ครั้ง
ข้อระวังคออักเสบ หรือต่อมทอนซิล
หากคนที่บ้านหรือเด็กๆ มีไข้ เจ็บคอมาก ให้นึกถึงโรคคออักเสบ หรือต่อมทอนซิลอักเสบไว้ด้วยเสมอ และควรรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ และปฏิบัติตนตามคำแนะนำในการใช้ยาอย่างเคร่งครัด
แม้ว่าอาการคออักเสบ และต่อมทอนซิลอักเสบ จะเป็นความผิดปรกติที่ไม่รุนแรงต่อสุขภาพมากนัก แต่หากทิ้งไว้ก็อาจเป็นสาเหตุเริ่มต้นของ "ไข้รูมาติก" และ "โรคหัวใจรูมาติก" ดังนั้นถ้าเด็กๆ ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี และปฏิบัติตนตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติทั้งสองอาการที่กล่าวมาก็จะเป็นไปได้ยาก ที่สำคัญอย่าซื้อยากินเองเด็ดขาดเด็ดขาด
ที่มา : ศ.พญ.นวลอนงค์ วิศิษฏสุนทร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ลูกเป็นโรคติดโทรศัพท์มือถือ (Nomophobia) หรือเปล่า มาเช็กกัน!
โรคติดโทรศัพท์มือถือ หรือ Nomophobia มาจากคำว่า no mobile phone phobia มีพฤติกรรมติดอยู่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือตลอดเวลา
อาการของโรคติดโทรศัพท์มือถือ
• พกมือถือติดตัวตลอดเวลา ต้องวางไว้ใกล้ตัวเสมอ
• รู้สึกกังวลเมื่อมือถือไม่ได้อยู่กับตัวหรือแบตเตอรี่หมด
• คอยเช็กข้อความจากโซเชียลมีเดีย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ่อยๆ แม้ไม่มีเรื่องด่วน
• ตื่นนอนจะเช็กโทรศัพท์ก่อนและยังคงเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน
• ติดเกม
• ใช้เวลาพูดคุยกับผู้คนผ่านโทรศัพท์ในโลกออนไลน์มากกว่าพูดคุยกับคนรอบข้าง
โรคติดโทรศัพท์มือถือพบในกลุ่มเยาวชนอายุ 18-24 ปี มากถึงร้อยละ 70 รองลงมาคือกลุ่มคนวัยทำงาน ช่วงอายุ 25-34 ปี และกลุ่มวัยใกล้เกษียณ 55 ปีขึ้นไป
มีงานวิจัยจากโครงการ The World Unplugged Project ทีมนักวิจัยได้ศึกษานักเรียนกว่า 1,000 คน จาก 10 ประเทศ โดยให้เด็กนักเรียนงดใช้โทรศัพท์มือถือ 1 วัน พบว่ามีเด็กมากกว่า 50 % ที่ไม่สามารถทนอยู่ได้โดยไม่มีเครื่องมือสื่อสารใด ๆ และกลุ่มตัวอย่างทุกคนก็รู้สึกทรมานมาก หลายคนยอมรับว่าติดโทรศัพท์เหมือนติดยาเสพติด ถ้าไม่มีมันก็อยู่ไม่ได้ เขารู้สึกเหมือน สับสน กระวนกระวาย โกรธ โดดเดี่ยว ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย ตกใจ หงุดหงิด ฯลฯ
อาการติดโทรศัพท์มือถือส่งผลกระทบกับลูก

1.อาการติดโทรศัพท์มือถือทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น
• เกิดนิ้วล็อก เกิดจากการใช้นิ้วกด จิ้ม สไลด์หน้าจอเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อมัดเล็กมีพัฒนาการล่าช้า
• สายตาเสีย ตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง เพราะเพ่งสายตาจ้องหน้าจอเล็กๆ ที่มีแสงจ้านานเกินไป อาจส่งผลให้วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม
• ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ จากการก้มหน้า
• เกิดโรคอ้วน เพราะไม่ชอบเคลื่อนไหวร่างกาย
2.อาการติดโทรศัพท์มือถือทำลูกพูดน้อยลง มีปฏิสัมพันธ์น้อยลง พูดคุยผ่านมือถือมากขึ้น ทำลูกใช้ภาษาแย่ลง
3.อาการติดโทรศัพท์มือถือพาลูกชอบแยกตัวออกจากสังคม
4.อาการติดโทรศัพท์มือถือทำให้ลูกอยู่กับตัวเองไม่เป็น พึงพาตัวเองไม่ได้ แต่ชอบอาศัยพึ่งพิงโลกเสมือนในออนไลน์
5.อาการติดโทรศัพท์มือถือทำลูกขาดโอกาสเรียนรู้สิ่งรอบตัว ทักษะเรื่องสังเกตน้อยลง ทำลูกห่างไกลธรรมชาติ
วิธีแก้เมื่อลูกติดโทรศัพท์มือถือ
• หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ต่อหน้าลูก
• กำหนดช่วงเวลาในการใช้แต่ละวัน เด็กเล็กต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรให้ใช้มือถือ ทีวี คอมพิวเตอร์ เด็กอายุ 1-5 ปี จำกัดวันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง
• ใช้โทรศัพท์ร่วมกับลูก ดูไปพร้อมกับลูก เพื่อสอดส่องการรับสื่อของเขา
• หากิจกรรมงานอดิเรกทำกับลูก ชวนลูกเล่นต่างๆ ก็สามารถพาลูกออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมได้ค่ะ
อันที่จริงไม่ใช่แค่เด็กๆ ที่ติดโทรศัพท์มือถือ คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องระมัดระวังโรคนี้เช่นกัน เพราะไม่เพียงกระทบกับสุขภาพและการดำเนินชีวิต แต่ยังส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวด้วยค่ะ
อ้างอิง
https://www.rama.mahidol.ac.th/
https://www.dmh.go.th/
บทความแนะนำ
ลูกจะเลิกติดมือถือได้ พ่อแม่ต้องเริ่มจาก 5 ข้อนี้ ทำได้! ลูกพัฒนาการกลับมาดี
คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตพฤติกรรมของลูกไหมคะ เด็กบางคนชอบมีอาการชอบขยิบตาบ่อยๆ ย่นจมูก กระตุกมุมปาก ขยับหน้า ยักไหล่หรือศีรษะ หรือกระแอมไอซ้ำ ๆ ตลอดเวลา เราพูดแล้วก็ไม่หยุดทำ จนติดเป็นนิสัย พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากอะไร บทบาทต้องเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง เรามีข้อมูลมาฝาก
อาการมักเริ่มจาก Motor tics จากกล้ามเนื้อมัดเล็กเช่น กระพริบตา ย่นจมูก กระตุกมุมปาก ไปมัดใหญ่ เช่นยักไหล่ สะบัดคอ และเกิด Vocal tics ขึ้นตามมา ซึ่งอาจเป็นเพียงเสียงกระแอม หากลูกมีอาการเหล่านี้ แสดงว่าลูกของคุณกำลังเป็นโรคทูเร็ตต์ Tourette’s disorder
โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s disorder) คือ โรคที่เกิดจากการที่สมองสั่งการให้เกิดการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ (Motor tics) โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือ อาจมีการเปล่งเสียงขึ้น ( Vocal Tics) จากลำคอหรือจมูก โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ
อาการโรคทูเร็ตต์ (Tourette’s disorder)
อาการเริ่มจาก Motor tics จากกล้ามเนื้อมัดเล็กเช่น กระพริบตา ย่นจมูก กระตุกมุมปาก ไปมัดใหญ่ เช่น ยักไหล่ สะบัดคอ และเกิด Vocal tics ขึ้นตามมา ซึ่งอาจเป็นเพียงเสียงกระแอม ลักษณะสำคัญของโรคคือ
-
ผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดอาการเอง แต่บางครั้งจะสามารถกลั้นหรือห้ามการเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว
-
ขณะเกิดอาการต้องมีสติรู้ตัวดี (ไม่เหมือนอาการชักซึ่งจะไม่มีสติ) ผู้ป่วยจะมาความรู้สึกและบอกได้ว่ากำลังจะเกิดอาการ โดยบางคนอาจบอกว่าคัน หรือตึงๆ หรือปวด บริเวณที่กำลังจะเกิดอาการ
-
อาการเกิดขึ้นซ้ำๆ วันละหลายๆ ครั้ง เกือบทุกวัน เป็นเรื้อรังนานกว่า 1 ปี แต่อาการอาจเป็นๆหายๆ เป็นช่วง บางครั้งเว้นระยะห่างออกไปแต่ไม่นานเกิน 3 เดือน ก็จะกลับมามีอาการใหม่
-
อาการอาจเป็นหนักมากขึ้นถ้ากลั้นเป็นเวลานาน ถูกทัก ดุว่า หรือห้ามไม่ให้ทำ หรือมีความเครียดความกังวลไม่ว่าทางร่ายกายหรือจิตใจ อาการจะเป็นน้อยลงเมื่อผ่อนคลาย และแทบจะไม่มีอาการเลยขณะนอนหลับ
สาเหตุโรคทูเร็ตต์ (Tourette’s disorder)
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่ปัจจุบันเชื่อว่าเป็นความบกพร่องในการทำงานของสมองอย่างหนึ่งที่มีสาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันดังนี้
- ปัจจัยทางพันธุกรรม ถ้ามีประวัติโรคนี้ในครอบครัว จะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคมากขึ้น
- ปัจจัยทางการทำงานของสมอง พบว่ามีความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทบางตัว คือโดปามีน(Dopamine)
- ปัจจัยทางด้านจิตใจ เช่น ความเครียดทางด้านจิตใจ ทำให้อาการเป็นหนักขึ้น

วิธีรักษาโรคทูเร็ตต์ (Tourette’s disorder)
-
พาลูกไปพบกุมารแพทย์หรือจิตแพทย์เด็ก เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ว่าเป็นโรคนี้จริงหรือไม่
-
ถ้ามีอาการเล็กน้อย หรือ เป็นมาไม่นาน แพทย์อาจรอดูอาการไปก่อน เพราะอาจเป็นเพียงชั่วคราวและหายเองได้
-
คุณพ่อคุณแม่และครอบครัว ควรเห็นใจและเข้าใจว่าอาการเกิดจากความบกพร่องในการทำงานของสมองบางส่วน ผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจหรือแกล้งทำ และไม่สามารถควบคุมอาการได้ และอาการจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีภาวะเครียด ดังนั้น พ่อแม่และบุคคลอื่นๆ เช่น ญาติ เพื่อนหรือครูที่โรงเรียน ไม่ควรพูดทัก ห้ามปราบ หรือเพ่งเล็งที่อาการแต่ควรมองหาและแก้ไขภาวะเครียดที่เป็นสาเหตุ
-
ถ้าอาการเป็นมาก เป็นเรื้อรัง หรือส่งผลเสียรบกวนการดำเนินชีวิต เช่น การเรียน การเข้าสังคม แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยยา ซึ่งอาจมีผลข้างเคียง และใช้เวลาในการรักษาพอสมควร
-
การรักษาด้วยพฤติกรรมบำบัด ที่เรียกว่า habit reversal training โดยสอนให้ผู้ป่วยรู้ทันอาการขณะเกิด tic (awareness) และฝึกควบคุมอาการด้วยการผ่อนคลาย (relaxation) และทำพฤติกรรมที่ไปด้านการเป็น tic เช่น ถ้ามีอาการคือกระพริบตาถี่ๆ ก็ให้รู้ทันอาการผ่อนคลาย แล้วทอดสายตาไปไกลๆ เพื่อให้ผ่อนคลาย เป็นต้น
-
การช่วยเหลือด้านจิตใจ ลดภาวะเครียด และส่งเสริมให้เด็กรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ช่วยเหลือให้มีการปรับตัว และแก้ปัญหาในทางที่เหมาะสม เช่น เมื่อถูกเพื่อนล้อเลียน สนับสนุนให้ได้เรียนในโรงเรียนตามความสามารถของเด็ก โดยไม่ต้องกังวลกับอาการมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคนี้จำเป็นต้องได้รับกำลังใจและความเข้าใจจากคนรอบข้างเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กที่อาจโดนเพื่อน ๆ ล้อเลียน หรือโดนเพื่อน ๆ แกล้ง เคสนี้ผู้ปกครองควรสอนวิธีรับมือ หรือทางที่ดีควรแจ้งให้ทางโรงเรียนทราบถึงโรคที่เขาเป็น หรือหากผู้ป่วยยังเป็นเด็กวัยกำลังเรียนรู้ ผู้ปกครองควรรีบสังเกตอาการผิดปกติของเขา และพาไปพบแพทย์เพื่อหาแนวทางบำบัดรักษา นอกจากนี้ก็ควรให้เขาได้ออกสังคมบ่อย ๆ เพื่อให้เขาปรับตัวอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ได้อย่างปกติ
ที่มา :
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
- วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม สถาบันพระบรมราชชนก
- วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
สังเกตให้ดี! ลูกเราเป็น ADHD โรคสมาธิสั้นหรือไม่
ปัญหาใหญ่ของเด็กไทยกับการป่วยโรคสมาธิสั้น โดยกระทรวงสาธารณสุขพบว่า เด็กไทยป่วยสมาธิสั้นกว่า 1 ล้านคน และกว่าครึ่งจะมีปัญหาสุขภาพจิตตามมาค่ะ
โรคสมาธิสั้น (ADHD , Attention Deficit Hyperactivity Disorder)
โรคสมาธิสั้น เป็นปัญหาทางพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียนและเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เด็กมีปัญหาการเรียน เกิดจากความบกพร่องในการทำหน้าที่ของสมอง มีอาการหลักเป็นความผิดปกติทางด้านพฤติกรรมได้แก่ ขาดสมาธิ ซนอยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น ขาดการยับยั้งชั่งใจ ที่เป็นมากกว่าพฤติกรรมตามปกติของ เด็กในระดับพัฒนาการเดียวกัน
วิธีสังเกตอาการของโรคสมาธิสั้น
1.ซน อยู่ไม่นิ่ง
เด็กจะมีอาการซน ยุกยิก นั่งนิ่งไม่ค่อยได้ เคลื่อนไหวตลอดเวลา เล่นโลดโผน
2.ขาดสมาธิ
เด็กไม่สามารถจดจ่ออยู่กับการเรียน ไม่สามารถตั้งใจฟังครูสอนได้อย่างต่อเนื่อง มีอาการเหม่อลอย วอกแวกง่าย ทำงานไม่เสร็จ เบื่อง่าย ผลงานที่ออกมาไม่เรียบร้อย ซึ่งเป็นสาเหตุให้เด็กเรียนรู้ไม่เต็มศักยภาพ หลงลืมกิจวัตรที่ควรทำเป็นประจำ หรือทำของหายบ่อย ขาดการยับยั้งใจตนเอง หุนหันพลันแล่น
3.ขาดการยั้งคิด
ทำโดยไม่ไตร่ตรองถึงผลกระทบที่ตามมา อดทนรอคอยไม่ค่อยได้ ไม่สามารถควบคุมตนเองให้ทำในสิ่งที่ควรทำให้จนเสร็จ
8 วิธีดูแลเด็กสมาธิสั้น เพื่อช่วยเด็กรับมือกับโรคได้ดีขึ้น
- จัดมุมที่เงียบสงบไว้ให้เด็กได้ทำงาน หรือทำการบ้าน ห่างจากโทรทัศน์ไม่ให้มีเสียงเข้ามารบกวนสมาธิ และจัดของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อลดสิ่งเร้าที่ดึงความสนใจของเด็ก
- ใช้การสื่อสารที่สั้น กระชับ ชัดเจน ให้เด็กทวนคำสั่งว่ามีอะไรบ้าง เนื่องจากเด็กสมาธิสั้นมักมีความอดทนในการฟังต่ำ
- ฝึกฝนวินัยในเด็ก สร้างกรอบกฎเกณฑ์ มีตารางเวลาชัดเจน ไม่ปล่อยปละละเลยหรือตามใจจนเคยตัว
- เบี่ยงเบนความสนใจ เมื่อเด็กดื้อหรือซนมากให้หากิจกรรมอื่นมาแทน
- ให้เด็กออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหว เพื่อช่วยลดพลังงานส่วนเกิน ช่วยให้มีสมาธิและลดความเครียด
- การนอนหลับให้เพียงพอก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้เด็กมีสมาธิและมีสุขภาพที่ดี
- ลดระยะเวลาในการทำกิจกรรมให้สั้นลง แต่ทำบ่อยขึ้น เน้นเรื่องความรับผิดชอบและอดทน ตั้งเป้าหมายของกิจกรรมให้ง่ายๆ สั้นๆ อย่างชัดเจนและเสร็จเป็นชิ้นๆ ไป
- ควรให้คำชมหรือรางวัลเมื่อเด็กทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เด็กทำพฤติกรรมที่ดีต่อไป
ทั้งนี้ การเรียนรู้ เข้าใจ และยอมรับกับโรคสมาธิสั้นที่เกิดในเด็กของพ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนช่วยลดความเครียดในครอบครัว และป้องกันโรคทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ที่อาจตามมาในเด็ก ช่วยให้เด็กมีความสุขกับการเรียน การใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสมวัย และทำได้เต็มความสามารถมากขึ้น
อ้างอิงข้อมูลโดย :

นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายอาการป่วย "โควิด-19" ระหว่างเด็ก-ผู้ใหญ่ แตกต่างกัน รวมทั้งเผยความรุนแรงของโรค ชี้ หากผู้สูงอายุติดเชื้อไวรัสจะมีโอกาสที่อาการจะรุนแรง และเสียชีวิตมากที่สุด
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่อง "อาการและความรุนแรงของโรคไวรัส โควิด-19" โดยระบุว่า เมื่อวานแถลงข่าว ได้คุยเรื่องอาการและความรุนแรงของโรคให้ฟัง มีคนสนใจสอบถามเข้ามามาก วันนี้ก็เลยนำเรื่องนี้มาขยายให้ฟังกันอีกรอบ
คำถามที่ 1 ถ้าป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อาการจะเป็นยังไงบ้าง
ตอบ : ผู้ใหญ่กับเด็กอาการจะไม่เหมือนกัน
ผู้ใหญ่
- ร้อยละ 89 จะมีอาการไข้
- ร้อยละ 68 จะมีอาการไอ
- ร้อยละ 14 จะมีอาการอ่อนเพลีย
- ร้อยละ 5 มีน้ำมูกพบได้ค่อนข้างน้อย
- ร้อยละ 15 มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ร้อยละ 38 มีอาการอ่อนเพลีย
- ร้อยละ 19 มีอาการหายใจลำบากหรือหายใจเร็ว
ในขณะที่เด็กจะมีอาการน้อยกว่า นั่นคือมีเด็กที่ป่วยด้วยโรคโควิด
- ร้อยละ 42 ที่มีอาการไข้
- ร้อยละ 49 มีอาการไอ (จะเห็นว่าอาการไอพบได้บ่อยกว่าไข้ในเด็ก)
- ร้อยละ 8 มีน้ำมูก
- ร้อยละ 8 มีอาการอ่อนเพลีย
- ร้อยละ 29% หายใจลำบากหรือหายใจเร็ว
คำถามที่ 2 หากติดเชื้อแล้วจะเสียชีวิตมากน้อยแค่ไหน
ตอบ : ในกลุ่มผู้ที่มีอายุน้อยจะพบผู้ที่มีอาการรุนแรงค่อนข้างน้อย ส่วนอายุมากขึ้นก็จะพบผู้ที่มีอาการรุนแรงมากขึ้นด้วย นั่นคือ
- หากมีผู้ป่วยโรคโควิดที่มีอายุน้อยกว่า 39 ปี หนึ่งร้อยคน จะมีผู้เสียชีวิตเพียง 0.2 คน
- หากมีผู้ป่วยโรคโควิดที่มีอายุ 40-49 ปี หนึ่งร้อยคน จะมีผู้เสียชีวิต 0.4 คน
- หากมีผู้ป่วยโรคโควิดที่มีอายุ 50-59 ปี หนึ่งร้อยคน จะมีผู้เสียชีวิต 1.3 คน
- หากมีผู้ป่วยโรคโควิดที่มีอายุ 60-69 ปี หนึ่งร้อยคน จะมีผู้เสียชีวิต 3.6 คน
- หากมีผู้ป่วยโรคโควิดที่มีอายุ 70-79 ปี หนึ่งร้อยคน จะมีผู้เสียชีวิต 8 คน
- หากมีผู้ป่วยโรคโควิดที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป หนึ่งร้อยคน จะมีผู้เสียชีวิต 14.8 คน
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าหากผู้สูงอายุป่วยด้วยโรคโควิด จะมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า ขณะที่เด็กแม้อาการจะไม่มาก แต่ถ้าในบ้านมีทั้งเด็กและผู้สูงอายุอาศัยอยู่ด้วยกัน เด็กที่อาการไม่มากอาจทำให้ผู้สูงอายุติดเชื้อได้ ซึ่งหากผู้สูงอายุติดเชื้อขึ้นมาโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตก็จะสูงด้วย.
ที่มา : นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค

อย่ามองข้าม! เด็กเลือดกำเดาไหลบ่อย เป็นสัญญาณโรคร้ายได้
เอะอะ! ลูกเลือดกำเดาไหลตลอดเลย ก็ให้ก้มหน้าจนกว่าเลือดจะหยุดไหล แต่เป็นบ่อยๆ ครั้งเข้า มันก็อดห่วงไม่ได้ใช่ไหมคะ เคยได้ยินว่าอาจเสี่ยงโรคร้ายได้ แบบนี้มารู้จักอาการเลือดกำเดาไหลกันเลยค่ะ
สาเหตุ เลือดกำเดาไหล
เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก มักจะเกิดในช่วงฤดูหนาว ช่วงอากาศแห้ง วันที่ร้อนจัด หนาวจัด ร่างกายขาดวิตามินซี เกิดจากการกระทบกระเทือน หรืออุบัติเหตุ ความผิดปกติของร่างกาย แต่ส่วนมากมักจะมีอาการเลือดออกที่ไม่รุนแรง และเลือดมักจะหยุดเองได้ภายใน 10-15 นาที หากคุณแม่พบว่าลูกเลือดกำเดาไหลบ่อยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะการที่ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย ก็อาจเป็นอาการของโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาการแบบไหนต้องรีบไปพบแพทย์
ข้อมูลจากสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย โดย รศ.พญ. ดารินทร์ ซอโสตถิกุล ฝ่ายเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ปกครองควรทราบในกรณีที่ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อยว่า หากลูกมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ให้รีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์
เลือดกำเดาไหลนาน ร่วมกับที่ผิวหนังมีรอยเลือดออก เช่น มีจ้ำเขียว มีจุดแดง หรือจุดเลือดออกตามตัวร่วมด้วย มีเลือดออกตามไรฟัน หรือลิ้นร่วมด้วย มีปัสสาวะสีน้ำล้างเนื้อ หรืออุจจาระสีดำคล้ายยางมะตอย หรืออุจจาระของลูกมีเลือดปนมาด้วย ลูกมีไข้สูง ลูกมีอาการอาการเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง หรือผิวหนังมีสีซีดลง
การที่ลูกเลือกกำเดาไหลบ่อยอาจเป็นสัญญาณของโรคต่าง ๆ ได้แก่
- โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
ซึ่งทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ เช่น โรควอนวิลล์แบรนด์ (von Willebrand disease – VWD) ซึ่งอาจมีประวัติเลือดออกง่ายหยุดยากในครอบครัวร่วมด้วย
- โรคที่เกิดขึ้นภายหลัง
ทำให้เกล็ดเลือดมีปริมาณต่ำลง เช่น โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านทานตนเอง (immune thrombocytopenia – ITP) ซึ่งเป็นภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่พบบ่อยในเด็ก, โรคไขกระดูกฝ่อทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดทุกชนิดได้อย่างพอเพียง ทำให้มีโลหิตจาง ติดเชื้อง่ายเนื่องจากมีเม็ดเล็ดขาวต่ำลง และเกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่าย หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวแทรกซึมอยู่ในไขกระดูก ทำให้สร้างเม็ดเลือดที่ปกติได้ลดลง
นอกจากนี้ หากลูกเลือดกำเดาไหลบ่อยและเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เด็กเกิดภาวะซีดจากการสูญเสียเลือดเรื้อรัง จนเกิดภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตอาการของลูกอยู่เสมอ หากเด็กมีอาการเวียนศีรษะ เป็นลมง่าย เหนื่อยง่าย หรือมีอาการตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็ควรพาลูกไปพบแพทย์โดยเร็ว
วิธีป้องกันไม่ให้ลูกน้อยเลือดกำเดาไหลง่ายนั้น เบื้องต้นมีวิธีการดังนี้
-
พยายามไม่ให้จมูกของลูกแห้ง โดยอาจจะใช้น้ำเกลือหยอดจมูก หรือทาวาสลินเคลือบในรูจมูกก่อนนอน
-
ปรับอุณภูมิในห้องนอนของลูก ไม่ให้อากาศแห้งเกินไปให้ลูกกินผักและผลไม้ที่มีวิตามินซี เพื่อช่วยให้หลอดเลือดฝอยในจมูกแข็งแรง
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร
ให้เด็กนั่งตัวเอียงไปด้านหน้า ก้มศีรษะลงเล็กน้อย เพื่อให้เลือดไหลออกทางจมูกแทนที่จะไหลลงคอ ซึ่งอาจทำให้เด็กอาเจียนออกมาเป็นเลือดจากที่กลืนเข้าไป ใช้มือบีบบริเวณปีกจมูกข้างที่มีเลือดกำเดาไหลเบา ๆ ประมาณ 10 นาที และหากเลือดยังไม่หยุดไหลนานเกิน 30 นาที ให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์

คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมคะ ว่าโรคอีสุกอีใส เป็นอีกหนึ่งโรคที่จะต้องระวังและติดตามสังเกตอาการให้ดี เพราะผู้ใหญ่อย่างเราหรือพ่อแม่ที่มั่นใจว่าฉีดวัคซีนอิสุกอีใสมาแล้วตั้งแต่เด็ก มั่นให้ดีใจว่าเคยเป็นอีสุกอีใสมาแล้วจะไม่เป็นอีก ลบความคิดนั้นออกไปได้เลยค่ะ เพราะถึงจะได้รับวัคซีนอีสุกอีใสแล้ว และเคยเป็นแล้ว แต่ก็เป็นอีกได้ แถมโรคอีสุกอีใสในผู้ใหญ่ในปัจจุบัน ค่อนข้างรุนแรงและอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นอีสุกอีใสที่ยากจะลบเลือนอีกด้วย และจากการสำรวจโรคอีสุกอีใส สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากมีโรคแทรกซ้อนเช่น ปอดอักเสบ หรือ ตับอักเสบรุนแรง
โรคอีสุกอีใสเกิดจากอะไร
โรคอีสุกอีใส หรือ Chickenpox เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ ไวรัส (Varicella zoster virus หรือ เรียกย่อว่า VZV/ วีซีวี ไวรัส) หรือ ฮิวแมนเฮอร์ปี่ไวรัส ชนิดที่ 3 (Human herpes virus type 3) ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด
ร่างกายรับเชื้อไวรัสโรคอีสุกอีใสได้อย่างไร
- ไวรัสอีสุกอีใสติดต่อโดยการหายใจ ไอ จามรดกัน หรือการสัมผัสถูกตุ่มแผลสุกใส
- สัมผัสถูกของใช้ เช่น ที่นอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่เปื้อนตุ่มแผลของผู้ป่วย หายใจเอาละอองของตุ่มน้ำผ่านเข้าไปทางเยื่อเมือก

อาการของโรคอีสุกอีใส
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสอีสุกอีใสแล้วจะมีระยะฟักตัว 10-20 วัน และจะแสดงอาการดังต่อไปนี้
- มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวคล้ายไข้หวัด ครั่นเนื้อครั่นตัว 2-4 วัน
- หลังจากตุ่มน้ำใสขึ้นทั้งตัวแล้ว จะค่อย ๆ ยุบและแห้งลง และกลายเป็นสะเก็ดที่รอหลุด ระยะที่ตุ่มน้ำแห้งจะใช้เวลาประมาณ 3 วัน และหลังจากนั้นจะเป็นเวลาที่สะเก็ดแผลจะค่อย ๆ แห้งขึ้นเรื่อย ๆ จนสะเก็ดหลุดออกเองและทำให้ผิวเป็นปกติ ซึ่งรวมระยะเวลาในการเป็นโรคอีสุกอีใสประมาณ 2 สัปดาห์
- หลังจากผื่นขึ้นแล้วประมาณ 1-2 วัน ผื่นแดงกลายเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำและตกสะเก็ด ตุ่มน้ำจะมีลักษณะคล้ายหยดน้ำอยู่บนผิวหนังที่แดง เมื่อตุ่มน้ำโตเต็มที่จะกลายเป็นตุ่มหนอง ช่วงเป็นตุ่มน้ำนี้อาจจะใช้เวลาในการทยอยขึ้นประมาณ 1 สัปดาห์
- เริ่มมีผื่นแดงเกิดขึ้น และผื่นอีสุกอีใสจะทำให้คันมาก ผื่นจะเกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้าและลำตัวก่อนแล้วค่อยๆ ลามไปยังแขนขา และอาจขึ้นในเยื่อบุช่องปาก และกับผิวหนังของอวัยวะเพศภายนอก ผื่นจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะต่างๆ อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง
วิธีรักษาและดูแลผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใสไม่มียารักษาที่ตรงกับโรค ผู้ป่วยสามารถทำได้เพียงฉีดวัคซีนป้องกันไว้ตั้งแต่ก่อนรับเชื้อ รวมถึงการประคองและรักษาไปตามอาการของโรค ดังนี้
- แยกผู้ป่วยที่เป็นโรคอีสุกอีใสออกจากผู้อื่น เช่น แยกห้องนอน รวมถึงแยกของใช้ของผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อจากการใช้ของร่วมกัน
- เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอกินยาลดไข้เฉพาะพาราเซตามอลเท่านั้น ห้ามกินยาลดไข้ชนิดแอสไพริน เนื่องจากทำให้ตับอักเสบรุนแรงได้

- ควรอาบน้ำ ฟอกสบู่ให้สะอาด อาจใช้สบู่ที่มียาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
- ควรตัดเล็บให้สั้น พยายามไม่แกะหรือเกาตุ่มคันซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นตุ่มหนองได้
- หากมีอาการคันมาก ควรทายาแก้คัน เช่น ยาคาลามาย (Calamine lotion)หรือ กินยาบรรเทาอาการคัน โดยปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยากินเองเสมอ
- การรักษาแบบเจาะจง คือการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสอีสุกอีใส ซึ่งควรจะให้ในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง หลังมีผื่นขึ้น ซึ่งเชื่อว่าการที่สามารถให้ยาได้ทันและมีปริมาณพอเพียง ในช่วงนี้สามารถทำให้การตก สะเก็ดของแผล ระยะเวลาของโรคสั้นลง การทำให้แผลตกสะเก็ดเร็วขึ้น โอกาสการเกิดแผลติดเชื้อหรือแผลที่ลึกมากก็น้อยลง
- อาการโรคอีสุกอีใสจะค่อย ๆ ทุเลาภายใน 1 ถึง 3 อาทิตย์ ในระยะนี้ให้ระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เช่น แก้วหูอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือ ติดเชื้อในสมอง ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหู หรือไอ หายใจเหนื่อย เจ็บหน้าอก หรือ ตาเหลืองตัวเหลือง (ดีซ่าน) หรือ ปวดศีรษะมาก ซึมลง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาเพิ่มเติม
การป้องกันโรคอีสุกอีใส
การป้องกันโรคอีสุกอีใสเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อไวรัสอีสุกอีใสให้ผู้อื่นได้ตั้งแต่ช่วงออกอาการไข้ไปจนถึงช่วงแผลแห้งตกสะเก็ด ดังนั้นทางป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรักษาความสะอาดของร่างกายและของใช้ ที่สำคัญคือการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส

- วัคซีนอีสุกอีใสสามรถฉีดครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย แนะนำให้รับวัคซีนเข็มแรกเมื่ออายุ 12 – 18 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 4-6 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่พบติดเชื้อได้บ่อยที่สุด แต่หากมีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น เกิดการระบาด หรือเพิ่งรับเชื้อ ให้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ทันที แต่ต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน
- วัคซีนโรคอีสุกอีใส นอกจากป้องกันโรคได้แล้ว ยังช่วยลดโอกาสเกิดแผลเป็น และช่วยลดความรุนแรงของโรคเมื่อเกิดเป็นโรคอีสุกอีใสหลังฉีดวัคซีนแล้ว
- วัคซีนอีสุกอีใสสำหรับอายุ 13 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ รับวัคซีน 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน หรือ ภายใน 4-8 สัปดาห์หลังจากฉีดวัคซีนเข็มแรก
- การรับวัคซีนอีสุกอีใสสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ที่ยังไม่เคยมีเป็นโรคอีสุกอีใส ให้รับ 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน
ความเชื่อเรื่องโรคอีสุกอีใส
- โรคอีสุกอีใส เป็นเองก็หายเองได้ ไม่ต้องฉีดวัคซีน - เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะโรคอีสุกอีใสสามารถเกิดโรคแทรกซ้อนได้จากการติดเชื้อจากแผลที่เกิดขึ้น ทั้งตัว และอาจเสียชีวิตได้จากการโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ปอดติดเชื้อ
- อาบน้ำต้มผักชีช่วยให้อีสุกอีใสหายไว - ความเชื่อนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์และเผยแผ่ตามหลักวิชาการ แต่สรรพคุณของผักชีคือเป็นพืชธาตุเย็นที่ช่วยลดอาการผื่นแดง แต่สำหรับการใช้รักษาโรคอีสุกอีใสยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าได้ผลจริง
- โรคอีสุกอีใสต้องกินยาเขียวหรือยาหม้อจะได้หายเร็ว - เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะในยาเขียว ยาหม้อที่อ้างสรรพคุณขับเชื้ออีสุกอีใสให้ออกมาจากตัวนั้น ล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ (Steroid) ซึ่งเป็นยากดภูมิคุ้มกันจนทำให้เชื้ออีสุกอีใสที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัย ลามกระจายไปยังอวัยวะสำคัญในร่างกายจนถึงแก่ชีวิตได้
- ฉีดวัคซีนอีสุกอีใสแล้วจะไม่เป็นอีสุกอีใส - เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะวัคซีนป้องกันได้ประมาณ 90% ซึ่งมีโอกาสเป็นอีสุกอีใสได้ เพียงแต่จะทำให้อาการน้อยลงและใช้เวลาในการเป็นโรคสั้นลง
- โรคอีสุกอีใสเป็นแล้วจะไม่เป็นอีก - เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะปัจจุบันมีไวรัสโรคอีสุกอีใสสายพันธุ์ใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าเดิม จึงสามารถเป็นอีสุกอีใสได้อีกโดยเฉพาะในผู้ใหญ่
- ถ้าเป็นโรคอีสุกอีใส ห้ามกินไข่เพราะจะเป็นแผลเป็น - เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะไม่มีอาหารชนิดใดเป็นของแสลงกับโรคอีสุกอีใส ที่สำคัญตือผิวต้องการการดูแลและการบำรุงจากโปรตีนมากขึ้น เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่างๆ เพื่อให้มีภูมิต้านทานโรค
หากคุณพ่อ คุณแม่ หรือลูก เป็นโรคอีสุกอีใส ควรไปพบแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่ถูกต้องนะคะ อย่าหาวิธีรักษาเอง เพราะอาการอาจแย่ลงได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กค่ะ
ชมรมเวชศาสต์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย ประกาศเตือนห้ามใส่ face shield หน้าหน้ากากอนามัย ทารกแรกเกิด เสี่ยงทำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่ง อันตรายต่อระบบประสาท
เตือน! ไม่ควรใส่ face shield และ mask ให้เด็กทารก เสี่ยงต่อ 'ระบบประสาท-ก๊าซคั่ง'
โดยระบุเนื้อหาว่า ตามที่สถานพยาบาลหรือหน่วยงานหลายแห่งได้มีการประดิษฐ์อุปกรณ์ป้องกันใบหน้า face shield ประยุกต์หน้ากากอนามัย มาสวมใส่ให้แก่ทารกแรกเกิดทั้งขณะอยู่ในโรงพยาบาล และจำหน่ายกลับบ้าน โดยมีการระจายไปสู่สาธารณะอย่างแพร่หลายในช่วงระยะสถานการณ์โรคโควิด-19 นั้น
ทางชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทยได้มีการหารือในคณะกรรมการของชมรมฯ แล้ว มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้ ช่องทางการแพร่กระจายเชื้อจากผู้ใหญ่สู่ทารก อ้างอิงจากมาตรฐานสากลทั้งองค์การอนามัยโลก และ Centers for Disease Control and Prevention ช่องทางการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ไปสู่ทารกแรกเกิดที่สำคัญที่สุด คือการกระจายจากผู้เลี้ยงดูทารถ ซึ่งได้แก่ บิดามารดา ญาติ หรือพี่เลี้ยง ผ่านทางละอองฝอยจากการจาม หรือไอ ทางสัมผัสจากมือผู้เลี้ยงดู หรืออุปกรณ์ สิ่งของที่มาสัมผัสทารก
การป้องกันที่ดีที่สุด ในการป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารก
- ล้างมือให้สะอาดตามสุขอนามัยก่อนสัมผัสทารก และการใส่หน้ากากอนามัยของผู้เลี้ยงดูหากไม่แน่ใจในอาการของตัวเอง
- ผู้มีอาการไม่สบายโดยเฉพาะมีอาการทางระบบหายใจ งดเข้าใกล้ทารก
- งด การนำทารกแรกเดินออกนอกบ้าน ยกวนการพาไปฉีดวัดซีนตามกำหนต หรือไปพบแพทย์เมื่อมีอาการไม่สบาย
- หากจำเป็นต้องพาทารกไปอยู่ในที่ชุมชน ควรปฏิบัติตามนโยบายของ Physical distancing อย่างเคร่งครัด โดยห่างจากผู้อื่น ประมาณ 6 ฟุต (2 เมตร)
- งดการเยี่ยมทารก จากบุคคลภายนอกทั้งที่โรงพยาบาล และที่บ้าน ควรใช้สื่อทางสังคม (social media) แสดงความยินดีแก่ครอบครัวแทน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดกับทารกในการใส่ face shield หรือ face mask
- เนื่องจากทารกแรกเกิดหายใจทางจมูกเป็นทางหลัก (obligate nasat breather) ยังไม่มีความสามารถหายใจชดเชยด้วยการอ้าปากหายใจได้ เมื่อมีการขาดอากศ หรือ ออกซิเจน ดังนั้นวัสดุต่างๆ ที่นำมาผลิตเป็น surgical mask หรือ non-surgical mask หากมีคุณสมบัติ breathability (แรงต้านต่อการไหลของอากาศเข้า-ออก) สูงเกินไป อาจทำให้ทารกหายใจได้ไม่เพียพอ และมีโอกาสเกิดการสะสมของก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ได้ เกิดอันตรายต่อระบบประสาทของทารก
- วัสดุพลาสติกที่ใช้บังหน้าทารกอาจมีความคมบาดใบหน้า ดวงตา ทารกได้
สรุปไม่สนับสนุนให้มีการใส่ face shield หรือ face mask แก่ทารกแรกเกิด เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกนะคะ
ที่มา : ชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย, Infectious ง่ายนิดเดียว
เห็นแดดจัดๆ อย่างนี้จะให้ดีหลีกได้ก็หลีก เพราะแดดจัดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคหวัดแดดได้ด้วย ถ้าลูกมีอาการปวดหัว ตัวร้อน บางทีอาจเป็นโรคนี้อยู่ก็ได้
หวัดแดด หรือ Summer Flu เป็นไข้หวัดที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ เจ็บคอ มีไข้สูง จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ซึ่งสาเหตุเกิดขึ้นได้จากติดเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคได้บ่อย ได้แก่ Influennza virus ยิ่งถ้าช่วงนั้นเด็กร่างกายอ่อนแอ สุขภาพไม่เต็มร้อยแล้วละก็มีโอกาสติดเชื้อไวรัสได้ง่ายๆ เลยนะคะ
การที่เด็กวิ่งเล่นอยู่กลางแจ้งอยู่นานร่วมกับอาจ ได้รับนำหรืออาหารไม่เพียงพอ เพราะมัวแต่เล่นสนุก เมื่อได้รับเชื้อโรคจากอากาศและสิ่งแวดล้อมร่วมกับร่างกายอ่อนแอทำให้เกิดติดโรคหวัดขึ้นมาได้
8 วิธีป้องกันหวัดแดดอย่างได้ผล
-
พักผ่อนให้เพียงพอ เด็กๆ ต้องนอนอย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้จิตใจแจ่มใส ร่างกายมีภูมิต้านทานแข็งแรง ไม่ป่วยออดๆ แอดๆ ได้ง่าย
-
ใส่ใจการกิน กินอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้อุดมวิตามินซี เช่น ส้ม มะเขือเทศ ป้องกันโรคหวัด และดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเพื่อลดการสูญเสียน้ำจากเหงื่อที่เสียไปในฤดูร้อน
-
หมั่นล้างมือ/พกเจลล้างมือติดตัว เด็กๆ ชอบนำมือมาขยี้ตา หรือหยิบขนมเข้าปากโดยไม่ล้างมือก่อน ดังนั้น ส่งเสริมสุขลักษณะนิสัยนี้ให้เขาจนติดเป็นนิสัย
-
ออกกำลังกาย ให้ลูกเลือกกีฬาที่ชอบด้วยตนเองแล้วพากันไปออกกำลังกายเป็นประจำ เพียงแค่วันละครึ่งชั่วโมงก็ช่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
-
พยายามหลีกเลี่ยงไม่ใกล้ชิดคนที่เป็นหวัด ไอ น้ำมูก เพื่อลดโอกาสการรับเชื้อ
-
คุณพ่อคุณแม่หมั่นทำความสะอาดบ้านเรือน ข้าวของ ของเล่นที่ลูกใช้อยู่เป็นประจำเพื่อลดการสะสมเชื้อโรค
- ไม่เข้าไปในสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด ระบบการถ่ายเทอากาศไม่ดีเช่น ตลาดนัด โรงภาพยนตร์
8. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดให้แก่เด็ก โดยเริ่มฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 8 เดือนเป็นต้นไปและต้องฉีดกระตุ้นซ้ำทุกปี เนื่องจากวัคซีนที่ฉีดในแต่ละปีจะช่วยป้องกันเชื้อหวัดที่ระบาดในปีนั้นๆ
และที่สำคัญหลีกเลี่ยงแดดจัด แดดร้อนๆ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเจ้าหนูสูงกว่าปกติ จนทำให้ภูมิต้านทานลูกอ่อนแอได้ ควรหลีกเลี่ยงแดดในช่วง 10.00-15.00 น. หากจำเป็นต้องออกแดดควรหาร่ม หมวกมีปีก สวมเสื้อแขนยาว และทาครีมกันแดดให้เด็ก ๆ ทุกครั้ง
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่มักเกิดขึ้นได้ในเด็ก เนื่องจากธรรมชาติของเด็กวัยนี้มักห่วงเล่น จนทำให้ดื่มน้ำน้อย และอั้นปัสสาวะเพราะกลัวว่าจะเล่นไม่ทันเพื่อน ร่วมกับเด็กๆ ยังไม่รู้วิธีในการดูแลสุขลักษณะในการเข้าห้องน้ำที่ถูกต้องจนพานให้เจ้าเชื้อแบคทีเรียเข้าไปก่อกวนกระเพาะปัสสาวะของลูกได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ผศ.พญ.วนัทปรียาพงษ์สามารถ กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลศิริราช จะมาไขความสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุ พฤติกรรมที่ก่อโรค และวิธีป้องกัน (ด้วยตัวลูกเอง) เพื่อช่วยให้ลูกห่างไกลจากอาการแสบ (และสารพัดอาการอื่นๆ) จากโรคนี้กันค่ะ
รู้จักกระเพาะปัสสาวะกันก่อน
จะลงลึกเรื่องโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับระบบการทำงานของกระเพาะปัสสาวะเพื่อจะได้เข้าใจเรื่องโรคนี้อย่างถึงกึ๋นกันก่อนค่ะ
ระบบการทำงานของกระเพาะปัสสาวะนั้นเริ่มจากไตมาที่ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และมาที่ท่อปัสสาวะ ปกติไตจะเป็นตัวทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายแล้วขับออกมาเป็นปัสสาวะ จากไตสองข้างปัสสาวะจะไหลมาที่ท่อไตแล้วก็ลงมาที่กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงบางๆ หน้าที่กระเพาะปัสสาวะคือกักเก็บปัสสาวะ หากไม่มีกระเพาะปัสสาวะปัสสาวะก็จะไหลออกมาตลอดเวลาค่ะ และเมื่อน้ำถูกกักเก็บในกระเพาะปัสสาวะจนกระเพาะปัสสาวะขยายตัวประมาณหนึ่งแล้วก็จะเกิดการกระตุ้นให้เกิดการปวดปัสสาวะขึ้นมาค่ะ
ซึ่งเมื่อปวดปัสสาวะขึ้นมาแล้วในผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็คงจะต้องรีบแจ้นไปเข้าห้องน้ำใช่ไหมคะ แต่สำหรับเด็กๆ ที่ยังเล็กและไม่รู้จักดูแลตัวเองในเรื่องสุขลักษณะในการเข้าห้องน้ำนั้นไม่ได้ประพฤติเหมือนเรา หากแต่… ‘ชอบกลั้น’ และ ‘ไม่ดื่มน้ำ’ เพราะติดเล่น ร่วมกับการรักษาความสะอาดหลังการเข้าห้องน้ำไม่ดีพอ คราวนี้ละค่ะปัญหาของโรคจึงบังเกิด
แบคทีเรียตัวร้าย… ทำกระเพาะปัสสาวะลูกอักเสบ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบหากแปลตรงตัวก็คือการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งส่วนใหญ่ในเด็กเกือบ 100% จะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียค่ะ ซึ่งปกติในกระเพาะปัสสาวะไม่ควรมีเชื้อโรคใดๆ อยู่เลย แต่ในเด็กโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะเป็นได้ง่าย เนื่องจากช่องในการขับถ่ายปัสสาวะของเด็กผู้หญิงจะอยู่ใกล้ช่องคลอดและรูทวารหนัก ซึ่งบริเวณนี้จะมีเชื้อแบคทีเรียอยู่จำนวนมาก และเชื้อแบคทีเรียจากบริเวณเหล่านี้อาจเล็ดลอดผ่านช่องปัสสาวะและเข้าไปในท่อปัสสาวะได้ง่ายกว่าเด็กผู้ชายค่ะ
โดยทั่วไปหากเชื้อแบคทีเรียมีปริมาณเล็กน้อย ร่วมกับเด็กๆ ดื่มน้ำและปัสสาวะออกมาบ่อยๆ ก็อาจขับเชื้อแบคทีเรียนั้นออกมาได้ แต่กรณีที่เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในปริมาณมาก หรือเป็นเชื้อที่มีความรุนแรงมากก็อาจทำให้เด็กเกิดอาการขึ้นมาได้ค่ะ
‘แสบ ปวดขัด’ อาการหลักปัสสาวะอักเสบ
สำหรับอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ทั้งจากการบ่นของลูก ร่วมกับพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ค่ะ
บ่นแสบ บ่นปวด เมื่อเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณช่องปัสสาวะ และบริเวณท้องน้อย ดังนั้นเมื่อเด็กๆ เข้าห้องน้ำก็อาจบ่น “แสบ” ร่วมกับการปวดท้องน้อยได้ค่ะ เข้าห้องน้ำบ่อยผิดปกติ พร้อมบ่นอุบอิบ “ฉี่ไม่ค่อยออก” เนื่องจากมีอาการปัสสาวะขัดร่วมด้วย ปัสสาวะราดซะเฉยๆ กรณีที่เด็กๆ สามารถควบคุมเรื่องการขับถ่ายได้แล้ว แต่จู่ๆ ก็มีปัญหาปัสสาวะรดที่นอน ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ ก็ถือเป็นอาการของโรคได้เช่นกัน
นอกจากพฤติกรรมข้างต้นแล้วคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการอื่นๆ ร่วมด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะมีกลิ่นแรงกว่าปกติ มีสีที่แปลกไปคือมีสีขุ่นหรือสีออกส้มๆ ซึ่งหากลูกมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ก็ควรพาลูกมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ ซึ่งคุณหมอจะใช้การสังเกตอาการร่วมกับการตรวจปัสสาวะเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งภายในไม่กี่นาทีก็ทราบผลค่ะว่าเจ้าหนูเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือไม่ หากกรณีที่พบว่าเป็นแล้ว คุณหมอก็จะให้ยาฆ่าเชื้อมาทานเพื่อรักษาอาการ ซึ่งเด็กๆ จะหายเป็นปกติดีภายใน 7-10 วันค่ะ
ป้องกันได้ชัวร์ถ้า (ลูก)รู้วิธี
สำหรับวิธีป้องกันไม่ให้เจ้าหนูเกิดเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะขึ้นมานั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือการฝึกให้ลูกมีสุขลักษณะที่ดีในการเข้าห้องน้ำที่ถูกต้องค่ะ ซึ่งคุณสามารถสอนพวกเขาได้ดังนี้…
- สอนให้เด็กๆ ไม่กลั้นปัสสาวะ และควรให้เข้าห้องน้ำจนเป็นนิสัยอย่างน้อยที่สุดคือ 3 เวลาหลังอาหาร และก่อนนอน การปัสสาวะบ่อยๆ นี้ก็จะช่วยชะล้างแบคทีเรียออกไปได้ค่ะ
- หลังจากเข้าห้องน้ำไม่ว่าจะปัสสาวะ หรืออุจจาระ ควรสอนให้เด็กๆ เรียนรู้วิธีการทำความสะอาด รวมไปถึงวิธีการเช็ดทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศที่ถูกต้อง คือเช็ดจากข้างหน้าไปข้างหลังและทิ้งทันที ไม่นำมาเช็ดวนซ้ำ และไม่เช็ดย้อนทาง เพราะจะทำให้เชื้อโรคเล็ดลอดเข้าไปยังท่อปัสสาวะได้โดยง่ายค่ะ
- พยายามดูแลไม่เห็นเด็กเกิดปัญหาท้องผูกเพราะเด็กจะไม่ค่อยเข้าห้องน้ำ ทำให้การติดเชื้อเกิดขึ้นจากพฤติกรรมนี้ได้ค่ะ เนื่องจากกรณีที่เด็กท้องผูกมากๆ อาจทำให้อุจจาระไปกดทับกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดโรคนี้ตามมาได้ค่ะ
3 วิธีสอนลูกให้รู้จักป้องกันตัวเองจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมคะ ดังนั้นนอกจากสังเกตอาการเจ้าหนูคงไม่พอ จะให้ดีสอนวิธีป้องกันตัวเองให้พวกเขาเสียเลยคงจะดีกว่าการรอให้ลูกเป็นโรคแล้วมานั่งรักษากันภายหลัง คิดเหมือนกันไหมคะ…

เฮอร์แปงไจนา โรคตุ่มแผลในปากเด็ก
โรคเฮอร์แปงไจน่า เป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกันกับมือ เท้า ปาก ถือว่าเป็นโรคระบาด ที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนควรทำความรู้จัก เพื่อหาแนวทางในการรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้กับลูกน้อยค่ะ
สาเหตุของโรคเฮอร์แปงไจนา
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ได้รับเชื้อแพร่กระจายทางปาก ระบบทางเดินหายใจ การใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าขนหนู แก้วน้ำ และของเล่น เป็นต้น
ภาพ : diseasespictures.com
อาการของโรคเฮอร์แปงไจนา
- มีไข้สูงเฉียบพลัน
- ไม่ดื่มนม ไม่ทานข้าว
- น้ำลายไหลยืด
- อาเจียน
- จะเริ่มพบจุดแดงๆ บริเวณลิ้นไก่ ลิ้น และในลำคอ และจะกลายเป็นตุ่มน้ำ
วิธีป้องกันโรคเฮอร์แปงไจนา
- หมั่นให้ลูกล้างมือออยู่เสมอ
- ระวังการสัมผัสจากน้ำลาย น้ำมูก
- ไม่ควรให้ลูกเล่นของเล่นของเด็กที่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน
วิธีรักษาโรคเฮอร์แปงไจนา
- ไม่มีการรักษาโรคที่แน่ชัด เพราะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง เด็กสามารถหายเองและดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถรักษาตามอาการได้ดังนี้ค่ะ
- เช็ดตัวลดไข้
- ให้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ปวดหัวก็ให้กินยาพาราเซตามอล
- ดื่มน้ำให้มากๆ
- ถ้าทานข้าวไม่ลงก็ให้ทานของเหลวทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
หากเด็กมีอาการปกติ หรือมีอาการรุนแรง ทางที่ดีขอแนะนำว่าคุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันทีนะคะ อย่าปล่อยทิ้งไว้หรือรอดูอาการด้วยการทดลองยาผิด ๆ ถูก ๆ วิธีนี้นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อชีวิตด้วยค่ะ
'โรคดื้อ' หรือ ODD ที่พ่อแม่ต้องทำความรู้จักไว้
ทำไมลูกดื้อแบบนี้? ต่อไปนี้อาจจะไม่ใช่แค่คำพูดดุแล้วนะคะ เพราะหากเด็กมีลักษณะที่ดื้อผิดปกติ จนมีผลกระทบต่อการเรียน การใช้ชีวิต จนพ่อกับแม่และคนรอบข้างทนไม่ไหว ก็ไม่ใช่แค่ดื้อตามพัฒนาการปกติทั่วไปแล้วค่ะ เพราะเด็กอาจจะเป็น 'โรคดื้อ'(Oppositional Defiant Disorder) หรือที่เรียกว่า โอดีดี (ODD) ก็ได้ค่ะ
คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต ของสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกาได้ให้นิยามว่า “เป็นรูปแบบพฤติกรรมต่อเนื่องของการไม่เชื่อฟัง ที่แสดงออกด้วยอารมณ์โกรธเป็นหลัก รวมไปถึงการทำตนเป็นปรปักษ์และดื้อด้านต่อผู้ใหญ่เป็นประจำ ในระดับที่มากเกินกว่าเด็กปกติทั่วไป เด็กที่มีความผิดปกติดังกล่าวดูภายนอกแล้วจะเป็นเด็กที่ดื้อมากและโกรธง่าย”
โรคดื้อมีอาการเด่นๆ 4 อาการ แต่ต้องเป็นแบบนี้อยู่นานติดต่อกันเกิน 6 เดือน ดังนี้
-
ต่อต้าน เด็กจะลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างรุนแรงจนดูเกินวัย ท้าทาย และฝ่าฝืนคำสั่งของผู้ใหญ่ และกฎเกณฑ์บ่อยๆ
-
ไม่เป็นมิตร เด็กจะไม่ค่อยมีเพื่อน และไม่อยากมีเพื่อน ชอบตั้งใจแกล้งรบกวนคนอื่น โยนความผิดให้คนอื่นเสมอ
-
โมโหง่าย เรื่องเล็กน้อยก็โกรธง่าย และหายยาก หากถูกขัดใจหรือพ่อแม่ไม่ตามใจ เขาจะดูโกรธจนเคียดแค้นผิดปกติ ชอบมองโลกในแง่ร้าย
-
ไม่ควบคุมอารมณ์ เด็กจะทำทุกอย่างตามอารมณ์ จะเถียง และทะเลาะกับผู้ใหญ่บ่อยๆ ชอบแก้แค้น อาฆาตพยาบาทบ่อยๆ
ถ้าหากลูกหลานมีพฤติกรรมตาม 4 ข้อนี้ ก็อย่ากังวลไปนะคะ เพราะรักษาได้ด้วยการพาไปพบจิตแพทย์เด็ก นักบำบัด หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กค่ะ ไปหาทางออกร่วมกัน เพื่อที่โตไปเด็กๆ จะได้เป็นคนที่ดีขึ้นค่ะ