facebook  youtube  line

80 รายชื่อหมอภูมิแพ้เด็กที่พ่อแม่รีเควสต์

5118 

80 รายชื่อหมอภูมิแพ้เด็กที่พ่อแม่รีเควส

เด็กๆ เป็นภูมิแพ้กันเยอะขึ้น พ่อแม่หลายคนจึงต้องตามหาคุณหมอเฉพาะทางเพื่อรักษาเจ้าตัวเล็กให้หาย รักลูกรวบรวมรายชื่อคุณหมอที่รักษาภูมิแพ้ที่แม่ๆ แนะนำเข้าใน https://www.facebook.com/raklukeclub มาให้แล้วค่ะ

  1. นพ.กันย์ พงษ์สามารถ คลินิกภูมิแพ้โรงพยาบาลเด็ก
  2. นพ.กัลย์ กาลวันตวานิช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
  3. นพ.เฉลิมไทย เอกศิลป์ โรงพยาบาลพญาไท 3
  4. นพ.ธัชชัย วิโรจวานิช โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ
  5. นพ.ปิยวุฒิ กรีฑาภิรมย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยา
  6. นพ.พุทธชาติ ดำรงกิจชัยพร โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา
  7. นพ.มนตรี ตู้จินดา โรงพยาบาลเจ้าพระยา / โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ / โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์
  8. นพ.วรวิชญ์ เหลืองเวชการ โรงพยาบาลเจ้าพระยา
  9. นพ.วรุตม์ ทองใบ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 3 อินเตอร์ / โรงพยาบาลสินแพทย์
  10. นพ.วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง โรงพยาบาลวิภาราม
  11. นพ.วิทยา อัศวะวิเชียนจินดา โรงพยาบาลพญาไท 3
  12. นพ.วีระพงษ์ จันจงเจริญชัย โรงพยาบาลวิภาวดี
  13. นพ.วีระพงษ์ จันจงเจริญชัย โรงพยาบาลสินแพทย์
  14. นพ.สงวน วงศ์ศรีสุจริต รพ.วิภารามพัฒนาการ
  15. นพ.สาธิต สันตดุสิต โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
  16. นพ.สิระ นันทพิศาล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
  17. นพ.สุกิจ รุ่งอภินันท์ โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม
  18. นพ.สุนทร สุนทรชาติ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น
  19. นพ.อิสรา บุญสาธร โรงพยาบาลวิภาวดี
  20. พญ.กัญลดา ว่องวรภัทร โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
  21. พญ.กานติมา กาญจนภูมิ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  22. พญ.ขนิษฐา ศิริพูล โรงพยาบาล บางปะกอก 1
  23. พญ.จีรารัตน์ บุญสร้างสุข โรงพยาบาลพญาไท 3
  24. พญ.จุฬามณี วงศ์ธีระญานี โรงพยาบาลสมิติเวช
  25. พญ.ฉัฐฐิมา เสาวภาคย์ โรงพยาบาลพระรามเก้า
  26. พญ.ชนาภรณ์ โมกขมรรคกุล โรงพยาบาลเจ้าพระยา
  27. พญ.ชัญญรัช ตัณศุภผล โรงพยาบาลรามคำแหง
  28. พญ.ดรุณี ชัยดรุณ โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา
  29. พญ.ทัศลาภา แดงสุวรรณ คลินิกภูมิแพ้โรงพยาบาลเด็ก / โรงพยาบาลพญาไท 3
  30. พญ.ธัชขวัญ อินทปันตี โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
  31. พญ.ธิดารัตน์ อัคราช โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น / โรงพยาบาลวิภาวดี
  32. พญ.นภัสยชญ์ ชูศรี โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม
  33. พญ.นริดา ถาวรพานิช โรงพยาบาลไทยนครินทร์
  34. พญ.นริศรา สุรทานต์นนท์ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
  35. พญ.นวินดา มหาวิจิตร โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สระบุรี
  36. พญ.นันทนัช หรูตระกูล โรงพยาบาลสมิติเวช
  37. พญ.ประภาศิริ สิงห์วิจารณ์ โรงพยาบาลเจ้าพระยา
  38. พญ.ปัญจมา ปาจารย์ โรงพยาบาลสมิติเวช
  39. พญ.ปารวี พรตตะเสน โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการรุณย์
  40. พญ.ปิติยา โรจน์พรประดิษฐ์ โรงพยาบาลสินแพทย์
  41. พญ.ปิยวดี เลิศชนะเรืองฤทธิ์ โรงพยาบาลวิภาวดี
  42. พญ.เปรมวดี อนุรักษ์เลขา โรงพยาบาลกรุงเทพ
  43. พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
  44. พญ.พิจิตรา บุญฑริกพรพันธุ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ หาดใหญ่
  45. พญ.เพลินพิศ ลิขสิทธิพันธุ์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
  46. พญ.ภัทรา ตันติเจริญวิวัฒน์ โรงพยาบาลสมิติเวช
  47. พญ.ภัสรา นิลายน โรงพยาบาลพญาไท 1
  48. พญ.ยิหวา สุขสวัสดิ์ โรงพยาบาลเวชธานี
  49. พญ.ยุเพ็ญ สมาณาธิกรณ์ โรงพยาบาลรามคำแหง
  50. พญ.รัตนา พิพิธปรีชา โรงพยาบาลเวชธานี
  51. พญ.ลินน่า งามตระกูลพานิช โรงพยาบาลกรุงเทพ
  52. พญ.วรรณนิภา วงศ์รัศมี โรงพยาบาลสมิติเวช
  53. พญ.วรรณวิภา บรรณางกูร โรงพยาบาลกรุงเทพ หาดใหญ่
  54. พญ.วรรณี ถิรภัทรพงศ์ โรงพยาบาลพญาไท 3
  55. พญ.วริศรา สิรยานนท์ โรงพยาบาลสินแพทย์
  56. พญ.วิชชญา ศรีสุวัจรีย์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  57. พญ.วิภารัตน์ มนุญากร โรงพยาบาลรามาธิบดี
  58. พญ.วิลาวัณย์ เวทไว โรงพยาบาลพระรามเก้า
  59. พญ.ศศิกานต์ ซื่อศิริสวัสดิ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ขอนแก่น
  60. พญ.ศิรภัสสร ศรพิพัฒน์พงศ์ โรงพยาบาลพญาไท 3
  61. พญ.ศิริพร หิรัญนิรมล โรงพยาบาลกรุงเทพ
  62. พญ.สดุดี บุญมี กล้าขยัน โรงพยาบาลขอนแก่น
  63. พญ.สมหญิง อินทรทัต โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา
  64. พญ.สวพร สิทธิสมวงศ์ โรงพยาบาลขอนแก่น ราม
  65. พญ.สิรินันท์ บุญยะลีพรรณ คลินิคบ้านคุณหมอประชาชื่น
  66. พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ โรงพยาบาลสินแพทย์
  67. พญ.สุดาวรรณ ศิริอักษร โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม
  68. พญ.สุรีรัตน์ พงศ์พฤกษา โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  69. พญ.สุวาณี เจริญลาภ โรงพยาบาลพญาไท 3
  70. พญ.อารีย์ แสงศิริวุฒิ โรงพยาบาลกรุงเทพ
  71. รศ. พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังสี โรงพยาบาลพระรามเก้า
  72. รศ.นพ.สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์ โรงพยาบาลพญาไท 2
  73. รศ.พญ.ปัญจมา ปาจารย์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  74. รศ.พญ.พรรณทิพา ฉัตรชาตรี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
  75. รศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
  76. ศ.เกียรติคุณ นพ.ประกิต วิชยานนท์ โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี
  77. ศ.เกียรติคุณ พญ.นวลอนงค์ วิศิษฏสุนทร โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
  78. ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ / คลินิคภูมิแพ้ Allergy Clinic Bangkok
  79. ศ.พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ โรงพยาบาลพญาไท 3
  80. ศ.พญ.อรทัย พิบูลโภคานันท์ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้! ภูมิแพ้ทางเดินหายใจในช่วงหน้าฝนน่ากังวลกว่าที่คิด

ภูมิแพ้- เด็กเป็นภูมิแพ้- โรคหอบหืด- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ- ไซนัสอักเสบ 

พอเข้าช่วงหน้าฝน อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก ทำให้เด็ก ๆ เริ่มมีอาการคัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหล ไอ คล้ายไข้หวัด ซึ่งไข้หวัดมักเป็น 2-5 วันก็หาย แต่โรคภูมิแพ้หากเป็นแล้วมีโอกาสเป็น ๆ หาย ๆ ได้อีกอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่มีไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกน้อยเป็นภูมิแพ้อย่าง “โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ” ในช่วงหน้าฝนอาการภูมิแพ้จะกำเริบได้บ่อยและควบคุมอาการได้ยาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและดูแลลูกน้อยตามคำแนะนำของคุณหมอค่ะ ไม่อย่างนั้นโรคภูมิแพ้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและพัฒนาการในระยะยาวเลยทีเดียว

โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจในเด็กที่พบบ่อยคือ โรคหืดและจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ นอกจากนี้โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจยังสามารถก่อให้เกิดโรคหรือภาวะแทรกซ้อนบางอย่างได้ด้วย แต่ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเตรียมตัวรับมือและช่วยลูกน้อยจากโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เรามาดูกันก่อนว่าโรคหืด โรคไข้หวัดและจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

  1. โรคหืด (Asthma) เกิดจากหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากกว่าปกติทำให้หลอดลมหดเกร็งและบวมเนื่องจากการอักเสบ เด็กที่เป็นโรคหืดมักมีอาการไอ (ไอเวลาวิ่งเล่นออกกำลังกาย, ไอเวลาเจอสิ่งกระตุ้น เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง ไรฝุ่น, ไอตอนกลางคืน) แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกหายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ อาการหอบเหนื่อยอาจเป็น ๆ หาย ๆ และเรื้อรัง
  2. ไข้หวัด มักจะมีอาการไอมีเสมหะ จาม เจ็บคอ รวมถึงมีไข้ต่ำ ๆ และปวดศีรษะร่วมด้วย ไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ มักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน ก็หาย
  3. โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) เกิดจากเยื่อบุจมูกมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ควันบุหรี่ มลพิษ ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสุนัข ขนแมว หญ้า เชื้อรา เป็นต้น เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีอาการคัดจมูก คันจมูก จาม มีน้ำมูกใส ๆ ไหลเป็นน้ำออกมา ไอแบบคันคอเหมือนมีเสลดติดที่คอ อาจมีอาการคันตาร่วมด้วย แต่จะไม่มีไข้ อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ มักมีอาการตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือตอนเข้านอน หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไซนัสอักเสบตามมาได้

 ภูมิแพ้- เด็กเป็นภูมิแพ้- โรคหอบหืด- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ- ไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ…ภาวะแทรกซ้อนของโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ

ไซนัสอักเสบเป็นภาวะแทรกซ้อนหนึ่งที่พบได้ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เวลาเป็นหวัดหรือจมูกอักเสบจากภูมิแพ้กำเริบเยื่อบุจมูกจะบวมทำให้ช่องติดต่อระหว่างโพรงไซนัสกับจมูกอุดตันจนเกิดการคั่งค้างของน้ำมูกในโพรงไซนัสและเกิดการติดเชื้อในโพรงไซนัสขึ้น อาการไซนัสอักเสบ

  1. คัดจมูก น้ำมูกข้นสีเขียว ลมหายใจมีกลิ่น
  2. ไอแบบมีเสมหะในลำคอ มักไอตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
  3. ปวดศีรษะและจมูก
  4. ตัวร้อนคล้ายมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อย่างไรก็ตามถ้าคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าอาการของลูกน้อยเข้าข่ายที่จะเป็นไซนัสอักเสบ ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อประเมินว่าเป็นไซนัสอักเสบหรือภาวะอื่นที่อาจมีอาการคล้ายกัน (เช่น การมีสิ่งแปลกปลอมในโพรงจมูก) เพื่อที่ลูกน้อยจะได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
 ภูมิแพ้- เด็กเป็นภูมิแพ้- โรคหอบหืด- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ- ไซนัสอักเสบ
วิธีป้องกันให้ลูกห่างไกลจาก 'โรคภูมิแพ้' ช่วงหน้าฝน

1.ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้เช่น เสื้อผ้า ตุ๊กตา เครื่องนอน ผ้าห่ม เป็นต้น เพราะสิ่งของเหล่านี้เป็นที่เก็บไรฝุ่นซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นอาการโรคภูมิแพ้ของลูกได้

2.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอหากฝนตกหลีกเลี่ยงการให้ลูกนอนใกล้หน้าต่างเพราะอาจถูกละอองฝน และใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ไม่เปิดพัดลมจ่อลูกหรือเปิดแอร์ที่อุณหภูมิเย็นมากเกินไป

3.ออกกำลังกายเป็นประจำชวนลูกออกกำลังกายเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เช่น เล่นกีฬาที่ลูกชอบ การวิ่ง หรือทำกิจกรรมนอกบ้านกับคุณพ่อคุณแม่ นอกจากจะช่วยต่อสู้กับภูมิแพ้ได้แล้วยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้แข็งแรง และการได้ใกล้ชิดกับคุณพ่อคุณแม่ยังเป็นภูมิคุ้มกันทางใจได้ดีอีกด้วย

4.นมแม่การลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้ที่ดีที่สุดคือ การให้ลูกทานนมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เพราะทารกที่ทานนมแม่อย่างเดียว ทารกจะไม่ได้รับโปรตีนจากนมวัวซึ่งเป็นโปรตีนที่สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของทารกและทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ดังนั้นทารกที่ทานนมแม่จึงมีอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้น้อยกว่า ส่วนโปรตีนในน้ำนมแม่เป็นโปรตีนของคนไม่ใช่โปรตีนแปลกปลอม และน้ำนมแม่ยังมีสารภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ SIgA และ สารต่อต้านการอักเสบต่าง ๆ ปกป้องเยื่อบุทางเดินอาหารทำให้ลดความเสี่ยงต่อการกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้โดยสารแปลกปลอมได้ นอกจากนี้ในนมแม่ยังมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ 2 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ บิฟิโดแบคทีเรียมและแลคโตบาซิลลัส เมื่อทารกทานนมแม่ทารกจะได้รับโพรไบโอติกส์ทางปากผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ของทารกเอง จุลินทรีย์เหล่านี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นทวีคูณทันทีในลำไส้ของทารกเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

5.กรณีที่คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง อาจด้วยปัจจัยด้านสุขภาพหรือปัจจัยอื่น ๆ คุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์เกี่ยวกับโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วนจากเวย์ 100% (H.A. หรือ hypoallergenic) ตามคำแนะนำจากแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้แห่งประเทศไทย

6.การเริ่มอาหารเสริมตามวัย สำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไปเริ่มทานอาหารเสริมแล้วควรเริ่มด้วยข้าว ผัก ผลไม้ แล้วจึงตามด้วยเนื้อสัตว์ ไข่แดง ที่เหมาะสมกับอายุ

นอกจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถกระตุ้นภูมิแพ้ของลูกน้อยให้กำเริบได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันลูกน้อยจากโรคภูมิแพ้ได้โดยให้ลูกน้อยพักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพียงเท่านี้ลูกน้อยก็จะมีร่างกายที่แข็งแรงพร้อมเรียนรู้ได้ในทุก ๆ วันแล้วค่ะ

อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check

#SensitiveExpert#ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

 

 4951 3

ตรวจสอบข้อมูลโดย : นพ.วรุตม์ ทองใบ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านภูมิแพ้ และภูมิคุ้มกันวิทยา

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

คุณแม่รู้ไหม? ผ่าคลอดเพิ่มโอกาสภูมิแพ้สำหรับลูก

 ภูมิแพ้-เด็กเป็นภูมิแพ้

‘โรคภูมิแพ้’ คือโรคที่ร่างกายมีความไวต่อสารกระตุ้น ซึ่งก็คือ ‘สารก่อภูมิแพ้’ มากกว่าปกติ สำหรับโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในเด็กคือ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหืด และแพ้อาหาร ซึ่งจากข้อมูลในปัจจุบันพบว่าการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

สาเหตุของโรคภูมิแพ้ที่สำคัญมีอยู่ 2 สาเหตุใหญ่คือ กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม สำหรับกรรมพันธุ์นั้นหากคุณพ่อ คุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกย่อมมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูงกว่าเด็กที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมรอบตัวของลูกนั้น เราสามารถจัดการและควบคุมสิ่งแวดล้อมไม่ให้ลูกเป็นโรคภูมิแพ้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งคุณแม่สามารถเตรียมตัวได้ตั้งแต่ก่อนคลอด ระหว่างคลอดและหลังจากที่ลูกคลอดออกมาแล้ว ดังนี้ค่ะ

ภูมิแพ้-เด็กเป็นภูมิแพ้

  1. ก่อนการคลอด

คุณแม่ควรทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลายครบ 5 หมู่ โดยไม่ทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินกว่าปกติ เช่น ดื่มนมวัววันละเป็นลิตร หรือทานไข่วันละ 2-3 ฟองทั้งที่ปกติไม่ค่อยได้ทาน เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพ้อาหารชนิดนั้นกับลูกได้

  1. ระหว่างการคลอด

เนื่องจากมีการศึกษาว่าการผ่าคลอด ทำให้เด็กมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ มากกว่า การคลอดทางช่องคลอด เพราะในช่องคลอดของคุณแม่มีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งเรียกว่า โพรไบโอติก ( Probiotics ) อยู่ปริมาณมาก เมื่อทารกเคลื่อนตัวผ่านทางช่องคลอด ระหว่างการคลอดก็จะได้สัมผัสกับโพรไบโอติกนั้นเข้าไปในปากและผ่านลงไปในลำไส้ของทารก ซึ่งจะไปช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานที่ดีของทารก สร้างสมดุลการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้เป็นปกติ ลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้

จึงเป็นที่มาว่า ทารกที่เกิดจากการผ่าคลอด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ มากกว่า การคลอดธรรมชาติเพราะไม่ได้สัมผัสโพรไบโอติกทางช่องคลอดคุณแม่ดังกล่าว ทั้งนี้คุณแม่บางท่านอาจจำเป็นต้องผ่าคลอดด้วยข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่จำเป็น เช่น เคยมีประวัติผ่าคลอดมาก่อน หรือมีภาวะเสี่ยงหากคลอดทางช่องคลอด คุณแม่ก็อาจลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้แก่ลูกได้ในช่วงระยะเวลาการให้นมหลังคลอด ซึ่งหมอจะกล่าวต่อไปค่ะ

  1. หลังการคลอด

เมื่อคุณแม่คลอดทารกน้อยออกมาแล้วไม่ว่าจะด้วยวิธีใด มีการศึกษาวิจัยที่พบว่า หากให้ทารกได้ทานนมแม่เพียงอย่างเดียว ในช่วงระยะเวลา 4-6 เดือนแรกของชีวิต ก็จะลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้ให้กับลูกได้ เนื่องจากน้ำนมแม่มีพรีไบโอติก ( Prebiotics ) ซึ่งเป็นใยอาหารสุขภาพของโพรไบโอติก จุลินทรีย์ที่ดีต่อร่างกายในลำไส้ใหญ่ ก็จะยิ่งเสริมสร้างภูมิต้านทานของทารกให้สมดุลและลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้ในนมแม่ยังมีโปรตีนบางส่วนที่ผ่านการย่อย ทำให้ขนาดโมเลกุลของนมลดลง จึงลดโอกาสในการกระตุ้นให้เกิดการแพ้อีกด้วย

ทั้งนี้ หากมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว และคุณแม่ไม่สามารถให้ลูกทานนมแม่ได้ด้วยข้อจำกัดทางด้านสุขภาพต่าง ๆ ก็สามารถขอคำแนะนำจากคุณหมอเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรตีนที่ผ่านการย่อยแล้วบางส่วน Hypoallergenic (HA) ซึ่งช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ ตามคำแนะนำของแนวทางป้องกันโรคภูมิแพ้จากสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย และยิ่งเสริมด้วยโพรไบโอติก ซึ่งเป็น จุลินทรีย์ที่ดี ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ทารก ลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้ และเสริมสร้างภูมิต้านทานที่ดีได้เช่นกันค่ะ

นอกจากเรื่องของนมแล้ว เมื่อลูกน้อยอายุครบ 6 เดือน คุณแม่และคุณพ่อควรให้ลูกได้ทานอาหารตามวัยอย่างเหมาะสม ไม่ควรเริ่มอาหารช้ากว่าวัยอันควร ให้ลูกได้สัมผัสกับอาหารที่หลากหลายที่เหมาะกับทารก โดยเริ่มจากอาหารกลุ่มที่ไม่เสี่ยงต่อการแพ้ก่อน ส่วนอาหารที่เสี่ยงต่อการแพ้ เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของนมวัว ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง แป้งสาลี และอาหารทะเล ก็ควรจะค่อย ๆ เริ่มทานในเวลาต่อมา และสังเกตว่ามีอาการแพ้หรือไม่

 ภูมิแพ้-เด็กเป็นภูมิแพ้

การเริ่มให้ลูกได้สัมผัสกับอาหารตามวัยที่เหมาะสมก็จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ จะเห็นได้ว่าคุณแม่และคุณพ่อสามารถลดโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้ให้กับลูกน้อยได้ ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ก่อนการคลอด ระหว่างการคลอด และหลังจากการคลอดออกมาแล้วเลยทีเดียว แม้ว่าพันธุกรรมจะมีผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ แต่การจัดการสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในการป้องกันโรคภูมิแพ้ให้กับลูกน้อย เราก็สามารถทำได้ โดยคุณแม่ คุณพ่อและสมาชิกทุกคนในครอบครัวมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากค่ะ

เมื่อลูกมีร่างกายที่แข็งแรง เค้าก็พร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาไปได้อย่างเต็มศักยภาพนั่นเองค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเองได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert

 

 ภูมิแพ้-เด็กเป็นภูมิแพ้

ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ.พญ. รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า

 

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

น้ำมูกไหลเหมือนเป็นหวัด แต่ลูกอาจกำลังแพ้อากาศ

4923 1

 

ไข้หวัดกับโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือที่เรามักเรียกกันว่า “แพ้อากาศ” มีอาการไม่ต่างกันนัก แต่แพ้อากาศนั้น บางครั้งอาจจะมีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งหากคุณแม่คุณพ่อมีความเข้าใจในโรคภูมิแพ้ ก็สามารถปกป้องและดูแลลูกในเบื้องต้นได้ค่ะ

น้ำมูกไหล สัญญาณหวัด?

ฮั้ดเช้ยยยยย!

ฝนมาหวัดก็มา คุณพ่อคุณแม่อาจไม่แน่ใจว่าน้ำมูกที่ไหลออกมาจากจมูกลูกนั้นใช่อาการหวัดจริงๆหรือไม่ แม้ว่าไข้หวัดกับโรคแพ้อากาศจะมีอาการคล้ายๆ กัน แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว คุณพ่อคุณแม่สามารถแยกความต่างของทั้ง 2 โรคนี้ได้ เพื่อจะได้รักษาลูกได้อย่างถูกวิธี ดังนี้

ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กหลายคนจะมีอาการหายใจเสียงดัง คัดจมูก น้ำมูกไหล บางครั้งก็จามติดกันบ่อย ๆ จนคุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าลูกป่วยเป็นไข้หวัด ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ เพราะโดยปกติไข้หวัดมักเกิดในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เด็กจะมีอาการไอมีเสมหะ จาม เจ็บคอ เสียงแหบ รวมถึงมีไข้ต่ำๆ และปวดศีรษะร่วมด้วย ไข้หวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ มักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน ก็หายค่ะ 

ทั้งนี้อาการน้ำมูกใส ๆ ไหล อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคแพ้อากาศ ก็ได้นะคะ โดยเฉพาะถ้าลูกมีอาการเหมือนเป็นหวัดเรื้อรัง โดยที่ไม่มีไข้

แล้ว ไข้หวัด กับ แพ้อากาศต่างกันอย่างไร? มาดูกันค่ะ

ความแตกต่างของ หวัด กับแพ้อากาศ

4923 2

ไข้หวัดธรรมดา                                                                                   

  • มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ

  • มีอาการจาม คัดจมูก มีน้ำมูกไหล (น้ำมูกใส)

  • มีอาการไอ เจ็บคอ

  • อาการเป็นทั้งวัน และอาจมีอาการมากตอนกลางคืน

  • มีอาการไม่เกิน 1-2 สัปดาห์

แพ้อากาศ

  • คันจมูก จาม คัดจมูก มีน้ำมูกใสไหล เป็นๆหายๆ ช่วงเช้า หรือ กลางคืนนาน 4 สัปดาห์ขึ้นไป

  • ไอเรื้อรัง มีเสมหะในช่วงเช้า หรือกลางคืน

  • อาจมีอาการคันตา น้ำตาไหล ตาแดง ตาบวม คันในเพดานปาก หู และผื่นคันที่ผิวหนัง ร่วมด้วย

  • มีอาการคล้ายหวัดเรื้อรัง โดยไม่มีไข้

  • มีอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวแห้ง คัน เป็นผื่น ผิวหนังอักเสบ

  • อ่อนเพลีย ง่วงซึม รู้สึกไม่สบายตัว หรือหงุดหงิดง่าย เพราะนอนไม่เพียงพอ

 

อาการไข้หวัดกับอาการแพ้อากาศค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการและดูแลลูกได้ในเบื้องต้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อลูกไม่สบายมาก ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อการวินิจฉัยโรคและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ

 

การดูแลเด็กที่มีอาการแพ้อากาศ
  1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ อย่างเคร่งครัด

  2. ให้ลูกรับประทานยาแก้แพ้หรือพ่นยาตามคำแนะนำของแพทย์

  3. ใช้น้ำเกลือปราศจากเชื้อล้างจมูกเมื่อลูกมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล

  4. หากหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ไม่ได้ หรือการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล โรคแพ้อากาศสามารถรักษาด้วยการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ได้ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาในการรักษาด้วยวิธีนี้ต่อไปค่ะ

วิธีลดความเสี่ยงการเกิดอาการแพ้อากาศ

อาการแพ้อากาศ คืออาการภูมิแพ้อย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเป็นแล้ว อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับอาการแพ้อื่น ๆ เช่น หอบหืด ที่อาจจะตามมาได้ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันได้แต่เนิ่น ๆ ด้วยการดูแลสภาพแวดล้อมและการหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ดังนี้ค่ะ

1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ลูกแพ้

โดยเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตาขนที่อาจมีไรฝุ่น รวมถึงฝุ่นในบ้าน สัตว์เลี้ยง หรือสารกระตุ้นต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป น้ำหอม สเปรย์ ควรทำความสะอาดบ้านโดยเฉพาะห้องนอนของลูกเป็นประจำทุกวัน เปิดหน้าต่างให้แสงเข้าบ้าง ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ของลูกได้

2. เช็กสภาพอากาศก่อนพาลูกออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน

เพื่อหลีกเลี่ยงความชื้น มลภาวะ ฝุ่นละอองโดยเฉพาะฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ควันพิษ ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกเกิดอาการแพ้ และเมื่อพาลูกกลับจากทำกิจกรรมนอกบ้านแล้วควรให้รีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที

3. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในสัดส่วนที่สมดุล

หากลูกน้อยของคุณแม่ยังทานนมแม่อยู่ ก็ควรทานนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เพราะในนมแม่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ถูกทำให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กแล้ว จึงช่วยลดโอกาสการกระตุ้นให้เกิดการแพ้ อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อย่างเช่น บิฟิดัส บีแอล และแอลจีจี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายของลูกได้อีกด้วย

แต่ในบางกรณีจำเป็นที่ทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง คุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ในเรื่องของ โปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วนที่ทำจากเวย์ 100% หรือ H.A. (Hypoallergenic) ตามคำแนะนำจากแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้จากสมาคมโรคภูมิแพ้ และวิทยาคุ้มกันแห่งประเทศไทย 

 

เมื่อถึงวัยเริ่มอาหารเสริมตามวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารจำพวกโปรตีน ผักและผลไม้ และอาหารที่มีการเติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อย่าง บิฟิดัส บีแอล จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและความแข็งแรงให้กับร่างกายของลูกได้ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ แต่ให้ทานในสัดส่วนที่สมดุล ไม่มากเกินไป ก็จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับอาหารใหม่ ๆ ได้ค่ะ

4923 3

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดี เพราะหากร่างกายลูกพักผ่อนไม่พอ อ่อนเพลียบ่อยๆ ภูมิต้านทานจะต่ำลง ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย เพราะฉะนั้นควรให้ลูกนอนหลับไม่ต่ำกว่าวันละ 8-10 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยประมาณวันละ 30 นาที นอกจากจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยแล้ว การออกกำลังกายร่วมกันยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของครอบครัวอีกด้วยค่ะ

ในช่วงที่เข้าฤดูฝนเช่นนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยกระตุ้นอาการภูมิแพ้ของลูกมากมาย หากคุณแม่คุณพ่อดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวลูก ชวนลูกออกกำลังกายทุกวัน และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยปกป้องลูกจากอาการภูมิแพ้ได้ส่วนหนึ่งแล้ว เมื่อลูกมีสุขภาพแข็งแรง ไม่แพ้ เค้าก็พร้อมที่จะออกไปเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในทุก ๆ วันค่ะ แต่หากลูกมีอาการภูมิแพ้กำเริบเยอะ ก็ควรไปพบแพทย์นะคะ

อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่   https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check

#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

4923 4

ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ. พญ. รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

ฝุ่น PM 2.5 กับโรคภูมิแพ้ในเด็ก พ่อแม่ป้องกันได้แบบเอาอยู่

 ภูมิแพ้- เด็กเป็นภูมิแพ้- โรคหอบหืด- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ- ฝุ่น- ฝุ่น PM2.5- PM2.5- วิธีป้องกันฝุ่น PM2.5

คุณแม่ทราบไหมคะว่า ฝุ่น PM 2.5 ขนาดเล็กที่ลอยอยู่ในอากาศอันตรายกับลูกเล็กของเรามาก เมื่อลูกหายใจเอาฝุ่น PM 2.5 เข้าไปไม่ว่าจะทางจมูกหรือปาก เจ้าฝุ่นร้ายก็จะเข้าไปถึงถุงลมของปอด ซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้ววิ่งไปทั่วอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของปอด หัวใจ พัฒนาการทางสมอง และสุขภาพในระยะยาวได้เลยนะคะ ดังนั้นฝุ่น PM 2.5 จึงไม่ได้ก่อให้เกิดอาการแพ้ชั่วครั้งชั่วคราวอย่าง ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือ แสบตาเท่านั้น แต่อาจเป็นตัวการที่ทำให้ลูกเราเป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดในระยะยาวได้ค่ะ

ฝุ่น PM2.5 คืออะไร ?

คำว่า PM ย่อมาจาก Particulate Matter ซึ่งเป็นหน่วยวัดขนาดของอนุภาคที่อยู่ในอากาศ ฝุ่น PM2.5 คืออนุภาคสารแขวนลอยในอากาศที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือมีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ ฝุ่นขนาดเล็กนี้สามารถลอยอยู่ในอากาศได้เป็นวันถึงหลายสัปดาห์และสามารถถูกพัดพาไปได้ไกลถึง 100-1,000 กิโลเมตร โดยฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นจากกิจกรรมหลายชนิด อาทิเช่น การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ การก่อสร้างและการเผาทำลายป่าหรือกิจกรรมทางการเกษตร ซึ่งเป็น สาเหตุหลักของมลพิษทางอากาศ

อันตรายของฝุ่น PM2.5

ฝุ่น PM2.5 สามารถดูดซับสารพิษอื่น เช่น โลหะหนัก สารก่อมะเร็งได้ด้วย หากเราไม่ได้ป้องกันตัวเองให้ดีก็สามารถเกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก หรือเด็กที่มีโรคประจำตัวหรือมีปัญหาภูมิคุ้มกัน โดยในหญิงตั้งครรภ์ อันตรายจากฝุ่นสามารถผ่านไปถึงลูกน้อยในครรภ์ได้ด้วย มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดสูง

การหายใจเอาฝุ่นละออง มลภาวะจำนวนมากเข้าไปส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้

-ระยะสั้น ทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก แสบจมูก ไอมีเสมหะ แน่นหน้าอก เมื่อตรวจสมรรถภาพปอดก็พบว่าลดลง เนื่องจากมีการอักเสบต่อเนื่อง เกิดอาการกำเริบของโรคทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด ผื่นแพ้ เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ หูอักเสบ เป็นต้น

-ระยะยาวส่งผลต่อภูมิคุ้มกันร่างกาย โรคทางเดินหายใจ โรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจด้วย

ฝุ่น PM2.5 อันตรายต่อพัฒนาการลูก

เมื่อลูกน้อยเจ็บป่วยบ่อย ๆ จากโรคทางเดินหายใจที่มีฝุ่น PM2.5 เข้ามากระตุ้น สิ่งที่ต้องเผชิญนอกจากความเจ็บป่วยแล้ว ยังได้รับผลกระทบอื่น ๆ ตามมาอีก ได้แก่

● ส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้เมื่อเจ็บป่วยบ่อยหรือมีอาการรุนแรงจนต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ทำให้เด็ก ๆ ขาดเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน มีความเสี่ยงต่อการถูกกลั่นแกล้ง ไม่อยากไปโรงเรียน ทักษะการเล่นหรือการเรียนรู้ก็ถูกจำกัดจากปัญหาสุขภาพ

ส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อนบ่อยครั้งที่อาการไอ จาม หอบเหนื่อย รบกวนการนอนหลับของลูก ทำให้เด็ก ๆ พักผ่อนไม่เพียงพอหรือไม่มีประสิทธิภาพ

● สร้างความเครียด เป็นเด็กก็เครียดได้ค่ะ เพราะเมื่อร่างกายเจ็บป่วย จิตใจก็ย่อมป่วยตามไปด้วย รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับโรค ก็ทำให้เด็กประสบภาวะความเครียดได้เช่นกัน

● ส่งผลต่อเรื่องการกิน เด็กที่มีอาการทางเดินหายใจ มักไม่ค่อยอยากรับประทานอาหาร ทำให้มีโอกาสได้รับสารอาหารไม่พอต่อความต้องการ

 ภูมิแพ้- เด็กเป็นภูมิแพ้- โรคหอบหืด- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ- ฝุ่น- ฝุ่น PM2.5- PM2.5- วิธีป้องกันฝุ่น PM2.5
โรคภูมิแพ้ในเด็กที่พบบ่อยและเกี่ยวข้องกับฝุ่น PM 2.5

1.โรคภูมิแพ้อากาศ หรือเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) คือโรคที่มีการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูก เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปแล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันและมีปฎิกิริยาตอบสนองมากผิดปกติ สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย เช่น ไรฝุ่น เกสร เชื้อรา แมลงสาบ รังแคสัตว์ ฯลฯ นอกจากนั้นสารระคายเคือง เช่น ฝุ่น มลพิษในอากาศ ควันบุหรี่ อาจมีผลรบกวนจมูกและยิ่งทำให้อาการของโรคแย่ลง

ส่วนใหญ่เริ่มแสดงอาการในเด็กวัยเรียนและเด็กที่ครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้จะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากพบว่ามีปัจจัยทางพันธุกรรมมาเกี่ยวข้อง

เมื่อผู้ป่วยสัมผัสสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง จะทำให้มีอาการ จามติด ๆ กันหลายครั้ง คันจมูก น้ำมูกใส ๆ ไหลและคัดจมูก อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วม เช่น คันตา น้ำตาไหล ปวดศีรษะ หูอื้อ ฯลฯ

ผู้ป่วยโรคนี้มักจะมีโรคหืดร่วมด้วยประมาณ 1 ใน 3 ดังนั้นเด็กที่มีอาการภูมิแพ้อากาศอาจจะต้องได้รับการตรวจหาอาการของโรคหืดด้วย

2.โรคหืด (Asthma)เป็นภาวะที่มีการอักเสบเรื้อรังของทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากหลอดลมมีภาวะไวต่อการกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคืองต่าง ๆ มากผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อรอบหลอดลมหดเกร็ง เยื่อบุผิวของหลอดลมบวมน้ำ และเยื่อบุผิวของหลอดลมมีการสร้างเสมหะมากขึ้น นำไปสู่อาการไอ เหนื่อย หายใจลำบากตามมา

เด็กที่เป็นโรคหืดมักมีอาการไอ (ไอเวลาวิ่งเล่นออกกำลังกาย, ไอเวลาเจอสิ่งกระตุ้น เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง ไรฝุ่น, ไอตอนกลางคืน) แน่นหน้าอก ตอนหายใจออกจะมีเสียงวี้ด ๆ และจะหายใจเร็วกว่าปกติ หรือหายใจแล้วหน้าอกบุ๋มในตำแหน่งของช่องซี่โครง หรือด้านหลังของลำคอด้วย

 ภูมิแพ้- เด็กเป็นภูมิแพ้- โรคหอบหืด- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ- ฝุ่น- ฝุ่น PM2.5- PM2.5- วิธีป้องกันฝุ่น PM2.5
ควรดูแลลูกที่เป็นโรคภูมิแพ้อย่างไร ในภาวะที่มีค่าฝุ่น PM2.5 สูงลิ่ว

1.หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้งในภาวะที่อากาศเต็มไปด้วยฝุ่น PM2.5 และให้ลูกอยู่ในบ้านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ควรเลือกทำกิจกรรมในบ้านทดแทน อาจจะพิจารณาติดตั้งเครื่องกรองอากาศไว้ในบ้าน ปิดประตูหน้าต่างของบ้านให้มิดชิด และเปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศเพื่อให้อากาศหมุนเวียน

2. หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านควรหาหน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่น PM2.5 มาให้ลูกใส่ และเมื่อกลับเข้ามาในบ้านควรรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย

3. ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ทราบว่า ความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมหาวิธีการป้องกันลูกน้อย

4. ลดความเสี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น หมั่นทำความสะอาดบ้านและบริเวณรอบ ๆ ให้ปราศจากฝุ่น ทำความสะอาดห้องน้ำ เครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการเกิดเชื้อราในอากาศ ทำความสะอาดเครื่องนอนของใช้ลูกอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ การสัมผัสอากาศร้อน เย็น เกินไป ถ้าลูกน้อยไวต่ออะไร ก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น

5. การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

6. การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ

7. การได้รับโภชนาการที่เหมาะสมตามช่วงวัย เช่น การได้รับนมแม่ ตั้งแต่แรกเกิด เพราะนอกจากจะเต็มเปี่ยมไปด้วยโภชนาการที่ทารกต้องการแล้ว มีงานวิจัยที่สนับสนุนว่าการกินนมแม่โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรก ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ได้

แต่ในบางกรณีที่มีความจำเป็นทำให้คุณแม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง คุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ในเรื่องของ โปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วนที่ทำจากเวย์ 100% หรือ H.A. (Hypoallergenic) ตามคำแนะนำจากแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้แห่งประเทศไทย พ.ศ.2563

นอกจากนั้นในทุกช่วงวัย ควรให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วน ช่วยเสริมสร้างการทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกันของลูกให้ดียิ่งขึ้น

จะเห็นว่าไม่ใช่แค่ฝุ่น PM2.5 เท่านั้นที่มากระตุ้นอาการภูมิแพ้ของลูกน้อยแต่ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น สิ่งแวดล้อมในบ้าน การดูแลสุขอนามัยและโภชนาการของลูก ดังนั้นการป้องกันปัจจัยที่เข้ามาทั้งจากภายในและภายนอก คุณพ่อคุณแม่ช่วยได้ ไม่ยากค่ะ

 ภูมิแพ้- เด็กเป็นภูมิแพ้- โรคหอบหืด- โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ- ฝุ่น- ฝุ่น PM2.5- PM2.5- วิธีป้องกันฝุ่น PM2.5

อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check

#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

 

ตรวจสอบข้อมูลโดย : พญ. สินดี จำเริญนุสิต

กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลเวชธานี

 5002 4

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

ภูมิแพ้ ภัยเงียบใกล้ตัว ทำลูกป่วยเป็นโรคจมูกอักเสบ

 4978 1

เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่มักไม่รู้เลยก็คือ ภูมิแพ้นั้นอยู่ใกล้ลูกมากกว่าที่คิด อย่างโรคจมูกอักเสบที่เด็ก ๆ มักเป็นกันบ่อย ๆ สาเหตุหลักก็มาจากภูมิแพ้เช่นกัน  

อาการโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ บางครั้งดูเหมือนโรคหวัดธรรมดา เช่น มีน้ำมูกใส ๆ จาม คันจมูก คัดจมูก ไอกระแอม แต่ความจริงแล้ว จะมีอาการหนักเพิ่มขึ้นเมื่อในช่วงเวลาที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ อาจจะจามติด ๆ กันเป็นสิบ ๆ ครั้ง คัดจมูกมากจนนอนหลับไม่ได้ หรือมีภาวะแทรกซ้อนตามมาได้อีกมากมาย เช่น ไซนัสอักเสบ แก้วหูอักเสบ ต่อมอดีนอยด์โตจนนอนกรนดังมาก อาจถึงขั้นหยุดหายใจขณะนอนหลับได้

สารก่อภูมิแพ้ที่คนทั่วโลกรวมถึงเด็กไทยด้วย แพ้บ่อยที่สุด คือ “ไรฝุ่น” ซึ่งพบมากบริเวณที่มีฝุ่นปนเปื้อนอยู่ เช่น สิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้ตัวลูก ตุ๊กตา หมอน ที่นอน ผ้าห่ม เปรียบเสมือนภัยมืดที่อยู่ใกล้ตัวลูก ๆ ของเรา ดังนั้นหากลูก ๆ มีอาการคล้ายหวัด แต่เป็นเรื้อรัง เป็นมากขึ้น ๆ หรือมีภาวะแทรกซ้อนเมื่ออยู่ใกล้สิ่งของดังกล่าว ควรไปพบแพทย์โรคภูมิแพ้เพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรคที่ถูกต้องต่อไป

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

4978 2

ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ

1. ตัวเด็กมียีนหรือพันธุกรรมที่แพ้สารก่อภูมิแพ้

 

2. สารก่อภูมิแพ้ต้องมาสัมผัสใกล้ชิดเด็ก

 

3. สภาวะที่เหมาะต่อการเกิดโรค เช่น มลภาวะ PM 2.5 ควันรถ/ บุหรี่ การดูแลสุขภาพที่ไม่ดี นอนดึก ไม่ออกกำลังกาย เครียด รับประทานอาหารไม่ครบถ้วน เมื่อมีครบทั้ง 3 ปัจจัย ก็จะเกิดโรคได้

วิธีการรักษา

หากรู้ว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ตัวใดและสามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็จะไม่มีอาการของโรคอีกเลย แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้และมีปัจจัยครบทั้ง 3 ข้อ จะเริ่มรักษา โดย การล้างจมูก ยาพ่นจมูก ยารับประทาน หรือในบางรายต้องได้รับวัคซีนภูมิแพ้ร่วมด้วยจึงจะควบคุมอาการได้

วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงจากโรคภูมิแพ้

4978 3

จากปัจจัยด้านพันธุกรรมมีผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะหากทั้งพ่อและแม่เป็นโรคนี้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคนี้ 60 – 80 % ดังนั้นถ้าเลือกคู่ครองที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวได้ก็จะดีที่สุด แต่ถ้าเลือกไม่ได้แล้ว ควรจะต้องดูแลเด็กตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์ โดยไปฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มแรก ปฏิบัติตามที่สูติแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด พักผ่อนให้พอเพียงรับประทานอาหารหลากหลายชนิดให้ครบ 5 หมู่ งดสูบบุหรี่และงดไปแหล่งที่มีมลภาวะสูง

เมื่อเด็กทารกคลอด ควรให้นมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก และให้ต่อไปจนอย่างน้อยอายุ 1 ปี หรือนานที่สุดเท่าที่จะให้ได้ อาหารเสริมควรเริ่มเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป ดูแลสิ่งแวดล้อมของเด็กให้ห่างจากมลภาวะและสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ

กรณีคุณแม่มีปัญหาสุขภาพหรือข้อจำกัดที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ คุณแม่อาจขอคำแนะนำจากแพทย์ในเรื่องของนมสูตรพิเศษ ที่เป็นสูตร Hypo-Allergenic (HA)ซึ่งมีโปรตีนผ่านการย่อยบางส่วน (partial hydrolysate formula) ร่วมกับ เติม Probiotics คือ เชื้อจุลลินทรีย์ชนิดดี เช่น Bifidus BL (B. lactis), LGG, L. reuteri เป็นต้น และอาจจะเติม Prebiotics คืออาหารของเชื้อจุลลินทรีย์ชนิดดี เช่น Lactose, GOS, IcFOS, 2’-FL เป็นต้น สุดท้ายแล้ว เมื่อเราดูแลลูกได้ดังที่กล่าวมาแล้ว คงทำให้เด็ก ๆ ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ลดลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

อยากรู้ว่าลูกน้อยมีความเสี่ยงภูมิแพ้แค่ไหน ทำแบบทดสอบเบื้องต้นได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert/sensitive-check

#SensitiveExpert #ผู้เชี่ยวชาญด้านความบอบบางของลูกน้อย

4978 4

ขอบคุณข้อมูลจาก : นพ. วิชาญ บุญสวรรค์ส่ง กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้ โรคหืด และ วิทยาภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลวิภาราม

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์

รักลูก The Expert Talk EP.108 (Rerun) : รับมือภูมิแพ้ลูก รู้เร็วหายได้

 

รักลูก The Expert Talk Ep.108 (Rerun) : รับมือภูมิแพ้ลูก รู้เร็วหายได้

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวอากาศร้อน สักพักฝนตก เจ้าตัวเล็กอาจจะมีอาการของระบบทางเดินหายใจ

จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเริ่มเข้าใกล้โรคภูมิแพ้แล้ว

 

ฟังวิธีการสังเกต และวิธีการดูและเมื่อลูกเป็นโรคภูมิแพ้โดย The Expert รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชณรังษี

กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

เคล็ดลับเลือกแป้งเด็กอย่างไร สบายใจคุณแม่ สบายผิวคุณลูก

แป้งเด็ก, แป้งเด็กทารก, แป้งเด็กไม่มีทัลคัม, แป้ง ปลอดภัย ไม่มีทัลคัม, วิธีเลือกแป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, วิธีใช้แป้งเด็ก ปลอดภัย, วิธีทาแป้งเด็กที่ถูกต้อง, เลือกแป้งเด็กยังไง ลูกไม่แพ้, แป้งไรซ์แคร์ ไม่มีทัลคัม, reiscare ไม่มีทัลคัม, แป้งธรรมชาติ ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ข้าวจ้าว ไม่มีทัลคัม, ทารก แป้งไม่มีทัลคัม, เด็กเล็ก แป้งไม่มีทัลคัม, แป้งป้องกันความชื้น, แป้งเด็ก สบายตัว

ผิวเด็กบอบบาง แพ้ง่าย การเลือกแป้งที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทราบ เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกแป้งมาฝาก เลือกอย่างไร แบบไหนปลอดภัยและเหมาะสมกับผิวลูกมากที่สุด 

เคล็ดลับเลือกแป้งเด็กอย่างไร สบายใจคุณแม่ สบายผิวคุณลูก

ก่อนอื่นขอพูดถึงข่าวดังในต่างประเทศ เรื่องการฟ้องร้องแป้งทาตัวที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ในหญิงชาวแคลิฟอร์เนียคนหนึ่งจนเสียชีวิต เนื่องจากใช้แป้งทัลคัมมาเป็นเวลานาน ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนกังวลจนไม่อยากจะใช้แป้งทาตัวให้ลูก ๆ

แร่ทัลคัม (Talcum) หรือทัลก์ (Talc) คืออะไร

คือแร่หินสบู่ที่มีความอ่อนมาก เป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ นิยมใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเครื่องสำอางอย่าง แป้ง เพราะมีคุณสมบัติช่วยทำให้ผิวเนียนลื่น ดูดซับความชื้น ซึ่งหากใช้ไม่ระวังและสูดดมเข้าไปจำนวนเยอะ ๆ เป็นเวลานาน อาจจะเกิดการสะสม และทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง หรือโรคอันตรายร้ายแรงอื่น ๆ ได้

แป้งเด็ก, แป้งเด็กทารก, แป้งเด็กไม่มีทัลคัม, แป้ง ปลอดภัย ไม่มีทัลคัม, วิธีเลือกแป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, วิธีใช้แป้งเด็ก ปลอดภัย, วิธีทาแป้งเด็กที่ถูกต้อง, เลือกแป้งเด็กยังไง ลูกไม่แพ้, แป้งไรซ์แคร์ ไม่มีทัลคัม, reiscare ไม่มีทัลคัม, แป้งธรรมชาติ ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ข้าวจ้าว ไม่มีทัลคัม, ทารก แป้งไม่มีทัลคัม, เด็กเล็ก แป้งไม่มีทัลคัม, แป้งป้องกันความชื้น, แป้งเด็ก สบายตัว

หากคุณพ่อคุณแม่ชอบใช้แป้งทาตัวลูก เพราะอยากให้ลูกรู้สึกแห้งสบายตัว ลดการระคายเคืองจากเหงื่อและความเปียกชื้น แต่ก็ยังกังวลเรื่องแร่ทัลคัม ก็สามารถเลือกแป้งที่ผลิตจากพืชธรรมชาติที่ปราศจากทัลคัมเพื่อความอุ่นใจได้ เพราะมีแป้งบางยี่ห้อที่ไม่ได้มีส่วนผสมของทัลคัม แต่ใช้ส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้า ที่เป็นสารอินทรีย์ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ป้องกันความเปียกชื้นได้ดีกว่าและอ่อนโยนต่อผิวลูก

วิธีเลือกแป้งเด็กให้ปลอดภัย

  1. อ่านฉลากทุกครั้งก่อนซื้อ โดยเน้นที่ส่วนผสมต่าง ๆ ของแป้งเด็ก
  2. เลือกซื้อแป้งที่มีสัญลักษณ์ว่า 100% Talc Free แสดงว่าแป้งยี่ห้อนี้ไม่มีส่วนผสมของผงทัลคัม
  3. ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม ที่ก่อการระคายเคืองต่อผิวเด็ก
  4. ไม่มีส่วนผสมของพาราเบน (Paraben Free)
  5. ผ่านการทดสอบ Hypoallergenic Tested ไม่ก่อการระคายเคืองต่อผิวลูก
  6. ทำมาจากพืชธรรมชาติ เช่น แป้งข้าวโพด แป้งข้าวเจ้า เป็นต้น เพราะพืชเป็นสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้ด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ ไม่สะสมอยู่ในปอด หรือร่างกาย

แป้งเด็ก, แป้งเด็กทารก, แป้งเด็กไม่มีทัลคัม, แป้ง ปลอดภัย ไม่มีทัลคัม, วิธีเลือกแป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, วิธีใช้แป้งเด็ก ปลอดภัย, วิธีทาแป้งเด็กที่ถูกต้อง, เลือกแป้งเด็กยังไง ลูกไม่แพ้, แป้งไรซ์แคร์ ไม่มีทัลคัม, reiscare ไม่มีทัลคัม, แป้งธรรมชาติ ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ข้าวจ้าว ไม่มีทัลคัม, ทารก แป้งไม่มีทัลคัม, เด็กเล็ก แป้งไม่มีทัลคัม, แป้งป้องกันความชื้น, แป้งเด็ก สบายตัว

แป้งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกรู้สึกสบายตัว ผ่อนคลาย นอนหลับพักผ่อนอย่างยาวนาน ที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการและเสริมสร้าง EF ได้เป็นอย่างดี คุณพ่อคุณแม่จึงต้องใส่ใจและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ครับ

แป้งเด็กที่ดีมีประโยชน์อย่างไร

1. ไม่ระคายเคืองผิว ไม่เกิดการแพ้และผื่นคัน

แป้งเด็กที่ผลิตมาจากพืชธรรมชาติผ่านการทดสอบ Hypoallergenic Tested จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างแท้จริง ไม่มีส่วนผสมของทัลคัม น้ำหอม พาราเบน เพราะสารเหล่านี้เป็นตัวการทำให้ผิวลูกเกิดการแพ้ระคายเคืองและผื่นคัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน เน้นแป้งที่มีส่วนผสมจากพืชธรรมชาติเป็นหลักครับ จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัยกับลูกน้อย 100%

2. ตัวช่วยเรื่องการสร้างพัฒนาการ กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกาย

เมื่อลูกรู้สึกสบายตัวจากการทาแป้งดี ๆ เขาจะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสร้างฮอร์โมนของการเจริญเติบโตของร่างกาย Growth Hormone ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพลูกน้อย ทำให้ลูกตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ดี สดใส พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีและเสริมสร้างทักษะ EF ได้อีกด้วย

ทักษะ EF หรือ Executive functions คือกระบวนการทางความคิด ที่พัฒนาจากสมองส่วนหน้าในช่วงวัยเด็ก ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก และการวางแผนอย่างเป็นระบบ

3. ช่วยป้องกันความเปียกชื้นได้เป็นอย่างดี

เมื่ออาบน้ำให้ลูกเสร็จ หลังจากนั้นเลือกใช้แป้งเด็กจากพืชธรรมชาติที่มีคุณสมบัติ Water Repellent ในการป้องกันความเปียกชื้น ซึ่งจะเป็นเกราะช่วยปกป้องผิวของลูกน้อยจากความเปียกชื้นได้เป็นอย่างดี ช่วยให้แป้งไม่เกาะติดกันเป็นก้อนจนเกิดการหมักหมมของเชื้อโรค ทั้งยังลดการเสียดสีจากผ้าอ้อมที่เป็นสาเหตุของผดผื่น

 แป้งเด็ก, แป้งเด็กทารก, แป้งเด็กไม่มีทัลคัม, แป้ง ปลอดภัย ไม่มีทัลคัม, วิธีเลือกแป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, วิธีใช้แป้งเด็ก ปลอดภัย, วิธีทาแป้งเด็กที่ถูกต้อง, เลือกแป้งเด็กยังไง ลูกไม่แพ้, แป้งไรซ์แคร์ ไม่มีทัลคัม, reiscare ไม่มีทัลคัม, แป้งธรรมชาติ ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ข้าวจ้าว ไม่มีทัลคัม, ทารก แป้งไม่มีทัลคัม, เด็กเล็ก แป้งไม่มีทัลคัม, แป้งป้องกันความชื้น, แป้งเด็ก สบายตัว

วิธีใช้แป้งเด็กที่ถูกต้องและปลอดภัย

วิธีการใช้แป้งทาตัวอย่างถูกวิธี เพียงคุณแม่เทแป้งเด็กลงบนฝ่ามือเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ทาลงบนผิวลูก และไม่ควรใช้แป้งโรยสะดือเด็กแรกเกิด หรือบริเวณจุดซ่อนเร้น เช่น อวัยวะเพศโดยตรง ระมัดระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูกและปากของลูกครับ

เมื่อทราบเคล็ดลับการเลือกใช้แป้งเด็กให้ปลอดภัยกับลูกแล้ว ก็อย่าลืมนำไปใช้กันนะครับ จะเลือกแป้งให้ลูกทั้งทีต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เน้นแป้งที่มีส่วนผสมจากพืชธรรมชาติ 100% และต้องผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ผื่นคัน เพียงเท่านี้คุณพ่อคุณแม่ก็มั่นใจได้แล้วครับ ว่าปลอดภัยและดีกับสุขภาพของลูกแน่นอนครับ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.reiscare.com

แป้งเด็ก, แป้งเด็กทารก, แป้งเด็กไม่มีทัลคัม, แป้ง ปลอดภัย ไม่มีทัลคัม, วิธีเลือกแป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, วิธีใช้แป้งเด็ก ปลอดภัย, วิธีทาแป้งเด็กที่ถูกต้อง, เลือกแป้งเด็กยังไง ลูกไม่แพ้, แป้งไรซ์แคร์ ไม่มีทัลคัม, reiscare ไม่มีทัลคัม, แป้งธรรมชาติ ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ข้าวจ้าว ไม่มีทัลคัม, ทารก แป้งไม่มีทัลคัม, เด็กเล็ก แป้งไม่มีทัลคัม, แป้งป้องกันความชื้น, แป้งเด็ก สบายตัว

 ตรวจสอบข้อมูลโดย นพ.ชาญสิริ เสกสรรค์วิริยะ

โสต ศอ นาสิกแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี

(พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์)

เคล็ดลับเลือกแป้งเด็กอย่างไร ให้ลูกห่างไกลภูมิแพ้

วิธีเลือกแป้งเด็ก, แป้งเด็กเลือกยังไง, แป้งเด็ก ปลอดภัย เลือกยังไง, แป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ไม่มีแร่ใยหิน, แป้งเด็ก จากแป้งข้าวจ้าว, แป้งเด็ก ไม่เป็นภูมิแพ้, ลูกเป็นภูมิแพ้ ใช้แป้งได้ไหม, ลูกเป็น ภูมิแพ้ ใช้แป้งอะไรดี, แป้งฝุ่นสำหรับเด็ก, แป้งเด็ก ของใช้เด็กแรกเกิด, แป้งเด็ก ของใช้เด็กอ่อน, แป้งเด็ก ปกป้องความเปียกชื้น

การเลือกแป้งเด็กที่ทำจากพืชธรรมชาติและไม่มีทัลคัม เป็นอีกหนึ่งวิธีในการเลือกแป้งเด็กที่ปลอดภัยสำหรับลูก แป้งเด็กที่ปลอดภัยต้องมีคุณสมบัติอะไรอีก เราคำแนะนำค่ะ

เคล็ดลับเลือกแป้งเด็กอย่างไร ให้ลูกห่างไกลภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้ คือโรคที่ร่างกายมีความไวต่อสารกระตุ้น ที่เรียกว่า ‘สารก่อภูมิแพ้’ มากกว่าปกตินั่นเอง ซึ่งโรคภูมิแพ้ในเด็กที่พบบ่อยคือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ สาเหตุหนึ่งก็มาจาก ‘แป้ง’ ที่ใช้ทาผิวลูกที่มีส่วนผสมของทัลคัม หรือสารเคมีต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดการแพ้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่อย่างเราต้องเรียนรู้อันตรายจากแป้งฝุ่นผสมทัลคัม และวิธีการเลือกแป้งเด็กที่ถูกต้อง เพื่อปกป้องลูกจากโรคภูมิแพ้

อันตรายจากแป้งฝุ่นผสมทัลคัม

  1. ทัลคัมไม่สามารถย่อยสลายในธรรมชาติได้ อาจสะสมในร่างกาย

  2. ทัลคัมอาจทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ อาการภูมิแพ้

  3. ทัลคัมอาจสะสมในร่างกายจนมีความเสี่ยงก่อโรคมะเร็งในส่วนต่างๆ ของร่างกายเช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งปอด เป็นต้น

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นห่วงความปลอดภัยจากการใช้แป้งที่มีส่วนผสมของทัลคัม (Talcum) หรือการปนเปื้อนจากสารเคมี ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์แป้งเด็กที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น แป้งข้าวเจ้า ซึ่งเป็นสารอินทรีย์สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่เกิดการสะสมในปอด หรือ ในใต้ร่มผ้า คุณพ่อคุณแม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าปลอดภัยต่อลูกแน่นอน โดยปัจจุบันประเทศเรามีแป้งชนิดนี้ที่ผลิตเองในประเทศไทยอีกด้วย

เคล็ดลับเลือกแป้งเด็กอย่างไร ให้ลูกห่างไกลภูมิแพ้

ก่อนเลือกซื้อแป้งคุณพ่อคุณแม่ต้องอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อดูส่วนผสมต่าง ๆ และคุณสมบัติที่แป้งเด็กที่ดีต้องมี ดังนี้

  1. ผลิตจากธรรมชาติ เช่น แป้งข้าวเจ้า แทนส่วนผสมของทัลคัม เพื่อความปลอดภัยและสามารถย่อยสลายได้ด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกาย

  2. ไม่ควรมีส่วนผสมของน้ำหอม

  3. ป้องกันความเปียกชื้นได้ เพื่อความแห้งสบายตัวของลูก

  4. สะอาด ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

  5. ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ (Hypoallergenic)

วิธีเลือกแป้งเด็ก, แป้งเด็กเลือกยังไง, แป้งเด็ก ปลอดภัย เลือกยังไง, แป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ไม่มีแร่ใยหิน, แป้งเด็ก จากแป้งข้าวจ้าว, แป้งเด็ก ไม่เป็นภูมิแพ้, ลูกเป็นภูมิแพ้ ใช้แป้งได้ไหม, ลูกเป็น ภูมิแพ้ ใช้แป้งอะไรดี, แป้งฝุ่นสำหรับเด็ก, แป้งเด็ก ของใช้เด็กแรกเกิด, แป้งเด็ก ของใช้เด็กอ่อน, แป้งเด็ก ปกป้องความเปียกชื้น

ลูกห่างไกล ภูมิแพ้ และสบายตัวพร้อมเรียนรู้ สามารถเสริมสร้างทักษะ EF ในเด็กได้

ทักษะ EF หรือ Executive functions คือกระบวนการทางความคิด ที่พัฒนาจากสมองส่วนหน้าในช่วงวัยเด็ก ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก และการวางแผนอย่างเป็นระบบ

เพื่อพัฒนาการที่ดีของลูก การเลือกแป้งก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นช่วงกลางคืนที่ลูกใส่ผ้าอ้อมนอน การทาแป้งเด็กที่ป้องกันความเปียกชื้น ส่งผลให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว ทำให้ลูกหลับได้ยาวขึ้น เมื่อลูกได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสร้างฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย (Growth Hormone) ส่งผลดีต่อสุขภาพลูก ตอนเช้าตื่นมาอารมณ์ดี สดใส พร้อมเรียนรู้ และพร้อมเรียนรู้โลกกว้าง พัฒนาการดีและช่วงพัฒนาทักษะ EF ได้

อยากให้ลูกมีพัฒนาการดี ห่างไกลจากภูมิแพ้ แป้งเด็กที่ดีช่วยได้ โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย เรื่องส่วนผสมที่เน้นผลิตจากธรรมชาติเท่านั้น เช่น แป้งข้าวเจ้า ที่ปราศจากทัลคัม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เทแป้งบนฝ่ามือเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ ทาลงบนผิวของลูก ไม่ควรทาแป้งลงบนตัวลูกโดยตรง เพราะอาจทำให้แป้งฟุ้งกระจาย และระมัดระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูก และปากของลูก

เพียงเท่านี้คุณพ่อคุณแม่ก็มั่นใจได้แล้วว่า ลูกจะได้รับการดูแลและปกป้องจากโรคภูมิแพ้ ช่วยให้ผิวลูกแห้งสบาย ปราศจากความอับชื้น ทำให้นอนหลับยาวนานยิ่งขึ้น ยิ่งหลับสนิท ยิ่งกระตุ้น EF พร้อมเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกในทุก ๆ ด้าน

 วิธีเลือกแป้งเด็ก, แป้งเด็กเลือกยังไง, แป้งเด็ก ปลอดภัย เลือกยังไง, แป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ไม่มีแร่ใยหิน, แป้งเด็ก จากแป้งข้าวจ้าว, แป้งเด็ก ไม่เป็นภูมิแพ้, ลูกเป็นภูมิแพ้ ใช้แป้งได้ไหม, ลูกเป็น ภูมิแพ้ ใช้แป้งอะไรดี, แป้งฝุ่นสำหรับเด็ก, แป้งเด็ก ของใช้เด็กแรกเกิด, แป้งเด็ก ของใช้เด็กอ่อน, แป้งเด็ก ปกป้องความเปียกชื้น

 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.reiscare.com

วิธีเลือกแป้งเด็ก, แป้งเด็กเลือกยังไง, แป้งเด็ก ปลอดภัย เลือกยังไง, แป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, แป้งเด็ก ไม่มีแร่ใยหิน, แป้งเด็ก จากแป้งข้าวจ้าว, แป้งเด็ก ไม่เป็นภูมิแพ้, ลูกเป็นภูมิแพ้ ใช้แป้งได้ไหม, ลูกเป็น ภูมิแพ้ ใช้แป้งอะไรดี, แป้งฝุ่นสำหรับเด็ก, แป้งเด็ก ของใช้เด็กแรกเกิด, แป้งเด็ก ของใช้เด็กอ่อน, แป้งเด็ก ปกป้องความเปียกชื้น 

ตรวจสอบข้อมูลโดย นพ.ชาญสิริ เสกสรรค์วิริยะ โสต ศอ นาสิกแพทย์ โรงพยาบาลนครธน

(พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์)

เช็คลูกเสี่ยงแพ้อาหารหรือเปล่า

4902

ลูกเริ่มกินอาหารได้หลากหลาย อาจได้ลองอาหารใหม่ๆ ที่อาจเสี่ยงแพ้ได้ 

มีวิธีสังเกตอาการของลูกที่อาจเกิดจากการแพ้อาหาร และการตรวจหาว่าลูกแพ้อะไร

สังเกตอาการแพ้อาหารของลูก
  • ผิวหนัง เช่น มีผื่นคัน ผิวแห้ง สาก

     หากมีผื่นคัน ควรล้างและเช็ดให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ

  • ระบบทางเดินอาหาร ท้องอืด ท้องเสีย อาเจียน ถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย ถ่ายปนเลือด

     หากถ่ายบ่อย อาเจียนบ่อย ให้ดื่มน้ำหรือดื่มเกลือแร่สหรับเด็ก

  • ระบบทางเดินหายใจ มีเสียงครืดคราด หายใจไม่สะดวก อาการเรื้อรังไม่หาย หากรุนแรงอาจเป็นหอบหืด

     หากอาการเหมือนเป็นหวัด ควรดูดน้ำมูกออก หรือล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

 

ป้องกันลูกแพ้อาหาร
  • ให้ลูกเริ่มกินอาหารทีละน้อย ทีละอย่าง

  • หลีกเลี่ยงอาหารเสี่ยงแพ้ ได้แก่ อาหารทะเล ถั่วลิสง ของหมักดอง ไข่ขาว อาหารแปรรูปต่างๆ

 

อยากรู้ลูกแพ้อะไร...วิธีตรวจหาสารก่อภูมิแพ้

       วิธีที่ 1 การทดสอบทางผิวหนัง (skin test) 

  • ตรวจหาได้ตั้งแต่เด็กอายุ 3 เดือน (แต่เด็กต่ำกว่า 1 ปี การตอบสนองทางผิวหนังไม่ดีเท่าเด็กโต)

  • วิธีการทำที่บริเวณท้องแขนหรือแผ่นหลัง โดยหยดน้ำยาสารก่อภูมิแพ้ แล้วใช้ปลายเข็มสะกิดผิวหนัง

  • การตรวจหาทำได้ง่าย ใช้เวลารอผลตรวจเพียง 15 นาที

       วิธีที่ 2 การเจาะเลือด (specific IgE)

  • ใช้วิธีการเจาะเลือดเพื่อหา IgE (แอนติบอดีชนิด E) ของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้

  • รอผลประมาณ 1 สัปดาห์ มีค่าใช้จ่ายแพงกว่า แต่บอกรายละเอียดการแพ้อาหารได้ละเอียดกว่า


     * ทั้ง 2 วิธี สามารถตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ ได้ทั้งการแพ้อาหาร ผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ และภูมิแพ้จมูกอักเสบหรือหอบหืด

เด็กทารกกินยาแก้แพ้ทำให้พัฒนาการล่าช้า จริงหรือ?

ยาแก้แพ้-ยาแก้แพ้เด็ก-เด็กเป็นภูมิแพ้-เด็กมีอาการแพ้-เด็กทานยาแก้แพ้-ลูกป่วยภูมิแพ้

เมื่อลูกไม่สบายสามารถกินยาแก้แพ้ได้หรือไม่ ยาแก้แพ้เด็กส่งผลอะไรกับลูกไหม มาหาคำตอบกัน 

เด็กทารกกินยาแก้แพ้ทำให้พัฒนาการล่าช้า จริงหรือ?

 

ถึงเป็นเด็กทารกก็มีโอกาสแพ้ หากครอบครัวมีประวัติภูมิแพ้ แม่ผ่าคลอดและไม่สามารถให้ลูกกินนมแม่ได้ด้วยข้อจำกัดทางด้านสุขภาพ หรือสาเหตุอื่น ๆ ก็เพิ่มโอกาสให้ลูกป่วยภูมิแพ้ได้มากขึ้น และเมื่อเด็กมีอาการแพ้ สามารถกินยาแก้แพ้เด็กได้มั้ย กินแล้วจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ ล่าสุดมีการส่งต่อความเข้าใจผิดเกี่ยวกับยาแก้แพ้เด็ก ว่าหากให้เด็กทารกกินยาแก้แพ้ตลอดจะทำให้พัฒนาการช้า

 

สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า การให้เด็กทานยาแก้แพ้ตามขนาดและปริมาณที่เหมาะสมโดยแพทย์ไม่ได้ส่งผลต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็ก เนื่องจากการทานยาแก้แพ้กลุ่ม Antihistamine จะมีสองกลุ่มคือกลุ่มที่ทำให้ง่วง เช่น chlorpheniramine, hydroxyzine ในกลุ่มนี้จะแนะนำให้ทานเฉพาะช่วงที่มีอาการเพียงสั้น ๆ และกลุ่มที่สองคือกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วง เช่น cetirizine จะใช้ในกลุ่มเด็กโต

 

สรุปแล้วจากการศึกษาในปัจจุบันนี้การกินยาแก้แพ้ไม่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก อย่างไรก็ตามการกินยาแก้แพ้ในเด็กควรปรึกษาแพทย์ในการใช้ยา ไม่ควรซื้อยากินเอง

 

ที่มา : 

https://childrenhospitalfoundation.org/blogs/2023_03_22_09669/

ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่น่าทึ่ง มีการพัฒนาเทคโนโลยีและวิธีการรักษาที่ทันสมัย เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าในการวิจัยและพัฒนายา การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการวินิจฉัยและรักษาโรคและส่งเสริมสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งเสริมให้กลุ่มผู้ป่วยและประชาชนเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพและบริการด้านสุขภาพได้อย่างสะดวกรวดเร็ว นวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกและมีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก นวัตกรรมทางการแพทย์มักสนับสนุนคาสิโนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก: The Venetian Macao, B2YClub, MGM Grand Casino เป็นต้น

แม่ควรใส่ใจโรคภูมิแพ้ เพราะปัจจัยกระตุ้นภูมิแพ้มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน

4875 1

ภูมิแพ้เรื่องไม่เล็ก ยิ่งลูกเล็กคือเรื่องใหญ่ คุณแม่รู้ไหมคะ ปัจจุบันนี้มีเด็กไทยกว่า 1 ใน 3 คนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ (จากผลสำรวจในปี 2012) ยิ่งเป็นเด็กเล็กยิ่งบอบบางกว่า เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาต่อสิ่งรอบตัวและเกิดอาการแพ้ได้ง่าย แม้สาเหตุหลักๆ ของการเกิดภูมิแพ้มักมาจากพันธุกรรมที่ส่งต่อมาจากคุณพ่อคุณแม่ แต่สิ่งแวดล้อมที่ใหม่สำหรับลูกและอาหารที่กินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถกระตุ้นภูมิแพ้ได้เช่นกัน  

ยิ่งในปัจจุบัน ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการเกิดการแพ้ค่อนข้างมาก เพราะมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฝุ่นควันขนาดเล็กที่สร้างมลภาวะทางอากาศ หรือจากอาหารที่มีความหลากหลาย ซึ่งเมื่อร่างกายของเด็กได้รับสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เข้าไป จะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารนั้นๆ  ทำให้เกิดอาการและโรคต่างๆ ได้แก่ โรคแพ้อากาศ โรคหอบหืด ผื่นแพ้ผิวหนัง อาการแพ้อาหาร เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดท้อง ถ่ายเหลว อาเจียน  เป็นต้น ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคภูมิแพ้ จึงมีความสำคัญในการช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้เป็นอย่างยิ่ง

ปัจจัยกระตุ้นที่แม่ต้องระวัง

4875 2

ฝุ่นตัวการก่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะเด็กเล็กหากได้รับและสัมผัสฝุ่นบ่อย ๆ อาจจะทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้ค่ะ โดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อสัมผัสและสูดเอาฝุ่นเข้าไปจะเกิดอาการระคายเคืองตา จมูก คอ หลอดลม และผิวหนังมีผื่นคัน ทำให้มีน้ำมูกไหล จามติด ๆ กัน หากมีการแพ้รุนแรงอาจมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ไอ เหนื่อยง่าย

สัตว์เลี้ยง ภูมิแพ้ในบ้าน แม้ว่าน้องหมาน้องแมวน้องกระต่ายจะถูกเลี้ยงดูอย่างสะอาดสะอ้านแล้วก็ตาม แต่บริเวณขนสัตว์ ผิวหนัง และน้ำลาย ก็มีสารก่อภูมิแพ้อยู่ นอกจากนี้ยังมีฝุ่น และไรฝุ่นที่เรามองเห็นเกาะอยู่บนตัวสัตว์เลี้ยงด้วยค่ะ

ควันบุหรี่ นอกจากยืนหนึ่งเรื่องเป็นสารก่อภูมิแพ้อันดับต้นๆ แล้ว ยังเป็นสารระคายเคืองที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคจมูกอักเสบ ภูมิแพ้และโรคหืด มีการศึกษาวิจัยพบว่า แม่ที่สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์ จะมีผลให้ลูกที่เกิดมามีความเสี่ยงที่จะแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ และมีโอกาสเป็นโรคหืดได้ง่ายกว่าปกติ 

นมวัว โปรตีนในนมวัว มีโครงสร้างโปรตีนย่อยยากกว่านมแม่ เพราะมีโมเลกุลขนาดใหญ่ ไม่เหมือนนมแม่ที่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ก็ทำให้เด็กทารกหลายคนไม่สามารถย่อยโปรตีนในนมเหล่านี้ได้ก็มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน

ภูมิแพ้ส่งผลต่อพัฒนาการลูก

4875 3

เมื่อเด็กป่วยจากโรคภูมิแพ้ สิ่งที่ต้องเผชิญนอกจากความเจ็บป่วยแล้ว ลูกยังได้รับผลกระทบอื่นๆ ตามมาอีก ได้แก่

ความเครียด เมื่อร่างกายเจ็บป่วย จิตใจก็ย่อมป่วยตามไปด้วย รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับโรค ก็ทำให้เด็กประสบภาวะความเครียดได้เช่นกัน

กระทบพัฒนาการและการเรียนรู้ เมื่อเจ็บป่วยบ่อยหรือมีอาการแพ้รุนแรงจนต้องหยุดเรียน ไปหาหมอ หรือนอนพักรักษาตัว ทำให้เด็ก ๆ ต้องขาดเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน อาจส่งผลกระทบต่อการนอนหลับพักผ่อน ทำให้ลูกพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทางสมองได้เช่นกัน

กระทบการนอนหลับพักผ่อน บ่อยครั้งที่ผื่นแพ้ผิวหนังรบกวนการนอนหลับของลูก ทำให้เด็ก ๆ  ได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ

มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เสี่ยงติดเชื้อ ในกรณีที่ลูกมีผื่นแพ้ผิวหนังและผื่นแพ้สัมผัสที่ทำให้มีอาการคันมาก อาจทำให้ลูกเกาจนเกิดแผลถลอก ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

มีปัญหาเรื่องการกิน เด็กที่แพ้อาหารบางรายอาจมีการเบื่ออาหาร กินอาหารน้อยลง หรือปฏิเสธอาหาร

ป้องกันลูกห่างไกลจากภูมิแพ้

1. จัดการสิ่งแวดล้อม ลดตัวกระตุ้นภูมิแพ้

  • ใส่เสื้อผ้าเด็กด้วยผ้าคอดตอน ไม่ใช้เสื้อผ้าทีทำจากใยสังเคราะห์
  • ตัดเล็บเด็กให้สั้น เพื่อป้องกันการเกิดแผลจากการเกา ใส่ถุงมือตอนนอนเพื่อป้องกันไม่ให้เกาขณะหลับ
  • อุณหภูมิร้อนทำให้อาการแย่ลง พยายามให้เด็กอยู่ในที่เย็นและไม่อาบน้ำร้อน
  • ใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่อ่อนโยน ไม่แพ้ง่าย (hypoallergenic products) หลังอาบน้ำใช้ผ้าเช็ดตัวซับเบาๆ ไม่ถู แล้วใช้โลชั่นทาหลังอาบน้ำทันที
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำหอม
  • ใช้น้ำเกลือหรือความเย็นประคบบริเวณที่มีผื่นคัน
  • ผื่นแพ้ในทารกผิวหนังอาจเกิดจากได้รับการกระตุ้นจากอาหาร ความเครียด ดังนั้นควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นเหล่านี้ด้วย

4875 4

2. ให้ลูกกินนมแม่

  • ให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือน และควรกินต่อเนื่องไปจนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น ควบคู่กับอาหารตามวัยที่เหมาะสม เพราะนมแม่มีโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน ที่ย่อยง่าย ดูดซึมได้ง่าย จึงไม่จับตัวเป็นก้อนและไม่ตกค้างอยู่ในลำไส้นาน อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่ดี ที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อย
  • พบว่าสามารถป้องกันโรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้และการเกิดหลอดลมตีบ หายใจมีเสียงวี๊ดจนลูกอายุ 2 ปีได้

3. ดูแลเรื่องอาหารเสริม

  • ตามแนวทางปฏิบัติในการป้องกันภูมิแพ้ อาหารเสริมสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ 4-6 เดือน หรือเมื่อเด็กมีพัฒนาการที่พร้อมคือ นั่งโดยมีการพยุงและคอแข็ง โดยกุมารแพทย์มักแนะนำให้เริ่มทีละชนิด และสังเกตอาการอย่างน้อย 3-5 วัน ทั้งนี้ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ ก่อนเริ่มให้อาหารเสริมลูก
  • จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าการเริ่มอาหารเสริมในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การเริ่มควรคำนึงถึงลักษณะของอาหาร เช่น เมล็ดถั่วอาจติดคอทารกได้

4. นมผงสูตรโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน

  • หากมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว และมีความจำเป็นที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับคำแนะนำการใช้นมสูตรโปรตีนที่ผ่านการย่อยบางส่วน เพราะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภูมิแพ้และป้องกันการเกิดผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติในการป้องกันโรคภูมิแพ้ของประเทศไทย

สิ่งสำคัญที่สุด คือการป้องกันไว้ก่อนที่ลูกจะแพ้ เพราะลูกจะได้มีร่างกายที่แข็งแรง พร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาไปได้อย่างเต็มศักยภาพนั่นเองค่ะ คุณแม่สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเองได้เลยที่ https://www.nestlemomandme.in.th/sensitive-expert

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และโรคระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์