
10 วิธีเลือกโรงเรียนอย่างไร ให้ปลอดภัยต่อลูก
โรงเรียนเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรมีความปลอดภัยสำหรับลูกรองจากบ้าน ดังนั้นการเลือกโรงเรียนที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงมีคำแนะนำให้พ่อแม่ทุกท่าน ก่อนตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกค่ะ
10 วิธีเลือกโรงเรียนให้ปลอดภัยต่อลูก
-
รถโรงเรียนมีมาตรการดูแลที่ดี คุณผู้ปกครองควรซักถามเกี่ยวกับนโยบายของทางโรงเรียน ว่ามีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ เกี่ยวกับการจ้างบุคคลหรือบริษัทที่เข้ามาให้บริการรับส่งนักเรียน ครูผู้ดูแล ประกันชีวิต สภาพรถ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
-
ไม่มีแหล่งน้ำที่หนู ๆ จะจมน้ำได้ ระดับน้ำที่สูงท่วมหัวอาจทำให้หนูจมน้ำได้ ควรมีรั้วกั้นรอบแหล่งน้ำทุกด้าน ที่มีความสูงเพียงพอ ป้องกันเหล่าจอมซนปีนเข้าไปได้
-
สนามกีฬาหรือพื้นที่วิ่งเล่นไม่ใช่ที่จอดรถหรือรถวิ่งผ่าน กรณีเจ้าตัวเล็กถูกรถชนหรือทับในบริเวณโรงเรียนนั้นพบเห็นได้ไม่ยาก เพราะหนูๆมีความสูงน้อยกว่ากระจกมองหลัง โรงเรียนที่ปลอดภัยจะจัดพื้นที่เล่นของเด็กแยกขาดจากทางเดินหรือพื้นที่จอดรถ
-
ห้องครัว ห้ามเข้า ป้องกันเจ้าตัวร้ายเล่นมีดหรือวิ่งชนหม้อน้ำเดือด
-
สำรวจอาคารเรียน เช่นระเบียงมีที่กั้นป้องกันจอมซนตกลงมา พื้นอาคารมีความต่างระดับให้สะดุดง่ายหรือเป็นวัสดุลื่นทำให้หนู ๆ หกล้มได้ง่าย ๆ บันไดชันทำให้ตกลงมาได้หรือเปล่า
-
เฟอร์นิเจอร์หรือส่วนประกอบของอาคาร เช่น ตู้หนังสือขนาดใหญ่ ประตู หน้าต่างควรอยู่ในสภาพดีไม่ชำรุดและมีที่ยึดพอที่จะไม่ล้มลงมาทับเจ้าหนูวัยซนทั้งหลายได้
-
ของเล่นต้องเหมาะสมกับอายุ ในโรงเรียนเด็กเล็ก ของเล่นต้องสร้างด้วยวัสดุและสีที่ไม่มีพิษภัย ไม่มีของเล่นชิ้นเล็กที่จะอุดตันทางเดินหายใจ ของเล่นที่มีคมหรือความแรง เช่น ปาลูกดอก ปืนมีกระสุน
-
มีสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัย เพราะเป็นจุดที่หนูๆเล่นซนกันมากที่สุด เครื่องเล่นที่ปลอดภัยจึงควรมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่สึกกร่อนหรือมีความสูงไม่มากเกินไปนัก ไม่วางชิดกันกับขอบรั้ว วัสดุแข็ง ๆ หรือเครื่องเล่นอื่น ที่สำคัญควรมีพื้นผิวรองรับที่มั่นคง เครื่องเล่นปีนป่าย และชิงช้าที่วางบนพื้นแข็ง อย่างพื้นปูน
- ห้องน้ำสะอาดปลอดภัย มีที่จับ มีกันลื่น ไม่อยู่ในมุมอับ สามารถมองเห็นได้
-
เช็กประวัติโรงเรียนย้อนหลัง จากกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่เคยส่งลูกเรียนโรงเรียนต่าง ๆ เช็กจากโซเชียลมีเดีย และข่าวทางสื่อออนไลน์ย้อนหลัง
นอกจากการเลือกโรงเรียนที่ดีให้ลูกแล้ว ในบางครั้งพ่อแม่รู้สึกว่าโรงเรียนที่เราเลือกให้ลูกคือโรงเรียนที่ดีที่สุด แต่อาจไม่ใช่แบบนั้นค่ะ รักลูกมีสัญญาณเตือนเมื่อลูกถูกทำร้ายที่โรงเรียนมาฝากค่ะ
สัญญาณเตือนลูกถูกทำร้าย
-
โหยหาพ่อแม่ ถ้าปกติลูกไม่เคยโผเข้ากอดพ่อแม่หลังไปรับ แต่จู่ ๆ ลูกวิ่งเข้าหาพ่อแม่แบบโหยหา หรือร้องไห้เข้าใส่ ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าอาจมีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้นกับลูก (บางครั้งลูกอาจแสดงอาการงอแงทันทีที่ถึงบ้านเพราะอยู่ต่อหน้าครูที่โรงเรียนแล้วไม่กล้า)
-
หวาดกลัว ไม่อยากไปโรงเรียน ยิ่งถ้าปกติลูกเป็นเด็กร่าเริงแล้วอยู่ ๆ ไม่พูด เงียบ ไม่ร่าเริง งอแง และร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน คราวนี้ให้ถามลูกได้เลยค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น
-
พัฒนาการช้า ถดถอย ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยกว่าที่ควรเป็นตามวัย งอแง ขี้ตกใจ
-
ผวา ละเมอ ให้สังเกตตอนที่ลูกนอนว่ามีอาการผวา หรือละเมอร้องไห้หรือไม่
-
มีรอยเขียวช้ำตามตัว คุณแม่ควรสังเกตตามตัวลูกว่ามีรอยแผลเขียวช้ำหรือเปล่า โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นเป็นประจำ และคุณแม่ควรเช็กในบริเวณร่มผ้าด้วยเพราะส่วนใหญ่พี่เลี้ยงมักทำร้ายในที่ที่คุณแม่มองเผิน ๆ ไม่เห็น
ทำอย่างไร..ถ้าลูกถูกทำร้ายที่โรงเรียน
-เมื่อสอบถามลูกแล้วพบว่าถูกทำร้ายให้รีบพาลูกไปตรวจร่างกาย เพื่อให้คุณหมอเช็กความผิดปกติ ถ่ายรูปร่องรอยที่ถูกทำร้ายและเก็บหลักฐานทางการแพทย์ไว้
-ปรึกษาพ่อแม่ของเด็กนักเรียนคนอื่นในห้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน
-แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและศูนย์ดำรงธรรมหรือมูลนิธิคุ้มครองเด็กให้เข้ามาดูแล
-แจ้งครูใหญ่หรือผู้อำนวยการรับทราบ
-หากไม่มีความคืบหน้าควรย้ายโรงเรียน เพื่อป้องกันเหตุลูกถูกทำร้ายอีก
ถึงอยู่ห่างกัน พ่อแม่ก็ปกป้องหนูได้ นโยบายสร้างความปลอดภัยในโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรมีส่วนร่วมโดยการช่วยเป็นหูเป็นตา แนะนำและร่วมกันหาหนทางแก้ไข ให้โรงเรียนจัดโครงสร้างที่มีความปลอดภัยครับ ยามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องไกล การปลูกฝังนิสัยไม่ประมาท ระมัดระวังอันตราย ให้เจ้าตัวน้อยดูแลตัวเองก็เป็นอีกวิธีที่ดีเช่นเดียวกัน
3 วิธีฝึกลูกอ่านเขียน ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD)
โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) คืออะไร ?
LD ย่อมาจากคำว่า learning disorder หรือในภาษาไทยใช้ชื่อว่า โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ เป็นความผิดปกติของกระบวนการเรียนรู้ที่แสดงออกทางด้านการอ่าน การเขียนสะกดคำ การคำนวณและเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ทำให้ผลการเรียนของเด็กต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง โดยที่เด็กมีสติปัญญาอยู่ในระดับปกติและมีความสามารถด้านอื่นๆปกติดี
โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) มีกี่ชนิด ?
โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่
1.ความบกพร่องด้านการอ่าน
ความบกพร่องด้านการอ่านเป็นปัญหาที่พบได้มากที่สุดของเด็ก โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ทั้งหมด เด็กมีความบกพร่องในการจดจำ พยัญชนะ สระ และขาดทักษะในการสะกดคำ จึงอ่านหนังสือไม่ออกหรืออ่านช้า อ่านออกเสียงไม่ชัด ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความสามารถในการอ่านหนังสือต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี
2. ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ
ความบกพร่องด้านนี้ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับความบกพร่องด้านการอ่าน เด็กมีความบกพร่องในการเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง บางครั้งเรียงลำดับอักษรผิด จึงเขียนหนังสือและสะกดคำผิด ทำให้ไม่สามารถแสดงออก ผ่านการเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการเขียนสะกดคำต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี
3. ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์
เด็กขาดทักษะและความเข้าใจค่าของตัวเลข การนับจำนวน การจำสูตรคูณ การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถคำนวณคำตอบจากการบวก ลบ คูณ หาร ตามกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ได้ เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการคิดคำนวณ ต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี
การที่เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนที่ช้ากว่าปกติอาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- การทำงานของสมองบางตำแหน่งบกพร่อง โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการใช้ภาษา
- กรรมพันธุ์ มีพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องมีปัญหาเดียวกัน
- ความผิดปกติของโครโมโซม
ซึ่งการแก้ไข ไม่ว่าลูกจะเป็น โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) หรือไม่ พ่อแม่สามารถทำได้ดังนี้
1.ฝึกอ่านเขียนจะทำให้อาการดีขึ้น โดยให้ลูกอ่านเขียนภาษาไทยอย่างสม่ำเสมอ เริ่มจากหัดเขียนตัวอักษรที่ลูกสับสน อย่างน้อยประมาณ 3-5 ตัวต่อวัน และควรฝึกเขียนกันทุกวัน เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเขียนของลูกค่ะ
2.ปรับการอ่านเขียนเป็นเกมจะยิ่งสนุก เพราะบางครั้งเด็กก็ไม่อยากนั่งคัดตัวหนังสือไปเรื่อยๆ เพียงอยางเดียว ดังนั้น หากเราปรับการเรียนรู้ให้เป็นเกม เช่น การเขียนตัวอักษรให้ตรงกับรูป หรือ จับคู่ภาพกับตัวอักษร ก็จะช่วยให้ลูกรู้สึกสนุกกับการเรียนได้ แต่ขอย้ำว่าให้ทำทีละน้อยแต่บ่อยๆ นะคะ
3.อย่าลืมส่งเสริมศักยภาพด้านที่เด็กทำได้ดี เพราะบางครอบครัวจับเด็กอ่านเขียนจนความสามารถด้านอื่นๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ หรือการคำนวณนั้นถดถอย ดังนั้นพ่อแม่ควรส่งเสริมความสามารถด้านอื่นๆ ที่ลูกถนัดด้วยเพื่อให้เป็นความสามารถพิเศษติดตัวเขาไปในอนาคต หรืออาจต่อยอดเป็นอาชีพได้
อันที่จริงแล้วเด็กในวัยชั้นอนุบาล 2 หรือ 3 ยังเป็นวัยที่กำลังเตรียมพร้อมสู่การเรียนรู้ การเล่นและการทำกิจกรรมต่างมักจะเป็นหลักมากกว่าการอ่านเขียน จึงไม่แปลกหากลูกจะยังอ่านหนังสือไม่ได้
แต่สำหรับเด็กโตที่อยู่ชั้นประถม 1-2 ขึ้นไป หากยังมีความบกพร่องด้านการอ่านเขียน หรือฝึกแล้วไม่ก้าวหน้าก็อาจพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้ละเอียดและรักษาให้ตรงจุดได้
ข้อมูลโดย : ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

การให้ลูกได้เล่นกับธรรมชาติและมีอิสระเป็นสิ่งที่พ่อแม่อย่างเราต้องให้ความสำคัญค่ะ การให้ลูกได้มีสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสุนัขก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พ่อแม่เลือก เพราะนอกจากลูกจะได้เล่นกับสัตว์เลี้ยงแล้ว ลูกยังจะได้เรียนรู้ถึงความอ่อนโยน ความรับผิดชอบ และความมีระเบียบวินัยด้วย
การจะตัดสินใจให้ลูกเลี้ยงสุนัขสักตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันค่ะ เพราะในฐานะพ่อแม่อย่างเราแล้วความปลอดภัยของลูกเป็นสิ่งสำคัญเสมอ ดังนั้นเรามี 5 เรื่องควรรู้เมื่อจะให้ลูกเลี้ยงสุนัขมาฝากค่ะ
- การเลือกสุนัข
จะต้องเลือกสุนัขสายพันธุ์ที่ไม่ดุร้าย เข้ากับเด็กๆ ได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรซื้อสุนัขจากฟาร์มสุนัขที่มีความน่าเชื่อถือ มีใบรับรอง และสุนัขต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว รวมถึงต้องได้รับการตรวจจากสัตวแพทย์ด้วยว่าไม่เป็นโรค หรือมีอาการของโรคที่เกิดในสุนัขบ่อยๆ เช่น ขี้ตาแฉะ มีน้ำมูก ผอมโซ เป็นต้น
- ตรวจร่ายกายลูก
เด็กบางคนแพ้ขนสัตว์ ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าลูกจะสามารถเลี้ยงและเล่นกับสุนัขได้ พ่อแม่จะต้องตรวจร่างกายลูกให้แน่ใจว่าเขาจะไม่แพ้ขนสุนัข รวมถึงการแพ้โปรตีนจากขี้ไคล และน้ำลายของสุนัขซึ่งหากเด็กที่มีการแพ้แล้วไปสัมผัสก็อาจจะก่อนให้เกิดอาการ เช่น ผื่นแดง คัน จาม เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่จะต้องตรวจสอบ
- เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม
คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาอายุของลูกด้วยค่ะว่าเหมาะสมแล้วกันการเลี้ยงสุนัขหรือไม่ ซึ่งเด็กวัย 3 ปีขึ้นไปเป็นวัยที่เหมาะสมในการให้ลูกเริ่มเล่นกับสุนัขได้ รวมถึงสถานที่ซึ่งหมายถึงบริเวณบ้านมีพื้นที่สำหรับวิ่งเล่นมากพอหรือไม่ จะเลี้ยงสุนัขไว้ส่วนไหนของบ้าน อากาศถ่ายเทสะดวกหรือไม่ ส่วนนี้พ่อแม่จะลิมไม่ได้เลยค่ะ
- สอนการเล่นกับสุนัข
ก่อนที่จะให้ลูกเลี้ยงสุนัขได้ พ่อแม่จะต้องสอนและทำความเข้าใจกับลูกเรื่องการเล่นให้ดีเสียก่อน เพราะหากลูกเล่นรุนแรง หรือไม่ระวังก็อาจเกิดอันตรายได้ เช่น บอกลูกว่าไม่ควรดึงหางสุนัขแรงๆ ไม่ควรขึ้นขี่หลัง ไม่ควรหยิก ไม่ควรเอามือง้างปากหรือแหย่เข้าไปในปากสุนัข เป็นต้น และควรบอกลูกถึงอันตรายและการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นเพื่อที่ลูกกลัวการบาดเจ็บและเล่นอย่างระวังมากขึ้น
- สอนเรื่องความรับผิดชอบ
คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกมีส่วนรับผิดชอบในการเลี้ยงสุนัขด้วย เช่น พาออกไปเดินเล่นซึ่งลูกก็จะได้วิ่งออกกำลังกายด้วย ช่วยอาบน้ำสุนัข ช่วยเก็บอึสุนัข หรือแม้แต่ช่วยกวาดขนสุนัขบนพื้น การฝึกความรับผิดชอบและวินัยเบื้องต้นนี้จะทำให้ลูกของเรานำไปใช้ในสังคมได้เมื่อโตขึ้น
เชื่อว่าหลายๆ บ้านคงโดนลูกอ้อนของลูกๆ ไปกับบ้างแล้วไม่มากก็น้อยค่ะ บางคนนมาอ้อนน่าสงสารน่าเอ็นดู บางคนมาแนวบีบน้ำตา แล้วพ่อแม่อย่าเราจะใจแข็งต่อไปได้ยังไงกัน แต่ไม่ว่าเขาจะอ้อนเราด้วยวิธีไหน ลองใช้ 5 วิธีพิจารณาของเราเข้าไปร่วมในการตัดสินใจนะคะ

5 วิธีแก้ปัญหาพี่น้องตีกัน
ถ้าบ้านเริ่มมีบรรยากาศการทะเลาะกัน อิจฉากันของลูก ๆ คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งหนักใจไป เพราะเป็นธรรมชาติของเด็ก ๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่จัดการกับการทะเลาะของลูกได้อย่างถูกต้อง ลูกจะได้ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่จะรักและดูแลซึ่งกันและกัน รวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเรามีข้อแนะนำมาฝากค่ะ
วิธีแก้ปัญหาพี่น้องตีกัน
1.ให้ความใส่ใจและใช้เวลากับลูกเฉพาะคน (คุณกับลูก) ทุกคนเท่าเทียมกันในทุก ๆ วัน วิธีนี้จะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนพิเศษสำหรับพ่อและแม่
2.อย่าเอาลูกมาเปรียบเทียบกัน ไม่ว่าเรื่องใดๆ และไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กอื่นๆในลักษณะที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า
3.สนับสนุนให้ลูกแต่ละคนสนใจในกิจกรรมที่แตกต่างกันไป กิจกรรมที่ต่างกันช่วยลดความรู้สึกอิจฉาในหัวใจน้อย ๆ ของลูกลงได้
4.พยายามให้ลูก ๆ รับผิดชอบและทำงานร่วมกัน เช่น ช่วยกันเก็บของเล่นเข้าที่ หรือร่วมกันจัดโต๊ะอาหาร พ่อแม่ต้องทำให้เห็นว่าการช่วยเหลือกันจะทำให้งานสำเร็จ
5.ใจเย็นเข้าไว้ พยายามแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างลูก ๆ คลี่คลายสถานการณ์ แยกแยะเหตุผลให้ลูกเข้าใจ และไม่ใช้มาตรการว่า "เป็นพี่ต้องเสียสละ" ลูกจะเรียนรู้ได้จากสิ่งที่คุณสอนและบอกเขาค่ะ

วิธีถนอมดวงตาง่าย ๆ ช่วงที่เด็กต้องเรียนออนไลน์
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 นักเรียนไม่สามารถไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ตามปกติ ต้องเรียนหนังสือทางออนไลน์เป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อดวงตา เรามาดูวิธีการถนอมดวงตา โดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขกันค่ะ
6 วิธีถนอมดวงตาง่าย ๆ ช่วงที่เด็กต้องเรียนออนไลน์
1.กระพริบตาให้บ่อย เมื่ออยู่หน้าจอเพื่อป้องกันตาแห้ง หากมีอาการตาแห้งควรใช้น้ำตาเทียม เพื่อลดการระคายเคืองตา
2.ควรพักสายตาเป็นระยะทุก 20-30 นาที ให้พักจากจอประมาณ 30-60 วินาที โดยการมองออกไปไกลๆหรือหลับตาหากจำเป็นต้องอยู่หน้าจอนานเกิน 30 นาที ควรพักการทำงานทุก 1-2 ชั่วโมงประมาณ 5-15 นาที
3.ใช้แผ่นกรองแสงจากหน้าจอหรือใส่แว่นกรองแสงปรับแสงหน้าจอให้พอเหมาะไม่สว่างเกินไป
4.ไม่ควรทำงานในที่มืดจัดวางจอให้อยู่ในระยะพอเหมาะที่ตามองสบายไม่ต้องเพ่งโดยเฉลี่ยระยะจากตาถึงจอควรมีระยะ 45-50 ซม.
5.รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดจอประสาทตาเสื่อมได้แก่ ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้มอาทิ แครอท ฟักทอง ผักใบเขียว เช่น คะน้า ปวยเล้ง ฯลฯ
6.ดื่มน้ำให้เพียงพอเนื่องจากการดื่มน้ำบ่อย ๆ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ดวงตา
คุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะการเรียนผ่านออนไลน์ต้องใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ต้องใช้สายตาในการเพ่งมองดูข้อมูลหน้าจอ อาจมีผลให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา ซึ่งอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อพักตาอาจช่วยบรรเทาอาการแต่หากเกิดอาการผิดปกติทางตา ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย รับคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม
ที่มา : กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ปัจจุบันภาษาเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากเลยนะคะ ถ้าเด็กคนไหนเก่งภาษาแล้วล่ะก็ เหมือนได้ใบเบิกทางสู่อนาคตที่ดี เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้ลูกของเราได้รับโอกาสได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆ และที่สำคัญสามารถใช้ทักษะทางภาษาเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วย คุณแม่คุณพ่อต้องมาให้ความสำคัญเรื่องภาษาของลูกตั้งแต่ยังเด็กๆ เพราะเราสามารถเสริมทักษะภาษาของลูกได้แต่อายุยังน้อย ด้วย 7 ทักษะง่ายๆ เพื่ออนาคตที่ดีของลูกกันนะคะ
-
อ่านหนังสือให้ลูกเห็นอยู่เสมอ ๆ ใช้คำพูดที่ถูกต้องและเข้าใจง่าย มีมุมหนังสือเป็นมุมโปรดที่คุณพ่อคุณแม่จะพาลูกไปนั่งทำกิจกรรมด้วยกัน รวมถึงการชักชวนให้ลูกอ่านหนังสืออยู่เสมอๆ เพื่อสร้างนิสัยรักการอ่านที่จะติดตัวไปจนถึงตอนโตค่ะ
-
ผลัดกันเล่าเรื่องที่เจอในแต่ละวัน กิจกรรมนี้อาจดูธรรมดา แต่รู้ไหมว่าคุณพ่อคุณแม่จะได้รู้ถึงความสามารถด้านภาษาของลูกได้ดีทั้งเรื่องการพูดชัดถ้อยชัดคำ การเรียงลำดับเหตุการณ์ การเรียบเรียงคำพูด การคิดก่อนพูด การเลือกใช้คำต่างๆ รวมไปถึงยังช่วยทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกของลูกในแต่ละวันด้วยค่ะ
-
ร้องเพลงภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทยง่ายๆ หรือภาษาที่ลูกสนใจ เพื่อสร้างความคุ้นชินให้กับหูของเค้า เมื่อถึงเวลาที่ได้ลงมือเรียนเค้าจะจดจำได้ถึงสำเนียง และวิธีการออกเสียงที่ถูกต้อง การเรียนรู้คำศัพท์จากเพลงจะช่วยให้ลูกจำได้ง่ายขึ้นกว่าการสอนแบบท่องจำ เพราะความสนุกจะช่วยให้ลูกเปิดใจรับและจำมากกว่าการถูกบังคับให้ท่องคำศัพท์ค่ะ
-
พ่อแม่ต้องพยายามพูดให้ถูกสำเนียงที่สุด เพราะเด็กวัย 1-6 ขวบอยู่ในช่วงชอบเลียนแบบ เค้าจะจดจำทุกอย่างที่เราทำ และทำตามกลับมา ซึ่งถ้าเราเป็นตัวอย่างที่ถูกต้องให้เค้าได้เห็นแต่แรก พื้นฐานของลูกน้อยก็จะเด่นเหนือเพื่อนคนอื่น ๆ ในชั้นเรียนแน่นอน
-
เริ่มจากการพูดประโยคใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน เช่น ยืน นั่ง นอน กิน เดิน อาบน้ำ แต่งตัว ประโยคทั่วไปที่จะทำให้เค้าเก่งภาษาขึ้นมาได้ ความเคยชินจะช่วยให้ศัพท์ต่าง ๆ ฝังลึกลงไปในสมอง และพร้อมนำมาใช้งานทุกเวลาที่ต้องการ
-
หนังสือเสริมพัฒนาการที่มีสีสันสะดุดตา หรือภาพสวยงาม น่ารัก อย่าลืมนะคะว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อเสมอไป ถ้าเราทำให้เค้าชอบได้ เค้าก็จะอยู่กับมันได้นาน
-
การเรียนรู้ภาษาสามารถทำได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงบ้าน ระหว่างทางที่รับเค้ากลับมาจากโรงเรียน หรือขณะเดินเล่นที่ห้าง เราอาจจะชี้ให้เค้าทายว่าของชิ้นนั้นคืออะไร เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้กับเจ้าตัวน้อย แค่นี้ก็ได้รู้อะไรเพิ่มอีกเยอะแล้ว
ทักษะด้านภาษาจะเกิดขึ้นได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ คุณแม่ควรใช้ความสม่ำเสมอในการกระตุ้นและส่งเสริม ไม่ควรเร่งรัดหรือกดดัน เพราะอาจจะยิ่งทำให้ลูกไม่กล้าแสดงความสามารถด้านภาษาออกมาได้โดดเด่นอย่างที่ควรจะเป็น ลองใช้วิธีปล่อยให้ลูกเรียนรู้ และเราคอยสนับสนุน หากลูกสามารถพัฒนาทักษะด้านภาษานี้ได้ จะเป็นสิ่งที่ติดตัวไปจนโตและสามารถพัฒนาไปใช้ควบคู่กับทักษะอื่นๆ ได้ไม่ยากแน่นอนค่ะ
คำพูดต้องห้าม ที่ลูกไม่อยากได้ยินจากปากคนเป็นพ่อแม่
เด็ก ๆ ที่อยู่ในช่วงของวัยเรียนรู้ มักจะเป็นคนช่างสังเกตและจดจำรายละเอียด โดยเฉพาะคำพูดของผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังคำพูดเป็นอย่างยิ่ง ไปดูคำที่ไม่ควรพูดเหล่านี้กันค่ะ
8 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก คำพูดที่ปิดกั้นพัฒนาการเด็ก
- ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง คำพูดนี้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่ชอบกันทั้งนั้นใช่ไหมคะ ฟังแล้วรู้สึกเสียความมั่นใจ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะโมโหหรือโกรธสักแค่ไหน ก็ไม่ควรเผลอพูดคำนี้ออกมาเด็ดขาด เพราะนั้นจะทำให้เด็กไม่กล้าจะลองทำสิ่งใหม่ๆ พัฒนาการเด็กก็จะย้ำอยู่กับที่ และอาจจะไม่กล้าแสดงออกอีกต่อไป ดังนั้นควรใช้คำพูดในเชิงบวกเข้าไว้ ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ แนะนำและให้กำลังใจจะเป็นผลดีกว่านะคะ
- หุบปากแล้วอยู่เงียบ ๆ เด็กที่อยู่ในวัยที่กำลังหัดพูด มักจะชอบพูดไปตามประสาหรือพูดอยู่ตลอดเวลา หากเด็กพูดคำที่ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ก็ควรพูดหรือสอนกับลูกดีๆ อย่าแสดงอาการแสดงรำคาญเวลาที่ลูกถามหรือสงสัย เพราะเด็กจะไม่กล้าถาม ไม่กล้าแสดงออก และรู้สึกเก็บกด และพัฒนาการเด็กจะช้าลง ไม่มีความสุขทั้งในการเรียนและเล่นกับเพื่อน ๆ
- ต้องมีความเป็นลูกผู้ชาย คำว่าต้องมีความเป็นลูกผู้ชายนั้น ไม่ควรพูดกับลูกนะคะ เพราะจะเป็นการปิดกั้นพัฒนาการเด็ก ลูกของคุณอาจจะสับสนว่า การเป็นลูกผู้ชายนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เด็กอาจจะรู้สึกสับสนและลังเลในสิ่งที่จะทำ และไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกหรือไม่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรแสดงความเป็นผู้นำให้ลูกได้เห็นเป็นตัวอย่างที่ถูกต้อง
- ทำแบบนี้เดี๋ยวไม่รักนะ เพราะว่าคำพูดเหล่านี้จะไปกระทบความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจลูก อย่าคิดว่าเป็นแค่คำพูดธรรมดาเอง ไม่มีอะไร ลูกคงรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่รัก แต่ในความเป็นจริง คำพูดเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของลูกมากที่สุด
- ทำไมน่ารำคาญอย่างนี้ คำพูดนี้ก็เช่นเดียวกันกับคำพูดว่าไม่รักแล้ว เพราะจะบั่นทอนความรู้สึกเชื่อมั่น อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจว่าตกลงพ่อแม่ยังรักเขาหรือเปล่า ซึ่งความมั่นคงทางจิตใจของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ การรู้จักแบ่งปัน การรู้จักตัวเองและคนอื่น
- ทำไมไม่ได้เหมือนลูกคนอื่นๆ การเปรียบเทียบลูกกับพี่ๆน้องๆ หรือเด็กคนอื่นๆ จะทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น ไม่ควรพูดจาเปรียบเทียบลูก ถึงแม้จะทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เด็กอาจจะเก็บไปคิดน้อยใจ ติดค้างอยู่ในใจได้
- อย่าทำแบบนี้เดี๋ยวตำรวจจับ การขู่ด้วยการหลอก เช่น หลอกผี หรือเอาตำรวจมาขู่ การขู่เป็นการใช้คำพูดเพื่อสื่อออกมาว่า เมื่อทำแบบนี้แล้วจะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง ซึ่งภาษาที่พ่อแม่สื่อสารกับลูกเป็นสิ่งสำคัญในการลำดับความคิดของเด็ก การบอกเหตุและผลที่สอดคล้องกัน ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดีกว่า และพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ก็จะดีตามไปด้วย แต่การขู่ด้วยเรื่องไม่เป็นเหตุผลก็จะทำให้เด็กขาดการเรียนรู้แบบเป็นเหตุเป็นผล และเมื่อโตขึ้นก็อาจจะยิ่งไม่เชื่อฟัง เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง
- ล้อเลียนเรื่องน่าอาย หรือ ปมด้อย การนำปมน้อยมาล้อเลียน หรือเรื่องน่าอายของลูกๆ มาเล่า มาล้อให้คนอื่นฟัง พ่อแม่อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ทราบไหมคะว่า อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด เสียใจ เป็นปมที่ฝังอยู่ในใจลูกไปตลอดได้ค่ะ
และยังมีอีกหลายคำพูดนะคะ ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำมาพูดให้ลูกได้ยิน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลดีกับเด็กแล้ว อาจส่งผลกับพัฒนาการของลูกด้วยค่ะ

ช่วงวันหยุดยาว ลองหาเวลาพาลูกๆไปเที่ยวแนวรักษ์ธรรมชาติกันดูนะคะ ได้เรียนรู้พร้อมกับเล่นสนุกไปในเวลาเดียวกัน ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์กับ 8 สถานที่เที่ยวแบบธรรมชาติ ที่จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้โลกกว้างจากการได้สัมผัสกับธรรมชาติและมีกิจกรรมต่างๆมากมายให้เด็กๆได้ทำ สามารถนำมาต่อยอดความรู้ สร้างสรรค์จินตนาการได้ของลูกได้อย่างดีเยี่ยมค่ะ
แนะนำ 8 ที่เที่ยวแบบธรรมชาติสำหรับเด็ก
1.ที่เที่ยวธรรมชาติ : ดวงตวัน บ้านสวน
เป็นสถานที่สาธิตการเพาะปลูกตามวิถีเกษตรธรรมชาติ ที่เหมาะกับเด็กๆ มาก เพราะไม่ใช้สารเคมีใดๆ มีแปลงเกษตรธรรมชาติขนาดย่อมๆ ให้แต่ละครอบครัวมาลองปลูกพืชผัก พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำในการวางแผนเพาะปลูกอีกด้วย มีสินค้าเกษตรธรรมชาติจำหน่ายในราคาย่อมเยาด้วยนะคะ
ที่อยู่ : ดวงตวัน บ้านสวน 18/1 ถ.คลองสิบสาม แขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร
เฟซบุ๊ก :
ดวงตวัน บ้านสวน เวลาเปิด / ปิด : โทรสอบถามได้ที่ 088-883-6138
2. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : Farm de Lek
Farm de Lek เรียกในภาษาไทยได้ว่าว่า ฟาร์มตาเล็ก เป็นฟาร์มที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ธรรมชาติแบบสบายๆ สูดอากาศดีๆ ขอบอกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบไม่คิดเงินด้วยนะคะ หากจะพาเด็กๆ มาเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติต้องนัดล่วงหน้า มีกิจกรรมแสนสนุก เช่น การปลูกต้นไม้ ให้อาหารสัตว์ เล่นที่สนามเด็กเล่น พร้อมกิจกรรมเล่นน้ำขี่ม้า และขับรถ ATV ค่ะ
ที่อยู่ : ต.คลองใหญ่ อ.องครักษ์ จ.นครนายก หรือ คลอง 15 รังสิต-นครนายก
เฟซบุ๊ก :
Farm de Lek เว็บไซต์ :
http://www.farmdelek.com/ โทร : 098 463 8223
3. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : ไร่หยดพิรุฬ
ไร่หยดพิรุฬ มีคอร์สให้เด็กๆ เลือกเพลิดเพลินได้มากมายตามความชอบ สำหรับเด็ก 3-12 ขวบ เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ฟรีค่ะ การมาที่ไร่แห่งนี้จะทำให้เด็กๆ ได้เห็นโลกกว้าง ได้สนุก ได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติ และความเป็นไทย มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่น จับแมลง จัดสวนในขวดแก้ว เก็บผัก ทำอาหาร ทำขนมไทย เล่นสไลเดอร์โคลน
ที่อยู่ : ไร่หยดพิรุฬ ต.บางกระบือ อ.เมืองสิงห์บุรี จ.สิงห์บุรี
เฟซบุ๊ก :
ไร่หยดพิรุฬ เว็บไซต์ :
https://raiyodpiroon.wixsite.com/homepage ไลน์ ไอดี : @RaiYodpiroon
โทร : 092 2480202
4. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : ไร่ปลูกรัก
เป็นไร่ปลูกผักอินทรีย์บนเนื้อที่กว่า 60 ไร่ กิจกรรมสนุกๆ มากมาย เช่น เล่นว่าวริมนา ลุยดำนาโยนข้าว เกี่ยวข้าว ปลูกผักเพ้นท์กระถาง สไลเดอร์ริมนา พายเรือ เลี้ยงเป็ดในนาข้าว ปิ้งข้าวจี่ทานเอง เก็บไข่เป็ดทำไข่เค็มสูตรโบราณ หากได้มาที่นี่รับรองสนุกแบบธรรมชาติจริงๆ เด็กๆ จะพูดถึงไปอีกนานเลยค่ะ
ที่อยู่ : 130 ม.1 ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี
เฟซบุ๊ก :
ไร่ปลูกรัก เว็บไซต์ :
http://www.thaiorganicfood.com/ โทร : 086 332 7365
5. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : Little Tree, House of Learning
ค่ายเรียนรู้ศิลปะ ธรรมชาติ และทักษะชีวิต เพราะอยากให้เด็กๆ ได้อยู่ท่ามกลางสายลม แสงแดด ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติบ้าง กิจกรรมเสริมทักษะก็เช่น การย้อมผ้า การปลูกต้นไม้ การทำอาหาร และการทำงานศิลปะ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ที่อยู่ในสวน โดยจะหมุนเวียนไปตามฤดูกาลค่ะ
ที่อยู่ : ต. อ้อมใหญ่ อ. สามพราน จ. นครปฐม
เฟซบุ๊ก :
Little tree, house of learning เว็บไซต์ :
https://littletreecamps.wordpress.com/ โทร : 086 306 4852
6. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : บ้านนาครูธานี หอมชื่น
ที่นา 25 ไร่ กลายเป็นศูนย์เรียนรู้ เพื่อปลูกฝังให้ทุกครอบครัวรู้จักวิถีชีวิตชาวนา และคุณค่าของเมล็ดข้าว เด็กๆ จะได้รู้จักกระบวนการทำนาทุกขั้นตอน ได้ทดลองสีข้าว ฝัดข้าว เกี่ยวข้าว รวมถึงการดำรงชีวิตแบบชาวชนบท เช่น การขูดมะพร้าว การโม่แป้งทำขนม ขี่ควาย นั่งเกวียน เก็บไข่ไก่ ปีนต้นไม้ เล่นไม้โถกเถกแบบไทยๆ ค่ะ
ที่อยู่ : อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
เฟซบุ๊ก :
ครูธานี หอมชื่น โทร : 02-976-2064 และ 085-930-4216
7. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : เบิกบานบุรี
เบิกบานบุรี คือที่เรียนรู้ธรรมชาติกับชีวิตที่เรียบง่าย ที่นี่ให้เด็กๆ จะได้ปลูกข้าวอินทรย์ ผัก และสมุนไพร ได้ทำอาหาร และเครื่องดื่มสมุนไพรแสนเรียบง่าย ได้พักเย็นๆ ใต้ต้นไม้ร่มรื่น โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ และลงมือทำภาชนะเซรามิกส์ด้วยตนเองอีกด้วย
ที่อยู่ : 95 ม.3 ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
เฟซบุ๊ก :
เบิกบานบุรี เว็บไซต์ :
http://www.burgbarnburi.com/
8. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : Art Inner Place
สตูดิโอศิลปะเพื่อให้เด็กๆ และตอนนี้ได้เปิดตัวโครงการศิลปะสำหรับเด็กชื่อ ‘โรงเรียนในภูเขา’ แล้ว เป็นหลักสูตรระยะสั้นที่อยากสอนให้เด็กๆ ได้รู้จักศิลปะแห่งความดีที่มีอยู่ในตัวเด็กๆ ทุกคน โดยผ่านการระบายสี ดนตรี และกิจกรรมสนุกๆ อีกมากมาย
ที่อยู่ : ๗ Art Inner Place เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
เฟซบุ๊ก :
๗ Arts Inner Place เว็บไซต์ :
https://www.arttherapythai.com/ โทร : 093-235-6679
ภาพและข้อมูลจาก : เพจ ดวงตวัน บ้านสวน, Farm de Lek, ไร่หยดพิรุฬ, ไร่ปลูกรัก, Little Tree, House of Learning, บ้านนาครูธานี หอมชื่น, เบิกบานบุรี และ Art Inner Place
EF ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ
EF (Executive Functions) เป็นกระบวนการทางความคิด (Mental process) ในสมองส่วนหน้า ที่เกี่ยวข้องกับการคิด ความรู้สึก และการกระทำ เช่น การยั้งใจคิดไตร่ตรอง การควบคุมอารมณ์ การยืดหยุ่นทางความคิด การตั้งเป้าหมาย วางแผน ความมุ่งมั่น การจดจำและเรียกใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ และการทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอนจนบรรลุความสำเร็จ ซึ่งเป็นทักษะที่มนุษย์เราทุกคนต้องใช้ มีความสำคัญยิ่งต่อทั้งความสำเร็จในการเรียน การทำงาน รวมทั้งการมีชีวิตครอบครัว ทักษะ EF นี้นักวิชาการระดับโลกชี้แล้วว่า สำคัญกว่า IQ
ทั้งนี้ มีงานวิจัยชัดเจนว่า ช่วงวัย 3-6 ปีนี้ เป็นช่วงเวลาทองของชีวิตในการพัฒนาทักษะ EF ให้กับเด็ก เพราะสมองจะมีการพัฒนาทักษะ EF ได้ดีที่สุดในช่วงเวลานี้ พ้นจากช่วงเวลานี้ไปถึงวัยเรียน วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แม้จะยังพัฒนาได้ แต่ก็จะไม่ได้ดีเท่ากับช่วงปฐมวัย
Executive Functions (EF) ประกอบด้วยทักษะ 9 ด้าน ประกอบด้วย
1.Working memory ความจำที่นำมาใช้งาน ความสามารถในการเก็บข้อมูล ประมวล และดึงข้อมูลที่เก็บในคลังสมองของเราออกมาใช้ตามสถานการณ์ที่ต้องการ
2.Inhibitory Control การยั้งคิด และควบคุมแรงปรารถนาของตนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จนสามารถหยุดยั้งพฤติกรรมได้ในกาลเทศะที่สมควร เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ ก็เหมือน “รถที่ขาดเบรก”
3.Shift หรือ Cognitive Flexibility การยืดหยุ่นความคิด สามารถปรับเปลี่ยนความคิดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปยืดหยุ่นพลิกแพลงเป็น เห็นทางออกใหม่ๆ และคิดนอกกรอบ”ได้
4.Focus / Attention การใส่ใจจดจ่อมุ่งความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยไม่วอกแวก
5.Emotional Control การควบคุมอารมณ์ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จัดการกับความเครียดความเหงาได้ มีอารมณ์มั่นคง และแสดงออกแบบที่ไม่รบกวนผู้อื่น
6.Planning and Organizing การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการเริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวม จัดลำดับความสำคัญ จัดระบบโครงสร้าง จนถึงการแตกเป้าหมายให้เป็นขั้นตอน
7.Self -Monitoring การรู้จักประเมินตนเอง รวมถึงการตรวจสอบการงานเพื่อหาจุดบกพร่อง และรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ได้ผลอย่างไร
8.Initiating การริเริ่มและลงมือทำงานตามที่คิดเมื่อคิดแล้วก็ลงมือทำ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
9.Goal-Directed Persistence ความพากเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย เมื่อตั้งใจและลงมือทำแล้ว มีความมุ่งมั่นบากบั่น ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆก็พร้อมฝ่าฟันจนถึงความสำเร็จ
สถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) ในฐานะ Content Experts ผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาวิชาการ และเป็นผู้นำในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก สตรี ครอบครัว ผู้สูงวัย ชุมชนและสังคม ได้ทำการจัดการความรู้เรื่อง “Executive Functions (EF)-ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ” อันเป็นความรู้ที่วงการพัฒนาการเด็กในต่างประเทศกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งในประเทศไทยมี รศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและคณะจากศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ศึกษาวิจัยและรวบรวมงานวิจัยจากต่างประเทศ และสถาบันอาร์แอลจีได้จัดการความรู้และพัฒนาให้ความรู้ EF เป็นที่เข้าใจง่าย โดยมุ่งหวังให้พ่อแม่และบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะปฐมวัยศึกษาสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเด็กได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยมุ่งมั่นว่า EF จะเป็นองค์ความรู้หนึ่งที่จะร่วมส่งเสริมการปฏิรูปการศึกษาของไทยที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้