นอกจากประเด็นเรื่องความยากง่ายของการบ้าน มีสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ ระดับการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเด็ก หากเด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินไปส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรบ้าง รวมไปถึงหลากหลายประเด็นที่คาใจพ่อแม่ ทั้งการเรียนที่ยากและการบ้านที่ต้องทำ
ฟังมุมมองนักวิชาการด้านศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า อาจารย์สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB
Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube:https://bit.ly/3cxn31u
ความหวาดกลัวของผลกระทบของ Learning Loss ทำให้พ่อแม่ต้องการเสริม เติม เพิ่ม และอุดรอยโหว่ของพัฒนาการที่หายไป
ป้าปอยและแม่ดอยชวนคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกัน และการทำแบบนี้เป็นการแก้ปัญหาหรือเพิ่มปัญหากันแน่ ฟังแนวคิดจากนักวิชาการด้านการศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า รองคณบดี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB
Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube:https://bit.ly/3cxn31u
#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues
การท่องเที่ยวทางการแพทย์ในประเทศไทยกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการรับการรักษาทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในประเทศไทย โดยที่ไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากลว่าเป็นประเทศที่มีระบบการแพทย์ที่เชื่อถือได้และคุณภาพสูง นอกจากนี้ การท่องเที่ยวทางการแพทย์ในประเทศไทยยังมีความเป็นไปได้ที่จะรับบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลที่ทันสมัยและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย การผสมผสานระหว่างการรักษาทางการแพทย์และการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของประเทศไทย ทำให้มีความน่าสนใจและเป็นประสบการณ์ที่หลากหลายสำหรับผู้ที่เดินทางมาที่นี่ เจ้าของคาสิโนระดับโลก เช่น The Venetian Macao, Lockdown168, Cosmolot เป็นต้น ก็มีส่วนร่วมในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเช่นกัน เนื่องจากเป็นเรื่องปกติทั่วโลกและสำหรับประชากรทุกกลุ่ม
นอกจากประเด็นเรื่องความยากง่ายของการบ้านมีสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ ระดับการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเด็ก หากเด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินไปส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรบ้าง
รวมไปถึงหลากหลายประเด็นที่คาใจพ่อแม่ ทั้งการเรียนที่ยากและการบ้านที่ต้องทำ
ฟังมุมมองนักวิชาการด้านศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า
อาจารย์สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่
Apple podcast : Rakluke Podcast
Spotify : Rakluke Podcast
YouTube Channel : Rakluke Club
ลูกเรียนออนไลน์ไม่ได้เปิดแค่โปรแกรมเรียนเท่านั้น เพราะหลายครั้งจะต้องใช้เว็บไซต์ค้นหาความรู้ไปด้วย จะให้ลูกท่องเว็บยังไงให้ไกลจากบรรดาเว็บไม่เหมาะสม ทั้งเว็บโป๊ เว็บพนัน เว็บขายของหลอกลวง พร้อมการป้องกันที่ดีที่สุดคือการให้ลูกมี Digital Literacy จะสอนและทำได้อย่างไร แม่ดอยและป้าปอยมีวิธีการบอก
ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่
Apple podcast : Rakluke Podcast
Spotify : Rakluke Podcast
YouTube Channel : Rakluke Club
Nature of children วิธีการเลี้ยงลูกอย่างเข้าใจธรรมชาติของลูก ให้ถูกต้องเหมาะสมในช่วงปฐมวัย พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร มีคำแนะนำดีๆ มาฝากค่ะ
“เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว” วลีนี้อาจเป็นดาบสองคม เพราะพ่อแม่คงต้องเหนื่อยเกินไปถ้ามุ่งแต่คิดจะแต่งแต้มสีสันให้กับลูก มัวแต่คิดว่าจะใส่อะไรลงบนผ้าขาวผืนนี้เพื่อจะให้กลายเป็นผ้าสีที่สวยงาม หรือเป็นไปตามที่คิดให้มากที่สุด โดยไม่เข้าใจความต้องการจริงๆ ของลูก หรือการเอาบรรทัดฐานของสังคมเป็นที่ตั้ง ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ลูกมี กลายเป็นว่าผ้าผืนนี้ไม่ได้เป็นตัวตนของลูกอย่างแท้จริง
ดังนั้นการเข้าใจธรรมชาติของเด็กเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรจะมี แม้หลายครั้งที่พ่อแม่เข้าใจว่า เด็กเรียบร้อย มักเป็นเด็กที่น่ารัก ยิ้มแย้มแจ้มใส เด็กเรียนเก่ง เชื่อฟังพ่อแม่ ในขณะที่ เด็กไม่เรียบร้อย มักเป็นเด็กดื้อ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดของตัวพ่อแม่เองทั้งนั้น
ถ้าพ่อแม่มีความคิดชุดเดียวกันว่าเด็กทุกคนต้องเรียบร้อย น่ารัก เชื่อฟัง พอลูกดื้อก็จะโกรธ ลูกไม่เรียบร้อยก็หงุดหงิด ทำให้ตัวเด็กเองเกิดความกังวล ขี้อาย ไม่กล้ายิ้มแย้มแจ่มใส พ่อแม่ก็จะทำลายตัวตนของเด็กไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมรับและไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น
ในความจริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นมีความหมายบางอย่างในการเติบโตในแบบของเขาเอง พ่อแม่ควรทำความเข้าใจว่าลูกของตัวเองมีธรรมชาติแบบไหน เข้าใจให้ถึงแง่มุมข้อดี ข้อเสีย นิสัยต่างๆ เพราะเด็กแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ต้องเลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจลูกเป็นสำคัญ
พ่อแม่คอยช่วยเหลือและแนะนำสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ก็จะช่วยให้ลูกรับรู้ว่าตัวเองเป็นที่รัก เป็นที่ยอมรับ และมีค่า ได้รับรู้ว่ามีใครบางที่สามารถเชื่อใจและอยู่เคียงข้างเสมอเมื่อมีปัญหา เป็นพลังสนับสนุนให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไปในอนาคต
พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
การเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์ เป็นการเลี้ยงลูกแบบหนึ่ง ที่อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก
การเลี้ยงลูกแบบ 'พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์' บั่นทอนพัฒนาการของเด็ก
พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์หมายถึง ผู้ปกครองคอยวนเวียนดูแลบุตรหลานโดยไม่ยอมปล่อยมือ
พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ เริ่มใช้กันในสหรัฐฯ นานราว 40 ปีที่แล้ว ปัจจุบันในครอบครัวคนไทยเจอการเลี้ยงดูเด็กแบบนี้ค่อนข้างเยอะมาก เช่น เด็กล้มก็ตีพื้นตีโต๊ะให้ ยังป้อนข้าวเด็กจนโตเพราะกลัวเปื้อน ไม่ให้หยิบจับอะไรคอยทำให้ทุกอย่าง คิดแทนลูกเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพ่อกับแม่ จนเด็กกลายเป็นคนไม่รู้จักโตในที่สุด
5 ผลเสียในระยะยาว เลี้ยงลูกแบบพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์
1. ทำให้เด็กขาดทักษะการเรียนรู้ใหม่ ๆ เด็กจะเป็นคนไม่ค่อยรับสิ่งใหม่ ๆ หากพ่อกับแม่ไม่อนุญาต ดังนั้นเลยมีทักษะการช่วยเหลือตนเองในระดับต่ำ
2. ไม่สามารถดูแลตนเองได้ตามวัยที่ควรจะเป็น เด็กปรับตัวไม่ได้ เมื่อไปเจอสังคมใหม่ เริ่มมีเพื่อน เขาจะปรับตัวไม่ได้จนแสดงพฤติกรรมที่มีปัญหาออกมา เช่น อ่อนแอ ชอบพึ่งพาคนอื่น ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคิด ขาดการตัดสินใจด้วยตนเอง
3. เด็กไม่สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ และไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองรู้อะไร หรือต้องการรู้อะไร เพราะมีพ่อแม่คอยคิดให้เสมอ
4. แก้ไขปัญหาในชีวิตไม่ได้ สถานการณ์บางเรื่องเด็กมักจะตัดสินใจเองได้ แต่การเลี้ยงดูแบบพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ ทำให้เด็กเป็นคนขี้กลัวจนเกินไปต้องพึ่งพ่อกับแม่ให้คอยช่วยเหลือแม้เรื่องเล็กน้อย
5. ไม่มีอิสระในการคิด แม้บางครั้งเขาจะอยากทำอะไรด้วยตัวเอง แต่พ่อกับแม่หรือคนเลี้ยงดูไม่ให้ทำเอง เพราะทำช้าบ้าง กลัวทำไม่สะอาดบ้าง กลัวบาดเจ็บบ้าง จนเขาไม่มีอิสระในการคิด ต้องรับฟังและคอยทำตามอย่างเดียว
"ของเล่น" เป็นสื่อที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก ช่วยทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และช่วยเรื่งความสนุกสนานอีกด้วย แต่อย่าเพิ่งซื้อของเล่นเด็กให้ลูก
ของเล่นเด็ก 5 ประเภท เลือกของเล่นให้ลูก เลือกให้ถูก เล่นได้นาน
ถ้าพ่อแม่ยังไม่รู้ว่าของเล่นเด็กมีกี่แบบและแบบไหนเหมาะกับลูกเรา นี่คือ 5 ประเภทของเล่นเด็กเสริมพัฒนาการที่พ่อแม่ต้องรู้ เลือกได้ถูก เล่นได้นาน ไม่เปลืองเงินซื้อของเล่นบ่อยๆ
ประเภทของของเล่นเด็ก
1. ของเล่นที่ให้เด็กได้ออกแรง (Active play)
ประเภทกีฬา เช่น ลูกบอล จักรยานสามล้อ อุปกรณ์ยิมนาสติก ประโยชน์คือ เสริมสร้างร่างกายและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง อาจจะรวมถึงอุปกรณ์กีฬา เช่น ไม้แบตมินตันสำหรับเด็ก
2. ของเล่นที่เด็กต้องสร้างขึ้นและควบคุมการเล่นเอง (Manipulative play)
เด็ก ๆ สามารถต่อ หรือประกอบให้เป็นรูปร่างได้ เช่น เลโก้ ไม้บล็อก จิ๊กซอว์ หรือโมเดลชุดหุ่นยนต์ ประโยชน์คือ ฝึกกล้ามเนื้อมือ และช่วยฝึกทักษะทางด้านคณิตศาสตร์ อย่างการก่อทรายหรือการต่อไม้บล็อก เด็กจะต้องคำนวณให้ฐานใหญ่เพื่อที่ยอดด้านบนจะไม่ล้ม
3. ของเล่นที่เลียนแบบของจริง (Make-Belive play)
เช่น ชุดจำลองอุปกรณ์ทำครัว ชุดเครื่องมือหมอ และชุดแต่งตัวตุ๊กตาบาร์บี้ เป็นต้น ประโยชน์คือ ฝึกทักษะให้เด็กได้ใช้ของเหมือนจริงเพื่อเติมเต็มจินตนาการ เอื้อให้การเล่นบทบาทสมมติของเด็กสมบูรณ์แบบขึ้น
4. ของเล่นส่งเสริมจินตนาการ (Creative play)
คือของเล่นประเภท สีน้ำ สีไม้ แป้งโด ดินน้ำมัน หรือเครื่องดนตรี ประโยชน์คือ ส่งเสริมจินตนาการของเด็กให้บรรเจิด
5. ของเล่นเพื่อการเรียนรู้ (Learning play)
คือ ของเล่นเพื่อการพัฒนาทักษะ เช่น นิทาน หรือเกม ชุดทดลองวิทยาศาสตร์ ประโยชน์คือ ตอบสนองการเรียนรู้ที่ไม่หยุดยั้งของเด็กวัยคิดส์ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเล่นด้วยเพื่อให้ของเล่นนั้นสัมฤทธิ์ผลและไม่ควรเลือกของเล่นที่ยากเกินกว่าเขาจะเข้าใจนะคะ อาจจะเริ่มต้นด้วยเกมเศรษฐี หรือเกมบันไดงู
วิธีซื้อของเล่นเด็กให้คุ้มทั้งเงินและประโยชน์กับลูก
- เหมาะกับวัยของลูก โดยดูจากสัญลักษณ์ที่ระบุไว้ข้างกล่อง
- มาตรฐานการันตี สังเกตเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม) เป็นเครื่องหมายที่ใช้ในประเทศไทย
- แข็งแรงทนทาน ไม่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนหรือวัสดุที่แตกง่าย ตัวกล่องบรรจุของเล่นต้องแข็งแรงและทนทาน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับของเล่น
- วัสดุที่นำมาประกอบต้องไม่เป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่หลุดออกง่าย
- ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์ ต้องไม่เกิดความร้อนมากเกินไป ไม่เสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าดูด ไม่ใช้ไฟเกินกว่า 24 โวลต์
- หลีกเลี่ยงของเล่นที่ต้องใช้ความรุนแรงหรือมีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลในการเล่น เช่น ปืน ลูกดอก หรือประทัดที่อันตรายและก่อเสียงดังทำลายหู
- สีและพลาสติกที่ใช้ต้องไม่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว ปรอท โครเมียม สารหนู พลวง แบเรียม แคดเมียม หรือมีในปริมาณที่มอก.วางมาตรฐานไว้
- คำอธิบายชัดเจนบนกล่องของเล่น ระบุถึงส่วนประกอบและวัสดุที่ใช้ทำของเล่น รวมไปถึงโรงงานที่ผลิต ถ้าเป็นของเล่นนำเข้า ต้องมีบริษัทหรือโรงงานที่นำเข้าของเล่น และมีคำอธิบายการเล่นอย่างละเอียดด้วย เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดและใช้งานผิดวัตถุประสงค์นั่นเอง
- ถ้าเป็นของเล่นที่เลียนแบบเครื่องป้องกันตัว เช่น หมวกกันน็อก หรือแว่นตาที่เลียนแบบนักวิทยาศาสตร์ จะต้องมีข้อความเตือนเหล่านี้ "ไม่สามารถใช้ป้องกันอันตรายได้เหมือนของจริง" "ไม่สามารถใช้ป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลตได้" "อย่าวางใกล้วัตถุไวไฟหรือใกล้ความร้อน" "อย่ายิงใกล้ตาหรือหู"
ของเล่นที่ไม่ควรให้ลูกเล่น
ลูกปัด ลูกแก้ว เมล็ดพืช และของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ด้วยสีสันและขนาด เด็กเล็กอาจจะเผลอไผลนำเข้าปากได้ง่าย
ลูกโป่ง เด็กเล็กอาจเจ็บตัวจากแรงแตกของลูกโป่ง
ของเล่นที่มีสายยาว เพราะถึงแม้กล้ามเนื้อมือกล้ามเนื้อแขนจะพัฒนาไปมากแล้ว แต่ถ้าเชือกพันคอหรือแขนเด็กไม่สามารถคลายปมเชือกได้เอง
ปืนอัดลม ปืนลูกดอก ธนู มีดปลอม ของเล่นที่ทำคล้ายอาวุธ ด้วยแรงอัดเมื่อโดนตาจะทำให้เลือดออกในช่องลูกตา ทำให้ตาบอดได้และอาจส่งผลถึงพฤติกรรมคือทำให้เขาซึมซับพฤติกรรมก้าวร้าวจากของเล่นที่ใช้ความรุนแรงด้วย
ลูกโป่งวิทยาศาสตร์ เพราะมีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสมองเด็ก
เบบี้คริสตัล เมื่อโดนน้ำจะพองตัวได้ถึง 400 เท่า ถ้าเด็กเผลิเอาเข้าปาก อาจทำให้ลำไส้อุดตัน และเสียชีวิตได้
นกหวีดเป่าลม มีโอกาสที่ไส้นกหวีดจะหลุดเข้าหลอดลมได้
ของเล่นสไลม์ อาจมีเชื้อโรคและสารตกค้าง
ของเล่นที่มีแบตก้อนกลม ที่ไม่มีฝาปิดแน่นสนิท เพราะเด็กอาจแกะแบตเตอรี่เอามาเล่น เอาเข้าปาก หรือยัดจมูก

คุณหมอแนะนำ 6 วิธีทำให้ลูกอยากเรียนหนังสือ
ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ แนะ 6 วิธีทำให้ลูกอยากเรียนหนังสือ สำหรับพ่อแม่ที่มีลูกไม่ค่อยตั้งใจเรียนหรือไม่อยากเรียนมาบอก
สิ่งแรกที่พ่อแม่จะต้องปลูกสร้างในตัวลูก คือ ทำอย่างไรให้ลูกอยากเรียนหนังสือ เพราะถ้าลูกไม่อยากเรียนซะอย่าง เรื่องที่จะให้เรียนเก่ง เรียนดี คงหวังยาก ยกเว้นก็เฉพาะพวกยอดมนุษย์ที่ให้ทำอะไรก็ทำได้และทำได้ดีเสียด้วย
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมจากการเลี้ยงลูก รวมทั้งมีโอกาสสอนหนังสือโดยเฉพาะสอนนักศึกษาแพทย์ซึ่งส่วนมากเป็นพวกค่อน ข้างอยากเรียน ผมได้ข้อคิดบางอย่างที่จะทำให้ลูกอยากเรียนหนังสือมาฝากกันครับ
6 วิธีทำให้ลูกอยากเรียนหนังสือ
1. สร้างแรงบันดาลใจ
ถ้าเราอธิบายให้ลูกมองเห็นอนาคตข้างหน้า (แม้ว่าจะไกลไปบ้าง) ว่า ถ้าตั้งใจเรียนหนังสือแล้วจะได้อะไร จะเป็นอะไร เชื่อว่าอย่างน้อยลูกก็จะเห็นหนทางข้างหน้า การเฝ้าแต่พูดเพ้อเจ้อให้ "ขยันเรียนนะลูก ๆ" ไม่น่าจะช่วยอะไร และยังน่าเบื่ออีกต่างหาก การยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจากการศึกษาเล่าเรียนน่าจะมี ประโยชน์กว่า เพราะลูกจะเห็นภาพได้ดีกว่ากันเยอะเลย
การหาหนังสือประวัติบุคคลสำคัญ หรือเล่าประวัติบุคคลสำคัญที่ประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียนให้ลูกอ่าน หรือฟังก็เป็นหนทางที่ดีอย่างหนึ่ง และที่ดีที่สุดก็คือ ถ้าพ่อแม่เองก็เป็นคนที่รักการเรียนจนประสบความสำเร็จในชีวิต ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของลูกโดยไม่ต้องพูดหรือเคี่ยวเข็ญ
2. ให้คำชมและรางวัล
เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ คนเราเกิดมาต้องการคนชม ต่อให้แก่แล้วก็ต้องการคนชม แต่ว่าบางทีถ้าชมไม่ดีก็เป็นการเสแสร้ง หรือพร่ำเพรื่อก็ไม่มีประโยชน์ เช่นเดียวกับรางวัลที่ให้ เด็กที่เราชมว่าเรียนดีทุกคนก็จะมีความสุข ลูกผมตอนเล็ก ๆ ถ้าเขาทำอะไรดี ๆ แล้วเราชม เขาจะมีความสุขแล้วก็อยากจะทำอีก มันเป็นแรงกระตุ้นที่ค่อนข้างดีและแรง ส่วนการตำหนิ การว่ากล่าวควรจะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
การชมอย่างเดียวบางทีมันจับต้องไม่ได้ ชมมาก ๆ ก็เบื่อไม่เห็นได้อะไร อาจมีการให้รางวัลบ้าง แต่ก็ต้องระวังการสร้างเงื่อนไขหรือตั้งรางวัล เช่น ให้ของเล่นราคาแพง หรือพาไปต่างประเทศ วิธีการนี้เขาเรียกว่าติดสินบนนะครับ ลูกคุณจะตั้งใจเรียนเหมือนกัน แต่เรียนเพราะอยากได้สินบนไม่ได้เรียนเพราะอยากมีความรู้ ถ้ารางวัลหมดก็ไม่เรียน วิธีนี้ยังอาจจะเพาะนิสัยต่อรองและละโมบอีกด้วย
3. สร้างบรรยากาศของการเรียนรู้
ใช้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์พาลูกไปร้านหนังสือดี ๆ ที่มีหนังสือวิชาการ หนังสือสำหรับเด็ก ชวนกันเลือกหนังสือประเภทที่เขาอยากดู อยากรู้ อยากเห็น หรือหาเวลาพาลูกไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ เช่น สถานที่ทางประวัติศาสตร์ วัดวาอารามที่เกี่ยวกับเรื่องที่ลูกเรียนอยู่ เด็กจะได้เห็นของจริง เวลาเรียนก็จะได้ไม่เบื่อ
การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อแม่บางคนความอดทนต่ำที่จะพาลูกไปในที่ที่ควรไป กลับพาลูกไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ซื้อของฟุ่มเฟือย รับประทานอาหารจังค์ฟูด จนลูกอ้วนเป็นหมู เพราะมันง่ายกว่ากันเยอะ
4. รีบขจัดความไม่เข้าใจในเรื่องที่เรียน
ผมอยากให้พ่อแม่ลองนึกย้อนกลับไปสมัยที่ตัวเองยังเป็นเด็ก วิชาไหนเราเรียนแล้วรู้เรื่อง เข้าใจดี ทำให้สอบได้คะแนนดี ทำให้อยากเรียนวิชานั้นมากขึ้น วนเวียนอยู่อย่างนี้ ซึ่งผมอยากจะเรียกว่าเป็นวัฏจักรของความสำเร็จในการเรียน ในทางตรงกันข้ามถ้าวิชาไหนเรียนแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ สอบได้คะแนนไม่ดี ก็ไม่อยากเรียน ซึ่งจะทำให้ไม่รู้เรื่องมากขึ้น เป็นวัฏจักรความเลวร้ายของการเรียน
วิธีแก้ไขที่ผมลองใช้มี 2 วิธี
วิธีแรก คือพยายามติดตามการเรียนของลูกอย่างสม่ำเสมอ ถ้ามีเวลาจะเรียนไปกับลูกด้วยเลย ทำให้เรารู้ว่าลูกเรียนไม่เข้าใจตรงไหน บ่อยครั้งที่ผมพบว่าเรื่องที่ลูกไม่เข้าใจเป็นเพียงปัญหาและประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พออธิบายให้เขาเข้าใจ เขาก็จะเรียนเนื้อหาต่อไปได้อย่างสนุก และอยากเรียนต่อ แต่ถ้าปล่อยให้มีความไม่เข้าใจสะสมไปเรื่อยๆ ในที่สุดจะไม่เข้าใจมากขึ้นๆ จนเกินกว่าจะแก้ไขได้ แม้ว่าเด็กบางคนอาจจะเรียนผ่านและขึ้นชั้นที่สูงขึ้นได้ แต่ก็จะไม่มีพื้นฐานเพียงพอ ยิ่งเรียนก็จะยิ่งมึน ตามมาด้วยความเครียดและเบื่อหน่ายในที่สุด
วิธีที่ 2คือ กวดวิชา หรือหาคนมาสอนแทน จากประสบการณ์ทั้งที่เคยเป็นผู้เรียนและผู้สอน ผมยังค่อนข้างเชื่อว่าครูผู้สอนมีบทบาทและอิทธิพลต่อการอยากเรียนรู้ของเด็กค่อนข้างมาก
ผมเชื่อมานาน เดี๋ยวนี้ก็เชื่อ และจะเชื่อต่อไปว่า ครูไม่ได้สอนดีหรือสอนรู้เรื่องกันทุกคน ผมว่าถ้าระบบการศึกษาในโรงเรียนให้เด็กเลือกครูผู้สอนได้ ครูบางคนอาจมีเด็กแย่งกันเรียนด้วยจนห้องแตก ในขณะที่บางคนอาจต้องสอนจิ้งจกตุ๊กแกแทนก็ได้ การเรียนกับครูที่สอนลูกรู้เรื่องเป็นทั้งความสุขและสนุกครับ
5. เพื่อนที่ดี
เด็กวัยรุ่นวัยเรียนมักจะเชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ พ่อแม่ต้องเข้าใจและทำใจว่าชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละ เราเองก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ ยอมรับซะว่าเป็นเรื่องธรรมชาติและการแผลงฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศครับ เพราะฉะนั้นถ้าเพื่อนเป็นพวกชอบเรียน ก็จะพากันเรียน มีอะไรข้องใจก็จะปรึกษากันได้ ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามส่งเสริมให้คบเพื่อนที่ชอบเรียนก็จะดีครับ
6. ให้ลูกเรียนในสิ่งที่ลูกอยากเรียน
ย้ำนะครับว่าลูกอยากเรียน ไม่ใช่พ่อแม่อยากให้เรียน เราต้องสังเกตว่าลูกชอบอะไรแล้วส่งเสริมเขาให้ได้เรียน พ่อแม่บางคนโปรแกรมไว้หมดแล้วว่าอยากให้ลูกเป็นอะไร บางคนเคยอยากเรียนบางอย่างแต่เรียนไม่ได้ ก็มาเคี่ยวเข็ญให้ลูกเรียนแทนโดยไม่ถามความสนใจของลูกเลย อย่างนี้เข้าข่ายทรมานลูกครับ
เพราะฉะนั้นถามลูกก่อนนะครับว่าเขาอยากเรียนอะไร ฝันอยากเป็นอะไร ถ้าไม่เหลือทนหรือเพ้อเจ้อเกินไปก็ยอมๆ ลูกบ้างเถอะครับ จะได้ไม่มีใครมีความทุกข์ ชีวิตลูกต้องให้ลูกกำหนด เราช่วยกำกับพอแล้ว ถ้าอยากยิงธนูให้ไปไกล ๆ และถูกเป้า คันธนูต้องอยู่กับที่ พ่อแม่ก็เช่นเดียวกันต้องทำตัวเป็นคันธนูที่ดีอย่าพุ่งไปกับลูก คือจัดการเรื่องเรียนของลูกทุกอย่าง ถ้าเป็นอย่างนี้ลูกรุ่งยากครับ เพราะแรงส่งธนูจะต่ำครับเพราะไม่วิ่งด้วยตัวเองเลย ภายภาคหน้าเวลามีปัญหาแต่พ่อแม่แก่ตายแล้วจะแก้ปัญหาเองไม่ได้
ผมมีประสบการณ์ในการสอนนักศึกษาแพทย์ประมาณ 10 ปีแล้วครับ พบว่านักศึกษาแพทย์ไม่น้อยเลยที่เรียนด้วยความขมขื่นและทุกข์ทรมาณ เนื่องจากพ่อแม่อยากให้เป็นหมอ แต่ตัวเองชอบวาดรูป อยากเป็นศิลปิน อยากเป็นวิศวกร แต่ว่าคนเก่งเรียนอะไรก็เรียนได้ แต่เรียนแล้วมีความสุขหรือเปล่านั่นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกอยากเรียน ก็ต้องให้เขาเรียนในสิ่งที่เขาอยากเรียนนะครับ ถึงตรงนี้บางคนอาจถามว่าแล้วจะรู้อย่างไรว่าลูกอยากเรียนอะไร คำตอบคือให้เวลากับลูกเยอะๆ สิครับ ถ้าเราให้เวลากับเขามากๆ ลูกก็จะสนิทกับเรา มีเรื่องอะไรก็จะเล่าให้เราฟัง คิดอะไรชอบอะไรก็จะบอกเรา ความเข้าอกเข้าใจระหว่างพ่อแม่กับลูกก็จะมากขึ้นครับ
หวังว่าข้อคิดเห็นทั้งหมดนี้อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่บ้างนะครับ ผมลองใช้มาแล้วรู้สึกว่าได้ผลดีพอสมควร.. ไม่ใช่อุปทานครับ
รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์

ท็อปส์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จับมือยูนิเซฟ ประเทศไทย ลงนามความร่วมมือ โครงการเด็กทุกคนอ่านได้ ‘Every Child Can Read’ ยกระดับทักษะการอ่านเด็กไทย
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ท็อปส์ ธุรกิจกลุ่มฟู้ด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล และ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย โดย คุณสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฟู้ด เซ็นทรัล รีเทล และ คุณคยองซอน คิม ผู้อำนวยการ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) สนับสนุนโครงการเด็กทุกคนอ่านได้ ‘Every Child Can Read’ เพื่อสานต่อความร่วมมือกับองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง เข้าสู่ปีที่ 5
เดินหน้ายกระดับทักษะการอ่านและเขียนของเด็กนักเรียนในประเทศไทยให้ครอบคลุมมากที่สุด พร้อมตั้งเป้าหมายในการเข้าถึงเด็ก ๆ มากกว่า 100,000 คน ผ่านโรงเรียนเครือข่าย 203 แห่งใน 19 จังหวัดทั่วประเทศไทย
พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ลูกค้าคนสำคัญได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็ก ๆ ผ่านการร่วมสมทบทุนบริจาค โดยมี ดร.รังสรรค์ วิบูลย์อุปถัมภ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา องค์การยูนิเซฟแห่งประเทศไทย คุณนีล เคนนาร์ด ผู้บริหารฝ่ายระดมทุนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย คุณจักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล คุณรุ่งนภา ไตรวิทยานุรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมการตลาดและกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ร่วมงาน ณ โรงเรียนวัดโตนดเตี้ย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา