facebook  youtube  line

10 วิธีเลือกโรงเรียนอย่างไร ให้ปลอดภัยต่อลูก

 551 2

10 วิธีเลือกโรงเรียนอย่างไร ให้ปลอดภัยต่อลูก

โรงเรียนเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรมีความปลอดภัยสำหรับลูกรองจากบ้าน ดังนั้นการเลือกโรงเรียนที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงมีคำแนะนำให้พ่อแม่ทุกท่าน ก่อนตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกค่ะ  

10 วิธีเลือกโรงเรียนให้ปลอดภัยต่อลูก
  1. รถโรงเรียนมีมาตรการดูแลที่ดี คุณผู้ปกครองควรซักถามเกี่ยวกับนโยบายของทางโรงเรียน ว่ามีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ เกี่ยวกับการจ้างบุคคลหรือบริษัทที่เข้ามาให้บริการรับส่งนักเรียน ครูผู้ดูแล ประกันชีวิต สภาพรถ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ

  2. ไม่มีแหล่งน้ำที่หนู ๆ จะจมน้ำได้ ระดับน้ำที่สูงท่วมหัวอาจทำให้หนูจมน้ำได้ ควรมีรั้วกั้นรอบแหล่งน้ำทุกด้าน ที่มีความสูงเพียงพอ ป้องกันเหล่าจอมซนปีนเข้าไปได้

  3. สนามกีฬาหรือพื้นที่วิ่งเล่นไม่ใช่ที่จอดรถหรือรถวิ่งผ่าน กรณีเจ้าตัวเล็กถูกรถชนหรือทับในบริเวณโรงเรียนนั้นพบเห็นได้ไม่ยาก เพราะหนูๆมีความสูงน้อยกว่ากระจกมองหลัง โรงเรียนที่ปลอดภัยจะจัดพื้นที่เล่นของเด็กแยกขาดจากทางเดินหรือพื้นที่จอดรถ

  4. ห้องครัว ห้ามเข้า ป้องกันเจ้าตัวร้ายเล่นมีดหรือวิ่งชนหม้อน้ำเดือด

  5. สำรวจอาคารเรียน เช่นระเบียงมีที่กั้นป้องกันจอมซนตกลงมา พื้นอาคารมีความต่างระดับให้สะดุดง่ายหรือเป็นวัสดุลื่นทำให้หนู ๆ หกล้มได้ง่าย ๆ บันไดชันทำให้ตกลงมาได้หรือเปล่า

  6. เฟอร์นิเจอร์หรือส่วนประกอบของอาคาร เช่น ตู้หนังสือขนาดใหญ่ ประตู หน้าต่างควรอยู่ในสภาพดีไม่ชำรุดและมีที่ยึดพอที่จะไม่ล้มลงมาทับเจ้าหนูวัยซนทั้งหลายได้

  7. ของเล่นต้องเหมาะสมกับอายุ ในโรงเรียนเด็กเล็ก ของเล่นต้องสร้างด้วยวัสดุและสีที่ไม่มีพิษภัย ไม่มีของเล่นชิ้นเล็กที่จะอุดตันทางเดินหายใจ ของเล่นที่มีคมหรือความแรง เช่น ปาลูกดอก ปืนมีกระสุน

  8. มีสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัย เพราะเป็นจุดที่หนูๆเล่นซนกันมากที่สุด เครื่องเล่นที่ปลอดภัยจึงควรมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่สึกกร่อนหรือมีความสูงไม่มากเกินไปนัก ไม่วางชิดกันกับขอบรั้ว วัสดุแข็ง ๆ หรือเครื่องเล่นอื่น ที่สำคัญควรมีพื้นผิวรองรับที่มั่นคง เครื่องเล่นปีนป่าย และชิงช้าที่วางบนพื้นแข็ง อย่างพื้นปูน

  9. ห้องน้ำสะอาดปลอดภัย มีที่จับ มีกันลื่น ไม่อยู่ในมุมอับ สามารถมองเห็นได้
  10. เช็กประวัติโรงเรียนย้อนหลัง จากกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่เคยส่งลูกเรียนโรงเรียนต่าง ๆ เช็กจากโซเชียลมีเดีย และข่าวทางสื่อออนไลน์ย้อนหลัง

 

นอกจากการเลือกโรงเรียนที่ดีให้ลูกแล้ว ในบางครั้งพ่อแม่รู้สึกว่าโรงเรียนที่เราเลือกให้ลูกคือโรงเรียนที่ดีที่สุด แต่อาจไม่ใช่แบบนั้นค่ะ รักลูกมีสัญญาณเตือนเมื่อลูกถูกทำร้ายที่โรงเรียนมาฝากค่ะ 

สัญญาณเตือนลูกถูกทำร้าย   
  • โหยหาพ่อแม่ ถ้าปกติลูกไม่เคยโผเข้ากอดพ่อแม่หลังไปรับ แต่จู่ ๆ ลูกวิ่งเข้าหาพ่อแม่แบบโหยหา หรือร้องไห้เข้าใส่ ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าอาจมีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้นกับลูก (บางครั้งลูกอาจแสดงอาการงอแงทันทีที่ถึงบ้านเพราะอยู่ต่อหน้าครูที่โรงเรียนแล้วไม่กล้า)

  • หวาดกลัว ไม่อยากไปโรงเรียน ยิ่งถ้าปกติลูกเป็นเด็กร่าเริงแล้วอยู่ ๆ ไม่พูด เงียบ ไม่ร่าเริง งอแง และร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน คราวนี้ให้ถามลูกได้เลยค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น

  • พัฒนาการช้า ถดถอย ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยกว่าที่ควรเป็นตามวัย งอแง ขี้ตกใจ

  • ผวา ละเมอ ให้สังเกตตอนที่ลูกนอนว่ามีอาการผวา หรือละเมอร้องไห้หรือไม่

  • มีรอยเขียวช้ำตามตัว คุณแม่ควรสังเกตตามตัวลูกว่ามีรอยแผลเขียวช้ำหรือเปล่า โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นเป็นประจำ และคุณแม่ควรเช็กในบริเวณร่มผ้าด้วยเพราะส่วนใหญ่พี่เลี้ยงมักทำร้ายในที่ที่คุณแม่มองเผิน ๆ ไม่เห็น

ทำอย่างไร..ถ้าลูกถูกทำร้ายที่โรงเรียน  

-เมื่อสอบถามลูกแล้วพบว่าถูกทำร้ายให้รีบพาลูกไปตรวจร่างกาย เพื่อให้คุณหมอเช็กความผิดปกติ ถ่ายรูปร่องรอยที่ถูกทำร้ายและเก็บหลักฐานทางการแพทย์ไว้

-ปรึกษาพ่อแม่ของเด็กนักเรียนคนอื่นในห้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

-แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและศูนย์ดำรงธรรมหรือมูลนิธิคุ้มครองเด็กให้เข้ามาดูแล

-แจ้งครูใหญ่หรือผู้อำนวยการรับทราบ

-หากไม่มีความคืบหน้าควรย้ายโรงเรียน เพื่อป้องกันเหตุลูกถูกทำร้ายอีก

 

ถึงอยู่ห่างกัน พ่อแม่ก็ปกป้องหนูได้ นโยบายสร้างความปลอดภัยในโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรมีส่วนร่วมโดยการช่วยเป็นหูเป็นตา แนะนำและร่วมกันหาหนทางแก้ไข ให้โรงเรียนจัดโครงสร้างที่มีความปลอดภัยครับ ยามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องไกล การปลูกฝังนิสัยไม่ประมาท ระมัดระวังอันตราย ให้เจ้าตัวน้อยดูแลตัวเองก็เป็นอีกวิธีที่ดีเช่นเดียวกัน

 

 

20 ประโยคภาษาอังกฤษง่าย ๆ ไว้คุยกับลูก

ภาษาอังกฤษ, คำศัพท์ภาษาอังกฤษ, ประโยคภาษาอังกฤษ, ทักษะด้านภาษา, พัฒนาการด้านภาษา, ส่งเสริมภาษาอังกฤษ, ประโยคภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน, สอนภาษาอังกฤษลูก, อยากให้ลูกเก่งอังกฤษ, ฝึกฝนภาษาอังกฤษให้ลูก คุณพ่อคุณแม่มาฝึกทักษะภาษาอังกฤษให้เจ้าตัวน้อย ด้วย 20 ประโยคง่ายๆ ทีใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่ออนาคตที่ดีของลูกนะคะ มีประโยคไหนบ้างมาดูกันเลย!













 

 

3 วิธีฝึกลูกอ่านเขียน ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD)

โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) -เด็ก LD- การเรียนรู้บกพร่อง-ลูกเป็น LD- แก้ปัญหาลูกเป็น LD- วิธีฝึกเด็ก LD- ลูกอ่านหนังสือไม่ออก- ลูกอ่านหนังสือไม่ได้- ลูกสะกดคำไม่เป็น

3 วิธีฝึกลูกอ่านเขียน ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD)

โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) คืออะไร ?

LD ย่อมาจากคำว่า learning disorder หรือในภาษาไทยใช้ชื่อว่า โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ เป็นความผิดปกติของกระบวนการเรียนรู้ที่แสดงออกทางด้านการอ่าน การเขียนสะกดคำ การคำนวณและเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์ เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ทำให้ผลการเรียนของเด็กต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง โดยที่เด็กมีสติปัญญาอยู่ในระดับปกติและมีความสามารถด้านอื่นๆปกติดี

 

โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) มีกี่ชนิด ?

โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่

1.ความบกพร่องด้านการอ่าน

ความบกพร่องด้านการอ่านเป็นปัญหาที่พบได้มากที่สุดของเด็ก โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ทั้งหมด เด็กมีความบกพร่องในการจดจำ พยัญชนะ สระ และขาดทักษะในการสะกดคำ จึงอ่านหนังสือไม่ออกหรืออ่านช้า อ่านออกเสียงไม่ชัด ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้ อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความสามารถในการอ่านหนังสือต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี

2. ความบกพร่องด้านการเขียนสะกดคำ

ความบกพร่องด้านนี้ส่วนใหญ่จะพบร่วมกับความบกพร่องด้านการอ่าน เด็กมีความบกพร่องในการเขียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ไม่ถูกต้อง บางครั้งเรียงลำดับอักษรผิด จึงเขียนหนังสือและสะกดคำผิด ทำให้ไม่สามารถแสดงออก ผ่านการเขียนได้ตามระดับชั้นเรียน เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการเขียนสะกดคำต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี

3. ความบกพร่องด้านคณิตศาสตร์

เด็กขาดทักษะและความเข้าใจค่าของตัวเลข การนับจำนวน การจำสูตรคูณ การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ จึงไม่สามารถคำนวณคำตอบจากการบวก ลบ คูณ หาร ตามกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ได้ เด็กกลุ่มนี้จึงมีความสามารถในการคิดคำนวณ ต่ำกว่าเด็กในวัยเดียวกันอย่างน้อย 2 ระดับชั้นปี

 

การที่เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนที่ช้ากว่าปกติอาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น

  • การทำงานของสมองบางตำแหน่งบกพร่อง โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการใช้ภาษา
  • กรรมพันธุ์ มีพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องมีปัญหาเดียวกัน
  • ความผิดปกติของโครโมโซม

ซึ่งการแก้ไข ไม่ว่าลูกจะเป็น โรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) หรือไม่ พ่อแม่สามารถทำได้ดังนี้

1.ฝึกอ่านเขียนจะทำให้อาการดีขึ้น โดยให้ลูกอ่านเขียนภาษาไทยอย่างสม่ำเสมอ เริ่มจากหัดเขียนตัวอักษรที่ลูกสับสน อย่างน้อยประมาณ 3-5 ตัวต่อวัน และควรฝึกเขียนกันทุกวัน เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเขียนของลูกค่ะ

2.ปรับการอ่านเขียนเป็นเกมจะยิ่งสนุก เพราะบางครั้งเด็กก็ไม่อยากนั่งคัดตัวหนังสือไปเรื่อยๆ เพียงอยางเดียว ดังนั้น หากเราปรับการเรียนรู้ให้เป็นเกม เช่น การเขียนตัวอักษรให้ตรงกับรูป หรือ จับคู่ภาพกับตัวอักษร ก็จะช่วยให้ลูกรู้สึกสนุกกับการเรียนได้ แต่ขอย้ำว่าให้ทำทีละน้อยแต่บ่อยๆ นะคะ

3.อย่าลืมส่งเสริมศักยภาพด้านที่เด็กทำได้ดี เพราะบางครอบครัวจับเด็กอ่านเขียนจนความสามารถด้านอื่นๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ หรือการคำนวณนั้นถดถอย ดังนั้นพ่อแม่ควรส่งเสริมความสามารถด้านอื่นๆ ที่ลูกถนัดด้วยเพื่อให้เป็นความสามารถพิเศษติดตัวเขาไปในอนาคต หรืออาจต่อยอดเป็นอาชีพได้

อันที่จริงแล้วเด็กในวัยชั้นอนุบาล 2 หรือ 3 ยังเป็นวัยที่กำลังเตรียมพร้อมสู่การเรียนรู้ การเล่นและการทำกิจกรรมต่างมักจะเป็นหลักมากกว่าการอ่านเขียน จึงไม่แปลกหากลูกจะยังอ่านหนังสือไม่ได้

แต่สำหรับเด็กโตที่อยู่ชั้นประถม 1-2 ขึ้นไป หากยังมีความบกพร่องด้านการอ่านเขียน หรือฝึกแล้วไม่ก้าวหน้าก็อาจพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้ละเอียดและรักษาให้ตรงจุดได้ 

 

 

ข้อมูลโดย : ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


 

3 วิธีสร้างภาวะผู้นำให้ลูก

 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

เด็กที่มีความมั่นใจในตนเอง มักเป็นเด็กที่มีการสะสมความภาคภูมิใจในตนเอง จึงมั่นใจในความคิด กล้าที่จะแสดงความเป็นตัวเอง ซึ่งพ่อแม่สามารถสร้างความมั่นใจและภาวะผู้นำให้ลูกได้โดย

 
3 วิธีสร้างภาวะผู้นำให้ลูก

 

1.ให้ลูกรู้จักรับผิดชอบตนเอง ช่วยเหลือตัวเอง และรู้จักแก้ปัญหา

โดยเฉพาะการทำภารกิจต่างๆ ได้ด้วยตนเองตั้งแต่เล็ก เช่น ติดกระดุมได้ ใส่รองเท้าเองได้ ล้มแล้วลุกขึ้นเองได้ การสะสมความรู้สึกประสบความสำเร็จในช่วงเริ่มต้นของชีวิต จะทำให้ลูกเติบโตอย่างมั่นใจในตนเอง เพราะเขาจะไม่กลัวที่จะเผชิญอุปสรรค

แม้แต่ในวัยทารก ความสำเร็จเล็กน้อยก็ทำให้ลูกรู้สึกภูมิใจ เช่น ใช้มือคว้าของเล่นที่อยากได้จนสำเร็จ ใช้แขนช่วยจับราวเพื่อลุกยืนขึ้นเองในวัยเตาะแตะ ใช้มือจับช้อนตักอาหารใส่ปากตนเองได้ ล้มแล้วลุกขึ้นเองได้          

เมื่อลูกผ่านประสบการณ์ชีวิตเช่นนี้ทุกวัน และรู้สึกถึงการเอาชนะอุปสรรคเล็กๆ เหล่านี้ วันละหลายๆ ครั้ง ก็ย่อมสะสมเป็นความมั่นใจในตนเอง แต่บางครั้งในสายตาพ่อแม่ อุปสรรคหรือความท้าทายอันเป็นพัฒนาการตามวัยเหล่านี้ อาจมองเป็นความลำบากของลูก ผู้ใหญ่มักจะยื่นมือเข้าไปช่วยก่อนที่เด็กๆ จะมีโอกาสได้ลองทำด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จ

ดังนั้นหากอยากให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง ให้โอกาสลูกทำอะไรด้วยตนเองตั้งแต่เล็กๆ ลองปล่อยเขาบ้าง หากลูกยังทำไม่ได้เองตั้งแต่แรก ให้ลูกได้ลองจนเจอวิธีที่ถูกต้องค่ะ  

 

2.สร้างความภาคภูมิใจในตนเองให้ลูก 

ความภูมิใจมักจะเกิดขึ้นจากการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เช่น การได้รับคำชมเชย การแสดงออกถึงความรักที่มีต่อเด็ก เช่น กอด สัมผัส เป็นต้น  เมื่อเด็กทำสิ่งใดสำเร็จด้วยตนเอง หรือทำสิ่งที่ดี เช่น ช่วยคุณแม่เก็บของ ขอให้รีบใช้โอกาสเหล่านี้สร้างความภาคภูมิใจให้ลูก ด้วยการชมเชย

 

3.ให้ลูกได้ฟังข้อมูลเชิงบวกถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว

จะทำให้เด็กสะสมข้อมูลเชิงบวก ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความกล้า และแรงกระตุ้นที่อยากจะทำสิ่งต่าง ๆ ตรงกันข้ามเด็กที่ได้รับข้อมูลเชิงลบมาก ๆ หรือได้ยินคำดุว่า นินทา คำขู่บ่อยๆ จะไม่กล้าที่จะทำอะไร เพราะกลัวจะได้รับคำตำหนิหรือหวาดกลัวตามคำขู่

ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องสนับสนุนให้ลูกได้คิดเอง ทำอะไรด้วยตนเองให้มากที่สุด คอยให้กำลังใจ และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จ เมื่อมีโอกาสอยู่กับลูก ชวนลูกคุย ลูกคิด เมื่อลูกสื่อสารความรู้สึกหรือแสดงความคิดเห็น พยายามรับฟังและทำความเข้าใจในสิ่งที่ลูกพูด  หากลูกทำสิ่งใดไม่ถูกต้อง จะต้องสอนโดยไม่ดุด่า ไม่ตำหนิที่ตัวลูก แต่ให้ตำหนิที่การกระทำ (เช่น การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แม่ไม่ชอบ)

 

รวมทั้งเป็นตัวอย่างและฝึกให้ลูกวางเป้าหมายง่าย ๆ เอง เช่น วันนี้หนูจะทำการบ้านให้เสร็จก่อนกินข้าวเย็น เพื่อให้ลูกมีโอกาสวางแผนและทำให้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ค่ะ เมื่อความมั่นใจในตัวเองเพิ่มมากขึ้น  ภาวะความเป็นผู้นำจะค่อย ๆ ปรากฏในตัวลูกค่ะ

 

5 ข้อควรคิดก่อนให้ลูกเลี้ยงสุนัข

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

การให้ลูกได้เล่นกับธรรมชาติและมีอิสระเป็นสิ่งที่พ่อแม่อย่างเราต้องให้ความสำคัญค่ะ การให้ลูกได้มีสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสุนัขก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พ่อแม่เลือก เพราะนอกจากลูกจะได้เล่นกับสัตว์เลี้ยงแล้ว ลูกยังจะได้เรียนรู้ถึงความอ่อนโยน ความรับผิดชอบ และความมีระเบียบวินัยด้วย  

การจะตัดสินใจให้ลูกเลี้ยงสุนัขสักตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันค่ะ เพราะในฐานะพ่อแม่อย่างเราแล้วความปลอดภัยของลูกเป็นสิ่งสำคัญเสมอ ดังนั้นเรามี 5 เรื่องควรรู้เมื่อจะให้ลูกเลี้ยงสุนัขมาฝากค่ะ

  1. การเลือกสุนัข 

จะต้องเลือกสุนัขสายพันธุ์ที่ไม่ดุร้าย เข้ากับเด็กๆ ได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรซื้อสุนัขจากฟาร์มสุนัขที่มีความน่าเชื่อถือ มีใบรับรอง และสุนัขต้องได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว รวมถึงต้องได้รับการตรวจจากสัตวแพทย์ด้วยว่าไม่เป็นโรค หรือมีอาการของโรคที่เกิดในสุนัขบ่อยๆ เช่น ขี้ตาแฉะ มีน้ำมูก ผอมโซ เป็นต้น

  1. ตรวจร่ายกายลูก 

เด็กบางคนแพ้ขนสัตว์ ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าลูกจะสามารถเลี้ยงและเล่นกับสุนัขได้ พ่อแม่จะต้องตรวจร่างกายลูกให้แน่ใจว่าเขาจะไม่แพ้ขนสุนัข รวมถึงการแพ้โปรตีนจากขี้ไคล และน้ำลายของสุนัขซึ่งหากเด็กที่มีการแพ้แล้วไปสัมผัสก็อาจจะก่อนให้เกิดอาการ เช่น ผื่นแดง คัน จาม เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่จะต้องตรวจสอบ

  1. เวลาและสถานที่ที่เหมาะสม 

คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาอายุของลูกด้วยค่ะว่าเหมาะสมแล้วกันการเลี้ยงสุนัขหรือไม่ ซึ่งเด็กวัย 3 ปีขึ้นไปเป็นวัยที่เหมาะสมในการให้ลูกเริ่มเล่นกับสุนัขได้ รวมถึงสถานที่ซึ่งหมายถึงบริเวณบ้านมีพื้นที่สำหรับวิ่งเล่นมากพอหรือไม่ จะเลี้ยงสุนัขไว้ส่วนไหนของบ้าน อากาศถ่ายเทสะดวกหรือไม่ ส่วนนี้พ่อแม่จะลิมไม่ได้เลยค่ะ

  1. สอนการเล่นกับสุนัข 

ก่อนที่จะให้ลูกเลี้ยงสุนัขได้ พ่อแม่จะต้องสอนและทำความเข้าใจกับลูกเรื่องการเล่นให้ดีเสียก่อน เพราะหากลูกเล่นรุนแรง หรือไม่ระวังก็อาจเกิดอันตรายได้ เช่น บอกลูกว่าไม่ควรดึงหางสุนัขแรงๆ ไม่ควรขึ้นขี่หลัง ไม่ควรหยิก ไม่ควรเอามือง้างปากหรือแหย่เข้าไปในปากสุนัข เป็นต้น และควรบอกลูกถึงอันตรายและการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นเพื่อที่ลูกกลัวการบาดเจ็บและเล่นอย่างระวังมากขึ้น

  1. สอนเรื่องความรับผิดชอบ 

คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกมีส่วนรับผิดชอบในการเลี้ยงสุนัขด้วย เช่น พาออกไปเดินเล่นซึ่งลูกก็จะได้วิ่งออกกำลังกายด้วย ช่วยอาบน้ำสุนัข ช่วยเก็บอึสุนัข หรือแม้แต่ช่วยกวาดขนสุนัขบนพื้น การฝึกความรับผิดชอบและวินัยเบื้องต้นนี้จะทำให้ลูกของเรานำไปใช้ในสังคมได้เมื่อโตขึ้น

เชื่อว่าหลายๆ บ้านคงโดนลูกอ้อนของลูกๆ ไปกับบ้างแล้วไม่มากก็น้อยค่ะ บางคนนมาอ้อนน่าสงสารน่าเอ็นดู บางคนมาแนวบีบน้ำตา แล้วพ่อแม่อย่าเราจะใจแข็งต่อไปได้ยังไงกัน แต่ไม่ว่าเขาจะอ้อนเราด้วยวิธีไหน ลองใช้ 5 วิธีพิจารณาของเราเข้าไปร่วมในการตัดสินใจนะคะ

5 จุดอ่อนเด็กไทย ที่พ่อแม่ต้องช่วยปรับปรุง มากกว่าการตั้งคำถามหรือตำหนิลูก

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

จุดอ่อนของเด็กไทยที่ทำให้คนเป็นพ่อกับแม่บ่นด้วยความเหนื่อยใจว่า "ทำไมลูกเป็นคนแบบนี้นะ" แต่ลองเปลี่ยนจากตั้งคำถามมาเป็นการสังเกตลูกดีไหมคะ ว่าจุดอ่อนเขาคืออะไร เราควรจะส่งเสริมหรือปรับปรุงอย่างไรให้เหมาะกับตัวเขา มาดูจุดอ่อนของเด็กทั้ง 5 ข้อและวิธีแก้ไขกันเลยค่ะ

5 จุดอ่อนเด็กไทย 
  1. ลูกขาดภาวะผู้นำ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ สร้างความมั่นใจให้กับลูกตั้งแต่เล็ก ด้วยการมอบความรัก ความอบอุ่น และความเข้าอกเข้าใจลูก เพราะเมื่อเด็กเกิดความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ ก็จะทำให้เชื่อมั่นในตนเอง จากนั้นก็พยายามกระตุ้นให้เขาได้คิดบ่อยๆ สนับสนุนความคิดบางอย่างเพื่อให้เขาได้กล้าที่จะลุกขึ้นมาทำด้วยตัวเองก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกให้เขาเป็นผู้นำจากเรื่องเล็กๆ และค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเสริมความเป็นผู้นำให้ลูก อาจมอบหมายให้ลูกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตนเอง และควรชื่นชมเมื่อลูกทำสำเร็จ

  2. ลูกไม่กล้าแสดงออก สิ่งที่พ่อแม่ควรส่งเสริม คือเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้เด็กฝึกคิดและแก้ปัญหาได้ เมื่อเขาทำได้และได้รับการยอมรับ เขาจะกล้าแสดงออกและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

  3. ลูกไม่กล้าปฏิเสธ ปัญหานี้จะส่งผลเสียตามมามากมายเมื่อเขาเติบโตขึ้น ต้องรีบฝึกตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ ฝึกให้ลูกปฏิเสธให้เป็น เมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่อยากทำ และค่อยๆ เพิ่มระดับการปฏิเสธด้วยการพูดคุยและสมมติสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มเติมด้วยก็ได้

  4. ลูกไม่มีความอดทน ล้วนเกิดขึ้นเพราะตามใจตั้งแต่แรก มาแก้ไขกันเลยค่ะ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ อย่าตามใจลูกเด็ดขาดและห้ามใจอ่อนเพราะลูกจะเคยตัว หากลูกอยากได้อะไร อย่าพึ่งซื้อให้ ให้เขาอดทนรอไปก่อน หรือให้เก็บเงินซื้อเองแล้วพ่อกับแม่ออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง หากลูกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจอย่ารีบเข้าไปทำให้ลูก ปล่อยให้เขาพยายามด้วยตัวเขาเองก่อน ฝึกไปทีละนิดความอดทนเขาจะมากขึ้นเอง

  5. ลูกเรียนไม่เก่ง สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ อย่าบังคับลูกเรียนพิเศษ หรือกดดันให้เขาทำผลการเรียนให้ดีขึ้นในทันที แต่คอยสังเกตุว่าเขาชอบวิชาอะไร ทำอะไรได้ดีก็สนับสนุนเขา ชมในสิ่งที่เขาทำได้ดีเพื่อเป็นกำลังใจให้เขาไม่ท้อ อะไรที่ทำได้ไม่ดีก็คอยช่วยเขาค่อยๆ แก้ไข หากไม่ได้จริงๆ ก็แค่เอาตัวรอดให้ได้ และไปทำในสิ่งที่ทำได้ดีก็พอ เชื่อเถอะว่ากำลังใจจากพ่อกับแม่จะทำให้ลูกทำอะไรดีๆ ได้มากมายกว่าที่พ่อกับแม่คิด

​5 วิธีสร้างลูกให้เป็นเด็กมีปฏิภาณไหวพริบ

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

วิธีสร้างลูกให้เป็นเด็กมีปฏิภาณไหวพริบ

เด็กที่รู้จักคิดและช่วยเหลือตนเองได้ มาจากการฝึกฝนวิธีคิดตั้งแต่เล็กๆ โดยคนสำคัญที่ช่วยให้ลูกมีปฏิภาณไหวพริบดี คือพ่อแม่นั่นเอง ซึ่งการที่เด็กมีปฏิภาณไหวพริบจะช่วยให้เขาเอาตัวรอดจากเหตุการณ์คับขัน หรือสามารถช่วยเหลือตนเอง และช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย

5 วิธีที่จะสร้างลูกให้มีปฏิภาณไหวพริบกัน

1.ให้โอกาสลูกทำด้วยตัวเอง

เช่น ให้ลูกถือขวดนมเอง ลูกจะเรียนรู้ว่าต้องจับแบบไหน กินอย่างไรนมถึงจะเข้าปาก หรือแม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง เช่น ให้ลูกวัย 2 ขวบช่วยม้วนผ้าอ้อมไปทิ้งถังขยะด้วยตนเอง นอกจากลูกจะได้เรียนรู้จักหน้าที่แล้ว ยังได้เรียนรู้จักแก้ปัญหา เช่น เปิดฝาถังขยะไม่ออก ลูกจะเกิดความสงสัยว่าต้องทำอย่างไร อาจจะต้องเพิ่มน้ำหนักในการกดที่เปิดให้แรงขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกตว่าลูกทำอะไรได้บ้าง ต้องเปิดโอกาสให้ทำด้วยตัวเอง และต้องไม่กลัวข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะความสกปรกเลอะเทอะ หรือลูกหกล้ม เพราะเมื่อไหร่ที่ล้ม ลูกก็จะรู้จักระมัดระวังตัวเองขึ้น  

2.เลี้ยงลูกนอกบ้านบ่อย ๆ

เพราะโลกกว้างจะช่วยกระตุ้นให้ลูกทำอะไรที่ท้าทายมากขึ้น จากการเห็นนั่นเอง

3.ลูกรู้จักคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาได้จากการเล่น

โดยพ่อแม่กำหนดโจทย์ให้ลูก เช่น เอารูปภาพมาต่อกัน จาก 2 ชิ้น เพิ่มเป็น 4 จาก 4 เพิ่มเป็น 8 หรือเอาบล็อกมาต่อกัน ต่ออย่างไรให้สูงๆ เอาปากกามาขีดเส้นให้ลูกลาก ลูกจะต้องลากอย่างไร จากจุดหนึ่งมาอีกจุดหนึ่งต้องหลบเส้นไหนบ้าง เป็นต้น เด็กเรียนรู้ได้มากกว่าที่พ่อแม่คิดเสมอค่ะ จึงไม่ควรให้ลูกทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ แต่ควรกระตุ้นให้ลูกทำอะไรที่ยากขึ้น เพื่อฝึกลูกได้รู้จักคิดและเคยชินกับการแก้ปัญหา

4.ให้ลูกช่วยทำงานบ้าน

เช่น การรดน้ำต้นไม้ ลูกจะเทน้ำอย่างไรไม่ให้หก ทำอย่างไรจะให้น้ำ 1 ขันพอรดทั้ง 2 ต้น หรือพ่อแม่อาจบอกลูกว่ากระบอกนี้ให้รดได้ 3 ต้น ลูกก็จะคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาเองว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ตามนั้น

5.หมั่นสังเกตลูก

เพราะพัฒนาการของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พ่อแม่ต้องคอยสังเกตว่าลูกทำอะไรได้ดี บางอย่างลูกทำได้ แต่บางอย่างลูกอาจไม่ถนัด ดังนั้นจึงต้องช่วยให้ลูกสนุกกับสิ่งที่ต้องทำ ให้ได้เล่นอิสระ โดยพ่อแม่แค่ต่อยอดความคิดให้ ตั้งโจทย์และคำถามเพื่อกระตุ้นให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาอยู่เสมอค่ะ



5 วิธีแก้ปัญหาพี่น้องตีกัน

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

5 วิธีแก้ปัญหาพี่น้องตีกัน

ถ้าบ้านเริ่มมีบรรยากาศการทะเลาะกัน อิจฉากันของลูก ๆ คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งหนักใจไป เพราะเป็นธรรมชาติของเด็ก ๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่จัดการกับการทะเลาะของลูกได้อย่างถูกต้อง ลูกจะได้ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่จะรักและดูแลซึ่งกันและกัน รวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเรามีข้อแนะนำมาฝากค่ะ

วิธีแก้ปัญหาพี่น้องตีกัน

1.ให้ความใส่ใจและใช้เวลากับลูกเฉพาะคน (คุณกับลูก) ทุกคนเท่าเทียมกันในทุก ๆ วัน วิธีนี้จะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนพิเศษสำหรับพ่อและแม่

2.อย่าเอาลูกมาเปรียบเทียบกัน ไม่ว่าเรื่องใดๆ และไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กอื่นๆในลักษณะที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า

3.สนับสนุนให้ลูกแต่ละคนสนใจในกิจกรรมที่แตกต่างกันไป กิจกรรมที่ต่างกันช่วยลดความรู้สึกอิจฉาในหัวใจน้อย ๆ ของลูกลงได้

4.พยายามให้ลูก ๆ รับผิดชอบและทำงานร่วมกัน เช่น ช่วยกันเก็บของเล่นเข้าที่ หรือร่วมกันจัดโต๊ะอาหาร พ่อแม่ต้องทำให้เห็นว่าการช่วยเหลือกันจะทำให้งานสำเร็จ

5.ใจเย็นเข้าไว้ พยายามแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างลูก ๆ คลี่คลายสถานการณ์ แยกแยะเหตุผลให้ลูกเข้าใจ และไม่ใช้มาตรการว่า "เป็นพี่ต้องเสียสละ" ลูกจะเรียนรู้ได้จากสิ่งที่คุณสอนและบอกเขาค่ะ

5 เคล็ดลับเตรียมสมองลูกให้พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

ตอนลูกกลับมาจากโรงเรียน พ่อแม่อย่างเราก็อยากได้ยินลูกเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังใช่ไหมคะว่า วันนี้เรียนอะไรมาบ้าง เล่นอะไรกับเพื่อน ช่วยครูทำอะไร ชอบหรือไม่ชอบทำอะไร อยากทำอะไร การส่งเสริมให้ลูกพร้อมเรียนรู้ที่โรงเรียน จนกลายเป็นความจำ ทักษะ และความสามารถต่างๆ เริ่มที่พ่อแม่นะคะ และนี่คือ 5 เคล็ดลับเตรียมสมองลูกให้พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวันจากโรงเรียน ไปลุยกันเลยค่ะ     

1.อ่านหนังสือเล่านิทานเป็นประจำ

การอ่านหรือเล่านิทานให้ลูกฟังจะช่วยให้ลูกใช้ความคิด จินตนาการ และนำตัวอย่างจากนิทานไปใช้ในชีวิตประจำวัน  รู้จักเชื่อมโยงคำศัพท์กับภาพต่าง ๆ และมีจินตนาการที่กว้างไกลขึ้น ทำให้ลูกเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่โรงเรียนได้ทุกวัน   

2.ฝึกสมองผ่านการเล่นเกม

คุณพ่อคุณแม่ลองหาเกมที่เหมาะกับวัยลูกมาติดบ้านไว้ เกมมีหลายประเภท เช่น เกมปริศนา (Puzzle Games) ช่วยพัฒนาทักษะทางความคิดหรือสติปัญญาผ่านการแก้ปัญหา การคิดเป็นเหตุเป็นผล เกมฝึกความจำ (Memory Games) ช่วยฝึกฝนการจดจำ กระตุ้นพัฒนาการสมองและสายตา  

3.นอนเป็นเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ  

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ หลับสนิทดีในแต่ละคืนช่วยตระเตรียมสมองลูกให้พร้อมในการเริ่มวันใหม่ เมื่อลูกได้นอนหลับสนิท หลับอย่างมีคุณภาพ ไม่ได้หลับๆ ตื่นๆ จะทำให้ตื่นมาสดใส ไม่ง่วงหรือซึม สะลึมสะลือระหว่างวัน พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี ช่วงเวลาที่ลูกนอนหลับเป็นช่วงที่ช่วยให้สมองจัดระบบความทรงจำให้เข้าที่เข้าทาง เด็ก 2-3 ขวบ ควรนอนวันละประมาณ 12-13 ชั่วโมง และเมื่อโตขึ้นชั่วโมงการนอนก็จะค่อย ๆ ลดลง  

4.เลี้ยงลูกให้มีความสุข ไม่เครียด

การเลี้ยงดูหรือสภาพแวดล้อมในบ้านก็มีผลกับสมองของลูก บ้านที่เป็นระเบียบจะทำให้ลูกมีสมาธิมากกว่าบ้านที่รก และเด็กที่รู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข ไม่เครียด จะทำให้การทำงานของคลื่นสมองลูกช้าลง ซึ่งคลื่นสมองระหว่าง 8 – 13.9 Hz หรือที่เรียกว่าคลื่นสมองระดับอัลฟ่า (Alpha Brainwave) เป็นสภาวะที่ลูกรู้สึกสงบ มีสมาธิ ช่วยให้ลูกสามารถเรียนรู้ได้ดี จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น  

5.ให้ลูกดื่มนมแพะเป็นประจำดีต่อสมอง

ในนมแพะมี ดีเอชเอ และเออาร์เอ ซึ่งเป็นองค์ประสอบสำคัญที่ช่วยพัฒนาสมองและการมองเห็น มีโอเมก้า 3 6 9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยในการทำงานของสมอง มีโคลีนช่วยสร้างสารสื่อสัญญาณประสาท ช่วยพัฒนาการเรียนรู้และความจำ

ดังนั้นการให้ลูกดื่มนมแพะเป็นประจำนอกจากดีกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแล้วยังดีกับสมองของลูกด้วย   นมแพะดีจีห่วงใยสุขภาพเด็กๆ ดื่มนมแพะวันละ 2 แก้วเช้าเย็น เพื่อสารอาหารครบถ้วนและเพิ่มพลังสมองพร้อมเรียนรู้ในทุกวันนะคะ

 
 
 

​5 เรื่องที่พ่อแม่ต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ถ้าอยากให้ลูกลงมือทำ

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้-สอนลูก-พ่อแม่มีอยู่จริง-ทักษะพ่อแม่-พ่อแม่ควรมี 

คุณพ่อคุณเคยรู้สึกบ้างไหมคะว่า “ลูกไม่ได้ดั่งใจเลย” บอกให้ทำอะไรก็ไม่ทำ ต้องบังคับกันตลอดเวลาให้ทำตาม แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกลงมือทำด้วยตัวเองจนเป็นนิสัยล่ะ? คุณพ่อคุณแม่ไงคะ เรานี่แหละต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นและทำไปพร้อมเขา ลูกจะเห็นและเรียนรู้ทำตามได้ และนี่คือ 5 พื้นฐานง่าย ๆ ที่ ถ้าพ่อแม่ทำเองให้ได้ก่อนและทำให้ลูกเห็น รับรองว่าลูกจะทำตามจนกลายเป็นนิสัยและทักษะดี ๆ ได้แน่นอนค่ะ  

  1. อยากให้ลูกมีวินัย พ่อแม่ต้องมีวินัย 

เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยกิจวัตรประจำวันค่ะ เช่น ตื่น กิน นอน ออกกำลังกาย ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ลูกเห็นว่าในแต่ละวันเราควรทำอะไร ตอนไหน ชวนลูกทำไปพร้อมกันจนเป็นนิสัย ลูกจะรู้จักหน้าที่ของตัวเอง และเคารพกฎระเบียนอื่นๆ ได้เมื่อโตขึ้นค่ะ 

  1. อยากให้ลูกรู้จักหน้าที่ พ่อแม่ต้องมีความรับผิดชอบ 

คุณพ่อคุณแม่ที่แบ่งหน้าที่ทำงานบ้านกันชัดเจน ควรทำให้ลูกเห็นเสมอว่าเราสามารถรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายได้ดี เช่น กวาดบ้าน ล้างจาน ล้างรถ ซักผ้า เป็นต้น เมื่อพ่อแม่ทำเป็นประจำมาขาด ลูกจะเรียนรู้ได้ว่าหาตัวเองได้รับมอบหมายงานอะไรก็ต้องทำให้ได้เช่นกัน 

  1. อยากให้ลูกพูดขอโทษ พ่อแม่ต้องรู้จักยอมรับผิด

พ่อแม่ก็ทำผิดพลาดได้ค่ะ เมื่อรู้ตัวว่าทำผิดควรยอมรับความผิดและพูดขอโทษ เมื่อลูกเห็นและได้ยินก็จะเรียนรู้ได้ว่า ใครๆ ก็ทำผิดพลาดได้ แต่ต้องยอมรับความผิดตัวเองและขอโทษให้เป็น ซึ่งการขอโทษควรทำแม้แต่เรื่องเล็กน้อยให้เป็นนิสัยค่ะ เช่น คุณแม่มารับลูกช้าไปปล่อยลูกรอนานก็ควรพูดขอโทษ คุณพ่อแอบกินขนมลูกหมดก็ต้องขอโทษ เป็นต้น 

  1. อยากให้ลูกเป็นผู้ให้ พ่อแม่ต้องรู้จักแบ่งปัน 

คุณพ่อคุณแม่ลองทำให้เห็นได้หลายวิธีค่ะ เช่น แบ่งขนมให้คนข้างบ้าน ซื้อขนมไปสวัสดีคุณปู่คุณย่า ให้เพื่อนข้างบ้านยืมของ เป็นต้น ลูกจะเห็นและเรียนรู้ว่าการแบ่งปันเท่าที่ทำได้จะช่วยสร้างเพื่อน และได้รับการแบ่งปันเช่นเดียวกันกลับมา

  1. อยากให้ลูกกล้าคิดกล้าทำ พ่อแม่ต้องกล้าถาม 

พ่อแม่หลายคนติดนิสัยคิดแทนลูก ทำแทนลูก ลองเปลี่ยนเป็นการให้ลูกคิดเองและทำเองบ้างค่ะ เช่น วันนี้ลูกอยากกินอะไร แล้วพาลูกเข้าครัวไปทำด้วยกัน เพราะเด็กๆ เรียนรู้ได้มากขึ้นจากการคิดและลงมือทำเองนะคะ 

ยังมีอีกหลายเรื่องที่พ่อแม่ทำตัวเป็นตัวอย่างให้ลูกได้ เพื่อสอนให้ลูกเรียนรู้ค่ะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “พ่อแม่ต้องเปิดใจ” ให้ลูกได้ลอง เพราะหากพ่อแม่เปิดใจและกล้าปล่อยให้ลูกลุยทำเองบ้าง เขาจะกลายเป็นเด็กแกร่งที่สามารถเอาตัวรอดและเติบโตได้เป็นอย่างดีนะคะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

6 วิธีถนอมดวงตาง่าย ๆ ช่วงที่เด็กเรียนออนไลน์

 สายตา- เรียนออนไลน์- การถนอมสายตา- ถนอมดวงตาจากการใช้จอ- การเรียนรู้- การเลี้ยงลูก

วิธีถนอมดวงตาง่าย ๆ ช่วงที่เด็กต้องเรียนออนไลน์

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 นักเรียนไม่สามารถไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ตามปกติ ต้องเรียนหนังสือทางออนไลน์เป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อดวงตา เรามาดูวิธีการถนอมดวงตา โดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขกันค่ะ

6 วิธีถนอมดวงตาง่าย ๆ ช่วงที่เด็กต้องเรียนออนไลน์

1.กระพริบตาให้บ่อย เมื่ออยู่หน้าจอเพื่อป้องกันตาแห้ง หากมีอาการตาแห้งควรใช้น้ำตาเทียม เพื่อลดการระคายเคืองตา

2.ควรพักสายตาเป็นระยะทุก 20-30 นาที ให้พักจากจอประมาณ 30-60 วินาที โดยการมองออกไปไกลๆหรือหลับตาหากจำเป็นต้องอยู่หน้าจอนานเกิน 30 นาที ควรพักการทำงานทุก 1-2 ชั่วโมงประมาณ 5-15 นาที

3.ใช้แผ่นกรองแสงจากหน้าจอหรือใส่แว่นกรองแสงปรับแสงหน้าจอให้พอเหมาะไม่สว่างเกินไป

4.ไม่ควรทำงานในที่มืดจัดวางจอให้อยู่ในระยะพอเหมาะที่ตามองสบายไม่ต้องเพ่งโดยเฉลี่ยระยะจากตาถึงจอควรมีระยะ 45-50 ซม.

5.รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดจอประสาทตาเสื่อมได้แก่ ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้มอาทิ แครอท ฟักทอง ผักใบเขียว เช่น คะน้า ปวยเล้ง ฯลฯ

6.ดื่มน้ำให้เพียงพอเนื่องจากการดื่มน้ำบ่อย ๆ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ดวงตา

คุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะการเรียนผ่านออนไลน์ต้องใช้เวลาอยู่กับหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ต้องใช้สายตาในการเพ่งมองดูข้อมูลหน้าจอ อาจมีผลให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา ซึ่งอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อพักตาอาจช่วยบรรเทาอาการแต่หากเกิดอาการผิดปกติทางตา ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย รับคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม

 

ที่มา : กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

​7 ข้อเสีย หากลูกเล่นแท็บเล็ต หรือ ดูทีวีมากเกินไป

 การเลี้ยงลูก-พฤติกรรมเด็ก-ลูกดื้อ-ลูกก้าวร้าว-ลูกติดมือถือ-ข้อเสียของการติดมือถือ-ลูกติดมือถือทำไงดี

​7 ข้อเสีย หากลูกเล่นแท็บเล็ต หรือ ดูทีวีมากเกินไป

ปัจจุบันทุกๆ บ้านมักจะเอาเทคโนโลยีเข้ามาเลี้ยงลูก หรือตามใจลูกปล่อยให้ดูทีวีทั้งวัน แต่ทราบหรือไม่ว่ามีผลต่อพัฒนาการของลูกอย่างมากหากไม่กำหนดเวลาดูให้เหมาะสม เพราะเด็กในวัยต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่ควรเล่นหรือดูสื่อเหล่านี้เด็ดขาด มาดูผลเสียที่ตามมากันค่ะ

  1. เด็กขาดพัฒนาการการด้านการสื่อสาร แท็บเล็ตและทีวี เป็นการสื่อสารทางเดียว ทำให้เด็กขาดพัฒนาการการด้านการสื่อสาร และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงส่งผลให้เด็กพูดช้าและพูดไม่ชัด

  2. มีส่วนทำลายสมอง การที่เด็กๆ จ้องมองจอภาพเป็นเวลานานมีส่วนทำลายสมอง และทำให้ประสิทธิภาพเรื่องความจำถดถอยลง เด็กจะไอคิวต่ำไม่ได้มาตฐาน

  3. ความสามารถในการสื่อสารจะลดลง หรือพัฒนาการทางสมองช้านั่นเอง เด็กที่ไม่เล่นแท็บเล็ต ไม่ดูทีวี เด็กเหล่านี้จะชอบสังเกตสิ่งรอบข้างและทำกิจกรรมกับครอบครัวดังนั้นจึงมีไอคิวสูงมากกว่าเด็กที่ชอบอยู่กับหน้าจอ

  4. ร่างกายไม่แข็งแรง เด็กจะเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว เหนื่อยง่าย เพราะนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน ขาดการเคลื่อนไหวออกกำลังกายตามที่ควรจะเป็น หรืออีกแบบคือจะกลายเป็นเด็กขี้เกียจ

  5. ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เพราะเด็กเริ่มแยกแยะโลกของอินเทอร์เน็ต กับความจริงไม่ได้ เด็กมักจะหงุดหงิดง่าย ใจร้อน รอคอยไม่เป็น

  6. ขาดทักษะการสื่อสารและเข้าสังคม เหมือนที่ใครๆ พูดว่าสังคมก้มหน้านั่นแหละ แต่ในเด็กจะเป็นมากกว่าเพราะเด็กไม่รู้ว่าอะไรเหมาะสม พ่อกับแม่ต้องคอยควบคุม หากปล่อยให้อยู่หน้าจอจนเคยชินแบบนี้ เด็กจะไม่มีสังคมไม่คุยกับใครเลย

  7. ขาดสมาธิ เด็กจะไม่มีใจจดจ่อกับกิจกรรมอะไรที่ต้องใช้สมาธิ หรือสมองในการแก้ปัญหา เพราะเคยเจอแต่หน้าจอที่แสดงสีสันสดใส เคลื่อนไหวได้รวดเร็วทันใจ อาจจะกลายเป็นเด็กสมาธิสั้นไปเลยก็ได้

สำหรับเด็ก วัย 3 ขวบขึ้นไป สามารถเล่นหรือดูได้ แต่ต้องจำกัดเวลาในการเล่น รวมแล้วไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาทางพัฒนาการตามมาค่ะ

7 ทักษะฝึกฝนให้ลูกเก่งภาษา เหมือนจบออกมาจากโรงเรียนนานาชาติ

 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

ปัจจุบันภาษาเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากเลยนะคะ ถ้าเด็กคนไหนเก่งภาษาแล้วล่ะก็ เหมือนได้ใบเบิกทางสู่อนาคตที่ดี เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้ลูกของเราได้รับโอกาสได้งานดีๆ เงินเดือนสูงๆ และที่สำคัญสามารถใช้ทักษะทางภาษาเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ด้วย คุณแม่คุณพ่อต้องมาให้ความสำคัญเรื่องภาษาของลูกตั้งแต่ยังเด็กๆ เพราะเราสามารถเสริมทักษะภาษาของลูกได้แต่อายุยังน้อย ด้วย 7 ทักษะง่ายๆ เพื่ออนาคตที่ดีของลูกกันนะคะ

  1. อ่านหนังสือให้ลูกเห็นอยู่เสมอ ๆ  ใช้คำพูดที่ถูกต้องและเข้าใจง่าย มีมุมหนังสือเป็นมุมโปรดที่คุณพ่อคุณแม่จะพาลูกไปนั่งทำกิจกรรมด้วยกัน รวมถึงการชักชวนให้ลูกอ่านหนังสืออยู่เสมอๆ เพื่อสร้างนิสัยรักการอ่านที่จะติดตัวไปจนถึงตอนโตค่ะ

  2. ผลัดกันเล่าเรื่องที่เจอในแต่ละวัน  กิจกรรมนี้อาจดูธรรมดา แต่รู้ไหมว่าคุณพ่อคุณแม่จะได้รู้ถึงความสามารถด้านภาษาของลูกได้ดีทั้งเรื่องการพูดชัดถ้อยชัดคำ การเรียงลำดับเหตุการณ์ การเรียบเรียงคำพูด การคิดก่อนพูด การเลือกใช้คำต่างๆ รวมไปถึงยังช่วยทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกของลูกในแต่ละวันด้วยค่ะ

  3. ร้องเพลงภาษาอังกฤษ  หรือ ภาษาไทยง่ายๆ หรือภาษาที่ลูกสนใจ เพื่อสร้างความคุ้นชินให้กับหูของเค้า เมื่อถึงเวลาที่ได้ลงมือเรียนเค้าจะจดจำได้ถึงสำเนียง และวิธีการออกเสียงที่ถูกต้อง การเรียนรู้คำศัพท์จากเพลงจะช่วยให้ลูกจำได้ง่ายขึ้นกว่าการสอนแบบท่องจำ เพราะความสนุกจะช่วยให้ลูกเปิดใจรับและจำมากกว่าการถูกบังคับให้ท่องคำศัพท์ค่ะ

  4. พ่อแม่ต้องพยายามพูดให้ถูกสำเนียงที่สุด  เพราะเด็กวัย 1-6 ขวบอยู่ในช่วงชอบเลียนแบบ เค้าจะจดจำทุกอย่างที่เราทำ และทำตามกลับมา ซึ่งถ้าเราเป็นตัวอย่างที่ถูกต้องให้เค้าได้เห็นแต่แรก พื้นฐานของลูกน้อยก็จะเด่นเหนือเพื่อนคนอื่น ๆ ในชั้นเรียนแน่นอน

  5. เริ่มจากการพูดประโยคใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน  เช่น ยืน นั่ง นอน กิน เดิน อาบน้ำ แต่งตัว ประโยคทั่วไปที่จะทำให้เค้าเก่งภาษาขึ้นมาได้ ความเคยชินจะช่วยให้ศัพท์ต่าง ๆ ฝังลึกลงไปในสมอง และพร้อมนำมาใช้งานทุกเวลาที่ต้องการ

  6. หนังสือเสริมพัฒนาการที่มีสีสันสะดุดตา  หรือภาพสวยงาม น่ารัก อย่าลืมนะคะว่าการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อเสมอไป ถ้าเราทำให้เค้าชอบได้ เค้าก็จะอยู่กับมันได้นาน

  7. การเรียนรู้ภาษาสามารถทำได้ทุกที่ ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงบ้าน ระหว่างทางที่รับเค้ากลับมาจากโรงเรียน หรือขณะเดินเล่นที่ห้าง เราอาจจะชี้ให้เค้าทายว่าของชิ้นนั้นคืออะไร เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้กับเจ้าตัวน้อย แค่นี้ก็ได้รู้อะไรเพิ่มอีกเยอะแล้ว

ทักษะด้านภาษาจะเกิดขึ้นได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ คุณแม่ควรใช้ความสม่ำเสมอในการกระตุ้นและส่งเสริม ไม่ควรเร่งรัดหรือกดดัน เพราะอาจจะยิ่งทำให้ลูกไม่กล้าแสดงความสามารถด้านภาษาออกมาได้โดดเด่นอย่างที่ควรจะเป็น ลองใช้วิธีปล่อยให้ลูกเรียนรู้ และเราคอยสนับสนุน หากลูกสามารถพัฒนาทักษะด้านภาษานี้ได้ จะเป็นสิ่งที่ติดตัวไปจนโตและสามารถพัฒนาไปใช้ควบคู่กับทักษะอื่นๆ ได้ไม่ยากแน่นอนค่ะ

7 วิธีเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น ดูสบาย ๆ แต่เด็กมีความรับผิดชอบสูงลิ่ว

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

เคยเห็นเด็กๆ ญี่ปุ่นไหมคะ ทำไมเขาช่างน่ารัก ไม่ชอบโวยวาย พูดดีเกินวัย กล้าพูด แถมมีมารยาทดีอีกด้วย อีกทั้งหนังสือเลี้ยงลูกของญี่ปุ่นก็ยังได้รับความนิยมมากๆ เราเลยจะมาบอกถึงวิธีการเลี้ยงลูกของคนญี่ปุ่นกัน ว่าคุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเลี้ยงลูกแบบเข้าใจธรรมชาติของเด็กอย่างไรบ้างค่ะ

 
7 วิธีเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น ดูสบายๆ แต่เด็กมีความรับผิดชอบสูงลิ่ว

1.ชวนลูกคุยและรับฟังลูกเสมอ

การชวนลูกคุยเป็นประจำก็จะได้รับฟังปัญหาของลูกด้วย ไม่มองปัญหาของลูกเป็นเรื่องของเด็กๆ ควรฟังและใช้เหตุผลสอนลูก และแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้ลูก จะได้ร่วมแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปสู่พฤติกรรมที่ดีของลูกค่ะ

2.ฝึกให้ลูกตรงต่อเวลา

ชาวญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องการตรงต่อเวลามากๆ ซึ่งถูกฝึกมาตั้งเเต่เด็กๆ เช่น ฝึกลูกตื่นและนอนให้ตรงเวลาแม้กระทั่งวันหยุด ให้ความสำคัญกับอาหารเช้าและทานให้เป็นเวลา เมื่อครบเวลาเเล้วลูกจะต้องเก็บจานอาหารในทันที การฝึกแบบนี้อาจะต้องใช้เวลาแต่เด็กจะสามารถปรับตัวได้เองค่ะ

3.ส่งเสริมจุดแข็งของลูก

สนับสนุนอย่างเต็มที่ พ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นเชื่อเสมอว่าลูกจะต้องมีสิ่งพิเศษในตัวเอง เลยชอบพาลูกไปทำกิจกรรมและมองหาสิ่งที่ลูกถนัด เช่น เล่นกีฬา วาดภาพ ทำอาหาร เป็นต้น อะไรที่ลูกชอบจะต้องส่งเสริมให้ลูกทำสิ่งนั้นๆ อย่างสุดความสามารถ

4.ไม่ปกป้องลูก

เมื่อลูกทำผิด หากลูกทำผิดไป พ่อกับชาวญี่ปุ่นจะเข้าไปสอนลูกทันทีไม่ปล่อยเรื่องราวผ่านไปให้ลูกชะล่าใจ และเเนะนำสิ่งที่ถูกให้กับลูกโดยไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถือว่าพฤติกรรมเล็กๆ ในวันนี้อาจเป็นเรื่องใหญ่ในวันหน้าค่ะ

5.สอนลูกให้พูดขอโทษเเละขอบคุณ

คนไทยส่วนใหญ่มักจะสอนให้เด็กพูดว่า ขอ ซึ่งชาวญี่ปุ่นมักปลูกฝังให้เด็กๆ พูดขอบคุณเเละขอโทษตั้งแต่เด็กจนเป็นนิสัย เเต่ไม่ใช่เพียงคำพูดเท่านั้น เพราะถือว่าเด็กๆ ต้องพูดออกมาจากความรู้สึกให้ผู้ฟังสัมผัสได้ด้วย

6.สอนให้เห็นแก่ส่วนรวม

ต้องไม่เห็นแก่ตัว การฝึกให้ลูกมีจิตสาธารณะเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับชาวญี่ปุ่น ต้องทิ้งขยะให้ลงถังและต้องแยกชนิดของขยะให้ถูกต้อง ต้องมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก ต้องเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคมชาวญี่ปุ่นจะพูดคำว่า 'ต้อง' ทำเสมอ

7.แสดงความรักต่อลูก

พ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นไม่ลังเลเลยที่จะเเสดงออกว่ารักลูก ทั้งการกอด สัมผัส เเละบอกรัก สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นใจในอนาคต

 

นอกจากนั้นพ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นก็มักจะชื่นชมลูกบ่อยๆ เพราะเป็นอีกทางหนึ่งในการพัฒนานิสัยที่ดีของเด็กค่ะ

8 คำพูดต้องห้าม ที่ลูกไม่อยากได้ยินจากปากคนเป็นพ่อแม่

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

คำพูดต้องห้าม ที่ลูกไม่อยากได้ยินจากปากคนเป็นพ่อแม่

เด็ก ๆ ที่อยู่ในช่วงของวัยเรียนรู้ มักจะเป็นคนช่างสังเกตและจดจำรายละเอียด โดยเฉพาะคำพูดของผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังคำพูดเป็นอย่างยิ่ง ไปดูคำที่ไม่ควรพูดเหล่านี้กันค่ะ

8 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก คำพูดที่ปิดกั้นพัฒนาการเด็ก
  1. ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง คำพูดนี้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่ชอบกันทั้งนั้นใช่ไหมคะ ฟังแล้วรู้สึกเสียความมั่นใจ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะโมโหหรือโกรธสักแค่ไหน ก็ไม่ควรเผลอพูดคำนี้ออกมาเด็ดขาด เพราะนั้นจะทำให้เด็กไม่กล้าจะลองทำสิ่งใหม่ๆ พัฒนาการเด็กก็จะย้ำอยู่กับที่ และอาจจะไม่กล้าแสดงออกอีกต่อไป ดังนั้นควรใช้คำพูดในเชิงบวกเข้าไว้ ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ แนะนำและให้กำลังใจจะเป็นผลดีกว่านะคะ
  1. หุบปากแล้วอยู่เงียบ ๆ เด็กที่อยู่ในวัยที่กำลังหัดพูด มักจะชอบพูดไปตามประสาหรือพูดอยู่ตลอดเวลา หากเด็กพูดคำที่ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ก็ควรพูดหรือสอนกับลูกดีๆ อย่าแสดงอาการแสดงรำคาญเวลาที่ลูกถามหรือสงสัย เพราะเด็กจะไม่กล้าถาม ไม่กล้าแสดงออก และรู้สึกเก็บกด และพัฒนาการเด็กจะช้าลง ไม่มีความสุขทั้งในการเรียนและเล่นกับเพื่อน ๆ 
  1. ต้องมีความเป็นลูกผู้ชาย คำว่าต้องมีความเป็นลูกผู้ชายนั้น ไม่ควรพูดกับลูกนะคะ เพราะจะเป็นการปิดกั้นพัฒนาการเด็ก ลูกของคุณอาจจะสับสนว่า การเป็นลูกผู้ชายนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เด็กอาจจะรู้สึกสับสนและลังเลในสิ่งที่จะทำ และไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกหรือไม่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรแสดงความเป็นผู้นำให้ลูกได้เห็นเป็นตัวอย่างที่ถูกต้อง
  1. ทำแบบนี้เดี๋ยวไม่รักนะ เพราะว่าคำพูดเหล่านี้จะไปกระทบความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจลูก อย่าคิดว่าเป็นแค่คำพูดธรรมดาเอง ไม่มีอะไร ลูกคงรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่รัก แต่ในความเป็นจริง คำพูดเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของลูกมากที่สุด
  1. ทำไมน่ารำคาญอย่างนี้ คำพูดนี้ก็เช่นเดียวกันกับคำพูดว่าไม่รักแล้ว เพราะจะบั่นทอนความรู้สึกเชื่อมั่น อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจว่าตกลงพ่อแม่ยังรักเขาหรือเปล่า ซึ่งความมั่นคงทางจิตใจของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ การรู้จักแบ่งปัน การรู้จักตัวเองและคนอื่น
  1. ทำไมไม่ได้เหมือนลูกคนอื่นๆ การเปรียบเทียบลูกกับพี่ๆน้องๆ หรือเด็กคนอื่นๆ จะทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น ไม่ควรพูดจาเปรียบเทียบลูก ถึงแม้จะทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เด็กอาจจะเก็บไปคิดน้อยใจ ติดค้างอยู่ในใจได้
  1. อย่าทำแบบนี้เดี๋ยวตำรวจจับ การขู่ด้วยการหลอก เช่น หลอกผี หรือเอาตำรวจมาขู่ การขู่เป็นการใช้คำพูดเพื่อสื่อออกมาว่า เมื่อทำแบบนี้แล้วจะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง ซึ่งภาษาที่พ่อแม่สื่อสารกับลูกเป็นสิ่งสำคัญในการลำดับความคิดของเด็ก การบอกเหตุและผลที่สอดคล้องกัน ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดีกว่า และพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ก็จะดีตามไปด้วย แต่การขู่ด้วยเรื่องไม่เป็นเหตุผลก็จะทำให้เด็กขาดการเรียนรู้แบบเป็นเหตุเป็นผล และเมื่อโตขึ้นก็อาจจะยิ่งไม่เชื่อฟัง เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง
  1. ล้อเลียนเรื่องน่าอาย หรือ ปมด้อย การนำปมน้อยมาล้อเลียน หรือเรื่องน่าอายของลูกๆ มาเล่า มาล้อให้คนอื่นฟัง พ่อแม่อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ทราบไหมคะว่า อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด เสียใจ เป็นปมที่ฝังอยู่ในใจลูกไปตลอดได้ค่ะ

และยังมีอีกหลายคำพูดนะคะ ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำมาพูดให้ลูกได้ยิน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลดีกับเด็กแล้ว อาจส่งผลกับพัฒนาการของลูกด้วยค่ะ

8 ที่เที่ยวธรรมชาติสำหรับเด็ก แหล่งเรียนรู้ฝึกจิตใจอ่อนโยน

1999

ช่วงวันหยุดยาว ลองหาเวลาพาลูกๆไปเที่ยวแนวรักษ์ธรรมชาติกันดูนะคะ ได้เรียนรู้พร้อมกับเล่นสนุกไปในเวลาเดียวกัน ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์กับ 8 สถานที่เที่ยวแบบธรรมชาติ ที่จะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้โลกกว้างจากการได้สัมผัสกับธรรมชาติและมีกิจกรรมต่างๆมากมายให้เด็กๆได้ทำ สามารถนำมาต่อยอดความรู้ สร้างสรรค์จินตนาการได้ของลูกได้อย่างดีเยี่ยมค่ะ 

แนะนำ 8 ที่เที่ยวแบบธรรมชาติสำหรับเด็ก

1.ที่เที่ยวธรรมชาติ : ดวงตวัน บ้านสวน

เป็นสถานที่สาธิตการเพาะปลูกตามวิถีเกษตรธรรมชาติ ที่เหมาะกับเด็กๆ มาก เพราะไม่ใช้สารเคมีใดๆ มีแปลงเกษตรธรรมชาติขนาดย่อมๆ ให้แต่ละครอบครัวมาลองปลูกพืชผัก พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำในการวางแผนเพาะปลูกอีกด้วย มีสินค้าเกษตรธรรมชาติจำหน่ายในราคาย่อมเยาด้วยนะคะ

ที่อยู่ : ดวงตวัน บ้านสวน 18/1 ถ.คลองสิบสาม แขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร
เฟซบุ๊ก : ดวงตวัน บ้านสวน 
เวลาเปิด / ปิด : โทรสอบถามได้ที่ 088-883-6138

2. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : Farm de Lek

Farm de Lek เรียกในภาษาไทยได้ว่าว่า ฟาร์มตาเล็ก เป็นฟาร์มที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ธรรมชาติแบบสบายๆ สูดอากาศดีๆ ขอบอกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบไม่คิดเงินด้วยนะคะ หากจะพาเด็กๆ มาเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติต้องนัดล่วงหน้า มีกิจกรรมแสนสนุก เช่น การปลูกต้นไม้ ให้อาหารสัตว์ เล่นที่สนามเด็กเล่น พร้อมกิจกรรมเล่นน้ำขี่ม้า และขับรถ ATV ค่ะ


ที่อยู่ : ต.คลองใหญ่ อ.องครักษ์ จ.นครนายก หรือ คลอง 15 รังสิต-นครนายก
เฟซบุ๊ก : Farm de Lek
เว็บไซต์ : http://www.farmdelek.com/
โทร : 098 463 8223

3. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : ไร่หยดพิรุฬ 

ไร่หยดพิรุฬ มีคอร์สให้เด็กๆ เลือกเพลิดเพลินได้มากมายตามความชอบ สำหรับเด็ก 3-12 ขวบ เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ฟรีค่ะ การมาที่ไร่แห่งนี้จะทำให้เด็กๆ ได้เห็นโลกกว้าง ได้สนุก ได้สัมผัสความเป็นธรรมชาติ และความเป็นไทย มีกิจกรรมต่างๆ มากมาย เช่น จับแมลง จัดสวนในขวดแก้ว เก็บผัก ทำอาหาร ทำขนมไทย เล่นสไลเดอร์โคลน


ที่อยู่ : ไร่หยดพิรุฬ ต.บางกระบือ อ.เมืองสิงห์บุรี จ.สิงห์บุรี 
เฟซบุ๊ก : ไร่หยดพิรุฬ
เว็บไซต์ : https://raiyodpiroon.wixsite.com/homepage
ไลน์ ไอดี : @RaiYodpiroon
โทร : 092 2480202

4. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : ไร่ปลูกรัก

เป็นไร่ปลูกผักอินทรีย์บนเนื้อที่กว่า 60 ไร่ กิจกรรมสนุกๆ มากมาย เช่น เล่นว่าวริมนา ลุยดำนาโยนข้าว เกี่ยวข้าว ปลูกผักเพ้นท์กระถาง สไลเดอร์ริมนา พายเรือ เลี้ยงเป็ดในนาข้าว ปิ้งข้าวจี่ทานเอง เก็บไข่เป็ดทำไข่เค็มสูตรโบราณ หากได้มาที่นี่รับรองสนุกแบบธรรมชาติจริงๆ เด็กๆ จะพูดถึงไปอีกนานเลยค่ะ


ที่อยู่ : 130 ม.1 ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี
เฟซบุ๊ก : ไร่ปลูกรัก
เว็บไซต์ : http://www.thaiorganicfood.com/
โทร : 086 332 7365

5. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : Little Tree, House of Learning

ค่ายเรียนรู้ศิลปะ ธรรมชาติ และทักษะชีวิต เพราะอยากให้เด็กๆ ได้อยู่ท่ามกลางสายลม แสงแดด ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติบ้าง กิจกรรมเสริมทักษะก็เช่น การย้อมผ้า การปลูกต้นไม้ การทำอาหาร และการทำงานศิลปะ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ที่อยู่ในสวน โดยจะหมุนเวียนไปตามฤดูกาลค่ะ


ที่อยู่ : ต. อ้อมใหญ่ อ. สามพราน จ. นครปฐม
เฟซบุ๊ก : Little tree, house of learning
เว็บไซต์ : https://littletreecamps.wordpress.com/
โทร : 086 306 4852

6. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : บ้านนาครูธานี หอมชื่น 

ที่นา 25 ไร่ กลายเป็นศูนย์เรียนรู้ เพื่อปลูกฝังให้ทุกครอบครัวรู้จักวิถีชีวิตชาวนา และคุณค่าของเมล็ดข้าว เด็กๆ จะได้รู้จักกระบวนการทำนาทุกขั้นตอน ได้ทดลองสีข้าว ฝัดข้าว เกี่ยวข้าว รวมถึงการดำรงชีวิตแบบชาวชนบท เช่น การขูดมะพร้าว การโม่แป้งทำขนม ขี่ควาย นั่งเกวียน เก็บไข่ไก่ ปีนต้นไม้ เล่นไม้โถกเถกแบบไทยๆ ค่ะ

ที่อยู่ : อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
เฟซบุ๊ก : ครูธานี หอมชื่น
โทร : 02-976-2064 และ 085-930-4216

7. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : เบิกบานบุรี 

เบิกบานบุรี คือที่เรียนรู้ธรรมชาติกับชีวิตที่เรียบง่าย ที่นี่ให้เด็กๆ จะได้ปลูกข้าวอินทรย์ ผัก และสมุนไพร ได้ทำอาหาร และเครื่องดื่มสมุนไพรแสนเรียบง่าย ได้พักเย็นๆ ใต้ต้นไม้ร่มรื่น โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ และลงมือทำภาชนะเซรามิกส์ด้วยตนเองอีกด้วย

ที่อยู่ :  95 ม.3 ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 
เฟซบุ๊ก : เบิกบานบุรี 
เว็บไซต์ : http://www.burgbarnburi.com/

8. ที่เที่ยวธรรมาชาติ : Art Inner Place 

สตูดิโอศิลปะเพื่อให้เด็กๆ และตอนนี้ได้เปิดตัวโครงการศิลปะสำหรับเด็กชื่อ ‘โรงเรียนในภูเขา’ แล้ว เป็นหลักสูตรระยะสั้นที่อยากสอนให้เด็กๆ ได้รู้จักศิลปะแห่งความดีที่มีอยู่ในตัวเด็กๆ ทุกคน โดยผ่านการระบายสี ดนตรี และกิจกรรมสนุกๆ อีกมากมาย


ที่อยู่ : ๗ Art Inner Place เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
เฟซบุ๊ก : ๗ Arts Inner Place
เว็บไซต์ : https://www.arttherapythai.com/
โทร : 093-235-6679


ภาพและข้อมูลจาก : เพจ ดวงตวัน บ้านสวน, Farm de Lek, ไร่หยดพิรุฬ, ไร่ปลูกรัก, Little Tree, House of Learning, บ้านนาครูธานี หอมชื่น, เบิกบานบุรี และ Art Inner Place

EF คืออะไรทำไมถึงสำคัญกับลูกมากกว่า EQ และ IQ

EF, Executive Functions, IQ, EQ, RLG, Rakluke, Rakluke Group, สถาบันอาร์แอลจี, รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป 

EF ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ

EF (Executive Functions) เป็นกระบวนการทางความคิด (Mental process) ในสมองส่วนหน้า ที่เกี่ยวข้องกับการคิด ความรู้สึก และการกระทำ เช่น การยั้งใจคิดไตร่ตรอง การควบคุมอารมณ์ การยืดหยุ่นทางความคิด การตั้งเป้าหมาย วางแผน ความมุ่งมั่น การจดจำและเรียกใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ และการทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอนจนบรรลุความสำเร็จ ซึ่งเป็นทักษะที่มนุษย์เราทุกคนต้องใช้ มีความสำคัญยิ่งต่อทั้งความสำเร็จในการเรียน การทำงาน รวมทั้งการมีชีวิตครอบครัว ทักษะ EF นี้นักวิชาการระดับโลกชี้แล้วว่า สำคัญกว่า IQ

ทั้งนี้ มีงานวิจัยชัดเจนว่า ช่วงวัย 3-6 ปีนี้ เป็นช่วงเวลาทองของชีวิตในการพัฒนาทักษะ EF ให้กับเด็ก เพราะสมองจะมีการพัฒนาทักษะ EF ได้ดีที่สุดในช่วงเวลานี้ พ้นจากช่วงเวลานี้ไปถึงวัยเรียน วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แม้จะยังพัฒนาได้ แต่ก็จะไม่ได้ดีเท่ากับช่วงปฐมวัย

Executive Functions (EF) ประกอบด้วยทักษะ 9 ด้าน ประกอบด้วย

1.Working memory ความจำที่นำมาใช้งาน ความสามารถในการเก็บข้อมูล ประมวล และดึงข้อมูลที่เก็บในคลังสมองของเราออกมาใช้ตามสถานการณ์ที่ต้องการ

2.Inhibitory Control การยั้งคิด และควบคุมแรงปรารถนาของตนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จนสามารถหยุดยั้งพฤติกรรมได้ในกาลเทศะที่สมควร เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ ก็เหมือน “รถที่ขาดเบรก”

3.Shift หรือ Cognitive Flexibility การยืดหยุ่นความคิด สามารถปรับเปลี่ยนความคิดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปยืดหยุ่นพลิกแพลงเป็น เห็นทางออกใหม่ๆ และคิดนอกกรอบ”ได้

4.Focus / Attention การใส่ใจจดจ่อมุ่งความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยไม่วอกแวก

5.Emotional Control การควบคุมอารมณ์ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จัดการกับความเครียดความเหงาได้ มีอารมณ์มั่นคง และแสดงออกแบบที่ไม่รบกวนผู้อื่น

6.Planning and Organizing การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการเริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวม จัดลำดับความสำคัญ จัดระบบโครงสร้าง จนถึงการแตกเป้าหมายให้เป็นขั้นตอน

7.Self -Monitoring การรู้จักประเมินตนเอง รวมถึงการตรวจสอบการงานเพื่อหาจุดบกพร่อง และรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ได้ผลอย่างไร

8.Initiating การริเริ่มและลงมือทำงานตามที่คิดเมื่อคิดแล้วก็ลงมือทำ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

9.Goal-Directed Persistence ความพากเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย เมื่อตั้งใจและลงมือทำแล้ว มีความมุ่งมั่นบากบั่น ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆก็พร้อมฝ่าฟันจนถึงความสำเร็จ

 

สถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) ในฐานะ Content Experts ผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาวิชาการ และเป็นผู้นำในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก สตรี ครอบครัว ผู้สูงวัย ชุมชนและสังคม ได้ทำการจัดการความรู้เรื่อง “Executive Functions (EF)-ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ” อันเป็นความรู้ที่วงการพัฒนาการเด็กในต่างประเทศกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งในประเทศไทยมี รศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและคณะจากศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ศึกษาวิจัยและรวบรวมงานวิจัยจากต่างประเทศ และสถาบันอาร์แอลจีได้จัดการความรู้และพัฒนาให้ความรู้ EF เป็นที่เข้าใจง่าย โดยมุ่งหวังให้พ่อแม่และบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะปฐมวัยศึกษาสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเด็กได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยมุ่งมั่นว่า EF จะเป็นองค์ความรู้หนึ่งที่จะร่วมส่งเสริมการปฏิรูปการศึกษาของไทยที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้

Mom's Issue EP 16 (Rerun) : นิทานก่อนนอนช่วยหนูอ่านออก

 

“นิทาน” คือฮีโร่ของแม่ ๆ เป็นตัวช่วยชั้นดียามคิดมุกไม่ออก หยิบนิทานมาเล่า มาเล่น ทั้งสนุก สร้างการเรียนรู้และสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว และที่สำคัญจะได้อย่างไม่รู้ตัวเลยคือนิทานเป็นบันไดขั้นแรกของการให้อ่านหนังสือออก

 

ฟังเทคนิคจากแม่ดอยและป้าปอย ที่จะทำให้นิทานช่วยให้เจ้าหนูอ่านออก

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

 

Mom's Issue EP 17 : Tiktok Brain เลี้ยงลูกด้วยคลิปสั้น ทำลายสมอง

 

Tiktok Brain ผลกระทบจากการดูคลิปสั้น ส่งผลกระทบกับสมองและการเรียนรู้ของเด็กอย่างไรบ้าง แม่ดอยและป้าปอยชวน อจ.ธาม เชื้อสถาปนศิริ มาพูดคุยถึงผลกระทบ พร้อม How To การเลือกคลิป ที่ดูแล้วเป็นมิตรกับการเรียนรู้และสมอง

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP 20 : ของเล่น Unisex เล่นได้พัฒนาการดี

 

ป้าปอยและแม่ดอยชวนมาแชร์ไอเดียเลือกซื้อของขวัญให้เด็กๆ ไม่ว่าจะเด็กชายเด็กหญิง เลือกซื้อแบบไหนดี ไปฟังกันเลย

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues