facebook  youtube  line

10 เทคนิคง่าย ๆ แก้ไขปัญหาเด็กสมาธิสั้น

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

โรคสมาธิสั้นในเด็ก หากไม่ได้รับการดูแลหรือแก้ไขที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกโดยตรง เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องตื่นตัวเรื่องนี้แล้วนะคะ หากสงสัยว่าลูกมีแนวโน้มว่าจะสมาธิสั้น หรือลูกกำลังเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ ก็สามารถนำเทคนิคง่ายๆ ในการฝึกลูกให้มีสมาธิขึ้น ไปใช้กับลูกได้เลยค่ะ  

10 เทคนิคง่าย ๆ แก้ไขปัญหาเด็กสมาธิสั้นได้

โรคสมาธิสั้นในเด็ก หากไม่ได้รับการดูแลหรือแก้ไขที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกโดยตรง เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องตื่นตัวเรื่องนี้แล้วนะคะ หากสงสัยว่าลูกมีแนวโน้มว่าจะสมาธิสั้น หรือลูกกำลังเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ ก็สามารถนำเทคนิคง่ายๆ ในการฝึกลูกให้มีสมาธิขึ้น ไปใช้กับลูกได้เลยค่ะ  

  1. อย่าเปิดทีวี ให้มีเสียงดังจนเกินไป หรือสภาพแวดล้อมในบ้านต้องไม่วุ่นวายหรือมีการทะเลาะกันบ่อยครั้ง

  2. หามุมสงบสำหรับเด็ก เพื่อให้เกิดสมาธิในการทำการบ้าน

  3. ฝึกฝนวินัยให้เด็ก สร้างกรอบกฎเกณฑ์ มีตารางเวลาชัดเจน ไม่ปล่อยละเลยหรือตามใจ  

  4. มีการสื่อสารที่สั้นและชัดเจน หากไม่แน่ใจให้เด็กทบทวนว่าสิ่งที่สั่งสอนไปคืออะไรบ้าง

  5. มีความเข้าใจในพฤติกรรมของเด็กสมาธิสั้นอย่างจริงจังและจริงใจ

  6. จัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้เกิดความมีระเบียบ ไม่ปล่อยให้บ้านรกรุงรัง

  7. อย่าทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย

  8. ไม่ควรจับกลุ่มให้เด็กสมาธิสั้นอยู่ใกล้ชิดกับเด็กที่มีปัญหาแบบเดียวกัน เพราะจะทำให้กลายเป็นเด็กที่เกเรก้าวร้าวได้

  9. ส่งเสริมจุดแข็งข้อดีในตัวเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกดี และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง

  10. จัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ให้ได้ใช้เวลาว่างอย่างมีประโยชน์ และใช้พลังงานส่วนเกินอย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว เช่น ออกกำลังกาย หรือเล่นดนตรี ตามที่เด็กสนใจ  

 

โดย : พญ.ศุภรา เชาว์ปรีชา จิตแพทย์และแพทย์ที่ปรึกษา รพ.วิภาวดี

3 วิธีสอนลูกให้มั่นคง ไม่อ่อนไหว พัฒนา ef ให้จิตใจเข้มแข็ง

ลูกอ่อนไหว-เอาแต่ใจ-ปรับพฤติกรรม

3 วิธีสอนลูกให้มั่นคง ไม่อ่อนไหว พัฒนา ef ให้จิตใจเข้มแข็ง EF สำหรับพ่อแม่

เป็นเรื่องปกติที่เด็ก ๆ วัย 3-4 ปีจะมีอารมณ์แปรปรวน อ่อนไหว หรือฉุนเฉียวได้ง่าย แล้วถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจ ลูกอาจต่อต้านหรือท้าทายผู้ใหญ่ ดังนั้นพ่อแม่ต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจ และไม่ควรตอบสนองลูกทุกครั้ง เพราะถ้าลูกสามารถทำกับพ่อแม่ได้ เขามีแนวโน้มที่จะไปทำกับคนอื่นได้เช่นกัน
ป้องกันก่อนแก้ โดยพ่อแม่สามารถทำได้ดังนี้
1. หาขอบเขตที่เหมาะสมให้ลูก

อาจไม่ใช่การสร้างกฎข้อบังคับเสียทีเดียว แต่เป็นการทำข้อตกลงหรือต่อรองซึ่งกันและกัน ว่าสิ่งไหนที่ลูกสามารถทำได้ สิ่งไหนที่ทำไม่ได้ และถ้าหากลูกไม่หยุดหรือไม่ยอมเชื่อฟัง เขาก็ต้องได้รับบทลงโทษ แต่ทั้งนี้พ่อกับแม่ต้องไม่ใช้อารมณ์หรือความรุนแรงกับลูก เพราะการใช้อารมณ์ ใช้ไม้เรียว หรือแม้แต่คำพูดที่รุนแรงจะทำให้ลูกรู้สึกแย่และเห็นเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีได้ ซึ่งเขาก็อาจนำไปใช้กับผู้อื่น หรือมีการต่อต้านคุณพ่อคุณแม่เกิดขึ้น

แม้ว่าในบางครั้งที่ลูกอาจจะก้าวร้าว เกเร ดื้อ ซน แต่ถ้าเขาไม่ทำร้ายร่างกายตนเองและผู้อื่น ไม่ทำลายข้าวของให้เสียหาย เขาก็ยังสามารถแสดงอาการเหวี่ยงวีนออกมาได้ ตราบใดที่เขาไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะธรรมชาติของลูกเป็นแบบนั้นค่ะ

2. อย่าช่วยลูกมากจนเกินไป

ควรให้ลูกได้ช่วยเหลือตนเองบ้าง ให้เขาได้แสดงความคิดตามขอบเขตของเขา และไม่ว่าจะผิดหรือถูก ลูกมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นค่ะ เพียงแต่พ่อกับแม่ต้องคอยสอนว่าอะไรควรไม่ควร อาจจะให้คำแนะนำ หรือใช้คำถามในลักษณะที่เกิดการต่อยอดหรือเกิดความคิดในการแก้ไขปัญหา

3. ไม่ควรห้ามความรู้สึกของลูก

เพราะเรื่องของความรู้สึกเราห้ามกันไม่ได้ค่ะ ยิ่งเด็ก ๆ ที่มักจะอารมณ์อ่อนไหวง่าย ในยามโกรธ เสียใจ ทุกข์ใจ พ่อแม่ต้องไม่ปิดกั้นอารมณ์ของลูกค่ะ เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้ลูกมีปัญหาได้ เขาจะไม่เชื่อใจตนเอง ในขณะที่เด็กบางคนอาจจะก้าวร้าวรุนแรง หรือบางคน ก็เป็นเด็กขี้วิตกกังวล ขณะเดียวกันถ้าเด็กคนไหนที่ได้รับการฝึกฝนมาบ่อย ๆ ฝึกมาแล้วจากที่บ้าน เขาก็จะสามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้

เด็กวัย 3-6 ปี เป็นวัยที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว โดยเฉพาะช่วงอายุ 5 ปีนั้น เป็นวัยที่สามารถพูดคุยรู้เรื่อง เชื่อมโยงความคิด รู้จักยืดหยุ่น คุยกับผู้ใหญ่รู้เรื่อง และรับมือกับอะไรได้อย่างมากมาย ดังนั้น พ่อแม่จึงควรสอนลูกให้รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้ตั้งแต่ช่วงวัยนี้ เพราะเด็กจะพูดคุยได้ง่ายขึ้น ให้ความร่วมมือมาก หรือสอนง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ

4 วิธีรับมือลูกดื้อ ลูกซน

ลูกดื้อ, ลูกซน, เด็กอนุบาล, โรงเรียนอนุบาล, เด็กพิเศษ, สุขภาพเด็ก, พฤติกรรมเด็ก, โรคในเด็ก, กิจกรรมสำหรับเด็ก, การพัฒนาสมองเด็ก, การเลี้ยงลูก, ทำยังไงดีลูกดื้อมาก, ลูกดื้อมาก 

ลูกดื้อเกินไป ซนเกินเหตุ เรามีเคล็ดลับเทคนิคปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของลูก มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำไปใช้กันค่ะ

4 วิธีรับมือ ลูกดื้อ ลูกซน
  1. ตักเตือน ใช้คำพูดบอกว่าอะไรถูกผิด เมื่อลูกทำผิดบอกไปตรงๆ ว่าทำแบบนั้นไม่ดีอย่างไร และส่งผลอย่างไร โดยอธิบายให้ชัดเจนที่สุด  

  2. เพิกเฉย คุณพ่อคุณแม่ต้องนิ่งสงบเข้าไว้ อย่าใช้อารมณ์กับลูกพร้อมบอกกับเขาว่าครั้งหน้าจะมีบทลงโทษตามกติกาที่กำหนดไว้แล้วนะจ๊ะ  

  3. Time out จำกัดพื้นที่และพฤติกรรมเมื่อกระทำผิด อาจเป็นมุมที่ไม่มีอะไรให้เขาได้เล่น แล้วนับ 1-10 หรือเพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้นอีกหน่อยกรณีที่เจ้าหนูไม่เชื่อฟัง  

  4. ลงโทษ ด้วยวิธีตัดในสิ่งที่เด็กๆ ชอบ เช่น เล่นของเล่น กินขนม กรณีที่เด็กๆ ทำผิดแทนการใช้กำลัง แต่ต้องเป็นกติกาในครอบครัวที่ตกลงร่วมกันแล้วนะคะ เพื่อลูกจะได้เรียนรู้ว่าทำผิดแล้วผลที่ได้คืออดกินของอร่อย อดเล่นของเล่นค่ะ

การลงโทษลูกนั้นมีหลายวิธี แต่วิธีที่ไม่แนะนำคือการตีเพราะความรุนแรงจะยิ่งทำให้เด็กๆ ต่อต้านและไม่ทำตามได้ในที่สุด ดังนั้นลงโทษด้วยเหตุผลย่อมดีกว่าใช้ความรุนแรงแน่นอนค่ะ


 

5 สัญญาณเตือน ลูกเสี่ยงเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ

การเลี้ยงลูก- โรคย้ำคิดย้ำทำ- ย้ำคิดย้ำทำ- โรคเด็ก- โรคย้ำคิดย้ำทำในเด็ก 

นิสัย ย้ำคิด ย้ำทำ..ลูกเสี่ยงเป็นโรคได้นะ!

หากลูกมีพฤติกรรมทำและคิดบางอย่างซ้ำ ๆ วนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอด นี่อาจเป็นสัญญาณแรก ๆ ของโรคย้ำคิดย้ำทำ ที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยอนุบาล

โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) คือโรคอะไร?

คือพฤติกรรมคิดวิตกกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไปคิดซ้ำ ๆ หมกมุ่น คิดแต่เรื่องเดิม ๆ ซึ่งเด็กจะรู้ตัวว่าคิดซ้ำ คิดมากเกินไป และไม่ต้องการคิด แต่ก็หยุดคิดไม่ได้ จะรู้สึกทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ตัวเองเป็น แล้วทำซ้ำ ๆ มากจนผิดปกติ เพื่อลดความกังวลที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่คิด

การคิดและทำซ้ำ ไม่เป็นโรคได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เด็กคิดและเริ่มทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ วนเวียน จนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเด็ก เกิดนอนไม่หลับเพราะคิดตลอดเวลา ไม่มีสมาธิ ส่งผลต่อการเข้าสังคม ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล รวมทั้งส่งผลต่อการเรียน อาการแบบนี้ย่อมผิดปกติ และอาจมาควบคู่กับโรคสมาธิสั้น โรคกล้ามเนื้อกระดูก หรือโรคที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำ ๆ ที่ผิดปกติ เป็นต้น

อาการโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

คิดซ้ำ ๆ ทำซ้ำ ๆ อาจเริ่มได้ตั้งแต่วัยอนุบาล แล้วสะสมอาการย้ำคิดย้ำทำ จนเห็นได้ชัดเจนในวัยประถมต้น โดยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำได้ในช่วงประถมปลายเป็นต้นไป ซึ่งระยะเวลาที่เป็นนั้น เด็กจะมีพฤติกรรมคิดและทำซ้ำนานเป็นเดือน ๆ และอาจต่อเนื่องยาวเป็นปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน

สาเหตุโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

การทำงานของสมองผิดปกติ สารเคมีในสมองหลั่งออกมาผิดปกติ พันธุกรรมจากยีนที่คนในครอบครัวเคยเป็น เกิดจากการเลี้ยงดู การอบรมสั่งสอนของผู้ปกครอง เป็นต้น

 

 
5 อาการย้ำคิดย้ำทำที่พ่อแม่สังเกตได้

เด็กอาจมีอาการหรือแสดงพฤติกรรมดังนี้ โดยจะพบ 3 พฤติกรรมแรกเป็นส่วนใหญ่

  1. กลัวเชื้อโรค กลัวความสกปรกต่าง ๆ จนต้องทำความสะอาดซ้ำ ๆ นาน ๆ เช่น ล้างมือ เปลี่ยนที่นอน อาบน้ำ ล้างนานเป็นชั่วโมง ล้างจนมือลอก แห้งเป็นแผล กลัวว่าจะติดเชื้อสกปรก ใครมาโดนตัวก็ต้องไปล้างมือหรืออาบน้ำตลอดเวลาเป็นต้น

  2. จัดวางของต้องเป๊ะ เช่น ใส่เสื้อผ้าซ้ายขวาต้องเท่ากัน ขยับของบนโต๊ะให้เสมอกัน ทำซ้ำ ๆ เพราะกลัวว่าจะไม่เท่ากัน เมื่อเท่ากัน แล้วก็ทำซ้ำอีก เพราะไม่แน่ใจว่าเท่ากัน

  3. ตรวจซ้ำ ๆ นับซ้ำ ๆ เช่น การลืมเลื่อนประตู เด็กอาจย้ำกับผู้ปกครองว่า ปิดไฟ ล็อคประตูหรือยังบ่อย ๆ ประมาณ 3-5 ครั้ง หรือนับขึ้นบันไดตลอดเวลา เดินขึ้นไปแล้วลงมาใหม่ แล้วนับซ้ำอีก เป็นต้น

  4. คิดเรื่องบางเรื่องตลอดเวลา เช่น คิดทำร้ายพ่อแม่ คิดเรื่องศาสนา มหันตภัยต่าง ๆ ซึ่งเรื่องที่คิดนั้น เป็นการรับข้อมูลในเรื่องนั้น ๆ มากจนเกินไป แล้วปล่อยวางไม่ได้ ทำให้คิดกังวลตลอดเวลา

  5. สะสมสิ่งของ โดยเฉพาะการเก็บของที่ไม่ใช้แล้ว กังวลที่จะทิ้งของเหล่านั้น กลัวว่าจะต้องใช้แล้วทิ้งไป กังวลว่าหากทิ้งไปจะนำกลับมาอีกไม่ได้ เป็นต้น

อาการที่เสี่ยงพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้า เมื่อย้ำคิดย้ำทำมาก ๆ อาการรุนแรงมากขึ้น เด็กจะมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ตัวเองไม่มีคุณค่า จนอยู่กับความคิดความรู้สึก แล้วลุกขึ้นมาไม่ได้ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาใจใส่ อาจกลายเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการฆ่าตัวตายได้ในอนาคต

 
พ่อแม่คือ "ยา" บำบัดที่ดีที่สุดของอาการย้ำคิดย้ำทำ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้สุขภาพจิตของเด็ก ๆ ดีขึ้น มาจากพ่อแม่เป็นอันดับแรก ตามด้วยการบำบัดโดยจิตแพทย์เด็ก การปรับความคิดพฤติกรรมบำบัดคอร์สละ 2-3 เดือน และรักษาด้วยยาปรับสารเคมีในสมองในรายที่รุนแรงเป็นอันดับสุดท้าย ปรับการเลี้ยงดูและวิธีการสอน โดยบางพฤติกรรมของผู้ปกครองเป็นตัวสนับสนุนให้เด็กเกิดอาการย้ำคิดย้ำทำ พูดคุยกับลูกบ่อย ๆ หากลูกยังไม่ยอมพูด ไม่ยอมคุย ไม่ต้องบังคับลูก ค่อย ๆ ใช้วิธีอื่นที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้ว่า ลูกกังวลเรื่องอะไร เพื่อช่วยให้คำแนะนำหรือช่วยแก้ไขปัญหาให้ลูกอย่างถูกต้องเหมาะสม เบี่ยงเบนความสนใจของลูก หากลูกว่าลูกกำลังคิดอะไรซ้ำ ๆ ลองชวนลูกไปทำอย่างอื่นแทน เช่น ชวนไปออกกำลังกาย เล่นนอกบ้าน เล่นกีฬา เพื่อให้ลูกได้ระบายอารมณ์ ลดความเครียด และเบี่ยงเบนความคิดในหัว ลูกจะลืมสิ่งที่คิดเยอะไปได้เอง

 
"4 อย่า" วิธีป้องกันลูกจากโรคย้ำคิดย้ำทำ
  1. อย่าขู่ลูกให้กลัว เพราะจะทำให้ลูกเข้าใจผิด บวกจินตนาการกลายเป็นมโนไปเอง เมื่อเกิดภาวะนี้บ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำได้ คุณพ่อคุณแม่ควรอธิบายให้ลูกฟังด้วยเหตุผลตามหลักความเป็นจริงเสมอ

  2. อย่าใส่อารมณ์ อย่าซ้ำเดิม หากลูกทำผิด หรือเริ่มคิดอะไรซ้ำ ๆ ต้องอธิบายเรื่องบางเรื่องให้ลูกฟังบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการใส่อารมณ์ หรือชักสีหน้าเวลาพูดกับลูก และเลี่ยงการใช้คำพูดในลักษณะซ้ำเติม เช่น เรื่องที่ลูกคิดมันไร้สาระ แต่ควรชี้ให้เห็นถึงข้อดีของความไร้สาระนั้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล

  3. อย่าดุด่า เมื่อลูกกังวลหรือคิดอะไรในใจ หลีกเลี่ยงการดุด่า เพราะลูกจะเก็บไปคิดหนักขึ้นกว่าเดิม ให้ใช้ความเข้าใจบอกกับลูก ด้วยโทนเสียงที่อบอุ่น สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

  4. อย่าจิตตก คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นผู้ประคับประคองที่ดีให้ลูก ต้องนิ่ง ต้องมั่นคง ตั้งสติให้ดี ไม่ไหวเอนตามความกังวลของลูก หากยิ่งกังวลตามลูกก็จะยิ่งทำให้ลูกกังวลหนักมากขึ้น และพร้อมรับฟังและคอยให้คำแนะนำที่ดีกับลูก

 

เด็กที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ บางคนพบว่าเป็นเด็กฉลาดมี IQ ดี คุณพ่อคุณแม่ควรพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการชี้ทางให้ลูกอย่างถูกต้องได้ค่ะ

How to ปรับพฤติกรรมหนูน้อยจอมอาละวาด (Temper Tantrums)

 การเลี้ยงลูก- สอนลูก- เลี้ยงลูก- ลูกดื้อ- ป้องกันลูกดื้อ- สาเหตุลูกดื้อ- ลูกร้องอาละวาด-อาการร้องอาละวาด-Temper Tantrums-ปรับพฤติกรรมลูก-พฤติกรรมก้าวร้าว-ก้าวร้าว

การจัดการพฤติกรรม tantrums หงุดหงิด กรี๊ด โวยวายและเหวี่ยงวีนนั้น ถ้าจะให้ได้ผลก็คือ ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนกระบวนความคิดของคุณพ่อคุณแม่ เพราะเมื่อความคิดเปลี่ยนแล้ว วิธีการตอบสนองของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วย และถ้าให้ตรงประเด็นกว่านั้นก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องบอกให้ได้ว่า เวลาลูกกรีดร้องขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่รีบเข้าไปหาเพราะอะไร?

 

แบบทดสอบที่ 1 จงบอกความคิดแรกเมื่อได้ยินเสียงลูกกรีดร้องโวยวายไร้สาเหตุ

_ เฮ้อ...อีกแล้ว

_ เบื่อเหลือเกินมันอะไรกันเนี่ย

_ ไม่รู้จะเอายังไงแล้ว นี่ก็ไม่เอานั่นก็โวยวาย

_ ทำไมต้องเป็นชั้นอีกแล้ว ทำไมไม่เป็นตอนอยู่กับคนอื่นนะ

_ มันต้องมีอะไรผิดแน่ๆ ทำไมถึงร้องได้ตลอดเวลา

_ อยากจะย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นจริงๆ

_ เป็นอย่างนี้ตลอดเวลาเลยไหมเนี่ย เมื่อวานก็เป็น เมื่อเช้าก็เป็น นี่ก็เป็นอีก

_ รับมือจะไม่ไหวแล้ว

_ คนอื่นจะคิดว่ายังไงเนี่ย

_ รู้งี้ไม่อยู่บ้านก็ดี

_อื่นๆ

 

แบบทดสอบที่ 2 จงบอกอารมณ์ของตนเอง ตอนที่ได้ยินเสียงร้องโวยวาย

_ เศร้า

_ อารมณ์เสีย

_ หงุดหงิด

_ เบื่อ

_ ลนลาน

_ ทนไม่ไหว

_ โกรธ

_ ตื่นตระหนกตกใจ

_ โอเค

_ สงสัย

_อื่นๆ

 

แบบทดสอบที่ 3 จงบอกว่าร่างกายตอบสนองตอนที่ได้ยินเสียงร้องโวยวายอย่างไร

_ รู้สึกว่าเกร็งไปทั่วตัว

_ เริ่มกลั้นหายใจ

_ หัวใจเต้นแรง

_ ขบกรามไม่รู้ตัว

_ กัดฟัน กัดริมฝีปากไม่รู้ตัว

_ ถอนหายใจ

_ ตาเบิกกว้าง

_ มือเปียก เท้าเปียกใจสั่น

_อื่นๆ

 

จากการตอบแบบสอบถามจะทำให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าเพราะเหตุใดร่างกายจึงตอบสนองจนทำให้ตัวเองต้องรีบเข้าไปหาลูกทันทีที่ลูกแสดงอาการ tantrums แน่นอนว่า เด็กทุกคนสามารถรู้ได้และใช้มันให้เป็นประโยชน์ อย่างที่บอกว่า การที่เด็กร้องโวยวายนั้นเป็นวิธีการที่จะทำให้เด็กได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างเร็วที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมวิธีการนั้นจึงถูกนำกลับมาใช้ในทุกครั้ง เพราะมันได้ผลนั่นเองค่ะ

ดังนั้น วิธีการ 6 ขั้นตอนที่จะแบ่งปันกันต่อไปนี้ น่าจะเป็นขั้นตอนที่คุณพ่อคุณแม่สามารถปรับใช้ได้ (อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่า การปราบ trantrums นั้นไม่ใช่การปราบพฤติกรรมลูก แต่เป็นการปรับพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่) เมื่อลูกแสดงอาการ tantrums ค่ะ

 

1. เช็กก่อนว่าเรารู้สึกอย่างไรอยู่ การนำสติกลับมาอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของเรา ลองคิดดูสิคะ ถ้าเรารู้หรือคิดได้ว่า การที่ลูกกรี๊ดโวยวายนั้นเป็นเพราะเค้าต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่าง เราก็จะไม่เลือกที่จะตะโกนด่าว่าลูกให้หยุด หรือเงื้อมมือตีลูกแน่ ๆ

2. อยู่นิ่ง ๆ ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งเอาอารมณ์เราไปเล่มตามเกมลูก หายใจเข้า-หายใจออก

3. ค่อย ๆ อธิบาย เดินไปหาแล้วบอกลูกว่า ลูกร้องไห้ได้ แต่ก็ต้องบอกได้ว่าลูกร้องไห้ทำไม ถ้าบอกไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่อาจเลือกถามเป็นคำถามหรือลองเดาว่า เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่อย่างไรก่อน

4. ให้ทางเลือกลูกในการอธิบาย ในกรณีที่ลูกอธิบายได้ไม่ดี หรือคุณแม่ฟังไม่เข้าใจ หรือคิดว่าเหตุผลที่ลูกร้องไห้นั้นช่างไม่สมเหตุสมผลเลย เช่น น้องอาจได้ขนมในขณะที่ตัวเขาไม่ได้ หรือแม่ซื้อของให้น้องแต่ไม่ซื้อให้เขา ก็เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ในการอธิบายว่าเพราะเหตุใดถึงทำเช่นนั้น เปิดโอกาสตัวเองในการอธิบายเพื่อไม่ให้ลูกเข้าใจผิด รวมถึงให้โอกาสลูกในการพูดถึงอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่น รู้สึกแย่ รู้สึกเสียใจ รู้สึกโกรธ

5. เข้าอกเข้าใจลูก เมื่ออธิบายจบแล้ว ถ้าลูกยังคงร้องไห้อยู่ คุณแม่อาจแนะนำทางเลือกอื่น เช่น พาลูกไปดูของอย่างอื่น ชวนลูกไปทำกิจกรรมอย่างอื่น พร้อมกับบอกด้วยว่า ลูกสามารถบอกอารมณ์และความคิดของลูกได้โดยที่ไม่ต้องกรี๊ดหรือโวยวาย และนั่นทำให้แม่เข้าใจได้ดีกว่าการที่ลูกร้องโวยวายเสียอีก

6. ยืนหยัดอย่างมั่นคง รวมถึงทุก ๆ คนในครอบครัวควรทำแบบเดียวกัน การปรับพฤติกรรมจะไม่ได้ผลเลยถ้าแต่ละคนในครอบครัวเลือกที่จะตอบสนองต่อความต้องการของเด็กต่างกัน เด็กมักจะเลือกที่จะแสดงอาการไม่พอใจไปจนเกรี้ยวกราดใส่คนที่ตนเองคิดว่า สามารถให้ของหรือให้ในสิ่งที่ตนเองต้องการเป็นลำดับแรกเสมอ ดังนั้น เรื่องการปรับทัศนคติในตรงกันจึงควรเป็นเรื่องพื้นฐานของครอบครัวค่ะ

 

เด็ก ๆ ที่เคยแสดงอาการ tantrums มาก่อนมักจะคิดว่า วิธีการนี้จะได้ผล ดังนั้นแม้คุณพ่อคุณแม่จะทำทั้ง 6 ขั้นตอนมาระยะเวลาหนึ่งมักจะสังเกตเห็นว่า อาการโวยวายแบบเดิมจะกลับมาบ้าง ขอให้คุณพ่อคุณแม่อย่าตกใจและคิดว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผล บางครั้งเด็กจะต้องการทดสอบว่า เมื่อเค้าเคยทำพฤติกรรมเหล่านี้แล้วเคยได้ในบางครั้งนั้น จะทำให้เขาได้สิ่งที่ต้องการในตอนนี้อีกหรือไม่ จะอย่างไรก็ตามถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่หันหลังกลับไปตามใจอีก พฤติกรรม trantrums จะค่อยๆหมด จนหายไปเองแน่นอนค่ะ

 

ผศ.ดร. ปรียาสิริ วิฑูรชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาฟื้นฟูสำหรับเด็กพิเศษ รองผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

กรี๊ดมากไปไม่ดีแน่! ปรับพฤติกรรมลูกเอาแต่ใจ

           

สิ่งที่ชวนปวดหัวมากกว่านั้นคือการส่งเสียงกริ๊ด เมื่อมีอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ หากลูกยังมีพฤติกรรมแบบนี้ไปจนโตอาจไม่ดีแน่

กรี๊ดมากไปไม่ดีแน่! ปรับพฤติกรรมลูกเอาแต่ใจ

“บ้านไหนมีเด็ก บ้านนั้นมักจะมีเสียงร้องไห้งอแง”  หลายครอบครัวกำลังประสบปัญหานี้กันอยู่ใช่ไหมคะ

แต่สิ่งที่ชวนปวดหัวมากกว่านั้นคือ “การส่งเสียงกรี๊ด” ของเด็ก ๆ เมื่อมีอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ หากลูกยังมีพฤติกรรมแบบนี้ไปจนโตอาจไม่ดีแน่

 

ปรับพฤติกรรมลูกอย่างไร เมื่อลูกส่งเสียงกรี๊ด

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเด็กแต่ละคนจะมีนิสัยหรือพื้นฐานอารมณ์ที่แตกต่างกันไป บางคนเรียบร้อย แต่บางคนกลับค่อนข้างซุกซน หากพ่อแม่คาดหวังว่าลูกควรจะเรียบร้อย แต่ลูกไม่ได้มีพื้นฐานอารมณ์เป็นดั่งที่คาดหวัง พ่อแม่อาจจะมองว่าลูกซนมากผิดปกติและเกิดความหงุดหงิดกับพฤติกรรมของลูก ทำให้เกิดปัญหาการเลี้ยงดูตามมาได้ ซึ่งพื้นฐานทางอารมณ์นี้เป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด จึงจำเป็นที่ผู้เลี้ยงดูต้องเข้าใจและปรับทัศนคติต่อเด็กและการเลี้ยงดูให้เหมาะสมด้วย

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมเด็ก

1.พัฒนาการตามวัย

เด็กจะเริ่มพัฒนาความเป็นตัวเอง ต้องการความเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ และอาจมีลักษณะดื้อ ต่อต้านมากขึ้น สังเกตจากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การกิน การนอน การร้องอาละวาด เอาแต่ใจตนเอง เป็นต้น ผู้เลี้ยงดูจึงต้องเข้าใจพัฒนาการของเด็กวัยนี้และไม่ควรคาดหวังกับเด็กมากเกินไป ควรมีความยืดหยุ่น เลือกใช้วิธีการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาต่อได้อย่างสมบูรณ์

2.พื้นฐานอารมณ์

อย่างที่ได้กล่าวมาว่าเด็กแต่ละคนจะมีนิสัยพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน บางคนเรียบร้อย บางคนซุกซน บางคนอาจเก็บตัวเงียบ ดังนั้นพ่อแม่จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับลักษณะนิสัยของลูกก่อน

3.สิ่งแวดล้อม

พ่อแม่จำเป็นต้องสำรวจสิ่งแวดล้อมด้วยว่ามีอะไรที่เป็นตัวกระตุ้นหรือส่งผลต่อพฤติกรรมลูกหรือไม่ เช่น สถานที่แออัดเกินไป หรือมีของเล่นน้อยไม่เพียงพอสำหรับเด็กทุกคน ทำให้เด็กมีโอกาสทะเลาะแย่งของเล่นกันได้บ่อย ๆ และเด็กอาจถูกมองว่าเป็นเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าว

4.ความสามารถในการเรียนรู้

เด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ แม้ว่าในขณะนี้เด็กอาจจะยังไม่เข้าใจหรือไม่สามารถปฏิบัติตามที่ผู้ใหญ่สอนได้ทุกอย่างก็ตาม หากเราหมั่นสอนเด็กอย่างสม่ำเสมอ เด็กก็จะค่อย ๆ เรียนรู้และสามารถปฏิบัติตามได้ในที่สุด ดังนั้นผู้ใหญ่จึงไม่ควรบังคับ ต่อว่า หรือเร่งรัดเด็กมากเกินไป

5.ปัญหาทางอารมณ์จิตใจ

เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสม ปล่อยปละละเลย ขาดความรัก ความอบอุ่น อาจแยกตัวไม่สนใจใคร หรือก้าวร้าว แย่งของเล่น ทำร้ายผู้อื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ในเด็กกลุ่มนี้นอกจากจะปรับพฤติกรรมแล้ว จำเป็นที่จะต้องแก้ไขสาเหตุคือ การให้ความรักและปรับวิธีการเลี้ยงดูเด็กให้เหมาะสมด้วย ในเด็กบางรายอาจมีปัญหาซน สมาธิสั้น ซึ่งอาจเกิดจากโรคสมาธิสั้นและส่งผลให้เด็กมีปัญหาการเรียนหรือพฤติกรรมตามมา ดังนั้นพ่อแม่จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาและช่วยเหลือเด็กอย่างเหมาะสมต่อไปนอกจากนี้ความเจ็บป่วยหรือไม่สบายของเด็กต่าง ๆ ก็สามารถส่งผลต่อปัญหาพฤติกรรมได้เช่นกัน

พ่อแม่ควรทำความเข้าใจพฤติกรรมลูก ที่ปรับเปลี่ยนไปตามวัย อบรมสั่งสอนเด็กๆ ด้วยเหตุและผล ไม่ควรใช้อารมณ์ และสิ่งสำคัญที่สุดคือควรเลี้ยงดูด้วยความรักและให้ความอบอุ่นอย่างเต็มที่ เพราะก้าวแรกของลูกที่จะเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์พร้อมย่อมเกิดจากการปลูกฝังและการเลี้ยงดูที่ดีของคนในครอบครัว

ทำไมลูกถึง ขี้เกียจ มารู้สาเหตุและวิธีแก้ไขกันเลย

ทำไมลูกถึงไม่ชอบคิด, ลูกทำอะไรชักช้าลีลาเยอะ, ความขี้เกียจของลูก, สาเหตุที่ลูกขี้เกียจ, วิธีแก้ไขนิสัยลูกขี้เกียจ, ขี้เกียจ, แก้ไขนิสัยลูกขี้เกียจ, ลูกขี้เกียจ

ทำไมลูกถึง 'ขี้เกียจ' มารู้สาเหตุและวิธีแก้ไขกันเลย 

ทำไมลูกถึงไม่ชอบคิด ไม่ชอบแก้ปัญหา ทำอะไรชักช้า ลีลาเยอะ นี่คือความขี้เกียจของลูกที่มีสาเหตุมาจากพ่อกับแม่ด้วย แม้ความขี้เกียจจะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน แต่พ่อกับแม่ต้องแก้ไขนิสัยแบบนี้ให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก ๆ นะคะ มาดูสาเหตุและวิธีแก้ไขกันค่ะ

1. พ่อกับแม่ไม่มอบหมายหน้าที่ให้ลูก

พอลูกไม่เคยมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ก็ขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไรด้วยตัวเอง ชินกับการใช้ให้คนอื่นทำให้

วิธีแก้ไข : พ่อแม่ต้องมอบหมายหน้าที่ ความรับผิดชอบให้ลูกให้เหมาะสมตามวัย เช่น ช่วยคุณแม่ล้างจาน กลับบ้านมาต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนถึงจะเล่นได้ 

2. พ่อกับแม่ช่วยลูกเยอะเกินไป

ช่วยลูกมากเกินไป จนลูกช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น ต้องรอให้คนอื่นมาช่วย คิดเอง แก้ปัญหาเองไม่ได้ พอทำไม่ได้ ก็ยิ่งไม่อยากทำ สะสมจนกลายเป็นความขี้เกียจ 

วิธีแก้ไข :ช่วยลูกให้น้อยลง แล้วปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาเองมากขึ้น อย่าเพิ่งไปคิดแทนว่าลูกจะทำไม่ได้ ลองปล่อยให้ลูกเผชิญปัญหาด้วยตัวเองก่อน พ่อแม่มีหน้าที่คอยเป็นกำลังใจและเป็นคนแนะนำก็พอ

3. พ่อกับแม่ไม่มีตารางเวลา

อยากทำอะไรตอนไหนก็ทำ อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็เลิก ลูกก็จะไม่มีวินัย ไม่รู้หน้าที่ กลายเป็นคนไม่รู้เวลา 

วิธีแก้ไข :พ่อแม่ควรมีตารางเวลาคร่าว ๆ ในแต่ละวันให้ลูกว่าต้องทำอะไร เวลาไหนบ้าง เมื่อฝึกให้ลูกรู้จักเวลาของตัวเอง ลูกก็จะมีความรับผิดชอบมากขึ้น

4. พ่อกับแม่ไม่ฝึกให้ลูกคิดและแก้ปัญหา

ทักษะการคิดและการแก้ปัญหาก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูก การที่ลูกสามารถคิดและแก้ปัญหาเองได้นั้น จะช่วยให้ลูกกล้าคิดกล้าทำ ไม่กลัวปัญหา กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ หลายครั้งที่ลูกไม่กล้าลงมือทำ เพราะความกลัว 

วิธีแก้ไข : ฝึกให้ลูกคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง ปล่อยให้ลูกลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน อย่าเพิ่งรีบช่วยลูกไปหมดทุกอย่าง 

พ่อแม่ต้องรู้! 4 วิธีลดน้ำหนักลูกให้ได้ผลระยะยาว

เด็กอ้วน, โรคอ้วน, คนอ้วน, วิธีลดความอ้วน, เด็กน้ำหนักตัวเกิน, น้ำหนักขึ้น, ลดน้ำหนักยังไงดี, การลดน้ำหนัก, สาเหตความอ้วน, ลูกอ้วน 

ปัจจุบันมีเด็กวัย 1-5 ปี เป็นโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินมากขึ้น รู้อย่างนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องมาช่วยกันฝึกลูกให้รู้จักการยับยั้งชั่งใจในการกิน และไปออกกำลังกายกันบ้าง แนะนำให้ทำดังนี้ค่ะ

เด็กน้ำหนักตัวเกิน คือ เด็กที่มีน้ำหนักตัวเมื่อเทียบกับอายุหรือส่วนสูงเกินค่ามาตรฐานปกติ แต่ยังไม่มีความผิดปกติของการสะสมไขมันในร่างกาย

เด็กโรคอ้วน หรือเด็กอ้วน คือ ภาวะที่ร่างกายเด็กมีไขมันสะสมเกินปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นทั่วร่างกายทำให้อ้วนทั้งตัวหรืออ้วนเฉพาะส่วนกลางของลำตัว จนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว

สาเหตุของเด็กอ้วน
  1. บริโภคเกินความจำเป็น เพราะอาหารก็หาซื้อได้ง่ายมากๆ ทั้ง น้ำอัดลม ขนมและลูกอม
  2. ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว เด็กๆ เอาแต่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็จอมือถือทั้งวัน ทำให้ไม่ได้ออกกำลังกาย
  3. ถูกเลี้ยงด้วยนมผง เนื่องจากว่าในนมผงบางชนิดอาจจะมีไขมัน และโปรตีนบางชนิดก่อให้เกิดโรคอ้วนได้
  4. อ้วนเพราะพันธุกรรม เพราะพ่อแม่อ้วนและเมื่อร่างกายมียีนส์อ้วน เด็กก็จะเป็นเด็กอ้วนได้
วิธีฝึกให้ลูกลดความอ้วน
  1. ฝึกตัวเองก่อนฝึกลูก  พ่อแม่สายกิน แบบนี้ลูกคงไม่ผอมแน่ๆ ต้องเริ่มที่ตัวเองก่อนนะคะ ด้วยการไม่พาลูกไปกินของปิ้ง ย่าง มันเยิ้มๆ ขนมหวานทุกชนิดซื้อเข้าบ้านให้น้อยลง ควบคุมอาหารด้วยการทำอาหารให้ลูกกินประเภท ต้ม นึ่ง ตุ๋น ไม่เน้นเนื้อสัตว์        
  2. ฝึกให้ลูกรู้จักการอดทนรอคอย หากลูกขอเงินไปซื้อขนมต้องมีกฏแค่ 1 วัน ไม่ให้เงินลูกไปซื้อของกินตามใจ เริ่มจากเรื่องเล็กๆ เช่น ตั้งกฎไว้ว่าลูกจะได้กินขนมหวานหรือไอติมทุกวันเสาร์ เพื่อให้ลูกรู้จักอดทนรอคอย อาจจะมีงอแงบ้างช่วงแรกๆ แต่ต้องใจแข็งค่ะ แล้วลูกจะปรับตัวได้เอง        
  3. ฝึกให้รู้จักภาคภูมิใจในตัวเอง ถ้าลูกทำได้ เช่น อดทนรอคอยกินไอติมวันเสาร์ได้ พ่อแม่ก็ต้องชม ให้รางวัลด้วยอ้อมกอดของพ่อแม่ เพื่อให้ลูกรู้ว่าลูกได้พยายามทำสิ่งที่ดี เพื่อเป็นการสร้างความภาคภูมิใจที่เขาสามารถควบคุมการกินของตัวเองได้        
  4. ฝึกวินัยเรื่องการกิน  เริ่มจากในชีวิตประจำวัน เช่น สอนให้ลูกต้องกินข้าวเช้าเสมอกินให้อิ่ม กินข้าวกลางวันแต่พอดี และกินข้าวเย็นน้อยๆ นอนให้เป็นเวลา และย้ำเตือนให้ลูกรู้ถึงอันตรายของการกินน้ำตาลให้ขึ้นใจ ทำกิจกรรมกับลูกให้ได้ออกกำลังกาย ลูกจะฝึกตัวเองได้จนเป็นนิสัยติดตัวไปจนโต

รหัสโปรโมชั่น Roobet "CSGOBETTINGS" รับสิทธิพิเศษ ไม่มีเงินฝาก และฟรีสปิน

ใRoobet Promo Code "CSGOBETTINGS" รับสิทธิพิเศษ ไม่มีเงินฝาก และฟรีสปิน

Roobet เป็นคาสิโนออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในวงการการพนันออนไลน์ มีความโดดเด่นในเรื่องของเกมที่หลากหลาย ระบบการเล่นที่ทันสมัย และโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ หนึ่งในข้อเสนอที่ดีที่สุดของ Roobet คือการใช้ Roobet รหัสโปรโมชั่น "CSGOBETTINGS" เพื่อรับสิทธิพิเศษที่ไม่ควรพลาด เช่น โบนัสไม่มีเงินฝาก ฟรีสปิน และเงินคืน 20% ภายใน 7 วันแรกของการสมัครสมาชิกใหม่

ในบทความนี้ เราจะสำรวจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Roobet promo code วิธีการใช้โบนัสอย่างมีประสิทธิภาพ และข้อดีของการเข้าร่วมโปรแกรม RooWards ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะของคุณ

รีวิวโค้ดโปรโมชั่นและโบนัส Roobet

Roobet มีชื่อเสียงในฐานะคาสิโนออนไลน์ที่ให้ประสบการณ์การเล่นที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นที่คุ้มค่ามากมายให้กับผู้เล่นทั่วโลก โดยเฉพาะ รหัสโปรโมชั่น Roobet "CSGOBETTINGS" ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้รับโบนัสที่ไม่ต้องมีการฝากเงินก่อน (No Deposit Bonus) ฟรีสปิน และเงินคืน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นใหม่

โบนัสไม่มีเงินฝาก (No Deposit Bonus)

โบนัสไม่มีเงินฝากเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่น่าสนใจที่สุดของ Roobet เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่สามารถเริ่มเล่นเกมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการฝากเงินก่อน ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถสำรวจและสนุกกับเกมต่าง ๆ ที่ Roobet นำเสนอได้โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เพื่อรับโบนัสนี้จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองเล่นคาสิโนออนไลน์โดยไม่ต้องใช้เงินของตนเอง

ฟรีสปิน (Free Spins)

อีกหนึ่งข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมจากการใช้ Roobet promo code คือการได้รับฟรีสปิน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้เล่นเกมสล็อต ฟรีสปินช่วยให้คุณสามารถเล่นเกมสล็อตที่คุณชื่นชอบได้มากขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินทุนของคุณเอง ฟรีสปินที่ได้รับจากโปรโมชั่นนี้สามารถนำไปใช้ในเกมสล็อตยอดนิยม เช่น Sweet Bonanza, Book of Dead, และเกมอื่น ๆ ที่มีโอกาสชนะรางวัลใหญ่ การใช้ฟรีสปินในเกมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มโอกาสในการชนะเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสนุกสนานในการเล่นอีกด้วย

ข้อเสนอโบนัสจาก Roobet

Roobet มีการนำเสนอโบนัสที่หลากหลายและคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นโบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงินครั้งแรก หรือโบนัสเงินคืน ซึ่งแต่ละโบนัสมีจุดเด่นและเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงข้อเสนอเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

โบนัส 20% Cashback ภายใน 7 วันแรก

หนึ่งในโบนัสที่น่าสนใจที่สุดคือโบนัสเงินคืน 20% ภายใน 7 วันแรกหลังจากที่คุณทำการฝากเงินครั้งแรก โบนัสนี้มีความสำคัญมากสำหรับผู้เล่นใหม่ เนื่องจากมันช่วยลดความเสี่ยงในการเล่นเกม หากคุณสูญเสียเงินในช่วงเวลานี้ Roobet จะคืนเงินให้คุณถึง 20% ของยอดที่สูญเสีย ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นเงินทุนในการเล่นต่อได้ทันที ทำให้คุณมีโอกาสในการชนะและเพิ่มกำไรได้มากขึ้น

RooWards และสิทธิพิเศษต่าง ๆ

Roobet ยังมีโปรแกรมสะสมคะแนนที่เรียกว่า RooWards ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เล่นที่มีการเล่นเกมอย่างต่อเนื่องและสะสมคะแนนได้มาก ผู้เล่นที่ใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะได้รับ RooWards ทันทีในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นทันที เช่น การได้รับโบนัสเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นประจำ หรือการเข้าถึงกิจกรรมพิเศษที่ให้รางวัลมากมาย การใช้ RooWards ทำให้การเล่นที่ Roobet ยิ่งน่าสนใจและคุ้มค่ามากขึ้น

โปรโมชั่นล่าสุดจาก Roobet

Roobet มักจะมีการอัปเดตโปรโมชั่นอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้เล่นได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเล่นเกมออนไลน์ การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงโปรโมชั่นล่าสุดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

โบนัสฝากเงินครั้งแรกและโปรโมชั่นพิเศษ

Roobet มีโบนัสฝากเงินครั้งแรกที่น่าประทับใจ โดยเมื่อผู้เล่นใหม่ทำการฝากเงินครั้งแรกจะได้รับโบนัสที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือได้รับฟรีสปินเพิ่มเติมในเกมสล็อตที่กำหนด โบนัสนี้ทำให้ผู้เล่นมีเงินทุนเพิ่มขึ้นสำหรับการเริ่มต้นเล่นเกม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการสำรวจและทดลองเล่นเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Roobet

นอกจากนี้ Roobet ยังมีโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น โปรโมชั่นในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสนุกสนานในการเล่นเกม การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นเหล่านี้ เช่น การได้รับโบนัสเพิ่มเติมในช่วงเทศกาล หรือการเข้าถึงกิจกรรมพิเศษที่ให้รางวัลมากมาย

วิธีการใช้รหัสโปรโมชั่น Roobet (ขั้นตอนการใช้)

การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เป็นกระบวนการที่ง่ายและสะดวก แต่เพื่อให้ผู้เล่นทุกคนมั่นใจในการใช้รหัสนี้ เรามีขั้นตอนการใช้รหัสที่ชัดเจนดังนี้:

  1. สมัครสมาชิกหรือเข้าสู่ระบบ: ถ้าคุณยังไม่มีบัญชีที่ Roobet คุณต้องสมัครสมาชิกก่อน โดยการกรอกข้อมูลที่จำเป็น เช่น ชื่อผู้ใช้ อีเมล และรหัสผ่าน หลังจากนั้นยืนยันอีเมลของคุณเพื่อเริ่มต้น
  2. ไปที่หน้าโปรโมชั่นหรือการฝากเงิน: เมื่อคุณเข้าสู่ระบบแล้ว ให้ไปที่หน้าฝากเงินหรือหน้าโปรโมชั่น ซึ่งจะมีช่องให้คุณกรอก Roobet promo code
  3. กรอกรหัสโปรโมชั่น "CSGOBETTINGS": ในขั้นตอนการฝากเงิน ให้คุณกรอกรหัส "CSGOBETTINGS" ลงในช่องที่กำหนด จากนั้นกดยืนยัน
  4. ตรวจสอบโบนัสที่ได้รับ: หลังจากกรอกรหัสและยืนยัน ระบบจะแสดงโบนัสที่คุณจะได้รับ คุณสามารถตรวจสอบโบนัสในบัญชีของคุณได้ทันที
  5. เริ่มเล่นและใช้โบนัส: เมื่อโบนัสถูกเพิ่มเข้าสู่บัญชีของคุณ คุณสามารถเริ่มเล่นเกมต่าง ๆ ที่ Roobet เสนอได้ทันที โดยใช้โบนัสที่ได้รับในการวางเดิมพัน

การใช้ Roobet promo code ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณได้รับโบนัสเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โปรโมชั่นพิเศษอื่น ๆ ที่ Roobet มีให้ ทำให้การเล่นคาสิโนออนไลน์ของคุณมีความสนุกสนานและตื่นเต้นมากขึ้น

ข้อดีของการใช้รหัสโปรโมชั่น Roobet

การใช้ Roobet promo code มีข้อดีมากมายที่ผู้เล่นทุกคนควรรู้:

  • เพิ่มโอกาสในการชนะ: ด้วยโบนัสฟรีสปินและเงินคืน คุณจะมีโอกาสเล่นเกมได้นานขึ้นและเพิ่มโอกาสในการชนะ
  • ประหยัดเงินทุน: การใช้ Roobet promo code ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในการเล่นเกม เนื่องจากโบนัสที่ได้รับสามารถใช้เป็นเงินทุนในการเล่นได้
  • เข้าถึงโปรโมชั่นพิเศษ: บางโปรโมชั่นอาจจำกัดให้เฉพาะผู้ที่ใช้รหัสโปรโมชั่นเท่านั้น ดังนั้น การใช้รหัสโปรโมชั่นจะทำให้คุณสามารถเข้าถึงข้อเสนอพิเศษที่คนอื่นไม่ได้รับ
  • เพิ่มประสบการณ์ในการเล่น: ด้วยการใช้รหัสโปรโมชั่น คุณจะได้รับโบนัสต่าง ๆ ที่ทำให้การเล่นเกมของคุณสนุกสนานและน่าสนใจยิ่งขึ้น
  • ความปลอดภัยในการใช้รหัส: การใช้รหัสโปรโมชั่นที่ Roobet นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการยอมรับและมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุดในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและการทำธุรกรรมทางการเงิน

ความปลอดภัยในการใช้ Roobet promo code

Roobet เป็นคาสิโนออนไลน์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงการ การใช้ Roobet promo code นั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน การทำธุรกรรมทางการเงินและข้อมูลส่วนตัวของคุณได้รับการปกป้องด้วยระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้คุณสามารถใช้รหัสโปรโมชั่นและเล่นเกมได้อย่างสบายใจ

Roobet ยังใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลขั้นสูงเพื่อปกป้องข้อมูลของผู้เล่นทุกคน ซึ่งหมายความว่าข้อมูลการทำธุรกรรมและข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยหรือใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ Roobet ยังได้รับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มั่นใจว่าเกมที่พวกเขานำเสนอเป็นธรรมและมีความโปร่งใส

การถอนโบนัส

เมื่อคุณได้รับโบนัสจากการใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" แล้ว คุณอาจต้องการถอนเงินโบนัสนั้นออกมาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน การถอนโบนัสที่ Roobet นั้นไม่ยุ่งยาก แต่คุณจำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขการเล่นที่กำหนดไว้ก่อน เช่น การเล่นให้ครบตามจำนวนครั้งที่กำหนดหรือการใช้โบนัสในเกมที่ระบุไว้เท่านั้น

Roobet มีวิธีการถอนเงินที่หลากหลายให้คุณเลือก เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การถอนผ่านสกุลเงินดิจิตอล เช่น Bitcoin และ Ethereum การทำธุรกรรมการถอนเงินมักจะเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่นาน ทำให้คุณได้รับเงินอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย

การทำธุรกรรมที่ Roobet ได้รับการปกป้องด้วยมาตรการความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้ผู้เล่นสามารถมั่นใจได้ว่าเงินของพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างดี นอกจากนี้ Roobet ยังมีฝ่ายบริการลูกค้าที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ หากคุณมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการถอนเงิน คุณสามารถติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โปรโมชั่นหลักจาก Roobet

Roobet มีโปรโมชั่นหลักที่น่าสนใจมากมายให้กับผู้เล่นใหม่และผู้เล่นปัจจุบัน ซึ่งโปรโมชั่นเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสนุกในการเล่นเกม แต่ยังเพิ่มโอกาสในการชนะอีกด้วย

โบนัสต้อนรับ (Welcome Bonus)

โบนัสต้อนรับที่ Roobet เสนอให้กับผู้เล่นใหม่เป็นหนึ่งในโปรโมชั่นที่คุ้มค่าที่สุด โดยผู้เล่นสามารถรับโบนัสเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือรับฟรีสปินเพิ่มเติมในเกมสล็อตที่กำหนด โบนัสนี้เป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นการเล่นที่ Roobet ด้วยเงินทุนที่มากขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสในการชนะและสำรวจเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน Roobet

โปรโมชั่นฝากเงินประจำ (Regular Deposit Bonuses)

Roobet ยังมีโปรโมชั่นสำหรับการฝากเงินประจำ ซึ่งผู้เล่นสามารถรับโบนัสเพิ่มเติมจากการฝากเงินครั้งที่สอง สาม หรือสี่ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษที่ให้ฟรีสปินหรือโบนัสเพิ่มขึ้นเมื่อทำการฝากเงินในช่วงเวลาที่กำหนด โปรโมชั่นเหล่านี้ช่วยให้ผู้เล่นมีโอกาสเพิ่มเงินทุนและเพิ่มโอกาสในการชนะในระยะยาว

Roobet มักจะมีโปรโมชั่นพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมพิเศษ เช่น โปรโมชั่นในช่วงปีใหม่ ฮาโลวีน หรือวันหยุดอื่น ๆ ผู้เล่นสามารถรับโบนัสพิเศษ ฟรีสปิน หรือรางวัลพิเศษที่ไม่มีในช่วงเวลาอื่น ๆ การใช้ Roobet promo code จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากโปรโมชั่นเหล่านี้

สรุป

การใช้ Roobet promo code "CSGOBETTINGS" เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มโอกาสในการชนะและรับสิทธิพิเศษมากมายจาก Roobet ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นใหม่หรือผู้เล่นที่มีประสบการณ์ การใช้ Roobet promo code จะช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการเล่นคาสิโนออนไลน์อย่างแน่นอน อย่าลืมตรวจสอบโปรโมชั่นล่าสุดและติดตามข่าวสารจาก Roobet เพื่อไม่พลาดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากข้อเสนอที่ดีที่สุด

การใช้โปรโมชั่นและโบนัสที่ Roobet ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะ แต่ยังทำให้การเล่นเกมสนุกสนานและน่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น Roobet มอบประสบการณ์การเล่นเกมที่มีคุณภาพสูงพร้อมด้วยโปรโมชั่นที่คุ้มค่า ทำให้เป็นหนึ่งในคาสิโนออนไลน์ที่ผู้เล่นทั่วโลกเลือกใช้

คำถามที่พบบ่อย (FAQ's)

Roobet promo code คืออะไร? 

Roobet promo code คือรหัสที่คุณสามารถใช้เพื่อรับสิทธิพิเศษ เช่น โบนัสไม่มีเงินฝากและฟรีสปิน รหัสนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะและทำให้การเล่นเกมสนุกสนานยิ่งขึ้น

ฉันจะใช้ Roobet promo code ได้อย่างไร? 

การใช้ Roobet promo code ง่ายมาก เพียงแค่กรอกรหัสในขั้นตอนการฝากเงินหรือสมัครสมาชิกที่ Roobet แล้วคุณจะได้รับโบนัสทันทีเพื่อใช้ในการเล่นเกม

โบนัสที่ได้จาก Roobet promo code สามารถถอนเงินได้หรือไม่? 

ได้ โบนัสที่คุณได้รับจาก Roobet promo code สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด คุณควรตรวจสอบเงื่อนไขการเล่นก่อนทำการถอนเงิน

Roobet มีโปรโมชั่นอะไรบ้าง? 

Roobet มีโปรโมชั่นมากมาย เช่น โบนัสต้อนรับ โบนัสฝากเงิน และโปรโมชั่นฟรีสปินที่มีให้เลือกตามความต้องการของผู้เล่น

Roobet ปลอดภัยหรือไม่? 

ใช่, Roobet เป็นเว็บไซต์ที่ปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือในการเล่นคาสิโนออนไลน์ ข้อมูลส่วนตัวและการทำธุรกรรมทางการเงินของคุณจะได้รับการปกป้องด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง

รักลูก The Expert Talk EP.123 : “รู้เท่าทันสื่อ Digital Literacy”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.123 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 4 รู้เท่าทันสื่อ Digital Literacy

 

จากงานวิจัยพบว่า เด็กใช้สื่อหน้าจอดิจิทัลมากขึ้น โดยใช้ในช่วงอายุที่น้อยลง แต่ใช้งานมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณต่อวัน ต่อครั้งการใช้งานและความถี่

และไม่ได้พบเฉพาะปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมเท่านั้น แต่พบว่าเด็กถูกล่อลวงหรือว่าไปเจอ Cybercrime อาชญากรรมทางไซเบอร์ พ่อแม่จะรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างไร?

 

ฟังอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.125 : Cybercrime คืออะไร? รู้ไว้ก่อนลูกถูกลวง

 

รักลูก The Expert Talk Ep.125 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 6 Cybercrime คืออะไร? รู้ไว้ก่อนลูกถูกลวง

เมื่อพ่อแม่ให้โทรศัพท์ แท็บแล็ตหรือสร้างแอคเคาท์บนโซเชียลมีเดียให้ลูก เราอาจจะคิดว่าอินเทอร์เน็ตมันเป็นโลกของข้อมูลความรู้

แต่ถ้าลองคิดในมุมกลับกัน เมื่อให้ลูกเข้าถึงโลกทั้งใบ โลกทั้งใบก็เข้าถึงลูกของเราได้เหมือนกัน…การเกิดอาชญากรรมออนไลน์จึงเกิดขึ้นได้ง่าย

 

รู้กลลวงของเหล่ามิจฉาชีพบนโลกออนไลน์เพื่อรับมืออย่างเท่าทัน ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk Ep.40 (Rerun) : แก้ปัญหาพฤติกรรมลูกฉบับนักจิตวิทยา แค่พ่อแม่ปรับ ลูกก็เปลี่ยน

 

รักลูก The Expert Talk EP.39 (Rerun) : แก้ปัญหาพฤติกรรมลูก "ฉบับนักจิตวิทยา" แค่พ่อแม่ปรับ ลูกก็เปลี่ยน

ความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกมีอยู่มากมาย…แต่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้จริง เพราะมีสิ่งที่ต้องโฟกัสเยอะรอบด้าน บวกกับการเลี้ยงลูกด้วยกลัว ความกังวล และความไม่เข้าใจ จึงทำให้มองว่าการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องยาก

ฟังวิธีการรับมือกับปัญหาพฤติกรรมต่างๆ โดยนักจิตวิทยา อาจารย์อลิสา รัญเสวะ นักจิตวิทยาคลินิก ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระรามเก้า

การเลี้ยงลูกเดี๋ยวนี้ยากมาก ถามในมุมมองของนักจิตวิทยา

ด้วย Generation ที่เปลี่ยนไป เรากับลูก Generation ก็เริ่มห่างกันเยอะด้วยความที่เราเองอาจจะขาดความรู้ทั้งๆ ที่ความรู้มันเยอะแทบจะท่วมหัวเลยแต่ความรู้เหล่านั้นไม่มาประกอบกันได้ แล้วเราควรต้องทำแบบคนนี้คนนั้น หรือคนนู้นดี เลยเป็นเหตุให้เรารู้สึกว่าความรู้ที่เรามีอยู่มันเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่จริง

ทั้งหมดมันดีแต่พอมาประกอบกันเราไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้เลยมันยากเพราะเรามีโฟกัสเยอะ เรามีเรื่องงานหนัก ไหนจะเรื่องชีวิตคู่เราอีก พ่อแม่ที่เราต้องรับผิดชอบอีก ไหนจะลูกอีกทุกอย่างเข้ามาพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะในช่วงโควิด 2 ปีนี้หนักหนาสาหัสมาก เพราะทุกอย่างอยู่กับเราหมดเลยไม่ว่าจะเรื่องงานที่ยากขึ้น เรื่องของลูกที่ความเข้าใจของเราก็เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่

จริงๆ โดยธรรมชาติเด็กไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะก็คือเหมือนเดิม เหมือนเด็กเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เหมือนพวกเรา เพียงแต่ว่าพอเรามาเป็นพ่อแม่เองเรากลับรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าใจเหลือเกิน แล้วด้วยเหตุที่เราไม่เข้าใจเราก็กลัว พอเรากลัวบางครั้งเราก็เอาปมของเรามาแล้วเราก็จะไม่ทำอย่างที่เรามีปม เช่น ถ้าพ่อแม่เข้มงวดกับเรา เราก็ไม่อยากเข้มงวดกับลูก

แล้วเราก็ให้ทุกอย่างเพราะเราไม่เคยได้ อันนี้เราก็ถมปมตัวเองอีก แล้วเราก็ตามใจลูกเพราะรู้สึกว่าตอนเล็กๆ เราโดนพ่อแม่ขัดใจเราอยากจะถูกตามใจ เราเอาปมของเรามาเลี้ยงลูกยุคใหม่ ที่นี้ไปกันใหญ่เลยความเข้าใจก็ไม่ค่อยมี ความรู้ก็เอามารวมกันไม่ได้ สิ่งที่กลัวก็เยอะ เพราะฉะนั้นผลที่ออกมาเราจะเห็นว่า เด็กสมัยใหม่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเลี้ยงเขายาก แต่จริงๆ เรารู้เทคนิคเด็กไม่ได้เลี้ยงยาก คนที่ยากทำให้เขายากคือเราเท่านั้นเอง

ปัญหาพฤติกรรมที่พบได้บ่อย

เยอะมาก สิ่งแรกก็คือการเรียนออนไลน์การเรียนรู้ของเด็กโดนฟรีสไป 2 ปี เรียนออนไลน์ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่กับเด็ก

สอง เรื่องพัฒนาการเริ่มเกิดเด็กพัฒนาการช้ามากขึ้นเพราะถูกขังไว้ในพื้นที่แคบมันเลยไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีกับเขา

สาม ปัญหาที่ตามมาจากโควิดอีกคือ การติดจอ ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาอย่างรวดเร็วเด็กติดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาหมกมุ่นมากที่จะรอเวลาที่จะเล่น พอได้เล่นสิ่งนั้น Passion ในการใช้ชีวิตในการเรียนหนังสือในการทำสิ่งต่างๆ ก็หายไป

ปัญหาที่เข้ามาในโรงพยาบาลตอนนี้เยอะมากคือปัญหาพฤติกรรม ปัญหาทางด้านอารมณ์ ปัญหาทางด้านสมาธิ ปัญหาทางด้านการเรียนรู้ มาครบเลย เมื่อก่อนจะมาแค่ 1 ด้าน แต่ตอนนี้เด็ก 1 คนครบมากแล้วพอเป็นแบบนี้ก็ขาด Social Skill ปัญหาใหญ่เหมือนกันเพราะฉะนั้นตอนนี้คนที่มาถึงมือมีเรียงลำดับอายุ 3 ขวบ 6 ขวบ 10 ขวบ 13 ขวบ เจอโดนผลกระทบกันหมดเป็นเรื่องยากเหมือนกันของพ่อแม่ที่จะรับมือกับสิ่งนี้ที่จะช่วยลูก เลยทำให้สิ่งนี้ทำให้พ่อแม่เครียดมากไม่รู้จะจัดการอย่างไร 2. พ่อแม่ต้องปรับเรื่องไหนก่อน

1.พ่อแม่ต้องปรับทัศนคติตัวเองใหม่ก่อน

ตั้งสติดีๆ ก่อน เวลาที่ปัญหามันเข้ามาหาเราเยอะเราจะรู้สึกแพนิคและวิตกกังวลมันเยอะไปหมดไม่รู้จะจัดการอย่างไร จริงเริ่มที่เรา เราตั้งสติให้ดีแล้วเราเปลี่ยน Mindset ว่าเราจะไม่ทำเหมือนเดิมแล้วนะ

ถ้าเราทำเหมือนเดิมผลก็คือเหมือนเดิมเราต้องเปลี่ยนกระบวนการเลี้ยง เมื่อก่อนเราอาจจะเลี้ยงเขาแบบหนึ่ง ตอนนี้สิ่งที่เราเน้นเสมอเลยว่าตอนนี้ถ้าเราจะแก้มาจดจ่ออยู่กับลูกอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงอย่างมี Quality Time อยู่กับเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา ตอนนี้เราเครียดเราก็เอากลับมาให้เขาแล้วเราก็รู้สึกกดดันเขา คาดหวังเขา เราคาดหวังในการเรียนออนไลน์ของเขาอย่างหนัก คำว่า คาดหวังอย่างหนัก พอเราเห็นเขานั่งไม่อยากเรียนเราก็รู้สึกหงุดหงิด พอเขาเปิดจอ 2 จอ 3 จอ 4 เราก็รู้สึกเครียด

เราต้องปรับ Mindset ใหม่ว่าเด็กคือมนุษย์คนหนึ่ง คิดถึงตัวเองเมื่อตอนเราเป็นเด็กมันก็ควบคุมทุกอย่างยาก 1. คือการเรียนออนไลน์เราต้องยอมรับแล้วว่าไม่เวิร์คมันได้ 50% ตั้งใจเกือบตายก็ได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นเลิกกดดันลูก เลิกคาดหวังจากลูกเสียที

2.ตั้งสติ

แล้วดูปัญหาของลูกว่าตอนนี้เขากินอยู่หลับนอนเขาช่วยเหลือตัวเองได้หรือเปล่า ช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันเป็นการกระตุ้นพัฒนาการที่ดีมากๆ กระตุ้นพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ อย่างใส่เสื้อตัวต้องตั้งขึ้นมากล้ามเนื้อทั้งแท่งของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ใช้ แขนได้ใช้ ขาได้ใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ใช้ นิ้วได้ใช้จับเสื้อติดกระดุม เรื่องของภาษาได้ใช้เพราะเวลาเราบอกลูกหยิบอันนั้น หยิบอันนี้ เขาต้องฟังต้องเข้าใจมีการสื่อสาร

ในเรื่องของการแก้ปัญหาก็เกิดเพราะฉะนั้นเราต้องกลับไปดูใหม่แล้วว่าการกินอยู่หลับนอนที่เราเคยทำให้ ที่เราเคยให้พี่เลี้ยงทำให้เราต้องเปลี่ยนทัศนคติแล้วโลกโหดร้ายกว่าที่เราคิดถ้าเขาช่วยตัวเองไม่ได้แค่เรื่องง่ายๆ แค่นี้เขาจะผ่านไปสู่เรื่องยากได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันถ้าเขาสามารถดูแลตัวเองได้เขาก็จะภูมิใจในตัวเองและเราเองก็จะเบาลง พอเราเบาลงเขาทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองกินได้ด้วยตัวเองได้ สามารถอยู่กับตัวเองเป็น สามารถนอนได้โดยไม่ไปรบกวนคนอื่น พวกนี้กิจวัตรประจำวันทำได้เองเพิ่มเรื่องของการช่วยเหลือคนอื่นหน้าที่งานบ้านมันคือความรับผิดชอบต่อสังคมต่อคนอื่นต้องปลูกฝัง เพราะถ้าเราตามตอนนี้สังคมโหดร้ายมากดูข่าวเด็ก

เอาแต่ตัวเองโฟกัสแต่ตัวเองแล้วเราก็ให้ลูกไปโฟกัสแต่ตัวเองทุกวันนี้เป็นแบบนี้ มันเปลี่ยนไปมากเมื่อก่อนเราจะเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของคนอื่นเราจะโพสต์เชียลเราจะแคร์ว่าเมนท์ไปแล้วเดี๋ยวเขาเสียใจเดี๋ยวนี้เราไม่มีความแคร์อันนี้เลยเราอยากจะพูดอะไร พิมพ์อะไร เมนท์อะไรเราก็ตรงๆ แรงๆ เราใส่อารมณ์ใส่ความรู้สึกเข้าไปโดยไม่แคร์คนอื่น

เพราะฉะนั้นแปลว่าตอนนี้เราเคารพแต่ตัวเองเราไม่เคารพความรู้สึกของคนอื่น อันนี้ Self Esteem คือการที่เรารู้จักตัวเองรักตัวเองเป็นแล้วต้องรักคนอื่นได้ด้วยเราต้องมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เราต้องมีความเมตตากับคนอื่น

ตอนนี้แทบไม่มีเลยคอมเมนท์ไม่มีความเมตตาเลยแล้วตามด้วย Cyber Bullying อีกปัญหายาวมาก คุณพ่อคุณแม่ตั้งสติก่อนเริ่มที่บ้านและตอนนี้เราพึ่งโรงเรียนไม่ได้เราต้องพึ่งตัวเองเราต้องเป็นครูของลูก เราต้องหากระบวนการเรียนรู้ที่มันใช้ได้จริงวิชาการหรืออินเตอร์เนทไปอ่านมาคนหนึ่งก็ไปทิศหนึ่งอีกคนก็ไปทิศหนึ่ง

บางคนบอกเราว่าต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมด แล้วกินอะไรคำถามง่ายๆ แล้วกินอะไร แล้วพอลูกเรียนจบจะอยู่อย่างไรละ ความภาคภูมิใจของเราละ ชีวิตของเราละ พอลูกอายุ 15 ลูกก็ไม่เอาเราแล้วลูกก็ไปอยู่กับแฟน ลูกก็สนใจเพื่อน แล้วเราจะอยู่อย่างไรเราจะเหงาไหมเราจะขาดสังคมหรือเปล่า

ความจริงคือมันต้องไปด้วยกันเราคือมนุษย์หนึ่งคน ลูกคือมนุษย์หนึ่งคนอยู่กันอย่างไรให้เป็นความจริงที่สุดว่าเราอยู่ร่วมกันเรารับผิดชอบเขา เขารับผิดชอบตัวเองและมีปัญหาให้น้อยที่สุด การจะมีปัญหาให้น้อยที่สุดมันต้องเริ่มตั้งแต่ขวบปีแรกได้ปัญหาทุกอย่างมันจะเบาและน้อยที่สุดถ้าเริ่มด้วยความเข้าใจและความรู้ที่แท้จริงในการเลี้ยง

เราตั้ง Mindset ว่า เราฝากลูกไว้กับครูยากแล้วสิ่งที่สำคัญคือพ่อแม่เองเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกด้วยในเรื่องของอารมณ์ในเรื่องของวุฒิภาวะเวลาปกติเราเครียดเราวี๊ดเราก็ลงไปทีเขาเลย เพราะฉะนั้นเราอยากให้เขาโตขึ้นมีเหตุผลเราต้องทำสิ่งนั้นให้เขาเห็นด้วยว่าพ่อแม่ก็เป็นแบบนั้นลูกก็จะได้มีโมเดลที่ดี

ส่วนปัญหาที่มันมามากมายค่อยๆ โฟกัส จริงๆ ลูกไม่ได้แย่หลายๆ คนนั่งมาร์คจุดด้อยของลูกมีเป็นร้อยแต่ตัวเองก็จะมองกลับไปลองดูสิ่งที่เขาทำได้สิ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่เราลองมาดูว่าเขาทำอะไรไม่ได้เราก็สอนเขาให้เขาทำได้อะไรที่เป็นปัญหาหนักมือเราทำไม่ได้แล้วต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญก็หาความช่วยเหลือ

หาข้อมูลที่สามารถทำได้จริงเป็นไปได้เราเข้ากับข้อมูลอันนั้นเป็นข้อมูลที่คลิ๊กกับเรา เราจะรู้เลยว่าข้อมูลนี่เป็นไปได้เราทำได้ เพราะนั้นตั้งสติเปลี่ยน Mindset ว่าอย่าพึ่งคนอื่นพึ่งตัวเอง

3. สร้างบ้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของลูก

เพราะจริงๆ เมื่อก่อนเราส่งลูกไปที่โรงเรียนแล้วลูกก็อยู่ที่โรงเรียนถึงเย็น เราก็คาดหวังว่าคุณครูจะให้ลูกกลับมา 1 2 3 4 ลูกต้องเพอร์เฟคสำหรับฉันแต่ตอนนี้หน้าที่อยู่ที่พ่อแม่หมดเลย แล้วโรงเรียนก็น่าสงสารในตอนนั้นอย่าลืมว่าในห้องคุณครูต้องสอนวิชาการแล้วคุณครูก็ต้องสอนกติกา

คุณครูก็ต้องสอนมารยาท ต้องให้ Social Skill ลูก เพราะเด็กในห้องเรียนหนึ่ง 30 คน หมอทำกรุ๊ปเด็กเพื่อทำพัฒนา Social Skill รับไม่เกิน 5 คน เพราะเราดูละเอียด เด็กในเรื่องของ Social Skill ไม่ใช่ 30 คนแล้วเราสามารถพัฒนาได้ อยู่ที่บ้านเราทำกับลูกที่บ้านได้เลยเราสามารถพัฒนาเขาได้ทุกๆ ด้าน พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่เราทำได้ที่บ้าน กระโดดโลดเต้นหากิจกรรมเคลื่อนที่ในที่แคบให้ลูกทำ

พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กใช้ศิลปะได้ ใช้การเล่นของเล่นได้ พัฒนาการทางด้านภาษาพูดเป็นเพื่อนกับลูกก่อนได้ในช่วงนี้ เราจะเน้นมากช่วงนี้เด็กเวลาคุยไม่ค่อยมองหน้าไม่ค่อยสบตาเพราะเวลาเราคุยกับลูกเราเล่นมือถือ ลูกก็ไม่รู้ว่าต้องมองหน้า

ซึ่งความสัมพันธ์ที่แท้จริงของมนุษย์ที่มันต่างกับอย่างอื่นคือมองหน้า สบตา พูดคุย อันนี้ต้องให้เกิดทักษะสังคม เบสิกอันนี้ต้องเกิดก่อนรู้จักมองหน้าคน รู้จักมองตา สบตา พูดคุย อันนี้เริ่มที่บ้านได้ทำเลยมีเวลา 1 ชั่วโมง สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกเล่นกับลูกเราก็ต้องรู้ด้วยว่าจะเล่นอะไร บางครั้งการเล่นเราก็เป็นแม่เกินไป เราก็เป็นครูเกินไปหรือบางทีเราก็เป็นเพื่อเกินไป มันพอดี

สร้างหลักความพอดี สร้างจุดสมดุล

เข้าใจก่อนว่าการเป็นเพื่อนเล่นของลูกกับการเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนไม่เหมือนกัน ในช่วงแรกของชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนถึงก่อนเข้าวัยรุ่นเลี้ยงลูกให้เป็นลูกได้ ไม่ต้องเป็นเพื่อน

เลี้ยงดูอย่างเข้าใจธรรมชาติของวัย

เพราะเราต้องสอน ต้องสั่ง ต้องออกคำสั่ง เราต้องให้เขาเชื่อฟังเรา แต่หลังจากวัยรุ่นไปแล้ว 10 ขวบไปแล้วเราต้องเลี้ยงเขาแบบเพื่อนเราจะหยุดการสอน

เราจะพูดคุยเราจะใช้เหตุผล เราจะแสดงความเห็นที่ต่างกันได้เราจะรับฟังกันมากขึ้น เพราะฉะนั้น 10 ปีนี้ เวลาที่เล่นคือเล่น เวลาที่เลี้ยงคือเลี้ยง เวลาที่สอนคือสอน แต่เวลาสอนก็ไม่ใช่พูดเรื่องเดิม เราต้องรู้แล้วว่าเราสอนเขามา 5 ปี ในเรื่องนี้เราพูดเหมือนเดิมประโยคเดิมอารมณ์เดิมเขารู้แล้วที่เขาไม่ทำเพราะยังพูดเหมือนเดิมอารมณ์เดิมประโยคเดิมเราไม่เรียนรู้แต่ลูกเรียนรู้

คนฉลาดคือคนที่ต้องเรียนรู้ว่าสิ่งไหนไม่เวิร์คต้องหยุด เพราะฉะนั้นเราพูดจ้ำจี้จ้ำไชมาไม่เกิดผลเราต้องหาวิธีใหม่ วิธีจ้ำจี้จ้ำไชก็ไม่น่าใช่วิธีที่เหมาะกับลูกเรา เราก็ต้องตั้งสติดีๆ ว่าอะไรถึงจะพอดีออกคำสั่งชัดๆ เด็ดขาดแต่ไม่ได้ใช้อารมณ์ อย่างเช่น ไปอาบน้ำ ธรรมดา ลูกบอกว่าเดี๋ยว ก็ค่อยๆอารมณ์เพดาน ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นตัวเองก็จะให้แค่ 3 ครั้ง ที่จะไปอาบน้ำ รอบที่สอง ไปอาบน้ำ ให้เสียงต่ำลง สูงขึ้นคือใช้อารมณ์

เวลาเราจะกดดันใครให้เราใช้เสียงต่ำ เวลาเราโกหกเราจะใช้เสียงสูงเราจะใช้อารมณ์ ครั้งที่ 3 ไม่พูดลากไปเลยค่ะ คือการกระทำที่ชัดเจนเด็ดขาดว่าแม่ให้แค่นี้ แค่นี้คือแค่นี้ทำไปสัก 2-3 ครั้งเกิดการเรียนรู้ คือลูกเกิดการเรียนรู้ดีกว่าผู้ใหญ่

เรียนรู้ลูก

สังเกตไหมบางคนมีลูกมา 10 แล้วมาเรียนรู้เลยยังใช้วิธีเดิมแต่ลูกเรียนรู้ตลอดเวลา ปรับเพื่อจะสู้กับเราตลอดเวลา แล้วการต่อลองเป็นการดึงที่เขาต้องการ เช่น การบอกว่าเดี๋ยว อีกแป๊บหนึ่ง อีกหน่อยหนึ่ง อีก 10 นาที อีก 5 นาที เหมือนได้ตลอดเลยไม่เคยเดี๋ยว

เพราะฉะนั้นเขาเรียนรู้และรู้จักใช้วิธีแต่เราไม่ได้เรียนรู้เราใช้วิธีเดิม พอรอบที่ 1 ไม่ได้เราก็ใช้ประโยคเดิมซ้ำเดิมแล้วเราก็วี้ด เสียงก็สูงขึ้นๆ อารมณ์ก็สูงขึ้นด้วย ถามว่าแล้วใครได้ประโยชน์ ลูกได้สิ่งที่ลูกต้องการไม่ใช่เรา กลับมาใหม่ว่า

พอดี

พอดี คืออะไร พอดี คือพูดน้อยๆ ชัดๆ เด็ดขาด ให้เขารู้ว่าทำคือต้องทำการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันคือเรื่องซีเรียส แต่เวลาเล่นกับลูก เล่นแบบเพื่อนไม่ใช่เล่นแบบออกคำสั่ง ไม่ใช่เป็นครูไม่ใช่เป็นพ่อแม่ เล่นแบบเพื่อนหมายความว่าอย่างไรเราเป็นคนหนึ่งที่ให้เขาเรียนรู้กติกามีการสลับพลัดเปลี่ยนกันถึงตาลูก ถึงตาแม่มีความสนุก

มีการทำให้ลูกเห็นว่าเราไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง ไม่ได้ชนะลูกทุกครั้ง สลับกันแพ้สลับกันชนะ แกล้งแพ้บ้าง แกล้งชนะบ้าง แกล้งเสมอบ้าง เพื่อให้เขาปรับตัวว่าจริงๆ ไม่เป็นไร เราเป็นตัวอย่างให้ดูว่าแพ้ไม่เป็นไร ชนะอย่าเยาะเย้ยลูก ชนะอย่าโห่ฮิ้วมากแล้วเขาจะรู้สึกเยอะ

เพราะฉะนั้นเราก็เล่นให้เขาเรียนรู้กติกา ว่าการเล่นมีกติกาอยู่ เขาสนุกกับเราได้เวลาที่เขาเล่น อย่างของหมอก็จะมีชั่วโมงเรียกว่า Happy Time คือการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่ต้องมีอะไรไม่ต้องสอนไม่ต้องมีกติกา เป็นยังไง วันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าชั่วโมงนั้นเราจะเอาความทุกข์ไปไว้ที่ลูกไปเราว่าวันนี้แม่เจอความเครียด ไม่ใช่

หรือพ่อแม่บางคนชอบจะเอาความทุกข์ไปใส่ไว้ที่ลูก เช่น ทะเลาะกับพ่อของเขาไปว่าพ่อให้ลูกฟัง ไปบอกลูกว่าพ่อนิสัยไม่ดียังไง หรือพ่อเองก็มาว่าแม่ให้ลูกฟังสิ่งนี้ไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ ความทุกข์เรื่องงาน ความทุกข์เรื่องเงิน

เด็กไม่ควรต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ในเวลาที่เขาเป็นเด็ก คุณกำลังจะดับฝันเขาเหมือนคุณกำลังจะบอกเขาว่าชีวิตไม่ได้มีความสุขเลยจริงๆ แล้วมีความทุกข์หนักมาก แล้วเราก็เอาความทุกข์เราไปไว้ในใจเขา เวลาเด็กที่เขาซับเอาความทุกข์ไปเขาไม่เหมือนเรา เขาไม่รู้ว่าความทุกข์สามารถหยุดได้หมดได้ แต่เขาจะเก็บเอาไว้แล้วก็ซึมซับความทุกข์นั้นไว้จนเป็นอารมณ์ตัวเองแล้วก็ไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข

เช่น คุณแม่บอกว่าวันนี้แม่ทุกข์ทรมานต่างๆ นาๆ ลูกก็จะรู้สึกว่าฉันมีความสุขไม่ได้ ฉันอยู่หลังแม่ฉันเด็กจะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข มันก็ส่งผลกระทบไปที่เขาเพราะฉะนั้น Happy Time คือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน พูดคุยกัน ผ่อนคลาย พยายามรับฟังเขา

จริงๆ เป็นช่วงติดตามว่าเทรนด์ของเขา เขาสนใจอะไรกำลังโฟกัสอะไร เขาสามารถเล่าเรื่องทุกอย่างให้เราฟังได้นะ เราเป็นคนที่เขาไว้ใจได้แล้วก็ยังไม่ต้องสอนอะไรเก็บเอาไว้ เวลาเขาเล่าอะไรหรือไปทำอะไรมาก็แล้วแต่คุณพ่อคุณแม่มักใจร้อนเผลอสอน

พอดี หมายความว่า รอเวลาที่พอดีที่จะสอน แล้วการรับฟังไม่ใช่ว่า แม่หนูไปทำอันนี้มา ลูกไม่ควรทำแบบนั้นนะแล้วก็สอนไปยาว แล้วใครจะเล่าให้คุณฟังเพราะมันก็จะมีตำหนิตามมา

พอดี คือ คิดถึงใจตัวเองไว้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราอยากได้อะไรคิดถึงใจเราถ้าไม่ใช่เวลาสอนก็อย่าสอนตลอดเวลา สอนให้เป็นเวลาแล้วพูดให้น้อย เพราะเวลาที่เราพูดเยอะๆ เด็กจะเข้าใจว่าเราบ่น เขาจะรู้สึกว่านี่คือบ่นแล้วไม่มีสาระแล้วโทนเสียงระดับเกินมาตรฐานของแม่คือการที่แม่พร่ำเพ้อแล้วลูกก็จะดับหูก็จะไม่อยากฟังเลี้ยงลูกจริงๆ ต้องมีจิตวิทยาเยอะมาก มีดีเทลเยอะ

เป็นแบบอย่างให้ลูก

เป็นแบบอย่างให้ลูก แต่พอช่วงวัยรุ่นมันเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงหมดเลย หยุดสอน ฟังให้เยอะ พูดให้น้อย คอนเซปต์ของการเลี้ยงวัยรุ่น 4. ซ่อมแซม Learning Loss ในมุมมองของนักจิตวิทยา

ตอนนี้ปัญหาเข้ามารอบด้าน กรูเข้ามาทุกทางสมัยก่อนปัญหาก็เยอะแต่ทำไมไม่กรูหาเด็กขนาดนี้ ไม่มาหาเราขนาดนี้ ที่มาเยอะเพราะโซเชียลมีเดีย เพราะการรับข้อมูลเยอะแล้วช่องรับมันเร็ว กว้างและเร็ว มันอิมแพคเร็วมากในการที่มี Respond ของสังคม

การที่ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรรู้หมด เพราะฉะนั้นตอนนี้เรากลับรู้สึกว่าอยู่ยากขึ้นหนักขึ้น ตัวเด็กเองก็ยากขึ้นหนักขึ้นเช่นกัน แต่ว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ต้องตั้งสติก่อนว่าบางครั้งตัวเราเองเมื่อความรู้ไม่มากพอความกลัวที่เยอะเราก็จะมองมันใหญ่เกินที่จะเป็นจริง

เวลาที่ Learning Loss เกิดขึ้น เวลาจะ Loss อะไรมันมักจะ Loss เป็นชุดใหญ่ๆ มันไม่มีการ Loss ที่มันค่อยๆ แต่พอมัน Impact แล้วมันก็ Impact ในหลายๆ ระบบเหมือนพัฒนาการที่พอมันช้า 1 ก็โดนกระทบไปหมด เด็ดดอกไม้ก็สะเทือนไปถึงดวงดาว

ให้กระบวนการคิดที่ดี

ตั้งสติว่าสิ่งที่เราต้องให้ลูกในเบสิกของชุดกระบวนความคิดของสมองของลูกมันไม่ใช่ว่าจะต้องให้ข้อมูลที่เยอะแต่เราต้องให้กระบวนการคิดที่ดี ถ้าเด็กมีกระบวนการคิดที่ดีเขาจะดีทุกเรื่อง

ถ้ามีกระบวนการคิด มี Process ในการคิดว่าต้องทำสิ่งนั้นต้องทำสิ่งนี้มีกระบวนการคิดที่ดีจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้หมด อย่างเช่น เขาเรียนแล้วเขาไม่ตั้งใจ ถ้าเขามีกระบวนการคิดที่ดีเรื่องนี้จะเป็นปัญหาน้อยมากเพราะเขารู้ว่าเขาจะตั้งใจยังไง จะมีกระบวนการเรียนรู้ยังไง ในชีวิตประจำวันกระบวนการคิดถ้าได้เกิด ได้สร้างจะทำเขาสามารถแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเขาได้

ในการเรียนหนังสือแก้ปัญหาโจทย์ใช้กระบวนการความคิดหมดเลย รวมไปถึงการโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเรากระบวนการคิดสำคัญมากถ้าเราไม่เคยถูกใช้พวกนี้มันจะไม่พัฒนา แล้วใครทำให้กระบวนความคิดอันนี้เกิด เกิดน้อย หรือไม่เกิดก็คือพ่อแม่

ปัญหาสังคมตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพศ ยาเสพติด อาชญากร โซเชียลมีเดียที่ส่งผลต่ออารมณ์เด็กพวกนี้กระบวนความคิดของเด็กคนนั้นไม่พอที่จะหยุดคิดว่าสิ่งนั้นควรทำหรือไม่ควรทำ สิ่งนั้นดีหรือไม่ดี อย่างยาเสพติดเรารู้เราเรียนแต่ทำไมยังมีกลุ่มที่ติดยาเสพติด เพราะกลุ่มพวกนั้นมีกระบวนความคิดอีกแบบหนึ่ง กลุ่มพวกนั้นไปโฟกัสสิ่งที่ได้จากยาเสพติด

เห็นไหมว่าเด็กมีกระบวนความคิดที่ไม่เหมือนกัน ทำไมเราถึงไม่ยุ่งเพราะเรามีกระบวนการคิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับเรามันเป็นโทษมากกว่าประโยชน์เราเลือกจะไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษมากกว่าประโยชน์ อันนี้เป็นกระบวนความคิดทั้งหมดเลย

ถ้าเราใส่กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิดที่ถูก จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ลูกจะเลือกเพื่อนเป็น ลูกจะเลือกสื่อเป็น ลูกจะเลือกทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำก่อน ลูกจะเลือกสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่สิ่งที่แย่

สร้างกระบวนการคิดต้องหยุดคิดแทน

ถามว่าแล้วพ่อแม่จะสนับสนุนให้เกิดกระบวนความคิดนี้ได้อย่างไร คุณต้องหยุดคิดแทนทำแทน ต้องหยุดตอบสนองเกินความจำเป็น สอนให้ลูกคิดเป็น วิธีการง่ายๆ สอนให้ลูกคิดเป็น คุณคิดอย่างไรคุณก็พูดให้ลูกฟัง

เช่น เราเลือกของเล่นให้ลูกมีของเล่นอยู่ 2 ชิ้น แล้วเราเลือกชิ้นนี้มาเราก็บอกเขาว่าชิ้นนี้มันดีกว่ามันคุ้มกว่าอย่างไร ของเล่นเช่นนี้มันทำให้หนูได้เรียนรู้เรื่องของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้สร้างสมอง มีเสียงด้วย ราคาเท่านี้ มันเล่นได้สามปี กับของเล่นชิ้นที่แพงมากแล้วสวยมากแต่เล่นได้ฟังก์ชั่นเดียวแล้วก็พังง่าย

สองอย่างนี้พอเทียบกันแล้วแม่เลยเลือกชิ้นนี้ให้ลูก คุณสามารถทำแบบนี้ได้กับทุกๆ อย่าง เช่น คุณเลือกซื้อนมให้เขา นมมีหลายยี่ห้อทำไมแม่เลือกนมอันนี้ กระเป๋ามีหลายยี่ห้อทำไม่แม่เลือกใบนี้ มือถือมีหลายยี่ห้อทำไมแม่เลือกอันนี้ ความคุ้มค่าของมันที่เราต้องสอนลูกว่าเหตุผลวิธีการคิดของเราที่วางแผนในหัวเราพูดมันออกมา

แค่ชีวิตประจำวันทำไมต้องแปรงฟันก่อนล้างหน้า ทำไมต้องล้างหน้าก่อนแปรงฟัน แต่ละบ้านทำไม่เหมือนกัน แต่เราก็ให้ลูกทำเหมือนที่เราทำ เพราะบางทีเราก็ไม่ได้คิด แต่ทุกอย่างเราต้องใส่กระบวนความคิด เขาจะตั้งคำถามขึ้นมาทันทีถ้าเราให้เหตุผลกับทุกอย่างที่เขาทำ เขาจะถามว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น เพราะอะไรต้องทำอย่างนี้

ถ้าคุณถูกฝึกจนชินคุณจะอธิบายเหตุผลได้จนลูกยอมรับ ซึ่งการฟังเหตุผลมันก็วางแผนไปยิ่งวัยรุ่นด้วยว่าถ้ามีสิ่งที่เราต้องคุยกับเขา สังคมการเมือง รุนแรงมากขึ้น วันหนึ่งลูกเราอาจไปอยู่สถานการณ์คับขันที่เราก็พูดไม่ได้ไม่รู้จะสอนอย่างไรไม่รู้จะให้ข้อมูลอย่างไร เพราะอัลกอลิทึ่มของเราไม่เหมือนกัน นอกจากว่าถ้าเราปลูกฝังเหตุผลแล้วเราบอกเขาว่าในมุมของแม่แม่คิดอย่างนี้เราก็สามารถให้เหตุผลกับสิ่งที่เราต้องการได้แล้วลูกเองก็ให้เหตุผลกลับมาในสิ่งที่เขาต้องการได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มนุษย์อยู่รอดตอนนี้คือการสร้างกระบวนการคิดให้เกิดขึ้นก่อนโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่สร้างได้ที่บ้านเลยว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกอาบน้ำแล้ว ทำไมอยากให้อาบเดี๋ยวนี้พูดไปเลยสอนกระบวนการคิดไปเลย

ปกติเราใช้อารมณ์ อาบน้ำได้แล้วลูก แล้วไม่เคยบอกลูกเลยว่าทำไมต้องอาบตอนนี้ ทำไมลูกถึงใช้คำว่าเดี๋ยวเพราะเขาไม่คิดว่าต้องเป็นตอนนี้ การจะทำให้ลูกเชื่อเรา เราต้องมีเหตุผล ทำไมหมอเองเวลามีคนไข้แล้วคนไข้จะชอบมาเจอมาคุยเพราะเรามีวิธีการคิดแล้วเราคิดให้ฟัง

เราไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้ดีเพราะสิ่งนี้ดีเราจะบอกเหตุผลว่าทำไมเราคิดว่าสิ่งนี้ดีทุกคนต้องการเหตุผล ไม่ใช่ดีเพราะพ่อแม่บอก พ่อแม่ก็อยากรู้ว่าในความคิดของเรามุมมองของเราเหตุผลคืออะไร ไม่ใช่เราบอกว่าต้องทำสิ่งนี้นะต้องทำสิ่งนั้นนะ เราไม่เคยทำอย่างนั้นเลยแต่เราจะบอกว่าทำไมเหตุผลคืออะไรทำไมต้องทำ ไม่ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วไม่ได้อะไร เลือกเลยข้อมูลคุณมีแล้วเราอยากให้มีกระบวนความคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีกระบวนการคิดที่ดี Product ของคุณก็จะดีด้วย

Learning Loss แก้ได้ด้วยกระบวนการคิด

ใช่ คือพื้นฐานเลย Learning Loss หรืออะไร ก็แก้ได้หมด จริงๆ เริ่มได้ตั้งแต่ 3 ขวบเลยการสร้างกระบวนความคิด 3 ขวบสมัยนี้ กับเรา 3 ขวบ ไม่เหมือนกันเลยนะ ชิพสมอง 3 ขวบสังเกตเรา ฟังเรา ฟังว่าเราพูดอะไร สังเกตว่าเราทำอะไร เก็บมาแล้วมาใช้กับเรา ในขณะที่เราตอนเด็กๆ รู้สึกว่าชิพของเรามันช้า

กว่าจะฟังว่าพ่อแม่คิดอะไร 7 ขวบ กว่าที่เราจะพยายามฟังว่าเขาต้องการอะไร คิดอะไร ทำอะไร แล้วเราอยากเลียนแบบหรือเราอยากจะสู้ ต่อต้าน สมัยนี้ 3 ขวบหูผึ่งเลยเวลาเราคุยกับสามีเขาก็ฟังว่าวิธีการคิดของเราคืออะไร เรากำลังทำอะไรกับเขาอยู่ เวลาเอาเด็กมาที่ห้องบำบัด เวลาเราอยู่ด้วยกันเราจะสังเกตเลยว่าลูกมักจะแอบฟังอย่างตั้งใจ แต่เราก็รู้สึกว่าเขาฟังได้แล้วเขาควรจะได้ฟังเพราะเรามีเหตุผล ซึ่งถ้าฝึกการใช้เหตุผลมาตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นก็ไม่มีปัญหาที่จะใช้เหตุผล พ่อแม่วางแผนเลี้ยงลูกตั้งแต่ยังเด็ก

การเลี้ยงเด็กมันยากและเยอะ อยากให้ตั้งสติดูเขาปีต่อปีเพราะเด็ก 1 ขวบปีก็เปลี่ยน อัตราการเปลี่ยนเขาสูงกว่าผู้ใหญ่ เราผู้ใหญ่ 29 กับ 30 ไม่ต่างกัน แต่เด็ก 1 ขวบ กับ 2 ขวบ ต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเสพข้อมูลที่เยอะมาก เวลาใครเข้ามาเราจะบอกว่า สมมติลูก 9 เดือน เราจะมองไปที่ 12 เราจะมองไปแค่ 1 ปีนี้

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเสพข้อมูล เราก็ดูว่า 1 ปีนี้มันนาน 1 ปี คือ 12 เดือน ทำให้มันนี้ในหนึ่งปีนี้วางแผนหาข้อมูลใน 1 ขวบปี 2 ขวบปี ต่อยอดไปเรื่อยๆ อย่าไปมองว่าต้องรู้ทั้งหมด คุณไม่มีทางรู้ทั้งหมดได้เพราะ 1 ปีนี้ในปีนี้ กับ 1 ปีนี้ในปีหน้า

ปัญหาเปลี่ยน สถานการณ์แวดล้อมอย่างโรคระบาดก็เปลี่ยนเขาเปลี่ยนเรา โฟกัสช่วงสั้นๆ มองว่าสิ่งที่เราต้องการวางเป้าให้ชัดว่าเราเลี้ยงลูกต้องการอะไรอยากได้อะไรเพื่อให้เขารอด ไม่ใช่อยากได้อะไรเพื่อให้เรามีความสุข

เราต้องมองว่าอะไรจะเป็นเครื่องมือให้เขาอยู่ได้ถ้าไม่มีเรานี่คือเป้าหมาย หากระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้องถ้าไม่รู้ก็หาผู้เชี่ยวชาญ ถ้าให้แนะนำก็เป็นนักจิตวิทยาคลินิกเด็กและจิตแพทย์ 2 อาชีพนี้ทำงานไม่เหมือนกัน

นักจิตวิทยามีหลายๆ สาขา แต่ในเรื่องของการตรวจวินิจฉัยและบำบัดจะต้องเป็นนักจิตวิทยาคลินิก คำว่า คลินิก คือโรงพยาบาลที่มี License มีใบประกอบวิชาชีพในการตรวจวินิจฉัย ต่างกันกับจิตแพทย์อย่างไร ต่างกันกับคุณหมอพัฒนาการอย่างไร

นักจิตวิทยาคลินิกจะมีเครื่องมือที่สามารถตรวจ เครื่องมือคือแบบทดสอบทางจิตวิทยาสามารถตรวจพัฒนาการได้ สามารถตรวจการทำงานของสมองได้ สามารถตรวจเรื่องของอารมณ์ได้ สามารถตรวจ EQ ได้ นี่ก็คือการตรวจ ที่มีเครื่องมือซึ่งมีความแม่นยำสูงมากผลออกมาเหมือนตรวจเลือดออกมาเป็นตัวเลข

มีรายละเอียดให้เห็นว่า Picture ข้างในของลูกมันคืออะไร เรารักษาด้วยการไม่ใช้ยา แต่จิตแพทย์หรือคุณหมอพัฒนาการรักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งนักจิตวิทยาคลินิกก็จะมีเครื่องมือโดยไม่ต้องใช้ยาเลย เช่น ลูกสมาธิสั้นเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแก้ไขปัญหาสมาธิสั้นได้

ลูกมีปัญหาการเรียนรู้ก็สามารถแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ได้ คือ ซ่อม สร้างได้โดยไม่ใช้ยา เพราะก็คงไม่มียาที่กินเข้าไปแล้วเด็กฉลาด มันใจในตัวเอง Self Esteem ดี ไม่มีพวกนี้ต้องสร้างเอง นักจิตวิทยาคลินิกเขาจะมีวิธีการบำบัดรักษาการใส้ทรีทเม้นท์เขาไปให้สิ่งนี้เกิด เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากใช้ยาก็มาที่นักจิตวิทยาคลินิกเด็ก

แต่ถ้าอยากใช้ยาก็ไปตรวจกับจิตแพทย์ ทำงานไม่เหมือนกันแต่คล้ายกัน แต่ถ้าสมมติว่าลำบากก็สามารถหาช่องทางที่ใกล้บ้าน หาคนที่คลิกกับเราไม่บังคับว่าต้องมาหาเราเอาคนที่เราคุยแล้วรู้สึกว่ามันเป็นไปได้สำหรับเรา คุยแล้วมีแนวโน้มว่าเราจะทำมันได้ตามที่เขาแนะนำเรา

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.43 : WHAT Indoor Generation รุ่นในร่มคือ? กระทบอะไรกับเด็กยุคใหม่

รักลูก The Expert Talk Ep.43 : WHAT Indoor Generation รุ่นในร่มคือ? กระทบอะไรกับเด็กยุคใหม่

รุ่นใหม่ท้าทายการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็กยุคปัจจุบันที่หวาดกลัวการออกนอกบ้านเพราะอยู่ในบ้านแสนจะสบาย แต่รู้ไหมว่าผลกระทบของการเป็นรุ่นในร่ม ส่งผลมากกว่าที่คิด เพราะหากไม่รีบแก้ไข ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จะส่งผลกระทบไปถึงยีนระดับที่จะส่งต่อไปยังรุ่นต่อไป

เราจะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจกับ Indoor Generation รุ่นในร่ม ทั้งหมด 4 EP เพื่อให้รู้จัก เข้าใจ อยู่อย่างไรกับIndoor Generation แบบไม่กระทบพัฒนาการ โดย The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

เริ่มต้นที่ EP 43 ฟังต้นเหตุของการเป็น Indoor Generation เกิดขึ้นจากอะไร

โรคขาดธรรมชาติ คืออะไร

โรคขาดธรรมชาติ Nature Deficit disorder เกิดปี 2016 โดย ริชารด์ ลูฟ นักสังคมศาสตร์และวารสารศาสตร์ อธิบายถึง ภาวะที่คนขาดธรรมชาติ โตมาในสังคมที่เจริญมาก อยู่ในตึก ไม่ได้ออกไปใช้ชัวิตนอกบ้าน มีเทคโนโลยีดิจิตอล เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้เราไม่ออกใช้ชีวิตนอกบ้าน และที่สำคัญพื้นที่สีเขียวเข้าถึงยาก มีราคาแพง ถูกจำกัดโดยรัฐบาล

สาเหตุเหล่านี้ทำให้เด็กเจนนี้เกิดภาวะขาดธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการการเรียนรู้ วิธีการเข้าใจโลก ส่งผลต่อการปรับสมดุลชีวิต เช่น การปรับฮอร์โมน และพัฒนาการเรียนรู็ล่าช้า สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง

สถานการณ์ของเมืองไทยเป็นอย่างไร

นักสังคมศาสตร์จะมาบอกได้ยังไงว่าเป็นโรค แต่ถ้าย้อนไปดูการศึกษา 10ปีที่ผ่านมา สังคมอเมริกาที่เป็นจุดเริ่มต้น ก็มีงานวิจัยศึกษาว่าโรคขาดธรรมชาติ เป็น disorder ซึ่งที่ตปท.หากพบว่าเด็กใช้เทคโนโยลนี ดิจิตอลมากเกินไป มีอาการติดเกม หมอจะเขียนใบสั่งยาสีเขียว Green prescription ให้พ่อแม่พาไปออกเล่นกลางแจ้ง เดินป่า เที่ยวทะเล แคมป์ปิ้ง เพื่อให้เด็กได้เล่นและได้อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งในตปท.มีพัฒนาการเรื่องนี้มาก

สาเหตุที่ทำให้เราเป็นโรคขาดธรรมชาติ

1.ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ทำให้สภาพแวดล้อมไม่ปกติ เรารู้สึกว่าอากาศข้างนอกร้อน เราอยากอยู่ในห้องแอร์ ไม่อยากออกไปไหน มีโควิด มีฝุ่น เด็กก็จะอยู่ในบ้านที่มีแอร์ มีเครื่องฟอกอากาศ ม่านกรองแสง เมืองไทยต้องขาดธรรมชาติแน่นอนเพราะว่าธรรมชาติบ้านเรามันโหดร้าย

2.ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี ที่ทำให้เราสบายมากขึ้น เราไม่จำเป็นต้องออกนอกบ้าน ซื้อของออนไลน์ wfh ความทันทสมัยทางเทคโนโลยี elearning e mobile banking เทคโนโลยีทำให้เราเลือกอยู่ในบ้าน

3.สังคมสูงวัย สังคมที่พึ่งพิง ความจำเป็นที่ต้องออกนอกบ้านไม่มี เพราะปู่ย่าตายายอยู่ในบ้าน เป็นคนติดเตียง และในบ้านเราเป็นสังคมสูงวัย แล้วยังเป็นสังคมที่เด็กเกิดน้อย ทำให้เรามีภาวะแหว่งกลาง พ่อแม่ทำงานในเมืองหลวง ลูกหลานอยู่กับปู่ย่าตายาย แหว่งกลางที่พ่อแม่ไม่มี ทำให้โอกาสไปเล่นนอกบ้านไม่มี

ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลานแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นพี่เลี้ยง สื่อดิจิตอลเป็นตัวรั้งไม่ให้ออกไปในนอกบ้าน เรากลัวธรรมชาติ เพราะมีแบคทีเรีย ไม่สะอาด ไม่อนามัย มีสัตว์มีพิษ มีความสกปรก เพราะฉะนั้นเหล่านี้ทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่น่ากลัว

นิยามจริงๆ คือพ่อแม่เกิดความกลัวที่จะพาลูกไปอยู่ในพื้นที่outdoor กลางแจ้ง เพราะว่ารู้สึกว่าธรรมชาติเป็นศัตรู และเกิดความหลวงไหลในเทคโนโลยี เพราะว่ามันง่าย สะดวกสบาย เพลิดเพลิน ทำให้เราไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปหาความบันเทิงในธรรมชาติ รวมๆ แล้วกว่า 20ปีที่ผ่านมานี้ทำให้โรคขาดธรรมชาติเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ

กระทบกับพัฒนาการยังไง

ทางการแพทย์เริ่มยอมรับ 1.ส่งผลต่อพัฒนาการ ถ้าเราไปอยู่กลางแจ้ง จะได้รับแสงแดดมีผลต่อการปรับฮอร์โมนเซโรโทนิน ซึ่งส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์และการนอนหลับ เพราะฉะนั้นเวลาเราออกไปเดินเล่น วิ่ง ร่างกายก็จะได้ปรับสมดุลฮอร์โมน

ในธรรมชาติมีแบคทีเรียตามธรรมชาติ ร่างกายจำเป็นต้องได้รับไวรัสเหล่านี้เพราะเราเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ถ้าเราอยู่ในห้องที่ปลอดเชื้อตลอดเวลา เมื่อเราป่วยเราจะป่วยหนักมาก เพราะภูมิคุ้มกันสำคัญมาก แต่หากเด็กขาดธรรมชาติ ร่างกายจะอ่อนแอ

มีงานวิจัยที่พบว่าเด็กที่อยู่ในพื้นที่กลางแจ้ง อยู่กับธรรมชาติ มีระบบภูมิคุ้มกัน ดีกว่าเด็กที่อยู่ในห้องแอร์มากกว่าถึง 5เท่า และมีโอกาสที่เด็กขาดธรรมธรรมชาติ มีโอกาสที่จะมีพัฒนาการเรียนรู้ล่าช้า LD เพราะว่าการเล่นดิจิตอลมากๆ ทำให้เด็กขาดความเข้าใจ เพราะในดิจิตอลมีอัลกอริทึมอยู่ ในธรรมชาติเด็กจะต้องหาวิธีการเหล่านั้นเอง หาวิธีการเล่น

ในธรรมชาติเด็กจะมีความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการมากกว่าปกติ บางประเทศที่ใช้การศึกษาแบบ Nature Base Education เด็กจะมีทักษะการเรียนรู้ที่รอบด้านมากกว่า ธรรมชาติเหมือนห้องเรียนที่ดีต่อตัวเด็กเอง แต่ว่าในเมืองไทยอาจจะคิดว่าออกไปแล้วร้อน แดด มลพิษ

บ้านเรารับมือหรือรักษายังไง

ยังไม่ได้นับเป็นโรค เพราะว่า WHO ยังไม่ได้รับรอง ที่ผ่านมาเป็นการศึกษางานวิจัย แต่ถ้าค้นข่าวย้อนหลังไปเมื่อ30ปี คือเจอน้อยมาก แต่เรื่องนี้ส่งผลมายาวนาน พัฒนาการเด็กจำเป็นต้องอยู่กลางแจ้ง ไปเที่ยวและได้สัมผัสกับธรรมชาติ เด็กที่กักตัว ออกไปข้างนอกไม่ได้ เรารู้สึกเฉา เบื่อๆ ไม่สดชื่น ธรรมชาติเป็นยาอย่างหนึ่งที่ช่วยบำบัดความเครียดได้ เพราะผู้ใหญ่ก็กำลังเป็นกันนะครับ

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 

รักลูก The Expert Talk Ep.53 : Toxic Stress รู้ก่อนลูกเครียดเป็นพิษ

 

 

รักลูก The Expert Talk Ep.53 : Toxic Stress รู้ก่อนลูกเครียดเป็นพิษ

 “ความเครียด” เป็นอาการที่ฟังดูแล้วไม่เป็นมิต แต่คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมว่า มีความเครียดประเภทที่เกิดขึ้นแล้วดี!! และก็มี “ความเครียดที่เป็นพิษ” ที่เมื่อเกิดกับลูกแล้วส่งผลกระทบแน่นอน

ชวนฟังความเครียด 3ประเภท เพื่อเรียนรู้ เตรียมพร้อมและรับมือเพื่อไม่ให้กระทบกับสมองและพัฒนาการ โดย The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

ความเครียดเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากเวลาที่เราเกิดความเครียด เวลาที่เราวิตกกังวล กลัว หวาดระแวง คิดมาก นอนไม่หลับ เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ ทั้งเราไม่ปกติและเหตุการณ์ไม่ปกติ แต่ความเครียดไม่มีเลยไม่ได้ความเครียดเป็นสิ่งที่อยู่กับเรา มองความเครียดดีๆ ความเครียดมีหลายประเภท ความเครียดหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องมีความเครียดเพราะเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราเติบโตและพัฒนาตัวเอง เติบโตจากข้างใน Mindset เราเติบโตได้เมื่อเราผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคไปได้ หรือสิ่งที่ทำให้เราเครียด ทำใจเลยว่าเครียดอยู่กับเรา และความเครียดเป็นเรื่องที่ดี เหตุการณ์ที่เข้ามากระทบเราควบคุมไม่ได้ แต่ความเครียดเราควบคุมได้

ความเครียดแบ่งได้ 3 ประเภท

ความเครียดคือเวลาที่เราต้องคิดมาก ปวดหัว คิดไม่ตก ระแวง กลัว คิดมาก เป็นสิ่งที่เกิดกับด้านจิตใจ และที่เกิดกับด้านสรีระเรา เป็นการตอบสนองต่อเหตุการณ์ แล้วร่างกายมุนษย์สามารถตอบสนองต่อความเครียดได้ โดยใช้วงจรประสาทอัตโนมัติ คือ เวลาที่เราเจอความเครียด กลัว กังวล ประสาทอัตโนมัติ จะส่งสัญญาณกัน จากนั้นต่อมหมวกไตจะหลั่งสารเครียดออกมาคือ อะดรีนาลีนและคอร์ติซอล ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ม่านตาขยาย เลือดลมสูบฉีด ระดับน้ำตาลสูงขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เรารับมือกับภัยที่กำลังคุกคามกายหรือจิตใจเราอยู่ นี่คือการตอบสนองร่างกายเมื่อรู้สึกเครียด

หากความเครียดนั้นเรารับมือ มีปัญหาในชีวิตประจำวัน รับมือและผ่านไปได้ คือการตอบสนองความเครียดแบบบวก Positive Stress หมายความว่า เมื่อผ่านพ้นความเครียด ปัญหาถูกแก้ไข ระดับจิตใจเราสูงขึ้น ปัญญาเราสูงขึ้น เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น เช่น เด็กคนหนึ่งตอนที่เราจะเข้ามหาวิทยาลัยเกิดความเครียด เราวางแผนต่างๆ พอเข้าได้ความเครียดหาย พอเราผ่านพ้นเหตุการณ์ไปแล้วจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง เกิดการเรียนรู้ ชีวิตพัฒนาก้าวไปข้างหน้า นี่เป็นระดับความเครียดจากสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วเราปรับตัวได้
ตอนเกิดการเปลี่ยนแปลงร่างกายก็จะหลั่งสารเครียดออกมา เพื่อให้เราสามารถตื่นตัว เหมือนเวลาที่งานไม่เสร็จก็จะกระตุ้นให้งานเสร็จได้ ทำให้เราเตรียมพร้อม รับมือ แล้วก็ผ่านไปได้ ผลหลังจากนั้นก็เป็นทางบวก เราก็ได้กับมัน

ความเครียดแบบ Positive Stress ทิ้งร่องรอยไว้?
ไม่ทิ้ง เพราะทางจิตใจเราก็รู้สึกภาคภูมิใจและฟิน เมือฟินสารเครียดก็กลับเข้าไป ไม่อยู่ ไม่สะสม กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่ได้เป็นการทำงานของระบบความเครียดอีกต่อไป

ความเครียดระดับที่ทนได้ ตอบสนองความเครียดระดับที่เราทนได้ เมื่อเราต้องไปเจอกับสถานการณ์ที่ไม่ถูกใจ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดในชีวิตประจำวัน หรือปรับเปลี่ยนในช่วงวัย เช่น วัยเด็กที่ต้องเข้าอนุบาล เราสามารถพอจะเดาออกและรับมือได้ หรือการเกิดปัญหาในชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อย หาอะไรไม่เจอแล้วต้องใช้ ลืมของไว้ที่รร. นี่คือประเภทที่1 ส่วนประเภทที่2 จะวิกฤตขึ้นมา เช่น การสูญเสีย แมวตาย การแยกจาก การสูญเสียพ่อแม่ ญาติ หรือการที่ต้องแยกจากไปจากพ่อแม่ แบบกะทันหัน เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นผ่านไปได้ ถ้ามีคนมาช่วยซัพพอรท์ทางด้านอารมณ์ จิตใจของเรา

หากเกิดสถานการณ์รุนแรง ร้ายแรงในครอบครัว ต้องบอกว่าการตอบสนองความเครียดเหมือนเดิม แต่ไม่อยู่นานถ้าพ่อแม่ ซัพพอร์ต อยู่ข้างๆ ขณะหนึ่งเพื่อให้ผ่านสถานการณ์นั้นไปได้ เป็นความเครียดที่ทนได้ เป็นการตอบสนองต่อความเครียดที่เราทนได้ ผลหลังจากนั้นคือเราได้เรียนรู้ว่าเหตุการณ์ร้ายๆ เราสามารถอยู่ได้รอดได้ เพราะฉะนั้นในครั้งต่อไป หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ความสามารถของเราจะรับมือได้ง่ายขึ้น เมื่อเรารู้ว่าเกิดสถานการณ์แบบนี้ จะรับมือยังไง มีอยู่สองอย่างคือ เมื่อเกิดสถานการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น ประสบการณ์เดิมเรียนรู้แล้วว่า จะมีใครสักคนอยู่ข้างๆ ที่จะผ่านพ้นไปได้ เราเคยผ่านเรื่องนี้มา และนี้เป็นอีกเรื่องที่เราจะผ่านไปได้และเราเคยใช้วิธีการอะไรเมื่อก่อน ครั้งนี้ก็จะทำได้ เป็นประสบการณ์เดิมที่ทนได้ เพราะเราผ่านมันมาได้แล้ว

ความเครียดที่ทนได้ ใช้ได้กับสถานการณ์ที่ผ่านมา ทั้งภัยพิบัติ ช่วงโควิดเป็นช่วงที่พ่อแม่เองก็ต้องการคนมาซัพพอร์ทให้ผ่านพ้นวิกฤต ลูกเองก็จำเป็นต้องมีพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดมาซัพพอร์ทไปได้ด้วย ไม่ทิ้งร่องรอยแต่ทิ้งประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพให้ใช้ในอนาคตแล้วก็ทนได้

Toxic Stress

การตอบสนองความเครียดแบบเป็นพิษ ดู 3 เรื่องคือ เป็นความเครียดแบบรุนแรง สถานการณ์ทำให้เครียดมาก

  1. ความเข้มข้นของความเครียด
  2. ความถี่ เจอบ่อยๆ ไม่หมดสักที เดี๋ยวก็มาให้เครียด เรื่องเดิมๆ ซ้ำ
  3. ระยะเวลายาวนาน เครียดอยู่อย่างนั้น เพราะทุกครั้งที่เราเครียดร่างกายเราจะตอบสนองโดยประสาทอัตโนมัติ หลั่งสารเครียดออกมาเพื่อให้เราตื่นตัว หากเครียดแบบนั้นนานๆ ก็อยู่แบบนั้นนานๆ นี่ละที่เป็นพิษ เมื่อเกิดแบบนั้นม่านตาขยาย นอนไม่หลับ ตื่นตัว หัวใจเต้นแรง ความดันสูง ระดับน้ำตาลสูง เพื่อให้ตัวเราเกิดความระวัง ระแวง คิดมาก ตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ได้เข้าโหมดความผ่อนคลายเลย เครียดนานจนเป็นนิสัย ไม่สามารถเข้าสู่ภาวะปกติได้ นี่คือความเป็นพิษ ร่างกายที่ตื่นตลอดเวลาจะทำให้เหนื่อยนี่คือทางสรีระ ส่วนทางจิตใจว้าวุ่นขนาดไหนเมื่อต้องอยู่ในเหตุการณ์ที่เครียดนานๆ จนเป็นพิษ เพราะฉะนั้นการตอบสนองต่อความเครียดแบบเป็นพิษจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตในชีวิตและไม่มีใครมาช่วยซัพพอร์ททางอารมณ์และจิตใจ คอยช่วยผ่อนคลาย

แบบไหนเรียกว่า “เครียดเป็นพิษ"

เช็กว่าลูกกำลังอยู่ในสภาวะ Toxic Stress

-มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด

-พ่อแม่ไม่ได้ซัพพอร์ตลูกทางอารมณ์

-ปล่อยปละละเลยทางด้านร่างกายและอารมณ์ ด้านร่างกายอาจจะไม่ห่วง แต่ในช่วงโควิดที่ผ่านมาพ่อแม่อาจจะปล่อยปละละเลย เพิกเฉยอารมณ์ของลูก

ช่วงนี้ครูหม่อมมีพ่อแม่มาปรึกษาเรื่องลูก ครูจะถามว่าเวลา wfh กับลูกและลูกเรียนที่บ้าน

1.เวลาที่ลูกวิ่งมาหาแล้วเบรคลูก เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่ง ห้ามเข้าห้อง ห้ามเข้ามากำลังประชุม คือลูกเล็กทั้งวัน บางทีคิดถึง พอวิ่งเข้าไปก็โดนห้าม หากว่าเคย บ่อยไหม ถ้าไม่บ่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่แบบนั้นนานๆ ความถี่ๆ บ่อย สะสมเป็นระยะเวลานาน นี่คือเกิด Toxic Stress เด็กจะเกิดคำถามว่าทำไมหาพ่อแม่ไม่ได้ ทำไมพ่อแม่ปฏิเสธมา

2.ถูก Abuse ทางร่างกายและจิตใจ ทางเพศ ถ้าลูกประสบสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่รู้แล้วไม่มีใครมาซัพพอร์ทก็เกิด Toxic Stress ได้ แต่ถ้าช่วยซัพพอร์ท ก็จะกลายเป็นความเครียดที่ทนได้

3.ดูคนในครอบครัวว่ามีใครมีปัญหาสุขภาพจิตไหม มีคนใช้สารเสพติดหรือเปล่า หรือว่ามีการแยกจากแบบกะทันหัน หย่าร้าง หากไม่มีคนไปซัพพอร์ตก็จะเกิด Toxic Stress

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.56 : Toxic Parents? คลี่คลายก่อนกลายเป็น (พ่อแม่) เป็นพิษ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.56 : Toxic Parents? คลี่คลายก่อนกลายเป็น (พ่อแม่) เป็นพิษ

 

หาทางออก คลี่คลายตัวเองจากการการเป็นพ่อแม่เป็นพิษ เข้าใจความต้องการ สื่อสารความคาดหวังและรับมือจัดการด้วยวิธีการเชิงบวก เพื่อลดความเป็นพิษในตัวพ่อแม่ลง

 

ฟังวิธีการโดย The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิด

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.57 : พ่อแม่ที่มีอยู่จริง ทางออก Toxic Stress

 

รักลูก The Expert Talk Ep.57 : พ่อแม่ที่มีอยู่จริง ทางออก Toxic Stress

 

คลี่คลายความเครียดเป็นพิษ Toxic Stress ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดทุกด้าน ด้วยการเป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริง จะเป็นได้อย่างไร

 

ฟังวิธีการจาก The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.67 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “Dysfunctional Family” บทบาทหน้าที่ครอบครัวบกพร่อง

 

รักลูก The Expert Talk Ep.67 : Dysfunctional Family บทบาทหน้าที่ครอบครัวบกพร่อง?

เลี้ยงลูกแบบหมอเดว พบกัน 4 EP ต่อเนื่อง เริ่มต้น EP67 คุณหมอเดวชวนมองภาพกว้างครอบครัวไทยในปัจจุบัน โครงสร้างที่เปลี่ยนไปส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

ครอบครัว 3 แบบที่คุณหมอชี้ให้เห็นภาพ : ครอบครัวใช้อำนาจในการเลี้ยงลูก ครอบครัวปล่อยปละละเลย และครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย พร้อมวิธีการเป็นครอบครัวที่ไร้ปัญหาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขทำได้อย่างไร และใน EP ถัดไปฟัง 9 รูปแบบในการเลี้ยงลูกที่ทำให้เกิดปัญหา

 

ฟัง The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

ปัญหาสภาพครอบครัวไทย

ครอบครัวไทยตอนนี้มี20ล้านครอบครัว ในจำนวนนี้มีประเด็นใหม่ๆเกิดขึ้น 2หมวดใหญ่ๆ คือ

โครงสร้างครอบครัวมีขนาดเล็กลง TFR (Total Fatality Rate) อัตราการมีลูกของเด็กในประเทศไทยตอนนี้ค่าเฉลี่ยที่ 1.4 เดิม 1.6 คือส่วนใหญ่มีลูก 1คน ซึ่งประเทศเสียเปรียบเพราะปิรามิดของประชากรเปลี่ยนแต่เดิมผู้สูงวัยน้อยฐานวัยแรงงานเยอะ คือ 10:1 (ทำงาน 10คน ผู้สูงอายุ 1คน) เมื่อ20ปีที่แล้วลดลงมาเหลือ 5:1 ปัจจุบันเหลือ 2:1 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั้นหมายถึงว่าประชากรวัยแรงงานจะต้องดูผู้สูงอายุ 1:1 ต้องทำงานและดูแลผู้สูงอายุด้วย ซึ่งถ้าเป็นสภาพนี้ผู้สูงอายุจะเยอะมากคือ ประชากร 10คนจะมีอย่างน้อย 3 คนที่อายุเกิน 60ปีและหนึ่งในสามนั้นมีหนึ่งคนที่อายุเกิน 65ปี และเริ่มมีคำใหม่คือ ชมรม DINK (Double Income No Kids)แต่งงานแต่ไม่มีลูก นี่คือโครงสร้างที่มีปัญหา ดังนั้นโครงสร้างใหม่คือSmall Family คือครอบครัวพ่อแม่ลูกชุมชนก็ไม่รู้จัก ไซซ์เล็ก ครอบครัวหย่าร้างซึ่งอัตราอยู่ระหว่าง 5-10% ก็จะมีพ่อเลี้ยงเดี่ยวแม่เลี้ยงเดี่ยว มีครอบครัวแหว่งกลาง บางภาคตามหัวเมืองจะเห็นภาพที่ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลาน พ่อแม่ทำงานในเมือง

Unicef รายงานข้อมูลว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า 18ปี สามล้านคนที่พ่อแม่มีชีวิตแต่ไม่ได้เลี้ยง ในจำนวนนี้ 500,000คนเป็นเด็กปฐมวัย ซึ่งเรารับรู้ว่าเด็กวัยนี้พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู นี่คือโครงสร้างของครอบครัวที่มีปัญหา ซึ่งต้องยอมรับว่ามีปัญหาเดิมและมีปัญหามากขึ้น

และอีกประเด็นคือ Dysfunction คือการทำหน้าที่ของครอบครัวบกพร่องทั้งลบและบวกมีปัญหาทั้งนั้น หน้าที่ของครอบครัวคือให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข การมีความสุขคือการมีข้าวกินมีบ้านอยู่ เพราะฉะนั้นบทบาทของครอบครัวต้องดูแลร่วมกันเพื่อให้ได้ปัจจัยสี่ ขั้นพื้นฐาน และอีกปัจจัยคือ Psychological ทางด้านจิตใจ อารมณ์ เช่น สมาชิกเมื่ออยู่ในบ้านแล้วมีปฏิสัมพันธ์ มีความรู้สึกที่อบอุ่น ปลอดภัย Sense of security ถ้าเข้าบ้านแล้วมีทารุณกรรม แสดงว่าบ้านมีปัญหาหรือเข้ามาในบ้านไม่คุยกันเลย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างสังคมไม่เกี่ยวกับเรื่องหย่าร้าง แต่ฟังก์ชั่นมีปัญหานี่คือระดับทางจิตใจ

ส่วนด้านสังคมสมาชิกในครอบครัวต้องดูแลให้มีปฏิสัมพันธ์ทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในชุมชนต้องรู้จักกัน เยี่ยมญาติพี่น้อง พบเพื่อนฝูง รู้จักการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม นี่คือลักษณะ Socialogical ถ้าดูง่ายเลยๆ Physical ปัจจัยขั้นพื้นฐาน Psychological ปัจจัยทางด้านจิตใจและอารมณ์และปัจจัยทางด้านสังคม ซึ่งถ้าบกพร่อง บ้านไม่มีให้อยู่ก็เดือดร้อนข้าวไม่มีกินนี่คือบกพร่อง แต่อีกฟากหนึ่งคือมีหลายบ้านหรืออีกบ้าน Ovefeed คือกินทิ้งกินขว้างทั้งลบและบวกจึงมีปัญหาเลยสุขภาพไม่ได้รับการดูแลก็มีปัญหา แต่ถ้าดู Over เกินไปก็มีปัญหาเหมือนกัน

Dysfunctional Family

ครอบครัวที่พ่อแม่รักลูก แต่เลี้ยงลูกแบบใช้อำนาจ

มีทั้งหมด 9ประเภทแต่ก่อนที่จะไปตรงนั้นมีประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูคือ ครอบครัวในประเทศไทยมีการเลี้ยงลูกคือ ใช้อำนาจในการเลี้ยงลูกพ่อแม่เป็นใหญ่เป็นกันเยอะ ไม่ได้เจตนาแต่ตัดสินใจแทนลูกทั้งหมด ทำบนฐานของความรักซึ่งมีเกิน50% ไม่ได้ทำสำรวจแต่ด้วยประสบการณ์เวลาที่เอาลูกมาปรึกษาหมอจับทางได้ว่าใช้อำนาจ คือจับทางจากประสบการณ์และความรู้ที่หมอมีมาร้อยเคสครึ่งหนึ่ง คือรักษาคนที่พามาและอีก 25% ตามไปซ่อมคนส่งมา บริวารของเด็กมีปัญหามากกว่าตัวเด็ก บางคนที่พามาได้ยาแทนคือพ่อแม่อาการหนักเกินเด็ก อำนาจมีไว้ให้กับพ่อแม่นั้นถูกต้องแต่มีไว้ให้ผ่อนลงเรื่อยๆ

ก่อนที่จะลงไปการเลี้ยงดูผิดประเภทหมออยากให้เข้าใจก่อนว่า ด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กพ่อแม่จะต้องช่วยทำให้ลูกทุกคนอยู่รอดและปลอดภัย ได้รับการเลี้ยงดู ปกป้องคุ้มครองและได้การรับการพัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วม

เมื่อลูกเป็นทารกอำนาจจึงอยู่เต็มที่พ่อแม่ในการทำให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย ต่อเมื่อพัฒนาการเติบโตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตรงนี้อำนาจของพ่อแม่ต้องถอย คืออายุ 2ปีแรกพ่อแม่มีอำนาจเต็ม100% แต่พอหลัง2ขวบเริ่มเดินเองได้ นั่งเล่นกับเพื่อนแม้ไม่แบ่งปันแต่ก็นั่งเล่น ช่วยเหลือตัวเองได้อำนาจของพ่อแม่ต้องค่อยๆถอยลงมา เหลือประมาณ 80% แต่พอเข้าสามขวบพ่อแม่เอาลูกไปฝากที่อนุบาลระบบนิเวศน์เปลี่ยน อำนาจของพ่อแม่จะถอยลงมาเหลือ 60 -40% พออยู่ชั้นประถม เพื่อนครู รร. เป็นบ้านหลังที่สองอำนาจของพ่อแม่จะถอยลงไปเรื่อยๆแล้วจะเหลือแค่30%ตอนเข้าสู่วัยรุ่น

ถ้าเป็นวัยรุ่นตอนกลางและเป็นเด็กโตด้วยอำนาจพ่อแม่เหลืออยู่10% แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่เป็นติ่งห้อยอยู่อยากมาปรึกษาก็มา ไม่อยากก็อย่าเข้าไปยุ่ง แต่ปัญหาของการใช้อำนาจครอบครัวบ้านเรากลับหัวหมดเลย ตอนเด็กใช้ทีวีเลี้ยงลูกใช้พี่เลี้ยงimportมาดูแลลูกเราไม่ได้ใช้อำนาจเต็มตรงนั้น แต่พอโตกลับลาออกแล้วมานั่งเฝ้าลูกแล้วไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวจึงทำให้เกิดปัญหาแล้วยิ่งไม่ผ่อนด้วย พ่อแม่มีปัญหากับลูกเร่งรัดกับลูกแล้วก็ไม่ดึงลูกเข้ามาแก้ปัญหาร่วมกัน ถามตัวเองว่าคุยกับลูกกับลูกวัยรุ่นรู้เรื่องไหม

ครอบครัวที่อยากได้ลูกเป็นคนดี จะเห็นว่าสังคมสมัยนี้พ่อแม่เริ่มมีฐานะก็กลายเป็นว่าอยากให้ลูกเป็นคนดีแต่ช่วยเลี้ยงลูกฉันให้เป็นคนดีนะคือการซื้อระบบนิเวศน์ลงทุนเต็มที่ รร.อินเตอร์จะแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย และความคาดหวังก็ตามมา ได้รร.ดีแล้วช่วยเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีหน่อยแต่ไม่ได้กลับมาดูว่าตัวเองกำลังทุ่มอะไรอยู่

ครอบครัวปล่อยปละละเลย บางบ้านไม่ได้ทำหน้าที่บทบาทพ่อแม่ซึ่งคาดหวังสูงมากแต่ใช้เงินซื้อหรือให้คนอื่นทุ่มเทซึ่งเริ่มมีเยอะขึ้นมาจากครอบครัวที่ปล่อยปละละเลย

ครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย สร้างการมีส่วนร่วมตั้งแต่อนุบาล ลูกทุกคนมีความหมาย ลูกมีศักดิ์และศรี ไม่เปรียบเทียบเวลาจะตั้งกฏเกณฑ์ก็มีการพูดคุยแบบนี้อยากให้มีเยอะขึ้น ซึ่งมีเยอะก็จะเป็นประโยชน์กับการเลี้ยงลูกสร้างครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย

Functional Family  คุณลักษณะที่ดีของพ่อแม่ 

1.รักอบอุ่นและไว้วางใจ ต้องไม่สำลักความรักหรือเยอะเกินไป รักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขพ่อแม่ที่รักกันอยู่ได้ต้องมองว่าตอนที่รักกันไม่ได้มีแต่เรื่องดีแต่เป็นการฝ่าฟันมาด้วยกัน รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่เจอแต่ความสุขทุกข์ไม่ได้

2.สื่อสารที่ดีต่อกัน สื่อสารพลังบวก สื่อสารดีบ้านป็นสุข

3.การจัดการควบคุมอารมณ์ตัวเอง เริ่มคุมอารมณ์ตัวพ่อแม่คุมสถานการณ์ได้ แต่การจะให้ลูกเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ลูกดูเราเป็นตัวอย่างที่ดีจะเรียนรู้วิธีการจากเรา ถ้าทำเป็นและมีศิลปะในการควบคุมอารมณ์เอาอยู่ในทุกสถานการณ์

4.มีวินัย วินัยเกิดขึ้นจากส่วนร่วมไม่ใช่พ่อแม่เป็นคนกำหนดกติกาและมีผลบังคับใช้ทุกคนยกเว้นตัวเอง

5.เด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด เด็กทุกคนเกิดมาล้วนมีความหมายหมอต้องการให้ปรับจูนทัศนคติในการเลี้ยงลูก พ่อแม่ต้องล้างทัศนคติไม่ได้เรียนเก่งแต่ชอบวาดรูป พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจและอย่าเอาลูกไปวัดกับระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออก อย่าเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ จะไม่มีปัญหาในการเลี้ยงลูก

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 

ในขณะที่เกมสำหรับเด็กมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ คาสิโนออนไลน์เช่น sa88 ให้ความสำคัญกับผู้ใหญ่ที่แสวงหาความบันเทิงและความตื่นเต้นของการพนัน

รักลูก The Expert Talk Ep.81 (Rerun) : เปลี่ยน “วัยทอง” เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.81 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

ช่วงวัยทองของเด็ก คือช่วงเวลาทองของชีวิตเด็ก เขาจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้

เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่ต้องรับมือและมองวัยทองในมุมมองใหม่ เพื่อให้เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ดีของลูก

 

ฟังมุมมองการรับมือวัยทองแต่ละช่วงวัยจากครูก้าได้ใน EP นี้

เพราะเด็กจะเป็นอย่างไรเริ่มต้นที่วัยนี้ ไม่อยากให้พลาดฟังเพื่อจะได้วิธีการเลี้ยงลูกวัยตั้งต้นของชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามพัฒนาการของวัย

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.83 : สร้างทุนชีวิต แก้วิกฤตเด็กปฐมวัย

 

รักลูก The Expert Talk Ep.83 : สร้างทุกชีวิต แก้วิกฤตเด็กปฐมวัย

การลงทุนกับเด็กไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ “เวลาคุณภาพ” และ “ความเข้าใจลูก” และมีอีกหลายเรื่อง ที่พ่อแม่สามารถทำได้ มีอะไรบ้าง

 

ชวนฟัง The Expert ครูหวาน ธิดา พิทักษ์สินสุข นายกสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.92 : ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.92 : ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

 

ติดจอใสทำลายพัฒนาการมากกว่าที่พ่อแม่คิด ตั้งแต่ออทิสติกและอาการสมาธิสั้นที่น่ากังวล ซ้ำยังส่งผลไปถึงพัฒนาการด้านอารมณ์ ซึ่งหากพ่อแม่ไม่รู้เท่าทัน อาจจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้า และนำไปสู่การฆ่าตัวตายในอนาคต

 โดย The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

"จอใส" กระทบพัฒนาการ

เริ่มจากการวิจัยที่ผมเองก็มีการติดตามเด็กในระยะยาวตั้งแต่เด็กอายุ 6เดือน ติดตามไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เด็กที่อยู่ในโครงการอายุ10ขวบแล้ว ผลพบว่าเด็กอายุตั้งแต่6เดือน-18เดือน แนวโน้มถ้าเขาอยู่บริเวณสื่อหน้าจอซึ่งในยุคนั้นเป็นแค่ทีวี พบว่าเด็กจํานวนหนึ่งมีพฤติกรรมไปทางเด็กออทิสติก มากขึ้น แล้วเรื่องของเด็กออทิสติกก็มีข้อมูลงานวิจัยของต่างประเทศพบมากขึ้นว่า ยิ่งให้มากให้เร็วตั้งแต่ตอนเล็กๆ จะทําให้เด็กเนี่ยมีความเสี่ยงไปทางเด็กออทิสติก คืออยู่ในโลกส่วนตัวมากขึ้น ขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะด้านสังคมและอารมณ์ ในงานวิจัยนั้นยังพบอีกว่า เด็กที่ดูหรือว่าได้รับสื่อประเภทพวกทีวีค่อนข้างมาก มีโอกาสที่เขาจะมีปัญหาพฤจิกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้น มีปัญหาทางด้านปฏิกิริยาทางด้านอารมณ์เพิ่มขึ้น หมายความว่าเวลาหงุดหงิดไม่พอใจก็จะวีนเหวี่ยง ใช้อารมณ์

ซึ่งก็สอดคล้องเลยว่าหลังจากช่วงที่โควิดเคสคต่างๆ เริ่มกลับม คุณพ่อคุณแม่ก็จะเล่าว่าจากที่เคยดีมาโดยตลอด แล้วพอเราเริ่มให้ใช้จอก็จะรู้สึกเหมือนว่าหงุดหงิด ไม่พอใจอะไรต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ขอจอคืน ถึงเวลาต้องไปทํากิจวัตรประจําวันก็ม่ได้ทํา แล้วในงานศึกษายังเจออีกว่าสัมพันธ์กับเรื่องของพฤติกรรม และสมาธิสั้นมากขึ้นด้วย

ต้องเรียนว่าการใช้สื่อจอใสแบบไม่ค่อยเหมาะสม ปัจจุบันมันไม่ใช่แค่ทีวีก็มีสื่ออื่นๆมากมาย มือถือหรือว่าโซเชียลมีเดียต่างๆ ในการศึกษาทั้งในเด็กเริ่มโตขึ้นมาวัยก่อนเรียน วัยอนุบาลหรือว่าในช่วงวัยเรียน รวมถึงวัยรุ่นพบว่ามีความสัมพันธ์กับปัญหาทางด้านอารมณ์เยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเด็กบางคนปถึงขั้นมีความคิดหรือความพยายามอยากฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น หรือมีปัญหาโรคทางด้านจิตเวชต่างๆ เพิ่มขึ้น พบเด็กมีปัญหาเรื่องของการรับประทานอาหารผิดปกติเพิ่มสูงขึ้น เช่น ถ้าเรียกทางการแพทย์เรียกEating Disorder เช่น ทําไมบางคนเรียกเป็นโรคคลั่งผอมเพราะว่าเราก็คือเข้าไปเสพสื่อประเภทนี้ แต่ก็ไม่อยากให้มองว่าสื่อมันไม่ดีอย่างเดียว จริงๆ เราสามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้

เด็กที่เล่นสื่อเยอะๆ ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคืออยู่กับความเบื่อไม่เป็น ความเบื่อเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งของเราเหมือนกันหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่เหมือนกันบางทีเราก็ไม่รู้จะทําอะไร ทุกวันนี้ทุกคนก็เล่นมือถือตลอดเวลา เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราดึงเอาใจไปอยู่ทางอื่นเพราะว่าเราอยู่กับความเบื่อไม่ได้ ซึ่งพออยู่กับความเบื่อไม่ได้เนี่ย ลูกๆก็ไม่รู้จะทํายังไง ซึ่งถ้าจะเป็นสมัยก่อนที่เราไม่มีสื่อเหล่านี้ พอเบื่อเราก็ต้องชวนกันมาเล่น มาคุยกัน ร้องเพลง อ่านหนังสือ แต่เด็กไม่รู้จะทําอะไรดี ก็เลยเข้าไปอยู่กับสื่อหน้าจอมากขึ้น แล้วพอลไม่ได้ดูก็โวยวาย หัวร้อนง่าย

ใช้สื่อกับลูกอย่างไร

  1. Background Media คีย์เวิร์ดสําคัญเลยเด็กถ้าอายุเกินสองปีเล่นได้ แต่ถ้าอายุน้อยกว่าสองปีมีข้อมูลพบว่ากระทบกับพัฒนาการ มีงานวิจัยจากสิงคโปร์รายงานว่าแค่เสียงทีวีที่เปิดทิ้งไว้ สามารถเปลี่ยนคลื่นสมองเด็กได้สัมพันธ์กับการเป็นสมาธิสั้นเพิ่มขึ้น เพราะว่าสื่อต่างๆ เวลาเปิดมันจะเข้าไปเร้าระบบประสาทรับความรู้สึกต่างๆ เพราะสื่อมันมีทั้งภาพและเสียง เมื่อเข้าไปกระตุ้นมากทำให้สมาธิสั้นเพิ่มขึ้นแม้จะไม่ได้ดู และส่วนใหญ่เป็นรายการสําหรับผู้ใหญ่ ซึ่งที่เราศึกษาวิจัยก็พบว่ามีผลต่อพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็ก ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านที่เปิดBackground Mediaน้อย สติปัญญาของเด็กที่เปิดน้อยกว่ามีแนวโน้มสติปัญญาดีกว่าและพัฒนาการดีเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก

  2. เลือกโปรแกรมที่เหมาะสมตามวัยและต้องลองเข้าไปดูเนื้อหาก่อน ปัจจุบันมีเว็บไซต์ต่างประเทศที่สามารถเข้าไปเช็กได้ที่ www.commonsense.org/education (Common Sense Media) นอกจากนี้ต้องกําหนดกฎกติกา ถ้าจะให้ลูกใช้หน้าจอก็ต้องหลังจากที่เขารับผิดชอบงานที่ควรจะทำก่อน เช่น กิจวัตรประจําวันเสร็จแล้ว การบ้านเสร็จ รับผิดชอบงานบ้านแล้ว นอกจากเรื่องกฎกติกาแล้ว เด็กต้องเรียนรู้ผลที่ตามมาว่าถ้าไม่ทําตามกฎกติกาจะเกิดอะไรขึ้นบ้างด้วย

  3. ทำข้อตกลงก่อนให้ลูกใช้งาน บ้านที่กำลังจะซื้อจอให้ลูก ต้องมีการทําสัญญากับลูกตั้งแต่เริ่มแรกเลย เช่น มือถือเครื่องนี้เป็นมือถือของแม่ซื้อมาให้ลูก ลูกจะสามารถเล่นได้ตอนไหนบ้าง ถ้าลูกไม่สามารถทําตามกฎอันนี้ได้มือถือเครื่องนี้แม่สามารถริบคืนได้ พ่อแม่มีสิทธิ์เด็ดขาดและให้ลูกเซ็นชื่อกํากับด้วย ซึ่งเด็กบางคนก็ยอมเซ็นไปก่อน แต่ต้องอย่าลืมที่จะบอกถึงผลที่ตามมาและต้องทำตามข้อตกลงร่วมกัน หรือบอกถึงผลกระทบถ้าใช้งานนานเกินไป เช่น หาวบ่อย ปวดต้นคอ ปวดมือ

  4. ดูไปพร้อมกับลูก อยากให้คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเข้าไปดูสื่อกับลูกด้วย เพราะเดี๋ยวนี้จะมี pop up ขึ้นมาระหว่างที่ลูกดูคลิปต่างๆ ซึ่งมันจะทำให้เข้าสู่คอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสมกับวัย อีกเรื่องหนึ่งกฎกติกาที่ว่า หมอคิดว่าเราอาจจะต้องมองกันที่สถานที่ภายในบ้านด้วยว่าตรงที่ไหนที่เราไม่ควรจะใช้สื่อหน้าจอ รวมไปถึงเวลาช่วงไหนที่เราไม่ควรจะใช้ เช่น ห้ามใช้บนโต๊ะอาหาร ซึ่งพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างด้วย และในห้องนอนก็ไม่ควรจะใช้สื่อหน้าจอ

นอกจากนี้หน้าจอจะมีแสงสีน้ำเงินออกมาที่เรียกว่า Bluelight ซึ่งแสงเหล่านี้จะไปรบกวนการหลั่งฮอร์โมนการนอนหลับที่ชื่อว่า "ฮอร์โมนเมลาโทนิน" ทําให้เด็กจะนอนหลับยากขึ้น รวมถึงต้องงดเล่นเกม ดูคอนเทนต์ที่เร้าอารมณ์ความสนุก เพราะถ้าเด็กนอนหลับไม่ดีก็ส่งผลต่อเรื่องของการคุมอารมณ์ระหว่างวันด้วย สิ่งที่พ่อแม่ควรทําก็คือ อย่าให้มาก อย่าให้เร็ว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

  • 1
  • 2