facebook  youtube  line

รักลูก The Expert Talk Ep.83 : สร้างทุนชีวิต แก้วิกฤตเด็กปฐมวัย

 

รักลูก The Expert Talk Ep.83 : สร้างทุกชีวิต แก้วิกฤตเด็กปฐมวัย

การลงทุนกับเด็กไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ “เวลาคุณภาพ” และ “ความเข้าใจลูก” และมีอีกหลายเรื่อง ที่พ่อแม่สามารถทำได้ มีอะไรบ้าง

 

ชวนฟัง The Expert ครูหวาน ธิดา พิทักษ์สินสุข นายกสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.95 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “ไม่จับจด ไม่เอาแต่ใจ รู้ผิดชอบชั่วดี”

รักลูก The Expert Talk Ep.95 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว "ไม่จับจด ไม่เอาแต่ใจ รู้ผิดชอบชั่วดี"

ผลลัพธ์ของการเลี้ยงทั้ง 3แบบเด็กจะเป็นอย่างไร หากกำลังเลี้ยงลูกแบบ 3 วิธีการนี้ ลูกจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร และต้องปรับแนวทางการเลี้ยงลูกอย่างไร ฟัง The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

เราเลี้ยงลูกบนความไม่เข้าใจบางเรื่องเป็นความปรารถนาดีอยากให้ลูกมีความสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแต่ความปรารถนาบางครั้งต้องให้ลูกเจอความผิดหวัง เช่น ลูกผิดหวังไม่ได้เลยก็ต้องสอนให้ลูกผิดหวังบางครั้งพ่อแม่เจ็บปวดที่ลูกร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งหวังซึ่งไม่ผิด แต่เราปรับจูนความเข้าใจกันว่าจะมีจังหวะไหนที่ผ่อน จังหวะไหนที่ตึงบางเรื่องแล้วทำให้พ่อแม่รู้เท่าทันว่าบางเรื่องเราต้องถอยบางเรื่องรักษาระยะห่างเป็นการเรียนรู้ร่วมกันแต่จะผิดคือบกพร่องหน้าที่พ่อแม่

เลี้ยงปกป้องเกินไป เด็กขาดความมั่นใจ (Over Protection)

เป็นหน้าที่พ่อแม่ที่ต้องปกป้องลูกแต่ถ้ามากเกินไปมีปัญหาคือไม่ปกป้องเลย เช่น ตอนเป็นเด็กลูกร้องไห้ ปัสสาวะ อุจจาระราดที่บอกว่าเด็กร้องไห้ไม่ต้องสนใจ จริงๆแล้วเด็กอายุน้อยกว่า 6เดือนไม่มีมารยาไม่มีอารมณ์ไม่มีเงื่อนไขแต่รู้สึกไม่สบายตัวจึงร้องไห้ออกมา พ่อแม่ต้องรีบไปดูทันทีเพื่อปกป้องแต่พ่อแม่ไม่ทำนี่คือบกพร่องต่อหน้าที่ หิวก็ปล่อยลูกร้องอายุน้อยกว่า 6เดือน ซึ่งถ้าน้อยกว่า6เดือนไม่มีเงื่อนไขนอกจากหิวไม่สบายตัวจริงๆ

หรือที่ชัดกว่านี้คือเมื่อเด็กมีอารมณ์แต่พ่อแม่น็อตหลุดแทนที่จะเป็นการปกป้องกลายเป็นทารุณกรรมนี่เป็นปัญหา ซึ่งมีหลากหลาย Under Protection แย่ บกพร่อง มีปัญหา และ Over Protectionก็มีปัญหา เช่น เด็กที่ไปเที่ยวแล้วก็ถามว่า “รู้ไหมชั้นลูกใคร” แล้วพ่อแม่ตามไปปกป้อง แม้กระทั่งลูกทำผิดกฎหมายก็ยังเข้าข้าง ปกป้องคุ้มครองจนไม่รู้รับผิดชอบชั่วดี

หรือกรณีที่ด็กอนุบาลแกล้งกันเด็กจบแล้วแต่พ่อแม่ไม่จบบิวท์อารมณ์กันผ่านSocial mediaใช้อารมณ์ของลูกเป็นตัวตั้งจนยกพวกตีกันในรร.อนุบาล แต่ลูกกำลังเห็นโมเดลว่าพ่อแม่กำลังทำอะไร คือยิ่งมีลูกน้อยลงพ่อแม่จะรักแบบเทหมดใจ ซึ่งดีแต่มันเยอะเกินไปผลคือเด็กไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

เลี้ยงอ้วน เด็กเอาแต่ใจ (Overfeeding)

คำว่าอ้วนเอาแต่ใจมาจากระดับโภชนาการและเรื่องการซื้อของ มีอันจะกิน มีข้าวกิน มีอาหาร มีของครบตามความจำเป็นหมวดนี้คือการบริโภคนิยมและทุนนิยมอ้วนเอาแต่ใจ เป็นประเภทที่เยอะ แต่ถ้าบกพร่องคือข้าวไม่มีกินคือเกิดปัญหาเราเห็นเด็กที่มีปัญหาภาวะขาดอาหารทุพภาวะโภชนาการ ส่วนอีกกลุ่มตรงกันข้ามคือ มีอันจะกิน กินทิ้งกินขว้าง กินไม่เลือก กินได้ตลอดเวลา จึงขึ้นว่าอ้วนเอาแต่ใจ

มีเคสหนึ่งที่พ่อจบป.เอกถามหมอว่าสอนให้ลูกหัดผิดหวังให้เป็น แล้วถ้าลูกผมดูดขวดนมอย่างสร้างสรรค์แล้วจู่ๆ จะให้ยกเลิกการดูดขวดนมอย่างสร้างสรรค์ก็เท่ากับว่าผมไปบล็อกความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งลูกอายุ 8ขวบแล้วหมอตกใจมากที่ยังดูดนมอยู่คือไม่ต้องคิดว่าอ้วน ฟันผุ ฟันเหยินหรือไม่ หมอจึงบอกพ่อคนนั้นว่าเป็นหน้าที่ของพ่อไหมต้องสอนให้ลูกหัดผิดหวังให้เป็น หรือพอจะตอบหมอได้ไหมว่าจะอยู่จนชั่วชีวิตลูกจะหาไม่ไหม

Overfeed คือการให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นการผิดหลักEQทั้งหมดจะเห็นว่าเด็กเอาแต่ใจ ยับยั้งอารมณ์ไม่ได้ ไม่ซื้อของลงไปดิ้นกลางห้าง โตมาหน่อยก็กรี๊ดสนั่นหรือพ่อแม่ที่ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมไม่อั้นลูกก็ซึมซับ ปากเราพูดอย่างแต่เราทำอีกแบบ ลูกเห็นว่าพ่อแม่ก็ไม่ยั้งตัวเองจับจ่ายอย่างสนุกซื้ออาหารเต็มที่เพราะว่ารวย กินทิ้งกินขว้างไม่มี dog bag คือเหลือเอาเก็บมากิน ลักษณะนี้เรียกว่า อ้วนเอาแต่ใจ มีปัญหาEQ โตมาเป็นคนที่บริโภคนิยมทุนนิยมใช้เงินซื้อทั้งหมดเราคงไม่อยากฝึกลูกให้เป็นแบบนี้ การยั้งตัวเองแล้วทำให้ดูมีประสิทธิภาพ กว่าใช้ปากพูดแล้วสอนให้ลูกเป็นแต่วิธีการทำเป็นอีกแบบมันทำไม่ได้พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบ

เลี้ยงอวดรวย (Multiple homes)

หลักการคือการไม่มีบ้านก็เป็นเด็กเร่ร่อนคือบกพร่องไม่มีบ้านอยู่ ส่วนมีหลายบ้านคือมีทั้งบ้านและคอนโด จันทร์ถึงศุกร์อยู่คอนโดเสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน ผลคือลูกไม่รู้จักข้างบ้าน ไม่มีการร่วมทุกข์ร่วมสุข ซึ่งเมื่อก่อนเราเติบโตมาเป็นชุมชนมีรากเหง้าเราจะเรียนรู้ซึมซับร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับชุมชนจะรักและเรียนรู้รากเหง้าของเราเองว่าเราเป็นคนจังหวัดนี้ พอย้อนกลับไปก็ภูมิใจว่าบ้านเราเมื่อก่อนเจริญแต่เด็กยุคนี้ไม่มี

การอยู่หลายที่ทำให้ความรักในรากเหง้าการเรียนรู้อยู่ในชุมชนจะอ่อนแอไปด้วย ผลลัพธ์คือโตเป็นคนจับจด เปลี่ยนที่ได้ง่ายเวลาเข้ามาทำงานก็ทำงานตามค่าตอบแทนที่สูงกว่า ความมั่นคงในจิตใจที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขในองค์กรไม่มี อาจจะบอกว่านี่เป็นเทรนด์ใหม่ของโลกก็เพราะสถานการณ์บีบบังคับจึงทำให้ได้เทนรด์ใหม่ของโลกในลักษณะนี้ แต่เราจำเป็นต้องเติมไม่งั้นจะเป็นประเด็นเกิดขึ้นได้แน่นอน

สร้างวิถีใหม่ปรับเปลี่ยนแนวทางการเลี้ยงลูก

1.เรียนรู้ว่าความรักกับความถูกต้องคนละเรื่องกัน รักลูกก็จริงแต่ผิดลูกก็ต้องเรียนรู้ไม่ปกป้องแม้จะผิด

2.ต้องระมัดระวัง มีบันยะบันยัง วิธีการคือเราเองต้องเป็นต้นแบบที่ดี ทั้งการเลือกกิน เลือกซื้อของ คือหลักพอเพียง หัดเบรคตัวเองมีแล้วหรือยังลูกก็จะเรียนรู้ว่าพ่อแม่ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย

3.ต้องเปิดใจให้ลูกเรียนรู้ อยู่ร่วมกับการมีหลายบ้านให้รักรากเหง้าทำให้ลูกเป็นผู้ให้ในหมู่บ้าน ชุมชนในคอนโด ก็จะทำให้เกิดการรักรากเหง้าร่วมทุกข์ร่วมสุขในชุมชนได้

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

ลูกควรไปโรงเรียนตอนอายุเท่าไหร่? ถึงจะดีที่สุด

 5051

ลูกควรไปโรงเรียนตอนอายุเท่าไหร่? ถึงจะดีที่สุด

 
สมองของเด็กมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะช่วง 0-5 ปีแรก ซึ่งหากเทียบการเติบโตสมองเป็นต้นไม้ กิ่งก้านสาขาจะแตกกิ่งมากมายจนทางการแพทย์เรียกว่า รากประสาท แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติของการเจริญเติบโตของสมองจะมีการตัดริดกิ่งของรากประสาท ให้พัฒนาเฉพาะสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวัย 2-5 ปี และเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนโต
 
การเรียนรู้ของเด็ก ตามพัฒนาการมาจากการหลอมรวมกันของการกระตุ้นประสาทสัมผัส ซึ่งในเด็กเล็กเรียนรู้ได้ตั้งแต่ที่บ้านผ่านการสัมผัส การเล่น การมีกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะ 4 ด้าน ได้แก่ กล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ภาษา สังคม และอย่าลืมว่าเด็กที่มีรากประสาทเติบโตมากมาย ก็มาจากระบบการศึกษาและตัวอย่างในสังคมที่เด็กรับรู้ด้วย ดังนั้นการเรียนของเด็กวัย 0-5 ปีเรียนรู้ได้ทั้งจากที่บ้านและนอกบ้าน
 
พื้นฐานและตัวอย่างในครอบครัวจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ของเด็ก ควรได้รับการปลูกฝังที่ดีจากครอบครัวที่อบอุ่น และมีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาลูกในมุมของพัฒนาการเด็ก ดังนั้นหากครอบครัวที่ไม่พร้อม ไม่มีเวลา ขาดการดูแลที่ไม่เหมาะสมตามวัยก็อาจทำให้เด็กมีพัฒนาล่าช้า ไม่พร้อมสำหรับการเรียนรู้ในโรงเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น
 
การตัดสินใจให้เด็กเข้าเรียน ควรคำนึงถึงพัฒนาการทางอารมณ์ด้วย เด็กในวัยก่อน 3 ขวบ โดยปกติทางพัฒนาการจะกลัวคนแปลกหน้า และกลัวแยกจากผู้เลี้ยงดู การเข้าโรงเรียนเร็วกว่า 3 ขวบ อาจจะส่งผลทำให้เด็กเกิดความวิตกกังวลจากการแยกจาก (Separation Anxiety) ซึ่งบางคนงอแงมาก ปวดท้อง อาเจียน ฉี่ราด อึราด ก้าวร้าว อาละวาด หรือมีพฤติกรรมไม่พูด ต่อต้าน ก็มี ซึ่งหากเด็กมีอาการเหล่านี้ควรไปพบกุมารแพทย์หรือจิตแพทย์เด็กเพื่อรับคำปรึกษาดูแล
 
ดังนั้นเด็กควรจะพิจารณาการเข้าโรงเรียนหลังอายุ 3 ขวบ เด็กบางคนก็ยังมีอาการไม่พร้อมจะไปเรียนได้บ้าง ปัจจัยที่จะเกื้อหนุนให้เด็กปรับตัวได้ ได้แก่ บ้านและโรงเรียน ต้องร่วมมือกันช่วยให้เด็กมั่นใจและมีความพร้อมกายใจในการรับความรู้จากโรงเรียน ซึ่งการเรียนของเด็กเตรียมอนุบาลและอนุบาล ควรเน้นไปที่พัฒนาการเพราะสมองของเด็กเป็นวัยที่กำลังพัฒนาได้รวดเร็วมาก การเรียนควรเรียนรู้ผ่านการเล่น ไม่ควรเน้นวิชาการมากเกินไปจะทำให้เด็กได้รับความเครียด กดดันและเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ในอนาคต และที่สำคัญหากระบบการเรียนการสอนไปทำร้ายเด็ก เช่น บังคับให้เขียน บังคับให้กิน ทำโทษรุนแรง เป็นต้น ก็จะทำให้เด็กเกิดอารมณ์เครียดมาก สมองของเด็กจะจำได้และปิดกั้นการเจริญเติบโตของรากประสาท ทำให้ไม่อยากเรียนหนังสือในระบบได้
 
 
สรุปว่า เด็ก 0-5 ปีรากประสาทในสมองเจริญเติบโตได้เร็ว การเห็นและมีประสบการณ์ที่ดีจะทำให้เด็กมีพัฒนาการดีสมวัย สำหรับเรื่องพัฒนาการร่างกาย ทางอารมณ์และความคิด เด็กควรเข้าสู่ระบบโรงเรียนนอกบ้านหลัง 3 ขวบ
 
 
 
รักลูก Community of The Experts
 
นพ.ธันวรุจน์   บูรณสุขสกุล
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพระรามเก้า

ลูกชายถูกรังแก สอนให้สู้ดีไหม

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้ 

ลูกชายถูกรังแก สอนให้สู้ดีไหม

Q : กลุ้มใจครับลูกชายวัย 7 ปี เวลาเขาเล่นกับเพื่อนๆ เขาจะถูกรังแกบ่อยๆ (แอบสังเกตดู) กลับมาบ้านเขาจะร้องไห้ทุกครั้ง แล้วเล่าให้ฟังว่าโดนเพื่อนแกล้ง แต่ระยะหลังเขามักไม่เล่าให้ฟังแล้วครับ ถามก็ไม่ค่อยยอมตอบ ผมอยากสอนให้เขาสู้คนบ้าง ไม่รู้ว่าเหมาะสมไหมครับ

A : ปัญหาการรังแกกัน (bully) ของเด็กนั้น ถือเป็นปัญหาที่ผู้ปกครองควรให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เนื่องจากการปล่อยให้เด็กถูกรังแกไปนานๆ จะมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก หรืออาจลุกลามไปถึงผลการเรียนของเขา และอาจพานให้เขาไม่อยากไปโรงเรียนเลยก็ได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหาวิธีช่วยเหลือลูกโดยด่วน ซึ่งทำได้ดังนี้ครับ…
 

1.เลี้ยงลูกให้เข้มแข็ง เด็กหลายคนอาจมีบุคลิกภาพพื้นฐาน (temperament) เป็นเด็กที่ค่อนข้างขี้กลัว หรือปรับตัวยากอยู่แล้ว ดังนั้นหากเราไม่ได้ส่งเสริมความมั่นใจให้เขาแล้วละก็ เมื่อไปโรงเรียนแล้วเจอบรรดาเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งหลายลูกคงลำบากแน่ๆ แต่สิ่งสำคัญคือเราเลี้ยงดูให้เขาเป็นคนมีความภาคภูมิใจในตนเอง สามารถช่วยเหลือตนเองและแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตนเองได้
 

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มต้นด้วยการสำรวจว่ามีสิ่งใดที่เด็กวัยประถมควรทำด้วยตัวเองได้ แต่เขายังไม่ยอมทำ หรือยังมีคนที่บ้านคอยทำให้เขาอยู่ เช่น ป้อนข้าว อาบน้ำ แต่งตัว ผูกเชือกรองเท้า เป็นต้น ควรปล่อยให้เขาทำเอง และเมื่อเขาทำได้ก็ควรชมเชยเขา เพื่อให้เขาเกิดความรู้สึกว่า "ไอ้เรานี่มันก็ใช้ได้นี่นา" และหากคุณพ่อคุณแม่ต้องการหลักสูตรเร่งรัด หมอแนะนำว่า หาโอกาสให้เขาได้ช่วยเราทำอะไรบ้าง เช่น ช่วยถือของ ช่วยล้างรถ ช่วยดูน้อง เป็นต้น อย่าลืมชมเชย และขอบอกขอบใจเขาด้วย เด็กที่มีโอกาสช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่นั้นจะเกิดความภาคภูมิใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองว่า "ขนาดพ่อแม่ยังไว้วางใจให้ฉันช่วยเลย แปลว่าฉันนี่ก็ใช้ได้" หากเราเลี้ยงดูเขาแบบนี้ซักระยะ คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตเห็นความมั่นใจในตนเองจากเขามากขึ้น โดยสังเกตได้จากสีหน้า แววตา การนั่งและการเดินของเขาครับ
 

2.ป้องกันการถูกรังแก วิธีที่ดีที่สุดคือ การอยู่รวมกับเพื่อน การอยู่รวมกับเพื่อนเป็นกลุ่ม เนื่องจากคงไม่มีเด็กเกเรคนไหนกล้าฝ่ากลุ่มเพื่อนของลูกเรา เพื่อมาแกล้งลูกเราคนเดียว ดังนั้น เราควรสอนให้ลูกรู้จักหาเพื่อนไว้มากๆ ยิ่งลูกของคุณพ่อเป็นที่รักของเพื่อนมากเท่าไหร่ หากเขาถูกแกล้งรับรองได้ว่า คนที่แกล้งเขาจะถูกกดดันจากกลุ่มเพื่อนของลูกอย่างแน่นอน
 

สรุปสั้นๆ ว่าหากอยากให้ลูกเข้มแข็งต้องฝึกให้เขาช่วยเหลือตัวเองให้มาก และจะดียิ่งหากเราสอนให้ลูกช่วยเหลือคนอื่นด้วย ส่วนการป้องการการถูกรังแกที่โรงเรียนที่ดีที่สุด คือ อยู่กับเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไม่มีคุณครูอยู่ เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอครับ



นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จังหวัดเชียงใหม่
 

เด็กๆ ก็ทำได้! 5 วิธีสอนเด็กให้รักธรรมชาติ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

สถานการณ์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของโลกเราตอนนี้ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเราทุกคน โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ อยากให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มสอน และปลูกฝังความรักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกชีวิตบนโลกใบนี้

รักโลก รักอนาคต มาช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมนะคะ

5 วิธีสอนเด็กให้รักสิ่งแวดล้อม

1.แต่งตั้งตัวเล็กทำหน้าที่เป็น "ผู้ควบคุมไฟ" ในบ้าน คอยช่วยเปิดปิดไฟทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน

2.ทำให้การรีไซเคิลเป็นเรื่องสนุกใกล้ตัว ให้เด็กๆ เล่นเกมแยกแยะวัสดุ เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว สร้างนิสัยการรีไซเคิล เป็นต้น

3.ประหยัดน้ำ คุณพ่อคุณแม่ปิดน้ำทุกครั้ง ระหว่างการแปรงฟันเช้า-เย็นให้เด็กๆ เห็น

4.ปลูกต้นไม้กันเถอะ พ่อแม่ปลูกต้นไม้กับลูก ทำให้เด็กละเอียดอ่อน รักธรรมชาติ นำผลผลิตที่ปลูกได้มารับประทาน

5.วิ่งเล่นนอกบ้าน ลดการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย

คุณพ่อคุณแม่ต้องเริ่มปลูกฝังเด็กๆ ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้เขารู้คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมทั้งปลูกฝังให้ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมต่อไปในวันข้างหน้า




ที่มา : กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม




 

เตือน! อย่าขู่ลูก พร้อมแนะนำวิธีการพูดกับลูกที่พ่อแม่ควรรู้

 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

เตือนอย่าขู่ลูก พร้อมแนะนำวิธีการพูดกับลูกที่พ่อแม่ควรรู้

การขู่ลูกเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ต้องใช้ความรุนแรง แค่ทำเสียงเข้มขึ้นนิด ทำหน้าจริงจังอีกหน่อย ลูกก็จะหยุดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้ แต่การหยุดเหล่านั้น ไม่ถาวรและก็มีผลเสียตามมาแบบที่เราอาจจะไม่เคยคิดเลยทีเดียว ! เคยมั้ยที่เคยขู่ลูกเช่นนี้

-เดี๋ยวให้ตำรวจจับเลย 

-เดี๋ยวผีมาหลอกนะ 

-เดี๋ยวพาไปหาหมอ ให้หมอฉีดยาเลย..

-ไม่รักแล้ว อีกหนึ่งคำขู่ยอดฮิต “ถ้าหนูทำแบบนี้ แม่จะไม่รักแล้วนะ”

ทุกๆ อย่างที่แกล้งพูดขู่เด็กไป เป็นสิ่งที่จะฝังลงไปในความรู้สึกของเขา เขาจะรู้สึกกลัวอย่างไร้เหตุผล และกลัวในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องกลัว

อุปสรรคต่อความเข้มแข็งของเด็กคือความกลัว (FEAR) ซึ่งก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในจิตใจ ว้าวุ่น หวาดกลัว ไม่มั่นใจในตัวเอง และพาลเป็นผลเสียต่อสุขภาพ จึงต้องพยายามเลี้ยงลูกอย่าให้เป็นคนขี้กลัว กลัวอะไรโดยไม่มีเหตุผล

ผลกระทบ หากหลอกให้ลูกกลัว

1.ส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านอารมณ์และจิตใจอย่างมาก

2.ความกลัวจะฝังแน่นในความรู้สึก ส่งผลมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า ยิ่งทำให้เด็กกลัวการมาพบแพทย์

3.ทำให้เสียบุคลิกภาพ เป็นคนขี้ระแวงจนเกินเหตุ

4.ฝึกนิสัยการโกหก หลอกลวงเด็ก ไม่พูดความจริงกับเด็ก

5.ทำให้เด็กชอบโทษคนอื่น 

 

วิธีที่ถูกต้องที่ควรทำ

1.ให้คำชมแทน  เช่น ถ้าทำแบบนี้คุณแม่จะไม่ชมเชยหนูนะ หรือ ถ้าหนูไม่ทำหนูจะเป็นเด็กดีของแม่เลย เป็นต้น

2.คุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่างที่ดี คือถ้าอยากให้ลูกใส่รองเท้าเวลาออกจากบ้าน คุณแม่ต้องใส่เสมอ แล้วบอกลูกว่าเห็นมั้ยคุณแม่ก็ยังใส่เลย

3.บอกผลที่จะเกิดขึ้น  ถ้าลูกอยากทำอะไรที่เสี่ยงต่อการเจ็บตัว แล้วคุณแม่ดูว่าไม่อันตรายมากนัก ก็บอกเงื่อนไขให้ลูกรู้ค่ะว่าถ้าปีนเก้าอี้แล้วตกลงมาเจ็บคุณแม่จะไม่โอ๋ไม่ช่วยนะลูก เพื่อให้ลูกรู้ว่าถ้ายังตัดสินใจจะเล่น ตกลงมาเจ็บก็ห้ามเรียกร้องความสนใจ และคุณแม่ก็จะต้องไม่โอ๋จริงๆ นะคะ เพื่อให้ลูกรู้จักรับผิดชอบตัวเอง

4.ให้รางวัล ถ้าลูกทำตามที่เราบอกอาจจะให้รางวัลที่ลูกชอบค่ะ

5.งดของชอบ เพื่อเป็นการทำโทษ  เช่น วันนี้หนูดื้อกับแม่ แม่จะไม่ให้กินขนม 1 วัน แล้วคุณแม่ห้ามใจอ่อน ต้องทำจริงๆ

6.บอกรักลูก  เปลี่ยนจากการพูดว่าคุณแม่ไม่รักแล้ว มาเป็น คุณแม่เสียใจนะ คุณแม่โกรธแล้วนะที่ลูกทำแบบนี้ แต่ต้องย้ำให้ลูกรู้ว่าแม่ยังรักเขาอยู่ ลูกยังเป็นที่รักในสายตาแม่เสมอ แต่ว่าหากทำผิดก็ต้องโดนทำโทษ ซึ่งเป็นกฎตามปกติ

7.สอนเด็กถึงความเป็นจริง ลูกไม่สบาย ต้องไปหาคุณหมอ คุณหมอจะช่วยหนูให้หาย เดี๋ยวหมอจะเจาะเลือดหนู เจ็บนิดหน่อย ต้องอดทนนะลูก จะได้หายป่วย ให้กำลังใจลูก ลูกทำได้อยู่แล้ว คนเก่งของแม่

เมื่อน้องทำได้ดี เช่นไม่ร้อง ให้ความร่วมมือกับหมอ ต้องชื่นชม เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่ดี “แม่ภูมิใจในตัวหนู ที่เป็นเด็กดี ให้คุณหมอตรวจ”

8.เวลาลูกหกล้ม ก็อย่าไปโทษพื้นตีพื้น  ต้องบอกลูกตรงๆ ว่า หนูล้มเพราะหนูวิ่งเร็ว ไม่ระวัง ต่อไปจะเดินจะวิ่งต้องช้าๆ ระวัง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเจ็บอีกนะคะ

จริงๆ แล้วเรายังใช้วิธีขู่ลูกได้ แต่ต้องขู่ด้วยความจริง ด้วยเหตุและผล เพื่อให้เด็กรับรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง มีโอกาสตัดสินใจ และทำให้ลูกได้ตระหนักเมื่อโตขึ้นว่าพ่อแม่คือคนที่พูดความจริงกับเขามาอย่างสม่ำเสมอและยังเป็นการสร้างลูกให้เป็นคนมีเหตุผลด้วย

 

ขอบคุณข้อมูล : เพจInfectious ง่ายนิดเดียว

เปิดตัวแล้ว "The KOMMON" เว็บไซต์ใหม่ของ TK Park ตอบโจทย์การเรียนรู้แบบเกาะติดเทรนด์

5082 

เปิดตัวแล้ว "The KOMMON" เว็บไซต์ใหม่ของ TK Park ตอบโจทย์การเรียนรู้แบบเกาะติดเทรนด์

สถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park เปิดตัวเว็บคอนเทนต์ใหม่ ‘The KOMMON’ ตอบโจทย์ความสนใจด้านการเรียนรู้แบบเกาะติดเทรนด์ ด้วยเนื้อหาสาระที่ครอบคลุมด้านการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ ห้องสมุด หนังสือ การส่งเสริมการอ่าน นวัตกรรมการเรียนรู้ เน้นปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหว แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 เพื่อเป็นพื้นที่แสวงหาความรู้และจุดประกายแนวคิดใหม่ให้ทันโลก

 

เว็บไซต์ ‘The KOMMON’ ออกแบบมาให้เกิดการเรียนรู้แบบรอบด้านทั้งการอ่านเนื้อหา การรับชมวีดิโอ รวมทั้งการฟังผ่านพอดคาสต์ โดยมีเนื้อหาหลัก 5 ด้าน ประกอบไปด้วย

(1) ห้องสมุดและพื้นที่การเรียนรู้

(2) หนังสือ สื่อการเรียนรู้ การส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้

(3) Online Platform และ EdTech

(4) พฤติกรรมการอ่าน พฤติกรรมการเรียนรู้

(5) ทักษะศตวรรษที่ 21 การพัฒนาทักษะใหม่ และอาชีพการงานในอนาคต

 5082 1

นายวัฒนชัย วินิจจะกูล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาองค์ความรู้ สถาบันอุทยานการเรียนรู้ ในฐานะผู้ริเริ่มก่อตั้งและบรรณาธิการบริหารเว็บไซต์ กล่าวถึงเป้าหมายในการทำงานครั้งนี้ว่า มุ่งหมายจะเห็น The KOMMON เป็นแหล่งชุมนุมความคิดเรื่องพื้นที่สาธารณะเพื่อการเรียนรู้ และการพัฒนาห้องสมุดเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม อีกทั้งคาดหวังให้ทีมงานผู้นำเสนอเนื้อหา และผู้อ่าน ผู้ฟัง ผู้ดู ในฐานะผู้รับถ่ายทอดเนื้อหา ได้เรียนรู้ร่วมกันไปตลอดเส้นทางแห่งการเรียนรู้จากเว็บไซต์ใหม่นี้

"การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นไม่หยุดนิ่ง การวิ่งไล่ให้ทัน หรือจะเดินตามไปห่างๆ ช้าๆ หรือเลือกที่จะยืนนิ่งเฉย หรือจะหันหลังกลับ ล้วนเป็นเจตจำนงของแต่ละคนอย่างอิสระ แต่ข้อมูลข่าวสารความรู้และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นเรื่องของทุกคนที่ควรติดตามและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันเพื่อให้คิดเท่าทันโลก ไม่ใช่ถูกทำให้คิดและลงมือทำซ้ำในสิ่งเดิมๆ"

 

เว็บไซต์ The Kommon ประกอบด้วยเนื้อหาเพื่อการอ่าน การฟังและการชม มีหัวข้อเมนูที่น่าสนใจ ได้แก่ Common WORLD ว่าด้วยเรื่องห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ พื้นที่การเรียนรู้ เรื่องราวการเรียนรู้ต่างประเทศ Common VIEW ว่าด้วยการสัมภาษณ์บุคคลหรือกลุ่มคน เรียบเรียงออกมาทั้งในรูปแบบ ถาม-ตอบ และสกู๊ป Common Room เนื้อหาด้านระบบการศึกษา การส่งเสริม Lifelong Learning การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ หรือพื้นที่การเรียนรู้ใหม่ๆ ในประเทศไทย Book of Commons วิจารณ์-แนะนำหนังสือทั้งไทยและต่างประเทศ และ Common SENSE ข้อมูลสถิติ ผลการวิจัย ผลสำรวจต่างๆ ที่น่าสนใจ

ในส่วนของ Podcast มีรายการที่น่าสนใจมากมาย อาทิ รายการ readWORLD นำเสนอเรื่องราว ข่าวสาร สาระในโลกการอ่านและการเรียนรู้ เพื่อเปิดมุมมองและท้าทายความคิดในการเผชิญหน้าความเปลี่ยนแปลง รายการ Coming To Talk สนทนาสาระกับผู้คนทุกชนชั้นอาชีพ เพราะเราเชื่อว่า ‘การเรียนรู้ทุกประการเริ่มต้นที่การสนทนา’ รายการ ReadAround รวบรวมข่าวสาร ความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับการอ่าน การเรียนรู้ ห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ เทคโนโลยี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รายการ TK Forum บันทึกเสียงจากการบรรยายและการเสวนาในงาน TK Forum หรือการบรรยายพิเศษและเสวนาจากกิจกรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่จัดโดย TK Park และ และ รายการ WanderingBook นำเสนอมุมมอง ทัศนะ ผ่านการวิเคราะห์วิจารณ์ “หนังสือ”

นอกจากนี้ยังมีคอนเทนต์ในรูปแบบ VIDEO จากการบรรยายของงาน TK Forum และงานเสวนาของ TK Park และ TK common การวิเคราะห์หรือเรียบเรียงผลการดำเนินงานจากกิจกรรมที่สำคัญและน่าสนใจของ TK Park ที่ผ่านการจัดการความรู้ (KM) แล้ว นำมาเผยแพร่เพื่อให้มีการนำไปเป็นตัวอย่างปรับใช้หรือเป็นแบบอย่าง (Best Practice) ในการทำงานตามบริบทของพื้นที่การเรียนรู้ของตนเอง

ทุกคนที่สนใจสามารถเข้าชมเว็บไซต์ได้ที่ thekommon.coรวมทั้งกดติดตามเรื่องราวดีๆ ได้จากเฟซบุ๊กเพจ thekommon.co

เปิดเทอมนี้พร้อม! เตรียมความรู้ปูพื้นฐานให้ลูกรัก

เปิดเทอม-นักเรียน-โรงเรียน-การเลี้ยงลูก

เด็ก ๆ ใกล้จะเปิดเทอมกันแล้ว คุณพ่อคุณแม่และเจ้าตัวเล็กพร้อมหรือยังเอ่ย? ภารกิจแรกวันนี้ ขอเสนอกับช่วงเตรียมความรู้ปูพื้นฐานให้ลูกก่อนไปโรงเรียนกันค่ะ จะต้องเตรียมตัวอย่างไร สอนลูกให้เรียนรู้อะไรบ้าง มาดูกันเลยยย!  

ทักษะพื้นฐานวัยอนุบาล

การเตรียมตัวลูกน้อย ก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาล เรื่องการปูพื้นฐานความรู้เป็นสิ่งจำเป็นที่พ่อแม่ต้องสอนลูกนะคะ 

  1. ทักษะการเขียน เริ่มจากการซื้อหนังสือหัดเขียน ก-ฮ โดยมีคุณแม่หรือคุณพ่อ จับมือลูกเขียนตามรอยเส้นปะ หลังจากนั้นพอลูกเริ่มสามารถเขียนเองได้แล้ว สอนลูกให้เขียนชื่อจริง นามสกุล และชื่อเล่นของตัวเอง พร้อมกับให้อ่านออกเสียง

  2. ทักษะการท่องจำ นอกจากการสอนลูกให้เขียนตามรอยปะ ต้องสอนให้ลูกอ่าน พยัญชนะ ก-ฮ และอักษรภาษาอังกฤษ A-Z  โดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นคุณครูคนแรกค่ะ ปัจจุบันได้มีโปสเตอร์ ที่มีรูปภาพและคำประกอบ ภาษาไทย อังกฤษ เมื่อเรากด จะมีเสียงของคำนั้นๆ ออกมาด้วยค่ะ ง่ายต่อการเรียนรู้มากๆ 

  3. ทักษะการบวกเลขง่ายๆ เช่น 1+1 = 2 เป็นต้น เรื่องการบวกเลข ลบเลข เรื่องนี้จะไม่บังคับหรือเครียดกับลูกมากเกินไป ถ้าลูกตอบไม่ได้นะคะ เราควรต้องให้เวลาให้ลูกได้เรียนรู้ ยกตัวอย่างการสอน เรื่องสัญลักษณ์การบวก เท่ากับเพิ่มขึ้น สัญลักษณ์ลบ เท่ากับลบออก ลองหยิบผลไม้มาเป็นตัวช่วยดูสิ แอปเปิ้ล 1 ผล บวกกับ แอปเปิ้ล 1 ผล เท่ากับเท่าไหร่ค่ะ ถ้าลูกตอบได้ อาจมีรางวัลเล็กๆ ให้ลูกพอดีใจ เพื่อเป็นกำลังใจในการเรียนรู้ครั้งต่อไปนะคะ

ทักษะพื้นฐานวัยปฐมต้น

ผ่านชั้นอนุบาลมาได้แล้ว การเตรียมตัวขั้นตอนไปคือการขึ้นชั้น ป.1 อีกหนึ่งก้าวของความสำเร็จของลูก ดีใจด้วยนะคะ ต่อไปเป็นก้าวที่สองแล้ว เรามาเตรียมทบทวนความรู้ที่เคยเรียน พร้อมเสริมวิชาใหม่ๆ ให้ลูก เพื่อเพิ่มความรู้คูณสองกันค่ะ

  1. ทักษะการเขียน  ทบทวนวิชาภาษาไทย โดยมีคุณพ่อกับคุณแม่เป็นคุณครูสอนนะคะ เริ่มจากการเขียนชื่อ นามสกุล และชื่อเล่นของเจ้าตัวเล็กให้ถูกต้อง ถึงแม้ลูกอาจยังเขียนผิดๆ ถูกๆ บ้าง หากพ่อแม่คอยสอนทบทวน เรื่องความรู้ที่ลูกเรียนในแต่ละวัน สอนการเขียนคำที่ถูกต้อง ไม่นานค่ะ ลูกจะเริ่มจำและเรียนรู้ จนสามารถอ่านออก เขียนได้ถูกต้องทุกคำ

  2. ทักษะการท่องจำ  ซื้อหนังสือนิทาน บัตรคำศัพท์มาคอยให้ลูกได้ฝึกฝนคำศัพท์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษค่ะ ในเวลาว่างช่วงปิดเทอม ช่วยลูกเล่นเกมส์ทายสิอะไรเอ่ย ให้ทายคำภาษาไทย แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าทายถูกต้องรับไปเลย 1 ดาว แค่นี้ลูกก็มีกำลังใจและอยากจะเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกแน่นอนค่ะ

  3. ทักษะตัวเลข สอนลูกท่องจำเรื่องตัวเลข การเขียน สัญลักษณ์การลบ บวก คูณ เด็กวัยนี้ต้องเริ่มท่องสูตรคูณแล้วนะคะ อาจเริ่มที่ง่ายๆ ก่อน คือ แม่ 2 สอนลูกให้ท่องสูตรคูณก่อนนอน หรือตื่นเช้ามาท่อง เพื่อให้เขาได้จำ แล้วคุณแม่อย่าลืมทดสอบความจำของลูกด้วยนะคะ 

การปูพื้นฐานให้ลูกก่อนไปโรงเรียนถือเป็นเรื่องที่ดีนะคะ เป็นการเตรียมความพร้อมของลูกกับการเรียนต่างๆ ฝึกให้เขาคุ้นชินกับการท่องจำ การฝึกพูด อ่าน เขียน ภาษาไทยให้ถูกต้อง คนที่มีความรู้ก่อน มักจะได้เปรียบคนอื่นเสมอค่ะ หวังว่าบทความนี้จะให้ความรู้ ข้อแนะนำดี ๆ ที่มีประโยชน์ให้หลายครอบครัวนำไปใช้ เพื่ออนาคตที่ดีของลูกนะคะ

 

เรียนฟรี 15 ปี เด็กไทยได้อะไรบ้าง

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-โรงเรียน-เรียนฟรี-เรียนฟรี15ปี

เรียนฟรี 15 ปี เด็กไทยได้อะไรบ้าง

เคยได้ยินมาตลอดเกี่ยวกับนโยบายเรียนฟรี 15 ปี แต่คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าในปีแต่ละปีนั้นรัฐจ่ายอะไรให้กับการศึกษาของลูกเราบ้าง และแต่ละปี เด็กจะได้รับการสนับสนุนเท่าไหร่ เรามาดูกันค่ะ 

กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ซึ่งแต่ละปีการศึกษาจะมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนใน 5 หมวด ได้แก่


ค่าเล่าเรียนแบ่งเป็น
 

 
 

ก. การศึกษาในระบบที่เด็กนักเรียนจะได้รับการสนับสนุนต่อหัวอยู่ที่
 

  • อนุบาลคนละ 1,700 บาทต่อปี
  • ประถมศึกษา คนละ 1,900 บาทต่อปี
  • มัธยมต้น คนละ 3,500 บาทต่อปี
  • มัธยม ปลาย คนละ 3,800 บาทต่อปี
  • ปวช.(ช่างอุตสาหกรรม) คนละ 6,500 บาทต่อปี,
    (พาณิชยกรรม) คนละ 4,900 บาทต่อปี,
    (คหกรรม) คนละ 5,500 บาทต่อปี
    (ศิลปกรรม) คนละ 6,200 บาทต่อปี
    (เกษตรกรรมทั่วไป) คนละ 5,500 บาทต่อปี
    (เกษตรกรรมปฏิรูป) คนละ 11,900 บาทต่อปี
  • ปวช.คนละ 4,240 บาทต่อปี

หมายเหตุ :
 

  1. มีการเพิ่มการอุดหนุนแก่นักเรียนอนุบาล 3 ขวบในโรงเรียนเอกชน
  2. ปรับเพิ่มอัตราอุดหนุนให้โรงเรียนดอกชนอีกร้อยละ 10

 

หนังสือเรียน



กระทรวงศึกษาธิการฯ จะจัดสรรงบประมาณค่าหนังสือเรียนให้สถานศึกษาเป็นผู้บริหารจัดการเอง แต่ต้องกำหนดวิธีการให้ถูกต้องตามระเบียบของราชการ และให้มีการทำระบบหนังสือยืมเรียนเพื่อส่งต่อให้นักเรียนรุ่นต่อรุ่น หากหนังสือขาดหรือหายก็ต้องมีคณะกรรมการดำเนินการพิจารณาคัดเลือกหนังสือใหม่เพิ่มเข้ามา สำหรับเกณฑ์ของเงินที่จะจัดสรรเป็นค่าหนังสือเรียนตามรายหัว ต่อปี โดย
 

  •  
     
    อนุบาล คนละ 200 บาท
  • ประถมศึกษาปีที่ 1 คนละ 656 บาท
  • ประถมศึกษาปีที่ 2 คนละ 650 บาท
  • ประถมศึกษาปีที่ 3 คนละ 653 บาท
  • ประถมศึกษาปีที่ 4 คนละ 707 บาท
  • ประถมศึกษาปีที่ 5 คนละ 846 บาท
  • ประถมศึกษาปีที่ 6 คนละ 859 บาท
  • มัธยมศึกษาปีที่ 1 คนละ 808 บาท
  • มัธยมศึกษาปีที่ 2 คนละ 921 บาท
  • มัธยมศึกษาปีที่ 3 คนละ 996 บาท
  • มัธยมศึกษาปีที่ 4 คนละ 1,384 บาท
  • มัธยมศึกษาปีที่ 5 คนละ 1,326 บาท
  • มัธยมศึกษาปีที่ 6 คนละ 1,164 บาท
  • ปวช.คนละ 2,000.00 บาท

 

อุปกรณ์การเรียน



ในส่วนนี้พ่อแม่สามารถนำใบเสร็จจากการซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ของลูกมาเป็นหลักฐานในการเบิกเงินสดได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วหลายๆ โรงเรียนจะจัดสรรให้นักเรียนตามงบประมาณที่ได้แล้ว ได้แก่ แบบฝึกหัด สมุด ดินสอ ปากกา ยางลบ เครื่องมือเรขาคณิต วัสดุฝึกด้านคอมพิวเตอร์ (เช่น แผ่นซีดี) กระดาษ A4 สีเทียน ดินน้ำมัน เป็นต้น

สำหรับเกณฑ์ของเงินที่จะจัดสรรเป็นค่าอุปกรณ์การเรียนตามรายหัว มีดังนี้
 

  • อนุบาล คนละ 200 บาทต่อปี
  • ประถมศึกษา คนละ 390 บาทต่อปี
  • มัธยมต้น คนละ 420 บาทต่อปี
  • มัธยมปลาย คนละ 460 บาทต่อปี
  •  
     
    ปวช.คนละ 460 บาทต่อปี

 

เครื่องแบบชุดนักเรียน



กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาดำเนินการจัดทำบัญชีจ่ายเงินสดให้แก่ผู้ปกครองนักเรียนตามเกณฑ์ค่าใช้จ่ายรายหัว โดยผู้ปกครองและนักเรียนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดซื้อเครื่องแบบนักเรียนด้วยตนเอง และให้นำใบเสร็จรับเงินที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าเงินสดนั้น มาเป็นหลักฐานแสดงกับสถานศึกษา โดยมีการตรวจสอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาและภาคี 4 ฝ่ายอีกชั้นหนึ่ง

สำหรับเกณฑ์ของเงินที่จะจัดสรรเป็นค่าเครื่องแบบนักเรียนตามรายหัว ดังนี้
 

  • อนุบาล คนละ 300 บาต่อปี
  • ประถมศึกษา คนละ 360 บาทต่อปี
  • มัธยมต้น คนละ 450 บาทต่อปี
  • มัธยมปลาย คนละ 500 บาทต่อปี
  • ปวช.คนละ 900 บาทต่อปี

ทั้งนี้ เครื่องแบบนักเรียนจำกัดให้เด็ก คนละ 2 ชุดต่อปี ตามราคามาตรฐาน หากพ่อแม่ซื้อเครื่องแบบนักเรียนที่มีราคาสูงกว่าก็ต้องจ่ายส่วนต่างนั้นไป

ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน

กระทรวงศึกษาธิการได้จัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษา สำหรับบริหารจัดการกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้เองตามวัตถุประสงค์ใน 4 กิจกรรม ได้แก่
 

  1.  
     
    กิจกรรมวิชาการ โดยจัดอย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อคนต่อปี
  2. กิจกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรม เช่น ค่ายลูกเสือ ยุวกาชาด เนตรนารี โดยจัดอย่างน้อย 1 ครั้ง ต่อคนต่อปี
  3. ทัศนศึกษานอกสถานที่ โดยจัดอย่างน้อย 1 ครั้งต่อคนต่อปี
  4. บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรือคอมพิวเตอร์ โดยจัดอย่างน้อย 40 ชั่วโมง ต่อคนต่อปี


ส่วนเกณฑ์ของเงินที่จะจัดสรรเป็นค่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มีดังนี้

  • อนุบาล คนละ 215 บาทต่อภาคเรียน
  • ประถมศึกษา คนละ 240 บาทต่อภาคเรียน
  • มัธยมต้น คนละ 440 บาทต่อภาคเรียน
  • มัธยมปลาย คนละ 475 บาทต่อภาคเรียน
  • ปวช.คนละ 475 บาทต่อภาคเรียน

 


สำหรับโรงเรียนเอกชน เด็กๆ นักเรียนโรงเรียนเอกชนก็ได้รับการสับสนุนเช่นเดียวกับเด็กโรงเรียนของรัฐค่ะ แต่คุณพ่อคุณแม่อาจต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มมากกว่าโรงเรียนรัฐบาลสักหน่อยค่ะ   



4686 2




ที่มา : กระทรวงศึกษาธิการ, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 




 

เรียนรู้ได้...แม้โดนเพื่อนแกล้ง

4907

สาเหตุหนึ่งของอาการงอแงไม่อยากไปโรงเรียนคือ มาจากการโดนเพื่อนรังแก คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เรื่องนี้สอนลูก และเป็นผู้ช่วยในการให้ลูกก้าวผ่านสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนในการสอนให้ลูกมีทักษะที่พร้อมจะเติบโตได้ในอนาคตค่ะ

รับฟัง

คุณพ่อคุณแม่รับฟังปัญหาลูกก่อนค่ะ ลูกอาจจะเสียใจ กลัว หรือเจ็บ ควรปลอบ ให้กำลังใจลูกก่อน ขั้นนี้อย่าเพิ่งตัดสินใจและอย่าเพิ่งให้ความเห็นหรือหาทางออก แค่รับฟัง ปลอบโยน สร้างขวัญกำลังใจให้กลับมาก่อน

สอนให้เข้าใจ

สอนลูกรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สอนให้ลูกเข้าใจเพื่อน เห็นอกเห็นใจ และให้อภัยเพื่อน ขั้นนี้อาจจะยาก เพราะเพิ่งโดนเพื่อนแกล้งมา แต่ด้วยท่าทีของแม่ที่มั่นคง ไม่เลือกฝ่ายเพื่อนหรือตำหนิใคร และทำให้ลูกเห็นว่าแม่อยู่เคียงข้างพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกสถานการณ์

สิ่งที่ต้องระมัดระวังคืออย่าสอนให้ลูกโต้ตอบด้วยความรุนแรงหรือทำไปเพราะความโกรธ แต่ก็ไม่ได้สอนให้ยอมเพราะความกลัว และหากจะโดนทำร้ายให้เดินออกมาก่อน จากนั้นเข้าไปพาครู เพื่อช่วยลดความรุนแรงของสถานการณ์และทำให้เด็กคลายความกลัวและกังวลก่อน

ให้ลูกหาทางออก

ฝึกให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยให้ลูกออกความคิดเห็น โดยคุณแม่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนคู่คิด ช่วยบอกข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีว่าจะเกิดผลอย่างไร จากนั้นให้ลูกเลือกวิธีการด้วยตัวเอง ให้โอกาสลูกได้ทดลองทำตามและติดตามผล โดยระหว่างทางคุณแม่ต้องหมั่นคอยสังเกตอาการลูกว่าเป็นอย่างไรบ้าง หากลูกทำได้สำเร็จอย่าลืมชมเชยให้กำลังใจด้วยนะคะ

จัดการหลังบ้าน

แจ้งครูและปรึกษาร่วมกัน โดยขอความร่วมมือจากครูให้ดูแลอยู่ห่างๆ โดยได้ลูกได้ทดลองใช้วิธีการของตัวเองไปก่อน แต่หากมีความรุนแรง ต้องให้ครูแก้ไขสถานการณ์จัดการความรุนแรงลง

ทั้งนี้ทั้งนั้นหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่ต้องปรึกษาครู และครอบครัวของเด็กอีกคน เพื่อร่วมกันหาทางออก รีบแก้ไขเพราะหากปล่อยทิ้งไว้จะเกิดผลกระทบด้านลบกับพัฒนาการของเด็กค่ะ

ลูกได้เรียนรู้อะไรบ้าง

  • เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งใช้เหตุการณ์นี้เป็นพื้นที่ทดลองถูกและผิดโดยยังมีพ่อแม่อยู่เคียงข้าง
  • รู้ว่ามีหลายวิธีในการแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่ความรุนแรงหรือหนีปัญหา
  • สร้างทักษะการใช้ชีวิตในอนาคต เพราะในอนาคตลูกจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งลูกจะสามารถเผชิญและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
  • เรียนรู้การปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก เพราะในอนาคตต้องเจอกับสถานการณ์ที่หลากหลายเกินคาดเดา

ที่มา : ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย

เรือไวกิ้งหกมิติ - ดาวน์โหลดฟรี Learning Sheet

5833

เกมที่เด็กจะได้ฝึกสมอง คิดแก้ปัญหา ส่งเสริมทักษะสมอง EF และทักษะพื้นฐานเรื่อง Coding

 

เรือไวกิ้งหกมิติ - ดาวน์โหลดฟรี Learning Sheet

 ระดับ

  • ประถมศึกษาตอนต้น, ประถมศึกษาตอนปลาย 

วิธีเล่น

สังเกตรายละเอียดของภาพบนลูกเต๋าแต่ละชิ้น นำภาพลูกเต๋ามาต่อกันเป็นภาพที่สมบูรณ์ ด้วยการวาดภาพหรือเขียนหมายเลข  

สิ่งที่เด็กเรียนรู้

  • ฝึกทักษะพื้นฐานเรื่อง coding
  • ฝึกการสังเกตจดจำ
  • ฝึกการคิดวิเคราะห์ คิดเชิงเหตุผล  

บทบาทพ่อแม่ / ผู้ปกครอง

  • ชวนเด็กคิดหาวิธีขั้นตอนใช้ในการหาคำตอบ เพื่อสรุปการเรียนรู้การคิดอย่างเป็นระบบตามความถนัดของเด็ก 

หมวดการเรียนรู้ / ทักษะ

Coding, ทักษะสมอง EF, การคิดเชิงเหตุผล, การคิดแก้ปัญหา, การสังเกตจดจำ

แนะนำตามช่วงอายุ นั่งให้น้อย เล่นให้มาก ไม่มีหน้าจอ แล้วลูกจะพัฒนาการดี

 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

พ่อแม่ต้องเล่นกับลูกให้มากขึ้น เพราะเด็กเริ่มมีพฤติกรรมที่เนือยเกินไป

อยากให้ลูกพัฒนาการดีสมวัย เรามีคำแนะนำดีๆ จากกรมสุขภาพจิตมาบอกต่อค่ะ หลังจากรายงานขององค์การอนามัยโลก พบว่า ผู้ใหญ่มากกว่า 23% และวัยรุ่นมากกว่า 80% มีกิจกรรมที่ไม่เพียงพอและพฤติกรรมเนือยนิ่งมากเกินไป เช่น ชอบการนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร ปล่อยลูกการนั่งติดกับสายรัดในรถเข็นเด็ก ชอบนั่งเฉยๆ ดูโทรทัศน์ นั่งดูมือถือมากขึ้น แบบนี้ไม่ค่อยดีเลยนะคะ มาดูคำแนะนำสำหรับการทำกิจกรรมให้มากขึ้นกันเลยค่ะ

เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี

ควรมีกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวหลายครั้งต่อวัน โดยเฉพาะการเล่นบนพื้น หากยังเคลื่อนไหวได้ไม่ดี ควรมีการนอนคว่ำแบบตะแคงหน้าอย่างน้อยครั้งละ 30 นาทีหลายครั้งต่อวัน ในช่วงเวลาที่ตื่น ไม่ควรให้นั่งนิ่งๆหรือล็อกติดกับรถเข็นเด็กนานเกิน 1 ชั่วโมง นอนหลับรวม 14-17 ชั่วโมง ในเด็ก 0-3 เดือน และ 12-16 ชั่วโมง ในเด็ก 4-11 เดือน ไม่ควรใช้หน้าจออย่างเด็ดขาดทั้งโทรทัศน์และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ

เด็กอายุ 1-2 ปี

ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 180 นาทีต่อวันหรือมากกว่า ไม่ควรให้นั่งนิ่งๆ หรือล็อกติดกับเก้าอี้หรือรถเข็นเด็กนานเกิน 1 ชั่วโมง ควรนอนหลับรวม 11-14 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ควรใช้หน้าจออย่างเด็ดขาดในเด็กอายุ 1 ปี สำหรับในเด็กอายุ 2 ปี ควรจำกัดเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยยิ่งใช้เวลาหน้าจอน้อยยิ่งส่งผลดีต่อเด็ก 

เด็กอายุ 3-4 ปี

ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 180 นาทีต่อวันหรือมากกว่า โดยเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานอย่างมากนานไม่ต่ำกว่า 60 นาที ไม่ควรให้นั่งนิ่งๆ หรือล็อกติดกับเก้าอี้หรือรถเข็นเด็กนานเกิน 1 ชั่วโมง ควรนอนหลับรวม 10-13 ชั่วโมงต่อวัน ตลอดจนควรจำกัดเวลาหน้าจอไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยยิ่งใช้เวลาหน้าจอน้อยยิ่งส่งผลดีต่อเด็ก

พ่อแม่ควรหาเวลาเล่นกับลูกให้มากขึ้นนะคะ การเล่นจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาความฉลาดทางปัญญา อารมณ์ และสังคมไปพร้อมๆ และควรเน้นการส่งเสริมกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น อ่านหนังสือ เล่านิทานให้เด็กฟังในเด็กเล็ก เล่นบทบาทสมมติโดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัว เพียงเท่านี้ลูกก็จะมีสุขภาพจิตที่ดีได้แล้วค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูล : กรมสุขภาพจิต