เปิดศึกกลางบ้าน ไม่มีทีท่าว่าจะสงบและยังเกิดขึ้นถี่ๆ บ้านไหนเป็นแบบนี้ ชวนฟังวิธีแก้ 3 ปัญหาน่าหนักใจ เพื่อไม่ให้กระทบพัฒนาการระยะยาว ได้แก่ ติดจอ, ก้าวร้าวเอาใจ, นิ่ง เนือย เฉื่อยชา ฟังดูเป็นเรื่องยากแต่แก้ไขได้
ฟังแนวทางจากครูก้า กรองทอง บุญประคอง ผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตต์เมตต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย
จะทำให้พ่อแม่มองเห็นปัญหา เข้าใจพัฒนาเจ้าตัวเล็ก และเห็นแนวทางแก้ที่ไม่ยากเกินไป
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
Dysfunctional Family การทำหน้าที่ของครอบครัวบกพร่อง บกพร่องด้านไหนบ้าง กระทบกับครอบครัวและลูกอย่างไร เมื่อรู้แล้วจะรับมือแก้ไขแบบไหน
ชวนทวนสอบบทบาทหน้าที่ครอบครัวกันค่ะ ว่าเรากำลังอยู่ในสถานะ Dysfunctional Family อยู่หรือเปล่า ฟังคุณหมอเดวพูดเรื่องนี้กันได้ที่ รักลูก Podcast
ปัญหาสภาพครอบครัวไทย
ครอบครัวไทยตอนนี้มี20ล้านครอบครัว ในจำนวนนี้มีประเด็นใหม่ๆเกิดขึ้น 2หมวดใหญ่ๆ คือ
โครงสร้างครอบครัวมีขนาดเล็กลง TFR (Total Fatality Rate) อัตราการมีลูกของเด็กในประเทศไทยตอนนี้ค่าเฉลี่ยที่ 1.4 เดิม 1.6 คือส่วนใหญ่มีลูก 1คน ซึ่งประเทศเสียเปรียบเพราะปิรามิดของประชากรเปลี่ยนแต่เดิมผู้สูงวัยน้อยฐานวัยแรงงานเยอะ คือ 10:1 (ทำงาน 10คน ผู้สูงอายุ 1คน) เมื่อ20ปีที่แล้วลดลงมาเหลือ 5:1 ปัจจุบันเหลือ 2:1 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านั้นหมายถึงว่าประชากรวัยแรงงานจะต้องดูผู้สูงอายุ 1:1 ต้องทำงานและดูแลผู้สูงอายุด้วย ซึ่งถ้าเป็นสภาพนี้ผู้สูงอายุจะเยอะมากคือ ประชากร 10คนจะมีอย่างน้อย 3 คนที่อายุเกิน 60ปีและหนึ่งในสามนั้นมีหนึ่งคนที่อายุเกิน 65ปี และเริ่มมีคำใหม่คือ ชมรม DINK (Double Income No Kids)แต่งงานแต่ไม่มีลูก นี่คือโครงสร้างที่มีปัญหา ดังนั้นโครงสร้างใหม่คือSmall Family คือครอบครัวพ่อแม่ลูกชุมชนก็ไม่รู้จัก ไซซ์เล็ก ครอบครัวหย่าร้างซึ่งอัตราอยู่ระหว่าง 5-10% ก็จะมีพ่อเลี้ยงเดี่ยวแม่เลี้ยงเดี่ยว มีครอบครัวแหว่งกลาง บางภาคตามหัวเมืองจะเห็นภาพที่ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลาน พ่อแม่ทำงานในเมือง
Unicef รายงานข้อมูลว่าเด็กที่อายุน้อยกว่า 18ปี สามล้านคนที่พ่อแม่มีชีวิตแต่ไม่ได้เลี้ยง ในจำนวนนี้ 500,000คนเป็นเด็กปฐมวัย ซึ่งเรารับรู้ว่าเด็กวัยนี้พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู นี่คือโครงสร้างของครอบครัวที่มีปัญหา ซึ่งต้องยอมรับว่ามีปัญหาเดิมและมีปัญหามากขึ้น
และอีกประเด็นคือ Dysfunction คือการทำหน้าที่ของครอบครัวบกพร่องทั้งลบและบวกมีปัญหาทั้งนั้น หน้าที่ของครอบครัวคือให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข การมีความสุขคือการมีข้าวกินมีบ้านอยู่ เพราะฉะนั้นบทบาทของครอบครัวต้องดูแลร่วมกันเพื่อให้ได้ปัจจัยสี่ ขั้นพื้นฐาน และอีกปัจจัยคือ Psychological ทางด้านจิตใจ อารมณ์ เช่น สมาชิกเมื่ออยู่ในบ้านแล้วมีปฏิสัมพันธ์ มีความรู้สึกที่อบอุ่น ปลอดภัย Sense of security ถ้าเข้าบ้านแล้วมีทารุณกรรม แสดงว่าบ้านมีปัญหาหรือเข้ามาในบ้านไม่คุยกันเลย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างสังคมไม่เกี่ยวกับเรื่องหย่าร้าง แต่ฟังก์ชั่นมีปัญหานี่คือระดับทางจิตใจ
ส่วนด้านสังคมสมาชิกในครอบครัวต้องดูแลให้มีปฏิสัมพันธ์ทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในชุมชนต้องรู้จักกัน เยี่ยมญาติพี่น้อง พบเพื่อนฝูง รู้จักการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม นี่คือลักษณะ Socialogical ถ้าดูง่ายเลยๆ Physical ปัจจัยขั้นพื้นฐาน Psychological ปัจจัยทางด้านจิตใจและอารมณ์และปัจจัยทางด้านสังคม ซึ่งถ้าบกพร่อง บ้านไม่มีให้อยู่ก็เดือดร้อนข้าวไม่มีกินนี่คือบกพร่อง แต่อีกฟากหนึ่งคือมีหลายบ้านหรืออีกบ้าน Ovefeed คือกินทิ้งกินขว้างทั้งลบและบวกจึงมีปัญหาเลยสุขภาพไม่ได้รับการดูแลก็มีปัญหา แต่ถ้าดู Over เกินไปก็มีปัญหาเหมือนกัน
Dysfunctional Family
ครอบครัวที่พ่อแม่รักลูก แต่เลี้ยงลูกแบบใช้อำนาจ มีทั้งหมด 9ประเภทแต่ก่อนที่จะไปตรงนั้นมีประเด็นที่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูคือ ครอบครัวในประเทศไทยมีการเลี้ยงลูกคือ ใช้อำนาจในการเลี้ยงลูกพ่อแม่เป็นใหญ่เป็นกันเยอะ ไม่ได้เจตนาแต่ตัดสินใจแทนลูกทั้งหมด ทำบนฐานของความรักซึ่งมีเกิน50% ไม่ได้ทำสำรวจแต่ด้วยประสบการณ์เวลาที่เอาลูกมาปรึกษาหมอจับทางได้ว่าใช้อำนาจ คือจับทางจากประสบการณ์และความรู้ที่หมอมีมาร้อยเคสครึ่งหนึ่ง คือรักษาคนที่พามาและอีก 25% ตามไปซ่อมคนส่งมา บริวารของเด็กมีปัญหามากกว่าตัวเด็ก บางคนที่พามาได้ยาแทนคือพ่อแม่อาการหนักเกินเด็ก อำนาจมีไว้ให้กับพ่อแม่นั้นถูกต้องแต่มีไว้ให้ผ่อนลงเรื่อยๆ
ก่อนที่จะลงไปการเลี้ยงดูผิดประเภทหมออยากให้เข้าใจก่อนว่า ด้วยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กพ่อแม่จะต้องช่วยทำให้ลูกทุกคนอยู่รอดและปลอดภัย ได้รับการเลี้ยงดู ปกป้องคุ้มครองและได้การรับการพัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วม
เมื่อลูกเป็นทารกอำนาจจึงอยู่เต็มที่พ่อแม่ในการทำให้ลูกอยู่รอดปลอดภัย ต่อเมื่อพัฒนาการเติบโตและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ตรงนี้อำนาจของพ่อแม่ต้องถอย คืออายุ 2ปีแรกพ่อแม่มีอำนาจเต็ม100% แต่พอหลัง2ขวบเริ่มเดินเองได้ นั่งเล่นกับเพื่อนแม้ไม่แบ่งปันแต่ก็นั่งเล่น ช่วยเหลือตัวเองได้อำนาจของพ่อแม่ต้องค่อยๆถอยลงมา เหลือประมาณ 80% แต่พอเข้าสามขวบพ่อแม่เอาลูกไปฝากที่อนุบาลระบบนิเวศน์เปลี่ยน อำนาจของพ่อแม่จะถอยลงมาเหลือ 60 -40% พออยู่ชั้นประถม เพื่อนครู รร. เป็นบ้านหลังที่สองอำนาจของพ่อแม่จะถอยลงไปเรื่อยๆแล้วจะเหลือแค่30%ตอนเข้าสู่วัยรุ่น
ถ้าเป็นวัยรุ่นตอนกลางและเป็นเด็กโตด้วยอำนาจพ่อแม่เหลืออยู่10% แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่เป็นติ่งห้อยอยู่อยากมาปรึกษาก็มา ไม่อยากก็อย่าเข้าไปยุ่ง แต่ปัญหาของการใช้อำนาจครอบครัวบ้านเรากลับหัวหมดเลย ตอนเด็กใช้ทีวีเลี้ยงลูกใช้พี่เลี้ยงimportมาดูแลลูกเราไม่ได้ใช้อำนาจเต็มตรงนั้น แต่พอโตกลับลาออกแล้วมานั่งเฝ้าลูกแล้วไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวจึงทำให้เกิดปัญหาแล้วยิ่งไม่ผ่อนด้วย พ่อแม่มีปัญหากับลูกเร่งรัดกับลูกแล้วก็ไม่ดึงลูกเข้ามาแก้ปัญหาร่วมกัน ถามตัวเองว่าคุยกับลูกกับลูกวัยรุ่นรู้เรื่องไหม
ครอบครัวที่อยากได้ลูกเป็นคนดี จะเห็นว่าสังคมสมัยนี้พ่อแม่เริ่มมีฐานะก็กลายเป็นว่าอยากให้ลูกเป็นคนดีแต่ช่วยเลี้ยงลูกฉันให้เป็นคนดีนะคือการซื้อระบบนิเวศน์ลงทุนเต็มที่ รร.อินเตอร์จะแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย และความคาดหวังก็ตามมา ได้รร.ดีแล้วช่วยเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีหน่อยแต่ไม่ได้กลับมาดูว่าตัวเองกำลังทุ่มอะไรอยู่
ครอบครัวปล่อยปละละเลย บางบ้านไม่ได้ทำหน้าที่บทบาทพ่อแม่ซึ่งคาดหวังสูงมากแต่ใช้เงินซื้อหรือให้คนอื่นทุ่มเทซึ่งเริ่มมีเยอะขึ้นมาจากครอบครัวที่ปล่อยปละละเลย
ครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย สร้างการมีส่วนร่วมตั้งแต่อนุบาล ลูกทุกคนมีความหมาย ลูกมีศักดิ์และศรี ไม่เปรียบเทียบเวลาจะตั้งกฏเกณฑ์ก็มีการพูดคุยแบบนี้อยากให้มีเยอะขึ้น ซึ่งมีเยอะก็จะเป็นประโยชน์กับการเลี้ยงลูกสร้างครอบครัวหัวใจประชาธิปไตย
Functional Family คุณลักษณะที่ดีของพ่อแม่
1.รักอบอุ่นและไว้วางใจ ต้องไม่สำลักความรักหรือเยอะเกินไป รักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขพ่อแม่ที่รักกันอยู่ได้ต้องมองว่าตอนที่รักกันไม่ได้มีแต่เรื่องดีแต่เป็นการฝ่าฟันมาด้วยกัน รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่เจอแต่ความสุขทุกข์ไม่ได้
2.สื่อสารที่ดีต่อกัน สื่อสารพลังบวก สื่อสารดีบ้านป็นสุข
3.ควบคุมอารมณ์ตัวเอง เริ่มคุมอารมณ์ตัวพ่อแม่คุมสถานการณ์ได้ แต่การจะให้ลูกเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ลูกดูเราเป็นตัวอย่างที่ดีจะเรียนรู้วิธีการจากเรา ถ้าทำเป็นและมีศิลปะในการควบคุมอารมณ์เอาอยู่ในทุกสถานการณ์
4.มีวินัย วินัยเกิดขึ้นจากส่วนร่วมไม่ใช่พ่อแม่เป็นคนกำหนดกติกาและมีผลบังคับใช้ทุกคนยกเว้นตัวเอง
5.เด็กไม่ใช่ผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด เด็กทุกคนเกิดมาล้วนมีความหมายหมอต้องการให้ปรับจูนทัศนคติในการเลี้ยงลูก พ่อแม่ต้องล้างทัศนคติไม่ได้เรียนเก่งแต่ชอบวาดรูป พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจและอย่าเอาลูกไปวัดกับระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออก อย่าเลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ จะไม่มีปัญหาในการเลี้ยงลูก
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

ลูกชอบแกล้งเพื่อน พ่อแม่ต้องปรับนิสัยลูกอย่างไร
ทำไมตอนอยู่บ้านแล้วลูกดูปกติดี แต่คุณครูบอกว่าลูกชอบแกล้งเพื่อนร่วมชั้นและเด็กคนอื่นๆ หากลูกเป็นคนแบบนี้คุณพ่อคุณแม่จะมองข้ามไม่ได้นะคะ
สิ่งที่ต้องทำเมื่อลูกชอบแกล้งเพื่อนมีดังนี้...
1. ต้องเปิดใจฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจสถานการณ์จริงๆ ว่ามีตัวละครอะไรบ้าง เช่น เพื่อนคนไหนบ้าง รวมทั้งสถานที่ใดที่มักเกิดปัญหา
2. ช่วยลูกวิเคราะห์เหตุการณ์ว่า เพื่อนทำแบบนี้เพราะอะไร และเหตุใดจึงมักเกิดขึ้นที่ตรงนี้ ต้องสอนให้สมองลูกคิดวิเคราะห์ เพราะถ้าเราเอาแต่บอกอย่างเดียว สมองส่วนวิเคราะห์ของลูกจะไม่พัฒนา พอเจอสถานการณ์จริงจะคิดไม่ออก
3. ช่วยลูกคิดวิธีแก้ปัญหาจากเรื่องที่เกิดขึ้น ว่าเขาแกล้งเพื่อนเพราะอะไร และควรทำอย่างไรให้ดีกว่าการเข้าไปแกล้งเพื่อน ลูกจะมองเห็นภาพว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร คำชี้แนะนี้จับต้องได้ ไม่ใช่แค่การอบรมยาวๆ
4. คุณแม่ต้องเชื่อมั่นในตัวลูกว่าลูกจะเปลี่ยนแปลงได้ คอยถามครูว่าเขาดีขึ้นไหม คอยให้กำลังใจเขา ชื่นชมเขาเมื่อเขาทำตัวดีขึ้น อย่าสอนเขาบ่อยพร่ำเพรื่อ เพราะนั่นอาจสะท้อนว่าเราไม่มั่นใจว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงได้
5. ควรกระตุ้นศักยภาพลูกในด้านอื่น ๆ อย่าเน้นกับกิจกรรมที่ต้องมีที่หนึ่ง หรือต้องเก่ง เช่น ชื่นชอบที่ลูกวาดรูปตามจินตนาการ ชอบที่ลูกร้องเพลง หรือเล่าเรื่องชีวิตประจำวันให้ฟัง เพื่อให้เขาเกิดความภาคภูมิใจ เมื่อไปโรงเรียนสมองจะยืดหยุ่น จะได้ไม่คิดแต่ความเป็นที่หนึ่งเท่านั้น
สาเหตุที่ลูกชอบแกล้งคนอื่นนั้นเป็นเพราะว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวในใจ หากพ่อแม่หรือคนใกล้ตัวไม่จับสังเกต ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเด็กมักจะรู้สึกเหงาและเศร้าอยู่ลึกๆ ดังนั้นคุณพ่อและคุณแม่ต้องมาทำความเข้าใจและแก้ไขนิสัยลูกชอบแกล้งกันนะคะ
เด็กไฮเปอร์หรือกลุ่มเด็กสมาธิสั้น คือ เด็กที่มีอาการซนมากกว่าปกติ วอกแวกง่าย และมีอาการหุนหันพลันแล่น ทำให้คุณแม่ของเด็กกลุ่มนี้ต้องรับบทหนักมากกว่าคุณแม่คนอื่นๆ แล้วจะมีวิธีรับมือได้อย่างไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
7 วิธีรับมือเมื่อลูกไฮเปอร์เกินไป
-
ต้องใจเย็น ๆ ควบคุมสถานการณ์ได้ ทำจิตใจให้สงบ ไม่ใส่อารมณ์เมื่อลูกซน แต่บางครั้งเมื่อหมดความอดกลั้นดุด่าลูกไป ให้รีบขอโทษลูกทันทีและแสดงให้ลูกรู้ว่ายังรักลูกเหมือนเดิมและต้องสอนตอนนั้นเลยว่าลูกควรทำอะไร หรือไม่ควรทำอะไร
-
จำกัดเวลากิจกรรมบันเทิง เช่น การดูทีวี เล่นเกม ต้องจำกัดเวลาให้ชัดเจน หากหมดเวลาไม่ควรยืดหยุ่น ไม่มีการต่อรอง เพราะต้องทำให้ติดเป็นนิสัย เพื่อรักษาสมาธิลูก ว่าต้องทำการบ้าน ต้องอ่านหนังสือ เป็นต้น
-
พาลูกไปตรวจการได้ยินและตรวจสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกเริ่มมีปัญหาการเรียน เพราะหากเลูกมีปัญหามองไม่ชัดหรือไม่ได้ยิน ส่วนใหญ่จะมาบอกคุณแม่ไม่เป็น หลายครั้งพบว่า เด็กที่คุณครูคิดว่าเป็นเด็กสมาธิสั้นที่จริงแล้วเป็นเพียงเด็กที่มีปัญหาสายตาไม่ดี
-
ไม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก เพราะการทะเลาะกันของพ่อกับแม่หรือคนในบ้าน จะทำให้ลูกเครียด ลูกจะคิดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อแม่มีเรื่องกัน หรือ หย่าร้างกัน อาจจะทำให้ลูกเครียดจนเป็นไฮเปอร์ก็เป็นได้
-
ใช้เวลากับลูกให้มากที่สุด หากไม่มีเวลาเพราะต้องทำงาน ก็ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ เช่น อ่านหนังสือด้วยกัน เล่นเกมด้วยกัน ระบายสี วิ่งออกกำลังกาย เพื่อจะได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก
-
ให้ลูกได้ระบายพลังงานส่วนเกิน พ่อกับแม่เตรียมใจไว้เลยว่าลูกพลังเยอะ เราก็ต้องอึดด้วยจะได้ช่วยลูกให้มีสมาธิกับอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นการพาลูกไปเล่นกีฬาว่ายน้ำ กระโดเชือก วิ่ง หรือเตะฟุตบอล เพื่อใช้พลังงานที่มีไม่จำกัดของเด็กไฮเปอร์
-
ไม่ไปในที่ที่ลูกอึดอัด ให้ฝึกลูกให้มีความพร้อมก่อนค่อยไปสถานที่ใหม่ๆ เพราะเด็กไฮเปอร์จะไม่ชอบที่เงียบๆ เขาจะรู้สึกไม่เป็นตัวเองและรู้สึกแปลกจากคนอื่นมากเกินไป ให้หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในสถานที่ที่ต้องการความสงบ เช่น ร้านอาหารหรูหรา เป็นต้น
และทั้งหมดคือการรับมือเมื่อมีลูกมีอาการไฮเปอร์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสมนะคะ แต่หากอาการลูกน้อยนั้นเกินที่คุณแม่จะรับมือได้ควรไปปรึกษาคุณหมอค่ะ
วิธีเลิกขวดนม ไม่หลับคาขวด ป้องกันฟันผุ
วิธีเลิกขวดนมลูกให้ได้ภายใน 1-1 ขวบครึ่ง และฝึกให้กินเป็นเวลา ไม่หลับคาขวด พ่อแม่ทำได้! เพราะคุณหมอตุ๊กตา เจ้าของเพจฟันน้ำนมมีคำแนะนำมาให้ค่ะ
เมื่อลูกนั่งเองได้มั่นคงแล้ว เริ่มฝึกให้ลูกดูดจากหลอดหรือดื่มจากแก้วได้เลย อาจเลือกใช้หลอดเล็ก ๆ ใช้นิ้วปิดปลายหลอดอีกฝั่งแล้วป้อนลูก และให้ลูกออกแรงดูดเอง หรือเลือกใช้แก้วน้ำขนาดเล็กพอดีปากให้ลูกฝึกจิบจากแก้ว
ขวดนมเป็นเครื่องมือในการให้อาหารเด็ก นั่นคือ เมื่อถึงมื้อนมจึงค่อยให้เด็กดูดนม โดยต้องดูดให้หมดภายในครั้งเดียว หมดเวลามื้อนมเก็บขวดนม เอาเวลามาเล่นกับพ่อแม่แบบเต็มที่โดยไม่ต้องมีขวดนมถือติดมือ ดูดติดปากตลอดเวลา หมอเจอหลายครอบครัวมากที่ให้ลูกดูดขวดแบบผิดวิธี
- ลูกเดินถือขวดนมไปทั่ว ดูดคาปากตลอด นม 1 ขวดกินทั้งวัน ข้าวปลาไม่ค่อยกิน
- ใช้ขวดนมเป็นเครื่องมือให้ลูกหยุดร้องไห้ เลิกงอแง ฯลฯ
- ใช้ขวดนมกล่อมลูกให้หลับ ถ้าไม่มีขวดนมหลับเองไม่ได้เลย
- นึกอะไรไม่ออกก็ยื่นขวดนมให้ลูก
เด็กไม่จำเป็นต้องอยู่กับขวดนมตลอดเวลานะคะ ขวดนม ใช้เท่าที่จำเป็น เมื่อลูก 1 ขวบเริ่มฝึกลูกหย่าขวดได้เลย หากตลอดเวลา 1 ขวบที่ผ่านมา ให้ลูกกินขวดอย่างถูกวิธี (ให้กินเป็นมื้อ หมดมื้อเก็บขวด ไม่ให้ถือติดมือตลอด) การหย่าขวดนมเมื่อครบ 1 ขวบจะทำได้ไม่ยากเลยค่ะ
เด็กหลับคาขวดนม… เสี่ยงฟันผุ
สาเหตุของฟันผุ เกิดจากการที่เด็กได้รับอาหารที่มีรสหวาน แบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากจะย่อยน้ำตาลสร้างกรดขึ้นมาทำอันตรายต่อฟัน เมื่อเกิดซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง ก็จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันผุได้ เวลาที่เด็กดูดนมจนหลับคาขวดถือเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้ฟันผุเช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
รักลูก Community of The Experts
ทพญ. ปวีณา คุณนาเมือง
ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านทันตกรรมสำหรับเด็ก
เจ้าของเพจ "ฟันน้ำนม"
จากข่าวความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวทั้ง พี่ฆ่าน้อง ลูกฆ่าพ่อแม่ ทำให้ผู้คนในสังคมหวาดกลัว และหวั่นใจกันว่า สังคมไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ทำไมความก้าวร้าวรุนแรงของคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน เติบโต หรือเลี้ยงดูกันมาจึงมีมากขนาดนี้ ทางรักลูกขอสัมภาษณ์พิเศษ นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ที่จะมาให้คำแนะนำการเลี้ยงดูลูก ๆ ให้ห่างไกลกับการเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมความรุนแรงเมื่อโตขึ้นค่ะ
เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง เมื่อโตขึ้น มีสาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้างคะ
สาเหตุจากตัวเด็กเองที่เค้ามีพื้นฐานที่ควบคุมตัวเองได้ยาก อันที่สองอาจจะเป็นสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้หล่อหลอมให้เด็กควบคุมตัวเองได้ ทำให้เขามีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว คือเด็กบางคนมีโอกาสที่ก้าวร้าว จากยีนส์ จากพันธุกรรม แต่สิ่งแวดล้อมที่ทำให้ก้าวร้าวก็คือสิ่งแวดล้อมไม่ได้หล่อหลอมให้เขามีพฤติกรรมที่ดี หรือสิ่งแวดล้อมอาจจะเป็นตัวกระตุ้น เช่นเขาอาจจะเป็นเด็กที่ควบคุมตัวเองได้ดี แต่สิ่งแวดล้อมอาจจะเป็นตัวกระตุ้นพฤติกรรมเหล่านั้น
พฤติกรรมเลียนแบบความรุนแรง จากสื่อต่างๆ เช่น ทีวี เกม มีผลกับพฤติกรรมความรุนแรงของเด็กมากน้อยแค่ไหนคะ
สื่อต่างๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่หากเด็กดื่มด่ำ และถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา และมองเห็นว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน เด็กก็อาจจะเกิดการเลียนแบบ ยิ่งถ้าเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ดี ก็จะทำพฤติกรรมเลียนแบบตามสื่อที่เขาได้รับมา ก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่อาจเกิดขึ้นได้จากสิ่งแวดล้อม
เรามีวิธีสังเกตสัญญาณความรุนแรงในวัยเด็กอย่างไรบ้าง ที่ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนที่ต้องระวัง
เด็กจะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ได้ดังใจเวลาที่ถูกขัดใจก็จะมีอาการรุนแรงกว่าเด็กคนอื่นทั่วๆ ไป จะเป็นอันหนึ่งที่พอจะบอกได้บ้าง
ถ้าหากโตขึ้น เขายังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองให้มันเหมาะสมได้ ก็มีโอกาสที่จะใช้ความรุนแรง แต่ว่าเด็กหลายคนถ้าหากว่าเขาไม่ได้แสดงอาการออกมาให้เห็นก็อาจจะมีความรู้สึกเก็บกด เก็บเอาไว้ แล้วพอวันหนึ่งที่เขามีโอกาสจะแสดงออกจากการถูกกระตุ้นจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นในภาวะที่เขาถูกกระตุ้นได้เหมือนกันครับ
วิธีดูแลอบรมลูกเกี่ยวกับพฤติกรรมในช่วยวัยเด็ก พ่อแม่มีวิธีสอนลูกอย่างไรบ้างคะ
ถ้าเป็นเล็กๆ อย่าสอนด้วยคำพูดอย่างเดียว ต้องกำกับให้เขาเรียนรู้ด้วยว่าพฤติกรรมแบบไหนที่มันเหมาะสมไม่เหมาะสม เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกมีความรุนแรง หรือมีความรู้สึกที่ไม่สามารถจะควบความอารมณ์ความรู้สึกตัวเองให้เหมาะสมได้ พ่อแม่ต้องฝึกให้ลูกควบคุม
เราไม่ใช้คำว่าสอน เราใช้คำว่าฝึก เพราะถ้าสอนพ่อแม่มักจะพูดอธิบาย ซึ่งอันนี้จะไม่เพียงพอ ซึ่งวิธีฝึกจะมีการฝึกด้วยกระบวนการต่างๆ ซึ่งเรามักจะใช้หลักการของการปรับพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย อย่างเช่นถ้าลูกมีพฤติกรรมที่เหมาะสมเราก็บอกให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมอันนี้ดี โดยการชื่นชม ใช้วิธีการชื่นชมบอกเขาว่าอันนี้ดีแล้วนะ ควรจะทำต่อ ส่วนพฤติกรรมอะไรที่ไม่เหมาะสมเราก็ต้องตอบสนองอย่างเหมาะสม อย่างเช่น ถ้าหากว่าพฤติกรรมก้าวร้าวของเขาไม่ได้รบกวน ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น ไม่ได้ทำลายข้าวของ ไม่ได้ทำร้ายตัวเอง เราก็อาจจะเพิกเฉยเสียให้ลูกรู้ว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่เหมาะสม ไม่สามารถจะเรียกร้องในสิ่งที่ต้องการได้ แต่ถ้าหากลูกทำร้ายคนอื่น ทำลายข้าวของ เราก็ต้องจับลูก ฝึกให้ลูกควบคุมตัวเอง โดยการจับลูกแยกจากสิ่งตรงนั้นเพื่อไม่ให้ลูกทำลายข้าวของ ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง แล้วก็ฝึกให้ลูกควบคุมตัวเองอย่างเหมาะสม พอลูกทำพฤติกรรมได้เราก็ชื่นชมให้ลูกรู้ว่าทำอย่างนี้ถูกต้องแล้ว เวลาพ่อแม่สอนลูกเล็กๆ อย่าใช้คำว่าสอนอย่างเดียว ความจริงการอธิบายให้เหตุผลอย่างเดียวอาจไม่พอ ต้องฝึกและควบคุมให้กระทำในสิ่งที่เราคิดว่าจำเป็นด้วยครับ

ลูกพูดโกหกต้องทำอย่างไร ก่อนจะไปหาทางแก้ไข พ่อแม่ต้องรู้สาเหตุกันก่อนว่าทำไมลูกชอบพูดโกหก พูดไม่จริง เพราะจริง ๆ แล้ว ลูกอาจจะไม่มีเจตนาโกหกก็ได้นะคะ
หนูไม่ได้อยากโกหก หนูแค่กลัว 4 วิธีป้องกันลูกพูดโกหก
ทำไมลูกชอบพูดโกหก พูดไม่จริง พ่อแม่ต้องรู้และเข้าใจสาเหตุให้ได้ แล้วจึงปรับพฤติกรรมให้ลูกพูดความจริง ไม่โกหก และยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำได้ด้วย 4 วิธีง่าย ๆ ต่อไปนี้
ทำไมเด็ก ๆ ถึงพูดไม่จริงจนพ่อแม่ตีความว่าลูกโกหก
ลูกกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะผิด และถูกพ่อแม่ลงโทษ เช่น ทำของตก ทำแก้วแตก ผลักเพื่อนล้ม แกล้งน้อง เป็นต้น จึงพูดไม่จริง เพราะกลัวโดนดุและถูกทำโทษค่ะ
ลูกพูดจากจินตนาการหรือความฝัน บ่อยครั้งที่ลูกบอกว่าเห็น คุย หรือทำอะไรกับใครโดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่สำหรับเด็ก ๆ ที่ยังแยกความฝัน จินตนาการและความจริงไม่ออก จึงทำให้พ่อแม่เข้าใจว่าลูกโกหก
ลูกพูดไม่ตรงกับความจริง เพราะเขายังมีประสบการณ์ ความจำ การเรียนรู้จากหลาย ๆ สิ่งน้อยกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้การสื่อสารผิด เช่น เด็กที่ไม่เคยเห็นหรือกินสตรอว์เบอรี่ เมื่อได้กินและเจอ อาจจะเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าได้กินมะเขือเทศ เพราะตัวเองเคยเห็นและกินแต่มะเขือเทศ เป็นต้น
อย่าลืมว่าเด็กเล็ก ๆ ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าโกหก ถึงเราจะรู้ว่าลูกพูดไม่จริงหรือโกหก แต่นั่นไม่ใช่เจตนาของเด็กที่จะหลอกลวง การพูดไม่ตรงความจริงของเขาเป็นแค่วิธีที่เขาเรียนรู้ว่าถ้าทำแบบนี้เขาจะไม่โดนดุหรือโดนตีเท่านั้นเอง
พ่อแม่ช่วยได้! 4 วิธีป้องกันลูกพูดโกหก
1.พูดคุยกันด้วยเหตุผล
คุณพ่อคุณแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้พูดและอธิบายว่าทำอะไร เพราะอะไร โดยยังไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด ไม่ดุไปก่อน เมื่อรู้ว่าที่ลูกทำไปเพราะอยากได้ของเพื่อนเลยโกหก ไม่อยากโดนดุที่ทำผิดเลยโกหก จะต้องอธิบายกับลูกด้วยเหตุผล เช่น ถ้าหนูอยากได้อะไรต้องมาบอกพ่อแม่ เพราะถ้าเอาของเพื่อนไป เพื่อนก็จะเสียใจ เพื่อนอาจโดนพ่อแม่ดุที่ของหาย ถ้าหนูทำของตกแตกพ่อแม่จะไม่ดุ แต่จะช่วยกันเก็บไม่ให้หนูโดนบาด และจะสอนให้หนูถือของ เก็บของดีๆ จะได้ไม่ทำของตกอีก
2.รับฟังอย่างตั้งใจ
พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้เล่า พูด อธิบายว่าเขาคิดอะไรอยู่ เพราะการที่เราดูแลลูกอย่างใกล้ชิด เราจะรู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่ลูกพูดเป็นสิ่งที่พ่อแม่เคยสอน เคยทำให้เห็น หรือเคยพาไปเจอแล้วจริงๆ ไหม หรือบางเรื่องที่ลูกเล่านั้นมาจากจินตนาการในนิทานบ้าง มาจากความฝันบ้าง
3.สร้างประสบการณ์และการรับรู้ใหม่ ๆ ให้ลูกตลอดเวลา
พ่อแม่ให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะจะช่วยทำให้ลูกมีความจำ ความคิด และรับรู้สิ่งๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ ทั้งจากการพาไปเจอจริง การอ่านหนังสือ การดูทีวี ฯลฯ
4.พ่อแม่ต้องเปิดโอกาสให้ได้ลูกได้แก้ไข
ความรู้สึกของลูกมีความกล้าที่จะเล่า อธิบาย พ่อแม่ต้องเปิดโอกาสให้ได้ลูกได้แก้ไข แล้วลูกจะมีความพยายามปรับตัว กล้าพูดความจริง เมื่อลูกกล้าบอกเล่าสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นและได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ เขาจะเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ค่ะ กล้ารับผิดชอบ และพร้อมแก้ไขพัฒนาตัวเองมากขึ้นนะคะ

เตือน! เด็กติดเกม สู่โรคซึมเศร้า เรียนรู้คำแนะนำก่อนลูกคิดฆ่าตัวตาย
ลูกติดเกม ทำอย่างไรดี? คุณพ่อคุณแม่หลายท่านข้อความเข้ามาถามทางรักลูกบ่อยครั้ง เล่าถึงปัญหาว่าลูกไม่ยอมไปโรงเรียน หรือโดดเรียนไปเล่นเกม มีพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อไม่ยอมให้เล่นเกม
วันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลของโรคติดเกม พร้อมวิธีรับมือเมื่อลูกติดเกมมาแนะนำค่ะ
โรคติดเกม องค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดให้ความผิดปกติจากการเล่นเกมหรือติดเกม เป็นอาการทางสุขภาพจิตร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษา และได้ถูกบัญญัติให้เป็นโรคชนิดหนึ่ง เรียกว่า ภาวะการติดเกม จัดอยู่ในกลุ่มโรคย้ำคิดย้ำทำ และต้องการการบำบัดรักษา จากสถิติทั่วโลกพบว่าเด็กติดเกมจะมีผลเสียต่อสุขภาพ
วิธีสังเกตลูกว่าติดเกมหรือไม่?

สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกน้อยวัยไม่กี่ขวบเริ่มติดเกมจนกลายเป็นปัญหา และต้องการแนวทาง “การช่วยเหลือ” ที่ชัดเจนจากผู้ปกครอง
- มีความต้องการที่จะเล่นมากขึ้น ชอบต่อรองการเล่นและเพิ่มเวลาในการเล่นมากขึ้น
- ขอเล่นเกมที่ยากขึ้น มีความซับซ้อนมากขึ้น ขอใช้เครื่องที่มีความเร็วและแรงขึ้น
- เด็กเริ่มตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่คุยกับพ่อแม่ ไม่เล่นกับเพื่อนฝูง ไม่เข้าสังคม หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เด็กในวัยนี้ควรทำเลย
- เคยกินนอนเป็นเวลา ก็จะไม่ยอมกิน ห่วงเล่นเกม ไม่ทำการบ้าน ไม่นอนก็ได้ นั่งเล่นดึกดื่นได้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย อยากจะตื่นมาเล่นเกม
- โกรธ เมื่อจำกัดเวลาในการเล่นหรือห้ามเล่น มีพฤติกรรมที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่น ทุบตีพ่อแม่ ขว้างข้าวของ อารมณ์เปลี่ยนแปลง ภาวะจิตใจเปลี่ยน มีพฤติกรรมก้าวร้าวกับพ่อแม่และคนรอบข้างได้
4 โรคแทรกซ้อนจากพฤติกรรมการติดเกม
-
สายตาสั้น การจ้องจอนานๆ จะมีผลต่อสายตา เพราะแสงและสีของภาพที่ฉูดฉาด การเคลื่อนที่เร็ว จะส่งผลให้เด็กๆ เป็นโรคสายตาสั้น และยังทำให้ปวดกล้ามเนื้อตา ตาอักเสบได้
-
ขัดพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ เพราะเด็กๆ จะใช้นิ้วกดเล่น มีการเกร็งกล้ามเนื้อมือและแขน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อต้นคอ ไหล่ กล้ามเนื้ออักเสบ ส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่
-
การสื่อสารบกพร่อง การมองแต่จอโดยไม่สนใจหรือมองสิ่งรอบข้าง ทำให้เด็กสื่อสารทางเดียว มองทางเดียว เล่นคนเดียว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง พูดช้าลง หรืออาจนำไปสู่การเป็นโรคสมาธิสั้นได้
-
โรคอ้วน การที่เด็กๆ มองแต่จอ และนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานวันละหลายชั่วโมง ไม่มีการออกกำลังกาย พักผ่อนน้อย มีภาวะเครียดจากการเล่นเกม ต้องการเอาชนะ ทำให้กระบวนการทำงานของร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดโรคอ้วนและอาจนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานในอนาคตได้