facebook  youtube  line

ดาวน์โหลดฟรี รักลูก Bookazine ปี 2565 คู่มือคนท้อง คู่เลี้ยงลูกทารกและเด็กเล็กที่แม่ทุกคนต้องมี

top bookazine 100

รักลูก Bookazine คู่มือแม่ตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูกเล็กฉบับพกพา รับฟรีที่ 200 โรงพยาบาลทั่วประเทศ และ ดาวน์โหลดฟรี!  เก็บไว้อ่านผ่านโทรศัทพ์มือถือได้ตลอดเวลา

ดาวน์โหลดฟรี รักลูกBookazine ปี 2565 คู่มือคนท้อง คู่เลี้ยงลูกทารกและเด็กเล็กที่แม่ทุกคนต้องมี

รักลูก Bookazine คู่มือแม่ตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูกเล็ก ฉบับเดือนธันวาคม 2565 – มกราคม 2566 รวบตึงเนื้อหาเข้มข้นแบบหนังสือคู่มือ ผสมผสานกับภาพ สีสัน และการนำเสนอที่เข้าใจง่าย น่าสนใจแบบแมกกาซีน "รักลูก Bookazine" จึงขอเป็นผู้ช่วยให้คำแนะนำคุณแม่มือใหม่ทุกคน ดูแลครรภ์อย่างที่มีคุณภาพ และ เทคนิคดูแลลูกแบบเข้าใจง่าย ใช้ได้จริง เพื่อให้การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น 

  • รักลูก Bookazine สำหรับแม่ตั้งครรภ์และแม่ลูกเล็ก รับฟรี! 200 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ที่แผนกสูตินรีเวช และ กุมารเวช (เช็กโรงพยาบาลที่ด้านล่างค่ะ)
  • แม่ท้องสายโซเชียล หรือ ผู้ที่ไม่ได้แบบเล่ม สามารถดาวน์โหลด PDF Version ได้ฟรีเช่นกัน ที่ >>> ดาวน์โหลด รักลูก Bookazine ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2565 

 

ทำไม รักลูกBookazineฉบับเป็นคู่มือที่คุณแม่ทุกคนต้องมี

  • Selected Content คัดสรรเนื้อหาเข้มข้น 100 เรื่องในการดูแลและบริบาล สำหรับแม่ตั้งครรภ์ - ลูก 3 ขวบ
  • Signature Content นำเทรนด์เนื้อหาสำคัญที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้ 
    • Family Attachment: พ่อแม่มีอยู่จริง วิธีสร้างสายสัมพันธ์ครอบครัวที่สร้างได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนลูกโต
    • EF (Executive Functions): ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ ทักษะที่ลูกจำเป็นต้องมีในปัจจุบันและอนาคต
    • Pre Coding: หลักการคิดการคิดในการสร้างสรรค์ วางแผน คิดอย่างมีระบบเพื่อตอบโจทย์โลกอนาคต
  • Seamless Content: เข้าถึงและเชื่อมต่อข้อมูลจาก รักลูก Bookazine สู่ความเต็มอิ่มและหลากหลายมากขึ้นใน www.rakluke.com เว็บไซต์เพื่อทุกคนในครอบครัว ครอบคลุมตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ - ลูกอายุ 9 ปี 
  • User's Benefit: กิจกรรม โปรโมชั่นสำหรับแม่และลูกจาก รักลูก และ ผู้สนับสนุนใจดี ที่อยากส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดไปถึงมือของทุกครอบครัว

 

 bottomWeb_BZ1st_2022

 

คุณแม่ตั้งครรภ์และแม่ลูกเล็ก รับรักลูกBookazine ได้ที่ไหน

รักลูก Bookazine สามารถรับได้ฟรีที่แผนกสูตินรีเวชและแผนกเวชใน 200 โรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ

ดาวน์โหลด รักลูกBookazine ได้ที่ไหน

ดาวน์โหลดฟรี รักลูก Bookazine คลิกที่ปุ่มสีชมพู "ดาวน์โหลด" ด้านล่างได้เลยค่ะ

ท้องแล้วต้องทำอย่างไร คู่มือครบที่สุด สำหรับคุณแม่มือใหม่ ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนคลอด

5436 5 

ตั้งครรภ์แล้ว ต้องฝากท้องเมื่อไหร่ ฝากท้องที่ไหนดี ต้องตรวจร่างกายอะไรบ้าง ควรเจาะน้ำคร่ำไหม ต้องตรวจภาวะดาวน์ซินโดรมรึเปล่า คลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอดดี ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? 

ท้องแล้วต้องทำอย่างไร? คู่มือครบที่สุด สำหรับคุณแม่มือใหม่ ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนคลอด

เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ นอกจากความตื่นเต้นดีใจแล้ว คุณแม่มือใหม่หลายคนอาจจยังไม่แน่ใจว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ต้องไปฝากครรภ์เลยไหม หรือต้องตรวจร่างกายอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า ต้องเจาะน้ำคร่ำ หรือตรวจภาวะดาวน์ซินโดรมไหม จะคลอดเองหรือผ่าคลอดดี ที่สำคัญ แต่ละขั้นตอนมีค่าใช้จ่ายเท่าไร วันนี้เราจะมาบอกข้อมูลสำคัญที่ครบถ้วนที่สุดให้ทราบกัน

เมื่อรู้ว่าท้อง...ก็ต้องฝากครรภ์

การฝากครรภ์คือขั้นตอนแรกสำหรับคุณแม่มือใหม่ทุกคน โดยการฝากครรภ์คือ การตรวจสุขภาพของแม่และเด็กเป็นระยะ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งถึงวันคลอด ซึ่งคุณแม่สามารถฝากครรภ์ได้ทันทีที่รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ แต่ไม่ควรเกิน 12 สัปดาห์ โดยยิ่งฝากครรภ์เร็วเท่าไร คุณแม่และลูกก็จะได้รับการดูแลที่เหมาะสมเร็วเท่านั้น สาเหตุที่ต้องฝากครรภ์ ก็เพื่อให้แพทย์ได้ตรวจติดตามสุขภาพของทั้งแม่และลูกอย่างสม่ำเสมอ ว่ามีความเสี่ยงอะไรที่น่ากังวลไหม มีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่า เพื่อให้แม่และลูกปลอดภัยที่สุดจนถึงวันคลอด

ฝากครรภ์ครั้งแรก ต้องตรวจอะไรบ้าง?

ส่วนใหญ่การฝากครรภ์ครั้งแรก แพทย์จะตรวจร่างกายคร่าว ๆ ดังนี้

  • ตรวจยืนยันการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่คุณแม่มือใหม่มักจะตรวจครรภ์ด้วยตนเอง เมื่อพบว่าตั้งครรภ์จึงมาพบแพทย์ ซึ่งจะต้องตรวจยืนยันอีกครั้ง พร้อมตรวจอายุครรภ์จากรอบประจำเดือนล่าสุด
  • ซักประวัติ แพทย์จะถามข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น เคยตั้งครรภ์มาก่อนไหม มีโรคประจำตัวหรือเปล่า มียาที่ใช้ประจำไหม ซึ่ง ต้องแจ้งแพทย์อย่างละเอียด เพราะยาบางตัวอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อทารกได้ เช่น ยารักษาสิวบางชนิดอาจทำให้ทารกพิการหรือแท้งได้เลย
  • ตรวจร่างกาย การตรวจร่างกายจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ

- ตรวจร่างกายทั่วไป เช่น วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง การทำงานของปอด ฯลฯ

- ตรวจภายใน เช่น ตรวจความสมบูรณ์ของรังไข่ ท่อนำไข่ ช่องคลอด ฯลฯ

- ตรวจเลือด เช่น ระดับน้ำตาล ไขมัน ความสมบูรณ์ของเลือด ระบบภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส ฯลฯ

ฝากครรภ์ ต้องไปพบแพทย์บ่อยแค่ไหน?

หลังจากฝากครรภ์ ระยะเวลาในการนัดพบแพทย์จะค่อนข้างตายตัว ดังนี้

  • อายุครรภ์ 1 - 32 สัปดาห์ พบแพทย์ทุก 1 เดือน (4 สัปดาห์)
  • อายุครรภ์ 32 - 36 สัปดาห์ พบแพทย์ทุกครึ่งเดือน (2 สัปดาห์)
  • อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ขึ้นไป พบแพทย์ทุก 1 สัปดาห์

ระยะเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสุขภาพของคุณแม่และลูก

วิธีเลือกสถานที่ฝากครรภ์

ปัจจัยหลักๆ ที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดในการเลือกสถานที่ฝากครรภ์มี 3 ข้อ คือ

  • โรงพยาบาลหรือคลินิกที่ได้มาตรฐาน มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมดูแลหากเกิดความผิดปกติ
  • เดินทางสะดวก ใกล้บ้านหรือที่ทำงาน เพราะต้องเดินทางไปบ่อยๆ ตลอด 9 เดือนเต็ม
  • กรณีมีโรคประจำตัว อาจเลือกฝากครรภ์กับโรงพยาบาลหรือคลินิกที่รักษาอยู่เดิม เพื่อจะได้ตรวจสอบประวัติการรักษาและอาจปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสมในช่วงตั้งครรภ์ด้วย ทั้งนี้โรงพยาบาลหรือคลินิกที่ฝากครรภ์ ไม่จำเป็น ต้องเป็นที่เดียวกับโรงพยาบาลที่จะคลอดลูก สามารถเลือกได้ตามความสะดวก

ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์

ค่าใช้จ่ายการฝากครรภ์มีทั้งแบบรายครั้ง และแบบเหมาจ่าย ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจของโรงพยาบาลหรือคลินิกนั้นๆ โดยราคาเหมาจ่าย เริ่มต้นที่ประมาณ 12,470 บาท

ดูแลทั้งคุณแม่และคุณลูกให้ปลอดภัยแข็งแรง! เปรียบเทียบแพ็กเกจฝากครรภ์ฝากครรภ์จากโรงพยาบาลและคลินิกมากที่สุดที่นี่ พร้อมรับสิทธิ์ผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือนและส่วนลดพิเศษสำหรับผู้อ่านรักลูกเท่านั้น


2.อัลตราซาวด์ตรวจเช็กความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์

หลังจากฝากครรภ์เรียบร้อยแล้ว อีกหนึ่งขั้นตอนที่แพทย์แนะนำให้ทำ คือ การอัลตราซาวด์ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์เห็นภาพทารกในครรภ์ได้ชัดเจน สามารถตรวจพัฒนาการ เพศ คัดกรองความเสี่ยงกลุ่มดาวน์ซินโดรมในเบื้องต้น และหาความผิดปกติของทารกได้ด้วย โดยมีทั้งอัลตราซาวด์ 2 มิติ 3 มิติ และ 4 มิติ ซึ่งจะแสดงภาพที่แตกต่างกันออกไป

อัลตราซาวด์ 2 มิติ 3 มิติ 4 มิติ คืออะไร ควรทำช่วงไหน?

อัลตราซาวด์ 2 มิติภาพที่ปรากฏจะเป็นแนวระนาบ เห็นเป็นสีเงาขาว-ดำ ไม่มีความลึกหรือตื้น มองไม่เห็นหน้าทารกอย่างชัดเจน สามารถอัลตราซาวด์ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 11 - 13 สัปดาห์ เพื่อประเมินอายุครรภ์ จำนวนทารกในครรภ์ หรือความผิดปกติต่างๆ ช่วงนี้บางคนจะเริ่มเห็นเพศของลูก แต่ยังไม่ชัดเจนนัก จะเริ่มชัดเมื่ออายุครรภ์ 15 สัปดาห์เป็นต้นไป

ท้องแล้วต้องทำอย่างไร? คู่มือครบที่สุด สำหรับคุณแม่มือใหม่ ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนคลอด-ท้องแล้วต้องทำอย่างไร-แพ็กเกจคลอด-แพ็คเก็จคลอด-อัลตราซาวนด์ 4 มิติ-คู่มือคนท้อง-แพ็คเก็จฝากท้อง-ฝากท้องที่ไหนดี

อัลตราซาวด์ 3 มิติภาพที่ปรากฏจะเป็นรูปแบบเสมือนจริง เห็นอวัยวะ รูปร่าง ใบหน้าได้ชัดเจนมากกว่า 2 มิติ โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการอัลตราซาวด์ 3 มิติ คือเมื่อมีอายุครรภ์ 26 - 32 สัปดาห์ เพราะทารกจะเริ่มมีหน้าตา รูปร่างที่ชัดเจนแล้ว

ท้องแล้วต้องทำอย่างไร? คู่มือครบที่สุด สำหรับคุณแม่มือใหม่ ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนคลอด-ท้องแล้วต้องทำอย่างไร-แพ็กเกจคลอด-แพ็คเก็จคลอด-อัลตราซาวนด์ 4 มิติ-คู่มือคนท้อง-แพ็คเก็จฝากท้อง-ฝากท้องที่ไหนดี

อัลตราซาวด์ 4 มิติคือการเก็บภาพอัลตราซาวด์ 3 มิติ มาเรียงต่อกันจนเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว หรือภาพเสมือนจริงแบบเรียลไทม์ จะเห็นพฤติกรรมของทารกภายในครรภ์ เช่น การหาว ดูดนิ้ว อ้าปาก ยกแขน หรือยิ้มได้ชัดเจน และยังสามารถตรวจความผิดปกติได้แม่นยำมากขึ้นด้วย เช่น เนื้องอกที่ผิวบางชนิด ปากแหว่ง เป็นต้น

ท้องแล้วต้องทำอย่างไร? คู่มือครบที่สุด สำหรับคุณแม่มือใหม่ ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนคลอด-ท้องแล้วต้องทำอย่างไร-แพ็กเกจคลอด-แพ็คเก็จคลอด-อัลตราซาวนด์ 4 มิติ-คู่มือคนท้อง-แพ็คเก็จฝากท้อง-ฝากท้องที่ไหนดี

ค่าใช้จ่ายในการอัลตราซาวด์

ค่าใช้จ่ายในการอัลตราซาวด์จะแตกต่างกันตามเทคโนโลยี แบบ 2 มิติ ถูกที่สุด ตามด้วย แบบ 3 มิติ และ 4 มิติ โดยราคาอัลตราซาวด์ 4 มิติ เริ่มต้นที่ประมาณ 2,390 บาท ต่อครั้ง

พร้อมเจอลูกของคุณหรือยัง? เปรียบเทียบและซื้อแพ็กเกจอัลตราซาวด์จากโรงพยาบาลและคลินิกที่ได้มาตรฐานวันนี้ พร้อมรับสิทธิ์ผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือนและส่วนลดพิเศษสำหรับผู้อ่านรักลูกเท่านั้น

3.ถ้าอายุมากกว่า 35 ปี หรือมีความเสี่ยงอาจต้องตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ซินโดรม

การตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ซินโดรม คือการตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ด้วยการตรวจโครโมโซมว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งให้ผลค่อนข้างแม่นยำ และสามารถเริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 10 - 12 สัปดาห์

ใครควรตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ซินโดรม

  • คุณแม่ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
  • ครอบครัวมีประวัติโครโมโซมผิดปกติ
  • เคยมีบุตรที่มีโครโมโซมผิดปกติ
  • อัลตราซาวด์พบว่าทารกอาจมีโครโมโซมผิดปกติ

ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมมีกี่วิธี

การตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ซินโดรม นอกเหนือจากการอัลตราซาวด์ มี 2 รูปแบบที่ได้รับความนิยมคือ

1. NIPD (Non-invasive prenatal diagnosis)คือวิธีการตรวจคัดกรองด้วยวิธีเจาะเลือดของคุณแม่ ที่มีดีเอ็นเอบางส่วนของลูกปะปนอยู่ จึงสามารถตรวจสอบความผิดปกติได้ โดยให้ผลแม่นยำประมาณ 98% วิธีนี้นับเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดและปลอดภัย ไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ซึ่งอาจมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันตามบริษัทที่ให้บริการตรวจ เช่น NICE Test, Panorama, myNIPS, Qualify NIPT, Harmony เป็นต้น

2. การเจาะน้ำคร่ำ (Amniotic Fluid Aspiration)วิธีการตรวจที่ให้ผลแม่นยำมากที่สุด 99% สามารถคัดกรองความเสี่ยงดาวน์ซินโดรม บอกเพศและความผิดปกติอื่นๆ ได้ถูกต้อง แต่การเจาะน้ำคร่ำก็มีความเสี่ยงอาจทำให้แท้งได้ จึงเหมาะสำหรับคุณแม่ที่ตรวจด้วยวิธีการอื่นๆ แล้วพบความผิดปกติ แพทย์จึงแนะนำให้เจาะน้ำคร่ำเพื่อยืนยันอีกครั้ง

ค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองแบบ NIPA เริ่มต้นที่ 9,120 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการเจาะน้ำคร่ำ เริ่มต้นที่ 9,504 บาท ขึ้นอยู่กับค่าบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลหรือคลินิกนั้นๆ

เช็กเพื่อความชัวร์ ให้ลูกปลอดภัยและสมบูรณ์แข็งแรงที่สุด

เปรียบเทียบแพ็กเกจคัดกรองดาวน์ซินโดรมจากโรงพยาบาลและคลินิกมากที่สุดที่นี่


4.วางแผนคลอด คลอดธรรมชาติ VS ผ่าคลอด

หลังจากผ่านกระบวนการทุกขั้นตอนแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการวางแผนว่าจะคลอดธรรมชาติ หรือผ่าคลอด เราจะมาเปรียบเทียบให้ทราบกัน

คลอดธรรมชาติ

คือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการคลอด โดยทั่วไปหากคุณแม่และลูกมีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง แพทย์จะแนะนำให้คลอดธรรมชาติ

ข้อดี

  • คุณแม่เสียเลือดน้อยกว่า แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
  • ไม่มีปัญหาพังผืดในช่องท้อง
  • ทารกได้รับภูมิคุ้มกันจากเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
  • โอกาสเกิดปัญหาทางระบบทางเดินหายใจค่อนข้างน้อย
  • โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่าง หรือหลังคลอดน้อยกว่าการผ่าคลอด

ข้อจำกัด

  • กำหนดเวลาคลอดไม่ได้ (อาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ทำงานประจำ)
  • เจ็บท้องคลอดค่อนข้างนาน
  • มีข้อจำกัดที่ทำให้คุณแม่บางคนเลือกวิธีนี้ไม่ได้ เช่น ลูกตัวใหญ่มากจนออกจากช่องคลอดไม่ได้ ลูกอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะกับการคลอด รกเกาะต่ำ คุณแม่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงจะเกิดอันตราย เป็นต้น

ผ่าคลอด

คือทางเลือกสำหรับคุณแม่ที่มีข้อจำกัด ไม่สามารถคลอดธรรมชาติได้ เช่น แม่และเด็กอาจเป็นอันตรายขณะคลอด

ข้อดี

  • ไม่ต้องรอเจ็บท้องนาน
  • สะดวก สามารถกำหนดช่วงเวลาคลอดได้ตามต้องการ
  • เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย สำหรับคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติไม่ได้

ข้อจำกัด

  • คุณแม่เสียเลือดมากกว่า มีแผลขนาดค่อนข้างใหญ่ที่หน้าท้องและมดลูก ฟื้นตัวช้า
  • มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาพังผืดในช่องท้อง
  • ทารกไม่ได้รับภูมิคุ้มกันจากเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
  • ทารกอาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางระบบทางเดินหายใจ
  • เสี่ยงเกิดอาการข้างเคียงขณะคลอด และหลังคลอด เช่น แพ้ยาสลบหรือยาระงับความรู้สึก อวัยวะข้างเคียงบาดเจ็บ แผลผ่าตัดติดเชื้อ
  • การตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ส่วนใหญ่จำเป็นต้องผ่าคลอด เพราะมดลูกมีแผลผ่าตัดทำให้ไม่แข็งแรง หากรอเจ็บท้องคลอดอาจมีความเสี่ยงที่มดลูกจะปริ แตกได้

ค่าใช้จ่ายในการคลอดลูก

ค่าใช้จ่ายในการคลอดโดยส่วนใหญ่เป็นแบบเหมาจ่าย มักรวมค่าห้องพักในโรงพยาบาลด้วย โดยแพ็กเกจคลอดธรรมชาติรวมค่าห้องพัก เริ่มต้นที่ 23,880 บาท และแพ็กเกจคลอดแบบผ่าคลอดรวมค่าห้องพัก เริ่มต้นที่ 33,950 บาท

จ่ายค่าคลอดราคาเต็มทำไม? รับสิทธิ์ผ่อน 0% สูงสุด 10 เดือนและส่วนลดพิเศษสำหรับผู้อ่านรักลูก จากโรงพยาบาลใกล้บ้านคุณ เช็กราคาแพ็กเกจคลอดเหมาจ่ายที่นี่

สำหรับว่าที่คุณแม่ที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ หรือกำลังตั้งครรภ์อยู่ สามารถเลือกดูแพ็กเกจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่หลากหลาย ในราคาคุ้มค่า ได้ทาง HDmall.co.th หรือปรึกษาแอดมินจิ๊บได้ทุกเรื่องทางไลน์ @hdcoth

พิเศษ! สำหรับคุณแม่ที่จอง/ซื้อแพ็กเกจผ่าน HDmall.co.th รับส่วนลดสุดคุ้ม

👉จองแพ็กเกจหมวดหมู่ตั้งครรภ์เกิน 10,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดเพิ่ม 300 บาททันที! โค้ดส่วนลด HDRUKLUK300

👉จองแพ็จเกจคลอดทุกแพ็กเกจ รับส่วนลดเพิ่ม 1,000 บาททันที! โค้ดส่วนลด HDRUKLUK1000

  • แพ็กเกจอัลตราซาวด์ 4 มิติ
  • แพ็กเกจฝากครรภ์
  • แพ็กเกจตรวจคัดกรองความผิดปกติของลูกในครรภ์
  • แพ็กเกจคลอด เพียงแจ้งแพ็กเกจที่ต้องการและโค้ดส่วนลด กับแอดมินทางไลน์ @hdcoth ได้เลย จองด่วน! หมดเขต 31 ธันวาคม 2564 เท่านั้น

 

ที่มา

  1. HDmall, ฝากครรภ์ เรื่องสำคัญของคุณแม่ทุกคน (https://hdmall.co.th/c/what-you-need-to-know-about-antenatal-care) 20 SEP 2021.
  2. โรงพยาบาลพญาไท,ตรวจอัลตร้าซาวด์บ่อยๆ_จะส่งผลกับลูกน้อยในครรภ์หรือไม่, (https://www.phyathai.com/article_detail/3126/th/ตรวจอัลตร้าซาวด์บ่อยๆ_จะส่งผลกับลูกน้อยในครรภ์หรือไม่?) 20 SEP 2021.
  3. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, อัลตร้าซาวด์กับการวินิจฉัยทารกในครรภ์ (https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=459) 20 SEP 2021.
  4. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, NIFTY Test มิติใหม่ของการตรวจโรคพันธุกรรมทารกในครรภ์ (https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/251/NIFTYTest-ตรวจโรคพันธุกรรมทารกในครรภ์/) 20 SEP 2021.
  5. ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, จะคลอดธรรมชาติ หรือ ผ่าคลอด ดีนะ? (https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=430) 20 SEP 2021.

 

 

 

ปกใหม่มาแล้ว! รักลูก Bookazine 2564 คู่มือเลี้ยงลูกฉบับพกพาที่แม่ท้องต้องมี

5447 4

รักลูกBookazine คู่มือแม่ตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูกเล็กฉบับพกพา รับฟรีที่200 โรงพยาบาลทั่วประเทศ และดาวน์โหลดฟรีเก็บไว้อ่านผ่านมือถือก็ยังได้

ปกใหม่มาแล้ว! รักลูก Bookazine 2564 คู่มือเลี้ยงลูกฉบับพกพาที่แม่ท้องต้องมี

รักลูก Bookazine คู่มือแม่ตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูกเล็ก ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2564 - มกราคม 2565 รวบตึงเนื้อหาเข้มข้นแบบหนังสือคู่มือ ผสมผสานกับภาพ สีสัน และการนำเสนอที่เข้าใจง่าย น่าสนใจแบบแมกกาซีน "รักลูก Bookazine" จึงขอเป็นผู้ช่วยให้คำแนะนำคุณแม่มือใหม่ทุกคน ดูแลครรภ์อย่างที่มีคุณภาพ และ เทคนิคดูแลลูกแบบเข้าใจง่าย ใช้ได้จริง เพื่อให้การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น 

  • รักลูก Bookazine สำหรับแม่ตั้งครรภ์และแม่ลูกเล็ก รับฟรี! 200 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ที่แผนกสูตินรีเวช และ กุมารเวช (เช็กโรงพยาบาลที่ด้านล่างค่ะ)
  • แม่ท้องสายโซเชียล หรือ ผู้ที่ไม่ได้แบบเล่ม สามารถดาวน์โหลด PDF Version ได้ฟรีเช่นกัน ที่ >>> ดาวน์โหลด รักลูก Bookazine ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2564 - มกราคม 2565

ทำไม รักลูก Bookazine ฉบับเป็นคู่มือที่คุณแม่ทุกคนต้องมี

  • Selected Content คัดสรรเนื้อหาเข้มข้น 100 เรื่องในการดูแลและบริบาล สำหรับแม่ตั้งครรภ์ - ลูก 3 ขวบ
  • Signature Content นำเทรนด์เนื้อหาสำคัญที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้ 
    • Family Attachment: พ่อแม่มีอยู่จริง วิธีสร้างสายสัมพันธ์ครอบครัวที่สร้างได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนลูกโต
    • EF (Executive Functions): ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ ทักษะที่ลูกจำเป็นต้องมีในปัจจุบันและอนาคต
    • Pre Coding: หลักการคิดการคิดในการสร้างสรรค์ วางแผน คิดอย่างมีระบบเพื่อตอบโจทย์โลกอนาคต

  • Seamless Content: เข้าถึงและเชื่อมต่อข้อมูลจาก รักลูก Bookazine สู่ความเต็มอิ่มและหลากหลายมากขึ้นใน www.rakluke.com เว็บไซต์เพื่อทุกคนในครอบครัว ครอบคลุมตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ - ลูกอายุ 9 ปี 
  • User's Benefit: กิจกรรม โปรโมชั่นสำหรับแม่และลูกจาก รักลูก และ ผู้สนับสนุนใจดี ที่อยากส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดไปถึงมือของทุกครอบครัว

รักลูก Bookazine, คู่มือตั้งครรภ์, คู่มือแม่ท้อง, คู่มือเลี้ยงลูก, หนังสือคนท้อง, หนังสือเลี้ยงลูก, หนังสือแม่ตั้งครรภ์, นิตยสารรักลูก, รักลูกบุ๊คกาซีน, รับคู่มือเลี้ยงลูก, ฟรี คู่มือตั้งครรภ์, หนังสือแจกฟรี, หนังสือ ฟรี โรงพยาบาล, โรงพยาบาล แจก รักลูก Bookazine

คุณแม่ตั้งครรภ์และแม่ลูกเล็ก รับรักลูก Bookazine ได้ที่ไหน

รักลูก Bookazine สามารถรับได้ฟรีที่แผนกสูตินรีเวชและแผนกเวชใน 200 โรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ

ดาวน์โหลด รักลูก Bookazine ได้ที่ไหน

ดาวน์โหลดฟรี รักลูก Bookazine คลิกที่ปุ่มสีชมพู "ดาวน์โหลด" ด้านล่างได้เลยค่ะ

รักลูก Bookazine 2566 มาแล้ว! คู่มือแม่ท้องและแม่ลูกเล็กฉบับพกพา ดาวน์โหลดฟรี

5647

 

รักลูก Bookazine คู่มือแม่ตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูกเล็ก Volume 1 ปี 2566 รวบตึงเนื้อหาเข้มข้นแบบหนังสือคู่มือ ผสมผสานกับภาพ สีสัน และการนำเสนอที่เข้าใจง่าย น่าสนใจแบบแมกกาซีน "รักลูก Bookazine" จึงขอเป็นผู้ช่วยให้คำแนะนำคุณแม่มือใหม่ทุกคน ดูแลครรภ์อย่างที่มีคุณภาพ และ เทคนิคดูแลลูกแบบเข้าใจง่าย ใช้ได้จริง เพื่อให้การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น 

  • รักลูก Bookazine สำหรับแม่ตั้งครรภ์และแม่ลูกเล็ก รับฟรี! 200 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ที่แผนกสูตินรีเวช และ กุมารเวช (เช็กโรงพยาบาลที่ด้านล่างค่ะ)
  • แม่ท้องสายโซเชียล หรือ ผู้ที่ไม่ได้แบบเล่ม สามารถดาวน์โหลด PDF Version ได้ฟรีเช่นกัน ที่ >>> ดาวน์โหลด รักลูก Bookazine Volume 1 ปี 2566

ทำไม รักลูก Bookazine ฉบับเป็นคู่มือที่คุณแม่ทุกคนต้องมี

  • Selected Content คัดสรรเนื้อหาเข้มข้น 100 เรื่องในการดูแลและบริบาล สำหรับแม่ตั้งครรภ์ - ลูก 3 ขวบ
  • Signature Content นำเทรนด์เนื้อหาสำคัญที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้ 
    • Family Attachment: พ่อแม่มีอยู่จริง วิธีสร้างสายสัมพันธ์ครอบครัวที่สร้างได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนลูกโต
    • EF (Executive Functions): ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ ทักษะที่ลูกจำเป็นต้องมีในปัจจุบันและอนาคต
    • Pre Coding: หลักการคิดการคิดในการสร้างสรรค์ วางแผน คิดอย่างมีระบบเพื่อตอบโจทย์โลกอนาคต
  • Seamless Content: เข้าถึงและเชื่อมต่อข้อมูลจาก รักลูก Bookazine สู่ความเต็มอิ่มและหลากหลายมากขึ้นใน www.rakluke.com เว็บไซต์เพื่อทุกคนในครอบครัว ครอบคลุมตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ - ลูกอายุ 9 ปี 
  • User's Benefit: กิจกรรม โปรโมชั่นสำหรับแม่และลูกจาก รักลูก และ ผู้สนับสนุนใจดี ที่อยากส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดไปถึงมือของทุกครอบครัว

คุณแม่ตั้งครรภ์และแม่ลูกเล็ก รับรักลูก Bookazine ได้ที่ไหน

รักลูก Bookazine สามารถรับได้ฟรีที่แผนกสูตินรีเวชและแผนกเวชใน 200 โรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศ

ดาวน์โหลด รักลูก Bookazine ได้ที่ไหน

ดาวน์โหลดฟรี รักลูก Bookazine คลิกที่ปุ่มสีชมพู "ดาวน์โหลด" ด้านล่างได้เลยค่ะ

รักลูก The Expert Talk EP 91 : สอนลูกรับมืออารมณ์ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.91 : สอนลูกรับมืออารมณ์ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า

 

ถ้าอยากฝึกลูกควบคุมอารมณ์ พ่อแม่ต้องฝึกก่อน เพราะการเรียนรู้การจัดการอารมณ์ที่ดีที่สุดคือจากพ่อแม่ และอย่าให้ลูกต้องสุขตลอดเวลา เด็กเรียนรู้จากอารมณ์ลบและความทุกข์ได้ โดยมีพ่อแม่อยู่เคียงข้าง

 

ฟังวิธีการฝึกให้ลูกรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง โดย The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิธีการรับมือจัดการกับอารมณ์

ถ้าอยากจะฝึกลูกต้องฝึกที่พ่อแม่หรือว่าคนเลี้ยงก่อน เพราะว่าหลายครั้งการที่เด็กแสดงอารมณ์อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคนที่อยู่รอบตัว แต่ละบ้านก็แตกต่างกัน บางวัฒนธรรมหรือบางคนก็อาจจะรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากพูด หรือบอกแสดงความรู้สึกอารมณ์อะไรออกมา แต่จริงๆ แล้วการจะรับมือกับอารมณ์ของลูกผมอยากให้พ่อแม่มองอย่างนี้ว่า ทุกคนมักจะชอบอารมณ์ลูกในด้านบวก ดีใจ ยิ้ม น่ารัก เราอยากให้ลูกเราอารมณ์ดีตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มีทาง อยากให้มองว่าลูกสามารถเรียนรู้จากอารมณ์เชิงลบได้ อารมณ์เชิงลบถ้าเรียนรู้ได้ดี มันทําให้เขาพัฒนาตัวเองแล้วทําให้เขาสามารถจัดการกับอารมณ์เชิงลบไม่ว่าจะเป็นโกรธ เสียใจ ผิดหวังอะไรต่างๆ ได้ เมื่อเขาโตขึ้น

สิ่งสําคัญเลยก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเข้าไปช่วยเขา พ่อแม่ต้องคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อน หลายครั้งก็คือเราต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ เลย เพราะว่าบางครั้งพอเราคุมอารมณ์เราไม่ได้ มันจะยิ่งทําให้เราใส่อารมณ์เราเข้าไปกับลูกมากขึ้น เลยทําให้อารมณ์เชิงลบของเขามันเกิดนานขึ้น ลองนึกภาพอารมณ์เชิงลบเหมือนไฟ คําพูดหรืออะไรต่าง ๆ น้ําเสียงของเราเข้าไป มันจะเหมือนเรากําลังโยนน้ํามันเข้าไป หรือเราโยนพวกฟืน พวกกระดาษเข้าไป ให้มันยิ่งเผาไหม้มากขึ้น ไฟเวลามันเกิดขึ้นมันต้องดับได้

ดังนั้นเราควรจะต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ไฟมันเริ่มน้อยๆ ลูกหงุดหงิดอะไรนิดหน่อย จริงๆ ต้องเริ่มรู้แล้วนะครับว่าเป็นยังไง แต่ก่อนที่จะมาถึงอารมณ์เชิงลบ ถ้าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านพอทราบแล้วรู้natureลูกเราอย่างที่เมื่อกี้กล่าว เรื่องของพื้นอารมณ์ เช่น เป็นเด็กที่แบบอะไรนิดนึงก็ไม่ได้ ถ้าเราป้องกันได้ก็จะดี ยกตัวอย่างเช่น สมมติวันนี้เราไปเที่ยวกัน เรารู้เลยว่าไปเที่ยวที่นี่ มันจะต้องมีตัวกระตุ้นตรงนี้ ถ้าสมมติว่าลูกเดินผ่านตรงนี้ ลูกจะต้องอยากได้แน่นอน อย่างนี้ครับเราต้องรู้เขารู้เรา ดังนั้นวันนี้ก่อนออกจากบ้านเราต้องเตรียมการเลยครับ ลูกวันนี้เราจะออกไปข้างนอกไปซื้อของ แล้วก็เราจะแวะไปตรงนี้ๆ ไปถึงนี่เราจะทําอะไรบ้าง เสร็จแล้วเรากินอาหารเสร็จกลับบ้าน วันนี้เราไม่แวะซื้อของเล่นนะ ก็เป็นการป้องกันตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เชิงลบแบบนั้น

สะท้อนอารมณ์ลูก ช่วยลดอารมณ์เชิงลบ

แต่ถ้าเมื่ออารมณ์เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสําคัญก็คือคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องนอกจากตั้งสติเแล้ว เราจําเป็นที่จะต้องพูดบอกอารมณ์ลูกหรือว่าสะท้อนอารมณ์ อันนี้เป็นคีย์เวิร์ดสําคัญ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ทํางานผมคิดว่าพ่อแม่จํานวนมาก อาจจะไม่ค่อยพูดบอกอารมณ์อย่างนี้กับลูก การพูดบอกอารมณ์ของลูก เช่น ลูกกําลังเสียใจ ลูกโกรธ ลูกหงุดหงิด แต่สิ่งสําคัญคือพ่อแม่ต้องพูดบอกอารมณ์เขาด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างกลางๆ เพราะลูกสามารถจะจับอารมณ์ความรู้สึกของพ่อแม่ได้หมดมันจะยิ่งทําให้อารมณ์เค้าเกิดขึ้นมากขึ้นได้

การที่เราพูดบอกอารมณ์ของลูกออกมาหรือการสะท้อนอารมณ์ของลูก ไม่ได้แปลว่าจะทําให้อารมณ์ของลูกสงบลงทันที ต้องดูลักษณะนิสัยลูกเราด้วยนะครับ การที่เราพูดอย่างนี้วัตถุประสงค์เพื่อทําให้เด็กรับรู้ได้ว่า พ่อแม่หรือคนเลี้ยงเข้าใจว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร ดังนั้นเราก็แค่พูดบอกและสะท้อนอารมณ์ออกมา แต่คุณพ่อคุณแม่บางท่านก็เล่าให้ผมฟังว่า บางทีพอบอกไปลูกยิ่งหงุดหงิดร้องกว่าเดิม แสดงว่าเขาอาจจะไม่ชอบสไตล์แบบนี้ก็ได้ก็แล้วแต่บ้าน บางครั้งเราก็อาจจะพูดให้น้อยลงหรือรอจังหวะและแค่บอกเขานะครับว่า ลูกกําลังโกรธ หงุดหงิดเดี๋ยวลูกอยู่ตรงนี้ก่อน พออารมณ์ดีเราค่อยคุยกันนะ

แต่สิ่งสําคัญที่ผมอยากจะเน้นนะครับว่าเมื่อไหร่ก็ตามลูกมีพฤติกรรมที่เรียกว่าก้าวร้าวโดยแสดงอารมณ์ออกมามากขึ้นแล้วทําร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่นหรือทำลายข้าวของ จําเป็นที่จะต้องช่วยให้เขาสงบให้ได้ไว ถ้าลูกยังเล็กให้จับมือแล้วพูดว่าลูกกัดแม่ไม่ได้ น้ําเสียงนิ่ง ชัดเจน หรือหากกำลังดิ้นโวยวายละวาด บางบ้านถึงขั้นเอาผ้าห่มมาพันตัวลูก คือทําอย่างไรก็ได้ให้เขาสงบ แม้จะดิ้นไปดิ้นมา แต่สุดท้ายถ้าเขารู้ว่าพ่อแม่เอาจริง เขาจะค่อยๆสงบเอง ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับคุณพ่อคุณแม่นะครับ แต่ว่าต้องฝึกเขาเพราะว่าไม่อย่างนั้นถ้าเขาไม่เคยถูกควบคุมแบบนี้จากภายนอกเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองจากภายในได้ อย่างที่กล่าวไปใน epก่อนหน้านี้

ดังนั้นเวลาเขาโกรธโมโหเขาอาจจะไปทําร้ายเพื่อนหรือไปกัดเพื่อน ถ้าอารมณ์รุนแรงถึงขั้นก้าวร้าวจําเป็นที่จะต้องช่วยให้เขาสงบแล้วพอลูกสงบเสร็จ เราถึงค่อยอธิบายหรือสอน บ้านเราส่วนใหญ่ที่ผมเจอคุณพ่อคุณแม่มักจะชอบสอนหรืออธิบายเยอะมากเลย แต่เวลาที่อารมณ์ไม่พร้อม สมองส่วนอารมณ์ตอนนั้นมันกําลังทํางานเยอะอยู่ สมองส่วนเหตุผลจะยังไม่มา ดังนั้นต้องรอให้สมองส่วนอารมณ์ทํางานได้ดีแล้วก็คุมได้ก่อน แล้วสมองส่วนเหตุผลเขาจะเปิดใจรับฟัง ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่สอนอะไรเขาก็จะเริ่มฟังมากขึ้น

ช่วยลูกออกแบบวิธีจัดการอารมณ์

พออารมณ์สงบจริงๆ บางคนอาจจะไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพราะว่าบางคนรู้สึกว่าเหมือนเป็นการกระตุ้นต่อไป แต่ผมคิดว่าเราสามารถที่จะเรียนรู้จากสิ่งนี้ได้นะครับก็คือพอเขาอารมณ์ดีจริงๆ เช่น ผ่านการเล่นอะไรไปค่อยค่อยคุยกัน เช่น เมื่อกี้ลูกโกรธมากเลย ที่ไม่ได้ซื้อของเล่นอย่างที่บอก งั้นครั้งหน้าถ้าลูกโกรธเราทํายังไงกันดีนะ อันนี้ก็เป็นอีกวิธีขั้นตอนต่อๆไปในการที่จะฝึกหรือสอนให้ลูก เรียนรู้ว่าเวลาโกรธ เขาจะรับมือจัดการกับอารมณ์โกรธยังไงบ้าง เช่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะสาธิตว่าถ้าแม่โกรธเรามาเล่นเกมกันดีกว่า ถ้าเวลาพ่อแม่โกรธพ่อแม่ทํายังไงกันบ้าง เช่น นับ1 ถึง 10 แม้ลูกจะยังไม่หายโกรธ เราก็ชมระหว่างทางที่เขากําลังคุมอารมณ์อยู่ หลายครั้งบางทีลูกร้องโวยวายแต่ว่าเริ่มสงบลงก็ชมได้

แต่ต้องบอกว่าเด็กเล็กอายุ3-5ปี บางทีเรายิ่งพูดเหมือนบางคนจะเหมือนเติมเชื้อไฟ ลูกบางคนจะรู้สึกเหมือนว่าเกือบจะได้แล้ว แปลว่าพ่อแม่กําลังมาง้อแล้ว เราต้องเล่นใหญ่อีกนิดนึง ดังนั้นพ่อแม่ต้องรับรู้นะครับว่าบางทีไฟมันไม่ได้ดับสนิทแบบนี้ บางทีพอดับปุ๊บเราพูดไปนิดนึงเหมือนเราจะไปช่วยนะครับ เพราะเด็กบางคนขึ้นแล้วค้างนานลงไม่เป็น พอเราไปช่วยปรากฏร้องขึ้นมาอีกเหมือนเดิม เราก็ใช้หลักการเหมือนเดิมคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปจัดการที่ลูก

ปัจจุบันมีหนังสือนิทานเยอะมากเลย เด็กๆโดยเฉพาะวัยที่เขาเริ่มฟังนิทานเยอะๆ เราสามารถจะเอาหนังสือนิทานเหล่านี้มาสอนเขาได้เลย สามารถพูดแล้วก็คุยกัน เพราะว่าในหนังสือนิทานบางทีจะมีวิธีพูดบอก เช่น เวลาโกรธเราทําอะไรได้บ้าง เช่น เป่าลูกโป่งแล้วปล่อยให้มันลอยไป เปลี่ยนเรื่องไปวาดรูประบายสี ปั้นดินน้ํามัน ปั้นแป้งโดว์

เป็นแบบอย่างจัดการอารมณ์

1.พ่อแม่ต้องพัฒนาสติหรือบางคนเรียกว่าเจริญสติของตัวเอง ทุกคนมีเวลา 24ชั่วโมงเท่ากันแต่เราให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆไม่เท่ากัน บางทีแค่เราอยู่เฉยๆไม่ดูโซเชียลไม่อะไร หายใจเข้าออกลึกๆก็ได้ คือแต่ละคนอาจจะมีวิธีการอยู่กับตัวเองแตกต่างกันให้ตัวเองมีช่วงเวลาสงบ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามเรารู้จักตัวเองได้ดีพอทําให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ไว แล้วพอเรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ไว เวลาลูกเกิดอารมณ์อะไรที่ไม่โอเค เราก็เข้าไปจัดการหรือรับมือได้อย่างมีสติมากขึ้นนะครับ

2.เป็นแบบอย่างที่ดี หลายครั้งเลยครับเด็กเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ บางคนพ่อแม่ก็เป็นสไตล์ขี้งอนไม่ต้องแปลกใจเลยครับ ดังนั้นมันก็คงหลีกเลี่ยงกันได้ยาก เพราะว่าลูกไม้ก็หล่นใต้ต้นอยู่แล้ว ดังนั้นอะไรก็ตามที่คิดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำให้ลูกเห็น พ่อแม่เองก็สามารถบอกอารมณ์ตัวเองกับลูกได้นะครับ เช่น ตอนที่น้องอารมณ์ไม่ดีแบบนี้แม่ก็อารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน แม่เนี่ยขนาดตัวแม่เองเป็นผู้ใหญ่บางทีแม่ยังคุมอารมณ์ยากเลย เพราะฉะนั้นสําหรับน้องเนี่ยแม่คิดว่ายิ่งยากขึ้นเนาะ งั้นเดี๋ยวเรามาช่วยกันดีกว่าว่าเราทํายังไงกันดี

การที่คุณพ่อคุณแม่บอกอารมณ์ของตัวเองกับลูกก็จะทําให้เหมือนเราเป็นตัวอย่างด้วยนะครับว่าเราทํายังไง ดังนั้นเนี่ยเวลาเราอารมณ์ หงุดหงิด ไม่พอใจอะไรต่าง ๆ นอกจากเรามีสติเรารับมือกับอารมณ์ได้ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องทําให้เห็นนะครับว่าเราจะต้องทําอย่างไรได้บ้าง ที่จะไม่แสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงให้ลูกเห็น

3.ไม่ลงโทษลูกด้วยความรุนแรง หลายครั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นเนี่ยมันไม่ได้เกิดจากการตีอย่างเดียวหรือทําร้ายลูกอย่างเดียวแต่ว่ามันเกิดจากคําพูดยิ่งเราโกรธคําพูดเรา บางทีมันเชือดเฉือนยิ่งทําร้ายมาก บางทีบาดแผลกายหายแล้วแต่บาดแผลทางใจมันยังคงอยู่ตลอดไป ซึ่งหลายๆ ท่านก็คงไม่ได้อยากเห็นลูกเรา จําเราได้ในด้านไม่ดี ซึ่งตรงนี้มันไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นนางฟ้าตลอดเวลาสําหรับลูก แต่ว่าอย่างน้อยเราควรจะมีโมเมนต์ที่ดี มากกว่าโมเมนต์ที่ไม่ดี มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เราจะมีโมเมนต์ที่ดีทั้งหมด แต่อย่างน้อยมีโมเมนต์ที่ดีกับมากกว่าไม่ดี อย่างน้อยมันก็เป็นต้นทุนที่จะทําให้ลูกรับรู้ได้ว่า เวลาเขาไม่พอใจ หงุดหงิด โมโหต่อไปเขาจะมาหาใครได้บ้าง ดังนั้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อแม่กับลูก เป็นเกราะป้องกันเลยสําหรับการเกิดปัญหาทางด้านอารมณ์ต่อไปในอนาคต

พ่อแม่จัดการอารมณ์ได้ดีเกราะป้องกันเมื่อลูกเป็นวัยรุ่น

โดยธรรมชาติวัยรุ่นต้องการค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเองว่าจะพัฒนาเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ดังนั้นเป็นธรรมชาติที่เขาจะต้องไปหาเพื่อนติดเพื่อนมากกว่าติดพ่อแม่ ดังนั้นเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ไปว่าเพื่อนคนนี้เป็นยังไง คนนี้นิสัยเป็นยังไง ถ้าเรายิ่งสนิทกับลูกมากตั้งแต่ตอนเล็กๆ มีอะไรเขาก็จะกล้ามาเล่าให้เราฟัง ซึ่งอันนี้เป็นจังหวะที่ดี แม้กระทั่งขับรถรถติด แล้วลูกเล่าเรื่องเพื่อน เราก็ฟัง เป็นยังไงบ้างล่ะลูก แล้วลูกคิดว่ายังไง จริงๆ การworkกับลูกวัยรุ่นเนี่ยง่ายมากเลยฟังให้เยอะแล้วตัดสินให้น้อย พยายามอย่าไปตัดสินคือควรจะต้องเข้าไปอยู่ในโลกของลูกด้วย เทรนด์อะไรใหม่ๆ เราก็ฟังกับเขาไปด้วยจะทําให้ลูกเปิดใจมากขึ้น

เมื่อเกิดอารมณ์เชิงลบอย่ามองว่าเป็นศัตรูของลูก คนเราทุกคนลองนึกภาพของตัวเรากว่าคนเราจะเติบโตมาถึงขั้นนี้เราต้องเจอทั้งอารมณ์เชิงบวกเชิงลบ การที่เรารับมือกับอารมณ์เชิงลบได้ดีเราได้ทําให้ลูกเรียนรู้ในชีวิตจริงนะ เพราะชีวิตจริงเราต้องเจอกับสิ่งที่ผิดหวัง เสียใจ ไม่ได้ดั่งใจ หงุดหงิด อะไรต่างๆ ยิ่งถ้าลูกเรียนรู้รับรู้อารมณ์ตัวเองได้ไว แล้วเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างดี มันจะยิ่งทําให้เขาเนี่ยสามารถค่อยๆ เติบโตมากขึ้น มีภูมิต้านทานทางด้านทางจิตใจหรืออารมณ์ มันต้องผ่านการฝึกฝนโดยเขาแค่อาศัยพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูที่เปรียบเสมือนเขาเรียกเป็นนั่งร้าย เป็นโครงสร้างที่คอยค้ําจุนพยุง เพื่อไม่ให้โครงสร้างนั้นมันหล่นลงมา

ไม่จําเป็นที่เวลาลูกเผชิญกับความไม่โอเค ไม่พอใจแล้วเราต้องเข้าไปช่วยจัดการทุกอย่างเพราะสุดท้ายแล้วลูกก็สามารถเรียนรู้จัดการด้วยตัวเองได้ระดับหนึ่ง แล้วเราควรจะต้องชื่นชมยินดีกับเขาด้วย เราเองมีหน้าที่รับฟังและอาจจะช่วยเติมในจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้เพื่อทําให้ลูกเรียนรู้ที่จะคิดถึงวิธีต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นเนี่ยครับเราเป็นแค่นั่งร้านแต่สุดท้ายลูกจะภูมิใจนะครับ สิ่งสําคัญคือลูกจะภูมิใจว่า ฉันเองก็สามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ แล้วเด็กที่มีภูมิต้านทานแบบนี้ผมคิดว่า เขาจะห่างไกลจากพวกโรคหรือภาวะที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล

เช็กเบื้องต้นลูกมีปัญหาด้านอารมณ์ คีย์หลักๆ คือถ้าลูกเบื่อไม่อยากทําอะไรที่เคยอยากทําเหมือนเดิม เช่น ลูกชอบวาดรูป เล่นกีฬา แต่จู่ๆ ไม่อยากเล่น เบื่อ แสดงว่าลูกอาจจะถึงขั้นที่ อาจจะมีความผิดปกติทางด้านอารมณ์ หรือลูกมีอารมณ์เศร้า ซึ่งแบบนี้พ่อแม่ต้องพอจะรู้แนวโน้มว่าลูกมีลักษณะพื้นฐานเป็นอย่างไร ถ้าเมื่อไรก็ตามลูกแบบเก็บตัว อยากอยู่คนเดียว เศร้าหรือถ้าอารมณ์เศร้าอาจจะสังเกตยาก แต่เขาจะมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด อะไรนิดหน่อยก็ขึ้นง่าย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะรีบพาไปปรึกษาคุณหมอ

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.106 (Rerun) : พ่อแม่ที่มีอยู่จริง ทางออก Toxic Stress

 

รักลูก The Expert Talk Ep.106 (Rerun) : เป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริง ทางออก Toxic Stress

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดทุกด้าน รับมือ แก้ไข ด้วยการเป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริง

เมื่อลูกเครียดพ่อแม่ต้องรู้ เพื่อรับมือและคลี่คลายความเครียดเป็นพิษ Toxic Stress ก่อนเกิดสถานการณ์ความเครียดที่ไม่คาดคิด

 

ฟังวิธีการจาก The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.92 : ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.92 : ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

 

ติดจอใสทำลายพัฒนาการมากกว่าที่พ่อแม่คิด ตั้งแต่ออทิสติกและอาการสมาธิสั้นที่น่ากังวล ซ้ำยังส่งผลไปถึงพัฒนาการด้านอารมณ์ ซึ่งหากพ่อแม่ไม่รู้เท่าทัน อาจจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้า และนำไปสู่การฆ่าตัวตายในอนาคต

 โดย The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

"จอใส" กระทบพัฒนาการ

เริ่มจากการวิจัยที่ผมเองก็มีการติดตามเด็กในระยะยาวตั้งแต่เด็กอายุ 6เดือน ติดตามไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เด็กที่อยู่ในโครงการอายุ10ขวบแล้ว ผลพบว่าเด็กอายุตั้งแต่6เดือน-18เดือน แนวโน้มถ้าเขาอยู่บริเวณสื่อหน้าจอซึ่งในยุคนั้นเป็นแค่ทีวี พบว่าเด็กจํานวนหนึ่งมีพฤติกรรมไปทางเด็กออทิสติก มากขึ้น แล้วเรื่องของเด็กออทิสติกก็มีข้อมูลงานวิจัยของต่างประเทศพบมากขึ้นว่า ยิ่งให้มากให้เร็วตั้งแต่ตอนเล็กๆ จะทําให้เด็กเนี่ยมีความเสี่ยงไปทางเด็กออทิสติก คืออยู่ในโลกส่วนตัวมากขึ้น ขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะด้านสังคมและอารมณ์ ในงานวิจัยนั้นยังพบอีกว่า เด็กที่ดูหรือว่าได้รับสื่อประเภทพวกทีวีค่อนข้างมาก มีโอกาสที่เขาจะมีปัญหาพฤจิกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้น มีปัญหาทางด้านปฏิกิริยาทางด้านอารมณ์เพิ่มขึ้น หมายความว่าเวลาหงุดหงิดไม่พอใจก็จะวีนเหวี่ยง ใช้อารมณ์

ซึ่งก็สอดคล้องเลยว่าหลังจากช่วงที่โควิดเคสคต่างๆ เริ่มกลับม คุณพ่อคุณแม่ก็จะเล่าว่าจากที่เคยดีมาโดยตลอด แล้วพอเราเริ่มให้ใช้จอก็จะรู้สึกเหมือนว่าหงุดหงิด ไม่พอใจอะไรต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ขอจอคืน ถึงเวลาต้องไปทํากิจวัตรประจําวันก็ม่ได้ทํา แล้วในงานศึกษายังเจออีกว่าสัมพันธ์กับเรื่องของพฤติกรรม และสมาธิสั้นมากขึ้นด้วย

ต้องเรียนว่าการใช้สื่อจอใสแบบไม่ค่อยเหมาะสม ปัจจุบันมันไม่ใช่แค่ทีวีก็มีสื่ออื่นๆมากมาย มือถือหรือว่าโซเชียลมีเดียต่างๆ ในการศึกษาทั้งในเด็กเริ่มโตขึ้นมาวัยก่อนเรียน วัยอนุบาลหรือว่าในช่วงวัยเรียน รวมถึงวัยรุ่นพบว่ามีความสัมพันธ์กับปัญหาทางด้านอารมณ์เยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเด็กบางคนปถึงขั้นมีความคิดหรือความพยายามอยากฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น หรือมีปัญหาโรคทางด้านจิตเวชต่างๆ เพิ่มขึ้น พบเด็กมีปัญหาเรื่องของการรับประทานอาหารผิดปกติเพิ่มสูงขึ้น เช่น ถ้าเรียกทางการแพทย์เรียกEating Disorder เช่น ทําไมบางคนเรียกเป็นโรคคลั่งผอมเพราะว่าเราก็คือเข้าไปเสพสื่อประเภทนี้ แต่ก็ไม่อยากให้มองว่าสื่อมันไม่ดีอย่างเดียว จริงๆ เราสามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้

เด็กที่เล่นสื่อเยอะๆ ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคืออยู่กับความเบื่อไม่เป็น ความเบื่อเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งของเราเหมือนกันหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่เหมือนกันบางทีเราก็ไม่รู้จะทําอะไร ทุกวันนี้ทุกคนก็เล่นมือถือตลอดเวลา เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราดึงเอาใจไปอยู่ทางอื่นเพราะว่าเราอยู่กับความเบื่อไม่ได้ ซึ่งพออยู่กับความเบื่อไม่ได้เนี่ย ลูกๆก็ไม่รู้จะทํายังไง ซึ่งถ้าจะเป็นสมัยก่อนที่เราไม่มีสื่อเหล่านี้ พอเบื่อเราก็ต้องชวนกันมาเล่น มาคุยกัน ร้องเพลง อ่านหนังสือ แต่เด็กไม่รู้จะทําอะไรดี ก็เลยเข้าไปอยู่กับสื่อหน้าจอมากขึ้น แล้วพอลไม่ได้ดูก็โวยวาย หัวร้อนง่าย

ใช้สื่อกับลูกอย่างไร

  1. Background Media คีย์เวิร์ดสําคัญเลยเด็กถ้าอายุเกินสองปีเล่นได้ แต่ถ้าอายุน้อยกว่าสองปีมีข้อมูลพบว่ากระทบกับพัฒนาการ มีงานวิจัยจากสิงคโปร์รายงานว่าแค่เสียงทีวีที่เปิดทิ้งไว้ สามารถเปลี่ยนคลื่นสมองเด็กได้สัมพันธ์กับการเป็นสมาธิสั้นเพิ่มขึ้น เพราะว่าสื่อต่างๆ เวลาเปิดมันจะเข้าไปเร้าระบบประสาทรับความรู้สึกต่างๆ เพราะสื่อมันมีทั้งภาพและเสียง เมื่อเข้าไปกระตุ้นมากทำให้สมาธิสั้นเพิ่มขึ้นแม้จะไม่ได้ดู และส่วนใหญ่เป็นรายการสําหรับผู้ใหญ่ ซึ่งที่เราศึกษาวิจัยก็พบว่ามีผลต่อพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็ก ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านที่เปิดBackground Mediaน้อย สติปัญญาของเด็กที่เปิดน้อยกว่ามีแนวโน้มสติปัญญาดีกว่าและพัฒนาการดีเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก

  2. เลือกโปรแกรมที่เหมาะสมตามวัยและต้องลองเข้าไปดูเนื้อหาก่อน ปัจจุบันมีเว็บไซต์ต่างประเทศที่สามารถเข้าไปเช็กได้ที่ www.commonsense.org/education (Common Sense Media) นอกจากนี้ต้องกําหนดกฎกติกา ถ้าจะให้ลูกใช้หน้าจอก็ต้องหลังจากที่เขารับผิดชอบงานที่ควรจะทำก่อน เช่น กิจวัตรประจําวันเสร็จแล้ว การบ้านเสร็จ รับผิดชอบงานบ้านแล้ว นอกจากเรื่องกฎกติกาแล้ว เด็กต้องเรียนรู้ผลที่ตามมาว่าถ้าไม่ทําตามกฎกติกาจะเกิดอะไรขึ้นบ้างด้วย

  3. ทำข้อตกลงก่อนให้ลูกใช้งาน บ้านที่กำลังจะซื้อจอให้ลูก ต้องมีการทําสัญญากับลูกตั้งแต่เริ่มแรกเลย เช่น มือถือเครื่องนี้เป็นมือถือของแม่ซื้อมาให้ลูก ลูกจะสามารถเล่นได้ตอนไหนบ้าง ถ้าลูกไม่สามารถทําตามกฎอันนี้ได้มือถือเครื่องนี้แม่สามารถริบคืนได้ พ่อแม่มีสิทธิ์เด็ดขาดและให้ลูกเซ็นชื่อกํากับด้วย ซึ่งเด็กบางคนก็ยอมเซ็นไปก่อน แต่ต้องอย่าลืมที่จะบอกถึงผลที่ตามมาและต้องทำตามข้อตกลงร่วมกัน หรือบอกถึงผลกระทบถ้าใช้งานนานเกินไป เช่น หาวบ่อย ปวดต้นคอ ปวดมือ

  4. ดูไปพร้อมกับลูก อยากให้คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเข้าไปดูสื่อกับลูกด้วย เพราะเดี๋ยวนี้จะมี pop up ขึ้นมาระหว่างที่ลูกดูคลิปต่างๆ ซึ่งมันจะทำให้เข้าสู่คอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสมกับวัย อีกเรื่องหนึ่งกฎกติกาที่ว่า หมอคิดว่าเราอาจจะต้องมองกันที่สถานที่ภายในบ้านด้วยว่าตรงที่ไหนที่เราไม่ควรจะใช้สื่อหน้าจอ รวมไปถึงเวลาช่วงไหนที่เราไม่ควรจะใช้ เช่น ห้ามใช้บนโต๊ะอาหาร ซึ่งพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างด้วย และในห้องนอนก็ไม่ควรจะใช้สื่อหน้าจอ

นอกจากนี้หน้าจอจะมีแสงสีน้ำเงินออกมาที่เรียกว่า Bluelight ซึ่งแสงเหล่านี้จะไปรบกวนการหลั่งฮอร์โมนการนอนหลับที่ชื่อว่า "ฮอร์โมนเมลาโทนิน" ทําให้เด็กจะนอนหลับยากขึ้น รวมถึงต้องงดเล่นเกม ดูคอนเทนต์ที่เร้าอารมณ์ความสนุก เพราะถ้าเด็กนอนหลับไม่ดีก็ส่งผลต่อเรื่องของการคุมอารมณ์ระหว่างวันด้วย สิ่งที่พ่อแม่ควรทําก็คือ อย่าให้มาก อย่าให้เร็ว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u